Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติวเข้ม O net get 100 วิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย โดย True ปลูกปัญญา

ติวเข้ม O net get 100 วิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย โดย True ปลูกปัญญา

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2019-04-19 03:14:20

Description: หนังสือ,เอกสาร,บทความที่เผยแพร่นี้เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

ชอ งทรูปลูกปญ ญา โทรทัศนความรูดูสนุก ทางทรูวิช่ันส 6 ทุกรายการสาระ ความรู สาระบันเทิง และการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมตลอด 24 ชว่ั โมง พบกับเรอ่ื งราวสรางแรงบนั ดาลใจ • รายการสอนศาสตร รายการสอนเสรมิ แนวใหมครบ 8 วิชา ม.3 ม.6 ติวสดทกุ วันโดยติวเตอรช่อื ดัง ทรูปลูกปญญา • รายการ I AM แนะนาํ อาชพี นาสนใจโดยรนุ พีใ่ นวงการ • รายการสารสังเคราะห นําขา วสารมาสังเคราะหอ พั เดท หนวยงานเพ่ือการศึกษา ภายใตกลุมบริษัท ทรู คอรปอเรชนั่ จํากัด (มหาชน) ที่บรู ณาการเทคโนโลยีและความ กนั แบบไมต กเทรนด เชี่ยวชาญดานคอนเทนต พัฒนาเปนสื่อไลฟสไตลเพ่ือสงเสริม การศึกษาและคุณธรรม สามารถเชื่อมโยงทุกมิติการเรียนรูได อยา งครบวงจร นิตยสารปลูก plook นิตยสารสงเสริมความรูคูคุณธรรมสําหรับเยาวชนฉบับแรก ในประเทศไทย วางแผงทุกสัปดาหแรกของเดือน หยิบฟรีไดท่ี www.trueplookpanya.com True Coffee TrueMove Shop สถานศึกษา แหลงการเรียนรู หองสมุด และโรงพยาบาล ทั่วประเทศ หรืออานออนไลนใน ทรูปลูกปญญาดอทคอม คลังความรูคูคุณธรรมท่ีใหญ www.trueplookpanya.com ทสี่ ดุ ในประเทศไทย อดั แนน ดว ยสาระความรใู นรปู แบบมลั ตมิ เี ดยี สนุกกับการเรียนรูดวยตัวเอง ท้ังยังเปดโอกาสใหทุกคนสราง เน้ือหา แบงปน ความรูร วมกัน โดยไมมีคาใชจ า ย แอพพลิเคช่ัน Trueplookpanya.com ตอบโจทยไลฟสไตลการเรียนรูของคนรุนใหม ดวยฟรี พบกบั ความเปน ทีส่ ดุ ท้งั 4 ดา นแหง การเรยี นรู แอพพลิเคช่ัน “Trueplookpanya.com” ใหคุณพรอมสําหรับ การเรยี นรใู นทกุ ทที่ กุ เวลา รองรบั การใชง านบน iOS (iPhone, iPod, • คลังความรู รวบรวมเนื้อหาการเรียนทุกระดับช้ันครบ iPad) และ Android 8 กลุมสาระการเรียน • คลังขอสอบ ขอสอบออนไลนพรอมเฉลยท่ีใหญท่ีสุด ในประเทศไทย พรอ มการประเมินผลสอบทางสถิติ • แนะแนว ขอมูลการศึกษาตอ พรอมเจาะลึกประสบการณ : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya การเรียนและการทํางาน • ศูนยขาวสอบตรง/Admissions ขาวการสอบทุกสนาม ทุกสถาบนั พรอ มระบบแจงเตือนเรียลไทม

หนงั สือชดุ “ตวิ เขม O-NET Get 100” สรางสรรคโ ดย ทรปู ลกู ปญญา มีเดีย โครงการเพอื่ สังคมของบริษทั ทรู คอรปอเรชน่ั จํากัด (มหาชน) เลขท่ี 46/8 อาคารรุงโรจนธ นกุล ตึก B ช้ัน 9 ถนนรชั ดาภิเษก แขวงหวยขวาง เขตหว ยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร : 02-647-4511, 02-647-4555 โทรสาร : 02-647-4501 อีเมล : [email protected] : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya หนงั สอื ชดุ “ติวเขม O-NET Get 100” ใชส ัญลักษณอ นญุ าตของครเี อทฟี คอมมอนส แบบ แสดงทีม่ า-ไมใ ชเพือ่ การคา -อนญุ าตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย

คำนำ การสอบ O-NET หรือช่ืออยางเปนทางการวา การจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพ้ืนฐาน (Ordinary National Educational Test) โดย สทศ. ถอื เปนอกี สนามสอบท่สี ําคัญสาํ หรบั นองๆ ในระดับ ป.6, ม.3, ม.6 เพอื่ เปน การประเมินผลการเรียนรูของนองๆ ในระดับชาตเิ ลยทีเดยี ว และยงั เปน ตวั ชีว้ ดั คณุ ภาพการเรยี นการ สอนของแตละโรงเรียนอกี ดวย คะแนน O-NET กย็ งั เปนสวนสาํ คญั ในการคิดคะแนนในระบบ Admissions เพอ่ื สมัครเขา คณะท่ีใจปรารถนา ไดค ะแนนดีก็มชี ยั ไปกวา ครึง่ และเพอื่ เปน อกี ตวั ชว ยหนง่ึ ในการเตรยี มความพรอ มใหน อ งๆ กอ นการลงสนามสอบ O-NET ทางทรปู ลกู ปญญาจงึ ไดจ ดั ทาํ หนังสอื ชดุ “ตวิ เขม O-NET Get 100” สดุ ยอดคูมือเตรยี มตัวสอบ O-NET สาํ หรบั นอ งๆ ในระดับ ม.3 และ ม.6 ทเ่ี จาะลกึ เนอ้ื หาทมี่ กั ออกสอบบอ ยๆ โดยเหลา รนุ พเ่ี ซยี นสนามในวงการตวิ รวบรวมแนวขอ สอบตงั้ แต อดตี จนถึงปจ จุบนั พรอมเฉลยอยา งละเอยี ด และคาํ อธิบายที่เขาใจงาย จําไดแ มน ยํา นาํ นองๆ Get 100 ทําคะแนน สูเปา หมายในอนาคต หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” โดยทรูปลูกปญญา ประกอบดวยวิชาคณิตศาสตร ภาษาไทย สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ ที่รวบรวมเน้ือหาระดับมัธยมศึกษาตอนตน และมัธยมศึกษาตอนปลาย และวิชา ฟส กิ ส เคมี ชวี วทิ ยาของระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รวมทงั้ หมด 11 เลม โดยสามารถศกึ ษาเนอ้ื หาหรอื ทาํ ขอ สอบ ออนไลนเ พิม่ เตมิ ไดจาก www.trueplookpanya.com ทม่ี ี link ใหในทายบท สามารถดาวนโหลดหนงั สอื ไดฟรี ผา นเวบ็ ไซตท รปู ลูกปญ ญา ท่ี www.trueplookpanya.com/onet ทมี งานทรปู ลูกปญ ญา

สารบัญ หนา เรือ่ ง 7 7 บทท่ี 1 การเคลื่อนท่ี 10 การบอกตําแหนง ของวัตถุ 18 การเคล่ือนทแี่ นวตรง 24 การเคล่ือนทแี่ บบอื่นๆ 24 26 บทท่ี 2 แรงและสนามของแรงในธรรมชาติ 30 แรงจากสนามโนมถวง 33 แรงจากสนามไฟฟา 33 แรงจากสนามแมเ หล็ก 36 แรงแมเ หล็กไฟฟา 36 แรงในนิวเคลยี ส 37 39 บทที่ 3 พลังงาน 39 กฎอนุรักษพ ลังงาน 45 การถายโอนพลังงาน 61 67 บทที่ 4 คลน่ื 67 คล่นื กล 68 เสยี งและการไดย ิน คล่นื แมเ หลก็ ไฟฟา บทท่ี 5 กัมมันตภาพรังสี และพลงั งานนวิ เคลยี ร การคนพบกัมมนั ตภาพรังสี ไอโซโทป

สารบัญ หนา เรือ่ ง 68 71 กัมมันตภาพรังสี 74 ครึง่ ชีวติ 76 ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี ร 77 การวัดปรมิ าณกมั มนั ตภาพรงั สี การประยกุ ตใ ชพ ลังงานนิวเคลยี รแ ละกมั มนั ตภาพรังสี

คุยกอนอาน หนงั สอื ตวิ เขม O-NET Get 100 วิชาฟสิกสเ ลมนี้ จัดทาํ ขน้ึ สําหรับนองๆ ทก่ี าํ ลงั ศึกษาอยใู นระดบั มัธยมปลาย เพอื่ ใชเ ปน แนวทางในการเตรยี มตวั สอบ O-NET โดยมขี น้ั ตอนในการเรยี บเรยี งเนอ้ื หาอยา งตรงประเดน็ เพอื่ ใหน อ งๆ มีประสทิ ธิภาพในการอา นสงู ท่สี ดุ ผานข้ันตอนดงั น้ี • รวบรวมประเดน็ สาํ คัญๆ ครบถว นทั้ง 4 บทหลัก คอื การเคลือ่ นที,่ แรงและสนามของแรงในธรรมชาต,ิ คลืน่ และ กัมมนั ตภาพรงั สแี ละพลงั งานนิวเคลยี ร และไดเ พมิ่ เตมิ เรื่องพลังงาน อีก 1 บทซง่ึ แทรกอยกู อ นบทคลื่น เปน บทเสรมิ เพ่ือชวยใหน อ งๆ เขา ใจเร่อื งของคล่ืนมากขนึ้ • เนน เนอื้ หาสว นทอ่ี อกขอ สอบบอ ยๆ เชน การแยกความแตกตา งระหวา งความเรว็ เฉลยี่ กบั อตั ราเรว็ เฉลยี่ ทศิ ทาง การเคล่ือนท่ีของอนุภาคที่มีประจุเม่ืออยูในสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก อัตราเร็วของคลื่นเสียง การคํานวณ เก่ียวกบั คา คร่งึ ชวี ิต เปนตน • มีการอธิบายความหมาย มมุ มอง แนวคดิ และเทคนิคในการแกป ญ หาอยา งมีเหตุผล เปน ระบบ ชดั เจน ผาน ภาษาท่เี ขา ใจงา ย มภี าพประกอบท่ีชว ยใหน องๆ เขา ใจคําอธบิ ายมากข้ึน มีการจดั สดั สวนระหวางสวนของภาพและ สวนของตัวหนังสอื ใหนองๆ อา นแลวไมร ูสกึ เบ่ือฟส กิ ส และมีความพรอมในการสอบไดมากขน้ึ ความตั้งใจและใสใจทั้งหมดน้ี จะทําใหนองๆ รูสึกเหมือนพวกพ่ีมาเลาฟสิกสใหนองฟง เพียงแคนองใหความ รว มมอื กันดวยการคอ ยๆ อาน อานไปคิดภาพตามไป ต้งั คาํ ถามกับสงิ่ ทอ่ี านทเี่ รียน เชน ทําไมถงึ เปน แบบนี้ ทาํ ไมถึง เปน แบบนน้ั เปน แบบนไี้ ดห รอื เปลา หรอื ลองหาวธิ อี ธบิ ายปรากฏการณต า งๆ ดว ยวธิ กี ารใหมๆ นอ งๆ กจ็ ะเขา ใจฟส กิ ส ในหนงั สือเลมนไี้ ดไมย าก สิง่ เหลานจี้ ะเปน จดุ เรม่ิ ตน ในการพิชิตขอสอบ O-NET วิชาฟส ิกสต อไปน่นั เอง ขอใหนองๆ คดิ ในใจเสมอวา โจทยทเี่ ราทาํ มนั งา ยและตองมีคําตอบ แลว ใหเพมิ่ กําลังใจใหตวั เราเองเสมอวา “เราตอ งทาํ ได” พ่ีๆ ขอเปน กําลังใจใหนองๆ ทกุ คนในการสอบ สูๆๆ ทมี งานทรปู ลกู ปญ ญา

บทท่ี 1 การเคลือ่ นที่ 1.การบอกตาํ แหนง ของวตั ถุ พจี่ ะเรมิ่ อธบิ ายการเคลื่อนทจ่ี ากการใหนอ งๆ เรมิ่ จนิ ตนาการวา ในตอนแรกมีรถคนั หน่งึ อยูต รงหนาเราพอดี หลงั จากน้นั รถคนั ดงั กลาวได เคล่อื นท่ไี ปทางขวามอื ของเรา และรถคันดงั กลาวไดเคลอ่ื นท่หี างจากเรา มากขนึ้ เร่ือยๆ เหน็ ไดว า รถคนั ดงั กลา วมกี ารเปลยี่ นตาํ แหนง (position) เกดิ ขนึ้ ดงั นน้ั การเปลย่ี นตาํ แหนง ของวตั ถจุ งึ เปน สง่ิ ทบี่ อกวา วตั ถุ มีการเคล่ือนท่ี ยงั บอกเราอีกวาถาวัตถไุ มม กี ารเปลี่ยนตําแหนง แสดงวา วตั ถุไมเคลอื่ นที่หรืออยนู ง่ิ นัน่ เอง ถาตา งคนตางบอกตาํ แหนง ในมุมมองของตัวเอง จะเกิดอะไรขนึ้ ? เพื่อความเขาใจท่ีตรงกันในตําแหนงของวัตถุเราจึงตองบอกตําแหนงของวัตถุโดยอางอิงจากจุดใดจุดหน่ึง เรียกจุดนี้วา จุดอางอิง (reference point) การบอกตาํ แหนงของวตั ถเุ ราอาจบอกไดหลายวธิ ี เชน แกน y 1. การบอกตําแหนงโดยใชร ะบบพิกดั คารท ีเซยี น y (x,y) (Cartesian coordinate system) x แกน x (r, 0) 2. การบอกตาํ แหนงโดยใชระบบพกิ ัดเชิงขว้ั r (Polar coordinate system) 0 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 7

1.1 ระยะทางและการกระจัด หลังจากที่นองๆ ไดเรียนรูการบอกตําแหนงของวัตถุไปแลว เราจะมาพิจารณาการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ โดยเร่ิมจาก การสมมตใิ หต อนแรกวัตถอุ ยูทจ่ี ุด A หลงั จากนนั้ วตั ถุไดเ คลื่อนทไ่ี ปยงั จุด B B A จากรูปภาพขางตน การท่ีวตั ถุมีการเปล่ยี นตาํ แหนงจากจดุ A ไปยัง ความยาวในการเคล่ือนที่จริงๆ ของวัตถุน้ัน จุด B (เสนทบึ ) เราเรียกการเปล่ยี นตําแหนงน้ีวา (เสนปะ) เราเรยี กวา ระยะทาง (distance) การกระจัด (displacement) การกระจดั เขียนแทน ปรมิ าณทปี่ ระกอบดว ยขนาดและทศิ ทาง ปริมาณท่ีมีแตขนาดไมมีทิศทาง เรา ดวยลูกศรทช่ี ีจ้ ากจดุ เราเรียกวา เวกเตอร (vector) ซ่ึงการ เรยี กวา สเกลาร (scalar) ซง่ึ ระยะทาง เร่ิมตนไปถงึ จดุ สดุ ทา ย กระจดั นนั้ บอกถงึ ขนาด (ระยะหา ง) และ นั้นไมไ ดบอกถงึ ทิศทางการเคลือ่ นที่ ทศิ ทาง (ทศิ ของลกู ศร) ดงั นน้ั การกระจดั ดงั นนั้ ระยะทางจึงเปนปรมิ าณสเกลาร จงึ เปนปริมาณเวกเตอร 1.2 การหาขนาดของเวกเตอรล พั ธ เนอื่ งจากการกระจดั เปน ปรมิ าณเวกเตอร ดงั นนั้ เพอ่ื ความสะดวกเราจะใชก ารกระจดั เปน ตวั อธบิ ายการหาขนาดของเวกเตอร ลพั ธ โดยพจิ ารณาในกรณแี รก คอื ใหว ตั ถเุ คลอื่ นทไ่ี ปทางทศิ ตะวนั ออกเปน ระยะทาง 4 เมตร หลงั จากนน้ั เคลอ่ื นทตี่ อ ไปในทศิ ทางเดมิ อีก 3 เมตร 4m 3m การกระจดั = 7 m 8 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

กรณที สี่ อง เราสมมตใิ หวตั ถุเคลอ่ื นท่ีไปทางทศิ 4m ตะวนั ออกเปน ระยะทาง 4 เมตร หลังจากน้นั วตั ถุไดเ คลือ่ น 3m ทกี่ ลบั มาทางทศิ ตะวันตกอีก 3 เมตร การกระจัด = 1 m กรณที ่ีสาม เราสมมติใหวตั ถุเคลอื่ นที่ไปทางทศิ การกระจดั = 5 m 3m ตะวนั ออกเปน ระยะทาง 4 เมตร หลงั จากนั้นวัตถุไดเคล่อื น 4m ทีต่ อ ไปทางทิศเหนอื เปนระยะทาง 3 เมตร ขอ ตกลงเชิงสัญลกั ษณ เพื่อความสะดวกและความเขาใจท่ีตรงกัน ในหนังสือเลมน้ีจะใชสัญลักษณแทนปริมาณท่ีเปนเวกเตอรและสเกลารตางกัน ดังน้ี ถา A เปนปรมิ าณเวกเตอรเราจะใชลัญลกั ษณแ ทนดว ย A (มลี กู ศรอยูดา นบนตัว A) ถา A เปน ปริมาณสเกลารเ ราจะใชล ัญลกั ษณแทนดวย A (ไมมลี กู ศรอยดู า นบนตัว A) จากตวั อยางทงั้ 3 กรณี เห็นไดว า เราใชหลกั การเพยี งหลักการเดยี ว C =A +B เทา น้ันในการหาเวกเตอรลพั ธ นัน่ คอื ถา C = A + B เราสามารถหา C ไดจาก 1. นําหางของ B มาตอกับหวั ของ A AB 2. หา C โดยลากเวกเตอรจากหางของ A ไปยังหัวของ B C=A+B AB ปญหาทาใหคิด! ยกที่ 1: ถาเราเคล่ือนท่ีเปนวงกลมกลับมาท่ีเดิม โดยท่ีวงกลมดังกลาวมีรัศมีเทากับ r กระจัดและ ระยะทางจะเปน เทาไร? r หาการกระจดั เนอื่ งจากเราเคลอ่ื นทก่ี ลับมาทจี่ ุดเดมิ ดงั นั้นการกระจัดจึงเปนศูนย หาระยะทาง เน่ืองจากเสนทางเปน รูปวงกลม ระยะทางจึงเทา กบั เสนรอบวง คอื 2πr ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 9

เสรมิ : เวกเตอร A -A เวกเตอร -A คอื เวกเตอรทีม่ ีขนาดเทา กบั A แตม ที ศิ ตรงกันขา ม การลบเวกเตอรท าํ ไดโ ดยการบวกดว ยเวกเตอรท ีเ่ ปนเวกเตอรล บ A B -B เชน C = A - B = A + (-B) ซง่ึ เทา กับการท่เี รานาํ หางของ A มาตอกบั หางของ B และลาก A B เวกเตอรจ ากหัวของ A ไปยงั หวั ของ B น่นั เอง B C=A-B 2.การเคลอื่ นทแี่ นวตรง A 2.1 อตั ราเร็วและความเรว็ หลงั จากทเี่ ราไดศ กึ ษาการเปลยี่ นตาํ แหนง ของวตั ถไุ ปแลว ในหวั ขอ นเี้ ราจะใชค วามรเู กยี่ วกบั การเปลย่ี นตาํ แหนง และเวลาท่ี ใชใ นการเปลยี่ นตําแหนง เพอื่ ศึกษาการเคลอ่ื นทใ่ี นแนวตรง โดยเริ่มจากการทําความรูจกั กบั คําวา อตั ราเรว็ (speed) และ ความเร็ว (velocity) อัตราเร็วเฉล่ีย (average speed) คือ อัตราสวนของระยะทางท่ีวัตถุเคลื่อนที่ตอชวงเวลาท่ีวัตถุใชเคล่ือนที่ในระยะทาง ดังกลาว ซึง่ เขยี นเปนสมการไดวา Vav = ∆∆st ชวงเวลา = ∆t เม่อื Vav คือ อัตราเร็วเฉลีย่ ระยะทาง = ∆s ∆s คือ ระยะทางทเ่ี คลอ่ื นที่ ∆t คือ ชว งเวลาทใี่ ช สว น อัตราเรว็ ขณะหนง่ึ (instantaneous speed) คอื การหาอตั ราเร็วเฉลี่ยในชวงเวลาทส่ี ้นั มากๆ จนเราประมาณไดวา เปนอตั ราเร็ว ณ เวลานัน้ ๆ นน่ั เอง ขอสังเกต 1. อัตราเร็วเปนปริมาณสเกลาร 2. ระยะทางมหี นวยเปน เมตร (m) เวลามหี นวยเปน วนิ าที (s) ดังนั้น อตั ราเร็วมีหนว ยเปน เมตรตอ วินาที (m/s) 10 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เครือ่ งเคาะสัญญาณเวลา (ticker timer) เปนอุปกรณที่ส่ันเพื่อกดทับกระดาษคารบอน ทําใหเกิดจุดบนแถบกระดาษ โดยความถี่ในการส่ันนั้นจะคงที่ เชน ความถ่ี 50 Hz คอื ส่ัน 50 รอบใน 1 วนิ าที นนั่ คอื ใน 1 ชวงจุดจะใชเวลา 510 วินาที เปนตน การทดลองเพ่ือหาอตั ราเร็วเฉลีย่ เราจะทําการทดลองดังนี้ 1. ติดตง้ั เคร่ืองเคาะสญั ญาณเวลา 2. นําปลายของแถบกระดาษตดิ กับรถทดลอง ใหพรอ มใชง าน แลว สอดแถบกระดาษผานใตกระดาษคารบอน ของเครอื่ งเคาะสัญญาณเวลา 3. เปด สวติ ชเ พือ่ ใหเคร่ืองเคาะสญั ญาณเวลา 4. นําแถบกระดาษมาวเิ คราะหขอมูล ทาํ งานแลวผลกั หรอื ลากรถใหเคล่ือนท่ี ปญหาทาใหค ดิ ! ยกท่ี 2 : ขอมูลจากรูปดา นลาง ถา เคร่อื งเคาะสัญญาณเวลาท่ีใชม คี วามถี่ 50 Hz จงหาอตั ราเร็วเฉล่ียใน ชวง A ถึง D และอัตราเร็วเฉลย่ี ทจ่ี ดุ B AB C D 1 cm 3 cm 5 cm หาอตั ราเรว็ เฉลยี่ ในชว ง A ถงึ D หาอัตราเร็วขณะหนึง่ ทจี่ ดุ B ไดจ ากอัตราเรว็ เฉลีย่ ระหวางจดุ A และจุด C ดงั นี้ ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 11

∆tความเรว็ เฉลย่ี (average velocity) คือ อตั ราสวนของการกระจัดทไ่ี ดจากการเคลอ่ื นทขี่ องวัตถตุ อ ชวงเวลาที่วัตถใุ ชใ นการเคลื่อนที่ ซ่ึงเขียนเปน สมการไดวา = Vav = ∆∆st ชวงเวลา = ∆s เ∆มsอื่ คVอื avกคาอื รกครวะาจมัดเทรว็ไ่ี ดเฉ ล่ยี ∆t คือ ชวงเวลาทีใ่ ช การกระ ัจด สว น ความเร็วขณะหนงึ่ (instantaneous velocity) คือ การหาความเรว็ เฉลี่ยในชว งเวลาที่สั้นมากๆ จนเราประมาณไดว า เปน ความเร็ว ณ เวลาน้ันๆ นั่นเอง ขอสังเกต 1. ความเร็วเปนปรมิ าณเวกเตอร 2. การกระจดั มีหนว ยเปน เมตร (m) เวลามหี นว ยเปน วนิ าที (s) ดังน้ัน ความเรว็ มหี นวยเปน เมตรตอวินาที (m/s) ปญ หาทาใหคิด! ยกท่ี 3 : เดก็ คนหนง่ึ เดินไปทางทศิ ตะวันออกเปนระยะทาง 5.0 เมตร หลังจากน้นั เด็กคนนี้ไดเดินกลบั มา ทางทศิ ตะวันตกเปนระยะทาง 1.0 เมตร ถา เวลาทัง้ หมดท่ใี ชในการเคลื่อนทเี่ ปน 4 วินาที นอ งๆ คดิ วา อัตราเร็วเฉล่ียและความเรว็ เฉลยี่ เปนเทาไร? หาอตั ราเร็วเฉลี่ย จาก น่ันคอื อัตราเรว็ เฉลีย่ ของเดก็ คนนีเ้ ทา กบั 1.5 m/s หาความเรว็ เฉลยี่ เราจะเร่มิ จากการกาํ หนดใหทิศตะวนั ออกมคี า เปน + ดังนน้ั ทิศตะวันตกจึงมคี า เปน – จาก นัน่ คอื ความเร็วเฉลย่ี ของเดก็ คนนี้เทา กบั 1.0 m/s ไปทางทศิ ตะวันออก ปญหาทาใหค ดิ ! ยกท่ี 4 : ในวนั ทีร่ ถติดวันหนง่ึ รถที่นอ งๆ น่ังอยเู พื่อจะกลับบานสามารถวัดอตั ราเรว็ เฉลย่ี ได 36 กิโลเมตร ตอชัว่ โมง ถายงั เหลือระยะทางอีกประมาณ 18 กโิ ลเมตร นองๆ คดิ วา จะตองใชเ วลาเดินทางอกี เทา ไรจงึ จะถึงบา น 12 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เราจะเรม่ิ จากการกําหนดสัญลกั ษณข องหนวยเพ่อื ความสะดวกในการเขยี นดังน้ี กิโลเมตร ใชเปน km ช่ัวโมง ใชเ ปน h จาก Vav = ∆∆st ∆t และหารดว ย Vav ทงั้ สองขา งของสมการ จัดรปู สมการดวยการคณู ดวย จะได น่ันคือ เวลาที่ตอ งใช คอื ครึง่ ชัว่ โมง หรอื 30 นาที น่ันเอง 2.2 ความเรง หลงั จากทเี่ ราไดศ กึ ษาเกยี่ วกบั อตั ราเรว็ และความเรว็ ไปแลว ในหวั ขอ นเ้ี ราจะอธบิ ายการเคลอ่ื นในแนวตรงทีม่ คี วามซบั ซอ น มากขน้ึ เราจะศึกษาการเคลอ่ื นท่ีในกรณที ีค่ วามเร็วไมคงท่ี โดยจะเรม่ิ จากการทาํ ความรูจักกบั ความเรง (acceleration) ความเรง เฉล่ีย หรือ average acceleration คือ อตั ราสว นของการกระจัดทไ่ี ดจ ากการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุตอชว งเวลาทีว่ ตั ถุ ใชในการเคลอื่ นที่ ซึง่ เขยี นเปนสมการไดว า a=av ∆v v − u ความเรว็ ตน = u ความเรว็ ปลาย = v ∆t = ∆t เม่ือ ∆avav คือ ความเรง เฉลยี่ ชว งเวลา = ∆t คือ ความเร็วท่เี ปลีย่ นไป v คอื ความเรว็ ปลาย u คอื ความเร็วตน ∆t คอื ชวงเวลาที่ใช สว น ความเรงขณะหนึง่ (instantaneous acceleration) คอื การหาความเรง เฉล่ียในชวงเวลาทีส่ ้นั มากๆ จนเราประมาณ ไดวาเปนความเรง ณ เวลานัน้ ๆ ขอสังเกต 1. ความเรง เปน ปริมาณเวกเตอร 2. ความเรว็ มีหนว ยเปน เมตรตอวินาที (m/s) เวลามหี นวยเปน วนิ าที (s) ดังนน้ั ความเรง จงึ มหี นว ยเปน เมตรตอวนิ าที2 (m/s2) ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 13

ปญหาทาใหค ิด! ยกที่ 5 : ถารถซุปเปอรคารคันหน่งึ สามารถทาํ ความเรว็ จากอยูนง่ิ ไปเปน 100 km/h ภายในเวลา 2.5 s รถซุปเปอรคารคนั น้จี ะมคี วามเรงขนาดเทาไร วเิ คราะหข อมูล เริ่มตนอยูน ่งิ ดงั นนั้ u = 0 m/s เนื่องจากหนวยของความเร็วปลายเปน km/h แตเ วลาหนวยเปน s ซ่ึงใชหนว ยของเวลาไมเหมือนกนั เราจงึ ตอ ง เปล่ียนหนว ย km/h ใหเ ปน m/s กอ น การแปลงหนวย ดงั นั้น v = 27.8 m/s และ ∆t = 2.5 s คํานวณความเรงเฉลี่ย จาก นั่นคือ รถซุปเปอรค ารคันน้มี คี วามเรงขนาดเทา กับ 11 m/s2 ปญหาทาใหคิด! ยกท่ี 6 : ถา รถคนั หนึง่ มีความเรว็ อยูท่ี 20.0 m/s หลงั จากนนั้ ถูกเรง ดวยความเรง คงท่ี 2.00 m/s2 ใน ทศิ ทางเดยี วกบั ความเร็วตน เมื่อเวลาผา นไป 10.0 s ความเร็วของรถคันนจี้ ะมีขนาดเปน เทาไร วเิ คราะหข อ มูล u = 20.0 m/s, aav = a = 2.00 m/s2 และ ∆t = 10.0 s ตอ งการหา lvl = ? คาํ นวณ จาก a=av ∆v v − u ขนาดของความเรว็ =∆t ∆t u = 20.0 m/s lvl=? a = 2.00 m/s2 ∆t = 10.0 s ดงั นนั้ ความเรว็ ทเ่ี วลา 10.0 วนิ าทีมขี นาดเทา กับ 40.0 m/s 14 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

ขอ สงั เกต ความเรง มคี า เปน ลบ หรอื ความหนว ง คอื ความเรง มที ศิ ตรงขา มกบั ความเรว็ จากสมการ a=av ∆v ถาvค∆−วtาuมเรงมคี า เปน ลบ ในขณะท่ี ∆t มีคา เปน บวก = ∆t แสดงวา ∆v จะตองมีคา เปน ลบ แสดงวา วตั ถุมีความเรว็ ลดลง (เนื่องจาก ∆v = v - u การที่ ∆v มีคา เปนลบแสดงวา v < u หรือความเร็วปลายนอยกวาความเรว็ ตน นั่นคอื ความเร็วลดลง) เสริม : ระยะหยุด ในกรณที ค่ี นขบั รถตอ งหยดุ รถอยา งกะทนั หนั นน้ั จะตอ งมชี ว งเวลาทเี่ ราคดิ เพอ่ื ตดั สนิ ใจในการเหยยี บเบรกสง ผลใหร ถเคลอ่ื นท่ี ไมไดอกี ระยะหน่ึงเรยี กวาระยะคิด และชวงเวลาหลงั จากเหยยี บเบรกจนรถหยดุ ระยะทางท่ีนบั ตงั้ แตเ หยียบเบรกจนกระทั่งรถหยดุ เรียกวา ระยะเบรก ดงั น้นั ระยะทางท่ีเราใชห ยดุ รถซึ่งเรยี กวา ระยะหยุด จะเทากบั ระยะคิด บวกกบั ระยะเบรก ระยะคิด ระยะเบรก ระยะหยดุ การท่เี ราขับรถดว ยความเรว็ ทม่ี าก จะทําใหมรี ะยะเบรกทมี่ าก ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 15

2.3 การเคลือ่ นทีข่ องวัตถใุ นแนวด่ิง ความเรง หลังจากที่เราไดศ กึ ษาเก่ยี วกบั ความเรงไปแลว ในหวั ขอ นีเ้ ราจะศกึ ษา เกยี่ วกบั การเคล่ือนท่ีทมี่ ีความเรง คงที่อกี แบบหนงึ่ คอื การเคล่ือนท่ขี องวัตถใุ นแนวดิ่ง นอ งๆ ลองปลอ ยวตั ถลุ งมาจากมอื จะเห็นไดว า วัตถุนนั้ จะเคลอื่ นทีล่ งโดย มีความเร็วเพิ่มขนึ้ น่นั แสดงวา วัตถนุ ้ันมีความเรงในทิศเดยี วกับความเร็ว (ความเรงมีทิศเขาหาพ้ืนโลก) อกี ทางหน่งึ นอ งๆ ลองโยนวัตถุข้ึนไปในแนวด่งิ วตั ถุนน้ั จะมีความเรว็ ความเรง ลดลงเร่ือยๆ จนมีความเรว็ เปนศนู ยท ่ีจุดสงู สุด หลงั จากน้ันวัตถุจะเคล่ือนท่ีกลบั ลงมาดว ยความเรว็ ท่ีเพิ่มข้ึนเรอ่ื ยๆ จนถงึ พ้ืน นัน่ แสดงวาในขณะที่วัตถุเคลอ่ื นที่ ขนึ้ วัตถุมคี วามเรงในทิศตรงขา มกบั ความเร็ว (ความเรงมีทิศเขา หาพ้นื โลก) และ ในขณะที่วตั ถเุ คลือ่ นทีล่ งวตั ถุน้นั มคี วามเรง ในทศิ เดยี วกบั ความเร็ว (ความเรง มที ิศเขา หาพ้ืนโลก) จากเหตกุ ารณทงั้ การปลอยวตั ถุลงมาและโยนวตั ถุขน้ึ ไปในแนวด่งิ นัน้ ความเรง = g สามารถสรปุ ไดวา วัตถุจะเคลอ่ื นทด่ี ว ยความเรง โดยทิศของความเรงจะมีทศิ เขา หาพ้นื โลก ซง่ึ จริงๆแลวควรบอกวา การเคล่ือนทใ่ี นแนวดง่ิ นั้นวตั ถุจะมีความเรง ในทิศเขา หาจุดศนู ยกลางของโลก เราเรียกความเรง นี้วา ความเรง โนมถวง (gravitational acceleration) ซ่ึงเราจะใชส ญั ลักษณแทนดวย g ซง่ึ คา มาตรฐาน ของความเรง โนม ถวงสําหรับโลก คือ g = 9.80665 m/s2 ในขณะทีก่ รุงเทพฯ มีคา g ~~ 9.783 m/s2 ในการคํานวณท่ัวๆ ไป นิยมใช g ~~ 9.80 m/s2 หรอื g ~~ 10 m/s2 16 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

การทดลองเพอ่ื หาความเรงโนมถว ง ในการทดลองนเ้ี ราจะทําการทดลองในแบบเดยี วกบั การทดลองเพือ่ หา อัตราเร็วเฉลยี่ เพยี งแคเ ปล่ียนจากการดงึ แถบกระดาษเปนการนําดนิ นาํ้ มนั มาตดิ ที่ ปลายกระดาษแลว ปลอยใหวัตถดุ ึงกระดาษผานเคร่อื งเคาะสญั ญาณลงมา การวิเคราะหแถบกระดาษเพ่อื หาความเรง ที่มา : http://www.edumad.it/en/components/com_ virtuemart/shop_image/product/1408_ AB C D Marcatempo__4f0577dd41e2e.jpg EF ∆sAB ∆sBC ∆sCD ∆sDE ∆sEF VD VE VB VC aC aD หาขนาดของความเร็วแตละจุดกอน เราสามารถหาขนาดของความเรว็ ทีจ่ ดุ B ไดจ าก เราสามารถหาขนาดของความเรว็ ที่จดุ C ไดจ าก เราสามารถหาขนาดของความเรว็ ทีจ่ ดุ D ไดจ าก เราสามารถหาขนาดของความเร็วท่ีจดุ E ไดจาก หาความเรง แตล ะจดุ เราสามารถหาขนาดของความเรงทจ่ี ดุ C ไดจ าก เราสามารถหาขนาดของความเรงทีจ่ ุด D ไดจาก ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 17

ปญหาทาใหคิด! ยกที่ 7: ถาเราปลอ ยกอ นหนิ ลงมาจากอยนู งิ่ u = 0 m/s ∆t = 1.00 s aav = g = -9.80 m/s2 เม่ือเวลาผา นไป 1.00 วนิ าที ความเร็วของกอนหินจะเปล่ยี นไปเทา ไร ∆v = ?, v = ? และกอนหินจะมีความเรว็ เทา ไร? วเิ คราะหข อมูล u = 0 m/s, aav = g = -9.80 m/s2 เนอื่ งจากใหท ิศลงเขา หา พน้ื เปน ลบตามระบบพกิ ัดคารทีเซยี น และ ∆t = 1.00 s ตอ งการหา ความเรว็ ของกอ นหนิ ที่เปลี่ยนไป ∆v = ? และ ความเรว็ ของกอนหนิ v = ? คํานวณหาความเร็วของกอนหินท่ีเปลย่ี นไป จาก น่ันคือ ความเรว็ ของกอนหนิ ที่เปล่ียนไป คอื -9.80 m/s (การทม่ี ีเคร่อื งหมายลบบอกวา มีทิศเขา หาพื้นโลก) คํานวณหาความเร็วของกอนหนิ จาก ∆v = v - u v = ∆v + u = (-9.80 m/s) + (0 m/s) = -9.80 m/s น่ันคือ ความเร็วของกอนหิน คือ -9.80 m/s (การที่มีเคร่ืองหมายลบบอกวามีทิศเขาหาพ้ืนโลก น่ันบอกเราวา กอ นหินกาํ ลังเคลอื่ นท่ีลงดว ยความเร็วขนาด 9.80 m/s แตน องตองระวงั ดว ยวาความเรง ยงั คงเทาเดิมตลอด คอื g = -9.80 m/s2 ) 3. การเคลอื่ นทแี่ บบอน่ื ๆ 3.1 การเคลอ่ื นที่แบบโพรเจกไทล การเคลอ่ื นทแี่ บบโพรเจกไทล (projectile motion) คอื การเคลอื่ นทใ่ี นแนวดง่ิ และแนวระดบั พรอ มๆ กนั จงึ ทาํ ใหก ารเคลอ่ื นที่ เปนแนวเสนโคง ซ่งึ การวเิ คราะหการเคล่อื นท่ีแบบโพรเจกไทลน ี้ทําไดดวยการวิเคราะหเ งาของการเคลื่อนทใ่ี นแนวดง่ิ และแนวระดบั ถาการเคลื่อนท่ีดังกลาวไมมีแรงตานอากาศ การเคล่ือนที่ในแนวระดับจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่และการเคล่ือนท่ีในแนวด่ิงจะ เคล่ือนที่ดวยความเรง โนม ถว งซง่ึ ถอื ไดวาเปน การเคลอ่ื นทีแ่ บบความเรง คงท่ี สงผลใหแนวการเคลื่อนท่จี ะโคง แบบพาราโบลา vy v vy= 0 vy vy=0 v = vx vy v vy vy a=g vx vy vx a=g a=g v vx vy vy vx vy v a=g vy v vx a=g vx vx vx vx vx vx vx vx vy vy v a=g a=g 18 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เสรมิ : เมื่อขวางวตั ถุออกไปดวยความเรว็ ที่เทา กนั และไมคดิ แรงตา นอากาศ การขวางวตั ถุออกไปใหไดไกลที่สดุ น้ันจะตอ งทํามุม 45๐ ถา ขวา งวัตถสุ องคร้งั โดยท่ีมีมมุ รวมกันเทา กบั 90๐ วัตถุจะตกหางจากจุดที่ขวา งเทากนั เสริม : แรงตา นอากาศ แรงตานอากาศน้ันจะมขี นาดข้นึ กับขนาดของความเรว็ โดยถา ความเรว็ มขี นาดยิง่ มากแรงตานอากาศกจ็ ะยงิ่ มีขนาดมาก ปญ หาทา ใหค ดิ ! ยกที่ 8 : ถาไมค ิดแรงตา นอากาศ นาย A ปลอยวตั ถลุ งมาจากความสูง h พรอ มกบั นาย B ซ่ึงขวา งวัตถุ ขนานไปกับพนื้ ที่ความสงู h เชน เดยี วกับนาย A วัตถุทัง้ สองจะตกถึงพนื้ พรอมหรอื ไม ถา ไมวัตถุของใครจะถงึ พน้ื กอ นกนั ? วเิ คราะหข อมูล ในขอ นเี้ ราสามารถแยกพจิ ารณาไดเปน 2 แกน คือ ในแนวด่งิ และแนวระดบั โดยจะกําหนดใหทิศขน้ึ เปน บวกและทิศลงเปน ลบตามระบบพกิ ดั คารทีเซียน พิจารณาในแนวด่ิง ขอมูลในแนวด่งิ ของ A ปลอ ยวตั ถุลงมา แสดงวา u = 0 เคล่ือนท่ลี งมาเปน ระยะ h แสดงวา ∆s = -h และ aav = g = -9.80 m/s2 ขอมลู ในแนวดง่ิ ของ B ขวา งวัตถขุ นานกับแนวระดบั คอื ไมม คี วามเรว็ ในแนวดิง่ แสดงวา u = 0 เคล่ือนทีล่ งมาเปนระยะ h แสดงวา ∆s = -h และ aav = g = -9.80 m/s2 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 19

เหน็ ไดว า ขอ มลู ในแนวดงิ่ ของ A และ B เหมอื นกันทกุ อยา ง นั่นแสดงวาการเคล่อื นที่ในแนวด่ิงของ A และ B จะเหมือนกนั ทุกอยาง ดังน้นั วัตถุท้ังสองจะตอ งถงึ พ้นื พรอมกนั (อาจบอกไดอ กี วา เงาในแนวดงิ่ ของวัตถุ B เคล่ือนที่ไปพรอมๆกับวตั ถุ A) 3.2 การเคลือ่ นทแี่ บบวงกลม เมอื่ วตั ถมุ ีมวล m มีการเคลอ่ื นท่ีแบบวงกลม (circular motion) จะมแี รงลัพธก ระทาํ ตอวัตถุ โดยแรงลพั ธน้ีมีทิศเขาหา จดุ ศูนยก ลางเสมอ เรยี กวา แรงสูศนู ยกลาง (centripetal force) แทนดวยสญั ลกั ษณ Fc และแรงนจี้ ะมขี นาดเปน เม่อื Fc คอื ขนาดของแรงสูศนู ยก ลาง m คอื มวลของวตั ถุ r คือ ขนาดของรศั มวี งกลม v คือ ขนาดของความเร็วในแนวเสน สัมผัสของวงกลม แรงสศู นู ยก ลางที่ทําใหรถเคล่ือนท่อี ยูบ นทางโคง นน้ั คอื แรงเสียดทานระหวางยางกับพืน้ ถนน ซึ่งมีทศิ เขาหา ศูนยก ลางของทางโคง จากสมการ บอกเราวาถารถมีความเร็ว (v) มาก เราตองมีแรงเขาสูศูนยกลาง ( Fc ) ที่มากดวย ใน บางครงั้ ถา แรงเสียดทานซ่ึงทาํ หนา ทเี่ ปน แรงสศู นู ยก ลางอาจจะมคี าไมเ พยี งพอท่ีจะทาํ ใหรถเคล่อื นที่โคง ไดอ ยา งปลอดภยั ! เสรมิ : การออกแบบทางโคง การออกแบบใหถนนเอียงในชว งทางโคง โดยทขี่ อบถนนดา นนอกสงู กวา ถนนดานใน เปนการชวยเพม่ิ แรงสศู นู ยกลางใหก ับรถ (ใชแรงท่พี ้นื กระทาํ ตอ รถ เพิม่ แรงสศู นู ยก ลาง) ทาํ ใหมคี วามปลอดภัยในการขับขเี่ พมิ่ ข้นึ เสริม : การเคลอื่ นทเ่ี ปนวงกลมภายใตแรงดึงดูดระหวางมวล เซอรไ อแซก นิวตนั (Sir Isaac Newton) ไดเสนอกฎแรงดงึ ดดู ระหวางมวล (Law of gravity) ซ่ึงอธิบายวา วัตถุทุกชนดิ ในเอกภพจะดงึ ดูดซง่ึ กนั และกัน โดยขนาดของแรงดงึ ดดู ดังกลา วจะแปรผนั ตรงกับผลคูณระหวา งมวลของวัตถุทั้งสอง และแปรผกผันกบั ระยะหา งระหวา งวัตถทุ ้ังสอง สรปุ เปนสมการไดวา เมื่อ Fg คือ ขนาดของแรงดึงดูดระหวางมวล G คอื คาคงทีข่ องนิวตัน มีคา m1 คอื มวลของวัตถุที่ 1 m2 คอื มวลของวตั ถทุ ี่ 2 r คือ ระยะหา งระหวางมวลท้ังสอง 20 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เสริม : การโคจรของดวงจันทรรอบโลก การที่ดวงจันทรแ ละดาวเทยี มโคจรรอบโลกโดยไมถ ูกดดู เขาหากัน เปนแรงดงึ ดูดระหวางมวลทําหนา ท่ีเปน แรงสศู นู ยก ลางและความเร็วของ ดวงจันทรอ ยใู นทศิ เสน สมั ผสั กับวงโคจรรอบโลก ปญหาทา ใหคดิ ! ยกที่ 9 : ดาวเทียมดวงหนึ่งโคจรเปน วงกลมรอบโลกดวยรัศมี r ถา โลกมีมวลเทากบั M ดาวเทียมดวงน้ี จะตองโคจรดว ยอตั ราเร็วเทาไร? จาก ซึ่ง F(1c ) เทา กบั ขนาดของแรงดึงดูดระหวางมวล น่นั คอื จาก = (2) จะได น่นั คอื ดาวเทยี มดวงนี้จะตองโคจรดว ยอตั ราเรว็ คดิ เพ่มิ จากปญ หาดงั กลาว เมื่อคา G (คาคงทขี่ องนวิ ตนั ) และ M (มวลของโลก) ประมาณไดว าเปน คา คงที่ จะไดวา ซ่ึงบอกกบั เราวา ถาระยะระหวางโลกกับดาวเทียมยง่ิ มากอัตราเร็วที่ใชใ นการโคจรจะยง่ิ นอย หรือถาระยะระหวา งโลกกับดาวเทียม ยิ่งนอ ยอตั ราเรว็ ที่ใชใ นการโคจรจะยงิ่ มาก เสริม : ความถ่ีและคาบ ในการเคลื่อนท่ีแบบวงกลมนัน้ จะตองเคลื่อนทกี่ ลบั มาซา้ํ ท่เี ดิมเสมอ ชวงเวลาทว่ี ัตถุใชในการเคลอ่ื นทคี่ รบ 1 รอบ เรียกวา คาบ (period) ซ่ึงมีหนว ย เปน วินาที (s) และ จาํ นวนรอบทวี่ ัตถุเคลื่อนที่ใน 1 หนว ยเวลา เรียกวา ความถ่ี (frequency) ซง่ึ ถา ใชหนวยของเวลาเปน วินาที ความถจี่ ะมหี นว ยเปน รอบตอวนิ าที หรือ เฮรติ ซ (hertz) แทนดวยสญั ลักษณ Hz จากคาบ คอื จาํ นวนเวลาตอ 1 รอบ และ ความถ่ี คือ จํานวนรอบ ตอ 1 หนวยเวลา เราจะไดความสมั พนั ธวา เมอื่ f คอื ความถ่ี และ T คือ คาบ ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 21

ปญหาทา ใหค ดิ ! ยกท่ี 10 : ถา ดาวเทยี มดวงหนง่ึ โคจรรอบโลก 1 รอบ ใชเ วลา 100.0 นาที คาบและความถ่ีในการโคจร ของดาวเทยี มดวงนี้เปน เทา ไร? 1 นาที = 60 วนิ าที ดงั นน้ั 100.0 นาที = (100.0 x 60) วินาที = 6,000 วินาที โคจร 1 รอบใชเวลา 100.0 นาที คอื ใชเวลา 100.0 นาทหี รือ 6,000 วนิ าทใี นการโคจร 1 รอบ น่ันคือ T = 6,000 s จาก นั่นคือ ดาวเทยี มดวงน้โี คจรดว ยคาบ T = 6,000 s และความถี่ 3.3 การเคลื่อนท่แี บบฮารมอนิกอยา งงาย การเคลอ่ื นท่แี บบฮารมอนกิ อยา งงาย (simple harmonic motion) คอื การเคลอื่ นท่ีกลบั ไปกลบั มาซ้ําทางเดิม เสรมิ : การส่ันของวตั ถุติดสปรงิ ถา เรานาํ วตั ถมุ าตดิ กับลวดสปริงในแนวดิง่ จะทาํ ใหส ปริงยืดออกจนหยุดน่งิ ณ ตาํ แหนง น้ีเราเรยี กวาตําแหนง สมดลุ ถา เราดงึ มวลใหยดื ออกมาอีกแลวปลอย จะทําใหวตั ถสุ ั่นข้ึนและลง ผา นตาํ แหนง สมดุลซํา้ เดมิ เรือ่ ยๆ และเราจะเรยี กระยะท่ีวัตถุ เคลื่อนท่หี า งจากแนวสมดลุ มากท่สี ุดวา แอมพลิจูด (amplitude) โดยทคี่ าบของการส่ัน เม่อื m คอื มวลของวตั ถุ และ k คอื คาคงทีข่ องสปรงิ (อาจเรยี กวาคา นิจสปรงิ ) ไมขนึ้ กับระยะยดื ของสปรงิ ! เสรมิ : การแกวง ของลูกตมุ ถาเราแขวนลกู ตุม ไว ลูกตมุ หอ ยลงมาในแนวดง่ิ เราเรียกแนวน้วี า แนวสมดุล ถาเราดงึ หรือผลักลูกตมุ ใหแ กวง ดว ยมุมเพยี ง เลก็ นอ ย ลกู ตมุ จะแกวง ผา นแนวสมดลุ ซา้ํ เดมิ เรอื่ ยๆ เราจะเรยี กการกระจดั ทวี่ ตั ถเุ คลอ่ื นทห่ี า งจากแนวสมดลุ มากทส่ี ดุ วา แอมพลจิ ดู (amplitude) โดยทีค่ าบของการแกวง เมือ่ L คือ ความยาวของเสนเชอื ก(วดั จากจดุ ตรงึ ถึงลกู ตุม) และ g คอื ขนาด ของความเรง โนม ถว ง ไมขนึ้ กบั มวลของลูกตุม! 22 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

นอ งๆ สามารถศึกษาเพ่ิมเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร, ฟส ิกส, การเคล่อื นท่ี, การเคลอ่ื นที่แนวตรง, การเคลื่อนท่แี บบวงกลม, การเคลือ่ นทแี่ บบโพเจกไทล, กฎการเคล่อื นที่, นวิ ตนั • 02 : การเคลื่อนทใี่ นแนวตรง 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-1 • 03 : การเคลือ่ นท่ใี นแนวตรง 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-2 • 07 : การเคล่อื นที่แบบโพเจกไทล http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-3 • 08 : โพรเจกไทล การเคลื่อนทีแ่ บบวงกลม http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-4 • 09 : การเคล่อื นท่แี บบวงกลม 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-5 • สอนศาสตร ฟส กิ ส ม. 6 : กฎการเคลอ่ื นทแ่ี ละนวิ ตนั http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-6 • การเคลอ่ื นที่แนวเสน ตรง 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-7 • การเคลื่อนที่แนวเสนตรง 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-8 • การเคล่ือนทีแ่ นวเสนตรง 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch1-9 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 23

บทที่ 2 แรงและสนามของแรงในธรรมชาติ 1. แรงจากสนามโนมถว ง 1.1 แรงโนม ถวงและสนามโนม มคี าํ ถามทส่ี ุดแสนจะคลาสสิคท่วี า “ทําไมลกู แอปเปล จึงตอ งตกจากตนมาสูพน้ื เสมอ ทาํ ไมมันไมลอยข้ึนไปบนฟา บา ง” จากคาํ ถามดงั กลา วน้ัน เราสามารถอธบิ ายไดว า การทวี่ ัตถุตกสพู น้ื โลก เปนเพราะมแี รงกระทําตอ วตั ถุ แรงนนั้ คือ แรงทีโ่ ลกดึงดดู วตั ถนุ น้ั เขา หาโลก เรียกวา แรงโนมถว ง (gravitational force) ซง่ึ เปนแรงเดียวกับแรงดงึ ดดู ระหวางมวล น่นั คอื แรงโนม ถว งจะเกดิ ข้ึนเมอ่ื วตั ถทุ มี่ มี วลเขาไปอยูใ น สนามโนมถว ง (gravitational field) ซึง่ เปน ปรมิ าณเวกเตอร แทนดว ยสัญลกั ษณ g มีทิศ เขาหาศูนยก ลางของวตั ถุทเี่ ปนตนกาํ เนิดสนาม โดยขนาดของสนามโนม ถว ง เทากบั แรงโนม ถว งท่กี ระทําตอ วัตถหุ ารดว ยมวลของวัตถนุ ั้น เมื่อ g คือ สนามโนมถวง Fg คอื แรงโนม ถว งที่กระทําตอ มวล m คือ มวลของวตั ถุท่ี พิจารณา m (หรอื บางครั้งเรยี กวา น้าํ หนัก แทนดวยสัญลกั ษณ w ) ปญหาทา ใหคิด! ยกที่ 11 : สนามโนมถวงของโลกจะมขี นาดเปนอยา งไรเมอ่ื วตั ถุอยทู ี่ตําแหนง ตางๆ บนโลก จาก พจิ ารณาแตข นาดเนอื่ งจากรทู ศิ ของสนามโนม ถว ง (ทิศเขาหาศนู ยก ลางของโลก) 24 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

จากสมการ เน่ืองจาก G เปนคาคงท่ีและ M ซ่ึงเปนมวลของโลกซึ่งการเปลี่ยนตําแหนงมวล m ไมสงผลตอมวลของโลก จงึ ถือไดว า มวลของโลก (M) คงที่ ดังน้ัน โดยที่ r คือ ระยะหางระหวา งวัตถุกบั จุดศูนยก ลาง ของโลก อธบิ ายไดวา ตาํ แหนงหา งจากจดุ ศูนยก ลางของโลกมาก สนามโนม ถวงจะมคี า นอ ย หรอื ตําแหนงหางจากจุดศูนยกลางของโลกนอ ย สนามโนมถว งจะมีคามาก เสรมิ : นํา้ หนักกับมวล ส่ิงที่ควรระวังคือ น้ําหนักไมใชมวล เนื่องจากน้ําหนักคือแรงโนมถวงซ่ึงเทากับมวลคูณกับสนามโนมถวง (หรือความเรง โนมถวง) สามารถเขียนเปนสมการไดวา โดยที่หนวยของนํา้ หนัก คือ นวิ ตนั (N) แตหนว ยของมวล คือ กโิ ลกรมั (kg) 1.2 การเคล่ือนทข่ี องวตั ถุในสนามโนมถวงของโลก จากปญหาทาใหคิด! ยกท่ี 11 เราไดหาสนามโนมถว งของโลกมาแลว ซง่ึ มขี นาดเปน โดยมีทศิ เขาหา จดุ ศนู ยกลางของโลก เหน็ ไดว าสนามโนม ถว งของโลกนน้ั ไมข น้ึ กบั มวลของวตั ถุ (m) และจากสนามโนม ถวงเทา กับความเรงโนม ถวง นนั่ แสดงวา วตั ถทุ มี่ มี วลตา งกนั ถา อยใู นสนามโนม ถว งเดยี วกนั (อาจบอกไดว า อยหู า งจากจดุ ศนู ยก ลางโลกเทา กนั ) จะตอ งมคี วามเรง โนมถว งเทา กนั เนอื่ งจากความเรง โนม ถว งมที ศิ เขา หาจดุ ศนู ยก ลางโลก เปน การบอกกบั เราวา วตั ถมุ มี วลซง่ึ อยใู นสนามโนม ถว งของโลกจะ ถกู แรงโนมถว งของโลกดึงเขาหาจุดศนู ยกลางโลกเสมอ ในกรณีที่วัตถุเคลื่อนท่ีดวยความเร็วตํ่าๆ ที่บริเวณผิวโลก เราอาจประมาณไดวามีแรงโนมถวงแรงเดียวท่ีกระทํากับวัตถุ ดงั นนั้ วตั ถจุ ะเคลอื่ นทดี่ ว ยความเรง เทา กบั ความเรง โนม ถว ง ซง่ึ พอจะประมาณไดว า เปน คา คงท(่ี เนอ่ื งจากระยะหา งจากจดุ ศนู ยก ลาง โลกเปลย่ี นแปลงนอ ยมากๆ) คือ คา ความเรงโนมถว ง g ~ 9.80 m/s2 เราเรียกการเคลื่อนทแี่ บบนว้ี า การตกแบบเสรี (free fall) ซึ่ง เราสามารถคํานวณการเคล่อื นทแ่ี บบนี้ไดเชนกับเรื่องการเคล่อื นทใ่ี นแนวดิ่ง 1.3 ประโยชนจากสนามโนม ถว ง การท่ีเรามีความเขาใจเกี่ยวกับแรงโนมถวงน้ันมีขอดีหลายอยาง ซึ่งขอดีนั้นเกิดจากการใชประโยชนจากสมบัติของแรง ดงั กลาว การที่เราเขาใจวาแรงโนมถวงจะดูดวัตถุใหเขาสูจุดศูนยกลางของโลก ทําใหเราใชประโยชนจากความรูน้ีหลายอยาง เชน ชวยในการออกแบบหนาตางผอนแรงซ่ึงมีลูกตุมชวยในการดึงหนาตางข้ึน ชวยใหเราเขาใจวาน้ําจะไหลจากท่ีสูงมาสูท่ีตํ่าทําใหเรา เขาใจทิศทางการไหลของน้ํามากข้ึนในไปสูการสรางเข่ือนและการบริหารจัดการน้ํา การตอกเสาเข็มซึ่งใชการปลอยใหมวลซึ่งมี ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 25

นาํ้ หนักมากเคล่ือนท่ลี งมากระแทกกับเสาเข็ม เปน ตน การที่เราเขาใจแรงโนมถวงทําใหเราเขาใจถึงสาเหตุที่เราไมสามารถลอยอยูในอากาศ เราจึงหาแรงเพ่ือชวยในการเอาชนะ แรงโนม ถว ง เชน แรงลอยตวั ในบอลลนู ซง่ึ มที ศิ พงุ ขน้ึ จากพนื้ แรงยกของปก เครอ่ื งบนิ ซง่ึ มที ศิ พงุ ขนึ้ จากพน้ื และเอยี งไปขา งหลงั แรง ขบั จรวดซ่ึงมีทศิ ตรงขามกบั ทศิ ของเชอ้ื เพลงิ ทถี่ กู ขบั ออกมา เปนตน ทีม่ า : http://culturalthailand.blogspot.com/2013/12/thailand-international-balloon-festival.html 2. แรงจากสนามไฟฟา 2.1 แรงไฟฟา และสนามไฟฟา หลายๆ คนอาจเคยเจอกับปรากฏการณลูกโปงดูดหรือดึงเสนผมของเรา น่ันเปนสิ่งท่ีบอกกับเราวาจะตองมีแรงบางอยาง ดึงดดู เสน ผมเขา มาหาลกู โปง ซึ่งในปจจบุ นั เรารูแลว วา แรงน้ี คอื แรงไฟฟา (electric force) แทนดว ยสัญลักษณ FE และแรงไฟฟา นีจ่ ะเกิดขึน้ กบั อนุภาคที่มปี ระจไุ ฟฟา (electric charge) แทนดว ยสัญลักษณ q หรือ Q ซงึ่ มีท้ังประจุบวกและประจลุ บ เพ่ือความงายในการอธบิ ายในเร่ืองแรงไฟฟา เราจะสมมตใิ หประจุ ไฟฟานั้นมีสนามไฟฟา (electric field) แทนดวยสัญลกั ษณ E และสนามไฟฟา จะประกอบดว ยเสนสนามไฟฟา (electric field line) โดยเสน สนามไฟฟา มสี มบัติดังน้ี 1. เสน สนามไฟฟาจะมที ิศพงุ ออกจากประจุบวกและพงุ เขา หาประจลุ บ 2. ผลรวมของเสน สนามไฟฟาท่ตี ง้ั ฉากกับพน้ื ที่หนาตดั จะแปรผัน ตรงกับขนาดของประจไุ ฟฟา 3. เสน สนามไฟฟา จะตอ งไมตัดกนั การทดลองงา ยๆ เพ่อื แสดงใหเ หน็ ถงึ สนามไฟฟา อาจทาํ ไดโดยนําผงดา งทบั ทมิ มาโรยใหกระจายบนแผน กระดาษขาวทีเ่ ปย กน้าํ (เพือ่ ใหด า งทับทมิ แตกตัวเปนไอออนบวก และไอออนลบ) แลว นําโลหะปลายแหลมท่ตี อเขากับข้วั ไฟฟา มาแตะบนกระดาษดังกลาว และใหป ลาย ท้ังสองหา งกันเล็กนอย จะเห็นผงดางทับทิมเรียงตวั ตามแนวเสนสนามไฟฟา โดยบริเวณท่ีมเี สนสนามไฟฟา 26 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

หนาแนน จะเปน บริเวณทส่ี นามไฟฟา มีคา มากและบริเวณทมี่ สี นามไฟฟาหนาแนนนอยจะเปนบรเิ วณท่สี นามไฟฟา มีคานอ ย ปญหาทา ใหค ดิ ! ยกที่ 12 : จงวาดเสน สนามไฟฟาเมื่อนําจุดประจุ +q และประจุ -q มาวางไวด ังรปู ขวามือ เฉลย 2.2 ผลของสนามไฟฟา ตออนภุ าคทม่ี ปี ระจุไฟฟา เมอ่ื อนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา อยใู นสนามไฟฟา นนั้ จะเกดิ แรงไฟฟา ขน้ึ กบั อนภุ าค โดยทเี่ ราสามารถคาํ นวณขนาดของแรงไฟฟา ไดจ ากสมการ เมอื่ FE คอื ขนาดของแรงไฟฟา + q คอื ขนาดประจุไฟฟา ของอนุภาค E คอื ขนาดของสนามไฟฟา เราสามารถหาทิศของแรงไฟฟาไดจ ากการวิเคราะหชนดิ ของ + ประจุไฟฟาและทิศของสนามไฟฟา โดยอนภุ าคทม่ี ปี ระจุไฟฟา เปน บวก - จะมีแรงไฟฟาในทศิ เดียวกับสนามไฟฟามากระทาํ กับอนภุ าคนน้ั แตถา อนภุ าคมปี ระจไุ ฟฟา เปนลบจะมีแรงไฟฟาในทิศตรงขา มกบั สนามไฟฟา มากระทาํ กบั อนภุ าคน้ัน ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 27

ปญ หาทาใหค ิด! ยกท่ี 13 : อนุภาคประจลุ บ ซ่งึ มีขนาดของประจไุ ฟฟา เทากับ 1.60 x 10-19 C เมื่ออยใู นสนามไฟฟา ขนาด 200 N/C และสนามไฟฟาดังกลา วมีทศิ ไปทางขวา แรงไฟฟา ที่กระทาํ กบั อนภุ าคน้ีมขี นาดเปน เทา ไรและมีทศิ ไปทางไหน? หาขนาดของแรงไฟฟา จากสมการ หาทศิ ของแรงไฟฟา - เน่อื งจากแรงไฟฟา ทก่ี ระทํากับประจลุ บจะมีทศิ ตรงขา มกบั สนามไฟฟา และสนามไฟฟา มที ิศไปทางขวา ดงั น้นั แรงไฟฟาจึงมีทศิ ไปทางซา ย ดังน้ัน แรงไฟฟา ท่ีกระทาํ กับอนภุ าคนีม้ ีขนาด 3.20 x 10-17 N และมที ิศไปทางซาย ปญหาทา ใหคดิ ! ยกที่ 14 : จงหาทิศของแรงไฟฟาทก่ี ระทาํ กับประจไุ ฟฟาทั้งสองในกรณีตอไปน้ี + +1. เมื่อประจบุ วกเจอกบั ประจบุ วก + -2. เมอ่ื ประจุบวกเจอกบั ประจุลบ - +3. เมอ่ื ประจลุ บเจอกับประจุบวก - -4. เมือ่ ประจุลบเจอกับประจลุ บ หาทิศของสนามไฟฟา ทก่ี ระทํากับแตละประจุ + + ++ +- + - -+ - + -- - - 28 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

หาทิศของแรงไฟฟาที่กระทํากบั ประจตุ างๆ + + ++ +- + - -+ - + -- - - สรุปไดว า เมอ่ื ประจไุ ฟฟา ชนดิ เดยี วกนั มาเจอกนั แรงไฟฟา ทก่ี ระทาํ ตอ ประจจุ ะมที ศิ ออกจากกนั (สง ผลใหป ระจเุ คลอื่ นทอ่ี อกจากกนั หรอื ผลกั กนั ) แตป ระจไุ ฟฟา ตา งชนดิ กนั มาเจอกนั แรงไฟฟา ทก่ี ระทาํ ตอ ประจจุ ะมที ศิ เขา หากนั (สง ผลใหป ระจเุ คลอ่ื นทเี่ ขา หากนั หรอื ดดู กนั ) 2.3 ประโยชนจากสนามไฟฟา จากการท่เี ราเขาใจถึงแรงไฟฟาทมี่ ีผลตอประจไุ ฟฟา ทาํ ใหเราสามารถสรา งแรงไฟฟาเพ่ือกําหนดทิศทางการเคล่ือนท่ีให อนภุ าคหรอื โมเลกลุ ทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา ได เชน การทเ่ี ราทาํ ใหค วนั พษิ มปี ระจลุ บ หลงั จากนนั้ เราใชแ ผน โลหะทมี่ ปี ระจบุ วกดดู ควนั ดงั กลา ว ทาํ ใหชวยลดมลพษิ ทางอากาศได การทเี่ ราใชส นามไฟฟา เพอื่ ควบคมุ ทศิ ทางของลาํ อเิ ลก็ ตรอน นาํ ไปสกู ารสรา งจอแสดงผลตา งๆ ทง้ั ในจอเรดาร จอภาพของ เครือ่ งอลั ตราซาวด หรือแมกระท่ังการสรา งภาพบนจอโทรทัศน การเขาใจเกี่ยวกบั แรงไฟฟาและสนามไฟฟายังทําใหเราเขาใจเกย่ี วกับ ฟาแลบและฟาผามากขึ้น เราเขาใจวา ปรากฏการณดงั กลา วเกดิ จากการถายโอน ประจุไฟฟาระหวา งบรเิ วณท่มี ีประจตุ า งกันมากๆ เชน ระหวางเมฆกับเมฆ ระหวาง เมฆกับพืน้ เปน ตน การเขา ใจทาํ ใหเรารูถึงวธิ ีหลีกเลย่ี งอันตรายจากฟาผา คือ ควรหาที่หลบ เชน ในอาคาร ในรถยนต เปน ตน หา มหลบใตตนไม ถา อยูในทีโ่ ลงและหาท่ีหลบไมได ควรนัง่ หมอบกับพ้นื และถาอยใู นอาคารควรงดใชอ ุปกรณท ร่ี ับหรือสงสญั ญาณคลื่น แมเ หล็กไฟฟา เชน โทรทศั น โทรศพั ท เปนตน ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 29

3. แรงจากสนามแมเหลก็ 3.1 แรงแมเ หล็กและสนามแมเหล็ก หลงั จากทเ่ี ราไดร จู กั แรงโนม ถว ง ซงึ่ ถอื วา เปน แรงในธรรมชาตแิ รงหนงึ่ ในหวั ขอ นเี้ ราจะมาทาํ ความรจู กั แรงเพมิ่ อกี หนงึ่ แรง คือ แรงแมเหล็ก แตแรงแมเหล็กไมไดกระทํากับวัตถุทุกอยาง สารท่ีแมเหล็กสามารถดึงดูดได เรียกวา สารแมเหล็ก (magnetic substance) และแรงแมเ หล็กจะกระทาํ ตอ สารแมเหลก็ เมื่อ สารแมเ หลก็ อยูใ นสนามแมเ หลก็ (magnetic field) เพอ่ื ความงายและสะดวกในการอธิบายเก่ียวกบั สนามแมเหล็ก เราจะกาํ หนดให สนามแมเหลก็ ประกอบดวย เสน สนามแมเ หล็ก (magnetic field line) โดยทเ่ี สน สนาม แมเ หล็กจะมที ิศพงุ ออกจากข้ัวเหนอื และพุงเขา สูข ้วั ใต โดยเสน สนามแมเหล็กจะตอ ง ไมต ัดกนั และความเขมของสนามแมเ หลก็ จะขึน้ กับความหนาแนน ของเสนสนามแมเ หลก็ กลาวคือ ถา ความหนาแนนของเสน สนามแมเหล็กมากแสดงวา สนามแมเ หลก็ มคี วามเขม มาก เชน บรเิ วณขวั้ แมเ หลก็ เปนตน หรือถา ความหนาแนน ของเสนสนามแมเ หล็กนอ ย แสดงวาความเขมของสนามแมเ หล็กนอ ย เชน บริเวณทหี่ างจากแมเ หล็กมากๆ เปน ตน เนือ่ งจากสนามแมเ หล็กนั้นมที ิศ ดังนนั้ สนามแมเ หลก็ จงึ เปนปริมาณเวกเตอร แทนดว ย สญั ลักษณ B เราอาจศึกษาเกย่ี วกับเสนสนามแมเ หลก็ ไดโ ดยการนาํ ผงเหลก็ มาโรยบนกระดาษ ขาวซ่งึ วางอยบู นแทงแมเหล็ก (เพ่อื ใหเ ห็นผงเหล็กไดชดั เจน) หลงั จากนน้ั เราจะเคาะ กระดาษเบาๆ และสังเกตการเรยี งตวั ของผงเหลก็ บนกระดาษ หรอื อาจทาํ ไดโ ดยการนาํ เขม็ ทศิ ไปวางที่ตาํ แหนงตา งๆ รอบแทง แมเหล็ก 3.2 ผลของสนามแมเ หล็กตออนภุ าคท่มี ีประจุไฟฟา ทมี่ าp:ahgttep/m://awgwnwet.imc-afigenldesty.azsep.cxom/ เมื่ออนุภาคที่มีประจุ (เชน อิเล็กตรอน โปรตรอน เปนตน) เคล่ือนท่ีเขาไปในสนามแมเหล็ก อาจมีแรงแมเหล็กกระทํากับ อนภุ าคนน้ั ได ซง่ึ เราสามารถหาขนาดของแรงแมเ หลก็ ไดจ ากสมการ เมอ่ื FB คือ ขนาดของแรงแมเหลก็ q คอื ขนาดประจุไฟฟา ของอนภุ าค v คอื ขนาดความเรว็ ของอนภุ าค B คือ ขนาดของสนามแมเ หลก็ 0 คือ มุมระหวา งความเร็วของอนภุ าค (v) กับสนามแมเ หล็ก(B) เราสามารถหาทศิ ของแรงแมเ หล็กทกี่ ระทําตอ ประจบุ วกไดจากมือขวา คอื แทนทศิ ความเรว็ ของอนุภาค (v) ดวยนิ้วชม้ี อื ขวา แทนทิศสนามแมเ หล็กดวย (B) ดวย นวิ้ กลางมอื ขวา เราจะไดทิศของแรงแมเหล็ก (FB) แทนดว ยน้ิวโปงขวา โดยทีน่ ิ้วทง้ั สาม วางต้งั ฉากกัน ในกรณีของประจุลบจะทําเชนเดียวกับประจุบวก แตแรงจะแทนในทิศตรงขา ม กับนิ้วโปง หรืออาจหาไดโ ดยการใชม อื ซาย คอื แทนทศิ ความเรว็ ของอนุภาค (v) ดว ย 30 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

น้วิ ชม้ี ือซา ย แทนทศิ สนามแมเ หลก็ ดวย (B) ดวยนิ้วกลางมอื ซา ย เราจะไดท ิศของแรงแมเ หลก็ (FB) แทนดว ยนิว้ โปงซา ยโดยที่น้ิวท้งั สามวางตง้ั ฉากกัน ขอตกลงเชิงสัญลกั ษณ เพอ่ื ความเขา ใจท่ตี รงกันในมมุ มอง 3 มิติ เราจะกําหนด ทิศพุง ออกและตง้ั ฉากกบั กระดาษแทนดว ยสญั ลักษณ (มองเหมอื นเห็นหัวลูกดอกกําลังพงุ ออกมาจากกระดาษ) ทศิ พุง เขา และตง้ั ฉากกระดาษแทนดว ยสัญลกั ษณ x (มองเหมอื นเหน็ หางลกู ดอกกาํ ลังเขาไปในกระดาษ) ปญ หาทาใหคิด! ยกที่ 15 : ถา อนุภาคโพซติ รอนซ่งึ มปี ระจเุ ปนบวก เคล่อื นท่ีไปทางขวาผา นสนามแมเ หลก็ ทม่ี ีทิศพงุ เขา และตงั้ ฉากกบั กระดาษ จงหาทิศของแรงแมเหล็กท่ีกระทํากบั อนภุ าคโพสิตรอน พจิ ารณาโดยใชก ฎมอื ขวา + ดังนั้น แรงแมเ หลก็ ที่กระทําตออนุภาคโพซติ รอนมที ิศขน้ึ คดิ เพมิ่ จากปญหาดังกลาว ถาเปล่ียนจากอนุภาคโพซิตรอนเปนอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบ แรงแมเหล็กท่ีกระทําตออิเล็กตรอนจะมี ทศิ ลง และเราสามารถอธบิ ายไดอ กี วา เมอื่ อนภุ าคทมี่ ปี ระจเุ คลอื่ นทต่ี ง้ั ฉากกบั สนามแมเ หลก็ และถา มแี ตแ รงแมเ หลก็ เพยี งอยา งเดยี ว ที่กระทําตออนุภาคน้ี อนุภาคดังกลาวจะเคลื่อนที่เปนวงกลม โดยมีทิศของแรงแมเหล็กเปนแรงเขาสูศูนยกลางซ่ึงมีทิศเขาหา จุดศนู ยกลางของวงกลม +- 3.3 ผลของสนามแมเหลก็ ตอตัวนาํ ทมี่ กี ระแสไฟฟา เน่ืองจากกระแสไฟฟานัน้ เกิดจากการเคล่ือนท่ีของประจุ ดงั นั้นการมี กระแสไฟฟาในลวดตัวนาํ ซึง่ ลวดนน้ั อยใู นสนามแมเ หลก็ จะมีแรงแมเหล็กมากระทาํ กบั เสนลวด ซ่งึ เราสามารถหาทิศของแรงแมเหลก็ ท่ีกระทาํ กับเสนลวดไดด วยการ ใชกฎมือขวาเชนกนั คอื แทนทศิ ของเสน ลวด (L ) ซง่ึ เปน ทิศเดยี วกับกระแสไฟฟา ดวยนิ้วชม้ี ือขวา แทนทศิ สนามแมเ หลก็ ดวย (B) ดว ยน้ิวกลางมือขวา เราจะไดทศิ ของแรงแมเหลก็ (FB) แทนดวยน้วิ โปงขวา โดยทีน่ วิ้ ทงั้ สามวางตั้งฉากกัน ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 31

ปญหาทา ใหคดิ ! ยกท่ี 16 : ถากระแสไฟฟา ไหลผานเสนลวดตัวนําจากซา ยไปขวา ซึ่งเสนลวดนอ้ี ยใู นสนามแมเ หลก็ ที่พงุ ออกตงั้ ฉากกบั กระดาษ จงหาทศิ ของแรงแมเ หลก็ ทกี่ ระทาํ กบั เสน ลวด และอธบิ ายลกั ษณะการโคง ของเสน ลวดทเ่ี กดิ จากแรงดงั กลา ว พิจารณาโดยใชกฎมือขวา ดังนัน้ แรงแมเ หล็กที่กระทํากับลวดเสนนี้มีทศิ ลงและแรงดังกลา วดงึ เสนลวดใหหโคงลงเชน กัน 3.4 ประโยชนจ ากสนามแมเหลก็ ประโยชนจ ากการทเ่ี ราเขา ใจเกยี่ วแรงแมเ หลก็ นนั้ มหี ลายอยา ง เชน การเขา ใจวา แมเ หลก็ สามารถดดู สารแมเ หลก็ เราสามารถ ใชประโยชนจากความรูน้ีได เชน เราสามารถใชแมเหล็กชวยในการดูดสิ่งของที่เปนสารแมเหล็กข้ึนมาไดเม่ือเราไมสะดวกที่จะหยิบ หรืออาจใชแ มเ หล็กในการชว ยแยกวสั ดทุ ี่เปนสารแมเหลก็ ออกจากวัสดอุ น่ื ๆ เปนตน การเขา ใจเกย่ี วกบั แรงแมเ หลก็ ทเี่ กดิ จากผลของสนามแมเ หลก็ ตอ ตวั นาํ ทม่ี กี ระแสไฟฟา เราสามารถใชค วามรนู ใี้ นการทาํ ให ขดลวดหมนุ อยใู นสนามแมเหลก็ หรือท่เี รียกวา มอเตอรไฟฟา (electric motor) ซง่ึ มอเตอรไฟฟา เปนสวนสาํ คญั ของอุปกรณตางๆ เชน พดั ลม เครื่องดดู ฝนุ สวา น เปนตน จากการศกึ ษาในทางตรงขามกบั มอเตอรโ ดยไมเคิล ฟาราเดย (Michael Faraday) ในป ค.ศ. 1831 พบวา การหมนุ ขดลวด ในสนามแมเหล็กจะทําใหเกิดกระแสไฟฟาขึ้นในขดลวด เรียกวา กระแสไฟฟาเหนี่ยวนํา (induced current) ซ่ึงหลักการดังกลาว ถกู นําไปใชใ นการสรา งเครอ่ื งกาํ เนดิ ไฟฟา 3.5 สนามแมเหลก็ โลก โลกของเรานนั้ เสมือนวา มแี ทงแมเ หล็กแทง โตฝงอยใู ตโลก ซ่ึงวางตวั ตามแนวเหนือใตโดยมขี วั้ แมเ หล็กเหนืออยูทางข้ัวโลกใตและมีขัว้ แมเ หลก็ ใตอยู ทางข้วั โลกเหนือ ขว้ั แมเ หลก็ นท้ี ําใหม สี นามแมเหล็กปกคลมุ ทง้ั โลก เราเรียกวา สนามแมเหลก็ โลก (Earth’s magnetic field) น่ีคือเหน็ ผลท่ีทําใหเขม็ ทศิ ซ่งึ เปนสารแมเ หล็กน้ันช้ีไปทางทิศเหนอื หรอื ข้วั โลกเหนอื นน่ั เอง ทมี่ า : http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetic_field 32 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

นอกจากสนามแมเ หลก็ โลกจะชว ยในการบอกทศิ ทางกบั เรา แมเ หลก็ โลกยงั มปี ระโยชนอ นั ยง่ิ ใหญต อ สง่ิ มชี วี ติ บนโลก นน่ั คอื เม่ืออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคล่ือนที่เขาหาโลก ในขณะที่เขาสูบริเวณสนามแมเหล็กของโลกจะเกิดแรงแมเหล็กขึ้นกับอนุภาคเหลานี้ ทาํ ใหอนุภาคเหลา นเี้ คลือ่ นทเี่ ปลีย่ นทศิ และเคลอื่ นท่คี วงสวาน และอยูบริเวณแถบรงั สโี ลก (Van Allen radiation belt) ไมสามารถ เดนิ ทางเขา มาในโลกได สนามแมเ หลก็ จงึ มสี ว นสาํ คญั ในการกอ ใหเ กดิ สภาวะทเี่ ออื้ ตอ การเกดิ และดาํ รงอยขู องสง่ิ มชี วี ติ สว นอนภุ าค ท่มี ปี ระจไุ ฟฟา ทเ่ี คล่อื นทม่ี ายังโลกสว นมากมาจากดวงอาทิตย เรียกวา ลมสรุ ยิ ะ (Solar wind) ที่มา: http://thaiastro.nectec.or.th/news/uploads/2013/news-162-MTYyID0.jpg เสรมิ : ท่มี าของช่ือภาษาอังกฤษของแถบรงั สีโลก การทแ่ี ถบรังสีโลกมีชอื่ ในภาษาอังกฤษวา Van Allen radiation belt เพราะตัง้ ชอื่ ใหเปน เกียรติกบั ดาวเทยี มของเจมส แวน แอลเลน ซึง่ คน พบแถบรังสีดงั กลาว 4. แรงแมเหลก็ ไฟฟา หลังจากท่ีเราไดทําความรูจักกับแรงไฟฟาและแรงแมเหล็กไปแลว เห็นไดวาแรงไฟฟาจะเกิดขึ้นระหวางประจุไฟฟา โดย ประจไุ ฟฟา ที่เหมอื นกันจะผลักออกจากกนั และประจุไฟฟา ท่ีตางกนั จะดดู เขา หากัน แรงแมเหลก็ เกิดขึน้ เม่อื สารแมเหล็กอยูในสนามแมเหล็ก แรงแมเหล็กเกิดขึน้ ระหวางแมเหล็กกบั แมเหล็ก โดยแมเ หล็กขั้ว เดยี วกนั จะผลกั ออกจากกัน และแมเหล็กขว้ั ตางกนั จะดูดเขา หากนั แรงแมเหลก็ อาจเกดิ ขน้ึ กับประจุไฟฟา ท่ีเคลื่อนทอี่ ยใู นสนามแมเหลก็ หรอื อาจเกิดข้นึ กบั กระแสไฟฟาทอ่ี ยูใ นสนามแมเหลก็ ตอมานักวิทยาศาสตรไดศึกษาพบวาการเปล่ียนแปลงของสนามไฟฟาทําใหเกิดสนามแมเหล็ก และการเปล่ียนแปลงสนาม แมเหล็กทําใหเกิดสนามไฟฟา จากการคนพบดังกลาวนําไปสูการรวมแรงทั้งสองเขาเปนแรงเดียวกัน เรียกวา แรงแมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic force) 5. แรงในนวิ เคลยี ส จากการศึกษาโครงสรางอะตอม เราพบวา อะตอมน้ันประกอบดวยอนภุ าคอิเล็กตรอน ซ่งึ มีประจุไฟฟา เปนลบ เคลือ่ นท่อี ยูรอบๆ นวิ เคลียสของอะตอม นิวเคลียสของอะตอมประกอบ ดวยอนภุ าคนวิ ตรอนซึ่งเปน กลางทางไฟฟา (มีประจุไฟฟาเปน ศูนย) และโปรตรอนซึง่ มีประจุไฟฟา เปน บวก เราเรยี กอนุภาคท่อี ยใู นนวิ เคลียสวา นวิ คลีออน (nucleon) ซง่ึ ก็คอื โปรตอนและนวิ ตรอน นน่ั เอง ทีม่ า: http://2012books.lardbucket.org/ books/principles-of-general-chemistry- v1.0m/s24-01-the-components-of-the- nucleus.html ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 33

ปญ หาที่นา สงสยั คอื เม่อื นวิ ตรอนเปน กลางทางไฟฟา แลว โปรตอนจะอยูกับโปรตอนอยา งไดอ ยา งไร พวกมนั ควรจะผลัก กันออกมาดวยแรงแมเหล็กไฟฟา แตมันไมเปนเชนน้ัน แสดงวาตองมีแรงบางอยางท่ีทําใหมันอยูดวยกันได ตอมาเราพบวาแรง ดงั กลาว คือ แรงนิวเคลียร (nuclear force) แรงนิวเคลียรเ ปนแรงทเ่ี กิดข้นึ ภายในนิวเคลยี สของอะตอม ทําหนา ท่ียดึ เหน่ียวอนุภาคมลู ฐานตา งๆ ใหอยรู วมกนั ในเคลยี ส แรงนิวเคลียรมีระยะที่สั้นมากๆ ระยะสั้นจนเกิดขึ้นแคระหวางอนุภาคท่ีอยูติดกัน และเม่ือนิวเคลียสแตกตัวออกมาจะปลดปลอย พลังงานออกมา ซึง่ เปนแนวคิดทีน่ าํ ไปสูพ ลงั งานนิวเคลยี ร (nuclear energy) เชน โรงไฟฟานวิ เคลยี ร ระเบิดปรมาณู เปนตน แรงนิวเคลยี ร มี 2 ประเภท คอื แรงนิวเคลียรแ บบออ น (weak nuclear force) คือ แรงที่ทาํ ใหเ กิดการสลายของสารกัมมนั ตรงั สี ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ในนิวเคลียสท่ี สลายใหรงั สบี ตี า แรงนวิ เคลียรแบบเขม (strong nuclear force) คอื แรงทย่ี ดึ เหนี่ยว ควารก (quark) ซ่งึ เปน อนภุ าคมลู ฐานท่ปี ระกอบกัน เปนโปรตอนและนิวตรอน ในปจจุบันนักฟสิกสไดจําแนกประเภทของแรงพ้ืนฐานในธรรมชาติท่ีมีอยูในจักรวาลของเรา ออกเปน 4 ประเภท คือ แรง โนมถวง แรงแมเหลก็ ไฟฟา แรงนิวเคลียรแ บบออ น และแรงนวิ เคลยี รแบบเขม นกั ฟส กิ สส ว นใหญย งั เชอื่ อกี วา ในขณะทเี่ กดิ เอกภพอาจมแี รงธรรมชาตเิ พยี งแรงเดยี ว แตเ มอ่ื เวลาผา นไปเอกภพมอี ณุ หภมู ิ ลดลง สสารท่ีเปลี่ยนมาจากพลังงานไดเกิดการรวมตัว และเกิดแรงธรรมชาติพื้นฐานไดเกิดขึ้น คือ แรงนิวเคลียรแบบเขม แรง แมเ หลก็ ไฟฟา แรงนวิ เคลียรแ บบออน และแรงโนมถว ง ตามลาํ ดับ นนั่ ทําใหใ นปจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตรโ ดยเฉพาะนกั ฟส ิกสพ ยายาม ที่จะหาสมการเพื่อจะรวมแรงทั้งสี่แรงใหเ ปนแรงเดยี วกัน แตยังทาํ ไมสาํ เรจ็ เราไดประโยชนมากมายจากความรูเก่ียวกับแรงในธรรมชาติ ถาเรารวมแรงท้ังสี่ไดสําเร็จ เราจะเขาใจเอกภพของเรามาก ยิง่ ข้ึน และประโยชนทต่ี ามมาน้ันเกนิ กวาทจ่ี ะคาดคดิ ได เพราะมันอาจทาํ ใหเ ราเขา ใจทุกๆ สง่ิ ในเอกภพของเรา นอ งๆ สามารถศึกษาเพ่มิ เตมิ ไดท ี่ Tag : สอนศาสตร, ฟส ิกส, แรง, กฎนวิ ตนั , มวล, ไฟฟาสถิต, แมเ หลก็ ไฟฟา, คล่ืนแมเหล็กไฟฟา, ขัว้ แมเ หลก็ • 04 : แรง มวล กฎนวิ ตนั http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-1 • 16 : ไฟฟาสถติ ย 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-2 34 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

• 17 : ไฟฟา สถิต 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-3 • แมเหล็กไฟฟา และคลืน่ แมเหลก็ ไฟฟา ตอนท่ี 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-4 • แมเ หล็กไฟฟา และคล่ืนแมเหลก็ ไฟฟา ตอนท่ี 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-5 • ขัว้ แมเ หลก็ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch2-6 บนั ทกึ ชว ยจํา ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 35

บทท่ี 3 พลงั งาน ในปจ จบุ นั เราพดู กนั ถงึ เรอ่ื งพลงั งาน (energy) มากกวา ในอดตี และมแี นว โนม วา จะพดู ถงึ มนั มากๆ ขนึ้ ในอนาคต เปน เพราะ วา เราเขาใจมนั มากขน้ึ เราใชมันมากข้ึน และมนั สําคญั กบั ชวี ิตเรามากข้นึ นอ งๆ รหู รอื เปลาวาพลงั งานคืออะไร? พลังงาน คือ ความสามารถในการทํางาน (work) คําวางานในทางฟสิกสน้ันเปนผลของการกระทําของแรงซ่ึงทําใหวัตถุ เคลอ่ื นท่ไี ปในแนวแรง การทาํ งานนี้อาจทําใหว ตั ถุมีการเคลอ่ื นท่ีหรือเปลีย่ นรปู ของวัตถุก็ได ในการแบง ประเภทของพลังงานนัน้ อาจ แบง ไดห ลายวิธี แบง ตามรปู หรือลกั ษณะการทาํ งานของพลงั งาน 1. พลังงานศกั ย (potential energy) คือ พลงั งานท่ีถกู สะสมในวัตถุเนอ่ื งจากการเปลี่ยนตําแหนงของวตั ถุ หรอื การสรา ง พันธะระหวางกันของอะตอมและโมเลกุลในวัตถุ หรือในนิวเคลียสของอะตอม เชน พลังงานเคมี (chemical energy) พลังงาน นิวเคลียร (nuclear energy) พลงั งานไฟฟา (electrical energy) พลังงานกล (mechanical energy) เนื่องจากตําแหนงที่เปลยี่ น ไป เปนตน 2. พลงั งานจลน (kinetic energy) คอื พลงั งานของการเคลอื่ นทข่ี องอนภุ าค อะตอม โมเลกลุ และวตั ถตุ า งๆ เชน พลงั งาน จากการรงั สี (radiant energy) พลงั งานความรอ น (thermal energy) พลังงานกล (mechanical energy) เนอื่ งจากการเคลื่อนท่ี เปน ตน แบงตามแหลง ที่นาํ มาใชประโยชน 1. แหลง พลังงานสิ้นเปลอื ง (non-renewable energy source) คือ แหลงพลังงานทนี่ ํามาใชแ ลวหมดไป เชน เชือ้ เพลงิ จากซากดกึ ดําบรรพ เชอื้ เพลงิ จากนวิ เคลยี ร เปน ตน 2. แหลง พลงั งานหมนุ เวยี น (renewable energy source) คอื แหลง พลงั งานทส่ี ามารถทาํ ใหเ กดิ ขน้ึ มาใหม หรอื หมนุ เวยี น กลบั มาใชไดใ หม เชน เชอ้ื เพลงิ จากมวลชวี ภาพ พลังนํ้า พลงั ลม แสงอาทติ ย ความรอ นใตพภิ พ เปนตน ระวัง! : เรายังแบงประเภทของพลังงานไดอ กี หลายวธิ ี เชน แบงตามลักษณะทางการคา แบง ตามลักษณะการผลิต เปน ตน เสรมิ : วกิ ฤตพลงั งาน จากขอ มูลในป พ.ศ. 2556 การผลิตพลังงานไฟฟา ในประเทศไทยสว นใหญเกดิ จากการซอ้ื คอื ประมาณ 59.06% และประเทศไทยยัง มีแนวโนมการใชไฟฟาเพิ่มข้ึนทุกป และยิ่งนาเปนหวงเพิ่มขึ้นอีก เพราะวาพลังงานสวนใหญทั้งที่ผลิตเองและท่ีซ้ือนั้นสวนมากเปน แหลงพลงั งานแบบส้นิ เปลอื ง ซึ่งปริมาณแหลงพลังงานประเภทนี้มแี นวโนม จะลดลงเรื่อยๆ สง ผลใหราคาในการซ้ือมแี นวโนม ทีจ่ ะ สงู ข้นึ ตามเชน กนั ประเทศไทยจึงมีความจาํ เปนอยา งย่งิ ในการหาพลังทดแทน และพวกเราควรประหยดั พลงั งานดวยเชน กัน 1. กฎอนรุ กั ษพ ลังงาน ในปจจุบันเราเขาใจวา พลังงานเปนสิ่งท่ีไมสามารถทําลายหรือสรางขึ้นมาใหมได แตพลังงานสามารถเปล่ียนรูปได ซึ่ง ความเขา ใจดงั กลา ว เรียกวา กฎอนุรักษพ ลงั งาน (law of conservation of energy) 36 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

2. การถายโอนพลงั งาน พลังงานสามารถถกู ถายโอนไดด วยวิธีการตางๆ ดังนี้ งาน (work) เปนการถา ยโอนพลงั งานเน่ืองจากแรง เชน การตกของวัตถุเนื่องจากแรงโนมถว ง การท่เี ราออกแรงดนั วัตถุ เปนตน การถายโอนความรอน (heat transfer) เปนการถายโอนพลังงานระหวางวัตถุระหวางบริเวณท่ีมีอุณหภูมิตางกัน ซึ่ง อณุ หภมู นิ นั้ สมั พนั ธก บั การเคลอ่ื นทแ่ี ละการสน่ั ของอะตอมหรอื โมเลกลุ ของวตั ถุ เชน การตม นา้ํ ซงึ่ การทน่ี า้ํ มอี ณุ หภมู สิ งู ขน้ึ โมเลกลุ ของนํ้าจะเคลอื่ นท่ีดว ยอตั ราเรว็ ท่มี ากขน้ึ และส่ันมากข้นึ เปน ตน การสง ไฟฟา (electrical transmission) เปน การถา ยโอนพลงั งานโดยอาศัยการเคลอื่ นท่ีของประจุ เชน การสงพลงั งาน ไฟฟา ไปตามบานเรอื น เปนตน คลนื่ กล (mechanical wave) เปน การถา ยโอนพลงั งานโดยใชก ารสง ตอ การรบกวนตวั กลาง เชน คลน่ื นาํ้ คลนื่ เสยี ง เปน ตน คลื่นแมเ หลก็ ไฟฟา (electromagnetic wave) เปน การถายโอนพลงั งานโดยอาศยั การเปลีย่ นแปลงของสนามไฟฟาและ สนามแมเ หลก็ เชน แสง คลื่นวทิ ยุ เปนตน นอ งๆ สามารถศึกษาเพม่ิ เตมิ ไดท ี่ Tag : สอนศาสตร, ฟส ิกส, งาน, พลงั งาน, สรุปฟสกิ ส, พลงั งานจลน, พลงั งานศกั ย • 06 : งาน และพลงั งาน http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-1 • สรุปฟส กิ ส : งานและพลังงาน ตอนท่ี 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-2 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 37

• สรปุ ฟสกิ ส : งานและพลังงาน ตอนท่ี 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-3 • สรปุ ฟสกิ ส : งานและพลังงาน ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-4 • สรปุ ฟส กิ ส : งานและพลังงาน ตอนที่ 4 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-5 • งานและพลงั งาน http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-physics/ch3-6 บนั ทึกชว ยจํา 38 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

บทที่ 4 คลนื่ หลายๆ คนเคยไดย นิ และเคยเหน็ คล่นื (wave) กันมาบางแลว เชน คลื่นน้ํา คลน่ื เสน เชือก คลื่นเสียง เปนตน แตน องๆ เคยสงสัยหรือเปลาวา คล่นื คอื อะไร? คลืน่ คอื การสงตอ ของสภาวะรบกวน จากความหมายของคลื่นน้ันเราสามารถ แบงประเภทของคลื่นไดหลายแบบ แบง ตามการสง ตอสภาวะการรบกวนของพลังงาน 1. คลืน่ กล (Mechanical wave) คือ คลื่นทต่ี อ งใชตัวกลางในการสง ตอ การรบกวนของพลงั งาน เชน คล่ืนในเสนเชอื ก คล่ืนน้ํา คลืน่ เสียง เปน ตน 2. คลนื่ แมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic wave) คอื คลื่นท่ไี มตองใช ตวั กลางในการสงตอการรบกวนของพลังงาน เชน แสง คลน่ื วทิ ยุ คลื่นไมโครเวฟ ทมี่ า : http://physics.tutorvista.com/ waves/wave-interference.html เปนตน แบงตามการสง ตอสภาวะรบกวนในการเคลอ่ื นที่ของตัวกลางเทียบกับการเคลื่อนท่ขี องคลื่น 1. คลื่นตามขวาง (Transverse wave) คือ คล่ืนท่ีมีการเคลื่อนที่ต้ังฉากกับการเคลื่อนที่ของตัวกลาง เชน คล่ืนเชือก คลนื่ แมเ หลก็ ไฟฟา เปนตน 2. คล่ืนตามยาว (Longitudinal wave) คือ คลื่นท่ีมีการเคล่ือนที่ในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนท่ีของตัวกลาง เชน คลนื่ เสยี ง คลน่ื ในสปริง เปน ตน ระวงั ! : เราอาจแบงประเภทของคลนื่ ไดอ กี หลายแบบ เชน แบง ตามการสงตอ สภาวะรบกวนของหนา คลนื่ แบงตามการสง ตอสภาวะรบกวนของมติ ิในการเคล่ือนท่ีของคล่ืน เปนตน 1.คลื่นกล 1.1 องคป ระกอบของคลน่ื ในหวั ขอ น้ี เราจะเรียนรูคล่นื ดว ยการศึกษาคล่นื กล เพราะวาเรามตี ัวอยา ง ซง่ึ งายตอการทาํ ความเขาใจ นองลองจนิ ตนาการวา นองๆ ไดสะบดั เชอื กใหเกดิ ลูกคลน่ื ข้ึนมา ถาเราสะบดั เชอื กเพยี งคร้ังเดียว จะทาํ ใหเกดิ คล่นื เพยี งลูกเดยี ว เรียกวา คล่นื ดล (pulse wave) ถา เราสะบดั เชือกอยางตอ เนื่องและสม่ําเสมอ จะเกิดคลืน่ ตอเนอ่ื งและมรี ูปแบบทซ่ี าํ้ เดิมขนึ้ เรยี กวา คลน่ื ทม่ี ีรูปแบบเปน คาบ (periodic wave) ตอไปเราจะศกึ ษาองคป ระกอบของคลนื่ โดยพจิ ารณาจากกราฟความสมั พนั ธระหวางการกระจัดของอนุภาคของตวั กลาง (การกระจัดของเชือก) กับตําแหนงของอนุภาคของตัวกลาง (ตําแหนงของเชือก) และกราฟความสัมพันธระหวางการกระจัดของ อนุภาคของตัวกลาง(การกระจดั ของเชือก)กับเวลา ณ ตาํ แหนง หน่งึ ๆ ดงั นี้ ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 39

y (การกระจดั ของอนุภาคของตัวกลาง) สันคลื่นหรือยอดคลื่น (Crest) คือ แอมพลจิ ูดที่มคี า เปน บวก ทองคล่ืน (Trough) คือ A แอมพลจิ ูดที่มีคาเปนลบ x (ตําแหนง ของอนภุ าคของตัวกลาง) A แอมพลิจูด (amplitude) แทนดวย สัญลักษณ A คือ การกระจดั ของตัวกลาง เทยี บกบั ตาํ แหนง สมดลุ ทม่ี ขี นาดมากทสี่ ดุ ความยาวคลื่น (wavelength) แทนดวย สัญลักษณ คือ ระยะหางที่นอยท่ีสุด ระหวางจุดสองจุดทเี่ หมือนกนั ของคลน่ื y (การกระจดั ของอนุภาคของตวั กลาง) T t (เวลา) T คาบ (period) แทนดวยสญั ลกั ษณ T ความถี่ (frequency) แทนดวยสัญลักษณ f คือ คือ ชวงเวลาที่นอยท่ีสุดระหวางจุด จาํ นวนรอบทอ่ี นุภาคของตัวกลางเคล่ือนท่กี ลบั ไป สองจดุ ที่เหมือนกนั ของคล่ืน กลบั มาหรอื จาํ นวนลกู คลนื่ ทเี่ หมอื นกนั ในหนง่ึ หนว ย เวลา สามารถคํานวณไดจ าก f = T1 เมอื่ เราพจิ ารณาคลน่ื ทเ่ี คลอ่ื นทใ่ี นชว งเวลาหนงึ่ คาบ คลนื่ นน้ั จะเคลอื่ นทไ่ี ปเปน ระยะทางเทา กบั ความยาวคลนื่ พอดี เราสามารถหาอัตราเร็วของคล่ืนไดจากสมการ ดังน้นั อัตราเร็วของคลื่น (v) เทากบั ความถี่ (f) คูณกบั ความยาวคลื่น ( ) 40 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

ปญหาทาใหค ิด! ยกที่ 17 : ถา คลืน่ ในเสนเชอื กวดั ความคลน่ื ได 20.0 cm และวัดความถีไ่ ดเ ทา กบั 100 Hz คลืน่ ในเสน เชอื กจะมอี ัตราเร็วและคาบเปน เทา ไร? หาอัตราเรว็ จากสมการ หาคาบ จากสมการ ดังนนั้ คล่ืนในเชือกเสนนมี้ อี ัตราเรว็ เทากับ 20.0 m/s และมีคาบเทา กับ 0.01 s ปญ หาทาใหค ิด! ยกท่ี 18 : จากรูปดานลาง จงหาแอมพลิจดู ความยาวคลน่ื คาบ ความถ่ี เมอ่ื อัตราเรว็ ของคลนื่ เทากบั 25.0 m/s หาแอมพลจิ ดู จากกราฟจะเหน็ ไดอ ยา งชดั เจนวา คลนื่ มขี นาดของการกระจดั สงู สดุ อยทู ี่ y = 0.10 m ดงั นน้ั แอมพลจิ ดู A = 0.10 m หาความยาวคลนื่ จากกราฟ เราสามารถหาความยาวคล่ืนไดจ ากการวดั ระยะระหวางจุด a กับ จุด c หรือ จุด b กับ จดุ d หรอื จดุ c กบั จุด e ซึง่ จะไดความยาวคลื่น หาคาบ จากสมการ หาความถี่ จากสมการ ดงั นั้น คล่ืนนจ้ี ะมีแอมพลิจูดเทากบั 0.10 m หรอื 10 cm , มีความยาวคลนื่ เทากับ 1 m , มีคาบเทากับ 0.04 s และมีความถ่ีเทากับ 25 Hz ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 41

1.2 การรวมคลน่ื เมื่อคลื่นเคลื่อนทมี่ าพบกนั การกระจัดของคล่ืนแตล ะลกู จะรวมกนั ณ ตาํ แหนงทคี่ ลนื่ ซอ นทบั กนั เรยี กวา หลักการซอนทับ (principle of superposition) 1.3 สมบัตขิ องคล่ืน หลงั จากท่เี ราไดเรยี นรูองคป ระกอบของคล่นื และหลักการซอนทับไปแลว ในหัวขอ นเ้ี ราศกึ ษาเกย่ี วกบั สมบัติตางๆ ของคล่ืน เม่ือคลื่นพบกบั สง่ิ กีดขวาง ซ่ึงคล่นื จะมีสมบตั ิอยู 4 อยาง คือ 1. การสะทอ น (reflection) 2. การหักเห (refraction) 3. การเล้ยี วเบน (diffraction) 4. การแทรกสอด (interference) 1.3.1 การสะทอ น การสะทอน คือ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของหนาคล่ืนท่ีรอยตอของตัวกลางสองชนิดและทําใหหนาคล่ืนหันกลับไปยังฝง ของตวั กลางชนดิ แรก เพอ่ื ความงายในการศึกษาสมบตั ิตา งๆ ของคล่นื เราจะสมมติ เสนข้ึนมาเสนหนงึ่ เรียกวา เสนรังสี (ray) ซึง่ เปนเสนทต่ี ัง้ ฉากกบั หนา คล่ืน และมที ิศเดยี วกับการเคล่ือนทีข่ องหนาคลืน่ สมมตเิ สนขึน้ มาเสน หน่งึ เรียกวา เสนปกติ (normal) ซงึ่ เปนเสน ทตี่ ั้งฉากกบั แนวรอยตอของตัวกลางท้ังสอง 42 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

มุมระหวางเสน รงั สีที่เคลือ่ นทีเ่ ขา หาแนวรอยตอของตวั กลางกบั เสน ปกติ เรียกวา มมุ ตกกระทบ (angle of incidence) และ มมุ ระหวา งเสน รังสีที่เคลื่อนที่ ออกจากแนวรอยตอ ของตัวกลางกับเสน ปกติ เรยี กวา มุมสะทอ น (angle of reflection) เราสามารถศกึ ษาการสะทอ นของคลน่ื ไดด ว ยการดนั นา้ํ ใหเ กดิ คลนื่ เมอ่ื คลน่ื เคลอื่ นทไี่ ปกระทบกบั แผน กนั จะเกดิ การสะทอ น ขึน้ และจากการทดลองนี้จะทบวา มุมตกกระทบ จะมีขนาดเทากับ มมุ สะทอ น อีกตัวอยางหน่ึงของการสะทอ น คอื การสะทอนของคลืน่ ในเสน เชอื ก เมื่อเชอื กผูกแนน กับเสา คล่ืนทส่ี ะทอนจะมีทิศทางของการกระจัดตรงขามกับ คล่นื ตกกระทบ แตถ าเชือกถูกคลองไวอยางหลวมๆ คล่ืนสะทอนจะมีทิศทาง ของการกระจดั เหมอื นกบั คล่ืนตกกระทบ 1.3.2 การหกั เห การหักเห คือ ปรากฏการณทค่ี ลืน่ เคลอ่ื นท่ีผานรอยตอ ระหวา งตัวกลางทีม่ สี มบัติตางกนั แลว ทาํ ใหอ ตั ราเรว็ ความยาวคล่นื (แตค วามถ่ไี มเ ปลี่ยน เนื่องจากความถีข่ ึ้นอยูก บั แหลงกําเนิด) เราอาจศกึ ษาการหักเหของคล่ืนไดจ ากคลื่นน้าํ ที่เคล่ือนที่ผา นความลึก ท่ไี มเทากนั พิจารณาจากรูปดา นบน กฎการหกั เหของสเนลล (Snell’s law of refraction) ใชในการคํานวณการหักเห ของคล่นื ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 43

จากรูปการหกั เหของคล่นื นา้ํ เหน็ ไดวา ในบรเิ วณทน่ี าํ้ ลึกกวา บรเิ วณนา้ํ ลึก ความยาวคลื่นจะมากกวา บริเวรท่นี ํ้าตน้ื กวา และเมอื่ ใชก ฎการหกั เห รอยตอ ของสเนลล จะไดวา ซ่ึงบอกกับเราวา หรอื ทขอศิ งกคาลรเน่ื คลอื่ นท่ี น่ันคือ ถาความยาวคลื่นมากอตั ราเรว็ ของคลน่ื จะมากตามไปดว ย บริเวณนํ้าตืน้ ดงั น้นั บรเิ วณนา้ํ ลกึ กวา คล่นื น้ําจะมอี ัตราเร็วมากกวา บรเิ วณนาํ้ ตืน้ กวา ปญ หาทาใหค ดิ ! ยกท่ี 19 : ถา คลนื่ เคลอ่ื นทีผ่ านจากเขต นา้ํ ลกึ ไปยังนํา้ ต้นื ทําใหความยาวคล่ืนลดลงครง่ึ หนึง่ จงหาอัตราสว น ของอตั ราเรว็ ในนาํ้ ลึกตอ นาํ้ ต้ืน? วิเคราะหข อ มลู คลื่นเคลื่อนที่จาก นํ้าลึก ไปยงั นํ้าตื้น กาํ หนดใหนํ้าลึก เปน ตวั กลางท่ี 1 และน้าํ ตน้ื เปนตัวกลางที่ 2 ขอ มูลในตัวกลางท่ี 1 (น้าํ ลึก) ใหค วามคลื่น ใหอ ตั ราเร็วคล่ืน คอื v1 ขอ มูลในตัวกลางท่ี 2 (น้าํ ตน้ื ) ความยาวคล่ืนลดลงครึ่งหนงึ่ ดังน้ัน ความคลื่น ใหอัตราเรว็ คลืน่ คอื v2 จงหาอตั ราสว นของอตั ราเรว็ ในนํ้าลึกตอนา้ํ ต้ืน คอื คํานวณโดยใชก ฎการหักเหของสเนลล จากสมการ ดงั นั้น อัตราสวนของอัตราเรว็ ในนาํ้ ลกึ ตอนํา้ ตน้ื เทากบั 2 1.3.3 การเลีย้ วเบน การเล้ียวเบน คือ ปรากฏการณท่คี ลนื่ สามารถเคล่อื นผานส่งิ กดี ขวาง หรือ ชอ งทีม่ ีขนาดเทา กับหรือเลก็ กวาความยาวคล่ืน แลวเกดิ การเบนของ ทิศทางในการเคลื่อนที่ทาํ ใหคลื่นสามารถเคลื่อนท่ีออมไปทางดา นหลงั ของ สงิ่ กดี ขวางได ทมี่ า : http://www.upscale.utoronto.ca/PVB/Harrison/ Diffraction/Diffraction.html การเลย้ี วเบนนน้ั สามารถอธบิ ายไดโ ดยใชห ลกั การของฮอยเกนส (Huygens’s principle) คือ ทุกๆ จุดบนหนาคล่ืนถือไดวาเปนแหลงกําเนิดคล่ืนใหมซ่ึงสงคล่ืน ออกไปทุกทิศทางดว ยอัตราเร็วเทากบั อตั ราเรว็ ของคล่นื เดิม 44 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

จากหลกั การของฮอยเกนส เราสามารถอธบิ ายไดว า เมอ่ื หนา คลน่ื พบกบั สง่ิ กดี ขวาง แตล ะจดุ บนหนา คลน่ื ทต่ี กกระทบกบั สงิ่ กีดขวางจะถูกดูดกลืนหรือสะทอน สวนจุดอ่ืนๆ ท่ีไมกระทบกับส่ิงกีดขวางจะทําหนาที่เปนแหลงกําเนิดคล่ืนใหม โดยท่ีคล่ืนยังคงมี อัตราเรว็ เทา กบั อตั ราเร็วของคลนื่ เดมิ 1.3.4 การแทรกสอด แทรกสอดแบบเสริม การแทรกสอด คอื ปรากฎการณทคี่ ล่ืนซ่งึ มีความถเ่ี ทา กนั มา แทรกสอดแบบหกั ลา ง รวมกนั ตง้ั แต 2 ขบวนขน้ึ ไป โดยการรวมกันของคลน่ื เปนไปตามหลักการ ซอนทบั ทําใหเกดิ การแทรกสอดแบบเสรมิ (constructive interference) และ การแทรกสอดแบบหกั ลา ง (destructive interference) แทรกสอดแบบเสริม เกิดจากการรวมกนั ของแอมพลิจดู ท่ีมี ทศิ ทางเดยี วกัน นนั่ คอื การรวมกันของสนั คล่ืนกบั สนั คล่นื หรอื การ รวมกันของทอ งคลน่ื กับทองคลน่ื antinode การแทรกสอดแบบหกั ลาง เกิดจากการรวมกนั ของ แอมพลจิ ูดท่มี ที ศิ ทางตรงขา มกัน นัน่ คอื การรวมกันของสนั คล่ืน node กบั ทองคลืน่ การแทรกสอดของคลนื่ ตอเนือ่ ง 2 ขบวน ทเ่ี หมือนกนั แตมีทศิ ทางตรงกันขาม เชน การแทรกสอดระหวางคล่นื ตกกระทบ กบั คลื่นสะทอ น ทําเกิดคลื่นทีม่ ลี กั ษณะเปนวงๆ เรียกวา คลืน่ นิง่ (standing wave) ซ่ึงมบี างจุดทค่ี ลนื่ อยนู ่งิ ตลอดเวลาหรอื ไมม กี าร สัน่ เลย เรยี กตําแหนง นี้วา บัพ (node) และ มีบางตาํ แหนง ท่สี ่นั ดว ย การกระจดั ที่มากทส่ี ดุ เรียกตําแหนง นีว้ า ปฏิบัพ (antinode) 2.เสียงและการไดย ิน 2.1 การเคล่ือนทข่ี องคลื่นเสยี ง หลังจากท่ีเราไดรูจักกับคลื่นและคล่ืนกลไปแลว ในหัวขอน้ีเราจะมาทําความรูจักกับคล่ืนเสียง ซึ่งเปนคลื่นกลท่ีเกิดจาก การส่ันของแหลงกําเนิดเสียงและสงพลังงานผานอนุภาคของตัวกลาง โดยหนาคล่ืนและทิศทางของคลื่นเสียงจะมีทิศเดียวกัน คลนื่ เสียงจงึ เปนคลืน่ ตามยาว ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 45

เมือ่ เรานําขอมูลการกระจดั ของอนุภาคตัวกลางและตาํ แนง ของอนุภาค มาวาดเปนกราฟ โดยกําหนดใหการกระจัดทางขวา มือเม่ือเทียบกับตําแหนงสมดุลมีคาเปนบวก และการกระจัดทางซายมือเม่ือเทียบกับตําแหนงสมดุลมีคาเปนลบ จะไดกราฟดังรูป ดานลาง ทมี่ า : http://www.mediacollege.com/audio/01/sound-waves.html เมื่อเราพจิ ารณาความหนาแนนของอนภุ าคตัวกลางซง่ึ บอกถงึ ความดนั ของอนภุ าคตัวกลาง แลวนาํ มาวาดกราฟ ความหนาแนของอนภุ าคตวั กลาง (อาจใชเปน ความดนั ของอนุภาคตวั กลาง) กับตาํ แหนง โดยใหอ นภุ าคท่ีมีความ หนาแนน ปกติ (ความหนาแนนเทากบั ตอนทยี่ งั ไมไดรับพลงั งานจากคล่นื เสยี ง) มีคาเปน ศนู ย ถา มคี วามหนาแนนมากกวาคาปกติ (ชวงอดั ) จะมีคา เปน บวก และ ความหนาแนน ท่ีตาํ่ กวา ปกติ (ชว งขยาย) จะมคี าเปน ลบ จะไดกราฟดังรูปดานขวา เม่ือเราพิจารณาการสั่นของอนภุ าคของตวั กลางแตล ะตัว แลวนาํ มา วาดกราฟระหวางการกระจัดของอนุภาคตัวกลางกับเวลา โดยกําหนดใหก าร กระจดั ทางขวามือเม่ือเทยี บกบั ตําแหนง สมดุลมคี า เปนบวก และการกระจดั ทาง ซายมอื เมอ่ื เทยี บกับตาํ แหนงสมดลุ มีคา เปน ลบ จะไดก ราฟดงั รูปดานขวา เสรมิ : รูปแบบของคล่ืนเสยี ง คล่ืนเสียงนั้นไมจาํ เปนตองมีรปู แบบการส่นั หรอื กราฟท่เี หมอื นกนั เสมอ เชน การท่ีเราพูดคําที่ตางกันคลืน่ เสียงจะมีรปู แบบ ทต่ี างกนั ไปดวย เสยี งของพยัญชนะแตล ะตัว เสียงของสระแตละตวั ก็อาจจะไมเ หมือนกนั เปน ตน เราไดนําความรทู ี่วารูปแบบคลนื่ เสียงของพยัญชนะและสระ มีรูปแบบเฉพาะตัว มาใชใ นการผสมคาํ ซึ่งเปนพน้ื ฐานในการสรางโปรแกรมที่อานตามทเ่ี ราพิมพ และ เปน พนื้ ฐานในการสรา งหนุ ยนตท่สี รางพดู โตต อบกบั มนุษยได 46 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

นอกจากรูปแบบคลน่ื เสยี งท่ีแตกตา งกันของพยัญชนะแตล ะตวั หรือสระแตตวั แลว รูปแบบคลนื่ เสยี งที่ไดจากเครอื่ งดนตรี ก็ มีความแตกตางกันดวยถึงแมจะเปนโนตตัวเดียวกันก็ตาม ทําใหเราสามารถบอกไดวาเปนแหลงกําเนิดเสียงตางชนิดกัน และเรายัง ใชห ลกั การเดยี วกนั น้ีในการแยกเสียงไดอีกหลายอยา ง เชน เสียงของแตล ะคน เสยี งของสตั วแตละชนดิ เปนตน 2.2 อตั ราเร็วของเสยี ง คลน่ื เสยี งจะเคลอื่ นทผี่ า นตวั กลางดว ยอตั ราเรว็ ทต่ี า งกนั โดยอตั ราเรว็ ของคลน่ื เสยี งนน้ั จะขนึ้ กบั ความหนาแนน ของตวั กลาง และสภาพยดื หยนุ ของตวั กลางซง่ึ พจิ ารณาสภาพยดื หยนุ ไดจ ากคา มอดลุ สั (modulus) จากการวเิ คราะห การคาํ นวณ และการทดลอง ทซ่ี ับซอ น ทาํ ใหเ ราไดความสัมพันธดังกลาว คอื เมื่อ v คอื อัตราเรว็ ของคล่ืนเสียง มหี นวยเปน m/s K คอื คามอดุลสั ของตวั กลาง มีหนวยเปน N/m2 p คือ ความหนาแนนของตวั กลาง มีหนวยเปน kg/m3 ตารางแสดงอัตราเร็วของเสียงในตัวกลางตา งๆ ตัวกลาง มอดุลสั (N/m2) ความหนาแนน(kg/m3) อัตราเรว็ (m/s) ของแขง็ เพชร 90.0 x 1010 3.53 x 103 1.20 x 103 ของเหลว อะลมู ิเนียม 8.10 x 1010 5.45 x 103 5.1 x 103 19.6 x 1010 5.10 x 103 5.13 x 103 เหลก็ 11.72 x 1010 3.56 x 103 3.56 x 103 ทองแดง 1.60 x 1010 1.32 x 103 1.2 x 103 ตะก่วั 2.40 x 109 1.05 x 103 1.52 x 103 นาํ้ ทะเล 2.20 x 109 1.00 x 103 1.48 x 103 28.5 x 109 13.6 x 103 1.45 x 103 นาํ้ 1.10 x 109 0.789 x 103 1.13 x 103 ปรอท 1.419 x 105 เอทลิ แอลกอฮอล 1.419 x 105 1.29 331 1.419 x 105 1.16 349 อากาศ ท่ี 0oC 0.946 387 แกส อากาศ ที่ 30oC อากาศ ท่ี 100oC ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 47

ปญหาทา ใหคดิ ! ยกที่ 20 : นํา้ มคี วามหนาแนน 1.00 x 103 kg/m3 มีคามอดลุ ัส 2.20 x 109 N/m2 และ ตะก่ัวมคี วาม หนาแนน 1.32 x 103 kg/m3 มีคามอดุลสั 1.60 x 1010 N/m2 คลื่นเสยี งเดินทางผานนา้ํ หรือตะกว่ั ดว ยอัตราเรว็ ทม่ี ากกวา กัน? วิเคราะหข อมลู ของนํา้ ใหอัตราเรว็ ของคลื่นเสียงในนํ้า แทนดว ย vw ใหค วามหนาแนน ของนาํ้ แทนดวย pw = 1.00 x 103 kg/m3 ใหค ามอดลุ ัสของนํ้า แทนดว ย Kw = 2.20 x 109 N/m2 คํานวณอัตราเรว็ ของคล่นื เสียงในน้ํา จากสมการ วิเคราะหข อมูลของตะกวั่ ใหอ ัตราเรว็ ของคล่นื เสยี งในตะก่วั แทนดวย vpb ใหความหนาแนนของตะกัว่ แทนดวย ppb = 1.32 x 103 kg/m3 ใหค ามอดลุ ัสของตะก่ัว แทนดว ย Kpb = 1.60 x 1010 N/m2 คํานวณอัตราเร็วของคลน่ื เสยี งในตะก่วั จากสมการ 1.32 ดงั นนั้ อตั ราเร็วของเสียงในนํ้ามากกวา อัตราเรว็ ของเสยี งในตะกว่ั ระวงั ! : จากปญหาทา ใหคดิ ! ยกท่ี 20 แสดงใหเห็นวา อตั ราเร็วของเสียงในตัวกลางทเี่ ปน ของเหลว (น้าํ ) มากกวาอตั ราเรว็ ของเสียงในตัวกลางที่เปนของแข็ง(ตะกั่ว)ได ซึ่งอัตราเร็วของเสียงน้ันไมไดขึ้นกับสถานะของตัวกลาง และไมไดแปรผันตามความ หนาแนน ของตวั กลาง เชน ตะกวั่ มคี วามหนาแนน มากกวา นา้ํ แตอ ตั ราเรว็ ของเสยี งในตะกวั่ กลบั นอ ยกวา นา้ํ ในการอธบิ ายถงึ อตั ราเรว็ ของเสยี งในตัวกลาง ใหพ จิ ารณาท่ีสมการ 2.3 ความถข่ี องคล่นื เสียง คล่ืนเสยี งนั้นมหี ลายความถี่ เราจะแบง คล่ืนเสยี งออกเปน 3 ชวงตามการไดย ินของมนษุ ย คือ คลน่ื เสยี งทม่ี นษุ ยส ามารถไดย นิ (audible waves) คลนื่ เสยี งทมี่ นษุ ยส ามารถไดย นิ นนั้ อยใู นชว ง 20 Hz – 20 kHz (20,000 Hz) คล่นื เสยี งความถต่ี ํา่ กวา ทีม่ นุษยไดยนิ (infrasonic waves หรอื infrasound) เปนคลืน่ เสียงทมี่ คี วามถีต่ ่าํ กวา 20 Hz คลื่นเสียงความถ่ีสูงกวาทีม่ นุษยไดยิน (ultrasonic waves หรือ ultrasound) เปน คล่นื เสียงที่มคี วามถีส่ ูงกวา 20 kHz (20,000 Hz) 48 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เสริม : เสียงทสี่ ตั วอ น่ื ๆไดย ิน สัตวอ น่ื ๆ นนั้ จะไดยนิ เสียงในชวงความถท่ี ีต่ า งจากเราดงั กราฟดานลาง 2.4 ลักษณะทางกายภาพของคล่ืนเสยี ง 2.4.1 ความเขม เสยี ง ความเขมเสยี ง (intensity of sound) คอื พลงั งานของคลืน่ เสียงทถี่ ูกสง ผานในหนงึ่ หนว ยเวลา หรอื อาจเรียกวา อัตราการ สง ผานพลงั งาน หรือกําลัง ตอหนึง่ หนวยพ้นื ทที่ พ่ี ลังงานผานในแนวตั้งฉากกับพืน้ ที่ ซงึ่ เขยี นเปน สมการไดวา เมือ่ I คือ ความเขม เสียง มีหนวยเปน W/m2 P คอื กาํ ลงั หรืออัตราการสงผา นพลงั งานของคลื่นเสียง มีหนวยเปน W คอื พ้ืนท่ที ี่พลงั งานผา นในแนวตง้ั ฉากมหี นวยเปน m2 จาก P คือ อตั ราการสง ผา นพลังงาน หรอื พลังงานทถ่ี ูกสงผา นในหนึ่งหนว ยเวลาดงั นน้ั เราสามารถเขียนเปน สมการไดว า เมอื่ P คอื กาํ ลังหรืออตั ราการสง ผานพลงั งานของคล่นื เสียง มหี นว ยเปน W E คอื พลงั งานทถ่ี ูกสง ผา นมหี นว ยเปน J t คือ ชว งเวลาท่พี ลังงานสง ผานมีหนว ยเปน s ปญ หาทาใหค ิด! ยกที่ 21 : คลน่ื เสยี งที่แผออกมาทกุ ทศิ ทุกทางจากแหลง กาํ เนิดเสียงดวยกาํ ลังคงทเี่ ทา กบั P เม่ือเราอยู หางจากแหลง กาํ เนดิ เสยี งเปน ระยะ R ความเขมเสยี งจะมคี าเปนเทา ไร? วิเคราะหขอมูล กาํ ลังของเสียงเทากบั P เสียงแผออกมาทุกทศิ ทุกทาง น่ันคอื แผอ อกมาในแนว รัศมีของทรงกลมดังนั้น พ้ืนทผี่ ิวท่ีตงั้ ฉากกับพลังงานทถ่ี กู สง ออกมา คอื พื้นทผี่ วิ ทรงกลม คาํ นวณความเขมเสยี ง จากสมการ ท่ีมา :http://gaiinnv1e1r.sweo-srdqpuraerses-.lcaowm/ /2008/06/28/ ดังนน้ั ความเขม เสียงทีไ่ ด คือ เสรมิ : จากปญหาทาใหค ดิ ! ยกท่ี 21 เห็นไดว า นัน่ บอกเราวา เมอ่ื ระยะหางจากแหลง กาํ เนดิ เสียงมากข้ึน ความ เขมเสยี งจะลดลง ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 49