Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชาติ น้ำ กับจิตมนุษย์

ธรรมชาติ น้ำ กับจิตมนุษย์

Published by baipat wry, 2022-07-11 05:18:31

Description: ธรรมชาติ น้ำ กับจิตมนุษย์

Search

Read the Text Version

ธรรมชาติ น้ำ กับจิตมนุษย์ ดร. เอนก นาคะบุตร

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ น้ำ มีบทบาทสำคัญต่อโลกและสิ่งมีชีวิตในโลก น้ำมีปริมาณถึง 70% ของพื้นที่ผิวโลก และน้ำกลายเป็น ส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์ในร่างกาย เริ่มตั้งแต่น้ำเลือด น้ำเหลืองและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายที่ทำให้ ร่างกายของมนุษย์มีชีวิตตลอดจนทั้งในพืชและในสัตว์ต่าง ๆ ที่มีชีวิต จิต เป็นพลังงาน จิตของมนุษย์ที่เป็นศูนย์กลางของชีวิตที่บัญชาการและกำหนดวิถีชีวิตทั้งความคิด ทั้ง การพูดและการทำผ่านร่างกายของมนุษย์แต่ละคนตามที่จิตได้รับการปรุงแต่ง ภายในเสี้ยววินาที ทั้งจาก คลื่นสมองที่รับรู้มาจากคลื่นแสง คลื่นเสียงกลิ่น รส และการสัมผัสทางร่างกายของมนุษย์ ควบคู่การปรุง แต่งของจิตมนุษย์ในระดับจิตสำนึกที่เป็นทั้ง อารมณ์ปรุงแต่ง และ ความคิดที่ต่อยอดจากการปรุงแต่งจาก อารมณ์ แล้วแปลผลเข้าสู่จิตใต้สำนึกเป็นความจำ และประมวลผลในที่สุดเป็นพลังจิตตื่นรู้ (พลังจิตสว่าง : ปัญญา) หรือพลังจิตหลง (พลังจิตมืด : อวิชชา) สุดท้ายนั่นเอง จากรูป 1 : ธรรมชาติของน้ำกับธรรมชาติของจิตมนุษย์ที่เหมือนกัน

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ 1.น้ำ โดยสถานะเป็นของเหลวที่ใสสะอาด ในทางกลับกันเมื่อน้ำที่นิ่งและใสสะอาด (น้ำ และนิ่ง และจะควบแน่นกลายเป็นไอน้ำที่ ฝน) ได้รับความหนาวเย็นเข้ามากระทบในอุณหภูมิ เรียกว่าเป็นก๊าซเมื่ออุณหภูมิที่มากระทบน้ำ ที่เย็นลงประมาณ -10 องศาเซลเชียส โมเลกุลของ มีความร้อนสูง อย่างน้อย 100 องศาเซล- น้ำจะเริ่มจัดระเบียบตนเองและเป็นลูกเห็บ และ เชียสขึ้นไป ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นกลุ่ม ยิ่งเมื่ออุณหภูมิหนาวเย็นยะเยือกถึง -20 องศาเซล เมฆสีขาวหรือหมอกในตอนเช้าที่เราเห็น เชียสโดยประมาณ น้ำหรือเกร็ดน้ำแข็งเหล่านั้นจะ เมื่อถูกลมพายุพัดพาก้อนเมฆสีขาวเหล่านั้น รวมตัวกันกลายเป็น หิมะ ในบริเวณใกล้ขั้วโลก ก็จะเริ่มรวมตัวอัดแน่นเป็นก้อนเมฆที่ใหญ่ ทางตอนเหนือและตอนใต้ของขั้วโลก ยิ่งเมื่อ ขึ้นใหญ่ขึ้นและรอยสูงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อุณหภูมิที่หนาวเย็นลดลงต่ำลงถึงประมาณ -40 รอบนอกของโลก และอัดแน่นเป็นก้อนเมฆ องศาเซลเชียส น้ำและเกล็ดหิมะเหล่านั้น จะ สีดำคล้ำมากขึ้นเพราะมีมวลไอน้ำไปบดบัง ควบแน่นและอัดแน่นตัวเองในระดับโมเลกุลของ แสงแดด มนุษย์จึงมองเห็นเป็นก้อนเมฆครึ้ม น้ำเป็นน้ำแข็งทั้งในผิวทะเลมหาสมุทร ตลอดจน สีดำก่อนที่ฝนจะตก สุดท้ายเมื่อก้อนเมฆ น้ำแข็งในตู้เย็นตามบ้านต่าง ๆ สรุปน้ำเปลี่ยน เหล่านั้นอัดแน่นเป็นสีดำคล้ำประจุไฟฟ้าใน สถานะเป็นไอน้ำหรือเป็นน้ำแข็ง ด้วยอุณหภูมิที่ ก้อนเมฆก็จะเริ่มมีปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์ซึ่ง ร้อนขึ้นหรือเย็นลงและมีลมเป็นส่วนประกอบที่ กันและกันจนเกิดความร้อนสูงถ่ายปัจจุบัน ทำให้ไอน้ำและน้ำแข็งเคลื่อนตัวไปตามผิวโลก ลงสู่ดินเรียกว่า ฟ้าแลบและฟ้าผ่า ในขณะที่ เกิดการถ่ายเทของอากาศเป็นลมพายุหมุนที่ เกิดจากความร้อนของทะเลและความเย็น ของแผ่นดินจนเกิดเป็นลมหมุนที่เรียกว่า ดีเปรสชัน หมุนพาก้อนเมฆเหล่านั้น ควบแน่นกลั่นตัวมาตกเป็นฝน ในแผ่นดิน นั่นเอง อันเป็นการเปลี่ยนสถานะจากก๊าซ มาเป็นของเหลวอีกครั้งหนึ่ง

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ 2. จิตมนุษย์ เมื่อเริ่มแรกของจิตมนุษย์ (ที่เรียกว่าจิตปฏิสนธิ) ล้วนมีความใสสะอาด และมี พลังจิตที่เป็นพลังบวกและพลังลบมาจากอดีตชาติเท่านั้น (ตามกฏแห่งกรรมที่บันทึกในวิญญาณ : จิตปฏิสนธิ) จิตมนุษย์มีธรรมชาติที่ไม่หยุดนิ่งเป็นพลังงานจิตที่มักจะยึดอยู่กับ ฐาน สิ่งและอารมณ์/ ความคิด ที่มีลักษณะฟุ้งกระจายไปตามคลื่นสมองและอารมณ์ที่มากระทบให้จิตปรุงแต่งจาก ปัจจัยภายนอกตามกาละและเทศะ (Space & Time) ที่ร่างกาย โดยการใช้ชีวิตแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง แต่ละนาที รับรู้และสัมผัสผ่าน 5 อวัยวะสัมผัสของร่างกาย คือ ตา ลิ้น ร่างกาย และ จมูกและหู ผ่าน สาระสำคัญชีวิต 3 ก คือ กินกาม เกียรติ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสมอง 5 คลื่น ตามระดับความร้อน และความนิ่ง/ เย็นของคลื่นจิตในแต่ละระดับคลื่นสมอง 3. เมื่อจิตปรุงแต่งจะเกิดพลังจิต 2 พลังจิต คือ จิตมืด (จิตหลง : อวิชชา) ซึ่งสภาวะจิตจะร้อนรน และทุกข์หนักแสนสาหัส) เกิดศูนย์กลางของจิตมืด หลุมดำแห่งจิต เกิดตัวตน (อัตตา) ที่มนุษย์หลงยึด ว่าเป็น ฉัน (Self) ยิ่งเมื่อกิเลส (ปัจจัยภายนอก) เข้ามากระตุ้นจิตเพิ่มเติมให้เกิดความโลภ (แรงดูด) ความโกรธ (แรงผลัก) และสุดท้าย ความหลง ที่ทำให้เกิดแรงหมุนวน อย่างใดอย่างหนึ่ง (ลมพายุ) หรือพร้อมกันทั้ง 3 แรง ผลเกิดความปั่นป่วนเป็นเหมือนแรงลมดีเปรสชั่นรอบจิตมืดเกิดสภาวะ หลุม ดำที่ใจกลางจิต (จิตใต้สำนึก) เป็นพลังมืดของจิต (อกุศล/ พลังจิต -) บันทึกในวิญญาณจิตครั้งแล้วครั้ง เล่า บางครั้งจิตปั่นป่วนจนเป็น การระเบิดในหลุมดำของจิตมืด เกิดภาวะความบ้าคลั่งของจิต ที่เจ้าตัว ควบคุมตนเองไม่ได้ จนเกิดการสร้างกรรมและการกระทำ (ฆ่า) มนุษย์ผู้อื่นหรือตนเองในที่สุด

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ สภาวะของจิต 3 ระดับดังกล่าว ในทางพุทธศาสตร์ รวมเรียกว่า ความทุกข์ ของมนุษย์ที่ล้วนหลงผิด จากการปรุงแต่งของจิตดังกล่าว (ขันธ์ 5 และคลื่นสมอง 2 ระดับที่ไหวและมีความถี่คลื่นสมองสูงที่มา กระทบจิต) 3.1) พุทธศาสตร์ ค้นพบการฝึกฝนจิตตนเองของมนุษย์ ให้สภาวะจิตเปลี่ยนสภาวะ 3 สภาวะ ที่ ทำให้สภาวะจิต สงบ สะอาด สว่าง ด้วยวิธีการฝึกฝนพลังจิตแบบไตรสิกขา ให้จิตค่อย ๆ เย็นลง นิ่ง เบา สบาย ดังนี้ : สภาวะที่ 1 : จิตสงบ (Calm) & รู้สึกตัวทั่วพร้อมอันทำให้เกิดพลังสติเท่าทันและรู้สึกตัวต่อการ เคลื่อนไหวของร่างกาย (พฤติกรรม) โดยรวมและอวัยวะสัมผัสแต่ละช่องทางอย่างเท่าทัน (ไหว พบ นิ่ง = สมดุลย์ : + / - = 0) สภาวะที่ 2 : จิตตั้งมั่น (ในฐาน) อันเป็นสภาวะที่จิตผู้รู้ : พลังสมาธิ จิต แยกออกจากการรับรู้ของ ร่างกาย สามารถรู้สึกตัวทั่วพร้อมควบคู่การเท่าทันความคิด ที่มักฟุ้งกระจาย ออกจากฐาน และไม่ นำพาให้จิตหลงเข้าไปสู่หลุมดำของจิต ในทางกลับกัน จิตมีปัญญาเท่าทันความคิดปรุงแต่งดังกล่าว อยู่เนือง ๆ จนเกิดพลังจิตขาว : ปัญญารู้แจ้ง (intuition) แท้ที่จริง จิตปรุงแต่งไปเอง จนเกิดการ หลงผิดว่ามี ตัวตน : ฉัน ซึ่งความจริงแท้ของพลังจิตขาวดังกล่าว ล้วนพบว่าสรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา (ไตรลักษณ์) นั่นเองและมันเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) สภาวะดังกล่าว : พลังจิตที่ใจกลางจิตใต้สำนึกจะสว่างเย็น/ ปิติสุข เบาสลาย ว่างและอยู่เหนือ หลุมดำแห่งจิต (พลังงานจิตมืด)

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ 4.จากรูป 2 : จิตมนุษย์ทำงานอย่างไร ? 4.1) จากภาพที่จิตมนุษย์โดยธรรมชาติจะทำงานผ่านอวัยวะสัมผัสของร่างกายทาง ตา หู จมูก ลิ้นและ ร่างกายทั้งเพศหญิงและเพศชายที่เรียกว่าสัมผัส แล้วเปลี่ยนจากคลื่นเสียงที่มากระทบหู คลื่นแสงที่มากระทบตา รสที่มากระทบลิ้น กลิ่นที่มากระทบจมูก สุดท้ายคือความสัมผัสร้อน-เย็น อ่อน-แข็งด้วยร่างกายทั้งเพศชายและ เพศหญิง คลื่นทั้งห้าคลื่นที่กระทบอวัยวะสัมผัสจากอวัยวะดังกล่าวของร่างกายเป็นคลื่นสมองที่นักวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 5 คลื่นของสมอง ได้แก่ 1) คลื่นแกมมาที่รับรู้และไหวรวดเร็วและมีความถี่ขึ้นลงสูง 2) คลื่นเบต้า ซึ่งมีความถี่คลื่นเหมือนคลื่นแม่น้ำขึ้นลงขึ้นลงช้ากว่าคลื่นแกมม่า ทั้งสองคลื่นจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสโลภ โกรธหลงอันส่งผลให้อนุภาคของคลื่นไหวขึ้นลงรวดเร็วและภาวะของอนุภาคคลื่นค่อนข้างไร้ระบบ ไร้ระเบียบ ปั่นป่วนอยู่ภายในคลื่นสมองแต่ละระดับ (Entropy สูง คลื่นที่ 3) เรียกว่าคลื่นแอลฟ่าซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่ที่ไม่ อ่อนไหวขึ้นลงเหมือนสองคลื่นแรกและจะมีหน้าที่เชื่อมสมองซีกซ้ายเข้ากับซีกขวาซึ่งเป็น...

กล่องที่ 1 : ธรรมชาติ น้ำ กับธรรมชาติจิตมนุษย์ 4.2) ธรรมชาติจิต : มีบทบาทหรือทำหน้าที่อะไรบ้าง ? คลื่นสมอง 5 คลื่น (คลื่นอนุภาค (กาย) : Quantum physics) จะสั่นสะเทือนส่งพลังงานจิตเข้าสู่ ระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของมนุษย์ คลื่นสมองที่มีความร้อนและความไร้ระบบของอนุภาค มีมวล เบา ควบคู่กับแรงพายุหมุนของ 3 แรงดูด – แรงดูด แรงผลักและแรงหมุนวนที่รวมเรียกว่าพายุหมุน ดีเปรสชันเข้า ขั้นที่ 4 : ต่อยอดพลังสมาธิ ให้เกิดพลังหยั่งรู้ : ญาณ (Mind Nuclear Fusion). จนเกิดการระเบิด ในใจกลางจิต (ใต้สำนึก) อัดแน่นเป็นพลังการตรัสรู้ในใจกลางจิต (Enlightententment Mind Energy) สรุปสภาวะจิตในใจกลางของมนุษย์มีได้ 2 Mode คือ สนามพลังจิตสว่าง กับสนามพลังจิตมืด ซึ่งใน ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าการมี Entropy ต่ำ กับ Entropy สูง ใน Quantum Field และในทางพุทธศาสตร์ เรียกสภาวะจิตนี้ว่า จิตรู้ และ สภาวะจิตหลง/ จิตอวิชชา นั่นเอง 4.3) 5 บทบาทหน้าที่ของจิต คือ : ขั้นที่ 1 : จิตจะทำหน้าที่รับรู้คลื่นสมอง รูป รส สัมผัสกลิ่น เสียง และอารมณ์ของจิต แปรเป็นสนาม พลังจิต ความรู้สึก 3 ทางเลือก คือ ชอบ (+) ไม่ชอบ (-) เฉย (0) แล้วจิตจะปรุงแต่งต่อด้วยความคิด คือ สนามพลังแรงดึงดูดของจิต (ความอยาก/ ยึด : Mind Gravity) เป็นความยึดมั่น ความถือมั่น เมื่อจิตปรุง แต่งต่อด้วยความจำ ความหลง/ หลุมดำในจิตจะผุดบังเกิด หลงว่าหลุมดำในจิต : พลังงานมืด นั่นคือ ฉัน/ อัตตา ทันที เพื่อจะดูดสิ่งที่อยาก/ ยึดเป็นของฉัน ความหลง/ ความไม่รู้/ อวิชชา (Ignorance/ Mind Black Hole) รวมเป็นพลังงานจิตมืดนั่นเอง ขั้นที่ 2 : พุทธศาสตร์ค้นพบการทำให้สนามพลังจิตใสะอาดและนิ่งสงบเสมือนน้ำใสหรือน้ำนิ่งด้วย การฝึกฝนให้จิตมีสติ (Mindfullness) ที่คอยรู้สึกรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายและอารมณ์ที่ไหว/ ฟุ้ง/ วุ่นวายตลอดเวลา อันทำให้จิตสงบ จิตนิ่ง (Calm) และยิ่งฝึกฝนแยกจิตให้ตามรู้และเท่าทันความคิด ที่ ระเบิดออกจากจิตหรือร่างกายเจ้าของตลอดเวลา ซึ่งมักจะยึดมั่นกับสิ่งที่จิตไปผูกพัน สร้างให้เกิดสภาวะ พลังจิตมืดกลับมาเนือง ๆ ขั้นที่ 3 : การแยกจิตจากแรงดึงดูดของกิเลสและคลื่นสมอง กิน กาม เกียรติ อย่างรู้สึกตัวทั่วพร้อม และฝึกฝนจิตที่แยกดังกล่าวตามรู้และเท่าทันความคิด เพื่อให้สนามพลังจิตตั้งมั่นพลังสมาธิ (Quantum Field : Stability)

กล่องที่ 2 : การปรุงแต่งของน้ำกับจิตมนุษย์ สถานะของน้ำและสภาวะของจิตที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งจากฝั่งสถานะของน้ำเองทั้งที่เกิดจากผู้ดูปู เห็นผู้ได้กลิ่นผู้ใด้ลิ้มรสและสถานะและอุปกรณ์ของผู้ดูคุณส่ง ในขณะที่สภาวะของจิตมนุษย์เปลี่ยนแปลงตามปัจจัย ของการปรุงแต่งของจิตเองที่เรียกว่าขันธ์ห้าอันได้แก่ความรู้สึกความคิดความจำและสุดท้ายคือการรับรู้ในระดับ จิตใต้สำนึกที่เรียกว่าวิญญาณนั่นเองซึ่งจะมีใน 2 mode คือ ด้านหนึ่งเป็นพลังจิตรู้ที่สว่าง/ เบา/ และนิ่งสงบ ในขณะ ที่อีกด้านหนึ่งจะเป็นพลังจิตหลงหรือที่เรียกว่า จิตอวิชชา ที่หนักอึ้ง/ มืดมิด/ และร้อนรนพรุ่งพล่าน 1.ตามองเห็นน้ำด้วยแสงเดด เห็นเป็นน้ำใสไม่มีสี เมื่อน้ำเปลี่ยนเป็นละอองน้ำ ตามองเห็นละอองน้ำเป็นสีรุ้ง 7 สี แต่เมื่อตาใส่กล้องพิเศษจะเห็นสีเหนือสีม่วงของสีรุ้ง และเห็นสีใต้สีแดงของสีรุ้งด้วยรังสี x- rays ตามนุษย์มอง เห็น มนุษย์ทุกคนทั้ง 2 เพศเหมือนกัน เป็นโครงกระดูกเดินได้ ผลคือ สถานะของน้ำ ถูกปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง ทั้งด้วยปัจจัยภายในของน้ำ (ของแข็ง ของเหลว ไอน้ำ) และด้วยการรับรู้ผ่านอวัยวะสัมผัสและเทคโนโลยีที่ผู้ดู ใช้ประกอบที่ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนการรับรู้ ตามสนามคลื่นของแสง เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มา กระทบอวัยวะรับสัมผัสของร่างกาย ควบคูการปรุงแต่ง น้ำของมนุษย์ที่ถูกกระตุ้นจาก กิเลส พลังจิตในแต่ละ ระดับอารมณ์ น้ำ เมื่อใส่สีหรือรสแม้แต่สิ่งปรุงแต่งอื่น ๆ จะเปลี่ยนไปตามสิ่งเหล่านั้น เช่นเมื่อใส่น้ำตาลจะเป็น น้ำหวาน เมื่อใส่เชื้อยีสต์จากการหมักจะกลายเป็นเหล้าประเภทต่าง ๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นน้ำเลือด น้ำ เหลือง น้ำปัสสาวะ เมื่อน้ำมีแบคทีเรียและขยะอาหารจะกลายเป็นน้ำเน่าสีดำและมีกลิ่นเหม็น เมื่อน้ำใส่กลิ่น หอมของดอกไม้และสีกลายเป็นน้ำหอม เมื่อน้ำผ่านการเพ่งจิตของนักภาวณาจิต น้ำก็จะแปลสภาพไปตามจิต 2.จิต ปรุงแต่งไปสู่พลังจิตสว่าง (จิตรู้) ด้วย 3 พลังจิตที่ต้องฝึกฝนจิตเองอย่างพากเพียรและต่อเนื่องในจิตด้วย ไตรสิกขาของพุทธศาสตร์ จนจิตผุดบังเกิดพลังสติที่สงบนิ่ง แล้วยกระดับสนามพลังจิตให้เกิด พลังสมาธิที่ตั้ง มั่น ในกาย (ฐาน) ของผู้ฝึกฝนจิตสุดท้ายพลังจิตที่มีความขาวรอบอัดแน่นด้วยสนามพลังของจิตที่มีระเบียบตั้ง มรานและมั่นคง เมื่ออุณหภูมิรอบจิตเย็นและนิ่ง ปลอดจากแรงกระทำของกิเลส

กล่องที่ 2 : การปรุงแต่งของน้ำกับจิตมนุษย์ พลังจิตสว่างจะเกิดสภาวะการหยั่งรู้ (intuition : mind nuclear white energy fusion) เกิดพลังปัญญาญาณ ของใจกลางจิต (จิตใต้สำนึก) เมื่อพลังจิตดังกล่าวอัดแน่นอย่างยิ่งยวดก็จะยกระดับเป็นการตรัสรู้ (enlightenment) นั่นเอง ในทางกลับกัน จิตที่ได้รับคลื่นกระทบจากคลื่นสมอง 5 คลื่นสมองดังกล่าวและแปลเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยจากนั้นจะกลายเป็นการปรุงแต่งต่อด้วยความคิดและความจำ จนเกิดสนามพลังดูด อยากยึดสิ่ง นั้นมาเป็นของตนเอง อันก่อให้เกิดหลุมดำในใจกลางจิตจนจิตมืดผุดบังเกิด ตัวฉันและของฉัน อันเป็นศูนย์กลางของ แรงดึงดูดในใจกลางจิตที่จะยึดสิ่งที่อยากได้เป็นของตน ยิ่งเมื่อมีแรงสามแรงของ กิเลสโลภ โกรธ หลง อันเป็นแรง พายุหมุนดีเปรสชันเข้าสู่ใจกลางจิตที่มืดมิด ผลจึงทำให้เกิดความร้อนอย่างยิ่งยวด ควบคู่กับสภาวะหลุมดำแห่งจิตที่ หมุนรอบตัวเองเกิดแรงดึงดูดมหาศาล จนเกิดสภาวะจิตหลง จนนำไปสู่ ความไม่รู้ของจิต (อวิชชา) เกิดแรงระเบิด เป็นความพรุ่งพร่าน บ้าคลั่งของจิตที่มืดมิด ดำสนิท และร้อนรนแสนสาหัส คนอริยะ องค์กรอริยะ ตามหลักพุทธ ศาสตร์คือเป็นผู้เดินทางสายกลางระหว่างความดี และความไม่ดีระดับองค์กร ระดับหน่วยงาน ประเทศ สังคมก็จะ สงบสุข ทั้งนี้ด้วยเมตตาธรรม (loving kindness) ตาเพื่อนร่วมชะตากรรม ทุกฝ่ายทั้งผู้ลงทุนลูกค้า พันธมิตรทาง ธุรกิจ ตลอดจนประชาชนทั่วไป การรับ การให้ จึงเป็นเส้นแบ่งของคนอริยะ องค์กรอริยะ ผมขอเสนอแนะ เพิ่มองค์ ประกอบและการเชื่อมโยงหลักสูตรให้เป็นองค์รวม ต่อวิถีชีวิตชุมชน ธรรมชาติที่พอเพียง (ทางสายกลาง) 1.เพิ่มองค์ประกอบที่เป็นศูนย์กลาง คือ แก่นศาสนธรรม (ของทุกศาสนธรรม) ในการดำรงและดำเนินชีวิตที่นำ ไปสู่ประโยชน์สุข ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 2.ส่วนอีก 4 องค์ประกอบ ตามที่ยกร่างมาเป็น 4 องค์ประกอบ เสมือนกงล้อเกวียน ขับเคลื่อนชีวิต ทุ่งกุลา ร้องไห้ ที่สำคัญหัวใจของศาสตร์พระราชาทั้งหมด โดยภาพรวม เฉพาะแต่ละมิติควรเป็นหัวใจของหลักสูตร 2.1 การปลุกจิตสำนึก ให้เกิดพลังจิตสำนึกตนเอง ระหว่างการเรียนรู้ตามหลักสูตร การลงมือปฏิบัติ จึงต้องบ่ม เพราะจิตตนเอวควบคู่กัน อย่างต่อเนื่องด้วยความเพียรของตนเอง 2.2 การปรับใช้หลักการเพิ่มพลังสติ สมาธิ ให้ตนเองเท่าทัน ปรับตนเองในการเรียนรู้และใช้ชีวิตเมื่อจบออกไป จะเป็นพลังภายในจิตติดตัวฝึกฝนต่อเนื่อง (หลังจบ) อาจใช้หลักไตรสิกขา ตามวิธีการของพุทธศาสตร์ 3. การฝึกปฏิบัติของผู้เรียนด้วยการคิด พูด ทำ ทั้งโดยแต่ละบุคคล เป็นกลุ่มร่วมกัน (วิสาหกิจชุมชน) ด้วยการให้ ผู้เรียนรู้ลงมือวางแผนชีวิต ระหว่างเรียน หลังจบว่า 1) วางแผนชีวิต 2) ลงมือทำให้เกิดผล output 3) เรียนรู้ ปรับปรุงแผน เทคนิควิธี technology สมัยใหม่ 4) สรุปผล ประเมินผล ตนเองร่วมกัน ผลสุดท้ายที่ตอบโจทย์ชีวิต ครอบครัว สังคม และสุดท้ายฝึกการสรุปบทเรียน ถอดบทเรียน ความรู้ เทคนิควิธี ใหม่ ๆ นวัตกรรม ให้รุนน้องได้เรียนรู้ต่อไป (AAR KM อันเป็นวิธการเรียนรู้ของโลกสมัยใหม่ ที่จะเท่าทันต่อชีวิต โลกานุวัตร ผ่านสื่อประสมต่าง ๆ สื่อ social media ทุก platform)

กล่องที่ 2 : การปรุงแต่งของน้ำกับจิตมนุษย์ ศาสตร์ตะวันตกโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นด้วยสสาร นอกตัวมนุษย์โดยแยกชีวิต ตัวมนุษย์ (ทั้งจิตและกาย) ออกจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เกือบทุกแขนง (ยกเว้นกาย แพทย์ศาสตร์ จิตวิทยา ในระดับจิตสำนึก) พุทธศาสตร์ หลักศาสนธรรมทุกศาสนาเกิดทางตะวันออก กว่า 3,000 - 4,000 ปีที่เน้นศูนย์กลางที่ธรรมชาติทั้งรูปธรรม นามธรรม ไปจนถึงมนุษย์ การดำรงอยู่ การดำเนินชีวิตที่สมดุลและสอดคล้องกับธรรมชาติ (จักรวาล) ไปจนถึงการ ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ควบคู่การหยั่งรู้ด้วยจิต ถึงการตรัสรู้ (enlightenment) ที่เป็นบังจิตใต้สำนึกที่นอนนิ่งอยู่ใจกลาง ของจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนที่รอการฝึกฝนจิตมนุษย์ คนด้วยตนเอง ควบคู่การปรับ (พฤติกรรม) การใช้ชีวิตสู่ ความสมดุลของธรรมชาติจักรวาล ประเด็นท้าทายโลกปัจจุบันคือการเชื่อมความเป็นองค์รวม ความสมดุลของทั้ง ศาสตร์ตะวันออกกับศาสตร์ตะวันตก (รวม technology - AI) ให้ตอบโจทย์ วิถีชีวิตมนุษย์ ชุมชน สังคม ทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังสูญเสียสมดุล อยู่ในปัจจุบัน 2500 - 2564 ปีนี้เอาวิชาเอาแปลงเกษตรและพืชผัก เป็นตัว ตั้ง คืออดีตของการศึกษา การพัฒนาที่ผ่านมาพระองค์ท่านมุ่งเน้นที่ชีวิตประชาชนที่ต้องเข้าถึงประโยชน์สุข พอเพียง ที่ใจและด้วยการบ่มเพาะจิตสำนึก สะสม เพียรจนระเบิดจากภายในจิตของคนก่อนแล้วผลผลิตที่แปลงจะตามมา ขั้นที่ 1 พึ่งตนเอง ขั้นที่ 2 พึ่งพากัน สุดท้าย ขั้นที่ 3 ร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชนร่วมทำวิสาหกิจชุมชนให้เกิดระบบ เศรษฐกิจในท้องถิ่นร่วมกันที่เดินสายกลางอย่างพอเพียงกับความสามารถ ทรัพยากรธรรมชาติของแต่ละชุมชนท้อง ถิ่น แต่ละวิถีชีวิตวัฒนธรรม ถ้าเข้าไม่ถึงแก่นของศาสตร์พระราชา ก็จะได้แค่นำพาเด็กไทยเป็นลูกจ้าง พ่อค้าจีน นายทุนไทยและต่างชาติ ดังคนรุ่นผมในรอบ 50-60 ปีที่ผ่านมาและทำให้คนรุ่นผมหลงตะวันตกหารากเหง้าชีวิต ตนเอง& สังคมไทย ดีที่เรียนรู้เอาเอง นอกรอบ นอกห้องเรียน เข้าสู่การฝึกฝนจิตตนเอง จึงค้นพบวิถีชีวิตที่ตนเอง กำหนด ดำเนินชีวิตให้มีความหมายต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ซึ่งวิชาแต่ละวิชาในเกือบทุกโรงเรียนจนถึง มหาวิทยาลัยระดับต่าง ๆ แตะเพียงผิว ไม่เชื่อมโยงต่อชีวิตการใช้ชีวิตที่เกิดประโยชน์สุขอย่างพอเพียง

กล่องที่ 2 : การปรุงแต่งของน้ำกับจิตมนุษย์ ในเรื่องการค้นคว้า ศึกษาภูมินิเวศน์ทรัพยากรธรรมชาติ กับภูมิวัฒนธรรม ของทุ่งกุลาร้องไห้ ควรใช้ทั้ง 2 ฐาน ความรู้ 1) จากปราชญ์ ผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์เชิงประจักษ์ ทั้งรูปธรรม นามธรรม 2) ฐานข้อมูลและการศึกษาชุมชน ทุกมิติ ทั้งเชิงมานุษยวิทยา เชิงการวิจัยแบบมีส่วนร่วมของชาวบ้าน (PAR) และ เชิงการถอดบทเรียน จัดการความรู้แบบไม่เป็นทางการ (KM : informal & indirect approach) เพื่อให้ได้ความ ถ่อมตัว ความยอมรับ เรียนรู้ร่วมกัน 2 ฝ่ายระหว่างผู้เรียนรู้กับผู้ให้ข้อมูล มุ่งเน้นการเรียนรู้ร่วมกันทั้งสองฝ่าย มากกว่า การวิจัยของนักวิชาการที่มุ่งเอาข้อมูลจากชาวบ้าน ชุมชน เพื่อประโยชน์ผู้วิจัยแต่ฝ่ายเดียวผลจะเกิด ชุมชน เวที (นอกห้องเรียน) ที่ทุ่งกุลาร้องให้ทั้งในวิทยาลัยและในชุมชนทุ่งกุลาร้องให้และเป็นพิพิธภัณฑ์ ชุมชนทุ่งกุลา ร้องไห้ในอนาคต ข้อมูลที่ได้ควรมีการถ่ายทอดกระจายความรู้อย่างต่อเนื่อง แก่ 2 กลุ่มเป้าหมาย 2 ช่องทาง (platform) อย่างน้อย คือ 1) อาจารย์ นักศึกษา ตามหลักสูตร 2) สื่อประสม social media อย่างง่าย สำหรับชาวบ้านชุมชนในทุ่งกุลาร้องไห้ พร้อมกับการมีเวทีโส (เวทีชาว บ้าน) เป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมการเรียนรู้จึงจะเกิดสมดุล ระหว่างในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ชาวบ้าน ทุ่งกุลาร้องไห้ ไม่ใช่ห้องเรียน มหาวิทยาลัย ปิดที่กระจายไปตั้งอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ดังในอดีตและในบางแห่ง ยัง มีวิธีการตีหัว (ชาวบ้าน) + เข้าบ้าน (วิทยาลัย/ มหาวิทยาลัย) ประชาชนทุ่งกุลาร้องไห้ จึงจะเป็นอารยะเกษตรกร อย่างแท้จริง (ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินทุ่งกุลา) 14 ตุลาคม 2564

กล่องที่ 3: การเปลี่ยนสถานะของน้ำ กับการเปลี่ยนสภาวะของจิตมนุษย์ จากรูป : น้ำเปลี่ยนแปลงสถานะ ได้ 3 สถานะคือจากน้ำเป็นไอน้ำ และเป็นน้ำแข็ง หรือก็คือจาก ของเหลวเป็นแก๊ส และเป็น ของแข็งในที่สุด 1.น้ำจะเปลี่ยนเป็นไอน้ำเมื่อโดน ความร้อนที่จุดเดือด 100 องศา เซลเชียสเป็นต้นไป ในทาง วิทยาศาสตร์อธิบายว่าไอน้ำมี สภาวะของอุณหภูมิและการ เปลี่ยนแปลงสถานะสูง (Entropy สูง) กล่าวคือ อุณหภูมิของไอน้ำ จะร้อนขึ้นไปสูงกว่า 100 องศาเซลเชียส + มวลของน้ำจะเปลี่ยนเป็นแก๊สที่มีมวลเบากว่ามวล น้ำ + และในระดับอนุภาคโมเลกุลของไอน้ำจะมีสภาวะความยุ่งเหยิงและไร้ระเบียบ พลังงานที่ปล่อยออกมาจากการฟิวชั่นจะ เป็นพลังงานความร้อนและมีแรงดันของพลังความร้อนดังกล่าวพุงออกจากน้ำที่เดือดพลุ่งพล่านเหล่านั้น (กาต้มน้ำเมื่อเดือด ไอ น้ำจะดันฝากาต้มน้ำได้และฝากาจะเปิดออก) 2. เมื่อไอน้ำเรานั้นควบแน่นจนเกิดเป็นเมฆฝนก็จากกลั่นตัว เปลี่ยนสถานะจากไอ้น้ำดังกล่าวกลับมาเป็นน้ำฝนที่ใสสะอาด และไหลเอื่อย ๆ ตามผิวดินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามแรงดึงดูดของโลก ในทางวิทยาศาสตร์น้ำดังกล่าวมีสภาวะของอุณหภูมิและการ เปลี่ยนแปลงสถานะ (Thermodynamic) สมดุลย์ที่มีสถานะเป็นของเหลว + มีมวลหนักปานกลาง + อุณหภูมิเย็นลงจนถึงระดับ 0 องศาเซลเชียส + ในระดับอนุภาคโมเลกุลของน้ำนิ่งแล้วน้ำที่ใสสะอาด (น้ำฝน) พบว่าโมเลกุลของน้ำฝนมีความเป็นระเบียบ และเรียงตัวสวยงาม เป็นสภาวะของน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพืชสัตว์ และมนุษย์บนโลกที่ให้พลังงานชีวิตที่สมดุลย์กับสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดดังกล่าว 3. น้ำแข็ง : เมื่อนำฝนกระทบเข้ากับอุณหภูมิที่เย็นลงจนถึง -40 องศาเซลเชียสที่เรียกว่า จุดเยือกแข็ง น้ำจะเปลี่ยนสถานะ ควบแน่นจากของเหลวเป็นของแข็งที่เรียกว่าน้ำแข็ง ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่ามีสถานะอุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงสถานะ (อุณหพลศาสตร์) ต่ำ กล่าวคือ อุณหภูมิจะลดต่ำจนหนาวเย็นถึงประมาณ -40 องศาเซลเซียส + สถานะจะเปลี่ยนจากของเหลว เป็นของแข็งมีมวลที่หนักขึ้น + และมีโครงสร้างสลับสับเปลี่ยนของโมเลกุลในน้ำแข็งที่มั่นคงและสมมาตร และปลดปล่อยพลัง ความเย็นที่มีแรงดึงดูดมหาศาลเข้าสู่ศูนย์กลางความเย็นดังกล่าว

กล่องที่ 3: การเปลี่ยนสถานะของน้ำ กับการเปลี่ยนสภาวะของจิตมนุษย์ อวกาศ เอกภพ หรือ พหุจัดวาล Multi - Universe ที่ถือกำเนิดจากการระเบิดของ อนุภาคที่เล็กมากและมีความ อัดแน่นที่ยิ่งยวด (Singularity) ที่เรียกปรากฏการณ์ก่อกำเนิดจักรวาลที่เรียกว่า BiG Bang เมื่อราว 13.8 พันล้านปีที่ ผ่านมา เมื่ออุณหภูมิของเอกภพเย็นลง กลุ่มแก๊ซเนบิวลา (แก๊สฮีเลียม + แก๊สไฮโดรเจน) อัดแน่นและทำปฏิกิริยา Nuclear Fusion เกิดเป็นดาวฤกษ์ (Hypernova) และเกิดการหลอมรวมกับเทหวัตถุคาร์บอน เกิดดาวเคราะห์และดาว บริวารที่โคตรรอบดาวฤกษ์เหล่านั้น ครั้นเมื่อดาวฤกษ์หมดแก๊สที่เป็นพลังงาน ระเบิดและดับ (Supernova) ก็ดับกลาย เป็น หลุมดำ ที่มีแรงดึงดูดมหาศาล (แรงตบ) ดึงดูดสรรพสิ่งเข้าสู่ใจกลางหลุมดำ เกิดเป็น Galaxy ที่มีใจกลางเป็นหลุม ดำ ล้อมรอบด้วยหลุมขาว (หมู่ดาวฤกษ์ที่ถูกดูดและหมุนวนเข้าหาใจกลางหลุมดำควบคู่การถูกเหวี่ยงออกเป็นแขน วงกลมหรือแขนวงรีรอบหลุมดำของแต่ละ Galaxy ทั้งเอกภพนับล้านล้าน Galaxy เอกภพ และ Galaxy เหล่านั้น ล้วน ประกอบด้วย สสารและพลังงาน ทั้งสสารมืดและสสารสว่าง ควบคู่พลังงานมืดและพลังงาน อวกาศ เอกภพ หรือ พหุจักรวาล Multi - Universe ที่ถือกำเนิดจากการระเบิดของอนุภาคที่เล็กมากและมีความ อัดแน่นที่ยิ่งยวด (Singularity) ที่เรียกปรากฏการณ์ก่อกำเนิดจักรวาล เรียกว่า BiG Bang เมื่อราว 13.8 พันล้านปีที่ ผ่านมา เมื่ออุณหภูมิของเอกภพเย็นลง กลุ่มแก๊ซเนบิวลา (แก๊สฮีเลียม + แก๊สไฮโดรเจน) อัดแน่นและทำปฏิกิริยา Nuclear Fusion เกิดเป็นดาวฤกษ์ (Hypernova) และเกิดการหลอมรวมกับเทหวัตถุคาร์บอน เกิดดาวเคราะห์ และ ดาวบริวารที่โคตรรอบดาวฤกษ์เหล่านั้น ครั้นเมื่อดาวฤกษ์หมดแก๊สที่เป็นพลังงาน ระเบิดและดับ (Supernova) ก็ดับ กลายเป็นหลุมดำที่มีแรงดึงดูดมหาศาล (แรงตบ) ดึงดูดสรรพสิ่งเข้าสู่ใจกลางหลุมดำ เกิดเป็น Galaxy ที่มีใจกลางเป็น หลุมดำล้อมรอบด้วยหลุมขาว (หมู่ดาวฤกษ์ที่ถูกดูดและหมุนวนเข้าหาใจกลางหลุมดำควบคู่การถูกเหวี่ยงออกเป็นแขน วงกลมหรือแขนวงรีรอบหลุมดำของแต่ละ Galaxy ทั้งเอกภพนับล้านล้าน Galaxy เอกภพ และ Galaxy เหล่านั้น ล้วน ประกอบด้วย สสารและพลังงาน ทั้งสสารมืดและสสารสว่าง ควบคู่พลังงานมืดและพลังงานสว่าง หมุนรอบตนเอง และ หมุนรอบหลุมดำที่เป็นใจกลางของการหมุน และสร้างแรงโน้มถ่วงแต่ละ Galaxy Galaxyที่มีมวลมากกว่าจะดึงดูด Galaxy ที่มีมวลเล็กกว่า ขยายและพองตัว (2 Galaxy Collision) Galaxy ดังกล่าว จะดำรงอยู่จนกลุ่มดาวฤกษ์รอบ หลุมดำ ระเบิด Supernova และดาวฤกษ์แกนกลางของ Galaxy ดับลง ทำให้ Galaxy นั้น ๆ เปลี่ยนเป็นพลังงานมืด ในรูปพลังงานหลุมดำ โคจรและดูดกลืนสรรพสิ่ง เป็นพลังงานมืดหมุนเวียนเปลี่ยนสลับจากสสารเป็น พลังงานไม่มีที่สิ้น สุด ไม่สูญสลายไปไหน ตราบเท่าที่ทั้งสสารหรือพลังงานนั้น ๆ ยังอยู่ภายใต้แรงดึงดูดและแรงโน้มถ่วงของเอกภพและ จักรวาล

กล่องที่ 3: การเปลี่ยนสถานะของน้ำ กับการเปลี่ยนสภาวะของจิตมนุษย์ 1. จิตมนุษย์ คือ พลังงานจิตที่เปลี่ยนสภาวะมาจากสสาร (ร่างกาย) เมื่อร่างกายเสื่อมโทรมหรือสิ้นอายุขัย (ตาย) พลังงานจิต (Quantum Field) ดำรง 2 สภาวะ (Super Position) ทั้งที่เป็นคลื่นสมอง 5 คลื่นที่เป็นพลังงาน จิตขาว (White Mind Galaxy) และพลังงานจิตดำ (Black Holemind Galaxy) ขึ้นอยู่กับคลื่นสมองและคุณภาพ การจัดวางอนุภาคของสนามพลังจิต (Chaos - Balance - Order) 1.1) สนามพลังจิต (Quantum Mind Field) จะเป็นจิตร้อนรนแสนสาหัสและจิตพลุ่งพล่านที่แผ่พลังงาน ความร้อน ความไร้สติ/ บ้าคลั่ง ระเบิดออกจากใจกลางหลุมดำแห่งจิต (Blackhole Mind Energy) มี Entropy สูง : คลื่นสมองไหว/ ฟุ้งกระจายขึ้นลงรวดเร็วและร้อนแรง (คลื่นแกมม่า) รองลงมา คลื่นที่ขึ้นลงเร็ว/ ไหวตามกิเลส (คลื่น เบต้า) + แรงดึงดูดของจิตจากใจกลางกลุมดำ (แรงยึดมั่นถือมั่นที่ความคิดปรุงแต่ง) จนเป็นตัวตน ที่ยึดมั่นเป็น ความ หลง (อวิชชา) ที่ทำให้สนามพลังจิตไร้ระเบียบ ร้อนรน และพลุ่งพล่าน 2. จิตหลง : หลุมดำในจิต : จิต อวิชชา 2.1) ยิ่งมีปัจจัยภายนอก 3 แรงพายุหมุนดีเปรสชั่น ของกิเลส (โลภ โกรธ หลง) หลุมดำในจิตจะกลายเป็น หลุมดำยักษ์ในจิต มนุษย์ที่บ้าคลั่ง ที่ซึมเศร้า ที่พร้อมจะฆ่ามนุษย์ผู้อื่นหรือฆ่าตนเอง 3. จิตนิ่ง/สงบ : จิตสมดุลย์ : จิตมีความเย็น มีพลังสติในพุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดความรูสึกตัวทั่วพร้อม รับรู้การไหวของอวัยวะสัมผัส ทั้ง 5 ช่องทาง เท่าทันความคิด และอารมณ์ที่ไหวฟุ้งออกนอกฐาน (ร่างกาย) ท่องเที่ยว ไปใน Space & Time ที่ทำให้เกิดมายาคติ Illusion & อวิชชา (Ignorance) สนามพลังจิตจึงสมดุลย์และอยู่ในสาย กลาง (Event Horizon) ไม่เข้าไปสู่ความสุดโต่งของทั้งหลุมดำจิตกับหลุมขาวจิต (ทุกข์และสุข) ที่เป็นอวิชชาที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน (ไตรลักษณ์) 4. จิตตื่นรู้ : พลังปัญญาญาณ : ที่เกิดจากการฝึกฝนจิต จนจิตใต้สำนึกตั้งมั่นเป็นฐานให้พลังจิตขาวอัดแน่น และหมุนวน จนเกิดการระเบิดในจิตขาว เป็นพลังญาณหยั่งรู้ (Intuition) ในใจกลางจิต (Inward) จำกัดและกำจัด ปัจจัยภายนอกทั้งปรับคลื่นสมองให้สงบและเย็น (คลื่นเดลต้า) ตลอดจนพลังหยั่งรู้อัดแน่น สูงสุดเป็นพลังตรัสรู้ อยู่ นอกแรงโน้มถ่วงของเอกภพและแรงยึดมั่นถือมั่น (+| -) ในใจกลางจักรวาลจิตมนุษย์ คือสภาวะนิพพานในพุทธ ศาสตร์นั่นเอง การเปลี่ยนสภาวะจิต มนุษย์ 3 ระดับ อวกาศเอกภพ หรือพหุจักรวาล Multi - Universe ที่ถือกำเนิดจากการ ระเบิดของอนุภาคที่เล็กมากและความอัดแน่นที่ยิ่งยวด (Singularity) ที่เรียกปรากฏการณ์ก่อกำเนิดจักรวาล ที่เรียก ว่า BiG Bang เมื่อราว 13.8 พันล้านปีที่ผ่านมา เมื่ออุณหภูมิของเอกภพเย็นลง กลุ่มแก๊ซเนบิวลา (แก๊สฮีเลียม + แก๊สไฮโดรเจน) อัดแน่นและทำปฏิกิริยา Nuclear Fusion เกิดเป็นดาวฤกษ์ (Hypernova) และเกิดการหลอมรวม กับเทหวัตถุคาร์บอน เกิดดาวเคราะห์และดาวบริวารที่โคตรรอบดาวฤกษ์เหล่านั้น

กล่องที่ 3: การเปลี่ยนสถานะของน้ำ กับการเปลี่ยนสภาวะของจิตมนุษย์ ครั้นเมื่อดาวฤกษ์หมดแก๊สที่เป็นพลังงานระเบิดและดับ (Supernova) ก็ดับกลายเป็นหลุมดำ ที่มีแรงดึงดูดมหาศาล (แรงตบ) ดึงดูดสรรพสิ่งเข้าสู่ใจกลางหลุมดำ เกิดเป็น Galaxy ที่มีใจกลางเป็นหลุมดำ ล้อมรอบด้วยหลุมขาว (หมู่ ดาวฤกษ์ที่ถูกดูดและหมุนวนเข้าหาใจกลางหลุมดำควบคู่การถูกเหวี่ยงออกเป็นแขนวงกลมหรือแขนวงรีรอบหลุมดำของ แต่ละ Galaxy ทั้งเอกภพนับล้านล้าน Galaxy เอกภพ และ Galaxy เหล่านั้น ล้วนประกอบด้วย สสารและพลังงาน ทั้ง สสารมืดและสสารสว่างควบคู่พลังงานมืดและพลังงานสว่างหมุนรอบตนเอง และหมุนรอบหลุมดำที่เป็นใจกลางของการ หมุน และสร้างแรงโน้มถ่วง แต่ละ Galaxy Galaxy ที่มีมวลมากกว่าจะดึงดูด Galaxy ที่มีมวลเล็กกว่า ขยายและพองตัว (2 Galaxy Collision) Galaxy ดังกล่าว จะดำรงอยู่จนกลุ่มดาวฤกษ์รอบหลุมดำ ระเบิด Supernova และดาวฤกษ์ แกนกลางของ Galaxy ดับลง ทำให้ Galaxy นั้น ๆ เปลี่ยนเป็นพลังงานมืด ในรูปพลังงานหลุมดำ โคจรและดูดกลืน สรรพสิ่ง เป็นพลังงานมืด หมุนเวียนเปลี่ยนสลับจาก สสารเป็นพลังงานไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สูญสลายไปไหน ตราบเท่าที่ทั้ง สสารและพลังงานนั้น ๆ ยังอยู่ภายใต้แรงดึงดูดและแรงโน้มถ่วงของเอกภพและจักรวาล

กล่องที่ 3: การเปลี่ยนสถานะของน้ำ กับการเปลี่ยนสภาวะของจิตมนุษย์ ในเอกภพในจักรวาลสิ่งมีชีวิต (สัตว์และมนุษย์) ตลอดจนสสารทุกชนิดบนโลกล้วนแปรเปลี่ยนสถานะจากสสาร เป็นพลังงาน แล้วหมุนเวียนแปรสภาวะพลังงานเป็นสสาร หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ภพ/ ภูมิแล้วภพภูมิเล่า ตราบเท่าที่จักรวาลหรือเอกภพมีแรงโน้มถ่วง และทุกสิ่งไหวและเคลื่อนที่ออกจากแรงระเบิด หรือแรงโน้มถ่วงของจักรวาลผ่านกาลอวกาศ ชีวิตมนุษย์ที่มี 2 สถานะหรือสภาวะ (กายและจิต : สสารและพลังงาน จิต) หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เกิดและดับ สลับเปลี่ยนจากร่างกายเป็นพลังงานจิต (วิญญาณ) อารมณ์แล้วอารมณ์เล่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ภพ/ ภูมิแล้ว ภพ/ ภูมิเล่า ตราบที่แรงดึงดูดในจิตวิญญาณ (ตามกฏแห่งกรรม) ยังบันทึก และดำรงอยู่ในดวงวิญญาณ (จิตสุดท้าย) นั้น ๆ เมื่อจิตแยกออกจากร่างกายตามอายุขัยของร่างกาย ชีวิตมนุษย์ก็จะ เป็นพลังงานจิตวิญญาณ ที่บันทึกข้อมูลของวิบากพลังจิตจากจิตที่ฝึกฝนจนผุดบังเกิดพลังสมาธิและพลังปัญญาญาณ และจากกรรมที่เกิดจากการประพฤติหรือใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละวัฒนธรรม/ ศาสนา/ อารยธรรมหรือภูมินิเวศน์ วิทยาตามกฏแห่งกรรมของพุทธศาสตร์ ทั้งการคิด การพูด การทำ และแปรเป็นพลังกุศล (+) พลังอกุศล (-) ใน วิญญาณ (จิตใต้สำนึกที่เกิดจากตั้งใจ จริงใจ และจดจ่อใจในการคิด พูด ทำ แต่ละครั้งของมนุษย์

กล่องที่ 4 ( สุดท้าย ) : จะเตรียมจิตสุดท้ายเพื่ ออะไร ? อย่างไร ? จิตสุดท้าย ตายแล้วไปไหน ?! เริ่มแรก จิตเกิด (จิตประภัสสร) จะรวมตัวกับไข่ของแม่และเชื้ออสุจิของพ่อ ปฏิสนธิเป็น Cell ที่มีชีวิตของ มนุษย์ แล้วเติบโตเป็นร่างกายมนุษย์ จาก ดิน น้ำ อากาศแสงแดด และอากาศ (ออกซิเจน) ประมาณ 70 - 100 ปี เมื่อร่างกายเสื่อมสลาย ชราและตาย จิตสุดท้าย (วิญญาณ) ก็จะแยกออกจากร่าง และจะถูกเหนี่ยวนำด้วย พลังงานจักรวาลไปสู่ภพภูมิที่คุณภาพของพลังกุศล/ อกุศล (พลังจิต +/-) ทั้งจากวิบากและกรรมที่มนุษย์คนนั้น ๆ ใช้ชีวิตสะสมมวลกรรม +/ - และสนามพลังจิต (สมาธิและปัญญา) ในระดับพลังจิต (Quantum Mind Energy Field) หมุนเวียน เกิดและดับภายใต้แรงเหนี่ยวนำของสนามพลังจิตวิญญาณดังกล่าว ในทางพุทธ ศาสตร์ เรียกว่า สภาวะการหมุนเวียนภายใต้กฏแห่งกรรม ในสังสารวัฏฏ (ไตรภูมิ) ในทางพุทธศาสตร์ ได้ค้นพบ ว่าวิญญาณเหล่านั้นจะวนเวียน ตามกฏแห่งกรรมของแต่ละดวงวิญญาณในไตรภูมิ คือ พรหมโลก นรกภูมิ และ กามภูมิ (เทวโลกและมนุษยโลก) ในทางสนามพลังจิตที่อธิบายด้วย Quantum Field และระดับข้อมูลพลังงาน จิตแต่ละระดับ(Entropy) 1.สนามพลังจิตสุดท้าย ที่เป็นพลังกุศล (+) : จะถูกเหนี่ยวนำ ไปสู่ “พรหมโลก” 2.สนามพลังจิตสุดท้าย ที่เป็นอกุศล (-) : จะถูกเหนี่ยวนำเข้าสู่ “นรกภูมิ” 3.สนามพลังจิตสุดท้าย ที่มีพลัง +>- ก็จะถูกเหนี่ยวนำไปเกิดใหม่ในเทวโลกที่มีแต่ “กายทิพย์/ พลังงาน” 4.สนามพลังจิตสุดท้าย ที่มีพลัง ->+ ก็จะถูกเหนี่ยวนำไปเกิดใหม่เป็น “มนุษย์หรือสัตว์” ที่มีทั้งร่างกาย และจิตใจ ภารกิจในการใช้ชีวิตและการเตรียมจิต (เสบียง) ก่อนตายจึงควรมุ่งใช้ชีวิตให้มีมวลกรรมที่เป็น มวล + (กรรมดี) มากกว่ามวล - (กรรมไม่ดี) และมุ่งฝึกฝน ชำระ และยกระดับคุณภาพสนามพลังจิตให้ผุดบังเกิดพลัง สมาธิ (สั้น กลาง ละเอียด และถาวร) พลังญาณการหยั่งรู้ เท่าที่จะฝึกฝนและสะสมในแต่ละกาละและเทศะ และแต่ละชาติที่เกิดมามีร่างกายภาวนาหรือฝึกฝนจิตตนเอง เฉพาะดวงวิญญาณที่ชำระมวลกรรม จนเป็นศูนย์ไม่มีแรงดึงดูดของจิตที่จะยึดมั่นถือมั่นในอวิชชา/ ตัวตน พลังจิตสมาธิและพลังปัญญาญาณ เข้าถึงการหยั่งรู้มองเห็นความจริงแท้และสัจธรรมธรรมชาติของสถานะสสาร (ร่างกาย) สภาวะพลังงาน (พลังจิต) ที่เป็นไตรลักษณ์เปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา เกิดการตรัสรู้ ของจิตเอง พลังจิตเป็น 0 ว่างจากแรงดึงดูดทั้งปวง เข้าสู่แดนนิพพานที่เป็นนิรันดร์ ไร้ขอบเขต และเป็นอนันต์ ดร . เอนกนาคะบุตร 5 มกราคม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook