เอกสารประกอบการสอนเลม่ นี ้จดั ทาขนึ ้ เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เร่ืองโลกและดาราศาสตร์(รหสั วชิ า ว31201) เพื่อให้ผ้เู รียนเข้าใจถงึ ความสาคญั ของจกั รวาลที่อยใู่ กล้ตวั เพื่อนาไปใช้ในอนาคตตรงตามสายอาชีพท่ีนกั เรียนเลือกไว้ และเป็นผ้มู ีความสามารถมีทกั ษะในการนาความรู้ที่ได้ไปศกึ ษาค้นคว้าประยกุ ต์ใช้ และพฒั นาตนเองทงั้ ทางด้านการเรียนการสอน และการดาเนินชีวติ ได้ เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์สาหรับนกั เรียน แบง่ ออกเป็น 8หนว่ ย ในแตล่ ะหนว่ ยจะมีแผนบริหารการสอนประจาหนว่ ย และคาถามท้ายหน่วยการเรียน หวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องโลกและดาราศาสตร์ E-BOOK สาหรับนกั เรียนนีค้ งเป็นประโยชน์ตอ่ ผ้ใู ช้ไมม่ ากก็น้อย คณะผ้จู ดั ทา นายทศพร ตนั ตวิ วิ ฒั นไชย ม.4/14 เลขที่25
โลก เป็นดาวเคราะห์ท่ีอยหู่ า่ งจากดวงอาทติ ย์เป็นลาดบั ท่ีสาม โดยโลก เป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ท่ีสดุ ในระบบสรุ ิยะ และเป็นดาวเคราะห์ เพียงดวงเดียวทว่ี ทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่ยืนยนั ได้วา่ มีสง่ิ มีชีวติ อาศยั อยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกาเนิดขนึ ้ เมอ่ื ประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปี ก่อน และหลงั จากนนั้ ไมน่ านนกั ดวงจนั ทร์ซงึ่ เป็นดาวบริวารเพียงดวง เดยี วของโลกก็ถือกาเนิดตามมา สง่ิ มีชีวิตทรงภมู ิปัญญาที่ครองโลกใน ปัจจบุ นั นีค้ อื มนษุ ย์ โลก มีลกั ษณะเป็นทรงวงรี โดย ในแนวดิ่งเส้นผา่ ศนู ย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน ยาว 12,755 กม. ตา่ งกนั 44 กม. มีพนื ้ นา้ 3 สว่ น หรือ 71% และมีพืน้ ดิน 1 สว่ น หรือ 29 % แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา
เปลอื กโลก (crust) เป็นชนั้ นอกสดุ ของโลกที่มีความหนาประมาณ 6-35 กิโลเมตร ซง่ึ ถือวา่ เป็นชนั้ ท่ีบางที่สดุ เมื่อเปรียบกบั ชนั้ อ่ืนๆ เสมือนเปลอื กไขไ่ ก่ หรือเปลอื กหวั หอม เปลือกโลกประกอบไปด้วยแผน่ ดนิ และแผน่ นา้ ซง่ึ เปลอื ก โลกสว่ นที่บางท่ีสดุ คือสว่ นที่อยใู่ ต้มหาสมทุ ร สว่ นเปลอื กโลกที่หนาท่ีสดุ คอื เปลอื กโลกสว่ นท่ีรองรับทวีปที่มีเทือกเขาท่ีสงู ท่ีสดุ อยดู่ ้วย นอกจากนีเ้ปลือก โลกยงั สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ชนั้ คือ ชนั้ ที่หนง่ึ : ชนั้ หินไซอลั (sial) เป็นเปลือกโลกชนั้ บนสดุ ประกอบด้วยแร่ซลิ ิ กาและอะลมู ินาซง่ึ เป็นหินแกรนิตชนิดหนง่ึ สาหรับบริเวณผิวของชนั้ นีจ้ ะเป็น หนิ ตะกอน ชนั้ หินไซอลั นีม้ ีเฉพาะเปลอื กโลกสว่ นท่ีเป็นทวีปเท่านนั้ สว่ นเปลือก โลกท่ีอย่ใู ต้ทะเลและมหาสมทุ รจะไมม่ ีหินชนั้ นี ้ ชนั้ ท่ีสอง: ชนั้ หนิ ไซมา (sima) เป็นชนั้ ท่ีอยใู่ ต้หนิ ชนั้ ไซอลั ลงไป สว่ นใหญ่ เป็นหนิ บะซอลต์ประกอบด้วยแร่ซิลิกา เหลก็ ออกไซด์และแมกนีเซียม ชนั้ หนิ ไซ มานีห้ อ่ ห้มุ ทวั่ ทงั้ พืน้ โลกอยใู่ นทะเลและมหาสมทุ ร ซงึ่ ตา่ งจากหนิ ชนั้ ไซอลั ที่ปก คลมุ เฉพาะสว่ นที่เป็นทวีป และยงั มีความหนาแน่นมากกวา่ ชนั้ หินไซอลั
แมนเทิล (mantle หรือ Earth's mantle) คือชนั้ ที่อยถู่ ดั จาก เปลือกโลกลงไป มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางสว่ นของหนิ อย่ใู น สถานะหลอมเหลวเรียกวา่ หินหนืด (Magma) ทาให้ชนั้ แมนเทิลนีม้ ีความ ร้อนสงู มาก เนื่องจากหินหนืดมีอณุ หภมู ปิ ระมาณ 800 - 4300°C ซงึ่ ประกอบด้วยหนิ อคั นีเป็นสว่ นใหญ่ เชน่ หนิ อลั ตราเบสกิ หนิ เพริโดไลต์ แกน่ โลก ความหนาแนน่ ของดาวโลกโดยเฉลีย่ คือ 5,515 กก./ลบ.ม. ทาให้มนั เป็นดาว เคราะห์ท่ีหนาแนน่ ท่ีสดุ ในระบบสรุ ิยะ แตถ่ ้าวดั เฉพาะความหนาแน่นเฉลี่ย ของพืน้ ผิวโลกแล้ววดั ได้เพียงแค่ 3,000 กก./ลบ.ม. เทา่ นนั้ ซง่ึ ทาให้เกิดข้อ สรุปวา่ ต้องมีวตั ถอุ ื่นๆ ท่ีหนาแนน่ กว่าอยใู่ นแกน่ โลกแน่นอน ระหวา่ งการ เกิดขนึ ้ ของโลก ประมาณ 4.5 พนั ล้านปี มาแล้ว การหลอมละลายอาจทาให้ เกิดสสารท่ีมีความหนาแนน่ มากกวา่ ไหลเข้าไปในแกนกลางของโลก ในขณะ ท่ีสสารที่มีความหนาแนน่ น้อยกว่าคลมุ เปลือกโลกอยู่ ซง่ึ ทาให้แก่นโลก (core) มีองค์ประกอบเป็นธาตเุ หลก็ ถึง 80%, รวมถงึ นิกเกิลและธาตทุ ่ีมี นา้ หนกั ที่เบากวา่ อ่ืนๆ แตใ่ นขณะท่ีสสารที่มีความหนาแนน่ สงู อ่ืนๆ เชน่ ตะกวั่ และยเู รเนียม มีอยนู่ ้อยเกินกวา่ ท่ีจะผสานรวมเข้ากบั ธาตทุ ี่เบากวา่ ได้ และทา ให้สสารเหลา่ นนั้ คงที่อยบู่ นเปลือกโลก แกน่ โลกแบง่ ได้ออกเป็น 2 ชนั้ ได้แก่ แก่นโลกชนั้ นอก (outer core) มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 - 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตเุ หลก็ และนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย และมีความร้อนสงู มีอณุ หภมู ปิ ระมาณ 6200 - 6400 มีความหนาแนน่ สมั พทั ธ์ 12.0 และสว่ นนีม้ ีสถานะเป็นของเหลว แกน่ โลกชนั้ ใน (inner core) เป็นสว่ นที่อยใู่ จกลางโลกพอดี มีรัศมี ประมาณ 1,000 กิโลเมตร มีอณุ หภมู ปิ ระมาณ 4,300 - 6,200 และมีความ กดดนั มหาศาล ทาให้สว่ นนีจ้ งึ มีสถานะเป็นของแข็ง ประกอบด้วยธาตเุ หลก็ และนิกเกิลที่อยใู่ นสภาพที่เป็นของแขง็ มีความหนาแนน่ สมั พทั ธ์ 17.0
สภาพอากาศของโลก คือ การถกู หอ่ ห้มุ ด้วยชนั้ บรรยากาศ ซง่ึ มีทงั้ หมด 5 ชนั้ ได้แก่ 1.โทรโพสเฟี ยร์ เร่ิมตงั้ แต่ 0-10 กิโลเมตรจากผวิ โลก บรรยกาศมีไอนา้ เมฆ หมอกซง่ึ มีความหนาแน่นมาก และมีการแปรปรวนของอากาศอยตู่ ลอดเวลา 2.สตราโตสเฟี ยร์ เร่ิมตงั้ แต่ 10-35 กิโลเมตรจากผิวโลก บรรยากาศชนั้ นีแ้ ถบ จะไมเ่ ปลย่ื นแปลงจากโทรโพสเฟี ยร์ยกเว้นมีผงฝ่ นุ เพม่ิ มาเลก็ น้อย 3.เมโสสเฟี ยร์ เร่ิมตงั้ แต3่ 5-80 กิโลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมีก๊าซโอโซน อยมู่ ากซง่ึ จะชว่ ยสกดั แสงอลั ตร้า ไวโอเรต (UV) จาก ดวงอาทติ ย์ไม่ให้ มาถงึ พืน้ โลกมากเกินไป 4.ไอโอโนสเฟี ยร์ เร่ิมตงั้ แต่ 80-600 กิโลเมตร จากผวิ โลก บรรยากาศมี ออกซเิ จน จางมากไมเ่ หมาะกบั มนษุ ย์ 5.เอกโซสเฟี ยร์ เริ่มตงั้ แต่ 600กิโลเมตรขนึ ้ ไปจากผิวโลก บรรยากาศมี ออกซเิ จนจางมากๆ และมีก๊าซฮีเลยี มและไฮโดรเจนอยเู่ ป็นสว่ นมาก โดยมีชนั้ ติดตอ่ กบั อวกาศ โลกมีอณุ หภมู ิ 15 องศาเซลเซยี ส โดยเฉลยี่
ดาราศาสตร์ คือวิชาวทิ ยาศาสตร์ที่ศกึ ษาวตั ถทุ ้องฟ้ า(อาทิ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวหาง และดาราจกั ร) รวมทงั้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ ้ จากนอกชนั้ บรรยากาศของโลก โดยศกึ ษาเกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการ ลกั ษณะทางกายภาพทางเคมี ทางอตุ นุ ิยมวทิ ยา และการเคล่ือนที่ของวตั ถทุ ้องฟ้ าตลอดจนถงึ การกาเนิดและวิวฒั นาการของเอกภพ
อกุ กาบาต คือ วตั ถขุ นาดเลก็ ในอวกาศที่ผา่ นบรรยากาศลงมาถงึ พืน้ โลก ขณะ อยใู่ นอวกาศเรียกวา่ \"สะเกด็ ดาว\" ขณะเข้าสบู่ รรยากาศเรียกวา่ \"ดาวตก\" เรา สามารถพบอกุ กาบาตได้บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวองั คาร อกุ กาบาต ประกอบไปด้วยธาตคุ าร์บอน ปะปนอยใู่ นอกุ กาบาตบางชนิดเทา่ นนั้ ซ่ึงจะเป็น ชนิดเหลก็ และนิกเกิล การศกึ ษาอกุ กาบาตช่วยให้มนษุ ย์ได้สืบค้นถงึ ประวตั คิ วามเป็นมาของโลกดาว เคราะห์ดวงพิเศษสดุ ที่เราถือกาเนิดและอาศยั กนั อย่ทู กุ วนั นีไ้ ด้ดขี นึ ้ ในบางคืนท่ี ท้องฟ้ าปลอดโปร่งแจ่มใส เราอาจเหน็ แสงวบู วาบตกลงมาจากฟากฟ้ าเรียกกันว่า ดาวตกหรือผีพงุ่ ไต้แตค่ วามจริงดาวตกเป็นวตั ถแุ ขง็ จาพวกหินหรือเหลก็ ตกเข้าสู่ เขตบรรยากาศโลกด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรตอ่ ชวั่ โมงแรงเสียดสีกับ บรรยากาศทาให้ร้อนจดั หลอมตวั เป็นลกู ไฟสว่างมีควนั เป็นทางยาว หากวตั ถชุ ิน้ เลก็ จะลกุ ไหม้สวา่ งกลายเป็นไอสลายไป หมด แตบ่ างก้อนที่มีขนาดใหญ่จะมี เสียงดงั คล้ายเสยี งยิงปื นหรือเสยี งฟ้ าผา่ เมื่อว่ิงผา่ นอากาศตกลงมา และหาก สลายตวั ไมห่ มด มกั เหลือซากตกลงถึงพืน้ โลก เรียกวา่ ลกู อกุ กาบาต มีขนาดเลก็ ใหญ่แตกตา่ งกนั ตงั้ แตน่ า้ หนกั เพียงไมก่ ี่กรัมจนถงึ ก้อนหน่ึงหนกั หลาย ๆ ตนั อกุ กาบาตแบง่ ตามลกั ษณะเนือ้ ในเป็น 3 แบบ คือ อกุ กาบาต ชนิด หนิ เหลก็ และ เหลก็ ปนหิน สว่ นใหญ่ ท่ีพบเป็นอกุ กาบาต ชนิดหิน อกุ กาบาตชนิดหนิ สว่ นใหญ่มีลกั ษณะเหมือนหนิ บนโลก และมกั สลายตวั เพราะ ลมฟ้ าอากาศ ผ้เู ช่ียวชาญเทา่ นนั้ ที่จะบอกได้ว่าเป็นลกู อกุ กาบาต การวเิ คราะห์ ทาได้โดยตดั ผิวอกุ กาบาตให้เรียบ ขดั มนั แล้วใช้กรดอยา่ งออ่ นกดั พบโครงสร้าง รูปผลกึ ปรากฏเห็นชดั บนผิวเรียบนนั้ ซงึ่ เป็นลกั ษณะ เฉพาะตวั ของอกุ กาบาต
