ติวเข้ม O net get 100 ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย โดย True ปลูกปัญญา

ชอ่ งทรูปลูกปัญญา โทรทศั นค์ วามรดู้ สู นกุ ทางทรวู ชิ น่ั ส์ 6 ทกุ รายการสาระความรู้ สาระบนั เทงิ และการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมตลอด 24 ชั่วโมง พบกบั เร่อื งราวสรา้ งแรงบนั ดาลใจ • รายการสอนศาสตร์ รายการสอนเสริมแนวใหม่ครบ 8 วชิ า ม.3 ม.6 ตวิ สดทกุ วนั โดยติวเตอรช์ ่อื ดัง • รายการ I AM แนะนำ� อาชีพน่าสนใจโดยรุน่ พใี่ นวงการ • รายการสารสงั เคราะห์ นำ� ข่าวสารมาสงั เคราะหอ์ ัพเดทกัน ทรปู ลูกปญั ญา แบบไม่ตกเทรนด์ หน่วยงานเพ่ือการศึกษา ภายใต้กลุ่มบริษัท ทรู คอรป์ อเรช่ัน จ�ำกัด (มหาชน) ท่บี รู ณาการเทคโนโลยแี ละความ เชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ พัฒนาเป็นส่ือไลฟ์สไตล์เพ่ือส่งเสริม นิตยสารปลูก plook การศึกษาและคุณธรรม สามารถเชื่อมโยงทุกมิติการเรียนรู้ได้ อยา่ งครบวงจร นิตยสารส่งเสริมความรู้คู่คุณธรรมส�ำหรับเยาวชนฉบับแรก ในประเทศไทย วางแผงทกุ สปั ดาหแ์ รกของเดอื น หยบิ ฟรไี ดท้ ี่ True Coffee TrueMove Shop สถานศึกษา แหลง่ การเรยี นรู้ หอ้ งสมดุ และโรงพยาบาล ทว่ั ประเทศ หรอื อา่ นออนไลน์ใน www.trueplookpanya.com www.trueplookpanya.com ทรูปลูกปัญญาดอทคอม คลังความรู้คู่คุณธรรมท่ีใหญ่ ทส่ี ดุ ในประเทศไทย อดั แนน่ ดว้ ยสาระความรใู้ นรปู แบบมลั ตมิ เี ดยี สนุกกับการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ท้ังยังเปิดโอกาสให้ทุกคนสร้าง แอพพลิเคช่ัน Trueplookpanya.com เนอ้ื หา แบง่ ปันความรู้ร่วมกัน โดยไมม่ ีคา่ ใชจ้ า่ ย ตอบโจทยไ์ ลฟส์ ไตลก์ ารเรยี นรขู้ องคนรนุ่ ใหม่ ดว้ ยฟรแี อพพลิ เคชน่ั “Trueplookpanya.com” ให้คุณพร้อมสำ� หรับการเรียนรู้ใน ทกุ ท่ที กุ เวลา รองรบั การใช้งานบน iOS (iPhone, iPod, iPad) และ พบกับความเป็นท่ีสุดทงั้ 4 ด้านแหง่ การเรยี นรู้ Android • คลงั ความรู้ รวบรวมเน้อื หาการเรยี นทุกระดบั ช้นั ครบ 8 กล่มุ สาระการเรียน • คลังข้อสอบ ขอ้ สอบออนไลนพ์ รอ้ มเฉลยท่ใี หญ่ทสี่ ุดใน : www.trueplookpanya.com ประเทศไทย พรอ้ มการประเมินผลสอบทางสถิติ : TruePlookpanya • แนะแนว ข้อมูลการศึกษาตอ่ พร้อมเจาะลกึ ประสบการณ์ การเรยี นและการท�ำงาน • ศนู ย์ข่าวสอบตรง/Admissions ขา่ วการสอบทกุ สนาม ทุกสถาบัน พรอ้ มระบบแจง้ เตือนเรยี ลไทม์

หนงั สือชดุ “ติวเข้ม O-NET Get 100” สรา้ งสรรค์โดย ทรูปลกู ปัญญา มเี ดยี โครงการเพ่ือสังคมของบรษิ ัท ทรู คอร์ปอเรชัน่ จ�ำกัด (มหาชน) เลขที่ 46/8 อาคารรุ่งโรจน์ธนกลุ ตึก B ชน้ั 9 ถนนรัชดาภิเษก แขวงหว้ ยขวาง เขตห้วยขวาง กรงุ เทพฯ 10310 โทร : 02-647-4511, 02-647- 4555 โทรสาร : 02-647-4501 อเี มล : [email protected] : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya หนงั สือชดุ “ตวิ เข้ม O-NET Get 100” ใช้สัญลักษณ์อนุญาตของครเี อทฟี คอมมอนส์ แบบ แสดงทม่ี า-ไมใ่ ชเ่ พ่ือการค้า-อนญุ าตแบบเดียวกนั 3.0 ประเทศไทย

คำนำ การสอบ O-NET หรือช่ืออย่างเป็นทางการว่า การจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test) โดย สทศ. ถอื เป็นอีกสนามสอบทสี่ �ำคญั สำ� หรบั นอ้ งๆ ในระดับ ป.6, ม.3, ม.6 เพ่อื เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของน้องๆ ในระดับชาติเลยทีเดยี ว และยงั เป็นตัวชว้ี ัดคณุ ภาพการเรยี นการ สอนของแต่ละโรงเรียนอกี ด้วย คะแนน O-NET กย็ ังเปน็ สว่ นสำ� คัญในการคดิ คะแนนในระบบ Admissions เพื่อ สมัครเขา้ คณะทใี่ จปรารถนา ได้คะแนนดกี ม็ ีชัยไปกวา่ คร่ึง และเพอื่ เปน็ อกี ตวั ชว่ ยหนง่ึ ในการเตรยี มความพรอ้ มใหน้ อ้ งๆ กอ่ นการลงสนามสอบ O-NET ทางทรปู ลกู ปัญญาจงึ ได้จดั ทำ� หนังสือชดุ “ตวิ เขม้ O-NET Get 100” สุดยอดคู่มอื เตรยี มตวั สอบ O-NET สำ� หรับนอ้ งๆ ในระดับ ม.3 และ ม.6 ทเี่ จาะลกึ เนอื้ หาทมี่ กั ออกสอบบอ่ ยๆ โดยเหลา่ รนุ่ พเ่ี ซยี นสนามในวงการตวิ รวบรวมแนวขอ้ สอบตง้ั แต่ อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน พรอ้ มเฉลยอยา่ งละเอียด และคำ� อธิบายที่เขา้ ใจงา่ ย จำ� ไดแ้ ม่นยำ� น�ำนอ้ งๆ Get 100 ท�ำคะแนน สู่เป้าหมายในอนาคต หนังสือชุด “ติวเข้ม O-NET Get 100” โดยทรูปลูกปัญญา ประกอบด้วยวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศกึ ษา ภาษาอังกฤษ ท่ีรวบรวมเน้ือหาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย และวชิ า ฟสิ ิกส์ เคมี ชวี วทิ ยา ของระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รวมทง้ั หมด 11 เล่ม โดยสามารถศึกษาเนื้อหาหรือท�ำข้อสอบ ออนไลนเ์ พม่ิ เตมิ ได้จาก www.trueplookpanya.com ที่มี link ใหใ้ นทา้ ยบท สามารถดาวนโ์ หลดหนังสอื ไดฟ้ รี ผ่านเว็บไซต์ทรูปลกู ปัญญา ท่ี www.trueplookpanya.com/onet ทีมงานทรูปลกู ปัญญา

สารบัญ เร่ือง หนา้ บทท่ี 1 : ทาํ ความเขา้ ใจใน Sentence 6 บทที่ 2 : Articles/ Determiners/ Quantifiers 11 บทที่ 3 : Parts of Speech 17 บทท่ี 4 : Tenses 49 บทที่ 5 : Subject and verb agreement 61 บทท่ี 6 : Active and Passive Voice 66 บทท่ี 7 : Direct and indirect speech 70 บทที่ 8 : Reading part 76 บทที่ 9 : Vocabulary 93 บทท่ี 10 : Speaking Part 102 บทที่ 11 : Idiom ท่นี ่าสนใจ 112 บทที่ 12 : Phrasal Verb 117

คุยกอนอาน หนงั สอื ตวิ เขม้ O-NET get 100 วิชาภาษาอังกฤษ เล่มน้ี จดั ท�ำข้นึ ส�ำหรบั น้องๆ ท่ีกำ� ลงั ศกึ ษาอยใู่ นระดบั มธั ยม ปลาย ที่ต้องการจะเตรียมความพร้อมในการสอบ O-NET วิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาท่ีมักจะออกสอบ O-NET พรอ้ มแนวข้อสอบ ซึง่ ในการสอบ O-NET ม.6 น้ัน เน้อื หาท่อี อกสอบจะไมใ่ ชแ่ คข่ อง ม.6 แต่จะมเี น้ือหาตง้ั แต่ ม.4-6 กนั เลย ปัญหาของน้องๆ สว่ นใหญค่ อื มักจะท่องจำ� โครงสรา้ งประโยคต่างๆ กฎการใช้งาน หรอื คำ� ศัพท์ แตเ่ วลาเอาไป ใช้จริงกลับใช้ไม่เป็น เวลาเจอข้อสอบพวกหาจดุ ผิดและแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ ง (Error Identification & Correction) น้องๆ ก็ จะงงกนั ไปเลย ท�ำไม่ได้ซะงั้น ซ่ึงแนวข้อสอบในชว่ งหลังๆ ก็มักจะเน้นพวกหาจุดผดิ ซะดว้ ยสิ ดังนั้นนอ้ งๆ จงอย่าเพียงแค่ทอ่ งๆๆ แต่ต้องหดั น�ำไปใชง้ าน ต้องเขา้ ใจทฤษฎี รู้จกั กระบวนการสรา้ งค�ำ หนา้ ท่ี ของคำ� ต่างๆ เชน่ คำ� น้ีเปน็ Verb Adjective หรอื Noun ดตู ัวอย่างประโยคมากๆ ลองแต่งประโยคและหดั วเิ คราะห์ มองหาจดุ ผิดของประโยค การท่ีน้องๆ สามารถแกไ้ ข วิเคราะหง์ านเขียนไดจ้ ริง ถือเปน็ หลักส�ำคญั ในการเรยี นภาษา องั กฤษเลย อยา่ แคท่ อ่ งจ�ำเพอื่ น�ำไปสอบอยา่ งเดียว พ่ขี อเปน็ ก�ำลงั ใจในการสอบใหท้ ุกๆ คน อย่าหกั โหมหรอื กดดนั ตัวเองจนเกนิ ไป จะย่ิงเพม่ิ ความเครียดให้ตวั เอง และสุขภาพจะเสยี เอาได้นะ ช่วงโค้งสุดทา้ ยก่อนสอบก็พักผ่อนใหเ้ ยอะๆ เพอื่ ใหส้ มองแจ่มใสในวันสอบนะจะ๊ ทมี งานทรูปลูกปัญญา

บทท่ี1 ท�ำความเข้าใจใน Sentence ท�ำความเข้าใจใน Sentence ​ การทำ� ความเขา้ ใจลกั ษณะโครงสรา้ งของประโยคถอื เปน็ พน้ื ฐานและหวั ใจของการเรยี นภาษาองั กฤษกอ่ นทน่ี อ้ งๆ จะตอ่ ยอดไป สเู่ รอื่ งอนื่ ๆ ทยี่ ากมากขนึ้ กวา่ นี้ ดงั นน้ั นอ้ งๆ ควรจะปพู น้ื ฐานตรงจดุ นใี้ หแ้ นน่ เพราะนบั วา่ เปน็ หวั ขอ้ ทจี่ ะใหน้ อ้ งๆ จะไดเ้ หน็ ภาพรวมของ โครงสร้างในการเรียนภาษาอังกฤษ และท�ำให้ภาษาอังกฤษของน้องๆ พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดในเวลาอันส้ัน น้องๆ ลอง ทำ� ความ เข้าใจกบั รปู ประโยคหรือ Sentence ของภาษาองั กฤษว่ามีลักษณะโครงสรา้ งหนา้ ตากนั อย่างไรบ้าง! การทปี่ ระโยคจะมใี จความสมบรู ณไ์ ดน้ น้ั ประโยคจะตอ้ งประกอบดว้ ย ประธาน (Subject) และภาคแสดง (Predicate) โดยลกั ษณะ โครงสรา้ งของประโยค (Structure of Sentence) จะเปน็ อยา่ งไรนน้ั กข็ นึ้ อยกู่ บั วา่ คำ� กรยิ านนั้ เปน็ คำ� กรยิ าประเภทใดนน่ั เอง โดยทว่ั ไปเรา สามารถแบง่ โครงสรา้ งของประโยคไดเ้ ปน็ 3 สว่ นดงั น.้ี .. 1. Subject (ภาคประธาน) คอื “เจ้าของเรอื่ ง” น้นั ๆ โดย Subject อาจจะเปน็ ผู้กระทำ� เอง (Active voice) หรอื เปน็ ผู้ถูกกระทำ� ก็ได(้ Passive voice) Subject จะเปน็ ค�ำ วลี หรืออนปุ ระโยคกไ็ ด้ แตจ่ ะตอ้ งทำ� หนา้ ท่ีเปน็ นาม (Noun) หรอื สรรพนาม (Pronoun) โดยSubject จะอยู่หนา้ กริยาในประโยคเสมอๆ 2. Predicate (ภาคแสดง) ซึ่งตอ้ งมกี ริยา (Verb) ประกอบดว้ ยเสมอๆ แบ่งได้เป็น 2.1 Verb + (Object) – เปน็ ประโยคท่ีบอกวา่ ประธานไดก้ ระท�ำ (อะไร / กบั ใคร) เพราะฉะนัน้ Verb จะแสดงถงึ การ กระท�ำ(Action) จะมีกรรม (object) มารองรับการกระท�ำหรือไม่มีก็ได้ ซ่ึง Object จะท�ำหน้าที่เป็นนาม (Noun) หรือสรรพนาม (Pronoun) TIP : Suffix เหลา่ นเ้ี ปน็ ตวั ชว่ ยในการบง่ ชว้ี า่ คำ� ทเ่ี หน็ เปน็ Verb (แตอ่ ยา่ ลมื ดเู รอื่ งของตำ� แหนง่ ประกอบดว้ ย)  -ate = ใหห้ รอื กระทำ� -en = ทำ� ให ้ -ify = ทำ� ให ้ -ize, -ise = ทำ� ให้ 2.2 Verb + Subject Complement – เปน็ ประโยคทบ่ี อกวา่ ประธานมคี ณุ สมบตั ิ (Characteristic) หรอื สถานะ (Status) เป็นอย่างไร เพราะฉะน้นั Verb จะมีความหมายว่า “เปน็ อยู่ หรือคือ” (Linking Verb) ซ่งึ Subject Complement จะ ท�ำหน้าทเ่ี ป็นนาม (Noun) สรรพนาม (Pronoun) หรือ คณุ ศพั ท์ (Adjective) TIP : Linking Verb เหลา่ นม้ี กั จะไดเ้ จอบอ่ ยๆ feel get remain seem appear be become taste turn grow look prove smell stay sound 3. Modifier (ส่วนขยาย) มีหน้าท่ีอธิบาย หรือช่วยให้ความหมายของค�ำต่างๆ ในประโยคชัดเจนข้ึน ถึงแม้ว่าบางครั้ง ประโยคจะมีความสมบูรณ์แล้วกต็ าม ซงึ่ modifier จะทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ไดท้ ้ัง Adjective และ Adverb น้องๆ สามารถหา ประโยค modifier ไดโ้ ดยใชส้ ตู ร ด้ังนี้ 6 ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

สตู รการจำ� คือ “R 3P I C” R: Relative Pronoun หากเจอค�ำ Question Word หรือ that เหล่านี้น�ำหน้า Verbแท้ แล้วมี Noun หรือ Pronoun อยู่หน้า Relative Pronoun อีกที โดยส่วนใหญ่แล้วจะท�ำหน้าที่เป็น Adjective (Clause)  Noun/ Pronoun + who + (Noun/ Pronoun) Verbแท้ whom whose which where when why that เช่น Mary is the happiest girl in the world whom john decided to marry. In the modern world, anyone who has more information is in the position to profit. P1: Participle/ Participial Phrase คือ V.ing และ V.3 หากเจอ Verb เหล่านี้โดยไม่มี V.to be หรือ V.to haveน�ำหน้า แสดงว่าเป็น Participle หรือ Participial Phrase หากเป็น V.ing (Active Voice) หรือ V.3 (Passive Voice)เพียงตัวเดียว จะท�ำหน้าที่เหมือนกับ Adjective ท่ัวไปคือ อยู่หน้า Noun แต่ถ้าเป็น Phrase จะอยู่ได้ 2 ต�ำแหน่ง คือ หน้าประโยค (จะเห็น comma คั่น) หรือหลัง Noun ท่ีจะขยายท�ำหน้าท่ีเป็น Adjective Ving / V3 xxxxx , Subject Verb Noun Ving / V3 xxxxx Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) เช่น Destroyed completely by the destructive criticism of the famous food critic, the new Italian restaurant has changed some of its recipes suggested by most of the royal customers. P2: Punctuation หากเจอเคร่ืองหมายวรรคตอน (Punctuation) ประเภท comma (,) colon (:) semicolon (;) หรือ hyphen (-) อยู่หน้าหรือหลังประโยค และมีเพียงค�ำ หรือกลุ่มค�ำอยู่หน้าหรือหลัง Punctuation ท่ีคั่นไว้ ส่วนใหญ่ค�ำ หรือกลุ่มค�ำดังกล่าวจะเป็น Noun ซ่ึงจะท�ำหน้าที่เป็น Adjective ขยาย noun ข้างหน้า ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 7

คำ� หรือกลุ่มคำ� นาม ,Subject - ค�ำหรือกลุ่มค�ำนาม Verb Object/Subject Complement ; ค�ำหรอื กลมุ่ คำ� นาม Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) เช่น The marketing professor, the toughest professor of Duke University, has introduced me his three options: to retake the exam, to accept the extra credit assignment, or to fail the class. P3: Preposition หากเจอบุพบท (Preposition) หลัง Preposition จะมี Noun หรือ Pronoun ตามหลังเสมอ ให้จ�ำไว้ เสมอว่า Noun หรือ Pronoun ที่อยู่หลัง Preposition ไม่ได้เป็น Subject ต�ำแหน่งท่ีจะอยู่ได้มี 3 ต�ำแหน่ง คือ หน้าประโยค หรือหลังประโยค โดยจะท�ำหน้าท่ีเป็น adverb หรือถ้าอยู่หลังค�ำนามจะท�ำหน้าท่ีเป็น adjective Prep. N./ Pron. , Subject Prep. N./ Pron. Verb Prep. N./ Pron. Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) เช่น In many multinational companies, the obstacles of teamwork are arisen by culture differences in people. TIP : Preposition ทพี่ บไดบ้ อ่ ย across after against along anti around as before behind about above beside besides between beyond amid among down during except for below beneath inside into like near by despite on onto opposite outside from in per since than through of off under unlike until up over past with within without to toward upon via I: Infinitive with to หากเจอ Infinitive with to น้องๆ จ�ำไว้เลยว่าจะให้ความหมายในเชิงบอกจุดประสงค์ หรือไม่ก็ บอกความเป็นอนาคต ต�ำแหน่งท่ีจะอยู่ มี 3 ต�ำแหน่ง คือ หน้าประโยคหรือหลังประโยคจะท�ำหน้าท่ีเป็น Adverb ขยาย ประโยค แต่ถ้าอยู่หลัง Noun จะท�ำหน้าท่ีเป็น Adjective ขยายประโยค To V xxxxxxxxxx , Subect To V xxxxxxxxxx Verb To V xxxxxxxxxx Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) 8 ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เช่น To make business execution effective as much as possible, subject matter committee must be equipped by skills and authorities to push the process forward. To fully understand Thai culture, one must observe closely to get the cultural sensitivity of Thai people. C: Subordinating Conjunction หากเจอ Subordinating Conjunction นั่นคือกลุ่ม Conjunction ท่ีไม่ใช่ FANBOYS และญาติ FANBOYS ให้น้องๆ สังเกตว่าหลัง Conjunction เหล่านี้จะตามด้วย Clause หรือไม่ก็ Phrase จะท่ีท�ำหน้าที่ เป็น Adverb ขยายประโยค อาจจะอยู่หน้าประโยค (มี comma ค่ัน) หรือหลังประโยค Sub Conj.+ Clause/ Phrase(Adj.) , Subject Verb Sub Conj.+ Clause/ Phrase(Adj.) Modifier (Adjective) Modifier (Adjective) เช่น Now that India population may reach one billion people in the next 5 years, it will soon surpass China as the highest population in the world even though the area of the country is a lot smaller. ชนดิ ของประโยค (Types of Sentence) • ประโยคความเดียว (Simple Sentence) คือประโยคที่มีประธาน และ V.แท้ เพียงตัวเดียวเท่าน้ัน เช่น The biological clocks seem to be beautifully adapted to the needs of living things. • ประโยคความรวม (Compound Sentence) คือประโยคที่มี V.แท้ มากกว่า 1 ตัวและ V.แท้ ถูกเช่ือมด้วย Conjunction ท่ีอยู่ในกลุ่ม FANBOYS หรือ ญาติ FANBOYS หากมี V.แท้ เกิน 2 ตัวจะมี comma เช่ือม เช่น The manager tried hard to affect a change in company policy, but the owner overruled him on every point. • ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) คือประโยคท่ีมี V.แท้ มากกว่า 1 ตัวและ V.แท้ ถูกเช่ือมด้วย Conjunction ท่ี ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม FANBOYS หรือถูกเชื่อมด้วย Relative Pronoun เชน่ Examples of nanotechnologies are not as rare as one might expect. (Subordinating Conjunction) Germany’s chancellor, Angela Merkel, whose government will provide the biggest chunk of EU funding to Greece, became the bail-out’s biggest cheerleader. (เช่ือมด้วย Relative Pronoun What matters most in AEC now is how ASEAN nations cooperate for general interest. (เช่ือม ด้วย Relative Pronoun) น้องๆ จ�ำไว้ว่า FANBOYS มาจาก “for, and, nor, but, or, yet, so” ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 9

น้องๆ สามารถศกึ ษาเพิม่ เติมได้ที่ Tag : สอนศาสตร,์ ภาษาองั กฤษ, ประโยค sentence, unit of language • 01 : Unit of Language&Sentence http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch1-1 • สอนศาสตร์ อังกฤษ ม.6 : Complex sentence http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch1-2 • ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ตอนท่ี 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch1-3 • ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch1-4 บันทึกช่วยจำ� 10 ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

บทท่ี2 Articles/Determiners/Quantifiers Articles/Determiners/Quantifiers นอ้ งๆ คงเคยไดย้ นิ คาํ วา่ Articles/Determiners/Quantifiers เช่น a an the บ่อยๆ แต่ นอ้ งๆ รไู้ หมวา่ คําเหลา่ นีใ้ ชอ้ ย่างไร และมีหนา้ ท่อี ย่างไรในประโยค เรามาไขปัญหาคาใจนไี้ ป พร้อมๆ กนั เลยดีกว่า Articles/Determiners/Quantifiers คือ คําขยายคํานามชนิดหน่งึ มีไว้เพ่อื บอกจํานวน หรอื ความเฉพาะเจาะจง ของคํานามท่ีขยาย ดงั นนั้ คําเหล่านี้มาก่อนหนา้ คํานาม และอาจมีคาํ คณุ ศพั ท์ ประเภทอน่ื อยู่ระหวา่ ง article กบั คาํ นามที่ ถกู ขยายก็ได 1. A / An / The หน้าที่  A - ใชก้ ับคาํ นามนับไดเ้ อกพจน์ และขนึ้ ตน้ อ่านออกเสยี งเป็น “พยญั ชนะ” เช่น a cat, a table, a way, etc. ** ขอ้ ควรระวงั !! ห้ามใช้ “a” กบั คาํ นามท่ีนบั ไม่ได้ - ใช้กบั คาํ นามนบั ได้เอกพจน์ ที่ไม่เฉพาะเจาะจงหรือเพงิ่ กลา่ วถึงเปน็ ครัง้ แรก เช่น I have a cat. There is a hospital in this town. คาํ ศัพท์บางคําที่ขนึ้ ตน้ ด้วยสระแต่ออกเสียงเปน็ พยญั ชนะให้ใช้ A เช่น a European (อ่านว่า ย-ู โร-เปยี น) ที่แปลวา่ คนยโุ รป หรือ a university ท่ีแปลว่ามหาวทิ ยาลยั (อ่านวา่ ย-ู นิ- เวอ-ซทิ -ทิ) เป็นตน้ An - ใชก้ บั คํานามนับไดเ้ อกพจน์ ทไี่ ม่เฉพาะเจาะจง หรือกล่าวถึงเปน็ ครั้งแรกและข้ึนต้นอา่ น ออกเสยี งเปน็ “สระ”เช่น an ant, an evening, an hour, etc. ** ขอ้ ควรระวัง!! คือ คําศพั ทบ์ างคาํ ท่ีขึ้นตน้ ด้วยพยญั ชนะ แตอ่ า่ น ออกเสียงอย่างสระให้ an เช่น an hour ท่ีแปลวา่ ชัว่ โมง อา่ นว่า (เอา- เออะ) เป็นต้น The - ใช้กับนามเอกพจน์ทน่ี ับไดใ้ นกรณที ่นี ามนนั้ ถกู กลา่ วถงึ เปน็ ครง้ั ท่ี 2 เช่น I used to know a girl when I was young. The girl’s name is Laura. - ใช้นาํ หน้าคํานามท่ีเฉพาะเจาะจง ที่ผู้พดู และผฟู้ งั รู้กนั เชน่ Please, close the door. - ใชน้ ําหนา้ คาํ นามทม่ี ีอยูเ่ พยี งสิ่งเดยี วในโลกและส่งิ นน้ั เปน็ ทร่ี ู้กัน โดยทัว่ ไป เช่น The sun rises in the east. ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 11

- ใชน้ ําหน้าชอื่ ทางภูมิศาสตร์ เชน่ แม่น้ำ� มหาสมุทร เทอื กเขา ทะเล หม่เู กาะ เปน็ ต้น เชน่ I used to sail a yacht in the Suez Canal.  - ใชน้ าํ หน้าชอื่ ประเทศทม่ี ลี ักษณะเป็นราชอาณาจกั ร สหภาพ สาธารณรฐั และประเทศที่ ลงทา้ ยดว้ ย “s” เช่น The kingdom of Thailand The Philippines - ใชน้ ําหนา้ ชอื่ เฉพาะของคนท่เี ปน็ พหพู จนแ์ ละมคี วามหมายเป็นครอบครัว เชน่ The Fergusons (ครอบครัวเฟอร์กสุ ัน) The Eisenhowers (ครอบครวั ไอเซนเฮาว)์ ** ข้อควรระวงั !! เกย่ี วกบั การใช้ article “the” • คําว่า space เป็นคํานามทีม่ ีสองความหมายคอื ท่วี า่ ง และ อวกาศในจกั รวาล - ถา้ space ท่แี ปลวา่ อวกาศในจกั รวาล ไม่สามารถใช้ The ได้ เชน่ Jupiter is one of the planets in space. (จปู เิ ตอร์เปน็ ดาวเคราะหด์ วงหน่ึงในอวกาศ) - ถ้า space ท่แี ปลวา่ ทวี่ ่างกส็ ามารถใช้ The ได้ เชน่ Please fill in the spaces. (กรณุ าเตมิ คาํ ในช่องว่าง) • เม่ือพูด Go to the cinema, the theatre เราไม่ได้หมายความว่าไปโรงละครใดหน่ึงโรงเฉพาะนะ แต่ หมายถึงไปดูภาพยนตร์ทั่วไป • ไม่ใช้ the กับมอื้ อาหาร ไดแ้ ก่ breakfast, lunch, dinner เชน่ I had hamburger for breakfast. (ฉันทานแฮมเบอร์เกอร์เปน็ อาหารเช้า) • ไม่ใช้ the ขา้ งหน้าคํานาม ทเ่ี ป็นตวั เลข (ตวั เลข + Noun + number) เชน่ Please turn to page 78. (กรุณาเปดิ ไปหนา้ ท่ี 78) I live in Room 37. (ฉันอาศยั อยู่ที่ห้อง 37) 2. Some / Any ทั้ง some และ any มีความหมายทเี่ หมือนกนั คือ “บา้ ง” แต่มหี ลกั วิธีการใช้แตกต่างกัน ดงั น้ี 2.1 Some ใชก้ ับคาํ นามนับไดพ้ หูพจน์ / คํานามนบั ไม่ได้ และใชใ้ นประโยคบอกเล่า เชน่ My mother wants some sugar. There are some unread books in my room. 2.2 Any ใชก้ บั คาํ นามนับได้พหพู จน์ / คํานามนบั ไมไ่ ด้ และใชใ้ นประโยคคําถามและ ประโยคปฏเิ สธ เชน่ I do not have any idea what I will do next. Do you have any idea what you will do next? TIP : เล็กๆ ทนี่ อ้ งๆ ควรรู้ 1. เราใช้ Some และ Any กับคํานามนับไดพ้ หูพจน์ หรอื ใช้กบั คํานามนับไม่ไดก้ ็ได้ 2. เราใช้ Something / Someone / Somebody / Anybody / Anyone / Anything / Nothing/ Nobody / No one ฯลฯ เป็นคํานามเอกพจน์ เพราะฉะนั้น ส่ิงท่ีตามหลังคําเหล่าน้ี จะต้องเป็น กริยาท่ีใช้กับเอกพจน์ (กริยาที่เตมิ -s,-es) 12 ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

3. No / None ท้ัง No และ None มีความหมายท่ีเหมือนกัน คือ “not a” / “not any” และจะใช้ใน ประโยคปฏิเสธทั้งคู่ แต่มี หลกั การใช้ทแี่ ตกต่างกัน ดงั น้ี 3.1 No ทําหนา้ ทเี่ ปน็ adjective จะตอ้ งตามดว้ ยคาํ นาม (noun) เสมอ เช่น We have got no time to study. There were no stores open. 3.2 None ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ pronoun แปลว่า ไมแ่ ม้แต่สง่ิ เดยี ว หรือคนเดยี ว ดังนั้นจะไม่มี คํานามตามหลัง เชน่ None of us speaks German. All the books have been sold out. There are none left. *** ขอ้ ควรระวัง!! หลัง none of จะตอ้ งตามดว้ ยคาํ นาม “พหพู จน”์ เสมอ 4. Much / Many ทั้ง Much และ Many มคี วามหมายที่เหมือนกนั คอื “มาก” แตม่ หี ลักการใช้ทแ่ี ตกต่างกนั ดงั น้ี 4.1 Much จะใชก้ ับคาํ นามนับไมไ่ ด้ เชน่ I have so much money. She doesn’t need much sugar. 4.2 Many จะใช้กับคํานามนับไดพ้ หพู จน์ เชน่ There are many living rooms in my house. I have eaten many apples. 5. A lot of, Lots of / Plenty of ท้งั A lot of, Lots of / Plenty of มีความหมายเหมอื นกัน คอื “มาก” หรอื “เยอะ” ใชไ้ ด้ กบั นามทีน่ ับได้พหพู จน์ และนบั ไมไ่ ด้ เชน่ We spent a lot of money. We have plenty of time. 6. All / Most / Both / Whole 6.1 All แปลว่า ทั้งหมด ใช้กบั คํานามนับได้พหูพจน์ / คาํ นามนับไมไ่ ด้ เชน่ All flowers are red. All students are good. นอกจากนี้ยังสามารถใช้ All of ... ตามดว้ ย determiner + คํานามนับไดพ้ หพู จน์ / คาํ นามนบั ไมไ่ ด้ แทน All ได้ อกี ด้วย เชน่ All of the flowers are red. All of the students are good. 6.2 Most แปลว่า สว่ นใหญ่ ใช้กับคาํ นามนบั ไดพ้ หพู จน์ / คาํ นามนบั ไม่ได้ เช่น Most students are boys. Most children love candy. นอกจากนี้ยงั สามารถใช้ Most of ... ตามด้วย determiner + คาํ นามนบั ได้ พหูพจน์ / คาํ นามนับไม่ได้ แทน Most พหูพจน์ / คาํ นามนับไมไ่ ด้ แทน Most ได้อกี ดว้ ย เชน่ Most of the students are boys. Most of these children love candy. ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 13

6.3 Both แปลวา่ ทัง้ คู่เปน็ การกลา่ วเปรียบเทยี บคน 2คน หรอื ส่ิงของ 2สิง่ ใช้กับคาํ นามนบั ไดพ้ หพู จน์ เชน่ Both my parents are very strict. Both restaurants are very good. นอกจากนี้ยงั สามารถใช้ Both of ... ตามดว้ ย determiner + คํานามนบั ไดพ้ หูพจน์ แทน Both ได้อกี ดว้ ย เชน่ Both of my parents are very strict. Both of restaurants are very good. 6.4 Whole แปลว่า ทั้งหมด ใชก้ ับคํานามนับไดเ้ อกพจน์ เชน่ I hope to spend my whole life in Thailand. I cleaned the whole house. 7. A little / Little ทงั้ A little และLittle มคี วามหมายที่เหมอื นกนั คือ“เล็กนอ้ ย” แตม่ หี ลกั การใชท้ ี่ แตกต่างกัน ดงั นี้ 7.1 A little แปลว่า “มีอยูบ่ ้างเลก็ นอ้ ย” ซึ่งมคี วามหมายในเชิงบวก ใชก้ บั คาํ นามนับไมไ่ ด้ เชน่ There is a little milk in the jug. There is a little water left in the bottle. 7.2 Little แปลว่า “นอ้ ยจนแทบไม่มี” ซง่ึ มคี วามหมายในเชิงปฏเิ สธ (เชงิ ลบ) ใชก้ บั คํานามนับไม่ได้ เช่น He is very poor. He has little money. There is little time to do the project. 8. A few/Few ท้ังA Few และ Few มีความหมายที่เหมือนกันคอื “เลก็ นอ้ ย” แต่มีหลักการใชท้ ่ี แตกต่างกัน ดงั นี้ 8.1 A Few แปลวา่ “มีอยบู่ ้างเลก็ น้อย” ซึ่งมคี วามหมายในเชิงบวก ใชก้ ับคาํ นามนบั ไดพ้ หพู จน์ เชน่ I have a few sincere friends at school. He is a good boy, so he has a few friends. 8.2 Few แปลวา่ “น้อยจนแทบไม่มี” ซ่ึงมีความหมายในเชิงปฏเิ สธ (เชิงลบ) ใชก้ ับคาํ นามนบั ได้พหพู จน์ เชน่ Few politicians are truly honest. It is raining. There are few people here. 9. Each / Every 9.1 Each แปลว่า “แต่ละ” (มคี วามจํานวนเล็กน้อย) ใชเ้ มือ่ พูดถึงของหลายๆ สงิ่ หลายๆ อย่าง ท่ีแยกกัน และใช้ กับคํานามนบั ไดเ้ อกพจน์ เช่น The students are expected to study each question carefully. Each time you read a book, you get more knowledge. 9.2 Every แปลว่า “ทุกๆ” ใช้เม่ือพดู ถึงของรวมๆ กนั และใช้กับคาํ นามนับไดเ้ อกพจน์ เชน่ My dream is to travel around the world and visit every country. Every student in class is doing their own project. 10. Neither / Either 10.1 Neither แปลว่า “ไมท่ งั้ ค”ู่ ใช้กบั คํานามนับไดเ้ อกพจน์ + กรยิ าเอกพจน์ เชน่ Neither restaurant is too expensive for us. ** ข้อควรระวัง!! Neither of มคี วามหมายเหมือนกับNeitherแต่ตา่ งกนั ตรงที่ Neither of จะต้องตามดว้ ย article + คํานามนับไดพ้ หพู จน์ + กริยาเอกพจน์ 14 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เชน่ Neither of the restaurants we went to was expensive. 10.2 Either แปลว่า “ไม่อยา่ งใดกอ็ ยา่ งหน่งึ ” ใช้กับคํานามนับไดเ้ อกพจน์ + กรยิ า เอกพจน์ เช่น My mother allows me to go to either university. ** ข้อควรระวัง!! Either of มคี วามหมายเหมอื นกับ Either แต่ต่างกันตรงที่ Eeither of จะตอ้ งตามด้วย article + คํานามนบั ได้พหพู จน์ + กริยาเอกพจน์ เชน่ Either of my friends has to go to the prom with me. น้องๆ สามารถศกึ ษาเพิ่มเตมิ ไดท้ ี่ Tag : สอนศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คํานาํ หน้านาม คาํ นาํ หนา้ คํานาม article, a an the, determiner, determinatives • 07 : Article & Noun http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch2-1 • สอนศาสตร์ อังกฤษ ม.6 : Article&Noun http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch2-2 • Determinatives ตอนท่ี 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch2-3 • Determinatives ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch2-4 • Determinatives ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch2-5 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 15

ตวั อยา่ งแนวข้อสอบ 1. A doctor’s duties can differ vastly from place to place and according to type of medical practice or a. b. c. d. health care setting. 2. I have been trying to figure out something that have been stuck in my head since last night. a. b. c. d. 3. Because the economy of our country is terrible this year, we have less customers than we did last year a. b. c. d. at this time. เฉลย 1. เฉลยขอ้ c เพราะ type (ชนดิ ) เป็นค�ำนามนับได้เอกพจน์ และในท่นี ้ีคำ� ว่า type มกี ลุ่มคำ� นามตามหลงั คือ of medical practice นอกจาก type จะเป็นคำ� นามนับได้เอกพจนแ์ ลว้ ยังระบชุ ้ีเฉพาะเจาะจงลงไปอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องมี article “the” นำ� หน้า จงึ จะถูกต้อง (A doctor’s duties can differ vastly from place to place and according to the type of medical practice or health care setting.) 2. เฉลยขอ้ c have been เพราะวา่ หนา้ that คอื คำ� วา่ something ซง่ึ เปน็ คำ� นามเอกพจน์ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งเปลยี่ น have เปน็ has จงึ จะถกู ต้อง (I have been trying to figure out something that has been stuck in my head since light night.) 3. เฉลยข้อ c less เพราะว่า less ใชก้ ับค�ำนามทนี่ ับไม่ได้ แต่ในประโยคน้ี หลงั less ตามดว้ ย customers ซ่งึ เปน็ คำ� นามนับได้ พหูพจน์ ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนจาก less เป็น fewer จึงจะถูกต้อง (Because the economy of our country is terrible this year, we have fewer customers than we did last year.) นอ้ งๆ สามารถฝกึ ทกั ษะการทาํ ขอ้ สอบเพิม่ เตมิ ได้ท่ี • Complete with a, an ,some,any http://www.trueplookpanya.com/book/m6 /onet-english/ch2-6 • Articles http://www.trueplookpanya.com/book/m6 /onet-english/ch2-7 16 ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

บทท3ี่ Parts of Speech Part of Speech “Every single word belongs to word groups or Part of Speech” (Elizabeth O’Brien, 2009) ...ไมว่ า่ เราจะพดู หรอื เขยี นอะไร ประโยคทเี่ ราพดู จะประกอบดว้ ย Part of Speech หรอื ชนดิ ของคาํ ทงั้ สน้ิ .... Parts of Speech ในภาษาอังกฤษกไ็ มม่ อี ะไรแตกต่างกับภาษาไทยเลยพี่จะแบง่ มนั ออกเปน็ 8 กลุ่มใหญๆ่ ไดแ้ ก่ 1. Noun คาํ นาม 5. Adjective คําคณุ ศัพท์ 2. Pronoun คําสรรพนาม 6. Preposition บพุ บท 3. Verb กรยิ า 7. Conjunction คาํ สันธาน 4. Adverb กริยาวเิ ศษณ ์ 8. Interjection คําอุทาน ทีน้เี ราจะมาดูคณุ ลักษณะและหนา้ ท่ขี องคาํ แตล่ ะชนิดกนั เริ่มจากตัวแรกกอ่ น 1. Noun (คำ� นาม) คือ คาํ ท่ใี ชเ้ รยี กชือ่ คน สัตว์ สงิ่ ของ สามารถทําหน้าท่ีเปน็ ประธาน เป็นกรรม หรือเปน็ สว่ น เติมเตม็ ของประโยคพี่มวี ธิ สี งั เกต งา่ ยๆ วา่ คําไหนเป็นคาํ นามบ้าง มที ้งั หมด 2 วิธี คาํ นาม มกั จะตามหลงั determiner Determiner คอื คาํ กํากบั คํานาม นอ้ งๆ จะพบวา่ มันปรากฏอย่หู น้าคํานาม และกลุ่มคํานาม (noun and noun phrase) เทา่ น้นั !! ได้แก่ 1. Article - Definite article the - Indefinite article a, an 2. Possessive determiner my, your, our, their, his, her, and its. 3. Demonstrative determiner this, that, these, those 4. Interrogative-determiner whose, what, which 5. Quantitative determiner 5.1 Quantitive one, two, three, all (of), some, any, no, every, enough, much,many, most, few, more, several, lot of, little, less, least 5.2 distributive both (of), either, each ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 17

คาํ นามมกั ลงท้าํ ยด้วย suffixes (คําเติมท้าย) เหลา่ นี้ 1. -ant, -ent 2. -ation, -tion, -ion 3. -er, -eer, -or 4. -dom 5. -ee 6. -hood 7. -ess 8. -ic, -ics 9. -ist 10. -ism 11. -ster 12. -ity 13. -y, -ie 14. -let, -ette 15. -acy , -cy 16. -logy, -ology, -nomy 17. -age 18. -ment 19. -ance, -ence 20. -ness 21. -ary, -ery, -ry 22. -ship 23. -ate 24. -ium น้องๆ พอดูออกกันแล้วใช่ไหม ว่าคําไหนท่ีทําหน้าที่เป็นคํานามบ้าง (คําที่ตามหลังคํา กํากับนาม และคําท่ีลงท้ายด้วยคํา เติมท้ายข้างต้นที่ยกตัวอย่างไป) ต่อไปนี้ เราสามารถแบ่งคํานาม ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. Common nouns หรือ สามานยนาม เป็นคํานามที่ใช้เรียกคน สัตว์ ส่ิงของ ความคิด สถานท่ีท่ัวๆ ไป (person, animal, place, thing, idea) โดยไม่เฉพาะเจาะจง ว่าเป็นใคร อันไหน สิ่งไหน เช่น dog, student, school etc. ซ่ึงจะ ประกอบด้วย 1.1 Concrete noun คือ คํานามที่เป็นรูปธรรม มองเห็น จับต้องได้ เช่น flower, bird, house 1.2 Abstract noun คือ คํานามที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น love, fear, happiness, pride religion etc. 1.3 Countable noun คือ คํานามที่นับได้ มีทั้งท่ีเป็น คํานามเอกพจน์ และพหูพจน์ (Singular and plural forms) น้องๆ จําไว้ว่า “Anything you can make plural is a countable noun” “คําไหนที่ทําให้เป็นพหูพจน์ได้ (เติม s ไปเลย!!!!) คํานั้นก็นับเป็นคํานามนับได้” 1.4 Uncountable noun คือ คํานามนับไม่ได้ จําพวก อาหาร ของเหลว ท่ีไม่สามารถนับเป็น 1 2 3 ... ได้ เช่น milk, water, sugar, rice etc. 2. Proper noun หรือ วิสามานยนาม เป็นคํานามที่ใชเ้ รยี กคน สตั ว์ ส่งิ ของ สถานท่ี (person, animal, place) ทเ่ี ฉพาะเจาะจงหรอื ระบุอยา่ งแน่ชัดลงไป เช่น Walt Disney, New York City, Atlantic Ocean, Empire State Building etc. จะเห็นได้ว่าช่ือเหล่าน้ีเป็นช่ือเฉพาะ เรียกแล้วรู้เลยว่าเป็น สิ่งไหน คนไหน หรือ ท่ีไหน น้องๆ ลองสังเกตดูดีๆ ว่าคํานามแบบวิสามานยนามจะเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ (Capital letter) เสมอ เนื่องจาก เป็นช่ือเฉพาะน้ันเอง 18 ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

ตารางเปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns Common Nouns Proper Nouns dog Lassie ( ชื่อของสุนัข ) boy Jack ( ชื่อของเด็กชาย) car Toyota ( ช่ือย่ีห้อรถ ) month January ( ชื่อของเดือน) road Sukhumvit ( ช่ือถนน ) university Chulalongkorn ( ช่ือมหาวิทยาลัย) ship U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ ) country Thailand ( ชื่อประเทศ ) น้องๆ รูแ้ ลว้ ใชไ่ หมว่าคํานามคืออะไร ประเภทของคาํ นามมีอะไรบา้ ง ต่อไป นอ้ งๆ จะ ไดร้ วู้ า่ คํานามนน้ั ท�ำหนา้ ท่ีอะไรได้บ้าง ในประโยค ตําแหนง่ / หนา้ ท่ี ตวั อยา่ งประโยค 1. ประธานของประโยค (Subject) John kicks the ball. 2. กรรมตรง (Direct object) John kicks the ball. 3. กรรมรอง (Indirect object) John gives Paul the ball. 4. กรรมตามหลงั บุพบท (Object of preposition) John kicks the ball to Jimmy. 5. สว่ นเติมเต็มของประธาน (Subject complements) John is a footballer. 6. สว่ นเตมิ เต็มของกรรม (Object complements) They name the baby Dan. 1. Noun as Subject คํานามท่ีทําหน้าที่เป็นประธานของประโยคมักจะข้ึนต้นประโยคเสมอ เช่น John kicks the ball. แต่ในบางประโยค ประธานอาจจะอยู่ในตําแหน่งอ่ืนก็ได้ เช่น Rarely does she know him so well. ในประโยคน้ี เป็นการนําเอาคําที่มีความหมายเชิงปฏิเสธมาข้ึนต้นประโยค (Rarely) ทําให้ต้องเอากริยาช่วยมา วางไว้ตามหลัง ซ่ึงประธานของประโยคจริงๆ แล้วคือ she น้ันเอง คําที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ ได้แก่ rarely, scarcely, seldom, only, hardly ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 19

2. Noun as direct object คํานามที่ทําหน้าที่เป็นกรรมตรง คือ คน สัตว์ หรือส่ิงของ ที่ถูกกระทําโดยตรง หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจาก การกระทํานั้นๆ น้องๆ จําไว้ว่ากรรมตรงจะตอบคําถาม “What” เช่น John kicks the ball. (the ball ถูกJohnเตะโดยตรง – กรรมตรง) I talked to him yesterday. (him พูดกับฉันโดยตรง – กรรมตรง) 3. Noun as Indirect object คาํ นามทที่ าํ หนา้ ทเ่ี ปน็ กรรมรอง จะเปน็ ผทู้ ถี่ กู กระทาํ ทางออ้ ม หรอื เปน็ ผรู้ บั ผลของการกระทาํ นนั้ ๆ โดยสว่ นใหญแ่ ล้ว จะเป็น “คน” น้องๆ จําไว้ว่ากรรมรองจะตอบคําถาม “to whom” หรือ “for whom” เช่น John gives Paul the ball. (Paul เป็นคนท่ีได้รับผลจากการกระทํา – กรรมรอง) I also gave him the book. (Him เป็นคนที่ได้รับผลจากการกระทํา – กรรมรอง) ** ถ้าในประโยคมีท้ังกรรมตรงและกรรมรอง ให้น้องๆ สังเกตดีๆ ว่า “กรรมตรง =สิ่งของ” และ “กรรมรอง = คน” เช่น He gave a pen to me. กรรมตรง กรรมรอง He gave me a pen. 4. Object of preposition คาํ นามท่ีอยู่หลังคําบพุ บท ไมใ่ ช่กรรมของกรยิ า แต่มกั จะทาํ หน้าท่ีเปน็ กรรมของบุพบท เชน่ I go to the cinema with them. บุพบท กรรมของบุพบท 5. Subject complements คํานามที่ทําหน้าเป็นส่วนเติมเต็ม หรือทําหน้าท่ีกล่าวซ้�ำถึงประธานของประโยค ซ่ึงSubject complements จะปรากฏอยู่หลงั Linking verb เช่น John is a footballer. Marry is a writer. 6. Noun as Object complements คาํ นามท่ีท�ำหนา้ ท่เี ปน็ สว่ นเติมเตม็ หรอื ทําหน้าที่กลา่ วซำ�้ ถงึ กรรมของประโยคซึ่ง Object complements จะปรากฏ อยู่หนา้ / หลงั Object ก็ได้ เชน่ They name the baby Dan We elected him captain. อย่าลืม!!!นอ้ งๆตอ้ งแยกให้ออกระหวา่ ง object และ complement 1. Object หรอื กรรม จะต้องตามหลังกรยิ าท่ตี อ้ งการกรรม (transitive verb) 2. ส่วน complement จะต้องตามหลัง v. to be หรือ linking verb หรือ complex transitive verb เช่น name, elect, paint, make, consider, see เป็นต้น 20 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

2. Pronoun (สรรพนาม) คอื คาํ ทใี่ ชแ้ ทนคาํ นาม หรอื ขอ้ ความทก่ี ลา่ วมาแลว้ โดยสรรพนามจะทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ ประธาน กรรม หรอื แสดงความเปน็ เจา้ ของ เพอื่ จะไดไ้ ม่ต้องกลา่ วถงึ คาํ นาม หรอื ข้อความนัน้ ๆ ซ้�ำ เชน่ My dog is brown. My dog has beautiful eyes. I love my dog very much. My mother is beautiful. My mother is a teacher. I love my mother. น้องๆจะเห็นว่า “my dog” และ “my mother” ซ้ํากันถึง3 คร้ังทําให้รูปประโยคดูไม่สวยงามและไม่น่าฟัง ดังนั้นเราจึงใช้ “pronoun” มาแทนท่คี ํานาม เพื่อลดการกล่าวซ้ําคํานามนนั้ ๆ เช่น My dog is brown. It has beautiful eyes. I love it very much. My mother is beautiful. She is a teacher. I love her. ประเภทของ Pronoun (สรรพนาม) มที ้ังหมด 7 ชนดิ ดังน้ี 1. Personal Pronoun (บรุ ษุ สรรพนาม) เช่น I, you, we, he, she, it, they 2. Possessive Pronoun (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) เชน่ mine, yours, his, hers, its, theirs, ours 3. Reflexive Pronouns (สรรพนามสะท้อนตนเอง) เปน็ คําที่มี - self ลงท้าย เชน่ myself, yourself, ourselves 4. Definite Pronoun / Demonstrative Pronouns (สรรพนามเจาะจง) เช่น this, that, these, those, one, such, the same 5. Indefinite Pronoun (สรรพนามไมเ่ จาะจง) เชน่ all, some, any, somebody, something, someone 6. Interrogative Pronoun (สรรพนามคาํ ถาม) เช่น Who, Which, What 7. Relative Pronoun (สรรพนามเช่ือมความ) เชน่ who, which, that หลกั การจํา pronoun ที่ใชเ้ ก่ยี วกับคน Pronoun Personal Pronoun Possesive Pronoun Reflexive Pronoun  Subject Object ตามดว้ ยนาม ไม่ต้องตามดว้ ยนาม 1st Party I me my mine myself We us our ours ourself 2nd Party You you your yours yourself / yourselves 3rd Party He him his his himself She her her hers herself It It Its Its itself They them their theirs themselves 1. Personal Pronoun (บุรษุ สรรพนาม) คอื สรรพนามท่ีใช้แทนบุคคล สตั ว์ สง่ิ ของ แบง่ ได้ เป็น 2 ประเภทคอื Personal Pronoun as subject และ Personal Pronoun as object คอื 1.1 Personal Pronoun as subject คอื สรรพนามที่ทาํ หน้าทเ่ี ป็นประธานของประโยค แบ่งออกเปน็ 3 บรุ ุษ ได้แก่ ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 21

1.1.1 สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 (1st Party) คือ สรรพนามที่ใชแ้ ทนตัวผ้พู ูด ไดแ้ ก่ I และ We เช่น I have three dogs. We live in Bangkok. 1.1.2 สรรพนามบุรุษที่ 2 (2nd Party) คอื สรรพนามท่ีใชแ้ ทนตวั ผ้ฟู งั ได้แก่ You เชน่ You should speak slowly. 1.1.3 สรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 (3rd Party) คอื สรรพนามทใ่ี ชแ้ ทนผถู้ กู กลา่ วถงึ ไดแ้ ก ่ He, She, It และ They เช่น He goes to school by bus. They go to the cinema. น้องๆ สงั เกตไหมวา่ ตาํ แหน่งของ Personal Pronoun as subject จะอย่ตู น้ ประโยค / อยหู่ นา้ กรยิ าเสมอๆ 1.2 Personal Pronoun as object คือ สรรพนามทท่ี ําหน้าท่เี ป็นกรรมของประโยค แบ่ง ออกเป็น 3 บรุ ษุ ไดแ้ ก่ 1.2.1 สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 (1st Party) คือ สรรพนามทใ่ี ช้แทนตวั ผพู้ ดู ไดแ้ ก่ me และ us เช่น My mother hits me She likes to go with us 1.2.2 สรรพนามบรุ ษุ ที่ 2 (2nd Party) คอื สรรพนามทใ่ี ชแ้ ทนตัวผฟู้ ัง ได้แก่ you เช่น I teach you English. 1.2.3 สรรพนามบุรุษท่ี 3 (3rd Party) คือ สรรพนามทใ่ี ช้แทนผู้ถูกกล่าวถึง ได้แก่ him, her, it, them เช่น Nam talks to him everyday. She told them the truth. นอ้ งๆ สงั เกตไหมว่า ตําแหนง่ ของ Personal Pronoun as object จะอยหู่ ลงั กรยิ า / อย่หู ลังบพุ บทเสมอๆ 2. Possessive Pronoun (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) คือ คําสรรพนามท่ีใช้แทน คํานามเพ่ือแสดงความเป็น เจา้ ของ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 2.1 Possessive Adjective ทาํ หนา้ ทขี่ ยายคาํ นามและแสดงความเปน็ เจา้ ของ ไดแ้ ก่ my, our, your, his, her, its และ their เชน่ Your book is red. He loves his dog. 2.2 Possessive Pronoun ทําหน้าที่แทนคํานามและแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ mine, ours, yours, his, hers, its และ theirs เชน่ Your book is red. Mine is blue. (mine = my book) He loves his dog. She loves hers. (hers = her dog.) นอ้ งๆ สังเกตไหมว่า Possessive Adjective กบั Possessive Pronoun มลี กั ษณะท่คี ล้ายคลึงกัน แตม่ ขี อ้ แตกต่าง ที่น้องๆ สามารถแยกทง้ั 2 ตวั น้อี อกจากกนั ไดง้ า่ ยๆ ดังน้ี 1. Possessive Adjective จะมคี าํ นามตามหลงั เสมอ ในขณะท่ี Possessive Pronoun จะ ไมม่ คี าํ นามตามหลงั 2. Possessive Pronoun จะใชแ้ ทนคาํ นาม ซง่ึ จะมคี า่ เทา่ กบั Possessive Adjective + noun 3. Possessive Pronoun คอื Possessive Adjestive ทเี่ ตมิ “s” เสมอ ไดแ้ ก่ ours, yours, his, hers, its และ theirs ยกเวน้ mine 22 ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

3. Reflexive Pronoun (สรรพนามสะท้อนตนเอง) คือสรรพนามที่แสดงถงึ ตนเอง แสดง การเน้น/ย้าํ ให้เห็นผูก้ ระทาํ อยา่ ง ชดั เจน มกั จะลงทา้ ยดว้ ย “-self” หรอื “-selves” มี หลกั การใช้ ดงั นี้ 3.1 วางไวห้ ลงั ประธาน เพอ่ื เนน้ วา่ ประธานเปน็ ผกู้ ระทาํ เอง เชน่ The doctor himself gave the medicine. I myself don't like eggs. 3.2 วางไวห้ ลงั กรยิ า เพอ่ื เนน้ ถงึ การกระทาํ ทม่ี ผี ลกบั ตนเอง เชน่ My sister bought herself a new evening-dress. The children hurt themselves. 3.3 วางไวห้ ลงั บพุ บท “by” เพอ่ื ตอ้ งการเนน้ วา่ เปน็ ผกู้ ระทาํ เพยี งผเู้ ดยี ว หรอื คนเดยี ว เชน่ We do homework by ourselves. I go home by myself. 4. Definite Pronoun / Demonstrative Pronouns (สรรพนามเจาะจง) คอื คําสรรพนาม ท่บี ง่ ชีเ้ ฉพาะอยา่ งชัดเจนวา่ ใช้ แทนสงิ่ ใดหรอื หมายถึงใคร ประกอบดว้ ย this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter เชน่ She will never forget this. That is very beautiful. 5. Indefinite Pronoun (สรรพนามไมเ่ จาะจง) คอื คาํ สรรพนามทใ่ี ชก้ ลา่ วโดยรวมๆ ไมช่ ี้ เฉพาะเจาะจงถึงคนสัตว์สง่ิ ของ หรือ สถานทซี่ ่ึงบางตวั จะเปน็ เอกพจน์หรือพหพู จน์ หรอื เปน็ ได้ท้ังเอกพจน์ และพหพู จน์ 5.1 Indefinite Pronoun ทเี่ ปน็ เอกพจน์ ไดแ้ ก่ everyone, someone, no one, anyone, everybody, somebody, nobody, everything, something, nothing, anything, each, another, anybody, neither, either, one เชน่ I heard someone fells from the tree. Everything is okay. 5.2 Indefinite Pronouns ทเี่ ปน็ พหพู จน์ ไดแ้ ก่ both, many, several, ones, few, some เชน่ Many like salsa with their chips. Some like it hot. 6. Interrogative Pronoun (สรรพนามคําถาม) ท่ีใชเ้ มอ่ื ตอ้ งการถามว่า ใครหรือ สงิ่ ใด เปน็ ผูท้ าํ หรอื ผ้ถู ูกทาํ ได้แก่ who, whom, which, what etc. 6.1 Who ใชแ้ ทนคน ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ ประธาน เชน่ Who is coming to dinner? Who want to see the dentist first? 6.2 Whom ใชแ้ ทนคน ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ กรรม เชน่ Whom do you think we should invite? To whom did you give the book? 6.3 Which ใชแ้ สดงวา่ เปน็ สง่ิ ไหน อนั ไหน คนไหน เชน่ Which is your cat? Which of these languages do you speak fluently? 6.4 What ใชแ้ ทนสงิ่ ทไ่ี มใ่ ชค่ น สามารถทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ ประธานหรอื กรรมได้ เชน่ What does your farther do? What is the chief export of Thailand? ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 23

7. Relative Pronoun (สรรพนามเช่ือมความ) คือ สรรพนามท่ีใช้แทนคํานามท่ีกล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า และทํา หน้าท่ีเชอ่ื มประโยคทัง้ สองเขา้ ดว้ ยกนั ได้แก่ who, whom, which, whose, that etc. 7.1 Who ใชแ้ ทนคน ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ ประธาน (มี verb ตอ่ ทา้ ย) เชน่ The police found the man who stole her money. Mr Richards, who is a taxi driver, lives on the corner. 7.2 Whom ใชแ้ ทนคน ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ กรรม (มี clause ตอ่ ทา้ ย) เชน่ This is George’s brother, with whom I went to school. Mrs Patty, whom I like very much, is my teacher. 7.3 Which ใชแ้ ทนสง่ิ ของ ทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ ประธานหรอื กรรมกไ็ ด้ เชน่ She likes hamburgers which are hot. The car which the robbers escaped in was orange. 7.4 Whose ใชแ้ สดงความเปน็ เจา้ ของ เชน่ That girl whose name I have forgotten is your student. The man whose daughter is in my class is a solider. 7.5 That ใชแ้ ทนคน สตั ว์ สงิ่ ของ ทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ ประธานหรอื กรรมกไ็ ด้ เชน่ The book that she wrote is the best-seller. You should bring the book that you love m น้องๆ จะสังเกตเห็นว่า คําสรรพนามทุกชนิดจะใช้แทนคํานาม (ไม่มีคํานามตามหลัง) ถ้ามี คํานามตามหลังจะไม่ใช่ คาํ สรรพนาม เชน่ Which dress is the cheapest? (Which + dress (n.)  ไมใ่ ชค่ าํ สรรพนาม)  Which is your book? (Which + is (v.) คาํ สรรพนาม) That book is so thick. (That + book (n.) ไมใ่ ชค่ าํ สรรพนาม) That is a thick book. (That + is (v.) ไมใ่ ชค่ าํ สรรพนาม) 3. Verb (คำ� กริยา) คือคํากริยาเป็นการบอกอาการหรือการกระทํา (action) หรือความมีอยู่เป็นอยู่(being) หรือ สภาวะความเป็นอยู่ (state of being) หรอื คาํ ทีแ่ สดงออกทางการกระทําหรือสภาวะอย่างใด อย่างหนงึ่ เช่น ยืน เดิน นัง่ นอน กิน ดม่ื หรือ หมายถึงคาํ ทีบ่ ่งบอก การกระทํา หรือบง่ บอกสภาพ เช่น She likes Italian food. He eats apple everyday. การจำ� แนกชนิดของค�ำกรยิ า แบ่งออกตามหนา้ ท่ไี ด้ 4 แบบ คือ 1. แบง่ ตามหน้าที่ โดยยดึ กรรม (object) เปน็ เกณฑ์ ไดแ้ ก่ 1.1 Transitive Verb (สกรรมกรยิ า) คอื คาํ กรยิ าทตี่ อ้ งการกรรมมารองรบั เชน่ He buys a book. They like hot chocolate. 1.2 Intransitive Verb (อกรรมกรยิ า) คอื คาํ กรยิ าทไ่ี มต่ อ้ งการกรรมมารบั กส็ ามารถมใี จความสมบรู ณไ์ ดใ้ นตวั เอง เชน่ A bird is flying in the sky. Susan and I walk slowly. 24 ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

2. แบง่ ตามหน้าที่ เป็นคํากริยาหลัก (main verbs) กรยิ าเช่ือม และกรยิ าช่วย (auxiraly verbs) ได้แก่ 2.1 Main Verbs (คาํ กรยิ าหลกั ) เปน็ คาํ กรยิ าทที่ าํ หนา้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งอสิ ระในประโยค เชน่ My father went to Australia last year. We usually drink a lot of milk. 2.2 Linking Verb (กริยาเชอ่ื ม) คอื คาํ กรยิ าทใ่ี ชเ้ ช่อื มประธานกบั คาํ นาม คําคุณศพั ท์ หรอื คาํ บุพบท เพือ่ บอก ประเภทหมวดหมู่ หรือลักษณะของประธาน Linking Verb ส่วนมากจะเป็นคํากริยาท่ีเกี่ยวข้องกับประสาท สมั ผสั ไดแ้ ก่ Get go grow become Look seem sound appear Taste turn feel smell Keep remain stay เชน่ Susan is a teacher. The food tastes delicious. 2.3 Auxiliary Verb (คํากริยาช่วย) คือ คํากริยาที่อยู่หน้ากริยาแท้ ทําหน้าที่ขยายความหมายของกริยาแท้ใช้ บอกความคดิ ความร้สู กึ  เชน่ verb to be verb to do verb to have can will/ shall may 2.3.1 Auxiliary Verb ทใี่ ชบ้ อกความรสู้ กึ ความคดิ (Modals) เชน่ การอนญุ าต (Permission) You may come in. ความคาดหวงั (Expectation) He should finish it by noon. ความสามารถ (Ability) The students can speak English. การสรปุ (Conclusion) She must be here at 6 P.M. ความจาํ เปน็ (Necessity) They have to make a decision. 2.3.2 Auxiliary Verb ทใี่ ชแ้ สดงคาํ ถาม หรอื ปฏเิ สธ เชน่ What do you want to be in the future? She does not want to be a teacher. 2.3.3 Auxiliary Verb ทใี่ ชเ้ นน้ เชน่ I do love you. He does like playing football. 3. แบง่ ตามหน้าท่ี เป็นคํากรยิ าแท้ (Finite Verbs) และกรยิ าไมแ่ ท้ (Non-finite Verbs) ได้แก่ 3.1 Finite Verbs (คํากริยาแท้) ทําหน้าที่แสดงกริยาอาการท่ีแท้จริงของประธานในประโยคมีการเปล่ียนรูป ไปตาม ประธาน กาลเวลา และ วาจก 3.1.1 Subject verb agreement (กรยิ าเปลย่ี นรปู ไปตามประธาน) เชน่ I go to school. She goes to school. ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 25

3.1.2 Tense (กาลเวลา) กรยิ าจะเปลย่ี นรปู ไปตามกาลเวลาของการกระทาํ ท่ี เกดิ ขนึ้  เชน่ Present Simple Tense I go to the market. Present Continuous Tense I am going to the market. Present Perfect Tense I have gone to the market. Past Simple Tense I went to the market. Past Continuous Tense I was going to the market. Past Perfect Tense I had gone to the market. Future Simple Tense I will go to the market. Future Continuous Tense I will be going to the market. Future Perfect Tense I will have gone to the market. 3.1.3 Voice (วาจก) แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 3.1.3.1 Active Voice คอื ประธานของประโยคเปน็ ผกู้ ระทาํ อาการเอง เชน่ Someone killed the snake. The postman will deliver the letters. 3.1.3.2 Passive Voice คอื ประธานเปน็ ผถู้ กู กระทาํ เชน่ The snake was killed. The letters will be delivered by the postman. น้องๆ จะสงั เกตเหน็ วา่ ประโยค Active Voice กบั ประโยค Passive Voice จะมีลกั ษณะใกล้เคียงกนั โดยมีหลกั ง่ายๆ ในการเปลยี่ น Active Voice เป็น Passive Voice ดงั น้ี 1. กลบั เอาประธานในประโยค active ไปเปน็ กรรมของประโยค passive โดยมี by นําหน้า 2. กลบั เอากรรมในประโยค active ไปเปน็ ประธานของประโยค passive 3. ใช้ verb to be ให้ถกู ต้องตามพจน์ และ กาล (tense) 4. กริยาแท้ (finite verb) ของประโยค active เมื่อเอามาใช้ในประโยค passive voice ต้องเปลี่ยนเป็น past participle (กรยิ าชอ่ ง 3) เสมอ 3.2 Non-finite Verbs (คํากริยาไม่แท้) หรือ Verbal เป็นคําท่ีมีรูปจากคํากริยาแต่ไม่ได้ทําหน้าที่คํากริยาแท้ มี 3 รปู คอื 3.2.1 Infinitives เปน็ คาํ กรยิ าทไ่ี มผ่ นั ตามประธาน และทาํ หนา้ ที่ คาํ นาม (noun) คาํ คณุ ศพั ท์ (adjective) และ คาํ วเิ ศษณ์ (adverb) เชน่ We must study to learn. I want to see him. 3.2.2 Gerunds เปน็ คาํ กรยิ าทเตี่ มิ ingและทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ คาํ นาม(noun) เชน่ He stops smoking. They do not appreciate my singing. 3.2.3 Participles คาํ กรยิ าทเ่ี ตมิ ing หรอื กรยิ าชอ่ งที่ 3 ทที่ าํ หนา้ ทเ่ี ปน็ คณุ ศพั ท์ (Adjective) มี 2 รปู แบบ 1. Present Participles เปน็ คาํ กรยิ าทเี่ ตมิ ing เชน่ The crying baby had a wet diaper. I am a working woman. 26 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

2. Past Participles เปน็ คาํ กรยิ าชอ่ งท่ี 3 เชน่ The broken bottle is on the floor. The written lesson is below. 4. แบ่งตามโครงสรา้ งโดยยดึ การเปลย่ี นรปู ของคาํ ไดแ้ ก่ 4.1 Regular Verbs (คาํ กรยิ าปกต)ิ เปน็ คาํ กรยิ าทเี่ ตมิ ed เมอื่ เปน็ past และ past participle เชน่ nfinitive Past Past Participle walk walked walked stop stopped stopped work worked worked 4.2 Irregular Verbs (คาํ กรยิ าอปกต)ิ เปน็ คาํ กรยิ าทม่ี รี ปู past และ past participle ตา่ งไปจากรปู เดมิ หรอื คงรปู เดมิ เชน่ Infinitive Past Past Participle send sent sent go went gone see saw seen 4. Adjective (คำ� คณุ ศัพท)์ คือ คาํ ที่ใชข้ ยายคาํ นาม หรือคําสรรพนาม เพือ่ บอกลักษณะ และคณุ สมบัติของคํานามหรือ คําสรรพนามนัน้ ๆ เพื่มเติมโดย นอ้ งๆ สามารถสงั เกต ลักษณะของคําคณุ ศพั ท์ได้จาก Suffixes ของคํานั้นๆ ได้ดงั นี้ - able loveable, detestable, comfortable, portable, delectable - al royal, special, dental, legal, dual - ant expectant, extant, pleasant, relevant, pursuant - ent decadent, excellent, intelligent, belligerent, reverent - ful beautiful, gleeful, bashful, tasteful, wasteful - ible possible, edible, credible, sensible, defensible - ic spastic, fantastic, terrific, caustic, acidic - ical musical, whimsical, spherical, lyrical, nonsensical - ish oolish, prudish, childish, devilish, garish - ive epulsive, conducive, hyperactive, conclusive, dismissive - less hopeless, timeless, penniless, nameless, painless ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 27

- ous ridiculous, glamorous, spacious, odiferous, fabulous - ular muscular, popular, spectacular, tubular, vehicular - y funny, tasty, grumpy, loopy, gummy เราสามารถแบ่ง adjective ออกเปน็ 8 ประเภท คือ 1. Descriptive Adjectives คือ คําคุณศัพท์ท่ีใช้บอกลักษณะและคุณสมบัติต่างๆ ของคํานามว่ามีลัษณะอย่างไร แบ่งออกเปน็ 3 อยา่ งคอื - บอกคุณภาพ เช่น good, delicious, generous, deep เชน่ He is an honest boy. A clever girl can answer all questions. - บอกขนาดและอายุ เชน่ big, tall, young, old เชน่ Bangkok is a large city. The young people are strong. - บอกสี เชน่ pink, brown, yellow เชน่ That blue car is expensive. I have two brown cats. 2. Demonstrative Adjectives คอื คําคณุ ศพั ทท์ ่รี ะบุ เจาะจง ว่าเป็นคาํ นามอันไหน สิ่งไหน หรือ คนไหน ไดแ้ ก่ This = น้ี (ใช้กบั คาํ นามเอกพจน)์ These = เหลา่ นี้ (ใชก้ ับคํานามพหูพจน์) That = นนั้ (ใช้กับคํานามเอกพจน)์ Those = เหลา่ น้นั (ใช้กับคํานามพหูพจน)์ Such = สงิ่ นัน้ / สิง่ เหล่านนั้ เชน่ That man is very strong. I don’t like such things. 3. Distributive Adjectives คือ คําคณุ ศพั ท์ทใ่ี ช้ในการแยกนามต่างๆ ออกจากกัน ไดแ้ ก่ Each = แต่ละ Every = ทกุ ๆ Either...(or) = ไม่อนั ใดกอ็ ันหนึ่ง Neither...(nor) = ไม่ทั้งสอง เชน่ Every boy in this school loves playing football. Neither Jim nor Joe can drive a plane. 4. Interrogative Adjectives คือ คณุ ศพั ทท์ ใ่ี ชข้ ยายนามเพื่อใหเ้ ปน็ คาํ ถาม ไดแ้ ก่ What = อะไร Which = อนั ไหน สงิ่ ไหน คนไหน Whose = ของใคร เชน่ Which shorts do you want to wear? What book did you read? 28 ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

5. Proper Adjectives คือ คุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ือบอกสัญชาติ โดยนําคํานามท่ีเป็นชื่อ ประเทศมาทําให้เป็น คาํ คณุ ศพั ท์ สว่ นใหญ่มักจะลงทา้ ยด้วย –ese, -an และ –i ดังนี้ China = Chinese Canada = Canadian เชน่ I like Chinese food. 6. Numeral Adjectives คอื คําคณุ ศพั ท์ทีใ่ ช้ในการบอกจํานวนของคาํ นามทนี่ ับได้ โดย สามารถแบง่ ออกได้ 2 ชนิด คือ 6.1 บอกจาํ นวนทแ่ี นน่ อนของคาํ นาม (Definite Numeral Adjective) โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื 6.1.1 ประเภทจาํ นวนนบั (Cardinals) ไดแ้ ก่ one, two, three, four, five, etc. เชน่ I have two cats and three dogs. She has two sisters and four brothers. 6.1.2 ประเภทลาํ ดบั ท่ี (Ordinals) ไดแ้ ก่ first, second, third, fourth, fifth, etc. เชน่ They are the first group on this location. He gets the second price of the photography contest. 6.1.3 ประเภทจาํ นวนเทา่ (Multiplicatives) ไดแ้ ก่ single, double, triple, fourfold, fivefold, etc. เชน่ The rice production is double because the weather is good. Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems. 6.2 บอกจาํ นวนทไ่ี มแ่ นน่ อนของคาํ นาม (Indefinite Numeral Adjective) คอื คาํ คณุ ศพั ท์ ทบ่ี อกจาํ นวน ของคาํ นามออกมาเปน็ ตวั เลขไมไ่ ด้ ไดแ้ ก่ all, few, no, some, many, any, certain, a lot of, etc. เชน่ Many books are on the table. There are a lot of tomatoes in the kitchen. 7. Possessive Adjectives คือ คาํ คณุ ศัพทท์ ีใ่ ช้ขยายคํานามเพื่อแสดงความเป็นเจา้ ของ ได้แก่ I = my  We = our You = your He = his She = her It = its They = their เช่น Their parents work hard every day. My house is between the market and the school. 8. Quantitative Adjectives คือ คาํ คณุ ศพั ทท์ ่ขี ยายนามท่นี บั ไมไ่ ด้ เพือ่ บอกใหท้ ราบ ปรมิ าณของสิ่งเหล่านน้ั วา่ มมี าก หรอื น้อย (เพ่ือตอบคาํ ถาม How much) ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficient, etc. เชน่ Jane did not give any money to her younger brother.  We need some food and water. ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 29

ต�ำแหน่งของคำ� คณุ ศัพท์ 1. เรียงไวห้ นา้ คํานามที่คณุ ศัพทน์ ัน้ ไปขยายโดยตรงได้ เชน่ The thin man can run very quickly. 2. เรียงไว้หลงั Verb to be หรือ linking verb ก็ได้ เช่น I'm feeling a bit hungry. 3. เรียงหลังคาํ นามทีไ่ ปทําหนา้ ท่เี ป็นกรรม (Object) เนือ้ ความของกรรมนัน้ ให้สมบรณู ข์ ึ้น ได้ ทัง้ นี้เพอื่ ชว่ ยขยาย เชน่ I consider that man mad.  4. วางไวห้ ลังคาํ นาม หน้าบุพบท (ในกรณีที่มบี ุพบทตามหลงั คาํ นาม) เชน่ She is a person suitable for the job. น้องๆสังเกตไหมวา่ ประเภทของ Pronoun กับ Adjective จะมลี ักษณะคลา้ ยคลึงกนั แต่ วิธกี ารใช้ตา่ งกัน โดยน้องๆ สามารถสงั เกตไดจ้ าก คํานาม (Noun) ซึ่งถ้ามีคาํ นามตามหลังเมือ่ ไหร่ ให้น้องๆ คดิ ไว้เลยว่าเปน็ คําคุณศพั ท์ (adjective) เช่น What did you see? = สรรพนาม (Pronoun) เพราะไม่มีคาํ นามตามหลัง What book do you read? = คุณศัพท์ (Adjective) เพราะมคี าํ นามตามหลัง ระวัง!!! คาํ บางคาํ ไม่ใชค่ าํ คณุ ศพั ท์ แตน่ ํามาใช้เสมือนคําคณุ ศัพท์ เราเรียกมนั วา่ Adjective - Equivalent ไดแ้ ก่ 1. คํานามท่ใี ชแ้ สดงความเปน็ เจา้ ของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใชค้ วบนน้ั นํามาใช้เปน็ Adjective ขยายนามได้ และใหเ้ รียงไว้หน้านามตัวน้ัน เชน่ John's house was built in Denver five years ago. 2. Infinitive (to + V.1) นาํ มาใชเ้ ปน็ คุณศัพทข์ ยายนามหรอื สรรพนามได้ แต่วางไวห้ ลังนามท่ี ไปขยาย เชน่ This book is good for you to read. 3. Participle นาํ มาใชเ้ ป็นคณุ ศพั ทข์ ยายนามได้ และให้วางไว้หนา้ นามทไี่ ปขยายทุกครงั้ เช่น The standing boy is afraid of the running dog. 4. Gerund (กริยานาม คอื Verb เตมิ ing แลว้ นํามาใชอ้ ย่างนาม) นาํ มาใช้เป็น Adjective ขยายนามไดแ้ ละวางไว้ หนา้ นามนั้น เชน่ Now he is waiting for you in the meeting room. 5. Phrase (วลที กุ ชนิด) นํามาใชเ้ ปน็ Adjective ขยายนามหรอื สรรพนามได้ สว่ นตาํ แหน่ง วางของวลคี ณุ ศพั ทน์ ัน้ อยหู่ นา้ นามก็มี อยู่หลงั นามกม็ ี เช่น The man in this room is our guest. 6. Subordinate Clause (อนปุ ระโยค) นาํ มาใชเ้ ปน็ Adjective ขยายนามได้ และใหว้ างไว้ หลงั นามทไ่ี ปขยายทกุ ครงั้ เช่น This is the house that Tim built. การเปรยี บเทียบคำ� คุณศพั ท์ (Degree of comparison) แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ดังตอ่ ไปนี้ 1. การเปรยี บเทยี บขน้ั เทา่ กนั (Positive degree) คอื การเปรยี บเทยี บของคาํ นาม 2 สง่ิ ทมี่ ลี กั ษณะ หรอื คณุ สมบตั เิ ทา่ กนั เชน่ Nam is as beautiful as Fern. Bank is as tall as Tan. 2. การเปรียบเทียบข้ันกว่า (Comparative degree) คือ การเปรียบเทียบของคํานาม 2 สิ่งเพื่อแสดงให้เห็นถึง ลักษณะหรือคุณสมบตั ิของคํานามสง่ิ ใดส่ิงหนึง่ ว่ามีมากกวา่ หรือ ดกี วา่ อีกสงิ่ หนึง่ เช่น This man is stronger than that man. 30 ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

The plane is more comfortable than the train. 3. การเปรยี บเทียบขน้ั สูงสุด (Superlative degree) คอื การเปรียบเทียบทาํ นามที่มีมากกวา่ 2 ส่งิ ข้นึ ไป เพือ่ แสดงให้ เห็นถงึ ลักษณะ หรือคณุ สมบตั ิของคํานามว่าดีท่ีสดุ เช่น He is the tallest boy in the class. Sunee is the most beautiful woman in Chiang Mai. หลักในการเปลย่ี นรปู adjective เมอื่ ใช้เปรียบเทียบขน้ั กวา่ และขน้ั สุด มีหลักดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ถา้ เป็น adjective พยางคเ์ ดียว ใหเ้ ติม –er, -est ในขนั้ กวา่ และขน้ั สุดตามลําดบั เชน่ tall taller tallest small smaller smallest deep deeper deepest 2. ถ้า adjective 2 พยางค์ ใช้ไดส้ องแบบ คือ เติม –er, est หรอื more, most เช่น quiet quieter quietest lucky luckier luckiest joyful more joyful most joyful pleasant more pleasant most pleasant 3. adjective ที่มี 3 พยางค์หรอื มากกวา่ ใช้ more, most ได้เลย เชน่ bearable more bearable most bearable difficult more difficult most difficult talkative more talkative most talkative 4. มบี างตัวไม่เป็นไปตามกฎนะจ๊ะ เช่น good better best bad worse worst far farther (further) farthest (furthest) TIP : เลก็ ๆ ทนี่ อ้ งๆ ควรจา ถา้ ในประโยคมคี าํ คณุ ศพั ท์ (adjective) มากกวา่ 2 ตวั ขนึ้ ไป นอ้ งๆ จะตอ้ งเรยี งลาํ ดบั adjective ให้ถกู ตอ้ ง ดังตารางตอ่ ไปน้ี ลาํ ดับการวาง Adjective ขยายหนา้ คำ� นาม Article คำ� ช ้ี ลำ� ดับท่ ี จำ� นวน คำ� อธบิ ายลักษณะ เฉพาะแสดง คณุ ภาพลกั ษณะ รูปร่าง อาย ุ สี สัญชาต ิ ค�ำประกอบ ค�ำนาม เจา้ ของ ขนาด ท่มี า ค�ำนาม A - - beautiful - old - Italian - shirt An - - expensive - antique - - - chair The - four gorgeous long - red - - roses Her - - - short - black - - hair ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 31

ลาํ ดบั การวาง Adjective ขยายหนา้ ค�ำนาม Article คำ� ช ี้ ลำ� ดับท ่ี จำ� นวน คำ� อธบิ ายลกั ษณะ เฉพาะแสดง คณุ ภาพลักษณะ รูปรา่ ง อายุ ส ี สญั ชาต ิ ค�ำประกอบ ค�ำนาม เจ้าของ ขนาด ท่ีมา คำ� นาม Our - two - big old - English - guns - - Some delicious - - - Thai - food - - Many modern small - - - - houses John's only one - - old black Italian sport car 5. Adverb (คำ� วเิ ศษณ์) คอื คํากริยาวเิ ศษณท์ ี่ทําหน้าที่ขยายคาํ กรยิ า (verb) ขยายคําคุณศพั ท์ (adjective) ขยาย คํากริยาวิเศษณ์ (adverb) ขยายวลี (phrase) และขยายประโยค (sentence) เพือ่ ใหไ้ ดค้ วามหมาย ชดั เจน สมบูรณย์ ง่ิ ข้นึ เชน่ He works hard every day. (hard ขยายคาํ กริยา work) It is surprisingly hot today. (surprisingly ขยายคําคณุ ศัพท์ hot) The train travels very quickly. (very ขยายคาํ กริยาวเิ ศษณ์ quickly) They lived nearly on the top of the hill. (nearly ขยายวลี on the top of the hill) However, I was successful in the examination (however ขยายประโยคท่ีตามมา) เราสามารถแบง่ adverb ออกเปน็ 8 ประเภท ดังนี้ 1. Adverbs of Degree คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณท์ ข่ี ยาย adjective หรอื adverb ดว้ ยกนั เองเพอื่ บอกระดบั หรอื ปรมิ าณ ความมากนอ้ ย คาํ ทพ่ี บบ่อยๆ ได้แก่ absolutely certainly definitely probably entirely obviously very almost nearly quite just too enough hardly completely very extremely exactly scarcely so much quite perhaps probably rather fairly only slightly เชน่ The water was extremely cold. It was almost dark. • ต�ำแหน่งของ Adverbs of Degree คือ 1. วางไว้หลงั กริยาชว่ ย (auxiliary verb) เชน่ It will probably rain. He is definitely older than her. 32 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

2. วางไว้ระหว่างกรยิ าชว่ ย (auxiliary verb) และกริยาหลกั (main verb) เชน่ I have just finished homework. . 3.วางไวห้ นา้ กรยิ าแท้ เชน่ I certainly feel better today. She probably thinks you love her. 2. Adverbs of Time คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณท์ บี่ อกวา่ การกระทาํ นน้ั เกดิ เมอ่ื ใด (when) เปน็ เวลานานแคไ่ หน (for how long) และบอ่ ยแคไ่ หน (howoften) เชน่ When : today, yesterday, later, now, last year, after, soon, before, sometime, immediately, recently, early For how long : all day, not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from......to, till, until How often : sometimes, frequently, never, often, always, monthly • ต�ำแหนง่ ของ Adverbs of time คือ 1. Adverb ทบ่ี อกวา่ เกดิ เมอ่ื ใด (When) สว่ นมากจะนยิ มวางไว้ท้ายประโยค เช่น I 'm going to tidy my room tomorrow. 2. Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once,และ then ทสี่ ามารถ วางไวก้ ลางประโยคได้ เช่น It is now time to leave. 3. Adverb ทบี่ อกวา่ เป็นเวลานานแคไ่ หน (for how long) สว่ นมากวางไว้ท้าย ประโยค เชน่ I lived in Australia for a year. 4. Adverb ทบ่ี อกว่าบ่อยแคไ่ หน (how often) เปน็ การแสดงความถข่ี องการกระทาํ ส่วนมากวางหน้า กรยิ าหลัก (main verb) แต่หลงั กรยิ าชว่ ย (auxiliary verbs) ได้แก่ be, have, may, must เชน่ I often eat vegetarian food. 5. Adverb ทบ่ี อกว่าบ่อยแคไ่ หนซึ่งระบจุ ํานวนเวลาของการกระทาํ ท่แี นน่ อนสว่ นมากจะวาง ท้ายประโยค เชน่ This magazine is published monthly. 6. Adverbs ทส่ี ามารถวางทา้ ยประโยค หรือวางหนา้ กรยิ าหลักเช่น frequently, generally, normally, occasionally, often, regularly, sometimes, usually เชน่ She regularly visits France. 3. Adverbs of Manner เปน็ adverb ทบี่ อกวา่ การกระทาํ นน้ั ไดก้ ระทาํ ในลกั ษณะอาการ อยา่ งไร (How) สว่ นมากจะเปน็ adverb ทล่ี งทา้ ยคาํ ดว้ ย -ly เชน่ actively any how aggressively loudly carefully distinctly easily equally fast gladly greedily intentionally quickly promptly simply quietly still sincerely together suddenly wisely well ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 33

• ตำ� แหน่งของ Adverbs of Manner คอื 1. ถา้ ประโยคไม่มีกรรมใหว้ างหลังกรยิ า เช่น They walk slowly. 2. ถ้าประโยคนน้ั มีกรรม ให้วางหลงั กรรม เช่น I can speak Japanese well.  3. Adverb of Manner ท่ลี งท้ายด้วย -ly หรือเปน็ คําท่ีแสดงความเหน็ ของผพู้ ูด เกยี่ วกับการกระทํา นยิ มวางไวห้ ลงั ประธาน เช่น I hardly had any time to talk to him. 4. Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หนา้ ประโยคได้เม่ือตอ้ งการเนน้ Adverb น้นั เช่น Patiently, we waited for the show to begin. 5. ประโยคอทุ านทขี่ ้นึ ตน้ ด้วย How ใหว้ าง Adverbs of Manner ไวห้ ลงั How เช่น How quickly the time passes! 6. ในประโยค passive voice ถา้ มี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หนา้ กริยาช่อง 3 เสมอ เช่น The report was well written. รายงานนน้ั ไดม้ ีการเขยี นเปน็ อย่างดี 7. Adverb of Manner ทเ่ี ปน็ phrases และ clauses ปกติวางท้ายประโยค เช่น We arrived on foot. ***แตใ่ นกรณีทต่ี ้องการเนน้ สามารถนาํ มาไวห้ นา้ ประโยคได้ เช่น As quickly as we could, we finished the work. 4. Adverb of Place คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณท์ บ่ี อกวา่ การกระทาํ นน้ั เกดิ ขนึ้ ทไ่ี หน (Where) คาํ ท่ี ใชบ้ อ่ ย เชน่ upstairs downstairs outside inside outdoors Indoors here there somewhere nowhere everywhere anywhere elsewhere southwards backwards • ต�ำแหน่งของ Adverb of Place คอื 1. วางไว้ตน้ ประโยคเพอื่ เนน้ สถานท่ี inside, there, anywhere เชน่ At the end of the garden, there was a big tree. 2. วางไวห้ ลังกริยาหลกั ของประโยค เช่น Please come in. 3. วางไวท้ ้ายประโยค (หลังกรรม) เช่น You'll find these flowers everywhere. 5. Conjunctive Adverbs คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณท์ ท่ี าํ หนา้ ทเ่ี ปน็ คาํ เชอ่ื มอนปุ ระโยค (independent clause )ในประโยค โดยมขี อ้ ความของอนปุ ระโยคหนา้ และอนปุ ระโยคหลงั เชอื่ มโยงกนั คาํ ทพ่ี บบอ่ ยๆ มดี งั น้ี accordingly also anyway besides certainly consequently further furthermore hence however incidentally indeed meanwhile moreover namely nevertheless next nonetheless similarly still 34 ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

then thereafter thereforethus finally likewise otherwise finally instead now undoubtedly so again in fact for example on the contrary การใช้ Conjunctive Adverbs ในการเชื่อมอนุประโยคจะตอ้ งใช้ semi colon ( ; ) ในการ เช่อื มประโยค และคาํ Conjunctive Adverbs ต้องมี comma ( , ) ตาม ยกเว้น so และ otherwise ไม่ตอ้ งมี comma เชน่ Jim went to school; however, he didn't attend classes. You will need to focus on the goal; otherwise it is easy to get distracted. 6. Interrogative Adverbs เปน็ กรยิ าวเิ ศษณน์ าํ ในประโยคคาํ ถาม ไดแ้ กค่ าํ ดงั ตอ่ ไปนี้ why, where, how, when  เช่น Why are you so late? Where is my passport? How much is that coat? When does the train arrive? TIP : เลก็ ๆ ทนี่ ้องๆ ควรรู้ how สามารถใชไ้ ด้ 4 วิธี 1. ในความหมาย 'ทาํ อย่างไร (in what way) เชน่ How did you make this sauce? 2. ใชก้ ับ adjectives เชน่ How tall are you? 3. ใชก้ ับ much และ many เชน่ How many people are coming to the party? 4. ใชก้ บั adverbs ตวั อนื่ ๆ เชน่ How quickly can you read this? How often do you go to London? 7. Relative Adverbs คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณน์ าํ หนา้ relative clause ไดแ้ กค่ าํ when, where, why แทนคาํ preposition + which เชน่ I remember the day when we first met. = I remember the day on which we first met. (when = on + which) That's the restaurant where we had dinner last night. = That’s the restaurant at which we had dinner last night. (where= at/in + which) The reason why he refused is unconvincing. The reason for which he refused is unconvincing. (why= for + which) ** ข้อควรระวัง!! การใช้ Relative Adverb (when, where and why) แทน Preposition + which จะต้องตาม ด้วย Clasue (Subject + Verb) เสมอ 8. Adverbs Phrases (clauses of purpose) คอื คาํ กรยิ าวเิ ศษณท์ ตี่ อบคาํ ถาม \"Why\" ในรปู ของวลหี รอื อนปุ ระโยค เช่น I went to the store yesterday to buy some sugar. ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 35

I need to buy a new shirt because my old one is worn out. ** นอ้ งๆ สามารถจะนาํ วลหี รอื อนปุ ระโยคนนั้ วางหนา้ ประโยคได้ โดยนอ้ งๆ จะตอ้ งใส่ comma ตามหลงั Clause เสมอ เช่น Because it was such a beautiful day, I decided to go for a walk. • หลกั การสรา้ ง Adverb งา่ ยๆ ทีน่ อ้ งๆ สามารถสร้างเองไดม้ ีทัง้ หมด 5 วธิ ี คอื 1. Adverb สว่ นมากเกดิ จากคาํ การเตมิ –ly ท้าย adjective เชน่ careful ----> carefully quick ----> quickly โดยหลกั การเตมิ –ly มีดงั น้ี 1.1.คําที่ลงท้ายดว้ ย –e ให้เตมิ –ly ได้เลย เชน่ extreme ---> extremely ยกเว้น คําเหลา่ นท้ี ่เี ปล่ยี นท้งั รปู ไดแ้ ก่ true ---> truly due ---> duly  whole ---> wholly 1.2. คําท่ลี งท้ายด้วย –le (-able, -ible) ใหต้ ดั e แลว้ เติม y เช่น comfortable ---> comfortably 1.3. คําทล่ี งทา้ ยดว้ ย –y เปล่ยี น –y เปน็ –i และเตมิ –ly เช่น happy ---> happily 1.4. คาํ ที่ลงท้ายด้วย ( สระ+l ) ใหเ้ ติม –ly เชน่ beautiful ---> beautifully 1.5. นอกจากกฎเกณฑ์ที่ลงท้ายตามข้อ 1-2 แล้ว เม่ือต้องการให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ให้เติม ly ไปไดเ้ ลย ไม่ต้องลังเล 2. Adverb บางคาํ ขึน้ ตน้ ด้วย a- เชน่ a+go = ago a + broad = abroad a+new = anew a+part = apart a+side = aside 3. Adverb บางชนดิ เตมิ –wise หรือ –ward เช่น forwards, backwards 4. Adverb บางตวั มรี ปู ของตนเองมาโดยกาํ เนดิ ไดแ้ ก่ here, there, hard, always, well, often, too, very, early, seldom, etc. 5. Adverb บางคําเป็นรปู เดียวกบั Adjective ระวงั !!! โดนหลอกนะนอ้ งๆ daily (รายวัน,ต่อวนั ) early (ตอนต้น, เช้า) far (ไกล) high (สงู ) late (ชา้ ) ittle (นอ้ ย) monthly (รายเดอื น) much (มาก) near (ใกล้) straight (ตรง) weekly (รายสัปดาห์) yearly (รายป)ี 36 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

6. Preposition (บุพบท) คือ คาํ ทใี่ ชแ้ สดงความเกีย่ วขอ้ ง หรอื ความสัมพันธ์ของคาํ นาม (noun) คาํ สรรพนาม (pronoun) กบั คาํ อืน่ ๆ ในประโยค เพอ่ื บอกสถานที่ ตําแหน่ง การเคลือ่ นไหว ทศิ ทาง และเวลา หนา้ ทหี่ ลักๆ ของคําบุพบท มีดังนีค้ ือ 1. คาํ กริยา (verb) คํานาม (noun) 2. คาํ คุณศพั ท์ (adjective) + คําบุพบท + (preposition) คําสรรพนาม (pronoun) 3.คาํ นาม (noun) กริยาเตมิ -ing วลหี รือประโยค เชน่ Write you name in a book. (บุพบท in เช่อื ม noun กบั noun) There is no milk in it. (บุพบท in เช่ือม noun กับ pronoun) He is fond of chocolate. (บุพบท of เชือ่ ม adject กับ noun) They stand under the tree. (บพุ บท under เชื่อม verb กบั noun) ชนิดของค�ำบพุ บท เราสามารถแบง่ คําบุพบทออกเป็น 4 ชนดิ คือ 1. Simple preposition คอื บพุ บททเ่ี ปน็ คาํ เดยี วโดดๆ เชน่ in (ใน) on (บน) at (ท)ี่ for (เพอื่ ) by (โดย) with (ดว้ ย) till (จนกระทง่ั ) from (จาก) of (ของ) 2. Compound preposition คอื บพุ บททเี่ กดิ จากการผสมคาํ ซงึ่ a- จะมคี วามหมายเทา่ กบั on และ be- จะมคี วามหมายเทา่ กบั by เชน่ about (เกยี่ วกบั ) above (ขา้ งบน) among (ทา่ มกลาง) besides (ดา้ นขา้ ง) between (ระหวา่ ง) behind (ขา้ งหลงั ) except (ยกเวน้ ) inside (ขา้ งใน) outside (ขา้ งนอก) 3. Participial preposition คอื คาํ บพุ บททมี่ รี ปู มาจากคาํ กรยิ าทเ่ี ตมิ –ing เชน่ considering (เมอื่ พจิ ารณาถงึ ) concerning (เกย่ี วกบั ) regarding (เกยี่ วกบั ) touching (เกยี่ วเนอ่ื งกบั ) 4. Phrase preposition (บพุ บทวล)ี คอื กลมุ่ คาํ ทที่ าํ หนา้ ทค่ี ลา้ ยบพุ บทคาํ เดยี ว เชน่ according to (เนอื่ งจาก) along with (พรอ้ มๆ กบั ) because of (เนอ่ื งจาก) in addition to (นอกจากน)้ี in order to (เพอื่ ทจี่ ะ) in spite of (แทนทจ่ี ะ) ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 37

in the event of (ในกรณ)ี on account of (เนอื่ งมาจาก) owing to (เนอ่ื งจาก) with reference to (อา้ งถงึ ) ประเภทของคำ� บุพบท เราสามารถแบง่ Preposition ออกเป็น 6 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. Preposition of Place คอื คาํ บพุ บทแสดงสถานที่ ไดแ้ ก่ at, on, in 1.1 at = ท่ี 1.1.1 ใช้บอกตําแหน่ง บริเวณ หรือจุดย่อยของสถานท่ี หรือหมายถึง สถานที่ในเหตุการณ์หนึ่งท่ีกล่าว ถึง ได้แก่ at home at the hospital at school at the theater at my desk at the party 1.1.2 ใช้ at กับบ้านเลขท่ี , หมู่บ้าน , ตําบล เชน่ His house is at 48 Ladprao Road. 1.1.3 ใช้ at + place on a journey ( สถานที่ตามเสน้ ทางของการเดินทาง) เช่น This train stops at Lopburi. 1.1.4 นอกจากนยี้ ังมีการใช้ at ในรูปวลตี ่อไปนี้ at the top of ...... (ท่ีจุดสูงสุดของ......) at the bottom of ...... (ทจ่ี ดุ ต่าํ สดุ ของ......) at the corner (of)...... (ท่ีตรงมุมของ / บรเิ วณมมุ ของ.........) เชน่ Gostraight on the street, then turn left at the coner. 1.2 on = บน 1.2.1 ใชก้ บั สงิ่ ที่อยูบ่ นพืน้ ผิว (on a surface) ของวัตถหุ รอื สถานท่ตี า่ งๆ เชน่ on the table (บนโตะ๊ ) on the wall (บนผนงั ) on the book (บนหนงั สอื ) on the chair (บนเก้าอ้ี) 1.2.2 ใชก้ ับชื่อถนน เชน่ His office is on Silom Road. 1.2.3 on + floor (ช้ันของอาคาร) เช่น on the first floor (ช้นั ท่ี 1) on the second floor (ช้นั ที่ 2) on the third floor (ชัน้ ท่ี 3) 1.2.4 สํานวนทค่ี วรทราบ เชน่ on the beach (บนชายหาด) on the right / left (ทางขวามอื / ทางซา้ ยมอื ) on page (ท่หี นา้ ) on the platform (ท่ีชานชาลาสถานีรถไฟ) on the bank of ...... (บนฝ่งั / ตลิง่ ของ + ชอื่ แม่น้าํ , ลําคลอง) 1.3 in = ใน 1.3.1 ใช้ in เมื่อเราพดู ถึงภายในสถานทน่ี ั้น โดยมีอยา่ งนอ้ ย 3 ดา้ น ลอ้ มรอบสิ่งนัน้ อยู่ 38 ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เช่น in a jug (ในเหยอื ก) in the cage (ในกรง) in the basket (ในตะกรา้ ) in the box (ในกลอ่ ง) 1.3.2 ใช้กบั ทิศทาง เช่น in the north (ทางทิศเหนือ) in the south (ทางทศิ ใต)้ in the east (ทางทิศตะวันออก) in the west (ทางทิศตะวันตก) 1.3.3 ใชก้ ับสถานที่ใหญๆ่ ไดแ้ ก่ เมอื ง จังหวัด รฐั ประเทศ ทวีป เช่น in Bangkok in London in America in Asia 1.3.4 สํานวนทใี่ ชก้ ับบุพบท in เชน่ in front of (ขา้ งหน้า) in the county (ในชนบท) in the middle of (ตรงกลางของ) in bed (อยู่บนเตียง) 2. Preposition Location คอื คาํ บุพบทแสดงตาํ แหน่ง เชน่  above (ขา้ งบน / เหนอื ) across from (อกี ฝ่งั หนงึ่ ของ) at the top of (ด้านบนสดุ ของ) at the bottom of (ด้านล่างสุดของ) at the back of (ดา้ นหลงั ) behind/in back of (ข้างหลงั ) beside (ขา้ งๆ) between (ระหว่าง) by (ข้างๆ / ใกล้ / ถดั จาก) in front of (ข้างหน้า) in the middle of (ตรงกลาง) near (ใกล้) next to (ถดั จาก / ติดกบั ) on top of (บน / ด้านบนของ) opposite (ตรงข้าม) underneath (ขา้ งใต้ / ขา้ งลา่ ง) เช่น The light is above the desk. She lives in the room across from mine. I put your name at the top of the list. The big mango tree by the river was blown down last week. I found the key I had lost underneath the newspaper. 3. Preposition of Direction คอื คาํ บุพบทแสดงทศิ ทาง เช่น across (ตรงขา้ ม) along (ตาม) up (ขึน้ ) away from (จาก) down (ลง) to (ถึง) from (จาก) เชน่ Many people live along both sides of the river. My daughter ran quickly into the house and went up the stairs. The loud noise was coming from that room. 4. Preposition of Time คอื คาํ บุพบทแสดงเวลา 4.1 at = ที่ 4.1.1 “at” ใชก้ บั เวลาตามนาฬิกาและในสํานวน เช่น at dawn at noon at midday ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 39

at night at midnight at bedtime at lunchtime at sunrise at sunset at the moment at present at the same time เช่น The appointment is at 10:30. Jane works best at night. I'll see you at lunchtime. We finished the test at the same time. 4.1.2 “at” ใชก้ บั วนั หยุดสดุ สัปดาห์ (weekend) และเทศกาล (festival) ตา่ งๆ เม่อื ต้องการกล่าวถึงช่วงเวลา นนั้ ตลอดทั้งช่วง เช่น Did you have fun at the weekend? What are you doing at Christmas?  4.2 “in” ใชก้ บั เดอื น ปี ทศวรรษ ศตวรรษ ฤดกู าล และสาํ นวนเกยี่ วกบั เวลาของวนั เชน่ I started work at STOU in 1985. There was an economic crash in the 1990s. Columbus went to America in the fifteenth century. In winter, it often snows in England. ** สงั เกตสักนดิ !! เม่ือกล่าวถึงฤดูกาลเป็นการเฉพาะ (อาจหมายถึงช่วงเวลาใดเวลาหน่ึงในฤดูน้ัน) ไม่ใช่กล่าวท่ัวๆไปจะ ใช้ the นาํ หนา้ ดว้ ย เช่น We went to the Temple of the Emerald Buddha in the afternoon. I had a horrible dream in the night. What would you like to do in the future? 4.3 “on” ใชก้ บั วนั ตา่ งๆ ของสปั ดาห์ วนั ท่ี และเทศกาล เชน่ Annie's baby was born on Monday. His birthday is on March 5. There's a party at Ann's house on Christmas Day. ** สังเกตสกั นิด!! การใช้ Preposition “On” กับเทศกาล จะกล่าวถึงช่วงวันใดวันหน่ึงเป็นการ เฉพาะในระหว่างเทศกาล หนง่ึ ๆ เท่านัน้ เชน่ There's a party at Ann's house on Christmas Day. Do you have any celebration on Easter Sunday? *** ข้อควรจํา!!! เราจะไมใ่ ช้คําบุพบทบอกเวลา in, on, at กับคําวา่ today, tomorrow, yesterday และสาํ นวนบอกเวลาท่ี ขน้ึ ตน้ ดว้ ยคาํ บางคาํ เชน่ last, next, every, this เปน็ ตน้ เชน่ Do you have any meetings today? What did you do last night? TIP : เลก็ ๆ ท่นี อ้ งๆ ควรจาํ --- สํานวนทีใ่ ชก้ ันโดยท่วั ไปอกี สองสํานวนคอื “in time” และ “on time” จะมีความหมาย แตกตา่ งกนั คอื “in time” หมายถงึ ทนั เวลา (กอ่ นเวลา กอ่ นกาํ หนด) “on time” จะหมายถงึ ตรงเวลาพอดี 40 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

4.4 before (กอ่ น) เช่น We got there before anyone else. Have you met David before? 4.5 after (ภายหลงั หลงั จาก) เช่น I'll be home after dinner. It is a quarter after ten o'clock. Can you come and see me again the day after tomorrow? 4.6 during (ระหวา่ ง ในระหวา่ ง) เชน่ I'll be really busy during the week. I always wake up during the night. The lights went out during the big storm. 4.7 by (ภายใน ไมภ่ ายหลงั จาก / ไมช่ า้ กวา่ = no later than) เชน่ You must be in the office by 8 : 30 a.m. The building will be completed by May. Mr. Johnson should receive a reply to his letter by Tuesday. By the time I finished one chore, my wife had thought up two more. 5. Preposition of Manner คือ คาํ บุพบทแสดงลกั ษณะ เชน่ in (ดว้ ย) by (โดย) with (ด้วย) without (ปราศจาก) เชน่ He spoke in a low voice. John is the man with gray hair and eyeglasses standing over there. Our friends drove by without even waving. 6. Preposition of Relationship คอื คําบพุ บทแสดงความสัมพันธ์ เช่น for (สาํ หรบั ) from (จาก) of (เนือ่ งจาก) about (เกย่ี วกบั ) with (ดว้ ย) เช่น She was sorry for him when he heard the truth. Judging from Laura's appearance, I would say that she is not happy. Sarah could not think of the answer. You can leave the package with my assistant. 7. Conjunction (คำ� สันธาน) คอื คาํ ทใี่ ชเ้ ชอ่ื มส่วนต่างๆ ของประโยควลี หรอื ประโยคเข้าด้วยกัน เพอ่ื ลดขอ้ ความทซ่ี ํา้ กันของขอ้ ความทีไ่ ม่จาํ เปน็ ออก ซงึ่ สามารถแบง่ มันออกเป็น 3 กลมุ่ หลัก ไดแ้ ก่ 1. Coordinate Conjunction คอื คาํ สันธานท่ใี ชเ้ ชอ่ื ม 2 ประโยคเข้าดว้ ยกนั ในลกั ษณะ เสมอกนั โดยเม่ือแยกแต่ละ ขอ้ ความออกจากกนั แลว้ กย็ งั คงความหมายที่เข้าใจได้ ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 41

1.1 แบบคล้อยตาม เป็นการเช่ือมคํา ข้อความ หรอื ประโยคทม่ี ีเน้อื หาคลอ้ ยตามกันเขา้ ดว้ ยกนั เช่น คําสนั ธาน ความหมาย ตวั อยา่ ง and และ He is tall and handsome 1. As well as และ Tom as well as Jim are the leaders Both...and ทง้ั ...และ she likes to eat both rice and bread 2. Not only...but also ไม่เพยี งแต.่ ... Sara can speak not only English แต่ ยงั ... อกี ด้วย but also French.  3. 4. 1.2 แบบขดั แย้งกัน เป็นการเชือ่ มคาํ ข้อความ หรือประโยคที่มีเนือ้ หาขดั แย้งกนั เขา้ ด้วยกนั เชน่ คําสันธาน ความหมาย ตวั อยา่ ง but แต่ Paul likes football but his wife likes tennis. 1. Yet แมก้ ระน้นั He never worked hard yet he gained all prize While ในขณะท่ ี You like Pepsi while I like Coke. 2. Still แตก่ ระนนั้ The pain was bad, still she didn’t complain. Whereas ในขณะที ่ I like mouse, whereas the others hate it. 3. 4. 5. 1.3 แบบใหเ้ ลอื ก เป็นการเชื่อมคํา ขอ้ ความ หรือประโยคท่มี เี นอื้ หาให้ผูฟ้ ังเลอื กอยา่ งใดอย่างหน่งึ เชน่ คําสันธาน ความหมาย ตวั อยา่ ง 1. Or หรือ Would you like tea or coffee? 2. Or else มิฉะน้ัน The man must breathe, or else he will die. 3. Either...or ไม่ก็ You can take either this book or that one. 4. Neither.... nor ไม่ทงั้ ...และ I like neither red nor blue. 42 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

1.4 แบบเป็นเหตผุ ล เป็นการเช่อื มคํา ขอ้ ความ หรอื ประโยคที่มีเนื้อหาเพ่ือบอกเหตุ-ผลของการกระทาํ เช่น คําสันธาน ความหมาย ตวั อยา่ ง 1. So ดังน้ัน You look tired so you should stop working 2. For เพราะวา่ She is very sad, for she has no money 3. Therefore ดังน้นั He had a toothache; therefore he didn’t go to work. 4. Accordingly ดังน้ัน I was sick; accordingly I didn’t go to school. 2. Subordinating Conjunctions คือ คําสันธานทเี่ ชื่อมประโยค 2 ประโยคเข้าดว้ ยกนั โดยทป่ี ระโยคท้งั สองประโยค จะมคี วามสําคญั ไมเ่ ท่ากัน ประโยคทอี่ ยหู่ ลงั คาํ สันธานชนดิ นจี้ ะเป็นประโยครอง ไม่สามารถแยกไปอย่ตู ามลําพัง ได้ ได้แก่ after (หลงั จาก) although (ถึงแมว้ า่ ) as (เนอ่ื งจาก) as if (ราวกับว่า) as long as (ตราบใด) because (เพราะว่า) before (ก่อน) even though (ถงึ แมว้ า่ ) even if (แม้ว่า) in order that (เพอ่ื วา่ ) once (เมอ่ื ครัง้ ในอดีต) since (เน่ืองจาก) so that (เพ่ือที่จะ) than (กวา่ ) though (แม้ว่า) unless (ถ้า) until (จนกระท่ัง) when (เม่ือ) where (ที่ซ่ึง) while (ท้งั ๆท่)ี whereas (ในขณะที่) wherever (ที่ไหนก็ตาม) whenever (เม่ือไหรก่ ต็ าม) เชน่ He works as if he were a machine. Since the road was slippery, John decided to stop at that motel. He won’t pass the exam unless he studies harder. TIP : เลก็ ๆ ท่ี น้องๆ ควรจาํ !!! สําหรบั Subordinating Conjunctions ที่น้องๆ จะเห็นในข้อสอบ บอ่ ยๆ คอื if ซ่ึงจะปรากฏ ให้เห็นในรูปของ if-clause หรือประโยคสมมติเหตุการณ์ If-clause (ประโยคสมมติเหตุการณ์) แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คอื 1. Zero Condition (Real condition) คือ ประโยคเง่อื นไขหรือประโยคสมมตเิ หตกุ ารณ์ท่ี เป็นจริงตลอดกาล มีโครงสร้างดงั นี้ If + Present simple tense, Present simple tense ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 43

เช่น If water boils, it changes into steam. If you heat water, it boils. 2. First Condition (Possible condition) คอื ประโยคเงอื่ นไขหรือประโยคสมมติเหตกุ ารณท์ อ่ี าจจะเกดิ ขึ้น หรอื ไมเ่ กิดขึ้นก็ไดใ้ นปัจจุบันและอนาคต If + Present simple tense, Future simple tense เช่น If Peter is lazy, he will fail the final examination. 3. Second Condition (Impossible condition) คือ ประโยคเงื่อนไขหรือประโยคสมมติเหตุการณ์ที่เป็นไป ไมไ่ ดห้ รอื ไม่มที างเกดิ ขึ้นจรงิ ในปัจจุบนั และอนาคต If + Past simple tense, would/could/might + V.inf เชน่ If I lived near my office, I would come to work early. If I were you, I would study hard. 4. Third Condition (Unreal condition) คือ ประโยคเงื่อนไขหรือประโยคสมมติเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับ ความเปน็ จริงในอดีต If + Past perfect tense, would/could/might + have + V. 3 เช่น If I had time, I would have finished the work yesterday. If I had known before, I would have come to your party. 3. Correlative Conjunctions (คําสันธานควบ) เป็นคําเชื่อมท่ีมีคําท่ีต้องใช้คู่กันเสมอทําหน้าท่ีเช่นเดียวกับ Coordinating Conjunctions คือ ใช้เช่ือมคําหรือข้อความที่มี ความสําคัญเท่ากันหรือเป็นประเภทเดียวกันเป็น คาํ สันธานท่ใี ช้ควบคู่กัน ได้แก่ both . . . and (ท้ัง...และ) as . . . as (เทา่ กับ) not . . . but (ไมแ่ ต)่ ether . . . or (ไม่.....ก)็ neither . . . nor (ไม่....และ) whether . . . or (หรือไม.่ ....ก็) not only . . . but also (ไม่เพยี งแต.่ ....ยังอกี ด้วย) 44 ตวิ เข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya

เช่น I enjoy both singing and dancing. Neither you nor I understand this notice. น้องๆ พอเข้าใจเรอื่ ง Past of speech กนั แล้วใชไ่ หม ง้นั เรามาทบทวนเนอ้ื หากัน ผา่ นแนวข้อสอบ ท่ีนอ้ งๆ มกั จะ พบบอ่ ยๆ กนั ดกี วา่ น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเตมิ ไดท้ ่ี Tag : สอนศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คํากริยา คําบุพบท คําสันธาน คํานาม คําสรรพนาม คําคุณศัพท์ คํากริยาวิเศษณ์ verb, adjective, adverb, noun, pronoun, conjunction, connector, part of speech • สอนศาสตร์ อังกฤษ ม.6 : Verb http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-1 • 10 : Preposition & Conjunction http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-2 • 08 : Pronoun http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-3 • 09 : Adjective&Adverb http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-4 • ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ตอนท่ี 7 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-5 • ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ตอนท่ี 8 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-6 • Nouns 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-7 ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 45

ตวั อยา่ งแนวข้อสอบ Select the wrong choice. 1. A lot of concretes especially needed for the new housing development schemes will be manufactured locally a. b. c. d. 2. One of my brothers want me to buy a watch for him a. b. c. d. 3. It is not necessary right that senior people should have the authority because they have more experience. a. b. c. d. 4. Because the residents had worked so diligent to renovate the old building, the manager had a party. a. b. c. d. 5. Although I followed the instructions carefully, but I still could not find out how to operate the machine. a. b. c. d. 6. I am interested on fashion and I really want to be a designer. a. b. c. d. 7. The deepest known cave in world extends to a deep of 3723 feet and has been formed by an underground stream. a. b. c. d. 8. If I were a boy, I will go to the party every week. a. b. c. d. 9. David thinks that he had better don’t quit his job until he finds another one. a. b. c. d. 10. Right now Somchai can smell something burn in the kitchen. a. b. c. d. 11. Now he is very angry with me because I let him to wait for me for so long. a. b. c. d. เฉลย 1. เฉลยขอ้ a. ในเร่อื งnoun (คาํ นาม)จํากนั ได้รึเปลา่ วา่ มันมที งั้ คาํ นามนบั ไดแ้ ละนับไมไ่ ดซ้ ่งึ คาํ ว่า concrete เป็นคาํ นามนบั ไมไ่ ด้ เรา 46 ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

จึงจะไม่ใส่ s ให้ เพราะฉะนน้ั ขอ้ นเ้ี ลยผดิ สว่ นข้อ b ถกู ต้องแล้ว เพราะไม่ใช่ verb แท้ แต่ลดรปู มาจาก(Which is) needed ใน ขอ้ c. กถ็ กู ตอ้ งแลว้ เชน่ กนั เพราะ housing เปน็ adjective มาขยายคาํ นามทต่ี ามมาขา้ งหลงั คือ development schemes และ ข้อ d. ซึ่งกเ็ ปน็ ข้อถกู อีกน่ันแหละ เพราะ will be manufactured เปน็ verb แทข้ องประโยค ซ่งึ อยูใ่ นรปู ของ passive voice หรอื ประธานเป็นผ้ถู ูกกระทํา เอา v. to be + v ช่อง 3 2. เฉลยขอ้ b. เร่ือง verb สังเกตดๆี ว่าประธานของประโยคไม่ใช่ brothers แตเ่ ป็น one of (หนึง่ ใน พช่ี ายหลายคนของฉนั ) เพราะ ฉะน้นั หน่งึ ใน = ประธานคนเดียว กริยาทตี่ ามมาตอ้ งเตมิ s ขอ้ b. จงึ ผดิ เพราะ want ไม่ยอมเติม s นั่นเองสว่ นขอ้ a. นน้ั ถกู ตอ้ งตามโครงสรา้ งของ one of + plural noun ขอ้ c. กเ็ ชน่ เดยี วกนั มาจาก want someone to dosomething และขอ้ d. for เปน็ บพุ บท ตอ้ งตามดว้ ย noun หรอื V.ing ซงึ่ him ในทนี่ เ้ี ปน็ pronoun ซง่ึ ถอื เปน็ คาํ นามชนิดหนง่ึ ทาํ หน้าท่ี เป็นกรรม 3. เฉลยข้อ a. ข้อนี้ตรวจสอบความแม่นยําเรื่อง adjective และ adverb เพราะ right เป็น adjective ตามหลังv. to beเพราะ ฉะนน้ั คาํ ทน่ี าํ หนา้ และมาขยายright จงึ ตอ้ งเปน็ adverb ขยาย คาํ คณุ ศพั ท์ เราจงึ ตอ้ งเปลย่ี น necessary (adj.) ใหเ้ ปน็ necessarily (adv.) 4. เฉลยข้อ c. เพราะประโยคนม้ี ี verb แทค้ อื had worked คาํ ทจี่ ะนาํ มาขยายกรยิ าได้ ตอ้ งเปน็ adverb เราจงึ ตอ้ งเปลยี่ นdiligent (adj.) เป็นdiligently (adv.) ข้อa. ถกู ตอ้ งเพราะโครงสร้างของ because ตอ้ งตามด้วย อนปุ ระโยค หรอื clause ขอ้ d. กถ็ กู ตอ้ ง เพราะ to + V.inf ทาํ หนา้ ทไี่ ดส้ อง อยา่ งคอื แสดงความเปน็ อนาคตและแสดงวตั ถปุ ระสงค์ ในทนี่ ้ีคอื แสดงวัตถปุ ระสงค์ วา่ เพือ่ ที่จะ ปรบั ปรงุ ตึกเก่านี้ 5. เฉลยข้อ c. Conjunction หรือ คําสนั ธานอย่าง although (แม้ว่า) มคี วามหมายเชิงปฏเิ สธอยูแ่ ล้วประโยคทต่ี ามมาต้องขดั แยง้ กับประโยคแรกแนๆ่ เราจงึ ไมต่ อ้ งใส่ but เพื่อแสดงความขดั แยง้ ไป อีก ข้อ c. เราจึงตัด but ทง้ิ ไดเ้ ลย ไมต่ ้องเตมิ อะไรลงไป อกี ข้อ a. ถูกตอ้ งอยูแ่ ลว้ หากไมแ่ น่ใจเรอื่ ง tenses วา่ มันถูกหรอื ผดิ ให้เรามองอีกประโยคcould not เป็น verb ชว่ ยทบ่ี อก tenses ใหเ้ รารวู้ า่ ประโยคน้ีเปน็ รูปประโยคในอดีต (could เป็น verb ช่อง 2 ของ can) สองประโยคจะขนานกนั สว่ น ขอ้ d. find out แปลวา่ คน้ พบ ซงึ่ จะแตกตา่ งกบั find ทแี่ ปลวา่ คน้ หา ในประโยค นต้ี อ้ งบอกวา่ ถงึ แมว้ า่ ฉนั ทาํ ตามคาํ สงั่ อยา่ งระมดั ระวงั แล้ว ฉันก็ยงั คงไมร่ ู้ (ค้นพบ) วิธีจัดการเจ้าเคร่ืองน้ี 6. เฉลยขอ้ c. จะตอบขอ้ นไ้ี ด้ ตอ้ งแมน่ เรอื่ ง preposition วา่ คาํ ๆ ไหนใชบ้ พุ บทอะไร คาํ วา่ “รสู้ กึ สนใจอะไร” เราจะใชบ้ พุ บท interested in เสมอ ไมใ่ ช่ on นะ ขอ้ c. เลยผดิ ไป ขอ้ a. เป็น v. to be ใชก้ บั adjective interested ถูกตอ้ งแล้ว และขอ้ d. really เปน็ adverb ขยายกริยาแท้คือ want ซ่ึงก็ ถูกต้องแลว้ 7. เฉลยข้อ c. เพราะคาํ ทตี่ ามหลงั Article (a/ an/ the) จะต้องเปน็ คาํ นามเสมอ จงึ ต้องเปลี่ยนdeep (adj.) เปน็ dept (N.)ข้อ b. ถกู แล้วเพราะ cave เป็นประธานเอกพจน์ extends มี s จงึ ถกู ตอ้ ง ข้อ d. ก็เช่นกัน เราใช้ v. to be (been)เข้ามาช่วยเพือ่ แสดง passive voice หรอื ประธานถูกกระทาํ คือ ถำ�้ ถกู สรา้ งโดย มิใชส่ ร้างตัวเอง (ถา้ํ ไม่มชี วี ิตนะจะสร้างตวั เองไดไ้ ง!) ติวเข้ม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 47

8. เฉลยขอ้ c. ข้อนีเ้ ปน็ เรอ่ื งของ If-clause แบบท่ี 2 โครงสร้างของมนั กค็ ือ If + past simple , would + v.Inf เราจงึ ตอ้ งเปลีย่ นwill เปน็ would ข้อ b. ถูกตอ้ งแล้ว ในประโยค if-clause ประธาน I จะใช้กับ were เสมอ และในขอ้ d. every ต้องตามด้วยคาํ นาม เอกพจน์ week ไมเ่ ติม s จงึ ถกู ต้องอยแู่ ลว้ 9.เฉลยข้อ c. เพราะว่าคำ� ท่ีอยู่ก่อนหนา้ คอื ค�ำวา่ had better ซงึ่ กรยิ าทตี่ ามมาต้องเปน็ กรยิ าที่ไมเ่ ปล่ียนรปู อย่ใู นกฎของ Infinitive Without To ดงั นนั้ ขอ้ 3 ควรจะเปลี่ยนเป็น “not quit” เพราะว่า don’t น่นั กค็ ือ กรยิ าช่วย และ had better กค็ ือกริยาช่วย เชน่ เดยี วกันจึงไม่นำ� มาอย่ตู ิดกนั ตามหลงั had better คอื infinitive verb ไดเ้ ลยโดยไม่จ�ำเปน็ ตอ้ งมี verbto do มาชว่ ย 10.เฉลยข้อ d. เพราะว่า right now บอกใหท้ ราบว่าเหตุการณเ์ กดิ ข้นึ อยู่ตอนน้ี ดงั นนั้ เขาจงึ กำ� ลงั ไดก้ ลิ่นอยู่ โดยไมไ่ ด้กลนิ่ ตัง้ แต่ต้น จนจบ ตามหลัง something จึงเปน็ กรยิ า infinitive ไม่ได้ ตอ้ งเปน็ กริยา ing โดยประโยคท่ถี กู ตอ้ งคอื Right now Somchai can smell something burning in the kitchen. 11.เฉลยขอ้ c. เพราะว่าประโยคน้ีอยูใ่ นรูปของ “let somebody do something” ดงั นนั้ ประโยคทีถ่ ูกตอ้ งจรงิ ๆคือ Now he is angry with me because I let him wait for me for so long. โดย wait ต้องเปน็ infinitive without to นน่ั ก็คอื ไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งมี to กอ่ นหน้า น้องๆ สามารถฝึกท�ำข้อสอบเพิ่มเตมิ ได้ท่ี • Pronoun http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-8 • Word Formation1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/ onet-english/ch3-9 48 ตวิ เขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya

บทท4่ี Tenses Tenses คอื รปู แบบ (โครงสรา้ ง) ของกรยิ า ทแ่ี สดงใหเ้ ราทราบวา่ การกระทาํ หรอื เหตกุ ารณนนั์้ ๆ เกดิ ขน้ึ ในภาษาองั กฤษ สามารถแบง่ Tense ออกเปน็ 3 tense หลักและ 12 tense ย่อย ดงั นี้ 1. Present Tense (ปจั จบุ นั กาล) 1.1 Present Simple Tense 1.2 Present Continuous Tense 1.3 Present Perfect Tense 1.4 Present Perfect Continuous Tense 2. Past Tense (อดตี กาล) 2.1 Past Simple Tense 2.2 Past Continuous Tense 2.3 Past Perfect Tense 2.4 Past Perfect Continuous Tense 3. Future Tense (อนาคตกาล) 3.1 Future Simple Tense 3.2 Future Continuous Tense 3.3 Future Perfect Tense 3.4 Future Perfect Continuous Tense Present simple เราใช้ Present simple พดู ถึงเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขึน้ อย่ตู ลอดเวลา หรอื เกดิ ข้ึนเปน็ ประจาํ จนเปน็ นิสยั เป็นกิจวตั รประจาํ วนั เป็น ตารางเวลา หรอื สงิ่ เหลา่ น้ันเป็นจริงเสมอ ซง่ึ จะเกิดใน ชว่ งเวลาใดก็ได้ในปัจจุบนั Past Present Future โครงสรา้ งประโยค คอื Subject + Verb 1 (s, es) เชน่ • I usually go out at weekends. • Doctors treat patients in hospitals. ติวเขม้ O-NET Get 100 by TruePlookpanya 49