เม่ือพราหมณ์กล่าวว่า “จงกล่าวเถิดท่านสมณะ” จึงตรัสบอกการที่พระองค์ถูกมารติดตาม ต้ังแต่ออก ผนวช จนถึงโคนต้นอชปาลนิโครธ และการประเล้า ประโลมอันธิดามารทั้งหลายผู้มาเพ่ือระงับความโศกของ มารน้ัน ผู้โศกาดูรอยู่ว่า ‘บัดน้ี พระสมณโคดมน้ีล่วง วิสัยแห่งเราเสียแล้ว’ ประกอบขึ้นด้วยสามารถแห่งเพศ นางกุมาริกาเป็นต้น ที่โคนต้นอชปาลนิโครธ แล้วตรัส พระคาถาน้ีว่า เรามไิ ดม้ คี วามพอใจในเมถนุ เพราะเหน็ นางตัณหา นางอรดี และนางราคา, ไฉนเลา่ ? จะมคี วามพอใจเพราะเหน็ ธดิ าของท่านนี้ ซง่ึ เต็มไปดว้ ยมตู รและกรสี , เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องธดิ าของท่านน้ี แมด้ ว้ ยเท้า. เมื่อจบพระคาถา พราหมณ์และพราหมณีก็ตั้งอยู่ ในอนาคามิผล. ฝ่ายนางมาคันทิยาผู้เป็นธิดาแล ผูกอาฆาตใน พระศาสดาว่า ‘ถ้าสมณะนั้น ไม่มีความต้องการด้วยเรา, 51 พระนางมาคันทิยา www.kalyanamitra.org
ก็ควรกล่าวถึงความที่ตนไม่มีความต้องการ; แต่สมณะนี้ กลับท�ำให้เราเป็นผู้เต็มไปด้วยมูตรและกรีส; เอาเถอะ, เราอาศัยความถงึ พรอ้ มดว้ ยชาติ ตระกลู , ประเทศ, โภคะ ยศและวัย ได้ภัสดาเหน็ ปานนน้ั แลว้ จะรู้กรรมอนั เราควร ทำ� แกส่ มณโคดม.’ คำ� ถามวา่ “ก็พระศาสดา ทรงทราบความเกิดขึ้นแห่งความ อาฆาตในพระองคข์ องนาง หรือไม่ทรงทราบ?” ตอบวา่ “ทรงทราบเหมือนกนั .” คำ� ถามวา่ “เมอื่ พระองคท์ รงทราบ เหตไุ ฉนจงึ ตรสั พระคาถา?” ตอบว่า “พระองคต์ รสั พระคาถา ดว้ ยสามารถแหง่ พราหมณ์ และพราหมณีทงั้ สองน้.ี ” 52 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ธรรมดา พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายไมท่ รงคำ� นงึ ถงึ ความ อาฆาต ยอ่ มทรงแสดงธรรม ดว้ ยสามารถแหง่ บคุ คล ผคู้ วร บรรลุมรรคผลเท่านัน้ . มารดาบดิ าพานางมาคนั ทยิ านนั้ ไปฝากนาย จฬู มา- คันทิยะผู้เป็นน้องชาย แล้วไปสู่ส�ำนักของพระศาสดา ทั้งสองคนบวชแลว้ ก็ไดบ้ รรลุอรหัตผล. ฝ่ายนายจูฬมาคันทิยะคิดว่า ‘ธิดาของเราไม่ควร แก่ผู้ต�่ำช้า, ควรแก่พระราชาผู้เดียว’ จึงพานางไปสู่เมือง โกสมั พี ตกแตง่ ดว้ ยเครอื่ งประดบั ทง้ั ปวงแลว้ ไดถ้ วายแด่ พระเจ้าอุเทน ด้วยค�ำว่า “นางแก้วน้ีควรแก่สมมติเทพ ฝา่ ละอองธุลพี ระบาท.” พระเจ้าอุเทนนั้นพอทอดพระเนตรเห็นนาง ก็เกิด สิเนหาอย่างแรงกล้า จึงประทานการอภิเษก ให้หญิง ๕๐๐ นาง เปน็ บรวิ าร ตง้ั ไวใ้ นตำ� แหนง่ แหง่ อคั รมเหสแี ลว้ . นเี้ ปน็ เรอ่ื งของนางมาคันทิยา. พระเจา้ อเุ ทนนนั้ ไดม้ อี คั รมเหสี ๓ นาง ซงึ่ มหี ญงิ ฟอ้ น ๑,๕๐๐ นางเป็นบริวาร ดว้ ยประการดังน้.ี ตอ่ มาวนั หนง่ึ พระนางมาคนั ทยิ า เสดจ็ ออกเดนิ จาก พ้ืนปราสาทของตนไปสู่ท่ีอยู่ของหญิงเหล่านั้น เห็นช่อง 53 พระนางมาคนั ทิยา www.kalyanamitra.org
ในหอ้ งทงั้ หลายแล้ว จงึ ถามวา่ “น้อี ะไรกนั ?” เม่ือหญิงเหล่าน้ัน ผู้ไม่รู้ความอาฆาตท่ีพระนางน้ัน ผูกไว้ในพระศาสดา จึงตอบว่า “พระศาสดาเสด็จมาสู่ นครน้ี, พวกหม่อมฉันยืนอยู่ในท่ีน้ี ย่อมถวายบังคมและ บชู าพระศาสดา” ดงั น้ีแล้ว คิดว่า ‘พระสมณโคดม ชื่อว่ามาแลว้ สู่นครนี้, บดั น้ี เราจะกระทำ� กรรมทคี่ วรทำ� แกพ่ ระสมณโคดมนนั้ แมห้ ญงิ เหล่านี้ ก็เป็นอุปัฏฐายิกาของพระสมณโคดมน้ัน, เราจะ รู้กรรมท่ีพึงท�ำแม้แก่หญิงเหล่านี้’ จึงไปกราบทูลแด่ พระราชา วา่ “ขา้ แตม่ หาราช หญงิ ๕๐๐ รวมทัง้ พระนาง สามาวดี มีความปรารถนาในภายนอก, พระองค์จะไม่มี พระชนม์โดย ๒-๓ วนั เป็นแน.่ ” พระราชาไม่ทรงเช่ือแล้วด้วยทรงพระด�ำริว่า ‘หญิง เหล่านั้น จะไมท่ ำ� กรรมเห็นปานน.้ี ’ แมเ้ ม่อื พระนางมาคันทยิ ากราบทลู อีก ก็ไม่ทรงเชื่อ อยนู่ ั่นเอง. ลำ� ดบั นน้ั พระนางมาคนั ทยิ าจงึ กราบทลู พระราชานนั้ ผู้แม้เมื่อตนกราบทูลอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ทรงเชื่อว่า “ถ้าพระองค์ไม่ทรงเช่ือค�ำหม่อมฉันไซร้ ข้าแต่มหาราช 54 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ท่ีอยู่ของหญิงเหล่านั้นแล้ว ทรง ใครค่ รวญเถิด.” พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นช่องในห้อง ทัง้ หลาย จงึ ตรสั ถามว่า “นี่อะไรกนั ?” เมอ่ื หญงิ เหลา่ นนั้ กราบทลู เนอื้ ความนนั้ แลว้ , ไมท่ รง พิโรธต่อหญิงเหลา่ นนั้ มิได้ตรสั อะไรๆ เลย, รับส่งั ใหป้ ดิ ช่องทั้งหลายเสีย แล้วให้ท�ำหน้าต่างมีช่องน้อยไว้ในห้อง ทง้ั ปวง. ไดย้ นิ วา่ หนา้ ตา่ งมชี อ่ งนอ้ ยทง้ั หลาย เกดิ ขน้ึ แลว้ ในกาลน้นั . พระนางมาคนั ทยิ าไมอ่ าจเพื่อจะท�ำอะไรๆ แก่หญิง เหล่าน้ันได้ ก็ด�ำริว่า ‘เราจะท�ำกรรมท่ีควรท�ำแก่พระ- สมณโคดมให้ได้’ จึงให้ค่าจ้างแก่ชาวเมืองแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าพร้อมด้วยพวกผู้ชายท่ีเป็นทาสและกรรมกร จงด่าบริภาษ พระสมณโคดมผู้เข้าไปสู่ภายในพระนคร เทีย่ วอยู่ ให้หนไี ป.” พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในรัตนะ ๓ ก็ติดตาม พระศาสดาผู้เสด็จไปสู่ภายในพระนคร ด่าอยู่ บริภาษ อย่ดู ว้ ย ถ้อยคำ� ส�ำหรับดา่ ๑๐ อย่าง ว่า “๑. เจ้าเป็นโจร, ๒. เจา้ เปน็ พาล, ๓. เจา้ เปน็ บา้ , ๔. เจา้ เปน็ อฐู , ๕. เจา้ เปน็ ววั , 55 พระนางมาคันทยิ า www.kalyanamitra.org
๖. เจา้ เปน็ ลา, ๗. เจา้ เปน็ สตั วน์ รก, ๘. เจา้ เปน็ สตั วด์ ริ จั ฉาน, ๙. สุคตขิ องเจ้าไม่มี, ๑๐. เจ้าหวงั ไดท้ ุคตอิ ยา่ งเดยี ว.” ท่านพระอานนท์ฟังค�ำน้ันแล้ว ได้กราบทูลค�ำนี้ กบั พระศาสดาวา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ ชาวเมืองเหลา่ น้ี ย่อมด่า ย่อมบริภาษพวกเรา, พวกเราจะไปจากท่ีน้ี ไปที่อน่ื .” พระศาสดาตรสั ถามว่า “เราจะไปท่ีไหน? อานนท์.” พระอานนทก์ ราบทูลวา่ “ไปเมอื งอนื่ พระเจ้าข้า.” พระศาสดา. “เมื่อพวกคนในเมืองนั้นด่าอีก, เราะไป ในท่ไี หนกนั อกี เล่า? อานนท์.” พระอานนท.์ “ไปสู่เมืองอ่นื ไปจากเมืองน้นั พระเจ้าขา้ .” พระศาสดา. “เมื่อพวกคนในเมืองใหม่ด่าอีก, เราจะไป ในท่ไี หนกันเลา่ ?” พระอานนท์. “ไปเมอื งอนื่ จากเมอื งน้นั พระเจา้ ขา้ .” พระศาสดา. “อานนท์ การท�ำอย่างน้ีไม่ควร; อธิกรณ์๑๓ เกดิ ขน้ึ ในทใ่ี ด, เมอื่ อธกิ รณน์ นั้ สงบระงบั แลว้ ในทนี่ นั้ แล จงึ ควรไปในทอ่ี นื่ ; อานนท์ กพ็ วก เหล่านั้น ใครเลา่ ? ดา่ .” ๑๓ น. โทษ ปรกตใิ ชก้ บั พระภกิ ษทุ ต่ี อ้ งคด,ี เรอื่ งราว, คด,ี ปญั หา. 56 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
พระอานนท์. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเหล่านั้นทุกคน จนกระท่งั พวกทาส และกรรมกรด่า.” พระศาสดา ตรัสว่า “อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าว ลงสู่สงคราม, ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ ย่อมเป็นภาระของช้างซ่ึงก้าวลงสู่ สงครามฉันใด ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยค�ำ ของคนทุศีลเป็นอันมาก กล่าวแล้ว ก็เป็น ภาระของเราฉันน้ันเหมือนกัน” ดังน้ีแล้ว เมือ่ ทรงปรารภพระองค์แสดงธรรมภาษติ คาถา ๓ เหล่าน้ใี นนาควรรควา่ เราจะอดกลน้ั ถอ้ ยค�ำลว่ งเกิน ดงั ชา้ งอดทนลกู ศร ซ่งึ ตกไปจากแล่งในสงคราม, เพราะคนเปน็ อนั มาก เปน็ ผทู้ ศุ ลี , ราชบรุ ษุ ทงั้ หลาย ยอ่ มนำ� พาหนะทฝี่ กึ แลว้ ไปสทู่ ปี่ ระชมุ , พระราชายอ่ มเสดจ็ ขนึ้ พาหนะทฝี่ กึ แลว้ ; ในหมมู่ นุษย์ผู้ใดอดกลัน้ ถ้อยค�ำลว่ งเกนิ ได้, ผนู้ ั้นชอื่ วา่ ฝึกตนแล้ว เป็นผูป้ ระเสรฐิ สุด. ม้าอสั ดรที่ฝกึ แล้วเปน็ สัตว์ประเสริฐ, ม้าอาชาไนย มา้ สนิ ธพทีฝ่ ึกแล้วเปน็ สตั วป์ ระเสริฐ, พระยาชา้ งชาตกิ ญุ ชรทฝ่ี กึ แลว้ กเ็ ปน็ สตั วป์ ระเสรฐิ , แต่ผฝู้ กึ ตนเองได้แล้ว ประเสรฐิ กว่าน้ัน. 57 พระนางมาคนั ทยิ า www.kalyanamitra.org
ธรรมกถาได้มีประโยชน์แกม่ หาชนผู้ถงึ พร้อมแลว้ , พระศาสดา ครนั้ ทรงแสดงธรรมอยา่ งนนั้ แลว้ ตรสั วา่ “อานนท์ เธออย่าคิดไปแล้ว, พวกเหล่านั้นจะด่าได้เพียง ๗ วนั เทา่ นนั้ ในวันท่ี ๗ จะเปน็ ผู้น่ิง เพราะว่า อธิกรณ์ ซง่ึ เกิดข้ึนแกพ่ ระพุทธเจา้ ทัง้ หลาย ย่อมไม่เกิน ๗ วนั .” พระนางมาคนั ทยิ าใหค้ นดา่ พระศาสดาแลว้ แตไ่ มอ่ าจ ทำ� ให้พระองค์หนีไปได้ จึงคิดวา่ ‘เราจะทำ� อย่างไรหนอ?’ ดงั นแ้ี ลว้ คดิ วา่ ‘หญงิ เหลา่ นเ้ี ปน็ ผอู้ ปุ ถมั ภพ์ ระสมณโคดม นั้น, เราจะท�ำความฉบิ หายใหแ้ ก่หญิงเหลา่ นน้ั .’ วนั หนง่ึ เมอ่ื ทำ� การรบั ใชอ้ ยใู่ นทเี่ ปน็ ทเ่ี สวยนำ้� จณั ฑ์ แห่งพระราชา ส่งข่าวไปแก่อาว่า ‘โปรดทราบว่า ฉันมี ความตอ้ งการดว้ ยไกท่ งั้ หลาย, ขออาจงนำ� เอาไกต่ าย ๘ ตวั ไก่เปน็ ๘ ตัวมา, เม่อื มาแลว้ จงยืนอยู่ที่บนั ได บอกความ ทตี่ นมาแลว้ เมอื่ รับส่ังว่า ‘จงเขา้ มา’, กอ็ ย่าเขา้ ไป จงสง่ ไก่เป็น ๘ ตวั ไปก่อน สง่ ไกต่ ายนอกนี้ไปภายหลัง”, และ นางไดป้ ระทานสินจา้ งแกค่ นใชด้ ้วยสงั่ ว่า “เจ้าพงึ ทำ� ตาม คำ� ที่เราบอก.” นายมาคันทิยะมาแล้ว ให้ทูลแด่พระราชาให้ทรง ทราบ, เมอื่ รบั สง่ั วา่ “จงเขา้ มา” กก็ ลา่ ววา่ “เราจะไมเ่ ขา้ ไป สทู่ ่ีเป็นทเี่ สวยน้�ำจณั ฑ์ของพระราชา.” 58 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ฝา่ ยพระนางมาคนั ทยิ าสง่ คนใชไ้ ปกลา่ ววา่ “พอ่ คณุ จงไปหาอาของเรา.” เขาไปแล้ว นำ� ไกเ่ ป็น ๘ ตัว ซึง่ นาย มาคันทิยะน้ันให้แล้วมา กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ทา่ นปโุ รหติ สง่ เครื่องบรรณาการมาแลว้ .” พระราชาตรัสวา่ “ดแี ท้ แกงอ่อมเกิดขึ้นแกพ่ วกเรา แล้ว, ใครหนอ? ควรแกง.” พระนางมาคนั ทยิ ากราบทลู วา่ “ ขา้ แตม่ หาราช หญงิ ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข เป็นผู้ไม่มีการงาน เท่ียวเตร่อยู่, ขอพระองค์จงส่งไปให้แก่หญิงเหล่าน้ัน; หญิงเหลา่ นัน้ แกงแลว้ จะน�ำมาถวาย.” พระราชาทรงสง่ ไปดว้ ยพระดำ� รสั วา่ “เจา้ จงไปใหแ้ ก่ หญิงเหล่าน้ัน, ได้ยินว่า หญิงเหล่านั้น จงอย่าให้คนอ่ืน จงฆา่ แล้วแกงเองทเี ดยี ว.” คนใช้รบั พระด�ำรสั ว่า “ดลี ะ พระเจา้ ขา้ ” แล้วไปบอก อย่างน้ัน หญิงเหล่าน้ันกล่าวคัดค้านแล้วว่า “พวกฉันไม่ ทำ� ปาณาติบาต” จงึ มาทลู ความนน้ั แดพ่ ระราชา. พระนางมาคันทิยากราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์เห็นไหม บัดน้ี พระองค์จะทรงทราบการท�ำ หรือไม่ท�ำปาณาติบาตแห่งหญิงเหล่านั้น, ขอพระองค์ จงรับส่ังว่า ‘หญิงเหลา่ นัน้ จงแกงส่งไปถวายแก่พระสมณ- โคดม’ ดังน้ีเถิด พระเจา้ ขา้ .” 59 พระนางมาคนั ทิยา www.kalyanamitra.org
พระราชาตรสั อยา่ งนนั้ แลว้ สง่ ไป. คนใชน้ ี้ ถอื ทำ� เปน็ เดินไปอยู่ ไปแลว้ ให้ไกเ่ หล่านัน้ แกป่ โุ รหติ รบั ไก่ตายไปสู่ เรือนของหญิงเหล่าน้ัน กล่าวว่า “ได้ยินว่า พวกท่าน แกงไกเ่ หล่าน้ีแลว้ จงสง่ ไปสสู่ �ำนกั พระศาสดา.” หญงิ เหลา่ นั้นกลา่ วตอบวา่ “นำ� มาเถิดนาย การแกง ไกต่ ายน้ีเปน็ กิจของพวกเรา” ดงั นแ้ี ลว้ กร็ บั ไว.้ คนใชน้ น้ั มาสสู่ �ำนกั ของพระราชา เมอ่ื พระราชาตรสั ถามว่า “เปน็ อยา่ งไร? พอ่ หนมุ่ ” จงึ กราบทลู วา่ “เมอื่ ขา้ พระองคเ์ พยี งกลา่ ววา่ ‘พวกทา่ น จงแกงสง่ ไปถวายพระสมณโคดม’ เท่าน้ัน, หญงิ เหลา่ นั้น ก็สวนทางมารับเอาแลว้ .” พระนางมาคนั ทยิ ากราบทลู วา่ “ขา้ แตม่ หาราช จงดเู ถดิ , หญงิ เหลา่ นน้ั หาทำ� ใหแ้ กบ่ คุ คลเชน่ พระองคไ์ ม,่ เมอื่ หมอ่ ม ฉันทูลว่า ‘หญิงเหล่าน้ันมีความปรารถนาในภายนอก’, พระองคก์ ไ็ ม่ทรงเช่อื .” พระราชาแมท้ รงสดบั ค�ำน้ัน กไ็ ดท้ รงอดกล้ัน นงิ่ ไว้ เชน่ เดมิ . พระนางมาคนั ทยิ าคดิ วา่ ‘เราจะทำ� อยา่ งไรหนอแล?’ ในเวลานน้ั พระราชายอ่ มทรงร้ังรออยตู่ ลอด ๗ วัน ตามวาระกัน ณ พื้นปราสาทแห่งหญิงทั้งสามนั้น คือ พระนางสามาวดี พระนางวาสลุ ทตั ตาและพระนางมาคนั ทยิ า. 60 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
พระนางมาคนั ทยิ ารวู้ า่ ‘พรงุ่ นี้ หรอื มะรนื นี้ พระราชา จะเสด็จไปสู่ปราสาทของพระนางสามาวดี’ จึงส่งข่าวไป แก่อาว่า ‘โปรดทราบวา่ ฉนั มีความต้องการด้วยงู, ขออา จงถอนเขีย้ วงทู งั้ หลายแล้วส่งงไู ปตวั หนึง่ .’ นายมาคนั ทยิ ะกระทำ� อยา่ งนน้ั แลว้ สง่ ไป. พระราชา ทรงถือเอาพิณหัสดีกันต์เท่ียวเสด็จไปสู่ท่ีเป็นท่ีเสด็จไป ของพระองค.์ ในรางพิณนั้นมีช่องๆ หนง่ึ . พระนางมาคันทิยาปล่อยงูเข้าไปทางช่องนั้น แล้ว ปดิ ชอ่ งเสยี งดว้ ยกลมุ่ ดอกไม.้ งไู ดอ้ ยใู่ นภายในพณิ นนั้ เอง ตลอด ๒-๓ วนั . ในวันเสด็จไปของพระราชา พระนางมาคันทิยา ทูลถามว่า “ข้าแต่สมมติเทพ วันนี้ พระองค์จะเสด็จไปสู่ ปราสาทของมเหสีคนไหน?” เมือ่ ตรัสตอบว่า “ของนางสามาวดี”, จงึ กราบทูลว่า “ขา้ แตม่ หาราช วันนี้ หมอ่ มฉนั เหน็ สุบิน (ฝัน) ไม่เป็นที่พอใจ, ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ ไม่อาจเสดจ็ ไปในทีน่ น้ั ได้ พระเจ้าขา้ .” พระราชาตรสั ว่า “ เราจะไปให้ได.้ ” พระนางหา้ มไวถ้ งึ ๓ ครงั้ แลว้ ทลู วา่ “เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ แมห้ ม่อมฉันจะไปกบั พระองคด์ ว้ ย”, 61 พระนางมาคนั ทยิ า www.kalyanamitra.org
แม้พระราชาให้กลับอยู่ก็ไม่กลับ กราบทูลว่า “หม่อมฉนั ไม่ทราบวา่ จะมเี หตอุ ะไร? พระเจ้าขา้ ” ดังน้นั แล้ว ก็ไดไ้ ปกบั พระราชาจนได้. พระราชาทรงผ้า ดอกไม้ ของหอม และเคร่ือง อาภรณ์ ซึง่ หม่หู ญงิ รวมดว้ ยพระนางสามาวดีถวาย เสวย โภชนะอันดี วางพิณไว้เบื้องบนพระเศียร แล้วบรรทม บนที่บรรทม. พระนางมาคนั ทยิ าทำ� เปน็ เดนิ ไปมา ไดน้ ำ� กลมุ่ ดอกไม้ ออกจากช่องพิณ. งูอดอาหารถึง ๒-๓ วัน เล้ือยออกมา จากชอ่ งนนั้ พน่ พษิ แผพ่ งั พาน นอนบนแทน่ ทบี่ รรทมแลว้ . พระนางมาคนั ทยิ าเหน็ งนู น้ั กร็ อ้ งขน้ึ วา่ “งู พระเจา้ ขา้ ” เมอ่ื จะดา่ พระราชาและหญงิ เหลา่ นนั้ จงึ กลา่ ววา่ “พระเจา้ แผน่ ดนิ โงอ่ งคน์ ไี้ มม่ วี าสนา ไมฟ่ งั คำ� พดู ของเรา แมอ้ หี ญงิ เหลา่ นก้ี เ็ ปน็ คนไมม่ สี ริ หิ วั ดอ้ื , พวกมนั ไมไ่ ดอ้ ะไรจากสำ� นกั ของพระเจ้าแผ่นดินหรือ? พวกเจ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์นี้ พอสวรรคตแล้ว จะเป็นอยู่สบายหรือหนอ? เมื่อพระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระชนม์อยู่ พวกเจ้าเป็นอยู่ ลำ� บากหรือ? วันนี้ เราเหน็ การฝนั รา้ ยแลว้ , พระองค์เอย๋ พระองค์ไม่ทรงฟังเสียงของหม่อมฉันแม้ผู้วิงวอนอยู่ว่า ‘ไมค่ วรเสด็จไปปราสาทของพระนางสามาวดี.’ ” 62 อุบาสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
พระราชาทอดพระเนตรเหน็ งู กท็ รงสะดงุ้ พระหฤทยั กลวั มรณะ ไดเ้ ปน็ ประดจุ ลกุ โพลงดว้ ยความพโิ รธวา่ “หญงิ เหลา่ นม้ี าทำ� กรรมถงึ อยา่ งน,ี้ ชิ ชิ เรากช็ วั่ ชา้ ไมเ่ ชอื่ คำ� ของ นางมาคนั ทยิ านี้ แมผ้ บู้ อกความทหี่ ญงิ เหลา่ นเี้ ปน็ คนลามก, ครง้ั กอ่ นมนั เจาะชอ่ งไวใ้ นหอ้ งทง้ั หลายของตนนง่ั อยแู่ ลว้ . เมอ่ื เราสง่ ไกไ่ ปใหก้ ส็ ง่ คนื มาอกี , วนั นปี้ ลอ่ ยงไู วบ้ นทนี่ อน.” ฝา่ ยพระนางสามาวดี กไ็ ดใ้ หโ้ อวาทแกห่ ญงิ ๕๐๐ วา่ “แม่ท้ังหลาย ที่พ่ึงอ่ืนของพวกเราหามีไม่, ท่านทั้งหลาย จงยังเมตตาจติ อันสมำ่� เสมอนัน่ แล ให้เปน็ ไปในพระราชา ผู้เปน็ จอมแห่งนรชน ในพระเทวีและในตน, ท่านทัง้ หลาย อยา่ ท�ำความโกรธต่อใคร ๆ.” พระราชาทรงถอื ธนมู สี ณั ฐานดงั งาชา้ ง หรอื เขาสตั ว์ ซ่ึงมีก�ำลังแห่งการโก่งของคนพันหนึ่ง ทรงข้ึนสายแล้ว พาดลูกศรอันอาบด้วยยาพิษ เล็งไปที่พระนางสามาวดี ณ เบอ้ื งหนา้ ใหห้ ญงิ เหลา่ นน้ั ทกุ คน ยนื ตามลำ� ดบั กนั แลว้ จึงปลอ่ ยลูกศรไปท่พี ระอรุ ะของพระนางสามาวดี. ลูกศรน้ันหวนกลับบ่ายหน้าสู่ทางที่ตนมาเท่ียว ประดจุ จะเขา้ ไปสพู่ ระหทยั ของพระราชา ไดต้ งั้ อยแู่ ลว้ ดว้ ย เมตตานุภาพของพระนางสามาวดนี ้ัน. 63 พระนางสามาวดแี ละพระนางมาคันทยิ า www.kalyanamitra.org
พระราชาทรงพระดำ� รวิ า่ ‘ลกู ศรทเ่ี รายงิ ไป ยอ่ มแทง ทะลไุ ปไดแ้ มซ้ งึ่ ศลิ า, แมฐ้ านะทจี่ ะกระทบในอากาศกไ็ มม่ ,ี ก็เม่ือเป็นเช่นนี้ ลูกศรน้ีกลับมุ่งหน้ามาสู่หัวใจของเรา ท�ำไม?, แท้จริง แม้ลูกศรนี้ไม่มีจิต ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ของ มชี ีวติ ยังร้จู กั คุณของนางสามาวด,ี ตวั เรา แม้เปน็ มนุษย์ กห็ ารคู้ ณุ ไม่.” พระราชาทรงท้ิงธนูเสีย ทรงประคองอัญชลี นั่ง กระหย่ง๑๔ แทบบาทมูลของพระนางสามาวดี ตรัส พระคาถานีว้ า่ “เราฟนั่ เฟือน เลอื นหลง, ทิศทัง้ ปวงย่อมมดื ตื้อแก่เรา, สามาวดีเอย๋ เจา้ จงต้านทานเราไว้, และเจ้าจงเปน็ ทพี่ ่ึงของเรา.” พระนางสามาวดีสดับพระด�ำรัสของท้าวเธอแล้ว ก็มิได้กราบทูลว่า “ดีแล้ว สมมติเทพ พระองค์จงถึง ๑๔ ก. หยง่ , ทำ� ใหส้ งู ขน้ึ . ว. อาการทเ่ี ดนิ จดปลายเทา้ ไมใ่ หฝ้ า่ เทา้ ถูกพน้ื เรียกว่า เดนิ กระหย่งเทา้ , นงั่ คกุ เขา่ เอาปลายเทา้ ตั้ง ลงท่ีพ้ืน ส้นเท้าทั้ง ๒ รับก้นเรียกว่า นั่งกระหย่ง, ใช้ว่า กระโหยง่ ก็ได้ 64 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
หม่อมฉันเปน็ ที่พึ่งเถิด”, แตก่ ราบทูลว่า “ ขา้ แตม่ หาราช หม่อมฉันถึงผู้ใดว่าเป็นท่ีพึ่ง แม้พระองค์ก็จงถึงผู้นั้น แลวา่ เปน็ ทพ่ี งึ่ เถิด.” พระนางสามาวดี ผู้เป็นสาวิกาของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ครั้นกล่าวค�ำนี้แล้ว ก็กล่าวว่า “พระองค์ อย่าทรงถึงหม่อมฉันเป็นท่ีพึ่งเลย, หม่อมฉันถึงผู้ใด ว่าเป็นท่ีพ่ึง, ข้าแต่มหาราช ผู้น้ันคือพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าน่ันเป็นผู้เยี่ยมยอด, ขอพระองค์ทรงถึง พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นท่ีพึ่งด้วย, ทรงเป็นท่ีพ่ึง ของหมอ่ มฉนั ด้วย.” พระราชาทรงสดับค�ำของพระนางสามาวดีน้ันแล้ว จึงตรัสวา่ “บัดนี้ เราย่งิ กลัวมากข้นึ ” แลว้ ตรัสคาถานีว้ ่า “เรานเ้ี ลือนหลงยิง่ ขึ้น, ทิศท้ังปวงยอ่ มมืดตื้อ แกเ่ รา, สามาวดเี อย๋ เจา้ จงตา้ นทานเราไว้ และเจ้าจงเปน็ ท่ีพึง่ ของเรา.” พระนางสามาวดีนั้นก็ทูลถามท้าวเธออีก ตามนัย กอ่ นท่กี ราบทลู นน้ั , เมื่อพระราชาตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น เราขอถึงเจ้าและ พระศาสดาวา่ เปน็ ท่พี ึ่ง และเราจะใหพ้ รแก่เจา้ ” ดังน้ีแล้ว 65 พระนางสามาวดีและพระนางมาคันทิยา www.kalyanamitra.org
จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พร จงเป็นสิ่งอัน หมอ่ มฉนั ไดร้ บั เถิด” พระราชาเสดจ็ เขา้ ไปเฝา้ พระศาสดา ทรงถงึ พระองค์ เป็นสรณะแลว้ ทรงนิมนต์ ถวายทานแดภ่ กิ ษุสงฆ์ ตลอด ๗ วันแล้ว ทรงเรียกพระนางสามาวดีมา ตรัสวา่ “เจา้ จง ลกุ ข้ึนรบั พร.” พระนางสามาวดกี ราบทลู วา่ “ขา้ แตม่ หาราช หมอ่ มฉนั ไม่มีความต้องการด้วยสิ่งท้ังหลายมีเงินเป็นต้น, แต่ขอ พระองค์ จงพระราชทานพรนแ้ี กห่ มอ่ มฉนั , คอื พระศาสดา พร้อมทั้งภิกษุ ๕๐๐ รูป จะเสด็จมา ณ ท่ีนี่เนืองนิตย์ ไดโ้ ดยประการใด, ขอพระองคท์ รงกระทำ� โดยประการนน้ั เถดิ , หมอ่ มฉันจะฟังธรรม.” พระราชาถวายบงั คมพระศาสดาแลว้ ทลู วา่ “ ขา้ แต่ พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จมาในท่ีนี่เนืองนิตย์ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป, เหล่าหญิงซ่ึงรวมท้ังพระนาง สามาวดเี ขา้ ดว้ ย กลา่ ววา่ ‘หมอ่ มฉันจะฟังธรรม.’ ” พระศาสดา. “มหาบพติ ร ธรรมดาการไปในทเี่ ดยี วเนอื งนติ ย์ ย่อมไม่ควรแก่พระพุทธเจ้าท้ังหลาย เพราะ มหาชนหวังเฉพาะ พระพุทธเจ้าอย.ู่ ” 66 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
พระราชา. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างน้ัน ขอ พระองคท์ รงสั่งภกิ ษไุ ว้รปู หน่งึ เถดิ .” พระศาสดาทรงสั่งพระอานนท์เถระแล้ว. ต้ังแต่น้ัน พระอานนทเถระน้ันก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปสู่ราชสกุล เนืองนิตย์, พระเทวีกับบริวารเหล่านั้น เล้ียงพระเถระ พร้อมทง้ั บริวาร ฟงั ธรรมอยู่เนืองนติ ย.์ พระนางมาคันทิยาคิดว่า ‘เราท�ำสิ่งใด, ส่ิงนั้นมิได้ เปน็ อย่างน้นั กลบั เปน็ อย่างอ่ืนไป, เราจะท�ำอย่างไรหนอ แล?’ ดังนี้แล้ว คดิ ว่า ‘อุบายนีใ้ ชไ้ ด’้ เมอ่ื พระราชาเสดจ็ ไปสทู่ ท่ี รงกฬี าในพระราชอทุ ยาน จงึ สง่ ขา่ วไปแกอ่ าวา่ ‘ขออาจงไปปราสาทของนาง สามาวดี ใหเ้ ปิดเรอื นคลงั ผ้าและเรอื นคลังนำ�้ มนั แล้ว ชุบผา้ ในตุ่ม น�้ำมันแล้วพันเสา ท�ำหญิงท้ังหมดเหล่าน้ันให้อยู่รวมกัน ในท่ีเดียวกัน ปิดประตู ล่ันยนต์ในภายนอก เอาคบไฟมี ดา้ มจุดไฟต�ำหนัก ลงแลว้ จงไปเสยี .’ นายมาคันทิยะนั้นขึ้นสู่ปราสาท ให้เปิดเรือนคลัง ทง้ั หลาย ชบุ ผ้าในต่มุ น�้ำมันแลว้ เรมิ่ พันเสา. หญงิ ทง้ั หลายมพี ระนางสามาวดเี ปน็ ประมขุ กลา่ วกบั นายมาคันทยิ ะอยู่วา่ “น่ที �ำอะไรกนั ? อา” เขา้ ไปหาแล้ว. นายมาคนั ทยิ ะกลา่ วอยา่ งนวี้ า่ “แมท่ ง้ั หลาย พระราชา รับส่งั ใหพ้ ันเสาเหลา่ น้ีดว้ ยผ้าชุบน้ำ� มนั เพือ่ ประโยชน์แก่ 67 พระนางสามาวดแี ละพระนางมาคนั ทยิ า www.kalyanamitra.org
การท�ำให้ม่ันคง ธรรมดาในพระราชวงั กรรมที่ประกอบดี และช่ัว เป็นของรู้ได้ยาก, อย่าอยู่ในท่ีใกล้เราเลย แม่ ทงั้ หลาย” ดงั นแี้ ลว้ ใหห้ ญงิ เหลา่ นนั้ ผมู้ าแลว้ เขา้ ไปในหอ้ ง ปดิ ประตแู ลว้ ลน่ั ยนตใ์ นภายนอก จดุ ไฟตง้ั แตต่ น้ ลงมาแลว้ . พระนางสามาวดีได้ให้โอวาทแก่หญิงเหล่าน้ันว่า “การก�ำหนดอัตภาพ ซ่ึงถูกไฟเผาอย่างนี้ของพวกเรา ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร อันมีส่วนสุดไม่ปรากฏแล้ว แม้พุทธญาณก็ไม่ท�ำได้โดยง่าย, ท่านท้ังหลายจงเป็น ผู้ไม่ประมาทเถดิ .” หญงิ เหลา่ นน้ั เมอ่ื ตำ� หนกั ถกู ไฟไหมอ้ ย,ู่ กำ� หนดใจ ถึงเวทนาปริคคหกัมมัฏฐาน (กัมมัฏฐาน มีอันก�ำหนด เวทนาเป็นอารมณ์.), บางพวกบรรลุผลท่ี ๒, บางพวก บรรลุผลท่ี ๓. คร้ังน้ัน ภิกษุเป็นอันมาก กลับจากบิณฑบาตใน ภายหลังแหง่ ภตั (หลังจากฉันขา้ ว), พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยโู่ ดยทใ่ี ด เขา้ ไปเฝา้ โดยทน่ี น้ั , ครน้ั เขา้ ไปเฝา้ แลว้ ถวายอภวิ าทพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นงั่ แลว้ ณ สว่ นขา้ งหนง่ึ . ภิกษุเหล่าน้ันผู้นั่งแล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งแล ได้กราบทูล ค�ำนี้กับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ภายในนครของพระเจ้าอเุ ทนผ้เู สด็จ 68 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ไปสพู่ ระราชอทุ ยานถกู ไฟไหมแ้ ลว้ , หญงิ ๕๐๐ มพี ระนาง สามาวดเี ปน็ ประมขุ ละโลกเสยี แลว้ , ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ คตขิ องอบุ าสกิ าเหลา่ นนั้ เปน็ อยา่ งไร? สมั ปรายภพเฉพาะ หน้าเปน็ อยา่ งไร?” พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อบุ าสกิ า เหล่าน้ี อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันก็มี, เป็นสกทาคามีก็มี, เปน็ อนาคามกี ม็ ,ี อบุ าสกิ าทง้ั หมดนนั้ ไมเ่ ปน็ ผไู้ รผ้ ล ในการ ทำ� กาละหรอก ภกิ ษทุ ัง้ หลาย.” พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงทราบเนอ้ื ความนน้ั แลว้ ทรง เปลง่ พระอทุ านนี้ ในเวลาน้ันวา่ โลกมโี มหะเปน็ เครอ่ื งผกู พนั ยอ่ มปรากฏดจุ รปู อนั สมควร, คนพาลมอี ปุ ธกิ เิลสเปน็ เครอื่ งผกู ไว้ ถกู ความมดื แวดลอ้ มแลว้ จงึ ปรากฏดจุ มคี วามเทย่ี ง, ความกงั วลยอ่ มไมม่ แี กผ่ เู้ หน็ อย.ู่ คร้ันตรัสอย่างน้ันแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์ท้ังหลายเท่ียวไปในวัฏฏะ เป็น ผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์กระท�ำบุญกรรมก็มี, เป็นผู้มคี วามประมาทกระทำ� บาปกรรมก็มี, เหตุนั้น สัตว์ ผู้เท่ียวไปในวัฏฏะจงึ เสวยสขุ บา้ งทกุ ขบ์ า้ ง.” 69 พระนางสามาวดีและพระนางมาคันทิยา www.kalyanamitra.org
พระราชาทรงสดบั วา่ ‘ข่าววา่ ต�ำหนักของพระนาง สามาวดีถูกไฟไหม้’, แม้เสด็จมาโดยเร็ว ก็ไม่ได้อาจจะ ทนั ถงึ ตำ� หนกั ทไี่ ฟยงั ไหมอ้ ย,ู่ ครนั้ เสดจ็ มาแลว้ ทรงใหด้ บั ไฟต�ำหนกั ทรงเกดิ โทมนัสเป็นอนั มาก แวดลอ้ มดว้ ยหมู่ อำ� มาตย์ ประทบั นงั่ ระลกึ ถงึ พระคณุ ของพระนางสามาวดี ทรงพระดำ� รวิ า่ ‘นเี้ ปน็ การกระทำ� ของใครหนอ?’ ดงั นแี้ ลว้ ทรงทราบว่า ‘กรรมน้ี จะเป็นกรรมอันนางมาคันทิยาให้ ท�ำแล้ว’, ทรงพระด�ำริว่า ‘นางมาคันทิยานั้น ถ้าเรา ทำ� ใหห้ วาดกลวั แล้วถาม กจ็ ะไม่บอก, เราจะคอ่ ยๆ ถาม โดยอุบาย.’ จึงตรัสกับอ�ำมาตย์ทั้งหลายว่า “ผู้เจริญ ทั้งหลาย เม่ือก่อนจากตอนนี้ เราลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ก็เป็นผู้ระแวงสงสัยอยู่รอบข้างทีเดียว, นางสามาวดี แสวงหาแต่โทษเราเป็นนิตย์, นางก็ตายไปแล้ว, ก็บัดนี้ เราจะเยน็ ใจไดล้ ะ, เราจะได้อยโู่ ดยความสุข” พวกอำ� มาตยท์ ลู วา่ “ขา้ แตส่ มมตเิ ทพ กรรมนอี้ นั ใคร หนอแลทำ� แล้ว?” พระราชาตรัสตอบว่า “จะเปน็ กรรม ทใี่ คร ทำ� ก็ตาม กด็ ้วยความรักในเรา.” พระนางมาคันทิยาทรงยืนเฝ้าอยู่ในท่ีใกล้ ฟัง พระด�ำรัสน้ันแล้ว จึงกราบทลู วา่ “ใคร ๆ คนอืน่ จะไม่อาจ 70 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ทำ� ได,้ พระเจา้ ขา้ กรรมนอ้ี นั หมอ่ มฉันทำ� แล้ว, หม่อมฉัน ส่งั อาใหท้ ำ� .” พระราชาตรสั วา่ “ชอ่ื วา่ ผมู้ คี วามรกั ในเรา ยกไวเ้ สยี แต่เจา้ ยอ่ มไมม่ ี, เราพอใจ, พระเทวี เราจะใหพ้ รแก่เจ้า, เจ้าจงให้เรยี กหมญู่ าตขิ องตนมา.” นางส่งข่าวไปแก่พวกญาติว่า ‘พระราชาทรงพอ พระหฤทยั จะพระราชทานพรแกเ่ รา, จงมาเร็ว.’ พระราชารบั สงั่ ใหท้ ำ� สกั การะใหญ่ แกญ่ าตทิ งั้ หลาย ของพระนางมาคนั ทยิ า ซ่งึ มาแลว้ แม้พวกคนผ้มู ิใช่ญาติ ของพระนางมาคันทิยาเห็นสักการะนั้นแล้ว ก็ให้สินจ้าง กลา่ ววา่ “พวกเราเปน็ ญาตขิ องพระนางมาคนั ทยิ า” พากนั มาแล้ว. พระราชารับสั่งใหจ้ บั คนเหลา่ น้ันทงั้ หมดไว้ แลว้ ให้ ขุดหลุมทั้งหลายประมาณแค่สะดือ ที่พระลานหลวงแล้ว ให้คนเหล่านั้นน่ังลงในหลุมเหล่านั้นเอาดินร่วนกลบ ให้ เกลย่ี ฟางไวเ้ บอื้ งบน แลว้ จดุ ไฟ, ในเวลาทห่ี นงั ถกู ไฟไหม้ แล้ว, รบั ส่ังใหไ้ ถด้วยไถเหลก็ ท้งั หลาย ให้ท�ำใหเ้ ป็นทอ่ น และหาท่อนมไิ ด้ หรอื เปน็ ชน้ิ และหาช้นิ มไิ ด.้ พระราชารับสั่งให้เชือดเนื้อ จากสรีระของพระนาง มาคนั ทยิ า ตรงทมี่ เี นอื้ ลำ่� ๆ ดว้ ยมดี อนั คมกรบิ แลว้ ใหย้ กขนึ้ 71 พระนางสามาวดแี ละพระนางมาคนั ทิยา www.kalyanamitra.org
สเู่ ตาไฟอันเดือดด้วยน้ำ� มัน ใหท้ อดดุจขนมแล้ว ให้เคี้ยว กินเนื้อน้ันแล. ตอ่ มาวันหน่งึ ภกิ ษทุ ง้ั หลายสนทนากันในโรงธรรม ว่า “ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา อย่างน้ี ไมส่ มควรเลยหนอ ท่านผ้มู ีอายทุ ัง้ หลาย.” พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย บดั นี้ เธอท้งั หลายนัง่ ประชมุ กันดว้ ยเรือ่ งอะไรหนอ?” เมอ่ื พวกภกิ ษนุ ้นั กราบทูลวา่ “ดว้ ยเรอื่ งนี”้ ดงั น้แี ล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ความตายของหญิงทั้งหลายนั้น มพี ระนางสามาวดีเปน็ ประมุข ไม่ควรแล้วในชาติน้ี แต่ว่า ความตายอันหญิงเหล่าน้ัน สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาท�ำ ไว้ในชาตกิ อ่ น”, ภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า “กรรมอะไร อันหญิง เหลา่ นน้ั ทำ� ไวใ้ นชาตกิ อ่ น พระเจา้ ขา้ ? ขอพระองคจ์ งตรสั บอกแก่ขา้ พระองคท์ งั้ หลาย” ดังน้แี ล้ว จงึ ทรงน�ำอดีตนทิ านมาเล่าวา่ ในอดตี กาล เมอื่ พระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั อิ ยู่ ในกรุงพาราณสี พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ฉันอยู่ใน พระราชวงั เนอื งนติ ย์ หญงิ ๕๐๐ คน ยอ่ มบำ� รงุ พระปจั เจก พุทธเจ้าเหล่านั้น. ในท่านเหล่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า 72 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
๗ องคไ์ ป สหู่ มิ วนั ตประเทศ อกี องคห์ นงึ่ นง่ั เขา้ ฌานอยใู่ น ท่ีรกด้วยหญา้ แห่งหนง่ึ รมิ แม่น้ำ� . ตอ่ มาวนั หนงึ่ เมอื่ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายไปแลว้ , พระราชาทรงพาหญงิ เหลา่ นนั้ ไป เพอื่ ทรงเลน่ นำ้� ในแมน่ ำ้� . ณ สถานท่ีนั้น หญิงเหล่านั้นเล่นน�้ำตลอดวัน ข้ึนจากน�้ำ แล้ว ถกู ความหนาวเบยี ดเบยี น ใครจ่ ะผงิ ไฟ กลา่ วกนั ว่า “ทา่ นทงั้ หลาย พงึ หาดทู ก่ี อ่ ไฟของพวกเรา”, เทย่ี วไปเทย่ี ว มาอยู่ เหน็ ท่ีรกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า) นัน้ จงึ ยนื ล้อมกอ่ ไฟ แลว้ ด้วยส�ำคญั ว่า ‘กองหญ้า’ เมอื่ หญา้ ทงั้ หลายไหมแ้ ลว้ กย็ บุ ลง, หญงิ เหลา่ นน้ั แล เหน็ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ จึงกลา่ วกันวา่ “พวกเราแย่แล้ว ! พวกเราแย่แล้ว! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูก ไฟคลอก, พระราชาทรงทราบจะท�ำร้ายพวกเราถึงตาย, เราจะทำ� ทา่ นใหไ้ หมท้ ง้ั หมด ”, ทกุ คนนำ� ฟนื มาจากทโี่ นน้ ท่ีนี้ ทำ� ให้เปน็ กองในเบอ้ื งบนแห่งพระปจั เจกพุทธเจา้ นน้ั กองฟนื ใหญ่ได้มีแลว้ . หญิงเหล่านั้นสุมฟืนนั้นแล้วหลีกไป ด้วยส�ำคัญว่า ‘บดั นี้ จะไหมห้ มดละ’ คร้ังแรก พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความจงใจ ก็ถูกกรรม ติดตามแล้วในบดั น.ี้ ก็คนท้ังหลายแมน้ �ำฟนื ๑,๐๐๐ เล่ม เกวยี นมาสมุ อยู่กไ็ มอ่ าจเพอ่ื จะทำ� พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ภายใน 73 พระนางสามาวดแี ละพระนางมาคันทิยา www.kalyanamitra.org
สมาบตั ิ แมใ้ หม้ อี าการสกั วา่ อนุ่ ได.้ เพราะฉะนน้ั พระปจั เจก- พทุ ธเจ้านั้น ในวนั ที่ ๗ จงึ ไดล้ กุ ขนึ้ ไปตามสบายแลว้ . หญงิ เหลา่ นน้ั ไหมใ้ นนรกลนิ้ หลายพนั ปี เพราะความท่ี กรรมนน้ั อนั ตนทำ� ไวแ้ ลว้ ไหมแ้ ลว้ ในเรอื นทถี่ กู ไฟไหมอ้ ยู่ โดยทำ� นองน้ี ตลอด ๑๐๐ ชาติ ดว้ ยวบิ ากทเ่ี หลอื ของกรรม นั้น. น้เี ปน็ บรุ พกรรมของหญิงเหลา่ นนั้ ดว้ ยประการฉะน้ี. วันรุ่งข้ึน ภิกษุท้ังหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “หญงิ ๕๐๐ มพี ระนางสามาวดเี ปน็ ประมขุ ถกู ไฟไหมแ้ ลว้ ในตำ� หนกั , พวกญาตขิ องพระนางมาคนั ทยิ าถกู จดุ ไฟ โดย มีฟางเป็นเช้ือไว้เบื้องบน แล้วท�ำลายด้วยไถเหล็ก, พระนางมาคนั ทยิ าถกู ทอดดว้ ยนำ้� มนั อนั เดอื ดพลา่ น, ในคน เหลา่ นน้ั ใครหนอแล ชอื่ วา่ เปน็ อย?ู่ , ใครชอ่ื วา่ ตายแลว้ ?.” พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บดั น้ี เธอท้ังหลายนง่ั ประชมุ กันด้วยเร่ืองอะไรหนอ?” เม่อื พวกภกิ ษนุ ัน้ กราบทูลว่า “ดว้ ยเร่ืองนี”้ ดังนี้แลว้ จงึ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย คนเหลา่ ใดเหลา่ หนงึ่ ประมาทแลว้ , คนเหลา่ นน้ั แมเ้ ปน็ อยตู่ งั้ ๑๐๐ ปี กช็ อื่ วา่ ตายแลว้ โดยแท;้ คนเหล่าใดไม่ประมาทแล้ว, คนเหล่านั้น แม้ตายแล้ว ก็ชื่อว่ายังคงเป็นอยู่, เพราะฉะนั้น พระนางมาคันทิยา จะเป็นอยู่ก็ตาม, ตายแล้วก็ตาม ก็ชื่อว่าตายแล้วทีเดียว 74 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
หญิง ๕๐๐ มีพระนาง สามาวดีเป็นประมุข แม้ตายแล้ว ก็ช่ือว่าเป็นอยู่นั่นเทียว; ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าผู้ไม่ ประมาทแล้ว ช่ือว่าย่อมไม่ตาย” ดังน้ีแล้ว ได้ภาษิต พระคาถาเหลา่ นวี้ ่า ความไมป่ ระมาทเป็นเคร่ืองถึงอมตะ ความประมาทเป็นทางแหง่ มจั จุ (ความตาย) ผ้ไู ม่ประมาทแลว้ ช่ือวา่ ยอ่ มไมต่ าย ผู้ใดประมาทแลว้ ผู้นนั้ ยอ่ มเปน็ เหมอื นคนตายแลว้ ; บัณฑติ ร้คู วามนัน่ โดยแปลกกนั แลว้ ต้งั อยู่ในความไม่ประมาท บันเทิงอยใู่ นความไมป่ ระมาท ยินดีในธรรมเปน็ ทีโ่ คจรของพระอรยิ ะท้งั หลาย, บัณฑติ ผู้ไม่ประมาทเหล่านนั้ มคี วามเพ่ง มีความเพยี รเปน็ ไปตดิ ต่อ, บากบ่นั ม่นั เป็นนิตย์ เปน็ นกั ปราชญย์ อ่ มถกู ต้องพระนพิ พาน อนั เป็นแดนเกษมจากโยคะอนั ยอดเยยี่ ม. ในทสี่ ดุ แหง่ เทศนา คนเปน็ อนั มากไดเ้ ปน็ พระอรยิ - บุคคล มีโสดาบันเป็นต้น. เทศนาเป็นกถามีประโยชน์ แก่มหาชนดังน้ีแล. เรือ่ งพระนางสามาวดี จบ. 75 พระนางสามาวดแี ละพระนางมาคันทยิ า www.kalyanamitra.org
76 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
๔ เร่อื งนางขชุ ตตรา ปรากฏอยใู่ นเรือ่ งสามาวด๑ี ๕ เศรษฐีทั้งสามคนนั้นได้มีนายช่างมาลาชื่อ ‘สุมนะ’ เป็นผู้อุปัฏฐาก. นายสุมนมาลาการน้ันกล่าวกับเศรษฐี เหลา่ นนั้ วา่ “ขา้ พเจา้ เปน็ ผกู้ ระทำ� การอปุ ฏั ฐากทา่ นทงั้ หลาย ตลอดเวลาอันยาวนาน, ใคร่เพื่อจะนิมนต์พระศาสดาให้ เสวย, ขอทา่ นทง้ั หลายจงใหพ้ ระศาสดาแกข่ า้ พเจา้ วนั หนงึ่ .” เศรษฐีท้ังสามกล่าวว่า “ถ้าเช่นน้ัน ท่านจงนิมนต์ พระศาสดาเสวยในวันพรงุ่ นเ้ี ถิด.” นายสุมนมาลาการนั้น รับค�ำว่า “ดีแล้ว นาย” ดังน้ี จึงนิมนต์พระศาสดา ตระเตรยี มเครื่องสักการะ. ๑๕ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, อัปปมาทวรรควรรณนา, ล.๔๐, น.๒๘๐, มมร. 77 ขุชชตุ ตรา www.kalyanamitra.org
ในเวลานั้น พระราชาพระราชทานเงนิ ๘ กหาปณะ ให้เป็นค่าดอกไม้แก่นางสามาวดีทุก ๆ วัน. ทาสีของ นางสามาวดีนน้ั ชื่อ ‘นางขชุ ชตุ ตรา’ ไปหานายสมุ นมาลา- การ รบั ดอกไม้ทั้งหลายเนอื งนติ ย.์ ต่อมา นายมาลาการกล่าวกับนางขุชชุตตราท่ีมา ในวันน้ันว่า “ข้าพเจ้านิมนต์พระศาสดาไว้แล้ว, วันนี้ ขา้ พเจา้ จะบชู าพระศาสดาดว้ ยดอกไมอ้ นั เลศิ , นางจงรออยู่ เป็นผู้ช่วยเหลือในการเลี้ยงพระ ฟังธรรมเสียก่อนแล้ว จงึ รับดอกไม้ไป.” นางรับค�ำว่า “ได.้ ” นายสมุ นะเลยี้ งภกิ ษสุ งฆ์ มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ แล้ว ได้รบั บาตรเพ่อื การกระทำ� อนุโมทนา. พระศาสดาทรงเรมิ่ ธรรมเทศนาเปน็ เครอื่ งอนโุ มทนา แล้ว. ฝ่ายนางขุชชุตตราสดับธรรมกถาของพระศาสดา อยูน่ ั้นเทียว ตงั้ อยู่ในโสดาปัตตผิ ลแลว้ . ในวนั อนื่ นางถอื เอาเงนิ ๔ กหาปณะ เกบ็ ไวส้ ำ� หรบั ตน รับดอกไม้ไปด้วยเงินเพียง ๔ กหาปณะ. แต่ในวันนั้น นางรบั ดอกไม้ไปดว้ ยเงินทั้ง ๘ กหาปณะ. นางสามาวดีกล่าวกับนางขุชชุตตรานั้นว่า “แม่คุณ พระราชาพระราชทานเงินคา่ ดอกไมแ้ กเ่ ราเพิม่ ขึน้ ๒ เทา่ หรอื หนอ?” 78 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ขชุ ชตุ ตรา. “หามิได้ พระแมเ่ จ้า.” สามาวด.ี “เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร ดอกไม้จึง มมี ากเล่า?” ขชุ ชุตตรา. “ในวันอ่ืน หม่อมฉันเก็บเงิน ๔ กหาปณะ ไว้ส�ำหรับตน น�ำดอกไม้มาด้วยเงินเพียง ๔ กหาปณะ.” สามาวดี. “เพราะเหตไุ ร ในวนั นี้ เจา้ จึงไมเ่ อาเงินไป?” ขุชชตุ ตรา. “เพราะความท่ีหม่อมฉันฟังธรรมกถาของ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าแล้ว จนบรรลธุ รรม.” นางสามาวดีมิได้ว่ากล่าวนางขุชชุตตราน้ันเลยว่า “เหวย นางทาสีผู้ชั่วร้าย เจ้าจงให้กหาปณะท่ีเจ้าเอาไป แลว้ ตลอดเวลาอนั ยาวนานเทา่ น้ี คนื แกเ่ รา” กลบั กลา่ ววา่ “แมค่ ณุ เจา้ จงใหเ้ ราทง้ั หลายไดด้ ม่ื อมฤตรสทเี่ จา้ ดม่ื แลว้ ”, เมอ่ื นางกลา่ ววา่ “ถา้ อยา่ งนน้ั ขอพระแมเ่ จา้ จงให้ หมอ่ มฉนั ไดอ้ าบนำ�้ กอ่ น” จงึ ใหน้ างอาบนำ�้ ดว้ ยหมอ้ นำ�้ หอม ๑๖ หม้อแล้ว รับสั่งให้ประทานผ้าสาฏกเนือ้ เกล้ียง ๒ ผนื . นางขชุ ชตุ ตรานนั้ นงุ่ ผนื หนง่ึ หม่ ผนื หนงึ่ ใหป้ อู าสนะ แล้ว ให้น�ำพัดมาอันหน่ึง น่ังบนอาสนะ จับพัดอันวิจิตร เรียกหญิงท้ัง ๕๐๐ มาแล้ว แสดงธรรมแก่หญิงเหล่าน้ัน 79 ขุชชุตตรา www.kalyanamitra.org
โดยท�ำนองที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนั้นแล. หญิงเหล่าน้ันฟังธรรมกถาของนางแล้ว ก็ตั้งอยู่ใน โสดาปตั ติผล. หญงิ เหลา่ นน้ั ไหวน้ างขชุ ชตุ ตราแลว้ กลา่ ววา่ “แมค่ ณุ ตงั้ แตว่ ันนี้ ทา่ นอย่าท�ำการงานอันเศร้าหมอง (งานไพร่), ทา่ นจงตงั้ อยใู่ นฐานะแหง่ มารดาและฐานะแหง่ อาจารยข์ อง พวกขา้ พเจา้ ไปสสู่ ำ� นกั พระศาสดา ฟงั ธรรมทพ่ี ระศาสดา ทรงแสดงแล้ว จงนำ� มากล่าวแกพ่ วกขา้ พเจา้ .” นางขุชชุตตรากระท�ำอยู่อย่างนั้น ในเวลาต่อมา กเ็ ป็นผทู้ รงพระไตรปฎิ กแล้ว. ต่อมา พระศาสดาทรงตั้งนางขุชชุตตราน้ันไว้ใน เอตทัคคะว่า “ภิกษุท้ังหลาย นางขุชชุตตราน้ีนั้นเป็น ผเู้ ลศิ กวา่ บรรดาอบุ าสกิ าสาวกิ าของเรา ผเู้ ปน็ ธรรมกถกิ า (แสดงธรรมกถา) หญิง ๕๐๐ เหล่าน้ัน กล่าวกับนางขุชชุตตราน้ัน อยา่ งนวี้ า่ “แมค่ ณุ พวกขา้ พเจา้ ใครเ่ พอื่ จะเฝา้ พระศาสดา, ขอท่านจงนิมนต์พระศาสดานั้นให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, พวกขา้ พเจา้ จะบูชาพระศาสดานั้นด้วยเครอ่ื งสักการบชู า มขี องหอม และระเบียบดอกไมเ้ ปน็ ตน้ .” 80 อุบาสิกา ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
ขชุ ชตุ ตรา. “แม่เจ้าทั้งหลาย อันราชสกุลเป็นของหนัก, ข้าพเจ้าไม่อาจเพื่อจะพาท่านท้ังหลายไป ขา้ งนอกได.้ ” พวกหญงิ “แม่คุณ ท่านอย่าให้พวกข้าพเจ้า ฉิบหาย เสยี เลย, ขอทา่ นจงนมิ นตพ์ ระศาสดามาใหแ้ ก่ พวกข้าพเจา้ เถิด.” ขชุ ชตุ ตรา. “ถ้าอยา่ งนัน้ การแลดเู ป็นสิง่ ที่ท่านอาจทำ� ได้ ผ่านช่องมีประมาณเท่าใด, จงเจาะช่อง มีประมาณเท่านั้น ท่ีฝาห้องอันเป็นที่อยู่ของ พวกทา่ น, ใหน้ ำ� ของหอมและระเบยี บดอกไม้ เป็นต้นมาแล้ว ยืนอยู่ในที่น้ันๆ จงแลดู จงเหยยี ดหตั ถท์ งั้ สองออกถวายบงั คม และจง บูชาพระศาสดา ผู้เสด็จไปสู่เรือนของเศรษฐี ทง้ั สาม.” หญิงเหล่าน้ันกระท�ำอย่างน้ันแล้ว แลดูพระศาสดา ผ้เู สดจ็ ไปและเสดจ็ มาอยู่ ถวายบังคม และบชู าแล้ว. เม่ือพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งหลาย จงึ ทลู ถามพระศาสดาวา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ กน็ างขชุ - ชุตตรา เพราะกรรมอะไร ? จงึ เป็นหญิงคอ่ ม, 81 ขุชชตุ ตรา www.kalyanamitra.org
เพราะกรรมอะไร? จงึ เป็นผูม้ ปี ญั ญามาก, เพราะกรรมอะไร? จึงบรรลุโสดาปัตติผล, เพราะกรรมอะไร? จงึ เปน็ คนรบั ใชข้ องคนเหลา่ อนื่ .” พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ในอดีตกาล พระราชาองคน์ น้ั ครองราชสมบตั ใิ นกรงุ พาราณสี พระปจั - เจกพทุ ธเจา้ องคน์ นั้ เหมอื นกนั ไดเ้ ปน็ ผมู้ ธี าตแุ หง่ คนคอ่ ม หนอ่ ยหนงึ่ . หญิงผู้อุปัฏฐายิกา๑๖ คนหน่ึงห่มผ้ากัมพล ถือขัน ทองค�ำ ทำ� เป็นคนค่อม แสดงอาการเทีย่ วไปแหง่ พระปัจ- เจกพุทธเจ้านั้น ด้วยพูดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้าของ พวกเรายอ่ มเทย่ี วไปอย่างนแ้ี ละอยา่ งน.้ี ” เพราะผลกรรมนั้น นางจงึ เปน็ หญงิ คอ่ ม. ในวันแรกพระราชาทรงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้น ให้นั่งในพระราชมณเฑียรแล้ว ให้ราชบุรุษ รับบาตร บรรจุบาตรให้เต็มด้วยข้าวปายาส๑๗ แล้วรับส่ัง ใหถ้ วาย. ๑๖ น. ผบู้ ำ� รงุ , ผดู้ แู ล, ผรู้ บั ใช้ ทเี่ ปน็ หญงิ (มกั ใชส้ ำ� หรบั พระสงฆ)์ . ๑๗ อา่ นวา่ ปายาด แปลวา่ น. ขา้ วชนดิ หนงึ่ ทห่ี งุ เจอื ดว้ ยนา้ํ นม และนา้ํ ตาล ขา้ วเปยี กเจอื นม. 82 อบุ าสิกา ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายถือบาตรอันเต็มด้วย ข้าวปายาสร้อน ตอ้ งผลดั เปล่ียนมือบอ่ ย ๆ. หญงิ นน้ั เหน็ ทา่ นทำ� อยอู่ ยา่ งนนั้ กถ็ วายวลยั ๑๘ งา ๘ วลัย ซง่ึ เปน็ ของของตน กลา่ ววา่ “ท่านจงวางไว้บนวลัยนี้ แลว้ ถอื เอา.” พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าน้ันท�ำอย่างน้ันแล้ว. แลดู หญิงนั้น. นางทราบความประสงค์ของท่านท้ังหลาย จึง กลา่ ววา่ “ทา่ นเจา้ ขา้ ดฉิ นั หามคี วามตอ้ งการวลยั เหลา่ นไ้ี ม,่ ดิฉันบริจาควลัยเหล่าน้ันแล้วแก่ท่านท้ังหลาย, ขอท่าน จงรบั ไป.” พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าน้ันรับแล้ว ได้ไปยังเงื้อม เขาช่ือ ‘นนั ทมลู กะ.’ แม้ทุกวันน้ี วลัยเหลา่ นัน้ กย็ ังดๆี อยู่ น่ันเอง. เพราะผลแห่งกรรมน้ัน ในบัดนี้ นางจึงเป็นผู้ทรง พระไตรปิฎก มปี ญั ญามาก. เพราะผลกรรมในการอุปัฏฐาก ซึ่งนางท�ำแก่ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย นางจงึ ไดบ้ รรลโุ สดาปตั ตผิ ล. นีเ้ ป็นบรุ พกรรมในสมัยพทุ ธันดรของนาง. ๑๘ อา่ นวา่ วะ-ไล แปลวา่ น. กาํ ไลมอื , ทองกร; ของทเ่ี ปน็ วงกลม, วงกลม. 83 ขชุ ชุตตรา www.kalyanamitra.org
ในสมัยกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ธิดา ของเศรษฐีในกรุงพาราณสคี นหนงึ่ สอ่ งกระจกเงานั่งแตง่ ตัวอยู่ในเวลาบ่าย. นางภิกษุณีขีณาสพรูปหน่ึง ซึ่งเป็น ผู้ค้นุ เคยของนางไดไ้ ปเพ่อื เย่ียมนาง. นางภิกษุณแี ม้เปน็ พระขณี าสพ กเ็ ปน็ ผปู้ รารถนาเพอื่ จะเหน็ ตระกลู อปุ ฏั ฐาก ในเวลาเยน็ . ขณะนน้ั หญงิ รบั ใช้ ในสำ� นกั ของธดิ าเศรษฐไี มม่ เี ลย. นางจงึ กลา่ ววา่ “ดฉิ นั ไหว้ เจา้ ขา้ โปรดหยบิ กระเชา้ เครอ่ื ง ประดับนัน่ ใหแ้ ก่ดิฉนั กอ่ น.” พระเถรคี ดิ วา่ ‘ถา้ เราจะไมห่ ยบิ กระเชา้ เครอื่ งประดบั นี้ ให้แก่นาง, นางจะท�ำความอาฆาตในเราแล้ว บังเกิดใน นรก, แต่ว่า ถ้าเราจะหยิบให้, นางจะเกิดเป็นหญิงรับใช้ ของคนอ่นื , ความเป็นผู้รบั ใชข้ องคนอน่ื ย่อมดกี ว่าความ เรา่ ร้อนในนรก.’ พระเถรีนั้นอาศัยความเอ็นดู จึงได้หยิบกระเช้า เครอื่ งประดับนัน้ ใหแ้ ก่นาง. เพราะผลแห่งกรรมนั้น นางจึงเป็นคนรับใช้ของ คนอ่ืน. 84 อุบาสกิ า ฉบับราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
๕ เรอื่ งมารดาของพระกุมารกสั สปเถระ๑๙ สถานทตี่ รสั พระเชตวนั เล่ากันว่า มารดาของพระเถระนั้น เป็นธิดาของ เศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ขอบรรพชาแล้วต้ังแต่เวลาที่ตน รู้ความแล้ว, แม้อ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้บรรพชาจาก มารดาและบิดา เมื่อเติบโตขึ้น แต่งงานไปสู่ตระกูลสามี มสี ามดี งั เทวดา อย่คู รองเรือนแล้ว. ตอ่ มาไมน่ านนกั เกดิ ตง้ั ครรภ์ แตน่ างไมท่ ราบความ ที่ตั้งครรภน์ ัน้ ท�ำให้สามใี หย้ ินยอมได้แล้ว จงึ ขอบรรพชา ครั้งนนั้ สามีนำ� นางไปสสู่ �ำนักของนางภกิ ษุณี ด้วย สกั การะใหญก่ ไ็ มท่ ราบเรอ่ื ง ใหบ้ วชในสำ� นกั ของนางภกิ ษณุ ี ฝ่ายของพระเทวทตั แลว้ . ๑๙ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, อตั ตวรรควรรณนา, ล.๔๒, น.๒๐๓, มมร. 85 มารดาของพระกุมารกสั สปเถระ www.kalyanamitra.org
86 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ต่อมา นางถูกนางภิกษุณีเหล่าน้ัน ทราบความที่ นางมคี รรภแ์ ลว้ ถามว่า “นอี่ ะไรกนั ?” จึงตอบว่า “แม่เจ้า ดิฉันไม่ทราบว่า ‘น่ีเป็นได้ อย่างไร?’ แตศ่ ลี ของดิฉันไม่ดา่ งพรอ้ ยเลย.” พวกนางภิกษุณีน�ำนางไปสู่ส�ำนักของพระเทวทัต แล้วถามว่า “นางภิกษุณีนี้บวชด้วยศรัทธา, พวกดิฉัน ไม่ทราบเวลาที่นางต้ังครรภ์ของนาง; บัดนี้ พวกดิฉันจะ ทำ� อยา่ งไร?” พระเทวทตั คดิ เหตเุ พยี งเทา่ นวี้ า่ ‘ความเสยี ชอ่ื เสยี ง จงอย่าเกิดข้ึนแก่พวกนางภิกษุณีผู้อยู่ในโอวาทของเรา’ จงึ กล่าววา่ “พวกเธอ จงใหน้ างสึกเสีย” นางภกิ ษณุ ีสาวน้นั ฟงั คำ� น้นั แลว้ กลา่ วว่า “แมเ่ จา้ ขอแม่เจ้าทั้งหลาย อย่าให้ดิฉันฉิบหายเสียเลย, ดิฉัน มิได้บวชเจาะจงพระเทวทัต, แม่เจ้าทั้งหลาย จงมาเถิด จงน�ำดฉิ ันไปสู่พระเชตวนั ซ่งึ เปน็ สำ� นกั ของพระศาสดา.” นางภิกษุณีเหล่าน้ัน พานางไปสู่พระเชตวัน กราบทูล แด่พระศาสดาแลว้ . พระศาสดาแม้ทรงทราบอยู่ว่า ‘ครรภ์ตั้งขึ้นแล้ว ในเวลานางเป็นคฤหัสถ์’ เพื่อจะเปลื้องเสียซึ่งถ้อยค�ำ 87 มารดาของพระกมุ ารกัสสปเถระ www.kalyanamitra.org
ของคนอื่น จึงรับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่าน มหาอนาถบิณฑิกะ ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ นางวิสาขา อุบาสิกา และตระกูลใหญ่อ่ืน ๆ มาแลว้ . ทรงสงั่ พระอบุ าลี เถระว่า “เธอจงไป, จงช�ำระกรรมของภิกษุณีสาวน้ีให้ หมดจด ในทา่ มกลางบรษิ ัท ๔” พระเถระใหเ้ ชญิ นางวสิ าขามาตรงพระพกั ตรพ์ ระราชา แลว้ ใหส้ อบสวนอธกิ รณน์ น้ั . นางวิสาขานนั้ ให้คนลอ้ มมา่ น ตรวจดูมือ เท้า สะดอื และที่สุดแห่งท้องของนางภิกษุณีนั้นภายในม่าน แล้ว นับเดือนและวันดู ทราบว่า ‘นางได้มีครรภ์ในเวลาเป็น คฤหสั ถ์’ จงึ บอกความนน้ั แกพ่ ระเถระ, ครัง้ น้ัน พระเถระ ทำ� ใหน้ างเปน็ ผ้บู รสิ ทุ ธิ์ กลับคืนในทา่ มกลางบริษทั แลว้ . เวลาต่อมา นางคลอดบุตรมีบุญมาก ซึ่งได้ตั้ง ความปรารถนาไว้ แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรง พระนามวา่ ‘ปทมุ ตุ ตระ.’ วนั หนึง่ พระราชาเสด็จไป ณ ท่ีใกล้สำ� นักของนาง ภกิ ษณุ ที รงสดบั เสยี งทารก จงึ ตรสั ถามวา่ “นเี้ สยี งอะไร ?” เมอ่ื อ�ำมาตยก์ ราบทลู วา่ “พระเจ้าข้า บุตรของนางภิกษณุ ี เกดิ แลว้ , นัน่ เป็นเสยี งของบตุ รนางภิกษณุ นี น้ั ,” 88 อุบาสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ทรงน�ำกุมารน้ันไปสู่พระราชมณเฑียรของพระองค์ ไดป้ ระทานใหแ้ กแ่ มน่ มทงั้ หลาย ในวนั ตงั้ ชอ่ื คนทงั้ หลาย ต้งั ช่อื กุมารน้นั วา่ ‘กัสสป’ เพราะความทีก่ มุ ารน้ัน เปน็ ผ้ทู ี่ พระราชาทรงใหก้ ารเลยี้ งดดู ว้ ยขา้ วของเครอ่ื งใชต้ ามแบบ พระกมุ าร จึงรู้กันว่าช่อื ‘กมุ ารกสั สป.’ เม่ือเติบใหญ่ พระกุมารนั้นทุบตีเด็กในสนามกีฬา แล้ว, พวกเด็กกล่าวว่า “พวกเราถูกคนไม่มีแม่ไม่มีพ่อ ทบุ ตแี ลว้ .” จงึ เขา้ ไปเฝา้ พระราชา ทลู ถามวา่ “ขา้ แตพ่ ระองค์ ผเู้ ปน็ สมมตเิ ทพ พวกเดก็ ยอ่ มวา่ หมอ่ มฉนั วา่ ‘ไมม่ มี ารดา และบิดา’, ขอพระองคจ์ งตรัสบอกมารดาแก่หม่อมฉัน,” เมื่อพระราชาทรงแสดงหญิงแม่นมท้ังหลาย ตรัสว่า “หญิงเหลา่ น้ีเปน็ มารดาของเจา้ .” จงึ กราบทลู วา่ “มารดาของหมอ่ มฉนั ไมม่ มี ากเทา่ น,ี้ มารดาของหม่อมฉันพึงมีคนเดียว, ขอพระองค์ตรัสบอก มารดานนั้ แก่หม่อมฉนั เถดิ .” พระราชาทรงด�ำริว่า ‘เราไม่อาจลวงกุมารนี้ได้’ จึงตรัสว่า “พ่อหนู มารดาของเจา้ เป็นภิกษุณี, เจ้า อนั เรา นำ� มาจากสำ� นกั นางภกิ ษุณี” พระกุมารนั้นเกิดความสังเวชเกิดข้ึนแล้ว ด้วยเหตุ เพียงเท่าน้ัน กราบทูลว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ ทรงให้หม่อมฉนั บวชเถิด” 89 มารดาของพระกุมารกัสสปเถระ www.kalyanamitra.org
พระราชาทรงรับว่า “ดลี ะ พ่อหน”ู แล้วยงั กมุ ารน้นั ใหบ้ วชในสำ� นกั ของพระศาสดา ดว้ ยสกั การะเปน็ อนั มาก. กุมารกัสสปนั้น ได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏชื่อว่า ‘พระกุมารกัสสปเถระ.’ ท่านเรียนกัมมัฏฐานในส�ำนัก พระศาสดา เข้าไปสู่ป่า พยายามแล้วไม่สามารถจะให้ คุณวิเศษบังเกิดได้ จึงคิดว่า ‘เราจะเรียนกัมมัฏฐานให้ มากขึ้นอีก’ มาสู่ส�ำนักของพระศาสดา อยู่ในป่าอันธวัน แลว้ , ครั้งนั้น ภิกษุผู้ท�ำสมณธรรมร่วมกัน ในสมัย พระกัสสปพุทธเจ้า บรรลุอนาคามิผลแล้ว บังเกิดใน พรหมโลก มาจากพรหมโลกถามปัญหา ๑๕ ข้อ กับ พระกุมารกัสสปนั้นแล้ว ส่งไปด้วยค�ำว่า “คนอื่นยกเว้น พระศาสดาเสีย ท่ีสามารถเพ่ือจะพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ ไม่มี. ท่านจงไป, จงเรียนเน้ือความของปัญหาเหล่าน้ี ในสำ� นักของพระศาสดาเถิด.” ทา่ นท�ำเหมอื นอยา่ งน้นั บรรลพุ ระอรหัตผลในเวลา ท่พี ระศาสดาทรงแก้ปญั หาจบ. 90 อบุ าสิกา ฉบับราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ตงั้ แตว่ นั ทพ่ี ระเถระตอนเปน็ ทารกจากไปแลว้ นำ้� ตา ไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองของนางภิกษุณีผู้เป็นมารดา ตลอด ๑๒ ป.ี นางมคี วามทกุ ขเ์ พราะพลัดพรากจากบุตร มหี นา้ ชุ่มไปด้วยน้ำ� ตาทเี ดยี ว เทยี่ วไปเพ่อื ภกิ ษา พอเหน็ พระเถระในระหวา่ งแหง่ ถนน จงึ รอ้ งวา่ “ลกู ลกู ” วง่ิ เขา้ ไป เพ่ือจะจับพระเถระ ซวนล้มลงแล้ว. เต้านมของนางหลั่ง นำ้� นมอยู่ ลกุ ข้นึ มจี วี รเปียก ไปจับพระเถระแล้ว พระเถระคดิ วา่ ‘ถา้ มารดานจี้ ะได้ถอ้ ยคำ� อนั ไพเราะ จากเรา, นางจะฉบิ หายเสีย; เราจะพดู กบั มารดานี้ ท�ำให้ แขง็ กระด้างทเี ดียว’ พระเถระจึงกล่าวกับนางภิกษุณีผู้เป็นมารดาน้ันว่า “ทา่ นเทยี่ วทำ� อะไรอย?ู่ จงึ ไมอ่ าจตดั แมส้ กั วา่ ความรกั ได”้ นางคิดว่า ‘โอถ้อยค�ำของพระเถระหยาบคาย,’ จึงกล่าวว่า “ลกู ลกู พดู อะไรกนั ?” ถูกพระเถระว่าเหมอื น อย่างนั้นน่ันแหละอีก จึงคิดว่า ‘เราไม่อาจอดกลั้นน้�ำตา ไว้ได้ตลอด ๑๒ ปี เพราะเหตุแห่งบุตรน้ี, แต่บุตรของ เราน้ี มีหัวใจแขง็ กระด้าง, จะมปี ระโยชน์อะไรด้วยบุตรน’้ี ตัดความเสน่หาในบุตรแล้ว บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้น นั่นเอง. 91 มารดาของพระกมุ ารกัสสปเถระ www.kalyanamitra.org
ต่อมา ภิกษุทั้งหลายสนทนากนั ในโรงธรรมว่า “ผู้มี อายุท้ังหลาย พระกุมารกัสสปและพระเถรี ผู้สมบูรณ์ ด้วยอุปนิสัยอย่างน้ี ถูกพระเทวทัตท�ำให้ฉิบหายแล้ว, ส่วนพระศาสดาได้เป็นท่ีพึ่งของท่านทั้งสองน้ัน โอ ! น่าอัศจรรย์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็น ผอู้ นเุ คราะห์โลก.” พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บดั น้ี พวกเธอนัง่ สนทนากนั ด้วยเรอื่ งอะไรหนอ ?” เมอ่ื ภิกษเุ หลา่ นน้ั กราบทลู ว่า “ดว้ ยเรื่องน,ี้ ” จึงตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย เราเป็นปัจจัย เป็นท่ีพ่ึง ของคนท้ังสองน้ี ในบัดน้ีเท่านั้นก็หาไม่, แม้ในกาลก่อน เราก็ได้เป็นที่พ่ึงของคนทั้งสองน้ันเหมือนกัน” ดังนี้แล้ว จงึ ตรสั นโิ ครธชาดกนีว้ า่ :- “เจา้ หรือคนอ่ืน พงึ คบเนื้อชื่อว่า ‘นิโครธ’ ผเู้ ดยี ว อยา่ เขา้ ไปคบเนอื้ ช่ือว่า ‘สาขะ’; ความตายในส�ำนักของเนือ้ ชอ่ื ว่า ‘นโิ ครธ’ ประเสริฐกวา่ , ความเป็นอยูใ่ นส�ำนกั ของเนอื้ ชอื่ ว่า ‘สาขะ’ นั้นจะประเสรฐิ อะไร.” 92 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
ทรงประชมุ ชาดกว่า “เนอ้ื ชอ่ื วา่ ‘สาขะ’ ในครัง้ น้นั ไดเ้ ปน็ พระเทวทัต ในบัดนี้, แมบ้ รษิ ทั ของเน้อื ชือ่ วา่ ‘สาขะ’ น้นั กเ็ ปน็ บรวิ ารของพระเทวทตั นัน่ แหละ, แมเ่ นอ้ื ตวั ถงึ วาระไดเ้ ปน็ พระเถร,ี บตุ รไดเ้ ปน็ กมุ ารกสั สป, ส่วนพระยาเน้อื นามว่า ‘นโิ ครธ’ ผไู้ ปสละชีวิตแกแ่ มเ่ น้ือตวั มคี รรภ์คือเราเอง,” เมอื่ จะทรงประกาศความทพ่ี ระเถรตี ดั ความรกั ในบตุ ร แลว้ ทำ� ทพ่ี งึ่ แกต่ นเองแล จงึ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เพราะ บุคคลอาศัยคนอื่น ไม่สามารถเพ่ือจะมีสวรรค์หรือมรรค เปน็ ทไ่ี ปในเบอื้ งหนา้ ได,้ ฉะนน้ั ตนนนั่ แหละเปน็ ทพี่ ง่ึ ของตน, คนอน่ื จะทำ� อะไรได้” ดงั นี้แล้ว ตรัสพระคาถานว้ี ่า :- ตนแลเปน็ ทพี่ ง่ึ ของตน, บคุ คลอนื่ ใครเลา่ พงึ เปน็ ทพ่ี งึ่ ได้ เพราะบคุ คลมตี นฝกึ ฝนดแี ลว้ ยอ่ มไดพ้ งึ่ ทบ่ี คุ คลไดโ้ ดยยาก. เมอื่ จบเทศนา ชนเปน็ อนั มาก บรรลอุ รยิ ผลทง้ั หลาย มีโสดาปตั ติผลเปน็ ต้น ดังน้ีแล. เร่อื งมารดาของพระกุมารกสั สปเถระ จบ. 93 มารดาของพระกุมารกสั สปเถระ www.kalyanamitra.org
94 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
๖ เรอ่ื งพระนางมหาปชาบดโี คตม๒ี ๐ สถานท่ตี รสั พระเชตะวนั ความโดยละเอียดว่า พระนางมหาปชาบดีโคตมี พรอ้ มกับบริวารรับครธุ รรม ๘ ประการ๒๑ อนั พระผมู้ พี ระ- ภาคเจา้ ทรงบญั ญตั แิ ลว้ ในเรอื่ งยงั ไมเ่ กดิ ขนึ้ เหมอื นบรุ ษุ ผู้มชี าติ มักประดับรับพวงดอกไมห้ อมดว้ ยเศียรเกล้า ได้ อปุ สมบทแลว้ . อปุ ชั ฌายะหรอื อาจารยอ์ นื่ ของพระนางไมม่ .ี ๒๐ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, ๒ ๑ ช- ภรากิ วษรรณุ คถี วงึรมรณพี รนราษ,ลา.ต๔งั้ ๓๑,น๐.๐๔๔ตอ้๒ง,กมรมารบ.ไหวภ้ กิ ษผุ อู้ ปุ สมบทในวนั นน้ั ๑. - ตอ้ งอยู่จ�ำพรรษาในอาวาสภิกษุ ๑. - ตอ้ งหวงั ตอ่ ธรรมทงั้ ๒ คอื ถามอโุ บสถและไปรบั โอวาทจากภกิ ษสุ งฆ์ ทกุ ก่งึ เดอื น ๑. - ออกพรรษาแล้ว ตอ้ งปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๑. - ต้องครุธรรมแล้ว พงึ ประพฤตปิ กั ขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๑. - ต้องแสวงหาอุปสมบทแก่นางสิกขมานาผู้ศึกษาในธรรม ๖ สิ้น ๒ ปี แลว้ ในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๑. ด่าแช่งภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๑. - ปดิ ทางไมใ่ หภ้ กิ ษณุ สี อนภกิ ษุ เปดิ ทางใหภ้ กิ ษกุ ลา่ วสอนอยา่ งเดยี ว ๑ (ว.ิ จลุ ล. เลม่ ๗ ข้อ ๕๑๖.) 95 พระนางมหาปชาบดโี คตมี www.kalyanamitra.org
ภิกษุท้ังหลายปรารภพระเถรีผู้มีอุปสมบทท่ีได้แล้ว อยา่ งนน้ั โดยสมยั อนื่ สนทนากนั วา่ “อาจารยแ์ ละอปุ ชั ฌายะ ของพระนางมหาปชาบดีโคตมี ย่อมไม่ปรากฏ พระนาง ถือเอาผ้า กาสายะทงั้ หลายดว้ ยมือของตนเอง.” ครั้นกล่าวอย่างน้ันแล้ว ภิกษุณีท้ังหลายประพฤติ รังเกียจอยู่ ย่อมไม่ท�ำอุโบสถ ไม่ท�ำปวารณาร่วมกับ พระนางเลย. ภกิ ษณุ ที งั้ หลายนนั้ ไปกราบทลู เนอ้ื ความนน้ั แดพ่ ระตถาคตแล้ว. พระศาสดาทรงสดับค�ำของภิกษุณีเหล่านั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ครุธรรม ๘ ประการ เราให้แล้วแก่พระนาง มหาปชาบดโี คตมี เราเองเปน็ อาจารย์ เราเองเปน็ อปุ ชั ฌายะ ของพระนาง ชือ่ วา่ ความรังเกยี จในพระขีณาสพทง้ั หลาย ผู้เว้นแล้วจากทุจริตท้ังหลายมีกายทุจริตเป็นต้น อันเธอ ทง้ั หลายไมค่ วรทำ� .” ดงั นแ้ี ลว้ เมอื่ จะทรงแสดงธรรมจงึ ตรสั พระคาถานว้ี า่ ความชัว่ ทางกาย วาจา และใจ ของบุคคลใดไมม่ ,ี เราเรยี กบคุ คลนน้ั ผสู้ ำ� รวมแลว้ โดยฐานะ ๓ วา่ เปน็ พราหมณ.์ เมอ่ื จบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลอุ รยิ ผลทงั้ หลาย มีโสดาปัตติผลเปน็ ตน้ ดังนแ้ี ล. เร่อื งพระนางมหาปชาบดโี คตมี จบ. 96 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
๗ เรือ่ งพระนางรูปนันทาเถร๒ี ๒ สถานที่ตรสั พระเชตะวนั เลา่ กันว่า วันหนง่ึ พระนางรูปนนั ทานน้ั ทรงด�ำริวา่ ‘เจ้าพี่ใหญ่ของเราสละสิริราชสมบัติ ออกผนวช เป็น พระพทุ ธเจา้ ผอู้ คั รบคุ คลในโลก, แมโ้ อรสของพระองคท์ รง นามว่า ‘ราหุลกุมาร’ ก็ผนวชแล้ว, แม้เจ้าพี่ของเรา (คือ เจ้าชายนันทะ) ก็ผนวชแลว้ . แมพ้ ระมารดาของเราก็ทรง ผนวชแลว้ . เมือ่ คณะพระญาติมีอยูเ่ ท่านี้ ทรงผนวชแลว้ , แม้เราจะอย่ใู นเรือนท�ำอะไร เราจะผนวชบา้ ง.’ พระนางเสดจ็ เขา้ ไปสสู่ ำ� นกั ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายแลว้ ทรง ผนวช พระนางทรงผนวชเพราะความรกั ในพระญาตเิ ทา่ นนั้ ๒๒ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, ชราวรรควรรณนา, ล.๔๒,น.๑๕๘,มมร. 97 พระนางรปู นนั ทาเถรี www.kalyanamitra.org
98 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
หาใช่เพราะศรัทธาไม่ แต่เพราะพระนางเป็นผู้มีพระโฉม อันวิไล จึงปรากฏพระนามวา่ ‘รูปนนั ทา.’ พระนางได้ทรงสดบั ว่า ‘ได้ยินวา่ พระศาสดาตรสั ว่า ‘รูปไมเ่ ท่ียง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนัตตา, เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา’ จึงไม่เสด็จไป เผชญิ พระพกั ตรพ์ ระศาสดา ดว้ ยทรงเกรงวา่ ‘พระศาสดา จะพงึ ตรสั โทษในรปู แมข้ องเราซงึ่ นา่ ดู นา่ เลอ่ื มใสอยา่ งน.ี้ ’ ชาวพระนครสาวัตถีถวายทานแต่เช้าตรู่ สมาทาน อุโบสถแล้วห่มผ้าสะอาด มีมือถือของหอมและระเบียบ ดอกไม้เป็นต้น ในเวลาเย็นน้ัน ประชุมกันฟังธรรมใน พระเชตวนั . แมภ้ กิ ษณุ สี งฆผ์ เู้ กดิ ฉนั ทะในพระธรรมเทศนา ของพระศาสดา ก็ย่อมไปวิหารฟังธรรม. ชาวพระนคร สาวัตถีเหล่านั้น ครั้นฟังธรรมแล้ว เม่ือเข้าไปสู่พระนคร กก็ ล่าวแต่คุณกถาของพระศาสดาเท่าน้นั เข้าไป. สัตว์ในโลกสันนิวาสซ่ึงมปี ระมาณ ๔ จำ� พวก ทีเ่ หน็ พระตถาคตอยู่ ไมเ่ กดิ ความเลอื่ มใส มีจำ� นวนน้อยนัก. ๑. รปู ัปปมาณิกา ด้วยว่าจ�ำพวกสัตว์ท่ีเป็นรูปัปปมาณิกา (ถือรูป เป็นประมาณ) เห็นพระสรีระของพระตถาคต อันประดับ แล้วด้วยพระลักษณะและอนุพยัญชนะ มีพระฉวีวรรณ ดุจทองค�ำ ย่อมเลื่อมใส. 99 พระนางรูปนันทาเถรี www.kalyanamitra.org
๒. โฆสัปปมาณกิ า พวกโฆสัปปมาณิกา (ถือเสียงเป็นประมาณ) ฟังเสยี งประกาศพระคุณของพระศาสดา ซง่ึ อาศยั เปน็ ไป แลว้ ตง้ั หลายรอ้ ยชาติ และเสยี งประกาศพระธรรมเทศนา อนั ประกอบด้วยองค์ ๘๒๓ ย่อมเล่อื มใส. เสยี งที่ประกอบ ดว้ ยองค์ ๘ คือ แจ่มใส ๑ ชดั เจน ๑ นมุ่ นวล ๑ น่าฟงั ๑ กลมกล่อม ๑ ไม่พรา่ ๑ ลึก ๑ มกี งั วาน ๑ ๓. ลูขัปปมาณิกา พวกลขู ปั ปมาณกิ า (ถอื การปฏบิ ตั เิ ศรา้ หมองเปน็ ประมาณ) อาศัยความที่พระองค์เป็นผู้เศร้าหมองด้วย ปัจจยั ทั้งหลายมจี ีวรเป็นต้น ย่อมเล่อื มใส. ๔. ธมั มัปปมาณกิ า แม้พวกธัมมปั ปมาณิกา (ถือธรรมเปน็ ประมาณ) กย็ อ่ มเลอ่ื มใสวา่ “ศลี ของพระทศพลอยา่ งน.้ี สมาธอิ ยา่ งน.้ี ปัญญาอย่างนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าหาผู้เสมอมิได้ ไม่มี ผเู้ สมอเทา่ หาผเู้ สมอเหมอื นมไิ ด้ ไมม่ ผี ทู้ ดั เทยี ม ดว้ ยคณุ ทง้ั หลายมศี ลี เป็นต้น.” ๒๓ ท.ี มหาวรรค ชนวสภสูตร ขอ้ ๑๙๘. 100 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176