ปกติบนท้องฟ้ าเราจะเห็นดาวตกเป็นประจาอยแู่ ล้ว มากบ้างน้อยบ้างไม่ แนน่ อน ซง่ึ ดาวตกเหลา่ นนั้ คอื เศษฝ่ นุ หรือสะเก็ดดาวชิน้ เลก็ ๆขนาดเทา่ เม็ด ทราย เม่ือเคลือ่ นที่หรือลอ่ งลอยเข้ามาแรงดงึ ดดู ของโลก ก็จะถกู ดดู เข้ามาใน ชนั้ บรรยากาศด้วยความเร็วสงู เสียดสแี ละลกุ ไหม้หมดไป เป็นแสงเพียงวาบ เดียว ท่ีระดบั ความสงู หลายร้อยกิโลเมตรจากพนื ้ โลก ท่ีเราเรียกว่า ดาวตก หรือ ผีพงุ่ ใต้ แตห่ ากเศษฝ่ นุ เหลา่ นนั้ มีขนาดใหญ่มาก และเผาไหม้ไมห่ มด ในชนั้ บรรยากาศ ก็จะตกลงมาถึงพืน้ โลกได้ เราจะเรียกวา่ อกุ กาบาต ฝนดาวตก จะแตกตา่ งจากดาวตกทวั่ ไป คอื เป็นดาวตกที่มีปริมาณการตก มากกวา่ หรือถ่ีกวา่ ดาวตกปกติ โดยมีทิศทางเหมือนมาจากจดุ ๆหนึ่งบน ท้องฟ้ าเหมือนกนั เรียกวา่ จดุ กาเนิด(Radiant) เม่ือจดุ กาเนิดนนั้ ตรง หรือใกล้เคียงกบั กลมุ่ ดาวอะไร ก็จะเรียกช่ือฝนดาวตกตามกลมุ่ ดาวนนั้ ๆ หรือ ดาวที่อยใู่ กล้กลมุ่ ดาวนนั้ เช่น ฝนดาวตกเปอร์เซอดิ (กลมุ่ ดาวเปอร์เซ อสุ ) หรือ ฝนดาวตกเอต้าอะควอลดิ (ดาวเอต้าคนแบกหม้อนา้ ) แบบนีเ้ป็น ต้น ซง่ึ ชว่ งเวลาการตกนนั้ สามารถกาหนดได้ เชน่ ตรงกบั วนั ที่เทา่ ไหร่ เวลา เท่าไหร่ เป็นต้น ซง่ึ มีฝนดาวตกบางชนิดท่ีมีปริมาณการตกน้อย คล้ายกบั ดาวตกทว่ั ไป แตก่ ็มีบางชนิดท่ีมีปริมาณมาก และทิศทางท่ีแนน่ อน มีลกั ษณะคล้ายกบั ฝน ตก จงึ เรียกกนั วา่ ฝนดาวตก
หลมุ ดา (black hole) หมายถงึ เทหวตั ถใุ นเอกภพท่ีมีแรงโน้มถ่วงสงู มาก ไมม่ ีอะไรออกจากบริเวณนีไ้ ด้แม้แตแ่ สง เราจงึ มองไมเ่ หน็ ใจกลางของหลมุ ดา หลมุ ดาจะมีพืน้ ที่หนงึ่ ท่ีเป็นขอบเขตของตวั เองเรียกวา่ ขอบฟ้ าเหตกุ ารณ์ ท่ี ตาแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ ถ้าหากวตั ถหุ ลดุ เข้าไปในขอบฟ้ าเหตกุ ารณ์ วตั ถุ จะต้องเร่งความเร็วให้มากกวา่ ความเร็วแสงจงึ จะหลดุ ออกจากขอบฟ้ า เหตกุ ารณ์ได้ แตเ่ ป็นไปไมไ่ ด้ที่วตั ถใุ ดจะมีความเร็วมากกวา่ แสง วตั ถนุ นั้ จงึ ไม่ สามารถออกมาได้อีกตอ่ ไป เม่ือดาวฤกษ์ที่มีมวลมหมึ าแตกดบั ลง มนั อาจจะทิง้ สงิ่ ที่ดามืดท่ีสดุ ทวา่ มี อานาจทาลายล้างสงู สดุ ไว้เบือ้ งหลงั นกั ดาราศาสตร์เรียกสง่ิ นีว้ า่ \"หลมุ ดา\" เรา ไมส่ ามารถมองเห็นหลมุ ดาด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เน่ืองจากหลมุ ดาไม่ เปลง่ แสงหรือรังสีใดเลย แตส่ ามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ และ คลนื่ โน้มถ่วงของหลมุ่ ดา (ในเชิงทฤษฎี โครงการ แอลไอจีโอ) และจนถงึ ปัจจบุ นั ได้ค้นพบหลมุ ดาในจกั รวาลแล้วอยา่ งน้อย 6 แห่ง หลมุ ดาเป็นซากที่สนิ ้ สลายของดาวฤกษ์ที่ถงึ อายขุ ยั แล้ว สสารที่เคยประกอบ กนั เป็นดาวนนั้ ได้ถกู อดั ตวั ด้วยแรงดงึ ดดู ของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวล หนาแนน่ ท่ีมีขนาดเลก็ ย่ิงกวา่ นิวเคลยี สของอะตอมเดียว ซงึ่ เรียกวา่ เอกภาวะ
ระบบสรุ ิยะ คอื ระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศนู ย์กลาง และมีดาว เคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจร อยโู่ ดยรอบ เมื่อ สภาพแวดล้อมเอือ้ อานวย ตอ่ การดารงชีวติ สงิ่ มีชีวิตก็จะเกิดขนึ ้ บนดาวเคราะห์เหลา่ นนั้ หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกวา่ ดวงจนั ทร์ (Satellite) นกั ดาราศาสตร์เชื่อวา่ ในบรรดาดาว ฤกษ์ทงั้ หมดกวา่ แสนล้านดวงในกาแลกซ่ีทางช้างเผือก ต้องมี ระบบสรุ ิยะที่เอือ้ อานวยชีวิตอยา่ ง ระบบสรุ ิยะท่ีโลกของเราเป็น บริวารอยอู่ ยา่ งแน่นอน เพียงแตว่ า่ ระยะทางไกลมากเกินกวา่ ความสามารถในการติดตอ่ จะทาได้
ดาวเคราะห์ (Planet) คือวตั ถขุ นาดใหญ่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก่อนคริสต์ ทศวรรษ 1990 มีดาวเคราะห์ที่เรารู้จกั เพียง 8 ดวง (ทงั้ หมดอยใู่ นระบบสรุ ิยะ) ปัจจบุ นั เรารู้จกั ดาวเคราะห์ใหมอ่ ีกมากกวา่ 100 ดวง ซงึ่ เป็นดาวเคราะห์นอก ระบบ คือ โคจรรอบดาวฤกษ์ การจาแนกดาวเคราะห์ แบง่ ได้ 2 ประเภท ได้แก่-ดาวเคราะห์ชนั้ ใน (Inner Planets) เป็นดาวเคราะห์ขนาดเลก็ มีความหนาแน่นสงู และพืน้ ผิวเป็นของแข็ง ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็นธาตหุ นกั มีบรรยากาศอยเู่ บาบาง ทงั้ นีเ้นื่องจากอทิ ธิพลจากความร้อนของดวงอาทิตย์และลมสรุ ิยะ ทาให้ธาตุเบาเสยี ประจุ ไมส่ ามารถดารงสถานะอยไู่ ด้ ดาวเคราะห์ชนั้ ในบางครัง้ เรียกวา่ดาวเคราะห์พืน้ แข็ง “Terrestrial Planets\"เนื่องจากมีพืน้ ผิวเป็ นของแข็งคล้ายคลงึ กบั โลก ดาวเคราะห์ชนั้ ในมี 4 ดวง คอื ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ โลก และดาวองั คาร-ดาวเคราะห์ชนั้ นอก (Outer Planets) เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่มีความหนาแนน่ ต่า เกิดจากการสะสมตวั ของธาตเุ บาอยา่ งช้าๆ ทานองเดียวกบัการก่อตวั ของก้อนหิมะ เนื่องจากได้รับอทิ ธิพลของความร้อนและลมสรุ ิยะจากดวงอาทิตย์เพียงเลก็ น้อย ดาวเคราะห์พวกนีจ้ งึ มีแก่นขนาดเลก็ หอ่ ห้มุ ด้วยก๊าซจานวนมหาสาร บางครัง้ เราเรียกดาวเคราะห์ประเภทนีว้ า่ ดาวเคราะห์ก๊าซยกั ษ์ (GasGiants) หรือ Jovian Planets ซง่ึ หมายถงึ ดาวเคราะห์ที่มีคณุ สมบตั ิคล้ายดาวพฤหสั บดี ดาวเคราะห์ชนั้ นอกมี 4 ดวงคอื ดาวพฤหสั บดีดาวเสาร์ ดาวยเู รนสั และดาวเนปจนู
ดาวพธุ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ซง่ึ อยใู่ กล้กบั ดวงอาทิตย์มากท่ีสดุ เป็นดาว เคราะห์ขนาดเลก็ และไมม่ ีดวงจนั ทร์เป็นบริวาร โครงสร้างภายในของดาวพธุ ประกอบไปด้วยแกนเหลก็ ขนาดใหญ่มีรัศมีประมาณ 1,800 ถงึ 1,900 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชนั้ ท่ีเป็นซลิ เิ กต (ในทานองเดียวกบั ที่แกนของโลกถกู ห่อห้มุ ด้วยแมน เทิลและเปลอื ก) ซง่ึ หนาเพียง 500 ถึง 600 กิโลเมตร บางสว่ นของแกนอาจจะยงั หลอมละลายอยู่ ดาวพธุ เป็นดาวเคราะห์ท่ีอยใู่ กล้ดวงอาทิตย์มากท่ีสดุ จงึ ปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้ าไม่ ไกลจากตาแหนง่ ของดวงอาทติ ย์ ดาวพธุ มีแกนหมนุ ท่ีเกือบตงั้ ฉากกบั ระนาบการ โคจรรอบดวงอาทติ ย์ ดาวพธุ หมนุ รอบตวั เองช้ามาก โดยจะหมนุ รอบตวั เองครบ 3 รอบเม่ือโคจรรอบดวงอาทติ ย์ครบ 2 รอบ ดาวพธุ ไมม่ ีชนั้ บรรยากาศหอ่ ห้มุ ทาให้ พืน้ ผวิ ดาวพธุ มีการเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิอยา่ งมาก ตงั้ แต่ –183 ถงึ 427องศา เซลเซียส
ดาวศกุ ร์ (Venus) อยหู่ า่ งจากดวงอาทิตย์เป็นลาดบั ท่ี 2 เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ เป็นอนั ดบั ท่ี 6 ไม่มีดวงจนั ทร์บริวาร ดาวศกุ ร์มีลกั ษณะท่ีคล้ายคลงึ กบั โลก จนได้ช่ือวา่ เป็น ดาวเคราะห์ฝาแฝดกบั โลกของเรา โครงสร้างภายในของดาวศกุ ร์ ประกอบด้วย แกนกลางที่ เป็นเหลก็ มีรัศมีประมาณ 3,000 กิโลเมตร หอ่ ห้มุ ด้วยชนั้ แมนเทลิ ท่ีมีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร และเปลอื กแขง็ ท่ปี ระกอบด้วยหินซิลิเกต ชนั้ บรรยากาศของดาวศกุ ร์นนั้ มคี วามหนาแนน่ มาก ความกดอากาศบนพืน้ ผิวดาวศกุ ร์สงู กวา่ ความกดอากาศบนพืน้ ผิวโลก 90 เทา่ หรือมีคา่ เทา่ กบั ความดนั ทีใ่ ต้ทะเลลึก 1 กิโลเมตร บรรยากาศของดาวศกุ ร์ประกอบไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสว่ นใหญ่ และมีชนั้ เมฆ อยหู่ ลายชนั้ ทปี่ ระกอบไปด้วยแก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (กรดกามะถนั ) ซงึ่ มีความหนาหลาย กิโลเมตร ทาให้เราไม่สามารถมองเห็นพืน้ ผิวดาวศกุ ร์ ชนั้ บรรยากาศท่ีหนาทบึ ทาให้เกิด สภาวะเรือนกระจกกกั เก็บความร้อนไว้ ทาให้อณุ หภมู ิพืน้ ผิวสงู ถงึ 470°C จะเหน็ ได้วา่ พืน้ ผิวดาวศกุ ร์ร้อนกวา่ พืน้ ผิวดาวพธุ มาก ทงั้ ๆ ท่อี ยไู่ กลจากดวงอาทิตย์กวา่ ดาวพธุ ถงึ สอง เทา่ ก็ตาม ดาวศกุ ร์ปรากฏเป็นเสีย้ วเชน่ เดยี วกบั ดวงจนั ทร์ โดยเราสามารถสงั เกตได้ด้วยกล้อง โทรทรรศน์ดาวศกุ ร์นนั้ มีขนาดใหญ่กวา่ และอยใู่ กล้โลกมากกวา่ ดาวพธุ เราจงึ สงั เกตเหน็ ดาว ศกุ ร์สวา่ งจ้ากวา่ ดาวพธุ มาก มีความสวา่ งเป็นรองจากดวงจนั ทร์ในยามค่าคนื เมื่อปรากฏให้ เห็นในเวลาใกล้ค่าเรียกวา่ ดาวประจาเมือง และเรียกวา่ ดาวประกายพรึก เม่ือปรากฏให้เห็น ในเวลารุ่งเช้า
โลก (The Earth) เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสรุ ิยะท่ีมีสภาวะแวดล้อม เอือ้ อานวยตอ่ การดารงชีวติ ของสิ่งมีชีวิต โลกอยหู่ า่ งจากดวงอาทิตย์เป็นลาดบั ที่ 3 และมี ขนาดใหญ่เป็นอนั ดบั ท่ี 5 โลกมีสณั ฐานเป็นทรงกลมแป้ นมีรัศมีเฉลยี่ 6,371 กิโลเมตร โครงสร้างภายในของโลก ประกอบไปด้วยแกน่ ชนั้ ในท่ีเป็นเหลก็ มีรัศมีประมาณ 1,200 กิโลเมตร หอ่ ห้มุ ด้วยแก่นชนั้ นอกที่เป็นของเหลว (Liquid) ประกอบด้วยเหลก็ และนิเกิล มี ความหนาประมาณ 2,200 กิโลเมตร ถดั ขนึ ้ มาเป็นชนั้ แมนเทิลซง่ึ เป็นของแข็งเนือ้ ออ่ นที่ ยืดหยนุ่ ได้ (Plastic) ประกอบไปด้วย เหลก็ แมกนีเซียม ซลิ กิ อน และธาตอุ ่ืนๆ มีความ หนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร เปลอื กโลกเป็นของแข็ง (Solid) มีองค์ประกอบสว่ นใหญ่ เป็นเฟลด์สปาร์ และควอตช์ (ซลิ ิกอนไดออกไซด์) บรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน 77 % ออกซเิ จน 21% ท่ีเหลือเป็นอาร์กอน คาร์บอนไดออกไซด์ และนา้ คาร์บอนไดออกไซด์ช่วยในการกกั เก็บความร้อนไว้ภายใต้ชนั้ บรรยากาศโดยอาศยั ภาวะเรือนกระจก ทาให้โลกมีความอบอนุ่ ไมห่ นาวเยน็ จนเกินไป สาหรับส่งิ มีชีวิต อยา่ งไรก็ตามถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพมิ่ ขนึ ้ มากขนึ ้ ก็จะทาให้เกิด สภาวะโลกร้อน ซง่ึ อาจสง่ ผลให้สง่ิ มีชีวิตไม่สามารถดารงอยไู่ ด้ นอกจากนีโ้ ลกยงั มี สนามแมเ่ หลก็ ซง่ึ เกิดจากการเคล่ือนที่ของแก่นชนั้ นอกซงึ่ เป็นเหลก็ เหลว ถึงแม้วา่ สนามแมเ่ หลก็ โลกจะมีความเข้มไมม่ าก แตก่ ็ชว่ ยปกป้ องไมใ่ ห้อนภุ าคที่มีพลงั งานสงู จาก ดวงอาทิตย์ (Solar wind) เดนิ ทางผ่านมาที่ผิวโลกได้ โดยสนามแมเ่ หลก็ จะกกั ให้ อนภุ าคเดนิ ทางไปตามเส้นแรงแมเ่ หลก็ และเข้าสชู่ นั้ บรรยากาศได้เพียงที่ขวั้ โลกเหนือและขวั้ โลกใต้เทา่ นนั้ เมื่อ อนภุ าคพลงั งานสงู ปะทะกบั โมเลกลุ ของแก๊สในชนั้ บรรยากาศ ทาให้เกิด แสงสีสวยงาม สงั เกตเห็นบนท้องฟ้ ายามค่าคืน เรียกวา่ \"แสงเหนือแสงใต้\" (Aurora)
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางทวนเขม็ นาฬกิ าเม่ือมองจากเหนือขวั้ โลกเหนือของโลกและดวงอาทิตย์ มีลกั ษณะการโคจรเป็นรูปวงรีใช้เวลาใน การโคจร 1 รอบ 365.2564 วนั โดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สดุ 147.1 ล้านกิโลเมตร และระยะไกลดวงอาทิตย์มากที่สดุ 152.1 ล้านกิโลเมตร โดย แกนหมนุ ของโลก(ขวั้ เหนือ-ใต้)ทามมุ เอียงกบั ระนาบการโคจรรอบดวง อาทติ ย์ (ecliptic plane) 23.5 องศา การท่ีแกนโลกมีความเอียง น่ีเองทาให้แตล่ ะพืน้ ท่ีบนโลกได้รับแสงจากดวงอาทติ ย์ไมเ่ ท่ากนั ในแตล่ ะวนั ใน 1 ปี จงึ ทาให้เกิดฤดกู าลขนึ ้ บนโลกนนั่ เอง ในฤดรู ้อนของซีกโลกเหนือ ขวั้ โลกเหนือจะหนั เข้าหาดวงอาทติ ย์ และเม่ือขวั้ โลกเหนือหนั ออกจากดวง อาทติ ย์ก็จะเกิดฤดหู นาวขนึ ้ ที่ซีกโลกเหนือ
ดาวองั คาร (Mars) เป็ นดาวเคราะห์ที่อยหู่ า่ งจากดวงอาทิตย์เป็นอนั ดบั ที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ ทงั้ หมด ดาวองั คารมีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวองั คารมีโครงสร้างภายใน ประกอบด้วยแก่นของแขง็ มีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร หอ่ ห้มุ ด้วยชนั้ แมนเทิลท่ีเป็นหนิ หนืดหนา ประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลอื กแขง็ เช่นเดยี วกบั โลก ดาวองั คารมีสีแดงเนื่องจากพนื ้ ผวิ ประกอบด้วยออกไซด์ของเหลก็ (สนิมเหลก็ ) พืน้ ผวิ ของดาวองั คารเตม็ ไปด้วยหบุ เหวตา่ งๆ มากมาย หบุ เหวขนาดใหญ่ช่ือ หบุ เหวมาริเนอริส (Valles Marineris) มี ความยาว 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร ลกึ 8 กิโลเมตร นอกจากนีด้ าวองั คารยงั มภี เู ขาไฟท่ีสงู ท่ีสดุ ในระบบสรุ ิยะชื่อ ภเู ขาไฟโอลมิ ปัส (Mount Olympus) สงู 25 กิโลเมตร ฐานท่ีแผอ่ อกไปมี รัศมี 300 กิโลเมตร ดาวองั คารมีบรรยากาศเบาบางมาก ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสว่ นใหญ่ซงึ่ เกิดจากการระเหดิ ของนา้ แขง็ แห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ปกคลมุ อยทู่ วั่ ไปบนพนื ้ ผวิ ดาวองั คาร ท่ีบริเวณขวั้ เหนือและขวั้ ใต้ของดาวมีนา้ แข็ง(Ice water)ปกคลมุ อยตู่ ลอดเวลา ดาวองั คารเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นท่ีชื่นชอบ ของผ้แู ตง่ นิยายวทิ ยาศาสตร์ในหลายสบิ ปี ท่ีผา่ นมา ตงั้ แตม่ ีการสงั เกตดาวองั คารผา่ นกล้องโทรทรรศน์ และพบรูปร่างพืน้ ผวิ ที่คล้ายกบั คลองสง่ นา้ ของมนษุ ย์ดาวองั คาร แตห่ ลงั จากท่ีองค์การนาซาได้สง่ ยานไป สารวจดาวองั คารอยา่ งตอ่ เน่ือง ทาให้เราทราบวา่ ลกั ษณะดงั กลา่ วเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขนึ ้ ในธรรมชาติ อยา่ งไรก็ตามจากการสารวจพนื ้ ผิวดาวองั คารโดยยานไวกิงออร์บเิ ตอร์ 1 และยานมาร์สโกลบอลเซอร์เว เยอร์พบร่องรอยท้องแมน่ า้ ท่ีเหือดแห้ง นกั วิทยาศาสตร์ตงั้ สมมตฐิ านวา่ ถ้าเคยมสี ิ่งมชี วิ ิตอยบู่ นดาว องั คารมากอ่ น ก็น่าจะมซี ากหรือฟอสซลิ ของสง่ิ มีชีวติ เหลา่ นนั้ ใต้ท้องนา้ หรือใต้นา้ แข็งที่ขวั้ ทงั้ สองของดาว องั คาร
ดาวพฤหสั (Jupiter) เป็นวตั ถทุ ้องฟ้ าท่ีมีความสวา่ งมากเป็นอนั ดบั ที่ 4 รองจากดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาวศกุ ร์ และเป็นท่ีรู้จกั กนั มาตัง้ แตย่ คุ ก่อน ประวตั ิศาสตร์ ดาวพฤหสั บดถี กู สารวจเป็นครัง้ แรกโดยยานไพโอเนียร์ 10 ในปี พ.ศ.2516 ตดิ ตามด้วย ไพโอเนียร์ 11, วอยเอเจอร์ 1, วอยเอเจอร์ 2, ยลู ซิ สิ และกาลิ เลโอ ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะห์แก๊สซง่ึ บรรยากาศหนาแน่น มีองค์ประกอบหลกั เป็น ไฮโดรเจน 90% และฮีเลยี ม 10% ปะปนด้วยมีเทน นา้ และแอมโมเนียจานวนเลก็ น้อย ลกึ ลงไปด้านลา่ งเป็นแมนเทิลชนั้ นอกซง่ึ ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว และ แมนเทิลชนั้ ในที่ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนซงึ่ มีสมบตั เิ ป็นโลหะ และแก่นกลางท่ีเป็นหนิ แข็งมีขนาดเป็น 2 เทา่ ของโลก ดาวพฤหสั บดีมีขนาดใหญ่กวา่ โลกมาก แตห่ มนุ รอบตวั เองหนงึ่ รอบใช้เวลาไม่ถึง 10 ชวั่ โมง แรงหนีศนู ย์กลางเหว่ียงให้ดาวมีสณั ฐานเป็นทรงแป้ น และทาให้การหมนุ เวียน ของชนั้ บรรยากาศแบง่ เป็นแถบสสี ลบั กนั แถบเหลา่ นีเ้ป็นเซลล์การพาความร้อน (Convection cell) แถบสีออ่ นคอื อากาศร้อนยกตวั แถบสีเข้มคอื อากาศเย็นจม ตวั ลง นอกจากนนั้ ยงั มีจดุ แดงใหญ่ (Great Red Spot) เป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ ซง่ึ มีอาณาบริเวณกว้าง 25,000 กิโลเมตร สามารถบรรจโุ ลกได้สองดวง จดุ แดงใหญ่เป็น พายหุ มนุ ซง่ึ มีอายมุ ากกวา่ 300 ปี
ดาวพฤหสั บดีมีดวงจนั ทร์บริวารที่ถกู ค้นพบแล้วมากถึง 62 ดวง แตด่ วงจนั ทร์สว่ น ใหญ่มีขนาดเลก็ มากและมีรูปร่างไม่เป็นทรงกลม เน่ืองจากสว่ นใหญ่เป็ นดาว เคราะห์น้อยหรือดาวหางซงึ่ ถกู แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหสั บดจี บั มาเป็นบริวารใน ภายหลงั ไมไ่ ด้ววิ ฒั นาการมาพร้อมๆ กบั ดาวพฤหสั บดี ยกเว้น ดวงจนั ทร์ขนาดใหญ่ 4 ดวง ซงึ่ ถกู ค้นพบโดยกาลิเลโอ จงึ ถกู ขนานนามวา่ ดวงจนั ทร์กาลเิ ลียน (Galilean moons) ซง่ึ ได้แก่ ไอโอ ยโู รปา แกนีมีด คาลสิ โต
ดาวเสาร์(Saturn)เป็นดาวเคราะห์ลาดบั ที่ 6 ในระบบสรุ ิยะซง่ึ มีขนาดใหญ่เป็น อนั ดบั ท่ีสองรองจากดาวพฤหสั บดี โดยเป็นดาวเคราะห์ที่อยหู่ ่างไกลจากโลกมากท่ีสดุ ที่สามารถมองเหน็ จากโลกได้ด้วยตาเปลา่ องค์ประกอบหลกั ของดาวเสาร์จะเป็ นแก๊ส และของเหลว ดาวเสาร์มีลกั ษณะเป็นทรงกลมแป้ นสงู กวา่ ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ กลา่ วคือมีเส้นผา่ นศนู ย์กลางในแนวเส้นศนู ย์สตู ร (60,268 กิโลเมตร) มากกวา่ เส้น ผา่ นศนู ย์กลางในแนวขวั้ (54,364 กิโลเมตร) เกือบ 10 เปอร์เซนต์ ทงั้ นีเ้นื่องมากจาก ดาวเสาร์มีการหมนุ โคจรรอบตวั เองที่เร็วมาก (ประมาณ 10.66 ชว่ั โมง) ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความสวยงามเม่ือมองผ่านกล้องโทรทรรศน์เนื่องจากจะ มองเหน็ วงแหวนท่ีล้อมรอบดาวเสาร์ โดยวงแหวนของดาวเสาร์นนั้ จะประกอบไปด้วย ก้อนหินและก้อนนา้ แข็งซงึ่ สามารถสะท้อนแสงได้ดี จงึ สามารถสงั เกตเห็นวงแหวนได้ โดยง่าย วงแหวนของดาวเสาร์นีม้ ีความกว้างวดั จากขอบในสดุ ถงึ ขอบนอกสดุ ถึง ประมาณ 65,000 กิโลเมตร แตม่ ีความหนาโดยเฉลี่ยเพียงประมาณ 500 กิโลเมตร
วงแหวนดาวเสาร์ ดาวเสาร์อยหู่ า่ งจากดวงอาทิตย์ 10 AU จงึ ไมถ่ กู รบกวนจากลมสรุ ิยะจากดวง อาทติ ย์ จงึ ไมส่ ญู เสียบรรยากาศชนั้ นอกและมีมวลมาก มวลมากยอ่ มมีแรงโน้มถว่ ง มาก สามารถดดู จบั ดาวหางท่ีโคจรผา่ นเข้ามา ดาวหางมีองค์ประกอบเป็นนา้ แข็ง จงึ เปราะมาก เม่ือดาวหางเข้าใกล้ดาวเสาร์ แรงโน้มถว่ งมหาศาลจะทาให้เกิดแรง ไทดลั ภายในดาวหาง ด้านท่ีหนั เข้าหาดาวเสาร์จะถกู แรงกระทามากกวา่ ด้านอยู่ ตรงข้าม ในท่ีสดุ ดาวหางไมส่ ามารถทนทานตอ่ แรงเครียดภายใน จงึ แตกเป็นเศษ เลก็ เศษน้อยสะสมอยใู่ นวงโคจรรอบดาวเสาร์และกลายเป็นวงแหวนในที่สดุ ด้วย เหตนุ ีว้ งแหวนของดาวเสาร์จงึ ประกอบด้วยอนภุ าคจานวนมหาศาลซงึ่ มีวงโคจร อิสระ มีขนาดตงั้ แตเ่ ซนติเมตรไปจนหลายร้อยเมตร สว่ นใหญ่ประกอบด้วยนา้ แขง็ ปะปนอยกู่ บั เศษหนิ เคลอื บนา้ แข็ง วงแหวนของดาวเสาร์บางมาก แม้จะมีขนาด เส้นผา่ นศนู ย์กลางยาวถงึ 250,000 กิโลเมตร แตม่ ีความหนาไมถ่ งึ 1.5 กิโลเมตร วงแหวนแตล่ ะชนั้ มีช่ือเรียตามอกั ษรภาษาองั กฤษ เช่น วงแหวนสวา่ ง (A และ B) และวงสลวั (C) ช่องระหวา่ งวงแหวน A และ B เรียกวา่ ช่องแคสสนิ ี (Cassini division )
ยเู รนสั (Uranus) ถกู ค้นพบครัง้ แรกโดย วิลเลีย่ ม เฮอส์เชล ในปี พ.ศ.2534 สอง ร้อยปี ตอ่ มา ยานวอยเอเจอร์ 2 ทาการสารวจดาวยเู รนสั ในปี พ.ศ. 2529 พบวา่ บรรยากาศของดาวยเู รนสั ประกอบด้วยไฮโดรเจน 83%, ฮีเลียม 15% และมีเทน 2% ดาวยเู รนสั มีสีฟ้ าเนื่องจากแก๊สมีเทนดดู กลนื สีแดงและสะท้อนสีนา้ เงิน บรรยากาศมีลม พดั แรงมาก ลกึ ลงไปท่ีแกน่ ของดาวหอ่ ห้มุ ด้วยโลหะไฮโดรเจนเหลว ขณะที่ดาวเคราะห์ สว่ นใหญ่มีแกนหมนุ รอบตวั เองเกือบตงั้ ฉากกบั ระนาบสรุ ิยวถิ ีแตแ่ กนของดาวยเู รนสั วางตวั เกือบขนานกบั สรุ ิยวถิ ีดงั นนั้ อณุ หภมู บิ ริเวณขวั้ ดาวจงึ สงู กว่าบริเวณเส้นศนู ย์สตู ร ดาวยเู รนสั มีวงแหวนเชน่ เดยี วกบั ดาวเคราะห์ชนั้ นอกดวงอื่นๆ วงแหวนของดาวยเู รนสั มี ความสวา่ งไมม่ าก เน่ืองจากประกอบด้วยอนภุ าคขนาดเลก็ มีขนาดตงั้ แต่ฝ่ นุ ผงจนถงึ 10 เมตร ดาวยเู รนสั มีดวงจนั ทร์บริวารอย่างน้อย 27 ดวง ดวงจนั ทร์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่าง เป็นทรงกลมได้แก่ มิรันดา แอเรียลอมั เบรียล ไททาเนีย และ โอเบรอน ในปี ค.ศ.1986 เม่ือยานสารวจวอยเอเจอร์ 2 โคจรผ่านดาวยเู รนสั ได้ถา่ ยภาพดาวยเู รนสั พร้อมวงแหวนและดาวบริวารสง่ กลบั มายงั โลกเป็นครัง้ แรก อยา่ งไรก็ตามวงแหวนของ ดาวยเู รนสั มีความมืดมากเมื่อเทียบกบั วงแหวนของดาวเสาร์ เราจงึ สงั เกตเุ หน็ วงแหวน ของดาวยเู รนสั ได้ยาก โดยวงแหวนท่ีสวา่ งท่ีสดุ คอื วงแหวน ε
ดาวเนปจนู (Neptune)ดาวเนปจนู มีองค์ประกอบคล้ายคลงึ กบั ดาวยเู รนสั คอื มีบรรยากาศเป็นไฮโดรเจนและฮีเลยี ม และมีมีเทนเจือปนอยจู่ งึ มีสนี า้ เงิน ดาวเนปจนู มีขนาดเลก็ กวา่ ดาวยเู รนสั เลก็ น้อย แตม่ ีความหนาแนน่ มากกวา่ โดยที่แก่นของดาว เนปจนู เป็นของแขง็ มีขนาดใกล้เคียงกบั โลกของเรา ในชว่ งเวลาที่ยานวอยเอเจอร์ 2 เข้าใกล้ดาวเนปจนู ได้ถา่ ยภาพ จดุ มืดใหญ่ (Great dark spot) ทางซีกใต้ ของดาวมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนงึ่ ของจดุ แดงใหญ่บนดาวพฤหสั บดี (ประมาณ เทา่ กบั เส้นผา่ นศนู ย์กลางของโลก) จดุ มืดใหญ่นีเ้ป็นพายหุ มนุ เช่นเดียวกบั จดุ แดง ใหญ่บนดาวพฤหสั บดี มีกระแสลมพดั แรงท่ีสดุ ในระบบสรุ ิยะ ความเร็วลม 300 เมตร/ วินาที หรือ 1,080 กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง ดาวเนปจนู มีวงแหวน 4 วง แตล่ ะวงมีความสว่างไม่มากนกั เพราะประกอบด้วย อนภุ าคท่ีเป็นผงฝ่ นุ ขนาดเลก็ จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกบั วงแหวน ของดาวพฤหสั บดีและดาวยเู รนสั ดาวเนปจนู มีดวงจนั ทร์บริวารท่ีค้นพบแล้ว 13 ดวง ดวงจนั ทร์ดวงใหญ่ท่ีสดุ ช่ือ \"ทายตนั \" (Triton) ทายตนั เคล่อื นที่ในวงโคจรโดยมี ทิศทางสวนกบั การหมนุ รอบตวั เองของดาวเนปจนู ซงึ่ อาจเป็นเพราะถกู แรงโน้มถว่ ง ของดาวเนปจนู จบั เป็นบริวารภายหลงั จากการก่อตวั ของระบบสรุ ิยะ นกั ดาราศาสตร์ พยากรณ์วา่ ทายตนั จะโคจรเข้าใกล้ดาวเนปจนู เร่ือยๆ และจะพงุ่ เข้าชนดาวเนปจนู ใน ท่ีสดุ (อาจใช้เวลาเกือบ 100 ล้านปี )
ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planet) หมายถึง เทห์วตั ถทุ ่ีมีสมบตั ดิ งั ต่อไปนี ้ ครบถ้วน1. โคจรรอบดวงอาทติ ย์2. มีมวลมากพอท่ีจะแรงโน้มถ่วงของดาวสามารถเอาชนะความแข็งของ เนือ้ ดาวสง่ ผลให้ดาวอยใู่ นสภาวะสมดลุ ไฮโดรสแตติก (hydrostatic equilibrium)เชน่ ทรงกลม หรือเกือบกลม3. ไมส่ ามารถกวาดวตั ถใุ นบริเวณข้างเคยี งไปได้4. ไมใ่ ชด่ วงจนั ทร์บริวารของดาวเคราะห์ ดาวพลโู ต ถกู ลดระดบั ให้เป็นดาวเคราะห์แคระ เนื่องจากมีวงโคจรเป็นรูปวงรี บางสว่ น ซ้อนทบั วงโคจรของดาวเนปจนู สว่ นดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สดุ คอื ดาวซี รีสถกู ยกระดบั ให้เป็นดาวเคราะห์แคระ เพราะมีขนาดคอ่ นข้างใหญ่
หลงั จากท่ีมีการค้นพบยเู รนสั เป็นดาวเคราะห์ลาดบั ที่ 7 ของระบบสรุ ิยะ ก็ได้มีการค้นพบ ดาวเคราะห์ขนาดเลก็ ชื่อ \"ซีรีส\" (Ceres) ในปี พ.ศ.2344 และตอ่ จากนนั้ อีกไม่นานก็ ได้มีการค้นพบดาวเคราะห์แบบนีอ้ ีก 4 ดวงคือ พลั ลาส จโู น เวสตา แอสเตรีย จนกระทง่ั ได้ มีการค้นพบดาวเนปจนู ในปี พ.ศ.2389 จงึ ปรับลดสถานะของดาวเคราะห์ขนาดเลก็ ทงั้ ห้า ดวงเรียกวา่ \"ดาวเคราะห์น้อย\" (Minor planets) ตอ่ มาเม่ือมีการพฒั นากล้อง โทรทรรศน์ให้มีขนาดใหญ่ขนึ ้ ก็มีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยจานวนมากบริเวณระหวา่ งวง โคจรของดาวองั คารและดาวพฤหสั บดี และเมื่อนกั ดาราศาสตร์ทราบวา่ ดาวเคราะห์น้อย เป็นเพียงวสั ดทุ ่ีพยายามจะรวมตวั กนั เป็นดาวเคราะห์แตไ่ มส่ าเร็จจงึ เรียกพวกมนั วา่ \"Asteroids\" (ภาษาไทยยงั คงเรียกวา่ ดาวเคราะห์น้อยเหมือนเดมิ ) และเรียกบริเวณ ที่ดาวเคราะห์น้อยสว่ นใหญ่โคจรอยวู่ า่ แถบดาวเคราะห์น้อย(Asteroid belt) ดาวเคราะห์น้อยสว่ นใหญ่มีรูปทรงไมส่ มมาตรไมเ่ ป็นทรงกลม มีขนาดตงั้ แต่ 1 - 1,000 กิโลเมตร ดาวเคราะห์น้อยมีมวลน้อยจงึ มีแรงโน้มถ่วงน้อยไมส่ ามารถเอาชนะแรงยึด เหน่ียวระหวา่ งสสารที่เป็นเนือ้ ดาว จงึ ไม่มีรูปร่างเป็นทรงกลม (ยกเว้นดาวซีรีส์ซง่ึ เป็นดาว เคราะห์น้อยท่ีมีขนาดใหญ่ที่สดุ มีมวลมากพอที่แรงโน้มถว่ งจะยบุ ดาวให้เป็นทรงกลม จงึ ถกู ยกสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ) ดาวเคราะห์น้อยเปรียบเสมือนฟอสซิลของระบบ สรุ ิยะ เพราะวา่ พวกมนั คือวสั ดทุ ่ีพยายามจะรวมตวั กนั เป็นดาวเคราะห์ แตไ่ ม่สาเร็จ เน่ืองจากถกู รบกวนโดยแรงโน้มถว่ งมหาศาลของดาวพฤหสั บดีซง่ึ มีวงโคจรอยใู่ กล้เคียง สภาพของมนั จงึ ไมเ่ คยมีการเปลีย่ นแปลงนบั ตงั้ แตร่ ะบบสรุ ิยะกาเนิดขนึ ้ มา
https://sites.google.com/a/nongnamsai.ac.th/daras astr-laea-xwkas/rabb-suriya-solar-system http://santi-boontida.blogspot.com/2013/02/blog- post.html http://pheraphon123.blogspot.com/2012/11/blog- post_2976.html https://sites.google.com/a/nongnamsai.ac.th/daras astr-laea-xwkas/rabb-suriya-solar-system http://adomoly.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0% E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8 %B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2% E0%B8%B0/
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: