Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วาจาสุภาษิต...นายเกษม บุญศรี เปรียญ แต่ง

วาจาสุภาษิต...นายเกษม บุญศรี เปรียญ แต่ง

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2020-01-06 03:52:04

Description: นายเกษม บุญศรี เปรียญ แต่ง
สำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
หนังสือ,เอกสาร,บทความ นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

วาจาสุภาษิต หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เดก็ นายเกษม บุญศรี เปรียญ แตง่ ได้รบั พระราชทานรางวัล ช้นั ท่ี ๑ ในการประกวดประจำ�พุทธศักราช ๒๕๑๑

…นอกจากวชิ าความรแู้ ลว้ ยงั มปี จั จยั ส�ำ คญั อกี ประการหนง่ึ ในการสร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงให้แก่บุคคลและส่วนรวม คือ ความสามารถของคนเราที่จะพิจารณาแยกแยะว่าส่ิงใดดี ส่ิงใดชั่ว สง่ิ ใดเปน็ ประโยชน์ สง่ิ ใดไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ความสามารถดงั กลา่ วน้ี ไดแ้ กป่ ญั ญา ซง่ึ จะเกดิ มขี น้ึ ไดด้ ว้ ยการทบ่ี คุ คลฝกึ พจิ ารณาใครค่ รวญ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งสม�ำ่ เสมอ กลา่ วคอื ไมว่ า่ จะประสบพบเรอ่ื งใด ปญั หาใด ก็พินิจพิเคราะห์ให้เห็นเหตุ เห็นผล เห็นความเก่ียวเน่ืองกันโดย ลำ�ดับ ดว้ ยใจทีเ่ ทีย่ งตรงไม่มีอคติ จนเข้าใจเรอ่ื งราวหรอื ปญั หานนั้ อย่างชัดเจนตามเป็นจริง เมื่อได้พากเพียรขบคิดพิจารณาอยู่เป็น ประจ�ำ แลว้ ทส่ี ดุ กจ็ ะเกดิ ปญั ญา อนั ถาวรมน่ั คงและเปน็ ปรกตนิ สิ ยั ท�ำ ใหส้ ามารถจ�ำ แนกแยกแยะความจรงิ ความเทจ็ ความถกู ความผดิ ความดีความช่ัว แล้วปฏิบัติเฉพาะสิ่งท่ีดีที่เป็นประโยชน์ ละเว้น

ปฏิบัติสิ่งท่ีชั่วที่ไม่เป็นประโยชน์ ได้โดยอัตโนมัติ จึงขอให้บัณฑิต ทุกคนต้ังใจพยายามฝึกปัญญาของตน ให้งอกงามและเข้มแข็ง ยิ่ง ๆ ขึ้นจนตลอดชวี ติ เพอ่ื ให้ความเจริญมั่นคงท่แี ท้จริงและยัง่ ยนื บงั เกิดขน้ึ ท้งั แกต่ นเอง แกส่ ว่ นรวม และแกป่ ระเทศชาต…ิ พระราโชวาท สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในพธิ ีพระราชทานปริญญาบัตรแกผ่ ูส้ ำ�เรจ็ การศึกษา จากมหาวทิ ยาลัยรามคำ�แหง ประจ�ำ ปีการศกึ ษา ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ณ อาคารหอประชมุ พ่อขนุ รามคำ�แหงมหาราช มหาวทิ ยาลัยรามคำ�แหง วันจันทร์ที่ ๓ มนี าคม ๒๕๕๗

หลวงพอ่ โรจนฤทธ์ิ อิทธปิ าฏิหารยิ ์ พระพุทธรปู ปางมารวชิ ยั สมัยรตั นโกสินทร์ วัดโพธท์ิ องพทุ ธาราม อำ�เภอแกลง จงั หวัดระยอง

คำ�น�ำ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี มพี ระ- ราชประสงค์ท่ีจะให้เด็กไทยสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากข้ึน จึงมีพระราชบัญชาให้คัดเลือกหนังสือท่ีชนะการประกวดหนังสือ สอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชพิธี วิสาขบูชา นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๒ มาจัดพิมพ์ใหม่ เพื่อ พระราชทานให้แกโ่ รงเรยี นและหอ้ งสมุดตา่ ง ๆ สำ�นักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยาม- บรมราชกุมารี ได้คัดเลือกหนังสือท่ีได้รับพระราชทานรางวัลท่ี ๑ พุทธศักราช ๒๕๑๑ เร่ือง วาจาสุภาษิต ซึ่งแต่งโดย นายเกษม บญุ ศรี เปรยี ญ มาจดั พมิ พใ์ หม่ โดยมกี ารปรบั ปรงุ รปู แบบการพมิ พ์ เพื่อให้น่าสนใจและเหมาะสมต่อเด็กและเยาวชนมากยิ่งขึ้น แต่ยัง คงเนอ้ื หาสาระตามตน้ ฉบบั เดมิ และหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื นจ้ี ะ เป็นประโยชน์ต่อเด็ก เยาวชน และผสู้ นใจทว่ั ไป สมตามพระราช- ประสงคข์ องสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี สำ�นักงานโครงการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี พุทธศกั ราช ๒๕๕๗



สารบญั บทน�ำ ๙ บทที่ ๑ วาจาสุภาษิต ๑๙ บทที่ ๒ ปลาหมอตายเพราะปาก ๒๕ บทที่ ๓ พูดดีเปน็ เงินเป็นทอง พดู ไม่ดีเสียข้าวเสียของ ๓๑ บทที่ ๔ เรื่องมะม่วงมนตร์ ๓๗ บทที่ ๕ คำ�สัตย์เปน็ คำ�ไม่ตาย ๔๓ บทที่ ๖ ปากเปน็ เอก ๕๑ บทส่งท้าย สรุปความ ๖๑



วาจา สภุ าษิต บทน�ำ ๑. เมื่อโรงเรียนปิดภาคเรียนปลายปีที่แล้วมานี้ แม่บ้าน คนหน่งึ ได้พาพวกลกู ๆ ไปชมสัตว์ท่เี ขาดนิ วนา กรงุ เทพฯ ขณะท่ี ลกู ก�ำ ลงั เดนิ ผา่ นกรงใหญก่ รงหนง่ึ ลกู ชายคนเลก็ หยดุ ยนื อยหู่ นา้ กรง แลว้ รอ้ งบอกพส่ี าวสองคนวา่ “เอบิ ..! อาบ..! ดนู น่ั ซิ คณุ ทวดของเรา มานัง่ ทำ�อะไรอยนู่ ้ันแนะ่ ” พ่ีสาวสองคนเหลียวหน้าเหลียวหลัง ดูรอบ ๆ บริเวณนั้น แต่ไม่เหน็ ใครก็พดู วา่ “คุณทวดคุณแทดทไี่ หนกัน เจา้ เล็กเอาอะไร มาพดู ก็ไม่รู้ ตั้งแตเ่ กดิ มาเราไม่เคยเหน็ คณุ ทวดกันเลย” เด็กชายวุฒิ วีรวัฒน์ ก็ชี้เข้าไปในกรง ตรงหน้าตน แล้วก็ บอกวา่ “นน่ั ไงละ่ บรรพบรุ ษุ ของเราเยอะแยะไป ก�ำ ลงั นง่ั จบั หมดั อยู่ ก็มี ก�ำ ลังเกาะลูกกรงอยกู่ ม็ ี ก�ำ ลังเดินกันอยู่ยว้ั เยี้ยกม็ ี นน่ั ไงละ่ ” 9

๒. พส่ี าวคนโตมองเขา้ ไปในกรง กเ็ หน็ แตล่ งิ อยกู่ นั เปน็ ฝงู เลยหนั มาซดั นอ้ งชายเขา้ ใหผ้ วั ะหนง่ึ แถมถลงึ ตาดนุ อ้ งชายพดู เสยี ง เบา ๆ วา่ “อะไรกไ็ ม่รู้ ช่างหยาบโลน อะไรอยา่ งน้ี หน้าไมอ่ าย ใครบอกใหเ้ อา บรรพบรุ ุษมาเปรียบ เป็นลิงเปน็ คา่ งไปได”้ แต่เด็กชายวุฒิก็ไม่ยอมแพ้ ถอยห่างออกไปเถียงว่า “ก็ใน หนงั สือเขาว่าอยา่ งนน้ั นี่นา” แถมยังท้าใหไ้ ปเปิดหนงั สอื ชีววทิ ยาดู กไ็ ด้ เสยี งเถยี งกนั ยงั ไมห่ ยดุ ลง ตอ้ งรอ้ นถงึ แมบ่ า้ นทก่ี �ำ ลงั เดนิ ชมสตั ว์ ต่าง ๆ อยู่อย่างเพลิดเพลินต้องหันกลับมาฟัง และกำ�ลังคิดอยู่ว่า จะตดั สนิ อยา่ งไรดี ใครผดิ ใครถกู กนั แน่ แตจ่ ะตดั สนิ ตรง ๆ คงไมไ่ ดแ้ น่ ๓. เมอ่ื นางอนิ ฟงั รเู้ รอ่ื งแลว้ จงึ หนั ไปหา้ มลกู สาวสองคนวา่ เจ้าอย่าไปเถียงแกเลย น่ิงเสียเถอะ แม่จะบอกเอง แล้วหันไปทาง ลูกชายคนเล็ก บอกวา่ “เออ จรงิ ซีนะเจา้ เล็ก” ฝ่ายลูกสาวสองคนได้ฟังดังน้ัน ก็สำ�คัญว่าแม่จะเข้ากับ นอ้ งชาย จงึ ยกไมย้ กมอื ท�ำ ทา่ จะเถยี งแม่ แตน่ างอนิ กร็ บี ยกมอื หา้ ม เสียกอ่ นแลว้ บอกว่า ไม่ต้อง..! ไมต่ อ้ ง..! แมเ่ อง แล้วพดู กับลูกชาย คนเล็กว่า “จรงิ แลว้ ลกู หนังสอื เขาสอนมาอยา่ งนน้ั จรงิ ๆ แม่ก็เคย อ่านเหมือนกัน เอาละ เอาวา่ เปน็ อย่างลกู วา่ 10

บรรเลพ็กบกรุ รษุ าบซิลูก แต่ลกู เชอ่ื หรือว่า เป็นอย่างนั้น ถา้ ลูกเชอ่ื ก็จดั แจง ไปกราบบรรพบุรษุ ของเจ้าเสียเดยี๋ วนี้ เอาซ.ี .! กราบซี..!” เด็กชายวฒุ บิ อกแมว่ ่า “มา่ ยละครบั คณุ แม่ เลก็ ไม่เอาละ ขนื กราบเดย๋ี วต�ำ รวจเขาเชญิ ไปโรงพยาบาลประสาทใกล้ ๆ นแ้ี หละ” ๔. ที่จริงเรื่องที่เด็กชายวุฒิพูดน้ัน ก็คือเร่ืองของความ เปล่ียนแปลงน่ีเอง ท่ีเด๋ียวน้ีเขาพูดกันว่าวิวัฒนาการ ที่พระท่าน เรียกว่าอนิจจัง น่ันเทียว และเป็นการเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติ เป็นเร่ืองท่นี า่ สนใจอยเู่ หมือนกัน ตามต�ำ ราวา่ นบั เวลาเปน็ ลา้ น ๆ ปที เ่ี จา้ ตวั แมงกะพรนุ ตอ้ ง เปลย่ี นแปลงไป ตอ้ งลอยตบุ้ ปอ่ ง ๆ อยใู่ นทะเล จนกวา่ จะเปลย่ี นแปลง ร่างกายมาเป็นสัตวน์ ำ�้ ชนดิ ต่าง ๆ และเป็นสตั วค์ ร่งึ น้�ำ ครงึ่ บก แลว้ เป็นสัตวเ์ ลื้อยคลานขึ้นมาอยบู่ นบก แลว้ อีกก่ลี ้านปกี ็ไมร่ ู้ กวา่ จะกลายมาเป็นลงิ และอีกสักกี่ลา้ นปี กไ็ มร่ ู้อกี เหมอื นกนั ทีจ่ ะกลายมาเป็นคน เป็นคนแล้วก็ยังเป็นคนอีกหลายชนิดมีทั้งหญิงทั้งชาย มที ง้ั โงท่ ้ังฉลาด นัน้ เปน็ การเปลีย่ นแปลงตามธรรมชาติ 11

๕. นางอินพูดกับลกู ๆ ต่อไปอกี ว่า นอกจากการเปลย่ี น- แปลงตามธรรมชาติแล้วยังมีการเปล่ียนแปลงเพราะการกระทำ� ของคนเข้าร่วมอีกด้วย “คนทำ�อย่างไรครับ คณุ แม่” เดก็ ชายวุฒิ สอดถามแม่ นางอินจึงว่า เออ..! เหมาะเชียวลูกแม่ ลูกเล็กถามถูกแล้ว เอบิ กับอาบ ฟังไวด้ ว้ ยนะ จะไดไ้ มต่ ้องไปเถียงกันอีก ทแ่ี มว่ า่ เพราะการกระท�ำ ของคนเขา้ รว่ มดว้ ยนน้ั หมายความวา่ คนเราเปลย่ี นแปลงตวั เองดว้ ย แมจ่ ะแยกใหด้ วู า่ อยา่ งไรเปลย่ี นแปลง ตามธรรมชาติ อยา่ งไรเปล่ียนแปลงเพราะคนทำ� ๖. เจ้าเล็กไม่ต้องดูอ่ืนไกลอะไรที่ไหนดอก เจ้าจงดูแม่ จงดพู ่อ จงดพู ท่ี ัง้ สองของเจ้า และตัวเจา้ เอง แมก่ ับพ่อตวั โตกวา่ พ่ี ทง้ั สองของเจา้ พท่ี ง้ั สองคนตวั โตกวา่ เจา้ เจา้ ตวั เลก็ กวา่ ใคร ๆ ทง้ั หมด แต่มันจะไมเ่ ลก็ อยอู่ ยา่ งน้ี ตอ่ ไป ก็จะต้องโตเหมอื นพี่ เหมือนแม่ เหมอื นพอ่ เพราะแมก่ บั พอ่ ก็เคย เป็นเด็กเล็กมากอ่ น เหมือนอยา่ งเจ้าอย่างนแ้ี หละ ความจริงตัวเราน้ีเปล่ียนแปลงอยู่ทุกขณะ จนเราไม่รู้ว่า มันโตข้นึ วันละเท่าไร เหมอื นอยา่ งโลกท่เี ราอาศยั อยูน่ ้ี มันหมนุ เรว็ เสียจนไม่รู้ว่ามันหมุน เพราะการเปลี่ยนแปลงของร่างกายท่ีโตขึ้น นแ้ี หละเปน็ การเปลยี่ นแปลงตามธรรมชาติ 12

๗. ส่วนที่ว่า เพราะการกระทำ�ของคนเข้าร่วมด้วยน้ัน กอ็ ยา่ งทเ่ี รารกู้ นั วา่ เปน็ คนชว่ั คนดี ถา้ เดก็ ท�ำ ชว่ั เขากเ็ รยี กวา่ เดก็ ชว่ั ถา้ ผใู้ หญท่ �ำ ชว่ั เขากเ็ รยี กวา่ คนชว่ั ถา้ เดก็ ทำ�ดี เขากเ็ รยี กวา่ เดก็ ดี ถ้าผู้ใหญ่ทำ�ดี เขาก็เรียกว่า คนดี ท่ีเป็นคนช่ัวคนดี นี่แหละ เป็น เพราะการกระท�ำ ของคนนนั่ เอง ท่แี ม่วา่ อย่างน้ี ก็เพราะวา่ ตามธรรมดาของคนเรานนั้ ตาม ธรรมชาติจะว่าดีว่าช่ัวไม่ได้ คือ ไม่ดีไม่ช่ัวนั่นเอง จะเปล่ียนเป็นดี เป็นชว่ั ไปก็เพราะการกระทำ�ของตน เชน่ เจ้าเล็กลกู แม่น่ีแหละ ถ้าเจา้ ดอื้ พอ่ ดือ้ แม่ ข้เี กียจเรยี นหนงั สอื ดือ้ ครบู าอาจารย์ เขาก็ว่าเจ้าเป็นเดก็ ดือ้ เด็กช่วั แต่ถา้ เจ้าเป็นคนว่านอนสอนงา่ ย ขยันเรียนหนังสือ เช่ือฟงั ครบู าอาจารย์ เขากว็ า่ เจา้ เปน็ เดก็ ดี ทำ�ชว่ั ท�ำ ดนี ้ี พระทา่ นเรยี กวา่ “กรรม” ๘. ในเร่ืองกรรมนี้ แม่อยากจะขอยกพระราชนิพนธ์ใน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ท่ีมีอยู่ในหนังสือสอนพระพุทธศาสนา แก่เดก็ เรอ่ื งศาสนคุณ มาใหล้ ูกแมท่ ้ังสามคนได้ฟังดงั นี้ :- “สง่ิ ทเ่ี ปน็ หลกั ส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนานน้ั คอื วฏั สงสาร การเวียนว่ายตายเกิด และ “กรรม” ท�ำ ดีไดด้ ี ทำ�ช่ัวได้ช่ัว “วัฏสงสาร” และ “กรรม” น้ี เป็นความเชื่อท่ีเก่ากว่า พระพุทธศาสนา และเป็นของพราหมณ์ก็จริง 13

แตเ่ ปน็ หลกั สำ�คัญของ พระพุทธศาสนา เพราะหนทางปฏิบตั ิ ของพระพทุ ธศาสนา ก็เพือ่ ใหพ้ น้ จากวฏั สงสาร อนั เป็นความทกุ ข์ แต่สง่ิ ที่ดีท่ปี ระเสรฐิ นั้น คอื ความเชื่อใน “กรรม” ๙. แตจ่ ะสอนแตเ่ รอ่ื งกรรมอยา่ งเดยี ว ไมส่ อนเรอ่ื งวฏั สงสาร ดว้ ย กไ็ มบ่ รบิ รู ณ์ ความเชอ่ื ในกรรม ขา้ พเจา้ (พระเจา้ อยหู่ วั พระองคน์ น้ั ) เหน็ ว่าเป็นของประเสริฐยง่ิ ควรเพาะใหม้ ขี ้ึนในใจของคนทกุ คน และถ้าคนท้ังโลก เช่ือม่ันใน “กรรม” แล้ว ข้าพเจ้า (พระเจา้ อยู่หัว) เชือ่ วา่ มนษุ ย์ในโลกจะได้รับความสขุ ใจขน้ึ มาก ความเช่ือในกรรมน้ีไม่ใช่ความเชื่ออย่างงมงาย และไม่ควร จะเป็นอยา่ งทเี่ รยี กกนั วา่ “แล้วแต่บญุ แตก่ รรม” เลย ตรงกันขา้ ม ควรเป็นสิ่งที่จะทำ�ให้คนขวนขวายทำ�แต่กรรมที่ดีโดยหวังผลท่ีดี เรอ่ื งวัฏสงสารและกรรมน้ี เป็นของตอ้ ง “มคี วามเชื่อ” ๑๐. ตามธรรมดาคนเรา เมอ่ื ไดร้ บั ความไมพ่ อใจหรอื ความทกุ ข์ กม็ ักจะพยายามหาทซี่ ัด เชน่ ซัดผู้ใหญ่ ซดั ผู้บงั คบั บัญชา (ซดั พ่อ ซัดแม่ ซัดครูบาอาจารย์) ซดั รฐั บาล ซัดพวกเศรษฐี หรือซดั ขนบ- ธรรมเนียมประเพณี อะไรต่าง ๆ แลว้ แตจ่ ะเลอื กซดั 14

ผีห่าซาตานอะไร ถ้าซัดสง่ิ ทีว่ ่ามาแลว้ ไมไ่ ด้ ทำํ�ให้ขา้ เป็นอย่างน้ี ก็ซัดผสี างเทวดาหรอื พระเจา้ อะไรต่อไป อย่างไรก็ดี การซัดตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ ทำ�ให้เกดิ ความไม่สบายใจทงั้ นน้ั และท�ำ ให้เกลียดหรอื เบอ่ื หน่ายสิ่งท่ีตวั ซดั นนั้ ถ้าอย่างดีสักหน่อยก็คือพวกท่เี ช่อื ผี เช่อื เทวดาหรือเทพเจ้า มีความเชื่อจริงและเกรงกลัวจริง ถือเสียว่าความทุกข์ท่ีได้รับน้ัน คือผีหรอื เทวดาหรือเทพเจ้าลงโทษตนท่ีทำ�ความผดิ มา แต่บางคร้ังก็เช่ือยากและอาจสงสัยความอยุติธรรมของผี หรอื เทพเจ้าบา้ งกม็ ี ๑๑. ส่วนความเชื่อกรรมน้ัน เราจะซัดใครไม่ได้นอกจาก ตวั เราเอง เราอาจจะเห็นได้ง่าย ๆ วา่ ความผดิ ของเรานน้ั ไดร้ ับผล ทนั ที อยา่ งทเี่ รยี กว่า “กรรมตามทนั ” นัน้ มเี ป็นอันมาก ถ้าหากวา่ เรา กรรแมลตว้ เารมาทนั ไดร้ บั ความทุกข์ ท่ีเราแปลไม่ออกว่า เป็นผลไมด่ ีของกรรม อะไรทีเ่ ราไดท้ ำ� เรากต็ อ้ งเชือ่ วา่ เปน็ ผลของกรรมในก่อน และพึงท�ำ กรรมที่ดี เพ่ือใหไ้ ด้ รับความสุขในภายหนา้ ตอ่ ไป ข้าพเจ้า (พระเจ้าอยู่หัว) เช่ือแน่ว่า ถ้าคนเราเช่ือกรรม 15

จรงิ ๆ แลว้ จะไดร้ บั ความสขุ ใจไมน่ อ้ ย โดยไมท่ �ำ ใหร้ สู้ กึ ทอ้ ถอยอยา่ งใด เพราะไมค่ วรจะนง่ั หาเรอ่ื งซดั ใคร ๆ หรอื อะไรตา่ ง ๆ จนไมเ่ ปน็ เรอ่ื ง ๑๒. โดยเหตตุ า่ งๆทไ่ี ดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ น้ีขา้ พเจา้ (พระเจา้ อยหู่ วั ) จงึ เหน็ วา่ “เราควรพยายามสอนเดก็ ใหเ้ ขา้ ใจและใหเ้ ชอ่ื มน่ั ในกรรม เสียแต่ต้นทีเดียว ย่งิ ให้เช่อื ได้เท่าไรย่งิ ดี ควรให้ฝังเป็นนิสัยทีเดียว นอกจากนค้ี วรสอนใหเ้ ดก็ เคารพตอ่ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ แมจ้ ะไมเ่ ขา้ ใจหรอื ไมร่ วู้ า่ บทสวดนน้ั แปลวา่ อะไร กต็ อ้ งใหก้ ราบไหว้ เปน็ นติ ย”์ ๑๓. นี่เป็นพระราชนิพนธ์ในพระเจ้าอยู่หัว แม่ยกมาพูดให้ เจ้าฟัง ก็เพื่อจะให้ลูกของแม่เห็นความสำ�คญั ของการเปลี่ยนแปลง ทง้ั ตามธรรมชาตแิ ละคนท�ำ รว่ มดว้ ย เทา่ ทแ่ี มพ่ ดู มาน้ี ลกู แมอ่ าจจะ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจค�ำ วา่ “กรรม” กไ็ ด้ แม่ขอบอกลูกว่า “กรรม” คือการทำ� ของเราน่เี อง เชน่ เจา้ เรยี นหนงั สอื เขยี นหนงั สอื อา่ นหนงั สอื คดิ เลข นน่ั แหละเรยี กวา่ “กรรม” และเปน็ กรรมดี ถา้ เจา้ เลน่ เปน็ พาลเกเร เกะกะระรานเพอ่ื น ชกตอ่ ยเพอ่ื น ดา่ ทอเพอ่ื น คดิ ท�ำ รา้ ยเพอ่ื น นน่ั ก็ เรียกว่า “กรรม” และเป็นกรรมช่ัว กรรมดีกรรมชั่วนี้เราทำ�เอง ทำ�แลว้ กเ็ ป็นของเรา ติดตวั เรา เราทำ�ดีกไ็ ดด้ ี ท�ำ ชว่ั กไ็ ดช้ ั่ว ๑๔. ท่ีว่าเราทำ�น้ัน คือ เราทำ�ทางกาย เช่น ใช้มือใช้เท้า เรียกวา่ กายกรรม ทำ�ดว้ ยกาย ท�ำ ดว้ ยวธิ พี ดู เรียกว่า วจกี รรม คือ พูด ท�ำ ด้วยวิธีคิด เรยี กว่า มโนกรรม คือ คดิ ในที่นี้แม่อยากจะพูดถึงวจีกรรม คือเรื่องพูด เรื่องพูดนี้ เป็นส�ำ คญั นักนะลูกแม่ โบราณวา่ “ปากเป็นเอก เลขเปน็ โท” 16

ลูกไม่ต้องดูอื่นไกลอะไรท่ีไหนดอก ท่ีแม่ต้องมาพูดเป็นวัก เปน็ เวนน้ี ก็เพราะลกู เล็กพดู ถึง เร่อื งบรรพบรุ ุษของเรา ตามต�ำ ราทีล่ กู ได้อ่านมา ท�ำ ให้พสี่ าวเขาทบุ เอา และตอ้ งเถียงกันไมร่ ้จู กั จบ จนแมต่ อ้ งเข้ามาช้ีแจง นี่แหละ ใชไ่ หมเลา่ ลกู “ใชแ่ ลว้ ครบั คณุ แม”่ เดก็ ชายวฒุ ริ บั ค�ำ แมท่ นั ที เมอ่ื เหน็ จรงิ ๑๕. แต่เรื่องท่ีแม่อยากจะพูดน้ัน ก็คือ “วาจาสุภาษิต” ตามท่ีพระท่านกล่าวไว้ เมื่อพระท่านพูดอย่างนี้ ก็ย่อมแสดงให้ เหน็ ว่า เรอ่ื งพูดของคนเราน้ี มสี องอย่าง คอื พดู ดี พูดไม่ดี พูดไม่ดีอย่างไร พูดไม่ดีก็คือ พูดไม่เข้าหูคน พูดแล้วคน ไม่อยากฟัง หรือฟังแล้วทำ�ให้คนเกลียดคนชัง ทำ�ให้คนไม่ชอบ แถมทำ�ให้เกิดทะเลาะวิวาทแตกร้าวกัน กล่าวตามท่ีพระท่านว่าก็ ได้แก่ พดู เทจ็ พูดสอ่ เสียด พดู หยาบคาย พดู เพ้อเจ้อ ทงั้ สอ่ี ย่างนี้ เรียกว่า พดู ไม่ดี ทีว่ ่าพดู ดี คอื พูดเพราะ พดู ออ่ นหวาน พดู นา่ ฟัง พูดแล้ว คคนวาชมอสบาใมจัคฟคีกังแลลม้วเกกล็อียยวากเปฟ็นังนอ้ำ�ีกหทนึ่ำ�งใใจหเ้มดีคียววากมันรักกใลค่ารว่กตันามททำ�ี่พใหร้มะี ทา่ นว่า กไ็ ด้แก่ พูดจรงิ พดู สมาน พดู ออ่ นหวาน พดู เปน็ หลักฐาน ควรเช่ือได้ ส่อี ย่างน้ีเรยี กวา่ พดู ดี นแี้ หละวาจาสภุ าษิต เอาละ วันน้เี อาเทา่ นแ้ี หละ แล้วกช็ วนกนั กลับบ้าน 17

ค�ำ ถามประจ�ำ บท ๑. เด็กชายวุฒิ พูดอยา่ งไร ท�ำ ให้พ่สี าว ของตนวา่ อย่างไร ? ๒. ๓. เด็กชายวฒุ ิ นางอิน แก้ตัวว่าอยา่ งไร ตัดสินอยา่ งไร ? พส่ี าวยอมไหม ? ๔. ๕. พูดไมด่ ี พูดดี คอื พูดอย่างไร ? คอื พดู อยา่ งไร ? 18

บท๑ท่ี สภุ วาาจษา ิต ๑. ค�ำ วา่ วาจา ในมงคลสตู รท่านอธิบายว่า ได้แก่ คำ�พดู ที่คนพูดออกมาเป็นเสียง ท่ีให้อีกฝ่ายหน่ึงเข้าใจความมุ่งหมาย ของผู้พูด และหมายความตลอดไปถึงที่แสดงออกเป็นอาการ เป็น เครอ่ื งหมาย เปน็ ลายลกั ษณ์ เปน็ หนงั สอื ดว้ ย ในทน่ี ้ีใหเ้ ดก็ ๆ เขา้ ใจ ง่าย ๆ ว่า ค�ำ พูดหรอื หนงั สอื เทา่ น้นั ค�ำ วา่ สภุ าษิต ในพจนานกุ รมไทย ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ให้คำ�นิยามว่า “คำ�พูดท่ีเป็นคติ” หมายความว่า มีเหตุมีผล มีคน ถอื เอาเปน็ หลักได้ เร่ืองของคำ�พูดนี้ มีคำ�กล่าวไว้มากมายหลายอย่าง เช่น สนุ ทรภกู่ ลา่ ววา่ “ถงึ บางพดู พดู ดเี ปน็ ศรศี กั ด์ิ มคี นรกั รสถอ้ ยอรอ่ ยจติ ถ้าพดู ชว่ั ตัวตายทำ�ลายมิตร จะชอบผดิ ในมนุษยเ์ พราะพูดจา” นอกจากน้ียังมีอีก เช่นว่า “ล้ินคนตัดคอคน” “ปลาหมอ ตายเพราะปาก” หรอื วา่ “อาวุธใดในพภิ พไม่ลบปาก ถงึ น้อยมาก ฟนั ฟาดขาดเป็นสิน” 19

หรอื ว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนงั สอื เปน็ ตรี ชั่วดีเปน็ ตรา” หรอื วา่ “โอฐภัย” หรือว่า “จะยากไรห้ วิ โหยเพราะชวิ หา” ๒. พระทา่ นวา่ ปากมี ๓ ชนิด คือ ๑) คูถภาณี ปากเหม็น ๒) ปปุ ผภาณี ปากหอม ๓) มธุภาณี ปากหวาน ปากเหมน็ หมายความว่า พดู จาหยาบคาย ดา่ ว่า ส�ำ ราก เพ้อเจ้อ พูดแลว้ ไมม่ ีใครอยากฟัง ชวนทะเลาะบ้าง ยใุ ห้รำ�ต�ำ ให้รว่ั บ้าง วา่ ร้ายใหเ้ ขาเสียหายบ้าง เปน็ เท็จบา้ ง อย่างน้ี เรยี กวา่ ปากเหม็น ปากหอม หมายความวา่ พูดเพราะ พดู เปน็ คติ พูดเปน็ ธรรมะ พดู ตรงไปตรงมา พดู ถกู กาลเทศะ พดู พอดี ไมม่ ากไมน่ อ้ ย พดู แลว้ อยากฟังอีก อยา่ งนี้เรยี กว่า ปากหอม ปากหวาน หมายความวา่ พูดนิม่ นวลชวนฟัง ฟงั แล้วน่ารักนา่ ชม น่านิยมนบั ถือ ทำ�ให้มี ความร่าเรงิ สมคั รสมาน ปลกู ความรักใคร่ใหส้ นิทสนมยิง่ ๆ ขึ้น อยา่ งน้ีเรียกวา่ ปากหวาน 20

๓. ในเรื่องของวัฒนธรรม ท่านว่า “สำ�เนียงบอกภาษา” ในทางหน่ึงหมายความวา่ เมือ่ คนเรารวมกันอยูม่ าก จะรูว้ ่าใครเปน็ ชาตอิ ะไร สวัสดี หนหี า่ ว ก็รไู้ ดเ้ มอ่ื พูดออกมา ถา้ พดู ออกมาเป็นไทย กร็ วู้ ่าผู้พูดเปน็ คนไทย ถ้าพดู ออกมาเปน็ จีน ก็ร้วู า่ ผู้พดู เป็นคนจนี ดงั น้เี ปน็ ตน้ มคี �ำ พระกลา่ ววา่ “จะรไู้ ดว้ า่ เขาประพฤตดิ ี เพราะอยรู่ ว่ มกนั ” “จะรไู้ ดว้ า่ มกี �ำ ลงั ใจเขม้ แขง็ กใ็ นคราวมอี นั ตราย” “จะรไู้ ดว้ า่ มปี ญั ญา ก็ในคราวสนทนา” การพูดจาปราศรัยกัน ทำ�ให้รู้ได้ว่ามีปัญญาหรือไม่มี น้ีก็ เพราะพูด เพราะฉะนั้น จึงควรพูดแต่คำ�ที่เป็นสุจริต เป็นสุภาษิต ที่ดีท่จี รงิ เทา่ นนั้ เพราะไมท่ ำ�คนพดู คนฟัง ใหเ้ ดือดรอ้ น ๔. วาจาสภุ าษิตนนั้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นแสดงลักษณะไว้ ๕ ประการ คอื ๑) พูดถกู กาละ ๒) พดู จรงิ ๓) พดู ออ่ นหวาน ๔) พดู มปี ระโยชน์ ๕) พูดดว้ ยเมตตาจิต ทั้ง ๕ ข้อนี้เป็นเครื่องสังเกตว่า คำ�ที่พูดออกไปนั้น ถ้าประกอบด้วยลักษณะทั้ง ๕ อย่างน้ีแล้ว ก็จัดว่าเป็นสุภาษิตได้ ทัง้ ๕ อย่างนนั้ มีความหมายดงั น้ี 21

คำ�ท่ีเราจะพูดออกไปน้ัน ต้องเป็นคำ�จริง เป็นเร่ืองดี เป็น คำ�อ่อนหวานน่ิมนวล ชวนฟัง ท้ังเม่ือพูดแล้วย่อมมีประโยชน์แก่ ผู้พดู ผู้ฟังทั้งสองฝา่ ย ทั้งผูพ้ ดู ก็ต้องพูดด้วยเมตตาจติ แม้เช่นนี้แลว้ ก็ตาม ก็ต้องรู้เวลาว่าควรพูดในเวลาไหน ต้องพูดให้ถูกเวลาด้วย จะเหน็ ไดง้ า่ ย เชน่ ครสู อนวชิ าแกน่ กั เรยี น เชน่ วชิ าค�ำ นวณ ครจู ะ ตอ้ งสอนนกั เรยี นในห้องทก่ี �ำ หนด ในเวลาท่กี �ำ หนด ๕. หรือว่าต้องสอนตามตารางที่กำ�หนดไว้ ถ้าไมส่ อนตาม ตารางท่กี �ำ หนดไว้ แมว้ ิชานั้นจะดอี ย่างไรกไ็ มเ่ ปน็ วชิ า หรอื อกี อยา่ งหน่งึ ในขณะที่นักเรยี น เลกิ เรยี น ไปเทย่ี วกันนะ กำ�ลงั ฟงั ค�ำ สอนอยู่ หรอื ฟังปาฐกถาอยู่ เกดิ นกึ อะไรขึ้นมาได้ ก็พูดกันกบั เพือ่ นนักเรยี น หรอื เอาบทเรยี นวชิ าอน่ื มาคดั ลอกลงสมดุ ในเวลานน้ั เชน่ น้ี แมเ้ รอ่ื งนน้ั วิชาน้ัน จะดีวิเศษอย่างไรก็ตาม การท่นี กั เรยี นพดู หรือทำ�แทรกขน้ึ ในขณะนนั้ เรอื่ งทที่ �ำ ค�ำ ทพ่ี ดู นนั้ กลายเปน็ เพอ้ เจอ้ ไป ไมเ่ ปน็ สภุ าษติ เพราะฉะนั้น คำ�สุภาษิตต้องประกอบด้วยลักษณะท้ัง ๕ อยา่ งนน้ั และวาจาท่ปี ระกอบด้วยลกั ษณะ ๕ อย่างน้นั เป็นวาจา สภุ าษติ ไมเ่ ป็นทุพภาษิต ไม่มีโทษ ผรู้ ู้ไม่ตเิ ตยี น ๖. ท่านขยายความข้อนต้ี ่อไปอกี ว่าดังนี้ ๑) ความตง้ั ใจจะพดู วจสี จุ รติ ทง้ั ๔ คอื ไมพ่ ดู เทจ็ ไมพ่ ดู ส่อเสียด ไม่พูดคำ�หยาบ ไมพ่ ูดเพ้อเจอ้ นีเ้ ป็นพืน้ แหง่ วาจาสภุ าษิต 22

๒) กริ ยิ าทพ่ี ดู จรงิ พดู สมานสามคั คี พดู ออ่ นหวาน พดู เปน็ หลักฐาน นีเ้ ป็นส่วนประกอบของวาจาสภุ าษิต อกี นยั หนงึ่ ทา่ นวา่ กริ ยิ าทไ่ี มพ่ ดู สอ่ เสยี ด ทา่ นวา่ พดู สภุ าษติ กริ ิยาที่ไมพ่ ูดเพ้อเจอ้ ท่านว่าพดู เปน็ ธรรมคอื ถกู กาลเทศะ กิริยาที่ ไมพ่ ูดคำ�หยาบ ท่านว่าพูดปลูกความรกั กิรยิ าที่ไม่พูดเทจ็ ท่านวา่ พดู จรงิ นแี้ ลเรยี กวา่ วาจาสภุ าษิต ๗. เพราะฉะน้นั เมื่อเรารู้วา่ พูดเทจ็ เปน็ โทษ เราก็ควรพดู แตค่ วามจรงิ โทษของการพดู ไม่ดีนั้น พระพุทธเจ้าแสดงไว้ดงั น้ี คนพูดเท็จติดเป็นนิสัย ย่อมตกนรก เกิดในกำ�เนิดสัตว์ เดียรัจฉาน ในกำ�เนิดเปรต โทษอย่างเบาท่ีสุดนั้น คือ จะต้องถูก กลา่ วหาในทางร้าย โทษของการพดู ส่อเสยี ด อย่างเบาท่ีสดุ นั้น ตอ้ งถงึ แตกญาติ แตกมติ รแตกพีแ่ ตกน้อง โทษของการพูดค�ำ หยาบ อยา่ งเบาทส่ี ุดน้ัน คอื จะต้องได้ ฟังแตเ่ สียงที่กวนใจ โทษของการพูดเพ้อเจ้อ อยา่ งเบาทสี่ ดุ นน้ั คอื จะไม่มีใคร เชอ่ื ฟงั ถ้อยคำ� เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นโทษของการพูดไม่ดีว่ามีโทษมาก เช่นนี้แล้ว เราก็ควรพูดแต่คำ�สุภาษิตเท่าน้ัน ท่านพระวังคีสเถระ กราบทลู พระพุทธเจ้าวา่ พระเจา้ ขา้ บุคคลไมค่ วรพูดคำ�ทีท่ ำ�ตวั ให้ เดือดร้อนในภายหลังเลย คำ�ที่พูดแล้ว ไม่ทำ�ให้ใครเดือดร้อนนั้น และเป็นสภุ าษติ นนั้ 23

คำ�ถามประจำ�บท ๑. ค�ำ ว่า สุภาษิต หมายความว่า คำ�เช่นไร ? ๒. ๓. ค�ำ วา่ โอฐภยั ทีพ่ ระท่านว่า หมายความว่า ปากมี ๓ ชนิดนนั้ อยา่ งไร ? คือชนิดไรบ้าง ? ๔. ๕. ลกั ษณะค�ำ สุภาษติ โทษของการพูดไม่ดี มเี ทา่ ไร อย่างเบาทีส่ ดุ คืออะไรบ้าง ? มอี ะไรบา้ ง ? 24

บท๒ท่ี ตปายลปาเาพหกมรอาะ ๑. คำ�ทีย่ กมาตงั้ เป็นหวั ขอ้ วา่ “ปลาหมอตายเพราะปาก” นเ้ี ปน็ ค�ำ สภุ าษติ ควรถอื เอาเปน็ คตไิ ด้ แตไ่ มไ่ ดห้ มายความวา่ เกดิ มา เปน็ ปลาหมอแล้วต้องตายเพราะปากท้งั นั้น ไมใ่ ช่อย่างน้นั แต่เอามาเปน็ ข้อเปรียบเทียบวา่ ใครก็ตาม เมอื่ พูดออกไป แล้ว คำ�นั้นแหละ กลับมาฆ่าตนได้ เม่ือเป็นดังนั้น คนคนนั้นก็ได้ ชอื่ วา่ ตายเพราะปาก ดว้ ยเหตุนี้แหละ จงึ มสี ุภาษิตเปน็ ค�ำ ตักเตือนแกข้ อ้ นี้ไวว้ า่ “ร้แู ล้วพดู ไปสองไพเบย้ี รแู้ ล้วน่งิ เสียตำ�ลงึ ทอง” แต่ก็มิได้หมายความว่า รู้อะไรแล้ว จะไม่บอกไปทุกอย่าง หรอื ทกุ คนกม็ ไิ ด้ เปน็ แตท่ า่ นแนะใหร้ วู้ า่ ตอ้ งรคู้ วรไมค่ วร ถา้ ไมร่ วู้ า่ ควรไมค่ วรอยา่ งไร กใ็ หบ้ อกพอ่ บอกแม่ หรอื บอกครบู าอาจารยก์ ไ็ ด้ ทา่ นจะได้แนะนำ�ให้ว่า ควรหรือไมค่ วร 25

๒. การรู้เร่ืองของคนอื่นน้ัน อย่าว่าถึงจะต้องพูดเลย แม้ เพยี งร้เู ทา่ นนั้ แหละกเ็ ปน็ โทษเสยี แล้ว อย่างที่เราพดู กันอยู่วา่ “ฆา่ ปิดปาก” น่ันก็เพราะคนที่ถูกฆ่าน้ัน เป็นคนรู้เร่ืองของคนอ่ืนที่ ไม่ควรจะรู้ ในเรื่องน้ีผู้ใหญ่ท่านก็มักจะสอนเด็กว่า เวลาผู้ใหญ่พูดกัน ท่านห้ามไม่ให้เด็กไปคอยฟัง ท่ีท่านห้ามอย่างน้ัน ก็เพราะว่าการรู้ เร่อื งของคนอน่ื นน้ั มันเป็นโทษแท้ มีเรื่องคร้ังพุทธกาลเรื่องหน่ึง คือเมื่อคราวท่ีพระเทวทัต ใช้นายขมังธนูไปยิงพระพุทธองค์นั้น พระเทวทัตจัดไว้ถึง ๓ กลุ่ม ดว้ ยกัน และท้งั สามกลมุ่ น้นั ไมใ่ ห้ร้กู ัน จดั ส่งกล่มุ แรกไป ๒ คน พวกข้าพทุ ธเจ้า ใหไ้ ปยิงพระพุทธเจ้า ถูกจ้างมาพระเจา้ ข้า แตก่ ลมุ่ น้ี เมอื่ ไปเหน็ พระพุทธองค์ เกิดใจอ่อน ไดฟ้ ังเทศน์เขา้ ด้วย เลยสารภาพ เรื่องของตน ตอ่ พระพทุ ธองค์ แลว้ พระพทุ ธองค์กส็ ง่ ให้เขากลบั เสยี อกี ทางหนงึ่ ไม่ใช่ทาง ทพ่ี ระเทวทัตส่ังไป 26

เมื่อพระเทวทัตส่งกลุ่มแรกไปแล้ว จึงส่งกลุ่มท่ี ๒ ไปอีก ๔ คน ให้ไปฆ่ากลมุ่ แรกเพ่ือปดิ ปาก แล้วส่งกลุ่มท่ี ๓ ไปอกี ๘ คน ให้ไปฆ่ากลมุ่ ที่ ๒ เพอ่ื ปิดปากอีก แตเ่ พราะกลมุ่ แรกท�ำ ไมส่ �ำ เรจ็ จงึ เสยี เรอ่ื งทง้ั หมด นก่ี เ็ พราะ พระเทวทัตหมายจะปดิ ปากกลมุ่ แรกและกลุ่มที่ ๒ ทร่ี ู้เรอ่ื งของตน นัน่ เอง นีแ่ หละการร้เู รือ่ งของคนอื่น แมไ้ ม่ต้องพดู ก็มโี ทษอยา่ งนี้ ๓. เมอ่ื รแู้ ลว้ พดู ไป เปน็ ตอ้ งมโี ทษแน่ ในพงศาวดารกรงุ เกา่ ที่เขาเอามาทำ�เป็นละครเร่ืองหนึ่ง ให้ชื่อเรื่องว่า ขุนศึกมหาราช เปน็ เรอื่ งตอนแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ในเร่ืองนน้ั มีตอนหนงึ่ กล่าวถงึ นางรำ�เพย เมียหมืน่ หาญ เธอไปรูเ้ รอ่ื งของ ฝ่ายพระเพทราชา วา่ คิดขบถ แลว้ นางเอา เรอ่ื งนั้นไปบอกทางฝ่าย สมเดจ็ พระนารายณเ์ ข้า เลยถูกฆ่า น่นั ก็เพราะ พูดเรือ่ งของคนอน่ื ท่ีไม่ควรพูด จึงถูกฆา่ ปดิ ปาก ๔. ไม่ต้องถึงเร่ืองคนอ่ืน เร่ืองของตนเองนี่แหละ ถ้าเป็น เรอื่ งทไ่ี มค่ วรพูด ไปพูดเขา้ กท็ �ำ ตวั ใหถ้ งึ ตายได้ 27

มีนิทานเร่ืองหน่ึงชื่อว่าเร่ืองเต่าเหาะ ท่านเล่ากันสืบมาว่า มีสระน�ำ้ ใหญแ่ ห่งหน่งึ มีนำ้�ใสสะอาด บวั ชมุ ข้นึ งามสะพร่งั มีปลา และเตา่ อาศยั อยใู่ นสระนเี้ ปน็ จ�ำ นวนมากสบื ลกู สบื หลานมาชา้ นาน มีหงส์ ๒ ตัว ได้มาอาศัยอาบกินในสระน้ีเป็นประจำ�จน คุน้ เคยกับเต่า รักใครก่ ันสนทิ สนม ต่างรา่ เรงิ ใจด้วยกันท้งั สองฝ่าย ต่อมาสระน้ันแห้ง บัวตาย ปลาเล็กปลาน้อยก็ตาย หงส์ ๒ ตวั สงสารเต่าซงึ่ เปน็ เพือ่ นรกั ใครก่ ันมาก คดิ จะชว่ ยเตา่ จงึ ชวน เต่าวา่ ที่ป่าใหญโ่ นน้ มีสระน�ำ้ ใหญ่ มีน้�ำ และสตั ว์น�้ำ บรบิ รู ณ์ คร้ันจะใหเ้ ตา่ เดินไปก็ สุดวสิ ยั เพราะทางไกล และตอ้ งผา่ นหมู่บา้ น เกรงจะมีภัยอันตราย จงึ คิดอุบายจะให้เต่า คาบไม้ แลว้ หงสท์ ้งั สอง จะคาบไมห้ วั ทา้ ยพาบินไป แต่เอาสญั ญากบั เต่าวา่ พูดไมไ่ ดต้ ลอดทาง ถา้ เผลอพดู กจ็ ะพลัด ตกลงตายทนั ที ตกลงกนั ดแี ลว้ หงสใ์ หเ้ ตา่ คาบกลางทอ่ นไมเ้ ลก็ ๆ แลว้ หงส์ คาบทางหวั ไม้ทงั้ สองข้างพาเตา่ บินไปในอากาศ 28

ขณะทบ่ี นิ ผา่ นทงุ่ นาแหง่ หนง่ึ เดก็ เลย้ี งววั กลมุ่ หนง่ึ มองเหน็ หงสพ์ าเตา่ มาอยา่ งนน้ั จงึ วง่ิ ตามรอ้ งตะโกนวา่ เตา่ เหาะ..! เตา่ เหาะ..! เต่าโกรธเด็ก ลืมตัว จะร้องด่าเด็ก พออ้าปากก็หลุดจากไม้ ตกลง มาตายทนั ที สว่ นหงส์ก็ทิ้งไมบ้ นิ ไปยังทขี่ องตน ๕. นิทานเรื่องน้ีสอนให้รู้ว่า พูดเร่ืองที่ไม่ควรพูด ในเวลา ทไี่ มค่ วรพูด ในทที่ ไ่ี ม่ควรพูด ทำ�ใหถ้ ึงตายไดเ้ หมอื นเตา่ นี้ เต่าตาย เพราะปากตรงกับสภุ าษติ ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ สอนวา่ “รแู้ ลว้ พดู ไปสองไพเบย้ี รแู้ ลว้ นง่ิ เสยี ตำ�ลงึ ทอง” 29

คำ�ถามประจำ�บท ๑. ค�ำ วา่ ปลาหมอตาย ๓. เพราะปาก หมายความ วา่ อยา่ งไร ? ๒. ค�ำ วา่ ฆา่ ปิดปาก พระเทวทัตสง่ หมายความว่า นายขมงั ธนไู ปท�ำ อะไร ? อยา่ งไร ? ทำ�ไมจงึ ท�ำ ไม่ได้ ? ๔. ๕. ค�ำ วา่ “รแู้ ล้วพดู ไป พระพทุ ธเจ้าบอก สองไพเบยี้ ” กบั นายขมงั ธนอู ยา่ งไร ? “ร้แู ล้วน่งิ เสยี ต�ำ ลึงทอง” หมายความอย่างไร ? ๖. จงเล่าเร่ืองเตา่ เหาะ อยา่ งยอ่ ๆ ใหฟ้ ังดว้ ย ? 30

บท๓ท่ี พดู ดีเป็นเงนิ เป็นทอง แกนะ่ ทำํ� ข้าไมไ่ ด้ท�ํำ พดู ไม่ดเี สยี ขา้ ว เสยี ของ ๑. เดก็ ๆ ไดอ้ ่านบทต้น ๆ มาแล้ว คงจะเข้าใจได้แล้ววา่ พดู ดีและพูดไม่ดีนัน้ หมายความว่าอย่างไร คำ�ไมด่ นี ั้น มีมากอยา่ ง ดว้ ยกนั ค�ำ หยาบกเ็ ปน็ ค�ำ ไมด่ ี ค�ำ ออ่ นหวานเปน็ ค�ำ ดี เมอ่ื รวู้ า่ ค�ำ หยาบ เปน็ ค�ำ ไมด่ ี เราทง้ั หลายก็ไม่ควรพดู เพราะคำ�หยาบนน้ั ไม่เป็นคำ� ทีป่ ลกู ความรักใคร่กนั เลย พระพุทธเจ้าก็ทรงติเตียน ดังท่ีตรัสสอนไว้ว่า ขึ้นชื่อว่า ค�ำ หยาบแลว้ ยอ่ มท�ำ ความพนิ าศให้ ท�ำ ใหก้ ลายเปน็ สตั วเ์ ดยี รจั ฉาน ไปกไ็ ด้ ท�ำ ใหไ้ ดฟ้ งั แตค่ �ำ ทไ่ี มน่ า่ ฟงั ทง้ั นน้ั เรอ่ื งพดู ค�ำ หยาบนอ้ี ยา่ วา่ ถึงจะพูดกับคนเลย แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานได้ฟังคำ�หยาบเข้า ยังทำ� เจ้าของใหต้ อ้ งเสยี ข้าวเสยี ของได้ ดังเร่อื งต่อไปนี้ 31

๒. มีเรื่องเล่าว่า ครั้งดึกดำ�บรรพ์ มีพราหมณ์คนหนึ่งเป็น ชาวเมืองตกั ศิลา แควน้ คนั ธาระโบราณ อยมู่ าวันหนึ่ง พราหมณ์คนน้ี ไปได้ลูกโคมาตวั หน่งึ เพิ่งเกดิ ใหม่ยงั เล็กอยู่ พราหมณต์ ง้ั ช่อื ให้วา่ นนั ทิวิศาล พราหมณเ์ ลย้ี งโคตวั นเ้ี หมอื นเลย้ี งลกู ของตวั เอง ใหข้ า้ วปลา อาหารกินเหมอื นคน โคนันทิวิศาลเป็นโคพิเศษ เมื่อโตขึ้นมีกำ�ลังมาก สามารถ ลากเกวยี นท่ีบรรทุกของเตม็ ไปไดท้ เี ดียวตัง้ ร้อยเลม่ โคนนั ทิวศิ าล รบู้ ุญคณุ ของพราหมณ์เจ้าของ ปรารถนาจะ ช่วยเหลอื พราหมณ์ อยู่มาวนั หน่ึง ได้โอกาสจงึ บอกกบั พราหมณว์ า่ ทา่ นพราหมณ.์ .! ทา่ นจงไปหาเศรษฐใี นเมอื งน้ี บอกเศรษฐี วา่ เรามีโคตัวหน่ึงมีกำ�ลังมาก สามารถจะลากเกวยี นทบ่ี รรทกุ ของ เตม็ รอ้ ยเลม่ ไปไดพ้ รอ้ ม ๆ กนั แลว้ ทา้ พนนั กบั เศรษฐี ตง้ั เดมิ พนั กนั สกั พนั ต�ำ ลงึ กไ็ ด้ พราหมณ์ทำ�ตาม พนนั กันไหม ได้เลย ทโ่ี คแนะน�ำ นั้น ท่านเศรษฐีตกลง รับค�ำ ทา้ พนนั ก�ำ หนดวนั เรยี บรอ้ ยแล้ว 32

พอถงึ วนั ก�ำ หนด ทา่ นพราหมณจ์ งึ ขอใหท้ า่ นเศรษฐจี ดั เกวยี น ๑๐๐ เล่ม บรรทุกกรวดทรายและหินจนเต็มทั้งร้อยเล่ม เอาไม้ไผ่ มาผ่าขนาบผูกเกวียนท้ังร้อยเล่ม ให้ติดเนื่องกันเป็นแถวเดียวกัน ตามปรกติ โคตวั เดยี วจะลากเกวยี นไดต้ ั้งร้อยเลม่ นนั้ ไม่ไดเ้ ลย พอถึงเวลาที่กำ�หนดไว้ ท่านเศรษฐีก็มายังสนามพร้อมกัน ทา่ นพราหมณจ์ ึงน�ำ โคนนั ทวิ ิศาลมาเทยี มแอก แล้วตนเองกข็ นึ้ น่ัง ลากไปเลยไอโ้ คโกง บนเกวียนเล่มแรก เอาปฏักตโี คลงไป แลว้ รอ้ งตวาดวา่ เฮ้ย..! เจ้าโคโกง..! เจ้าจงลากไป เจ้าโคโกง..! เจ้าจงลากไป โคนนั ทวิ ศิ าลไดฟ้ งั ค�ำ หยาบเชน่ นน้ั เขา้ กเ็ กดิ ไมช่ อบใจขน้ึ มา ทนั ที จงึ ยนื เฉยเสยี ไมย่ อมลากเกวยี นไป แมพ้ ราหมณจ์ ะตสี กั เทา่ ไร กไ็ มย่ อมลากไป คงยนื เฉยอยนู่ น่ั เอง เลยพราหมณต์ อ้ งแพท้ า่ นเศรษฐี ตอ้ งเสียทรัพย์พนั ต�ำ ลึง พราหมณโ์ กรธโคเปน็ ก�ำ ลงั จงึ ปลดโคปลอ่ ย ไปตามยถากรรม ตนเองต้องเสยี อกเสียใจเพราะผดิ หวัง ดซู ิ..! โคเปน็ สตั ว์เดียรจั ฉานแท้ ๆ ท้งั ๆ ทีม่ กี �ำ ลงั มากมาย ทง้ั ตง้ั ใจสนองคณุ พราหมณด์ ว้ ยซ�ำ้ แตพ่ อไดฟ้ งั ค�ำ หยาบของเจา้ ของ เขา้ เทา่ นน้ั กใ็ จตก ยนื เฉยเสยี ไมย่ อมลากเกวยี น แมจ้ ะถกู ตเี จบ็ ตวั สกั เท่าไร กย็ นื เฉย 33

ดเู อาเถอะ สตั วแ์ ท้ ๆ ยงั ไมช่ อบค�ำ หยาบเลย ไม่จำ�ต้องพูด ถึงคน อย่าวา่ แต่คนอื่นเลย ตนเองผ้พู ูดค�ำ หยาบน้ันเองแหละ กไ็ ม่ ชอบคำ�หยาบเหมือนกนั เพราะฉะน้นั เราจงึ ไม่ควรพูดหยาบ นแี่ หละที่ทา่ นว่า “พดู ไม่ดเี สียข้าวเสยี ของ” ๓. เรอ่ื งเดยี วกนั นน้ั ฝา่ ยโคนนั ทวิ ศิ าล เมอ่ื ถกู ปลอ่ ยเชน่ นน้ั ตนเองก็รู้ตัวว่าทำ�รุนแรงไปเหมือนกัน แต่ก็ได้ทำ�ไปแล้ว ในใจนั้น ก็คิดจะสนองคณุ พราหมณ์เจ้าของอยูเ่ สมอ เมอ่ื เทย่ี วหากนิ ไปตามล�ำ พงั เหน็ พอควรแลว้ จงึ กลบั มาบา้ น เหน็ พราหมณย์ งั เศรา้ โศกอยู่จงึ บอกกบั ทา่ นพราหมณว์ ่า ท่านพราหมณ์..! ท่านจงไปท้าพนันกับท่านโควินทเศรษฐี อีก แต่คราวนี้ท่านต้องตั้งเดิมพันขึ้นไปให้ถึงสองพันตำ�ลึง แต่ต้อง ขอรอ้ งทา่ นเป็นพิเศษวา่ ทา่ นอย่าพูดค�ำ หยาบเชน่ นน้ั อกี พราหมณ์รับคำ�แล้ว จึงไปท้าพนันกับท่านโควินทเศรษฐี ตกลงก�ำ หนดเวลากันแน่นอนแล้ว พอถึงกำ�หนดนัด ท่านพราหมณ์จงึ นำ� ขอบใจมากนะ โคนนั ทิวศิ าลไป เทยี มเกวยี นทจี่ ดั เตรยี มไวพ้ รอ้ มแล้ว ข้ึนน่ังบนเกวยี นเล่มแรก แล้วแกว่งปฏักไปมา ร้องปลอบโคว่า พอ่ มหาจ�ำ เรญิ ..! พ่อจงลากเกวียนไปเถิด 34

โคนนั ทวิ ศิ าลไดฟ้ ังค�ำ หวานเช่นน้ัน มีความดใี จ ไดก้ ำ�ลงั ใจ ลากเกวียนทั้งร้อยเล่มไปได้ เหมือนโคลากเกวียนเล่มเดียวฉะนั้น และลากไปได้ตั้งร้อยชั่วตัวเกวียน จนท่านเศรษฐีหมดสงสัย ท่าน พราหมณ์ชนะพนันได้ทรัพยส์ องพันต�ำ ลงึ ดเู ถดิ โคแท้ ๆ ยงั ชอบค�ำ หวาน ทา่ นพราหมณก์ ลา่ วค�ำ หวาน โคมกี ำ�ลังใจลากเกวยี นไปไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย ท�ำ ใหพ้ ราหมณไ์ ดท้ รัพย์ มากมาย เพราะฉะน้ัน เราจึงควรพูดแต่คำ�ที่อ่อนหวาน ไม่ควรพูด คำ�หยาบเลยเด็ดขาด ไมว่ า่ ในกาลไหน ๆ นแี่ หละโบราณท่านจงึ กลา่ ววา่ “พูดดเี ปน็ เงินเปน็ ทอง” 35

ค�ำ ถามประจ�ำ บท ๑. เพราะอะไร เราจึงไม่ควรพูด คำ�หยาบ ? ๒. ๓. พระพทุ ธเจ้า ทวี่ า่ “พูดไมด่ ีเสียข้าว ทรงตเิ ตียนคำ�หยาบไว้ อยา่ งไรบา้ ง ? เสียของ” นน้ั หมายความว่า อยา่ งไร ? ๔. ๕. ทีว่ า่ “พดู ดีเปน็ เงิน เราควรพูด คำ�อยา่ งไร ? เป็นทอง” น้นั หมายความว่า อยา่ งไร ? 36

บท๔ที่ มะมเ่วรงอื่ มงนตร์ ๑. ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ คนปากเหมน็ นน้ั มไิ ดห้ มายความวา่ ไม่ล้างปาก ไมแ่ ปรงฟนั ปากจงึ เหม็น ค�ำ วา่ ปากเหมน็ ในทน่ี ห้ี มายถงึ พดู ไมด่ ี พดู ไมด่ มี หี ลายอยา่ ง ดว้ ยกัน มอี ยา่ งหนึง่ ท่สี �ำ คัญ คอื พูดเทจ็ พูดเท็จ คือ พูดไม่จรงิ คือพูดกลับจรงิ เป็นเท็จ หรือกลับเทจ็ เปน็ จริง เชน่ มี บอกวา่ ไมม่ ี รู้ บอกวา่ ไมร่ ู้ หรือไม่มี บอกวา่ มี ไมร่ ู้ บอกวา่ รู้ เหน็ บอกว่าไม่เหน็ หรือไม่เห็น บอกว่าเห็น รอู้ ยา่ งหนึง่ บอกเสียอีกอย่างหน่ึง ไมต่ รง ตามเปน็ จรงิ และคำ�น้นั ทำ�ลายประโยชนท์ ั้งผูพ้ ดู ผู้ฟงั น้เี รียกวา่ คำ�เทจ็ หรอื พูดเทจ็ ๒. ท่านสอนไว้ว่า ไม่ควรพูดคำ�เท็จ เพราะคนพูดเท็จ ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ที่ควรได้ และเสื่อมจากประโยชน์ที่ได้ไว้ แล้วดว้ ย นอกจากนน้ั แลว้ คนพดู เทจ็ ยงั จะตอ้ งตกทกุ ขไ์ ดย้ าก ทไ่ี มน่ า่ จะเป็นอกี ดว้ ย ดงั เรือ่ งมะม่วงมนตร์ 37

ทา่ นเลา่ กนั สบื ๆ มาวา่ ครัง้ ดกึ ดำ�บรรพ์ มหี ม่บู า้ นชาวปา่ ต�ำ บลหนง่ึ ชายแดนกรงุ พาราณสี มชี ายคนหนง่ึ เกดิ ในหมบู่ า้ นนน้ั แตเ่ ปน็ คนฉลาดเฉียบแหลม เขามมี นตร์เสกมะม่วงใหอ้ อกผลได้ใน คราวที่ไมใ่ ช่ฤดกู าล พอรุง่ เชา้ ชายคนนนั้ เขา้ ไปยนื อยู่ ที่ใกลต้ ้นมะมว่ ง ประมาณสัก ๗ กา้ ว เสกน�ำ้ มนตรร์ ดต้นมะมว่ ง ดว้ ยอ�ำ นาจของมนตรน์ น้ั มะมว่ งกผ็ ลดั ใบ แตกใบออ่ น ออกชอ่ จอ่ ลูก ติดลูก โตเป็นขบเผาะ เข้าไคล แก่ สุก ในเวลาไมน่ านนัก ชายนน้ั เกบ็ ผลมะมว่ งกนิ เอง ใหล้ กู เมยี กนิ แลว้ เกบ็ ขายเลย้ี งตวั และ ครอบครวั ให้อยเู่ ป็นสุขสบายตามควรแก่อัตภาพของชาวป่า ๓. ในกาลนน้ั มพี ราหมณห์ นมุ่ คนหนง่ึ เดนิ ทางมาถงึ ถน่ิ นน้ั ไดก้ นิ มะม่วง ไดเ้ ห็นชายชาวปา่ เสกนำ�้ มนตรร์ ดมะมว่ ง ชอบใจมาก จึงขอเรียนมนตร์นั้น ทา่ นอาจารย์ จากชายชาวปา่ คนนั้น สอนมนตร์ผมดว้ ย ท่านไมห่ วงวชิ า ขอแตเ่ พียงให้พราหมณ์ กราบทา่ นเทา่ นั้น ทา่ นกส็ อนให้ด้วยดี พราหมณเ์ รยี นมนตร์ ทดลองมนตรจ์ นช�ำ นชิ ำ�นาญ คลอ่ ง- แคลว่ ดแี ลว้ ชายชาวปา่ เหน็ ฝกึ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ ดแี ลว้ จงึ บอกวา่ ทา่ นเรยี น 38

วชิ าส�ำ เรจ็ แลว้ ประสทิ ธม์ิ นตรใ์ หพ้ ราหมณห์ นมุ่ กอ่ นทพ่ี ราหมณม์ าณพ จะลากลบั บา้ น ชายชาวปา่ สอนพราหมณม์ าณพผเู้ ปน็ ศษิ ยข์ องตนวา่ “พอ่ มหาจำ�เริญ..! พอ่ เปน็ ชาวเมือง เป็นคนมีตระกูล มนตร์นีม้ คี ่า ยิ่งนัก ไม่สามารถจะคิดคำ�นวณเป็นเงินเป็นทองได้ เราประสิทธิ์ มนตรน์ ใ้ี หท้ า่ นแลว้ ทา่ นอาศยั มนตรน์ เ้ี ลย้ี งชพี ไดอ้ ยา่ งเปน็ สขุ ส�ำ ราญ หรอื แม้ไมถ่ ึงอย่างนั้น มนตร์นีก้ จ็ ะชว่ ยไม่ใหท้ ่านตอ้ งอดตาย แตเ่ ราจะตอ้ งขอร้องพอ่ อยา่ งหนงึ่ พ่อตอ้ งถอื สตั ย์ ตอ้ งไม่ พดู เทจ็ เปน็ เดด็ ขาด เมอ่ื พอ่ กลบั ไปบา้ นไปเมอื งแลว้ แสดงมนตรน์ ใ้ี ห้ ปรากฏแกค่ นทง้ั หลายแลว้ หากมใี ครมาถามพอ่ พอ่ กไ็ มค่ วรละอาย ไม่ควรปดิ บงั พอ่ ต้องตอบเขาตามตรงว่า เรยี นมาจากชายชาวปา่ ถ้าพอ่ อายปดิ บงั เขา พดู ไปเสยี อีกทางหน่ึง มนตร์ทเี่ ราประสิทธิใ์ ห้ จะเส่อื มทนั ท”ี ๔. พราหมณ์มาณพรบั คำ�แล้ว กราบลาท่านอาจารยก์ ลับ ภูมิล�ำ เนา เม่อื มาถึงกรุงพาราณสแี ล้ว จึงเสกตน้ มะมว่ ง มะมว่ งเสกพะยะค่ะ นำ�ผลมะมว่ งขึน้ ทลู เกลา้ ถวาย พระเจา้ กรงุ พาราณสี ทรงโปรดปราน พระราชทานรางวัลมากมาย อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากรุงพาราณสีเสด็จมาถึงสำ�นักของ พราหมณม์ าณพนัน้ ตรัสถามเขาว่า “พ่อมาณพ..! เจา้ เรยี นมนตร์ บทนี้มาจากครไู หน” 39

พราหมณ์หนุ่มนึกละอายท่ีจะต้องกราบทูลตามเป็นจริงว่า เรยี นมาจากชายชาวปา่ จงึ เพด็ ทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองค์ ขา้ พระพทุ ธเจา้ เรยี นมาจากส�ำ นกั อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ เมอื งตกั ศลิ า แควน้ คนั ธาระ โน้น พระเจ้าข้า” พรอ้ มกบั ทพ่ี ราหมณก์ ราบทลู นน้ั มนตรก์ เ็ สอ่ื มทนั ที เพราะ เขาเสียสัตย์และเพราะเหตุที่เขาเสียสัตย์น้ันแหละเขาลืมบทมนตร์ หมดจรงิ ๆ ๕. อยมู่ าวนั หนง่ึ พระเจา้ กรงุ พาราณสเี สดจ็ พระราชอทุ ยาน โปรดให้พราหมณ์หนุ่มนำ�ผลมะม่วงมาถวาย เขาพยายามนึกถึง บทมนตรพ์ อไดบ้ า้ ง เขารา่ ยมนตรเ์ สกตน้ มะมว่ งเสกเทา่ ไรกไ็ มส่ ามารถ จะใหม้ ะม่วงออกผลได้เหมือนเดิม เพราะมนตร์เสื่อมไมม่ ฤี ทธ์ิแล้ว พระเจ้ากรงุ พาราณสที รงพระพโิ รธพราหมณ์หน่มุ นน้ั มาก โปรดให้ ไสหวั มนั ออกไปใหพ้ น้ บา้ นเมอื ง พวกเจ้าพนักงานรับพระโองการจัดการเนรเทศพราหมณ์ หนมุ่ นน้ั ออกไปจากเมอื ง แลว้ บอกพราหมณ์นน้ั ว่า ออกจากเมอื ง ทา่ นจงกลับไปหา ไปเดีย๋ วน้ี ท่านอาจารยข์ องท่านเถิด เอาอกเอาใจท่าน รับผิดรับชอบกบั ท่านเสีย ลกุ ะโทษตัวเองเสยี ทา่ นอาจารยค์ งจะกรุณาอีก เพราะตามธรรมดา อาจารย์ย่อมใจออ่ นในลูกศษิ ยอ์ ยู่แล้ว เมอ่ื ทา่ นกรณุ าและประสทิ ธม์ิ นตร์ให้อกี ท่านกอ็ ย่าคิดอย่างน้ันอกี ก็แล้วกนั และขอใหก้ ลบั มาเมอื งนใ้ี หม่ แล้วอยา่ หายไปไหนเสียนะ 40

พราหมณน์ น้ั ออกจากเมอื งไป หาทพ่ี ง่ึ พาอาศยั มไิ ด้ เดนิ ทาง ไปหาทา่ นอาจารย์ลุกะโทษตนเอง ขอเรยี นมนตรอ์ ีก ชายชาวปา่ ผเู้ ป็นอาจารยร์ บั ให้อยอู่ าศัย สังเกตดอู ธั ยาศัย ใจคออยพู่ อควรแลว้ เหน็ วา่ พราหมณค์ นน้ี เปน็ คนเนรคณุ ในสนั ดาน จงึ บอกวา่ เจ้าทรงมนตรไ์ ว้ไมไ่ ด้แลว้ อยา่ เรียนเลย จงกลับไปบา้ น ไปเมืองของตนเถิด แลว้ สง่ พราหมณน์ น้ั กลบั ไป พราหมณ์น้ันคดิ ว่า ลํำ�บากแลว้ เรา เราไมค่ วรจะอยู่ ในบ้านเมืองต่อไปแลว้ จงึ บา่ ยหนา้ เข้าปา่ ตกระกำ�ลำ�บาก ไปตามยถากรรม ๖. เรอ่ื งนส้ี อนใหร้ วู้ า่ ค�ำ เทจ็ นน้ั เปน็ ค�ำ ไมด่ แี น่ ใครพดู กต็ อ้ ง เดอื ดรอ้ น แมม้ ีมนตร์วเิ ศษอยกู่ ต็ ้องเสอื่ มเหมือนพราหมณค์ นน้ี เพราะเหตนุ ้ี คนโบราณจึงสอนว่า “เสียชีพอย่าเสียสตั ย”์ หรอื วา่ “ถึงไม่มีศลี กใ็ ห้มีสตั ย์” ยังเปน็ คนใช้ได้ กล่าวถึงพราหมณ์คนนี้ เขาเสยี ทั้งสองอยา่ ง คือ เสียสตั ยท์ ่ี ใหไ้ วแ้ กอ่ าจารย์ และเปน็ คนเนรคณุ คน เหน็ อาจารยเ์ ปน็ คนต�ำ่ ตอ้ ย ไมย่ อมแสดงใหใ้ ครรวู้ า่ เปน็ อาจารย์ ไดช้ อ่ื วา่ มสี นั ดานเปน็ คนเนรคณุ อาจารยจ์ งึ ไมย่ อมสอนมนตรใ์ หอ้ กี กเ็ พราะเหน็ วา่ เขาไมส่ ามารถจะ ทรงคุณเช่นนัน้ ได้ เรอ่ื งพดู เทจ็ เปน็ สง่ิ ไมด่ อี ยา่ งน้ี เราทง้ั หลายจงึ ไมค่ วรพดู เลย เป็นเด็ดขาด 41

ค�ำ ถามประจ�ำ บท ๑. ค�ำ เทจ็ คอื ค�ำ อย่างไร ? ๒. ๓. พูดเทจ็ เสียชีพอยา่ เสียสัตย์ คอื พดู อยา่ งไร ? หมายความอยา่ งไร ? ๔. ๕. แม้ไม่มีศีล กใ็ ห้มีสัตย์ จงเล่าเรอื่ ง มะม่วงมนตร์ หมายความวา่ มาใหฟ้ ังโดยย่อ ? อย่างไร ? 42

บท๕ท่ี คำ�สัตย์ เปน็ ค�ำ ไม่ตาย ๑. มีพระพทุ ธภาษติ บทหนงึ่ วา่ “สจจฺ ํ เว อมตา วาจา” แปลว่า “คำ�สัตยเ์ ปน็ ค�ำ ไมต่ าย” หรือวา่ “คำ�จริงเป็นคำ�ไมต่ าย” พระพุทธภาษิตบทนีพ้ ูดกันอยูท่ ่วั ไป ใคร ๆ ก็ได้ยนิ ถึงเดก็ นกั เรยี นกค็ งจะไดย้ นิ แตถ่ า้ เปน็ เดก็ โตหนอ่ ยกม็ กั จะจ�ำ เอามาพดู ดว้ ย ซ�ำ้ ไป หรอื บางทคี รทู า่ นเอามาตง้ั เปน็ หวั ขอ้ ใหเ้ ดก็ โตเขยี นเรยี งความ ๒. ยงั มคี �ำ อกี ค�ำ หนง่ึ ไดย้ กมาพดู ในบทกอ่ นแลว้ วา่ “เสยี ชพี อยา่ เสยี สตั ย”์ ค�ำ เหลา่ นเ้ี ปน็ สภุ าษติ ทง้ั นน้ั แตล่ ะค�ำ ๆ มคี วามหมาย ว่า คำ�จริง หรอื ค�ำ สตั ย์ น้เี ป็นค�ำ ท่ีดี ใครพูดคำ�สตั ย์ หรือพดู ค�ำ จรงิ แม้จะตายก็ยังไม่ต้องตาย เช่น จะถูกฆ่า เมื่อพูดคำ�สัตย์ก็ทำ�ให้ รอดตายได้ คอื ไมต่ อ้ งถกู ฆา่ 43

ขอ้ นจ้ี ะเหน็ ไดง้ า่ ย เชน่ คนทบ่ี นั ดาลโทสะ ฆา่ คนตาย ถา้ เขา ปฏิเสธตอ่ ศาลว่าเขาไมไ่ ด้ฆา่ แตเ่ ขาต้องจำ�นนด้วยพยานหลกั ฐาน ศาลกจ็ ะลงโทษเขาถึงประหารชีวิตใหต้ ายตกไปตามกนั แตใ่ นเรอ่ื ง เดยี วกนั นแ้ี หละ ถา้ เขาสารภาพตอ่ ศาลดว้ ยดี เมอ่ื ศาลพสิ จู นไ์ ดจ้ รงิ ตามที่เขาสารภาพ ศาลก็จะลดโทษให้ คือ ไม่ต้องประหารชีวิต นี้รอดตายก็เพราะพดู จริง ๓. ค�ำ สัตยส์ �ำ คัญอย่างไร จงฟงั เรอื่ งตอ่ ไปน้ี คร้งั พุทธกาล มีหญิงคนหนึ่ง เปน็ ชาวเมืองพาราณสี หญงิ คนนไ้ี ม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล ไมเ่ คยไหว้พระ ไมเ่ คยฟงั เทศน์ อยา่ งจรงิ จงั เลย หญงิ คนนร้ี กั ษาแตค่ วามสตั ยเ์ ทา่ นน้ั ตอ่ มานางมสี ามี มลี ูก นางกไ็ มท่ ง้ิ ความสัตย์นน้ั เมอื่ นางตายแล้วได้ข้ึนถึงสวรรค์ ครง้ั หนง่ึ ทา่ นพระโมคคลั ลานเถระจารกิ ไปในสวรรค์ ไปพกั อยูต่ รงหนา้ ประตูวิมานของนางเทพธดิ าตนน้ัน เห็นสมบตั ิของเธอ มากมาย จึงถามเธอว่า ทํำ�บุญอะไรไว้ รกั ษาความสัตยเ์ จา้ ค่ะ ท่านทำ�บญุ อะไรมา ละ่ โยม จงึ ได้สมบตั ถิ ึงอย่างนี้ นางเทพธิดากระดากทา่ น ดว้ ยคดิ วา่ ทำ�บญุ เล็กนอ้ ยเหลือเกนิ จึงไม่อยากจะกราบเรียนท่าน แตพ่ ระเถระกข็ อรอ้ งใหต้ อบใหท้ ราบดว้ ย เพอ่ื จะไดน้ �ำ ความน้ี ไปบอกกบั พวกมนษุ ย์ นางไมส่ ามารถจะปกปดิ ได้ จงึ กราบเรยี นทา่ น วา่ “ดิฉันรักษาความสตั ย”์ เจา้ คะ 44

๔. เมอ่ื พระเถระกลบั มายงั มนษุ ยโลกแลว้ ไดเ้ ขา้ เฝา้ พระ- พุทธองค์ กราบทูลถามถึงเรื่องนั้นว่า “พระเจ้าข้า..! ความสัตย์ อยา่ งเดียวเท่านั้น ทำ�ให้ไปสวรรคไ์ ดห้ รือ” ตรัสวา่ โมคคลั ลาน เปน็ เช่นนัน้ แหละ โมคคลั ลานะ เธอถามตถาคต ทำ�ไมอกี เลา่ นางเทพธิดา บอกเธอแล้วไม่ใชห่ รือ แลว้ ตรสั ตอ่ ไปวา่ ไมใ่ ชแ่ ตน่ างเทพธดิ าตนนน้ั เทา่ นน้ั ถงึ ใคร ๆ ทรี่ ักษาความสตั ย์ก็ไปสวรรค์ได้เช่นกัน เร่อื งนแี้ สดงวา่ ความสัตย์อย่างเดยี วก็ท�ำ ให้ไปสวรรค์ได้ ๕. อกี เร่ืองหน่งึ ทา่ นกล่าววา่ ค�ำ สัตย์เปน็ ค�ำ ไม่ตาย มีเรือ่ ง เลา่ ว่า ครง้ั ดกึ ด�ำ บรรพ์มีราชเสวกของพระเจา้ โกรพ กรงุ อินทปตั ถ์ คนหนึ่งชื่อวิธุร ท่านเป็นคนมีความสัตย์ แม้รู้อยู่ว่าจะต้องไปตาย ทา่ นกไ็ ม่ยอมเสยี สตั ย์ คราวหนง่ึ ปณุ กยกั ษ์ อยากไดห้ วั ใจพระวธิ รุ แตจ่ ะจบั ฆา่ ตรง ๆ กท็ �ำ ไมไ่ ด้ เพราะผตู้ อ้ งการหวั ใจทใ่ี ชป้ ณุ กยกั ษม์ านน้ั ไมต่ อ้ งการให้ ฆา่ พระวธิ รุ ปณุ กยกั ษจ์ งึ มาทา้ พนนั กบั พระเจา้ โกรพ สญั ญาวา่ ถา้ ยกั ษ์ แพจ้ ะถวายแกว้ มณโี ชตกิ บั มา้ มโนมยั ถา้ พระเจา้ โกรพแพ้ จะพระ- ราชทานแควน้ อนิ ทปตั ถ์ ยกเวน้ แตพ่ ระองคก์ บั พระประยรู ญาตแิ ละ ราชบลั ลังก์ 45

เม่อื ไดเ้ ลน่ สกาพนนั กัน พระองค์แพ้แลว้ พระเจ้าโกรพแพ้ จำ�ต้องพระราชทาน ตามสญั ญา โปรดให้ ยักษ์เลือกเอาสมบัติ ตามปรารถนา ปณุ กยักษ์เลือกเอาพระวธิ รุ พระเจ้าโกรพไม่ยอมพระราชทาน อ้างว่า พระวิธุรเป็น เหมอื นพระญาตริ ่วมสายโลหติ พระราชทานไมไ่ ด้ เปน็ ขอ้ ยกเว้น ตามสญั ญา แต่ปณุ กยกั ษ์ไมเ่ ถียง ขอใหพ้ ระวิธุรเปน็ ผู้ตัดสนิ วา่ จะเป็น พระญาติตามท่อี ้างหรือไม่ พระวิธุรรับพิจารณาเรื่องนั้น เห็นทางเดียวว่า ความสัตย์ เทา่ นั้นทีจ่ ะชว่ ยได้ จึงตัดสนิ ตามเป็นจริงว่า ทา่ นเปน็ ราชเสวก ไมใ่ ชพ่ ระญาติ พระเจา้ โกรพ จ�ำ ตอ้ งพระราชทาน พระวิธรุ ให้ปณุ กยกั ษ์ ยกั ษ์จึงพาพระวธิ ุรไปด้วยหมายจะทรมานให้ตายเอง แลว้ จะแหวะควกั เอาหวั ใจ แตใ่ นทส่ี ดุ กไ็ มต่ อ้ งตาย เพราะยกั ษเ์ หน็ ความ สัตยข์ องพระวธิ ุร เรื่องนก้ี แ็ สดงว่าค�ำ สัตยเ์ ป็นค�ำ ไม่ตาย 46

๖. อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทา่ นเลา่ กนั สบื มาวา่ มนี ายพรานปา่ ชาวเมอื ง พาราณสคี นหนง่ึ วนั หนง่ึ เขา้ ปา่ ลา่ เนอ้ื ไปพบกนิ นรสองผวั เมยี เขา้ คู่หนึ่ง จึงจับเอามาถวายพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อรับสั่งถามว่า มนั ดอี ยา่ งไร นายพรานกราบทลู วา่ ขอเดชะ กนิ นรสองผวั เมยี คนู่ ร้ี อ้ งเพลง ไพเราะมาก ฟอ้ นร�ำ นา่ ดมู าก แตค่ นทง้ั หลายไมค่ อ่ ยจะไดเ้ หน็ เพราะ มนั อยปู่ ่าลึก พระเจา้ กรงุ พาราณสที รงโปรดพระราชทานรางวลั มากมาย แก่นายพราน ตอ่ มา ทรงโปรดใหก้ ินนรสองผัวเมยี ร้องเพลงบา้ ง ฟ้อนรำ�บ้าง ก็ทรงพอพระทัย กินนรสองผวั เมียคิดว่า ถา้ เรารอ้ งเพลงและฟ้อนร�ำ ไม่ดไี ด้ ดังประสงค์ เราก็จะเสียชื่อเสียง คนทั้งหลายก็จะตำ�หนิติเตียนได้ และอาจจบั เราฆา่ เสยี เมอ่ื ไรกไ็ ด้ ตามธรรมดาของคนทพ่ี ดู มาก กม็ กั จะอดโกหกไม่ได้ เขากลวั จะต้องพดู เท็จ จงึ ไมย่ อมรอ้ งเพลง แมพ้ ระเจา้ กรุงพาราณสี ไมร่ ้องจะจบั ไปฆา่ นะ จะรบั ส่งั อย่างไร ก็ไม่ยอมร้อง พระเจา้ กรุงพาราณสี กร้วิ มาก รบั สั่งว่า ถา้ มันไมร่ ้องก็จง ฆ่ามันแกงกนิ เสีย นางกินรีได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่า เราต้องถูกฆ่าแน่ เราจะทำ� อย่างไรดเี ล่า นางจงึ กล่าวขึ้นว่า 47

คำ�ไม่ดี ตัง้ รอ้ ยคำ�พันคำ� นิง่ เสยี ยงั ดีกวา่ ก็สู้คำ�ดเี พยี ง เสย้ี วเดยี วไม่ได้ พูดค�ำํ ไมด่ ี เราพูดไม่ดี ก็ตอ้ งเศร้าหมอง เพราะฉะนนั้ เราจงึ ตอ้ งน่งิ มใิ ชว่ ่าเราเป็นอนั ธพาลเลย ๗. พระเจา้ กรงุ พาราณสที รงโปรดนางกนิ รี รบั สง่ั ใหป้ ลอ่ ย เขา้ ปา่ ไป แตใ่ หแ้ กงกนิ นรในวันรุ่งขน้ึ ฝา่ ยกนิ นรผผู้ วั ไดฟ้ งั ดงั นน้ั จงึ คดิ วา่ เราตอ้ งถกู ฆา่ แน่ เราจะ ทำ�อยา่ งไรดี จึงตกลงใจกราบทลู ว่า พระเจ้าข้า ธรรมดาสัตว์เลี้ยงที่กินหญ้า ก็มีเมฆเป็นที่พึ่ง แต่พวกมนุษย์เลี้ยงชีพด้วยข้าวปลาอาหาร ก็มีสัตว์เลี้ยงเป็นที่พึ่ง ส่วนข้าพระบาทมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่ง ของข้าพระบาท เมียของข้าพระบาทมีข้าพระบาทเป็นที่พึ่ง และ ขา้ พระบาทเล่าก็เปน็ ทพ่ี ง่ึ ของเมีย ขา้ พระบาทสองผัวเมีย มีชวี ติ ร่วมกนั ไมส่ ามารถจะท้งิ กันได้ เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดให้ปล่อยเมีย ข้าพระบาทไปป่า ก็ขอได้โปรดรับสั่งให้ฆ่าข้าพระบาทเสียก่อน ให้นางเห็นว่าตายแล้วจึงโปรดใหป้ ล่อยไปในภายหลัง 48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook