การพัฒนาการ์ตนู แอนิเมชั่น 2 มิติ เรือ่ ง การปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ The Development of Two Dimensions Animation Cartoon in Caries Prevention สุภาพร ศรภี ธู ร โครงงานสารสนเทศศาสตร์นีเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สูตร ปริญญาศลิ ปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ ธันวาคม 2559 มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
การพัฒนาการต์ นู แอนิเมชน่ั 2 มติ ิ เร่ือง การปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ สภุ าพร ศรภี ธู ร โครงงานสารสนเทศศาสตรน์ ้เี ป็นส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลักสูตร ปริญญาศิลปศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าสารสนเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ ธันวาคม 2559 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประกาศคณุ ปู การ โครงงานสารสนเทศศาสตร์ ฉบบั นี้สาเรจ็ สมบูรณ์ไดด้ ว้ ยความกรณุ าและความชว่ ยเหลือ อยา่ งสูงยิง่ จาก ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ วลิ าวณั ย์ พรพัชรพงศ์ อาจารย์ทีป่ รึกษาโครงงานสารสนเทศศาสตร์ ท่ไี ดใ้ ห้ขอ้ คิด ใหค้ าปรึกษา คาชีแ้ นะ ตลอดจนการแก้ไขขอ้ บกพร่องต่างๆ เพื่อให้โครงงานสารสนเทศ ศาสตรฉ์ บับน้ีสมบรู ณ์ย่ิงขึ้น ผู้ศกึ ษาค้นควา้ ขอบพระคณุ เป็นอยา่ งยิง่ สูง ขอขอบพระคุณ คณาจารยป์ ระจาสาขาวชิ าสารสนเทศศาสตร์ ที่ไดใ้ หค้ าแนะนาและ ตรวจสอบกระบวนการศกึ ษาคน้ คว้า ตลอดจนการแก้ไขข้อบกพร่องเพ่อื ปรบั ปรุงให้ถูกต้องสมบูรณ์มาก ยิง่ ขน้ึ ขอขอบพระคณุ ผู้อานวยการ คณะอาจารย์ และนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี น โนนสงั วิทยาสรรค์ ตาบลโนนสัง อาเภอโนนสงั จังหวัดหนองบวั ลาภู ทอ่ี นเุ คราะห์ในการใช้เครื่องมือ โสตทศั นูปกรณ์ท่ีใชใ้ นการประเมนิ สือ่ การต์ นู แอนิเมชั่น 2 มิติ อานวยความสะดวก และใหค้ วามร่วมมือ สนบั สนุนการศกึ ษาค้นควา้ คร้ังนเ้ี ป็นอยา่ งดี ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา เพ่อื นๆ พี่ๆ ทีค่ อยสนบั สนนุ ช่วยเหลือ ห่วงใย คอยให้ กาลังใจและกาลงั ทรัพย์แก่ผู้ศึกษาค้นคว้าดีตลอดมา คณุ ค่าและประโยชน์อนั พงึ มีของโครงงานสารสนเทศศาสตรฉ์ บบั นี้ ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ ขอมอบ เปน็ เคร่ืองสักการะผมู้ ีพระคุณบิดา มารดา ผมู้ พี ระคุณ ตลอดจนบูรพาจารยท์ ใ่ี ห้การอบรมสั่งสอน ประสทิ ธิ์ประสาทวิชาทุกท่าน จนทาใหผ้ ู้ศึกษาค้นควา้ ประสบผลสาเร็จในการศึกษา สภุ าพร ศรีภูธร
ชอ่ื ภาษาไทย การพัฒนาการ์ตนู แอนิเมชนั่ 2 มติ ิ เรอ่ื ง การป้องกนั โรคฟันผุ ช่อื ภาอังกฤษ The Development of Two Dimensions Animation Cartoon in Caries Prevention ผศู้ กึ ษาค้นควา้ นางสาวสุภาพร ศรภี ูธร อาจารยท์ ป่ี รึกษา ผศ. วิลาวณั ย์ พรพัชรพงศ์ หลักสูตร ศิลปศาสตรบณั ฑิต (ศศ.บ.) สาขาวิชา สารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ปที ่พี ิมพ์ 2559 บทคดั ย่อ การต์ นู แอนเิ มชั่น 2 มติ ิ เร่อื ง การป้องกนั โรคฟันผุ ใช้สาหรบั เปน็ สือ่ ทีน่ าเสนอความรู้ เก่ียวกบั โรคฟันผุ ที่ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเองและตอบสนองต่อความต้องการเรยี นเปน็ อย่างดี และสามารถเรียนรู้ได้หลายคร้ังดว้ ยตนเอง ผูศ้ กึ ษาค้นคว้าทาการพัฒนาการต์ นู แอนิเมช่นั 2 มติ ิ เรอ่ื ง การป้องกนั โรคฟันผุ ดว้ ยความ มุ่งหมายของการศึกษา 1) เพื่อพัฒนาการ์ตูนแอนิเมชน่ั 2 มิติ เรอ่ื ง การป้องกันโรคฟนั ผุ 2) เพื่อศกึ ษา ความพึงพอใจของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นโนนสงั วิทยาสรรค์ ตาบลโนนสงั อาเภอ โนนสงั จังหวัดหนองบวั ลาภู จานวน 24 คน เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษาคน้ คว้าได้แก่ การต์ นู แอนเิ มช่นั 2 มติ ิ เร่ือง การปอ้ งกันโรคฟันผุ และแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้การต์ ูนแอนิเมชน่ั 2 มติ ิ เรื่อง การป้องกันโรคฟันผุ ผลการศกึ ษาคน้ คว้าพบวา่ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นโนนสงั วทิ ยาสรรค์ ตาบลโนนสัง อาเภอโนนสงั จงั หวัดหนองบวั ลาภู มีความพึงพอใจต่อการ์ตนู แอนิเมช่นั 2 มติ ิ เรอ่ื ง การ ป้องกันโรคฟนั ผุ โดยรวม ท้ัง 3 ด้านอยูใ่ นระดบั มาก (������̅ = 4.38) โดยเรยี งลาดับค่าเฉลยี่ จากมากไปหา น้อย ไดแ้ ก่ ด้านเน้ือหา อยใู่ นระดับมากท่ีสดุ (������̅ = 4.52) รองลงมา ไดแ้ ก่ ดา้ นเสยี ง อยู่ในระดับมาก (������̅ = 4.39) และด้านภาพ อยใู่ นระดบั มาก (������̅ = 4.24) ตามลาดบั
สารบญั บทที่ หน้า 1 บทนา ........................................................................................................................................ 1 ภมู ิหลงั ............................................................................................................................. ...... 1 ความมงุ่ หมายของการศกึ ษา ...................................................................................................2.. ขอบเขตของการศึกษา ......................................................................................................... 2 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ ได้รับ ...................................................................................................... 3 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ ............................................................................................................... 3 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง ............................................................................................... 4 หลักสตู รการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน กล่มุ สาระสุขศึกษาและพลศึกษา ...................................... 5 เอกสารเกย่ี วกบั ฟนั ........................................................................................................... 6 เอกสารเกย่ี วกบั โรคฟันผุ ................................................................................................... 9 แอนิเมชน่ั .......................................................................................................................... 12 การต์ นู .................................................................................................................... ........... 17 งานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข้อง ............................................................................................................ 20 3 วธิ ดี าเนินการศึกษาค้นคว้า .......................................................................................................23 การศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มลู เบื้องตน้ .............................................................................. 23 การออกแบบโครงเร่ือง ...................................................................................................... 24 ขัน้ ตอนการพัฒนาแอนิเมชนั่ ............................................................................................. 39 การประเมนิ ผล ................................................................................................................... 40 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ..............................................................................................................43 ผลการวิเคราะห์การพัฒนาการต์ นู แอนิมชั่น 2 มิติ ............................................................ 43 ผลการวเิ คราะห์ความพึงพอใจ .......................................................................................... 65
บทท่ี หนา้ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ...................................................................................6..9... สรุปผล .................................................................................................................................6..9 อภิปรายผล ..........................................................................................................................70 ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................. .......7..1 บรรณานุกรม ................................................................................................................................7..2... . ภาคผนวก ....................................................................................................................................7...6. ภาคผนวก ก แบบประเมินความพงึ พอใจ ............................................................................77 ภาคผนวก ข คู่มือการใชก้ ารต์ ูนแอนิเมช่ัน ...........................................................................8..0.... ภาคผนวก ค ภาพการเกบ็ ข้อมลู ..........................................................................................8. 2 ภาคผนวก ง ค่าสมั ประสิทธ์ขิ องแอลฟ่า ............................................................................. 84 ประวัตโิ ดยยอ่ ของผ้ศู ึกษาค้นคว้า .................................................................................................8..6.
บัญชีตาราง ตาราง หนา้ 1 การออกแบบโครงเรือ่ ง ..................................................................................................... 26 2 แสดงผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน โดยการหาค่าเฉล่ียและ ค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ............................................................................................... 69 3 แสดงผลการวเิ คราะห์ความพงึ พอใจของนักเรียน โดยการหาคา่ เฉลี่ยและ ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานด้านภาพ ................................................................................. 70 4 แสดงผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจของนกั เรียน โดยการหาคา่ เฉลี่ยและ คา่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานด้านเสยี ง .................................................................................. 71 5 แสดงผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจของนกั เรยี น โดยการหาคา่ เฉลยี่ และ ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานดา้ นเน้ือหา .............................................................................. 72 40
บัญชีภาพประกอบ ภาพประกอบ หนา้ 1 แสดงฟนั น้านม ................................................................................................................... 7 2 แสดงฟันแท้ ...................................................................................................................... 8 3 หนา้ แรกเขา้ สู่เนื้อเร่อื งการต์ นู แอนเิ มชน่ั 2 มติ ิ เรอื่ ง การป้องกันฟนั ผุ .............................. 47 4 หนา้ ช่ือเรอื่ งการ์ตูนแอนเิ มช่ัน 2 มิติ เรื่อง การป้องกนั ฟันผุ ............................................. 48 5 ส้มชวนแม่ไปบา้ นองุน่ ...................................................................................................... 48 6 สม้ กบั แม่กาลังเดนิ ไปบา้ นองุน่ ......................................................................................... 49 7 สม้ คุยกบั แม่องุน่ ที่หนา้ บา้ นองุ่น ........................................................................................ 49 8 ส้มถามองุ่นด้วยสีหนา้ เปน็ ห่วง .................................................................................... 50 9 องนุ่ พูดกับส้มด้วยสหี นา้ ท่กี าลังปวดฟัน ............................................................................ 50 10 องนุ่ อธิบายความหมายโรคฟนั ผุ ........................................................................................ 51 11 สม้ ถามสาเหตุการเกิดโรคฟันผุ ......................................................................................... 51 12 องนุ่ อธบิ ายสาเหตุการเกิดโรคฟันผุ ................................................................................. 52 13 องนุ่ อธิบายสาเหตุการเกิดโรคฟันผุ ................................................................................... 52 14 ส้มบอกลาอง่นุ เพื่อกลับบ้าน ............................................................................................ 53 15 ส้มกาลงั เดินกลบั บ้านและเดินผา่ นคลีนิคฟันสวย .............................................................. 53 16 ส้มชวนแมไ่ ปตรวจฟนั ในคลีนิค .......................................................................................... 54 17 สม้ คุยกับหมอท่หี น้าเคาน์เตอร์ ........................................................................................... 54 18 คณุ หมอกาลงั ตรวจฟันสม้ .............................................................................................. 55 19 คณุ หมอตกใจในความสวยของฟนั สม้ ................................................................................ 55 20 ส้มถามวธิ ีการป้องกนั โรคฟนั ผุ ........................................................................................... 56 21 คุณหมอแนะนาวธิ ีปอ้ งกันโรคฟนั ผุ .................................................................................... 56 22 หลกี เลีย่ งท็อฟฟ่ี น้าอัดลม และขนมหวาน ........................................................................ 57 23 กนิ ให้ครบอาหาร 5 หมู่ .................................................................................................... 57 24 แปรงฟนั ตอนตนื่ เช้าและก่อนนอน .................................................................................... 58 25 แปรงฟนั นานถึง 2 นาทีและใช้ยาสีฟนั ผสมฟลูออไรด์ ................................................. 58 26 ไม่ควรกินอาหาร 2 ชั่วโมงหลงั จากแปรงฟัน .................................................................... 59 27 พบทันตแพทยเ์ พ่ือตรวจสขุ ภาพฟัน ................................................................................... 59
บัญชีภาพประกอบ (ต่อ) ภาพประกอบ หน้า 28 เคลอื บฟลูออไรดท์ ุก ........................................................................................................ 60 29 เคลือบหลุมร่องฟันเมอ่ื ฟนั กรามแทซ้ ี่แรกขนึ้ หรือเม่ือฟนั มหี ลมุ ร่องลึก ..............................60 30 ตรวจฟันดว้ ยตนเอง ......................................................................................................... 61 31 คุณหมอถามวา่ มีอะไรสงสัยอีกไหม ...................................................................................61 32 ส้มกาลังคดิ วา่ จะถามอะไรคณุ หมอ .................................................................................. 62 33 ส้มคดิ คาถามออกแล้ว ................................................................................................... 62 34 คณุ หมอแนะนาวิธีตรวจฟนั ด้วยตนเอง .............................................................................63 35 คณุ หมอแนะนาการตรวจฟนั หนา้ บนและลา่ ง ................................................................. 63 36 คุณหมอแนะนาการตรวจฟันกรามดา้ นตดิ แก้ม .................................................................64 37 คุณหมอแนะนาการตรวจฟันล่างและฟนั กรามด้านใน .......................................................64 38 คณุ หมอแนะนาการตรวจฟนั บนและฟันกรามด้านใน .......................................................65 39 ส้มบอกลาคุณหมอเพื่อจะกลบั บา้ น .................................................................................. 65 40 บา้ นสม้ ตอนกลางคนื ....................................................................................................... 66 41 ส้มลุกออกจากโต๊ะอาหาร ............................................................................................... 66 42 สาระน่าร้กู บั คณุ หมอชมพู่ .............................................................................................. 67 43 รหู้ รือไม่ ............................................................................................................................ 67 44 ห้ามเด็กด่มื นมจากขวดแลว้ ใหด้ ่ืมนมจากแกว้ ....................................................................68 45 ห้ามเป่า เคี้ยว กัดอาหาร ..................................................................................................68
บทที่ 1 บทนา ภมู ิหลัง ปจั จุบนั การเกดิ โรคฟนั ผุในกลุ่มเดก็ ยังมแี นวโนม้ การเกิดโรคอยู่ในระดบั ท่สี ูง จากข้อมลู สถานการณส์ ขุ ภาพชอ่ งปากและฟนั ของคนไทยครัง้ ที่ 7 ปี 2555 พบวา่ กลุ่มเดก็ วัยเรยี นที่เริม่ มีฟันแท้ ขึน้ ในปาก ชว่ งอายุ 6-12 ปี รอ้ ยละ 52.2 เกดิ ภาวะฟันผุ ส่วนใหญ่เกดิ จากการบริโภคอาหาร เชน่ ขนม ลูกอม และเครื่องดื่มทม่ี ีน้าตาลสูง และเดก็ ไมไ่ ดร้ บั การฝึกทักษะในการดูแลทาความสะอาดชอ่ งปากให้ สะอาดเพียงพอ (สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ. 2557) ซึ่งปัญหาทเ่ี กิดจากสภาวะ ฟนั ผุเปน็ สาเหตหุ น่งึ ของการเกดิ ภาวะทุพโภชนาการและต้องทรมานจากอาการปวดฟนั คดิ เปน็ ครงึ่ หนง่ึ ของปัญหาคณุ ภาพชีวติ ท้ังหมดที่มาจากช่องปาก ซึ่งแสดงให้เหน็ ถงึ ความสาคัญของการปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ กดิ โรคฟันผุ ตลอดจนการรักษาตั้งแต่เน่นิ ๆ หากมฟี ันผุแล้ว ทั้งน้ี เด็กท่ีมีจานวนซี่ฟันผมุ ากกวา่ จะมีโอกาส ในการมีปัญหาคุณภาพชวี ิตสงู กวา่ อย่างเป็นลาดับขัน้ เม่ือเปรียบเทียบกับเด็กท่ีไม่มีฟนั ผุเลย (สานกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การสร้างเสริมสุขภาพ. 2558) การใหค้ วามรูเ้ ร่ือง การป้องกนั โรคฟันผุ อยู่ในกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เป็นสาระการเรยี นรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 แผนการจัดการ เรียนรู้ช้ันประถมศึกษาปีท่ี5 สาระที่ 4 การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพและการปอ้ งกันโรค (กระทรวง ศึกษาธิการ. 2551) การเรยี นการสอนวชิ า สุขศึกษา เรื่อง การปอ้ งกันโรคฟันผุ มรี ูปแบบการเรียนการ สอนแบบใชห้ นงั สือในการเรียนซงึ่ ทาให้ไม่มีจดุ เดน่ ทีจ่ ะกระตุ้นให้เดก็ อยากรู้ และส่งผลให้เดก็ เกดิ ความ เบ่ือหนา่ ยในรายวชิ าทาใหผ้ ลการเรยี นน้ันไมเ่ ปน็ ท่นี า่ พอใจและไมส่ ามารถนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น อนาคต (ธนากร ศรภี ูธร : สมั ภาษณ.์ 2559) การออกแบบสอ่ื การต์ ูนแอนเิ มชั่นมาจากความคดิ พนื้ ฐานทว่ี ่าเด็กชอบการเคลอ่ื นไหวไม่ หยดุ นิง่ และมสี สี ัน จะเป็นส่วนชว่ ยปลกู ฝังการเรียนรูใ้ นทางท่ถี ูกตอ้ งและเปน็ มิตใิ หมใ่ นการรณรงคใ์ ห้ เด็กมาใสใ่ จสุขภาพ รวมถงึ การรักษาความสะอาดส่วนรวม ซ่งึ แนวคิดเรื่องการใชน้ วัตกรรมสร้างเสรมิ สขุ นสิ ยั ด้วยการต์ นู แอนิเมชัน่ อาจจะเป็นทางเลือกหนึง่ ท่ชี ่วยยน่ ระยะเวลาในการเรียนการสอน และการ ปลูกฝงั ใหเ้ ดก็ นักเรยี นได้ตระหนักในการดูแลสุขนสิ ยั ของตนเอง (พรรณี บญั ชรหัตถกจิ . 2552) ซง่ึ จาก ผลการวิจยั การใชแ้ อนเิ มชนั่ เป็นส่อื ในด้านของการศึกษา พบว่า ช่วยทาให้ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น หลัง เรียนสงู ขน้ึ และนักเรยี นมคี วามพงึ พอใจในบทเรยี นอยู่ในเกณฑ์ดี (ดิจิทลั มเี ดยี เอาท์ซอร์ส โซลูช่นั . 2556) ด้วยเหตดุ งั กลา่ ว ผู้ศกึ ษาค้นควา้ จึงมีความสนใจทจ่ี ะพฒั นาการต์ ูนแอนเิ มชั่น 2 มิติ เรือ่ ง การป้องกนั โรคฟนั ผุ เพ่อื ช่วยเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการจดั การเรยี นการสอน และช่วยให้ผเู้ รียนสามารถ
2 นาความรู้ เจตคติ ไปใช้ในการแก้ปัญหาและดูแลสุขภาพในชวี ิตประจาวนั ซง่ึ สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมีคณุ ภาพ สขุ ภาพ และสขุ นิสยั ที่ดี ความมุ่งหมายของการศกึ ษา 1. เพอ่ื พฒั นาการต์ ูนแอนเิ มช่ัน 2 มติ ิ เรอ่ื ง การป้องกันโรคฟันผุ 2. เพอื่ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนโนนสังวิทยาสรรค์ ตาบลโนนสงั อาเภอโนนสัง จังหวดั หนองบัวลาภู ทีม่ ตี ่อการต์ นู แอนิเมช่นั 2 มติ ิ เร่ือง การปอ้ งกันโรค ฟนั ผุ ขอบเขตของการศึกษา การพฒั นาการ์ตูนแอนเิ มชนั่ 2 มิติ เพือ่ ใชป้ ระกอบในการจัดการเรยี นการสอนรายวิชาสุข ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 เร่อื ง การป้องกนั โรคฟันผุ ซ่ึงมีขอบเขตในการดาเนนิ งาน ดังน้ี (สานกั ทนั ตสาธารณสุข. 2556 : 23 ; กรมอนามัย. 2551 ; เอกรินทร์ สม่ี หาศาล. 2551 : 107) 1. ขอบเขตเนื้อหา 1.1 ความหมายโรคฟนั ผุ 1.2 สาเหตกุ ารเกดิ โรคฟนั ผุ 1.3 การป้องกนั โรคฟันผุ 1.3.1 การหลีกเลี่ยงอาหารท่ีทาใหเ้ กดิ โรคฟันผุ 1.3.2 การดูแลรักษาความสะอาดช่องปาก 1.3.3 พบทนั ตแพทย์เพ่ือตรวจสขุ ภาพฟันและเคลือบฟลูออไรด์ทุก 6 เดือน 1.3.4 การเคลือบหลุมรอ่ งฟนั 1.3.5 การตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเองเป็นประจา 1.3.6 การฝกึ หดั ใหเ้ ด็กเลิกดูดนมจากขวด 1.3.7 งดการเคย้ี ว เปา่ กัดอาหารป้อนเด็ก 2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง การศึกษาจากประชากรคร้งั นี้ ได้แก่ นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนโนนสงั วทิ ยาสรรค์ ตาบลโนนสงั อาเภอโนนสัง จงั หวดั หนองบัวลาภู จานวน 24 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 3. เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการศึกษา 3.1 ฮารด์ แวร์ทใ่ี ช้พฒั นา
3 3.1.1 เคร่อื งคอมพิวเตอร์ ASUS K46C Series 3.1.2 เมาส์ 3.1.3 ไมโครโฟน 3.2 ซอฟต์แวร์ที่ใช้พัฒนา 3.2.1 โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 3.2.2 โปรแกรม Adobe flash CS6 3.2.3 โปรแกรม Adobe Audition CS6 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ ได้การต์ นู แอนิเมช่ัน 2 มติ ิ เร่อื ง การป้องกนั โรคฟันผุ เพือ่ ใชใ้ นการประกอบการเรียน รายวชิ า สขุ ศึกษาและพลศึกษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 และเพ่ือเปน็ สอ่ื ทส่ี ง่ เสรมิ การเรยี นร้ดู ้วยตนเอง นิยามศัพทเ์ ฉพาะ แอนิเมช่นั 2 มติ ิ หมายถึง การนาภาพเคล่ือนไหว (Animation) เสียง (Sound) มาผสมเขา้ ด้วยกนั ผ่านโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ เรื่อง การป้องกนั โรคฟันผุ การปอ้ งกนั หมายถึง การปฏบิ ตั ิเพื่อไมใ่ หเ้ กิดโรคฟนั ผุ ซ่งึ ประกอบดว้ ย การหลกี เล่ยี ง อาหารท่ที าใหเ้ กดิ โรคฟนั ผุ การดแู ลรกั ษาความสะอาดชอ่ งปาก พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสขุ ภาพฟนั และเคลือบฟลูออไรด์ทุก 6 เดอื น การเคลือบหลุมร่องฟนั การตรวจสุขภาพช่องปากดว้ ยตนเองเป็น ประจา การฝึกหดั ให้เดก็ เลิกดูดนมจากขวด งดการเคย้ี ว เป่า กัดอาหารป้อนเด็ก
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง ในการศึกษาพฒั นาการต์ ูนแอนเิ มชน่ั 2 มิติ เร่อื ง การป้องกันโรคฟันผุ ผ้ศู ึกษาคน้ ควา้ ได้ ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งตามลาดบั ดงั นี้ 1. หลกั สูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน กลมุ่ สาระสุขศกึ ษาและพลศึกษา 2. เอกสารเกี่ยวกบั ฟนั 2.1 ความหมายของฟนั 2.2 ชนิดของฟนั 2.3 โครงสรา้ งของฟัน 2.4 หนา้ ท่ีของฟัน 3. เอกสารเก่ยี วกบั โรคฟันผุ 3.1 ความหมายโรคฟนั ผุ 3.2 สาเหตโุ รคฟันผุ 3.3 อาการโรคฟนั ผุ 3.4 การปอ้ งกันโรคฟนั ผุ 4. แอนเิ มช่นั 4.1 ความหมายของแอนิเมชน่ั 4.2 แอนิเมชน่ั กับการศึกษา 4.3 ประเภทของแอนิเมช่ัน 4.4 ข้ันตอนการสร้างแอนิเมชน่ั 4.5 โปรแกรมทีใ่ ช้พัฒนาแอนเิ มช่ัน 2 มติ ิ 5. การต์ นู 5.1 ความหมายของการ์ตนู 5.2 ประโยชนข์ องการ์ตูนทม่ี ีต่อการเรยี นการสอน 5.3 หลักการพ้นื ฐานเกย่ี วกับการสร้างและออกแบบการ์ตนู 6. งานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง
5 หลักสตู รการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน กลุ่มสาระสุขศกึ ษาและพลศึกษา สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้กลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศกึ ษา ประกอบดว้ ยดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551: 149-166) สาระที่ 1 การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการของมนุษย์ ผเู้ รยี นจะได้เรียนรู้เร่อื งธรรมชาติของ การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการเจรญิ เติบโต ความสมั พันธเ์ ช่ือมโยงใน การทางานของระบบต่างๆของร่างกาย รวมถงึ วธิ ีปฏบิ ัตติ นเพื่อใหเ้ จริญเติบโตและมพี ัฒนาการท่สี มวัย มาตรฐาน พ 1.1 เขา้ ใจธรรมชาติของการเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ สาระที่ 2 ชวี ิตและครอบครัว ชีวิตและครอบครัว ผ้เู รยี นได้เรียนรเู้ รื่องคุณคา่ ของตนเองและครอบครัว การปรบั ตัว ตอ่ การเปลีย่ นแปลงทางรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ความร้สู กึ ทางเพศ การสร้างและรักษาสัมพนั ธภาพกบั ผ้อู ่ืนสขุ ปฏิบัติทางเพศ และทักษะในการดาเนินชวี ติ มาตรฐาน พ 2.1 เขา้ ใจและเหน็ คุณค่าตนเอง ครอบครวั เพศศกึ ษา และมที ักษะใน การดาเนินชวี ิต สาระที่ 3 การเคลอื่ นไหว การออกกาลงั กาย การเลน่ เกม กีฬาไทย และกีฬาสากล การเคล่อื นไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผเู้ รยี นได้ เรยี นรเู้ รือ่ งการเคลอื่ นไหวในรูปแบบตา่ ง ๆ การเขา้ ร่วมกิจกรรมทางกายและกฬี า ท้ังประเภทบุคคล และประเภททมี อย่างหลากหลายทั้งไทยและสากล การปฏิบตั ติ ามกฎ กติกา ระเบียบ ข้อตกลงในการ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทางกายและกฬี า และความมีนา้ ใจนักกีฬา มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทกั ษะในการเคลอื่ นไหว กิจกรรมทางกาย เลน่ เกม และกฬี า มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกาลังกาย การเล่นเกม และการเล่นกฬี า ปฏบิ ตั ิเป็น ประจาอยา่ งสม่าเสมอ มีวนิ ยั เคารพสิทธิ กฎ กติกา มนี า้ ใจนกั กฬี า มีจิตวิญญาณในการแขง่ ขนั และชื่น ชมในสุนทรยี ภาพของการกีฬา สาระที่ 4 การสรา้ งเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค ผ้เู รยี นจะไดเ้ รียนร้เู กยี่ วกบั หลกั และวธิ กี ารเลือกบริโภคอาหาร ผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ การสร้างเสรมิ สมรรถภาพเพื่อสขุ ภาพ และการป้องกันโรคทงั้ โรคตดิ ตอ่ และโรคไมต่ ิดต่อ มาตรฐาน พ 4.1 เหน็ คณุ ค่าและมีทักษะในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การดารงสุขภาพ การปอ้ งกันโรคและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพือ่ สขุ ภาพ
6 สาระที่ 5 ความปลอดภยั ในชีวติ ความปลอดภยั ในชวี ิต ผู้เรียนจะไดเ้ รียนรู้เรอ่ื งการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเสย่ี ง ตา่ งๆทั้งความเสีย่ งต่อสขุ ภาพ อบุ ัติเหตุ ความรนุ แรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด รวมถงึ แนวทางในการสร้างเสรมิ ความปลอดภยั ในชวี ติ มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกนั และหลีกเล่ยี งปัจจยั เสยี่ ง พฤตกิ รรมเสีย่ งตอ่ สุขภาพ อบุ ัตเิ หตุ การใช้ยาสารเสพตดิ และความรุนแรง เอกสารเกย่ี วกับฟนั 1. ความหมายของฟนั ฟัน คือ อวยั วะทีแ่ ข็งแรงที่สุดในร่างกาย โดยมคี วามแขง็ มากกวา่ กระดูกเปน็ อวยั วะเดยี ว ท่ีไม่มีการเตบิ โตเพม่ิ ขนาด หรอื เปล่ียนรูปรา่ ง หลังจากข้ึนมาในช่องปากแลว้ แต่ฟนั ยงั เป็นอวยั วะทีม่ ี ชีวติ รับความรู้สกึ และเจบ็ ปวดได้ ถ้ามีการสึกกร่อน หรอื ทาลายของเน้อื ฟนั ลง (กองทันตสาธารณสุข กรมอนามยั . 2540) 2. ชนิดของฟัน สามารถแบง่ ออกได้ 2 ชนิดดังน้ี (กติ ติ สพุ นั ธว์ุ ณชิ . 2528 : 156) 2.1 ฟันชดุ ท่ี 1 เรยี กว่า ฟันนา้ นมเปน็ ฟันชดุ แรก มี 20 ซี่ แบง่ อยู่ในขากรรไกรบน 10 ซ่ี และอยู่ในขากรรไกรล่าง 10 ซ่ี ในแตล่ ะขากรรไกร จะมีฟนั หน้าหรอื ฟันตดั (incisor) 4 ซ่ี ฟนั เข้ียว (canine) 2 ซี่ และฟันกราม (molar) 4 ซ่ี ฟนั นา้ นมซแี่ รกจะ ปรากฏให้เห็นในชอ่ งปากเป็นฟันตัด เมื่อ อายุไดป้ ระมาณ 6 เดอื น การข้นึ ของฟันน้านมจะดาเนินเร่ือยไป และขึน้ ครบทุกซ่ี เม่ืออายไุ ดป้ ระมาณ 2 ขวบคร่ึง ดังภาพประกอบ 1 ภาพประกอบ 1 แสดงฟนั นา้ นม (ลลติ า ธรี ะศิร.ิ 2527)
7 2.2 ฟันชุดท่ี 2 เรียกวา่ ฟนั แท้ มี 16 ซ่ี แบง่ อยู่ในขากรรไกรบน 16 ซี่ และอยู่ใน ขากรรไกรลา่ ง 16 ซ่ี ในแตล่ ะขากรรไกรมีฟนั หน้าหรือฟันตัด 4 ซ่ี ฟนั เข้ียว 2 ซ่ี ฟันกรามนอ้ ย (premolar) 4 ซี่ และฟันกราม 6 ซ่ี ฟันแท้ซแี่ รกข้ึนปรากฏใหเ้ หน็ ในชอ่ งปากเป็นฟันกรามซท่ี ่ีหน่งึ ซ่งึ ขึน้ เรียงต่อจากฟนั กรามนา้ นมเม่ือเด็กอายุไดป้ ระมาณ 6 ปี ฟันน้านมซ่ีแรกคือ ฟันหน้า จะเรมิ่ หลุดและมี ฟันแทซ้ ่ึง เป็นฟันหน้าเช่นกนั ขนึ้ แทนท่ี เม่ือเด็กอายุไดป้ ระมาณ 7 ขวบ สขี องฟันแทจ้ ะเหลอื งเขม้ กว่าสี ของฟนั นา้ นม สงั เกตเห็นได้ชัด การหลุดของฟนั น้านมและมีฟนั แท้ ข้ึนมาแทนท่ี จะดาเนินไปจนอายุได้ ประมาณ 11 ปี ฟนั นา้ นมกห็ ลุดหมด และมีฟนั แท้ขึ้นแทนครบทกุ ซ่ี การขึ้นของฟันแท้จะดาเนนิ ไปจน ครบทกุ ซเี่ ม่อื อายุได้ประมาณ 18-20 ปี แตบ่ างคนฟันกรามซ่ที ี่ 3 ไมส่ ามารถจะขน้ึ ได้ เนื่องจากมีเน้อื ที่ ไม่พอ เรียกว่า ฟนั ชน หรอื ฟันคุด (impacted teeth) แต่บางคนก็ไม่มีฟนั กรามซ่ีที่ 3 เนอ่ื งจากไม่มี หนอ่ ฟัน (tooth bud) ดงั ภาพประกอบ 2 ภาพประกอบ 2 แสดงฟนั แท้ (ลลิตา ธรี ะศริ .ิ 2527) 3. โครงสร้างของฟนั สามารถแบง่ ออกได้ 2 โครงสร้างดังนี้ (วรกญั ญา บูรณพัฒนา. 2558 : 1-7) 3.1 โครงสรา้ งภายนอกของฟัน 3.1.1 ตวั ฟนั คือ ส่วนที่โผลข่ ึ้นมาในชอ่ งปาก ทาหน้าทบ่ี ดเคี้ยวอาหาร ฉีก ตัดและบด อาหารใหม้ ีขนาดเลก็ ลงพอทจี่ ะสง่ ต่อไปยังอวัยวะในระบบการย่อยอาหารอนื่ ๆได้ นอกจากนยี้ ังสามารถ ช่วยปกป้องอวยั วะในช่องปากไมใ่ ห้ได้รับอันตราย ช่วยในการพูด การออกเสยี ง และสรา้ งความสวยงาม
8 3.1.2 รากฟัน คือ สว่ นท่ีต่อลงมาจากตัวฟัน ฝังอยู่ในกระดกู ขากรรไกร โดยอาศยั โครงสร้างตา่ งๆ อนั ประกอบไปด้วย สารเคลอื บรากฟัน, เอ็นยึดปริทันต์ และกระดูกเบา้ ฟัน ช่วยในการ ยึดตดิ กบั กระดูกขากรรไกร 3.2 โครงสร้างภายในของฟัน 3.2.1 สารเคลือบฟัน เปน็ ส่วนทจ่ี ะปกคลุมตวั ฟนั ซึ่งมโี ครงสรา้ งท่มี ีความแขง็ ทีส่ ุด ภายในรา่ งกายมนุษย์ แต่เปราะ เนอ่ื งจากส่วนประกอบของสารเคลือบฟนั เปน็ สารอนนิ ทรีย์ (inorganic) ถึง 96 เปอรเ์ ซ็นต์ สว่ นอีก 4 เปอร์เซน็ ต์เปน็ สารอนิ ทรีย์ (organic) และนา้ ตามปกตเิ ฉพาะสว่ นของสาร เคลือบฟนั จะมีความโปร่งใสและมีสแี ตกตา่ งกนั ไป ตัง้ แต่สีเหลืองอ่อนจนถึงสีเทาขาว แต่เนอื่ งจากส่วน ของสารเคลือบฟันจะปกคลุมเนอ้ื ฟนั ซ่ึงมสี ีเหลือง ดงั นนั้ สขี องฟนั ท่ีมองเห็นจึงขน้ึ อยู่กับความหนาของ สารเคลือบฟนั ดว้ ย โดยบรเิ วณทส่ี ารเคลอื บฟนั มคี วามบาง เช่น ทีบ่ รเิ วณคอฟนั (cervical) จะเห็นเป็นสี เหลอื งมากกวา่ บริเวณปุ่มฟนั (cusp) ซึ่งจะเป็นส่วนที่สารเคลือบฟนั มีความหนามาก และเมอ่ื สงั เกต บริเวณปลายฟนั ตดั (incisal edge of incisor) จะย่งิ เหน็ ความโปรง่ แสงมากขึน้ เพราะเป็นบริเวณทีม่ ี เนอ้ื ฟนั น้อย และในคนสงู อายุสว่ นของสารเคลือบฟนั จะมีการสึกลงไป ทาใหฟ้ นั ของคนท่ีมอี ายมุ ากมีสี เหลืองมากกว่าคนท่ีอายุน้อยความหนาของสารเคลือบฟันแตล่ ะบริเวณจะไมเ่ ท่ากนั ทบ่ี รเิ วณปลายฟนั ตดั หรอื บริเวณด้านบดเคี้ยวของฟนั จะมีความหนาเฉล่ยี ถึง 2.5 มิลลิเมตร ในขณะทีบ่ รเิ วณอนื่ ๆ ก็จะ ค่อยๆบางลงและบางมากทส่ี ุดทบ่ี ริเวณคอฟัน 3.2.2 เนือ้ ฟัน เปน็ ส่วนประกอบสว่ นใหญ่ของฟัน มีลกั ษณะเป็นสเี หลือง ซง่ึ ประกอบ ไปด้วยสารอนินทรยี ์ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์, สารอินทรีย์ 20 เปอรเ์ ซ็นต์ และอกี 10 เปอรเ์ ซ็นต์ มีน้า เป็นองค์ประกอบหลักของสารอนินทรีย์ คือ ผลึกแคลเซียมฟอสเฟตหรอื ไฮดรอกซีอะพาไทท์ เชน่ เดียว กับทพ่ี บในสารเคลือบฟัน ในสว่ นทเี่ ปน็ สารอนิ ทรีย์ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ของสารอนิ ทรยี ์ จะประกอบไปด้วย เส้นใยคอลลาเจนชนิดท่ี 1 (type I collagen) ทีเ่ หลือจะเป็นพวกไกลโคโปรตนี (glycoprotein), โปรที โอไกลแคน (proteoglycan) และฟอสโฟโปรตนี (phosphoproteins) จากองคป์ ระกอบข้างต้นเนื้อฟนั จงึ มคี วามแขง็ มากกวา่ กระดูก แตแ่ ขง็ น้อยกว่าสว่ นของสารเคลอื บฟนั ดังน้ันหน้าที่หลกั ของเนอื้ ฟันคือ ทาหน้าทีเ่ ปน็ สว่ นรองรับสารเคลือบฟัน เพื่อเพ่ิมความยืดหยนุ่ ให้กบั สารเคลือบฟนั เนอ่ื งจากสารเคลอื บ ฟนั มคี วามแขง็ มาก จึงทาให้มีลักษณะเปราะ ถา้ ไม่ถูกรองรับดว้ ยโครงสรา้ งทม่ี ีความอ่อนกว่า จะทาให้ไม่ สามารถรับแรงจากการบดเคี้ยวโดยไม่เกิดการแตกร้าวได้ ส่วนของเน้อื ฟัน ถา้ มองด้วยกล้องจุลทรรศนท์ ี่ มีกาลังขยายสงู จะทาให้เหน็ เปน็ ลักษณะคลา้ ยกบั ท่อทเ่ี รียกว่า dentinal tubule ซง่ึ ในท่อนี้จะมีสว่ นยื่น ของเซลลส์ รา้ งเนื้อฟัน ทเี่ รียกวา่ Odontoblastic process อย่ภู ายใน สว่ นของท่อน้ที อดตัวยาวตง้ั แต่ บรเิ วณรอยตอ่ ของเน้อื ฟันและสารเคลอื บฟนั (dentino-enamel junction หรือ DEJ) ไปจนถงึ บริเวณ ของเน้ือเยื่อในของฟนั (dental pulp) และเนือ่ งจากปลายสว่ นย่นื ของเซลล์สร้างเนือ้ ฟันเปน็ ส่วนที่รบั ความรู้สกึ ได้ จงึ ทาให้บริเวณรอยต่อของเนอ้ื ฟนั และสารเคลือบฟันเปน็ สว่ นที่ไวตอ่ ความรู้สกึ เนือ่ งจาก ปลายส่วนยืน่ ของเซลลส์ รา้ งเนือ้ ฟนั จะมาสน้ิ สดุ ทบ่ี รเิ วณน้ี
9 3.2.3 โพรงฟัน หรือเน้ือเยอ่ื อ่อน ประกอบด้วยหลอดเลอื ด และเส้นประสาท ซง่ึ ผ่าน เข้าโพรงประสาทฟนั ทางรูปเปิดทป่ี ลายรากฟนั อวยั วะเหล่าน้ีอยู่ภายในชอ่ งวา่ ง ใจกลางฟัน ทเี่ รยี กวา่ โพรงประสาทฟนั (Pulp cavity) ทาหน้าท่ีนาอาหารหล่อเล้ียงฟนั และรบั คววามรูส้ กึ จากฟนั ไปส่สู มอง โพรงประสาทฟันแบ่งออกเป็น 2 สว่ น คือ โพรงประสาทฟันในตัวฟัน (Pulp Chamber) มีรปู รา่ งไปตาม ตวั ฟัน และปุมฟนั และโพรงประสาทในคลองรากฟนั (Pulp canal) บรเิ วณผนงั โพรงประสาทฟนั จะมี เซลล์ ameloblast ซงึ่ ทาหน้าท่ีสร้างเน้อื ฟันเรยี งตวั อยู่ เม่ือมีสง่ิ มากระตุ้นหรือทาอันตรายตอ่ ประสาท ฟนั เซลล์น้จี ะสร้างเน้ือฟันเพ่ือปกป้องไม่ให้อันตรายนนั้ เข้ามาทาอนั ตรายต่อประสาทฟนั 3.2.4 สารเคลือบรากฟนั เป็นสว่ นที่ปกคลมุ ผิวนอกของรากฟันทั้งหมด สารเคลอื บราก ฟนั เปน็ เน้ือเยื่อแขง็ และมีคุณลักษณะคล้ายกระดูก ไม่มเี ส้นเลอื ด ส่วนประกอบของสารเคลือบรากฟนั 50 เปอร์เซ็นต์เปน็ สารอนนิ ทรีย์ ซึง่ กเ็ ป็นผลกึ แคลเซยี มฟอสเฟตหรือไฮดรอกซีอะพาไทท์เชน่ เดยี วกนั กบั เคลอื บฟัน, เนอื้ ฟันและกระดูก สว่ นสารอินทรยี ท์ เ่ี หลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญจ่ ะเป็นคอลลาเจน สารเคลือบรากฟนั มี 2 ชนดิ คอื สารเคลอื บรากฟนั ท่ไี มม่ เี ซลล์ (acellular cementum) และสารเคลือบ รากฟนั ที่มเี ซลล์ (cellular cementum) สารเคลอื บรากฟันท่ไี ม่มเี ซลล์จะอยู่ตดิ กบั เน้ือฟัน โดยปกคลุม เนอ้ื ฟันต้ังแต่บริเวณคอฟันต่อจากเคลือบฟนั จนถึงปลายรากฟนั ส่วนสารเคลอื บรากฟนั ที่มีเซลลจ์ ะอยู่ ชน้ั นอกสุด ปกคลุมสารเคลือบรากฟันท่ไี ม่มีเซลลอ์ ีกที โดยสารเคลือบรากฟันที่ไม่มเี ซลลจ์ ะทาหน้าท่ีเป็น ท่ยี ึดเกาะของเอ็นยดึ ปรทิ ันต์ (periodontal ligament) สว่ นสารเคลอื บรากฟนั ท่ีมีเซลล์จะทาหนา้ ท่ี เกีย่ วกับการปรับตวั 4. หนา้ ทข่ี องฟนั สามารถแบ่งออกได้ 4 ลกั ษณะดังนี้ (นสิ า เจียรพงศ.์ 2535 : 43) 4.1 ฟันตัด มลี ักษณะแบนและบางเหมือนจอบหรือสวิ่ มขี อบหน้าคม ทาหนา้ ทีต่ ดั กัด หรือฉีกอาหาร 4.2 ฟนั เขยี้ ว มลี กั ษณะซ่ใี หญ่ หนา แขง็ แรง มียอดปลายแหลม ทาหนา้ ทฉ่ี ีก และดงึ อาหาร 4.3 ฟันกรามนอ้ ย มีลักษณะเปน็ ป่มุ ค่อนข้างเตยี้ 2-3 ปมุ่ ทาหนา้ ทีบ่ ดเค้ยี วอาหาร 4.4 ฟันกราม ลักษณะปมุ่ เต้ีย 3-6 ปุ่ม ทาหนา้ ท่บี ดเคย้ี วอาหาร เอกสารเกย่ี วกับโรคฟนั ผุ 1. ความหมายโรคฟนั ผุ โรคฟนั ผุ คอื โรคที่มกี ารทาลายฟัน ส่วนที่โผล่ขึน้ มาในช่องปาก ซ่งึ เกิดได้ทงั้ ในสว่ นของ ตวั ฟัน และรากฟนั ซึ่งรากฟนั โดยปกติจะอยใู่ ตข้ อบเหงือก แต่เมือ่ มีการร่นของเหงือก จะทาให้รากฟนั โผลข่ น้ึ ไปสัมผสั กบั สภาวะในช่องปาก ไม่วา่ จะด้วยสาเหตจุ าก โรคปริทนั ต์ ทีเ่ กดิ จากการแปรงฟนั ผดิ วธิ ี
10 หรอื สาเหตุอนื่ ใดก็ตาม ซงึ่ พบไดใ้ นวยั กลางคนข้ึนไป ทาใหเ้ กดิ รอยผทุ ี่รากฟันได้ รอยผโุ ดยทว่ั ไป จะมีสี นา้ ตาลดา หรอื เปน็ โพรง เป็นรูข้นึ การทาลายนจี้ ะเกิดข้ึนถาวร ไมม่ ที างท่จี ะหายเอง ไมส่ ามารถใช้ยา รกั ษาได้ และไมม่ ีทางท่จี ะทาให้เนื้อฟนั ท่ผี ุ หรอื เสียไปแลว้ กลบั คอื มาดังเดิมได้ (กองทนั ตสาธารณสุข กรมอนามัย. 2540) 2. สาเหตโุ รคฟนั ผุ ปัจจัยการเกดิ โรคฟันผุจะมีอยู่ 4 ประการดังน้ี (คณะทนั ตแพทย์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร.์ 2556) 2.1 สาเหตุจากฟัน คือ สภาพฟันแต่ละคนมีความลึกหรือรอยหยาบของฟันทแี่ ตกตา่ งกัน ซึ่งมีผลต่อการสะสมและถูกกัดเซาะที่แตกต่างเชน่ กนั สาหรับผู้เปน็ โรคเหงอื ก หรอื เหงือกร่น กม็ ีความ เสย่ี ง เพราะส่วนของ Dentin จะถกู สมั ผัสกับกรดงา่ ยขนึ้ และในชนั้ ของ Dentin จะเปน็ ช้ันท่มี เี กลือแร่ เป็นส่วนประกอบน้อยกว่าผวิ ฟันส่วนอนื่ จงึ ทาให้ฟนั ผุได้งา่ ยกว่า เพราะผวิ ฟันปกติจะสามารถทนกรดได้ ในระดบั ph 5.5 จึงจะเกดิ ฟันผุ 2.2 เชอ้ื แบคทีเรยี คอื การสะสมของคราบจุลินทรยี ์ท่มี อี ยู่ในช่องปาก เม่ือมีมากขึ้นจะทา ใหเ้ กดิ คราบหนิ ปนู ท่จี ะหลัง่ กรดออกมาทาลายผิวฟนั ให้ฟันผไุ ด้ 2.3 อาหาร คือ อาหารที่มแี ปง้ น้าตาลจะถูกย่อยโดยเชอ้ื แบคทีเรีย ทาให้เกิดกรดซึ่งหาก ฟนั สมั ผัสกรดเป็นเวลานาน หรือบ่อย ผิวฟันก็จะสกึ และผุ ดงั นั้นจึงไม่ควรรับประทานอาหารจาพวกแป้ง หรือนา้ ตาลให้บ่อยมาก 2.4 ระยะเวลา คือ โดยปรกตเิ ม่ือรบั ประทานอาหารโดยเฉพาะแปง้ และน้าตาล แล้วไมม่ ี การทาความสะอาดปลอ่ ยให้หลงเหลอื ไว้เชือ้ แบคทีเรยี จะยอ่ ยสลายทาให้เกดิ กรด และมกี ารละลายของ ผิวฟัน แต่ปรมิ าณนา้ ลายและเกลือแร่ในน้าลายจะลดความเปน็ กรดและเติมเกลือแรใ่ ห้กับฟัน ดังน้นั หาก รับประทานอาหารบ่อยเกินไป หรือนา้ ลายนอ้ ยก็จะทาใหฟ้ ันอย่ใู นสภาพเป็นกรดนาน ซง่ึ ฟันจะเส่ียงต่อ การเกดิ ฟันผไุ ด้ 3. อาการโรคฟันผุ สามารถแบง่ ออกได้ 4 ระยะอาการดงั นี้ (กองทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามัย. 2540) 3.1 ระยะท่ี 1 คือ กรดเริ่มทาลายชัน้ เคลือบฟนั อาจเหน็ เป็นรอยสีขาวขุ่นบริเวณที่เปน็ ผวิ เรียบของฟนั หรือตามกลมุ่ รอ่ งฟนั ท่มี ีสีเทาดาที่ยงั ไมม่ ีอาการ ซง่ึ การแปรงฟนั ใหส้ ะอาด และใช้ ฟลอู อไรด์ทาเฉพาะที่ อาจจะสามารถชว่ ยยับยัง้ การลกุ ลามได้ 3.2 ระยะท่ี 2 คอื การกัดกร่อนลกึ ลงไปถึงชั้นของเนื้อฟัน ซึ่งมลี กั ษณะสีเทาดาเหน็ รูผุ ชัดเจนขึ้น และจะมเี ศษอาหารตดิ การผชุ ั้นน้ีจะลกุ ลามเรว็ กว่าระยะแรก เน่ืองจากเนื้อฟันแขง็ แรงน้อย กวา่ ช้ันเคลือบฟัน และจะเร่มิ มอี าการเสียวฟัน เม่ือถกู ของร้อน เยน็ หรือหวานจดั ซง่ึ ระยะนี้จาเป็นต้อง พบทนั ตแพทย์เพ่ือทาการรกั ษาโดยการอุดฟนั
11 3.3 ระยะที่ 3 คอื ระยะขัน้ รนุ แรงข้นึ เม่ือมีการทาลายลึกถึงโพรงประสาทฟัน ทาให้เกิด การอักเสบของเนื้อเยอ่ื ภายในโพรงประสาทฟัน ซึง่ อาจทาให้มีอาการปวดรุนแรงมาก ปวดตลอดเวลา หรอื มีอาการปวดเป็นพักๆ เคี้ยวอาหารคอ่ นข้างลาบาก มีการตกคา้ งของเศษอาหารในโพรงฟนั สกปรก มกี ลิ่นเหมน็ เมื่อถึงระยะน้ีผู้ป่วยมกั จะนกึ ถึงทันตแพทย์จะอยากถอนฟนั ทนั ที เพราะรบั ประทานยาแลว้ อาการก็ยังไมท่ เุ ลาลง ซง่ึ ความจริงแล้ว การมาพบทันตแพทย์ในระยะน้ีค่อนข้างสายไป เพราะเมือ่ ฟนั ผุ ทะลุถึงโพรงประสาทฟนั แล้ว การอดุ ฟนั ตามปกติจะทาไม่ได้เพราะจะปวดฟันมาก ซ่ึงจะทาไดเ้ พยี งบางซ่ี ทม่ี สี ภาพเหมาะสมเท่าน้ัน 3.4 ระยะที่ 4 คือ ระยะที่เน้ือเย่ือโพรงประสาทฟันถูกทาลายจนหมด การเน่าลกุ ลามไปท่ี ปลายราก อาจจะเจบ็ ๆ หายๆ เปน็ ช่วงๆ อาจเกดิ ฝี หรอื หนอง บริเวณปลายรากและใบหน้า เกดิ การ บวม หรอื ฝีทะลมุ าท่ีเหงือก แกม้ ฟนั โยก แตกหัก เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด และระบบน้าเหลือง ของร่างกายได้ การรักษาถ้ารักษาไมไ่ ด้ก็จาเป็นต้องถอน และหลงั การถอนบางตาแหนง่ ตอ้ งใส่ฟันปลอม ทดแทน เพอ่ื ความสวยงาม เพือ่ การบดเคยี้ ว และปอ้ งกนั ฟนั ขา้ งเคยี ง ไม่ใหล้ ม้ เอียง หรือฟนั คู่สบยนื่ ยาว 4. การปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ สามารถแบ่งออกได้ 7 ลกั ษณะการป้องกันดังนี้ (พวงทอง ไกรพบิ ลู ย.์ 2556 : 7- 8) 4.1 การหลีกเล่ียงอาหาร คือ การลดอาหารท่มี สี ่วนผสมของแปง้ และน้าตาลลง หรือไม่ ทานอาหารประเภทน้ีในระหวา่ งม้อื อาหาร และไม่ทานขนมขบเคยี้ วระหวา่ งมอื้ เพือ่ เป็นการลดจานวน ครง้ั ที่ฟนั ของคุณต้องสัมผัสกับกรดใหน้ อ้ ยที่สุด 4.2 การดูแลรักษาความสะอาดช่องปาก คือ แปรงฟันอย่างน้อยวนั ละสองครงั้ ตอนเช้า ตนื่ นอนและตอนเยน็ ก่อนนอน และควรแปรงฟนั ทันทหี ลังรับประทานอาหาร ซง่ึ จะตอ้ งแปรงฟันให้นาน ครั้งละประมาณ 2 นาที และใช้ยาสฟี นั ผสมฟลอู อไรด์ เพื่อใหฟ้ ลูออไรดส์ ามารถทาปฏิกิริยากบั ฟันและ อย่ใู นชอ่ งปากอยา่ งสมา่ เสมอ 4.3 การเข้าพบทนั ตแพทย์ คือ การไปตรวจสขุ ภาพฟัน และให้ทันตแพทยท์ าการเคลือบ ฟลูออไรด์ทุก 6 เดือน เพ่ือชว่ ยในการปอ้ งกันปญั หาเลก็ ๆไมใ่ ห้ลุกลามเป็นปัญหาร้ายแรงได้ 4.4 การเคลือบหลมุ รอ่ งฟัน คือ การปิดทบั รอ่ งฟนั จะทาหนา้ ท่ีเหมือนเกราะคลุมอยู่บน รอ่ งฟัน ป้องกนั ร่องฟัน ไมใ่ ห้สัมผัสกับสภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงจะทาให้มีผลตอ่ การเกดิ โรคฟันผุ และยังช่วยให้ สามารถทาความสะอาดฟันที่ด้านบดเค้ยี วไดง้ ่ายขนึ้ ซง่ึ เวลาเคลือบร่องฟนั ทเี่ หมาะสมท่ีสดุ คอื ช่วงเวลา ที่ฟันกรามเพ่ิงข้นึ มาใหม่ๆ และนิยมทากบั ฟันกรามแท้ซ่ีแรก เนอื่ งจากผลการศึกษา พบว่า ฟันกรามแท้ ท่ผี ุสว่ นใหญ่คือ ฟันกรามแท้ซี่แรก และมักจะผุในปแี รกทฟ่ี ันขนึ้ ดังนั้นการเคลอื บร่องฟันจงึ เคลือบใน เดก็ ที่มีอายุประมาณ 6 ปี ซง่ึ จะชว่ ยปอ้ งกนั ฟันผุในฟนั กรามซนี่ ีไ้ ดด้ ี (กรมอนามัย. 2551) 4.5 การตรวจฟันดว้ ยตนเอง คือ การตรวจฟนั หลงั จากการแปรงฟันเสร็จแลว้ โดยอาศยั กระจกเงาในห้องน้า และอาจใชก้ ระจกเงาบานเล็กๆ ชว่ ยสะท้อนในปากตรงบางมมุ ท่ีดยู าก การตรวจน้ี จะทาให้เห็นวา่ แปรงฟันไดส้ ะอาดจริงหรือไม่ หรือเหงือกบรเิ วณท่ีมีการบวมแดง อักเสบเกดิ ข้นึ ซ่งึ หาก
12 พบปัญหาจะได้รีบแก้ไข ก่อนทีจ่ ะมีอาการรนุ แรง วธิ กี ารตรวจฟันด้วยตนเองสามารถทาได้ 4 ขนั้ ตอน ดงั นี้ (กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย. 2540) 4.5.1 ขั้นตอนที่ 1 ตรวจฟนั หน้าบนและลา่ ง โดยการยมิ้ ยงิ ฟันกับกระจกเพ่ือใหเ้ ห็น ฟันดา้ นหน้าทง้ั หมด และเหงือกได้ชดั เจน 4.5.2 ข้นั ตอนท่ี 2 ตรวจฟันกรามด้านติดแก้ม โดยย้มิ ให้กวา้ งไปถึงฟนั กราม อาจใชน้ ิว้ มอื ช่วยดงึ มมุ ปาก เพ่ือให้เหน็ ฟันดา้ นขา้ งได้ชดั เจน 4.5.3 ขนั้ ตอนท่ี 3 ตรวจฟนั ล่างและฟนั กรามดา้ นใน โดยการก้มหนา้ อ้าปากกวา้ ง กระดกลน้ิ ขนึ้ และเอยี งไปทางซ้ายและทางขวาสลบั กัน 4.5.4 ข้ันตอนท่ี 4 ตรวจฟนั บนและฟันกรามดา้ นใน โดยการเงยหน้าอ้าปากเอียงไป ทางซ้ายและทางขวาสลับกนั 4.6 การฝึกหดั ให้เดก็ เลกิ ดดู นมจากขวด คอื เมอ่ื เด็กอายุได้ 1 ปี หรอื อยา่ งช้า 2 ปี ควร หดั ให้เด็กดื่มนมจากแกว้ แทนการดูดจากขวดขณะนอนหลับ เพ่อื ลดการเกดิ กรดทาลายฟนั และเชื้อรา เจรญิ เตบิ โต เกดิ ฝ้าขาวทล่ี ิ้น ฟัน กระพงุ้ แก้ม 4.7 งดการเคีย้ ว เป่า กดั อาหารปอ้ นเด็ก เพ่ือปอ้ งกันการแพรเ่ ชื้อฟันผุไปยงั เด็ก (สานกั ทนั ตสาธารณสขุ . 2556 : 23) แอนิเมชน่ั 1. ความหมายของแอนเิ มช่ัน ทวศี กั ด์ิ กาญจนสวุ รรณ (2552) กลา่ วไว้ว่า แอนเิ มช่ัน (Animation) หมายถึง \" การ สร้างภาพเคลอื่ นไหว\" ดว้ ยการนาภาพนิ่งมาเรียงลาดับกัน และแสดงผลอย่างต่อเนื่อง ทาให้ดวงตาเห็น ภาพที่มีการเคลื่อนไหวในลกั ษณะภาพตดิ ตา (Persistence of Vision) เมื่อตามนษุ ยม์ องเหน็ ภาพท่ีฉาย อย่างต่อเน่ือง เรตนิ าจะทาการรกั ษาภาพนี้ไวใ้ นระยะสั้นๆ ประมาณ 1/3 วินาที หากมภี าพอ่นื แทรกเขา้ มาในระยะเวลาดังกลา่ ว สมองของมนุษย์ก็จะสามารถเช่อื มโยงภาพทัง้ สองเขา้ หาดว้ ยกนั ทาให้เห็นเปน็ ภาพเคลอ่ื นไหวท่มี ีความตอ่ เน่ืองกนั แมว้ า่ แอนเิ มชนั่ จะใช้หลกั การเดยี วกบั วิดโี อ แต่แอนเิ มช่นั สามารถ นาไปประยุกตใ์ ชก้ ับงานต่างๆ ได้มากมาย เชน่ งานภาพยนตร์ งานโทรทัศน์ งานพัฒนาเกมส์ งาน สถาปตั ย์ งานก่อสรา้ ง งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์ หรอื งานพัฒนาเวบ็ ไซต์ เป็นต้น ปรีชาวฒุ ิ นริ มร (2557) กล่าวไวว้ า่ คาวา่ แอนิเมชัน (Animation) มาจากรากศพั ท์ ละตนิ \"animare\" ความหมายว่า “การทาให้มชี ีวิต” ดังนั้น ภาพยนตรแ์ อนเิ มชน่ั จึงหมายถึง การสรา้ ง สรรคล์ ายเสน้ และรปู ทรงต่างๆ ที่ไม่มีชีวติ ให้เคลื่อนไหวเหมอื นมชี ีวติ ดังนน้ั แอนเิ มช่ันจึงเป็นสื่อท่ีมี ความหลากหลาย โดยมีจุดรว่ มทางเทคนิคในการสร้างสรรค์ก็คือ “ครงั้ ละภาพ” ไมว่ า่ จะเป็นการวาด ปั้น และถ่ายจากของจรงิ เปน็ ต้น
13 ดงั น้ันแอนิเมช่ัน คือ การนาภาพมาทาใหเ้ กิดการเคล่ือนไหวโดยการใชเ้ ทคนคิ ต่าง ๆ ที่ ตอ้ งการใหเ้ คลื่อนไหวได้ หรือเสมือนมชี วี ิตได้นน้ั เอง โดยการนาภาพทั้งหมดมาเรียงต่อกันแล้วทาให้เกดิ เป็นภาพเคลือ่ นไหว หรือการสรา้ งสรรค์ด้วยเทคนคิ คอมพวิ เตอร์กราฟกิ ในโปรแกรมสร้างสรรค์ผลงาน แอนเิ มช่ัน 2. แอนเิ มชน่ั กับการศึกษา แอนิเมชน่ั (Animation) คือ การที่ภาพนิง่ เกิดการเคล่ือนไหว ซ่ึงทาให้มีความน่าสนใจ มากข้นึ ในเดก็ และผู้ใหญ่ และยงั รวมถึงคนทุกเพศทกุ วัย ซ่ึงสว่ นใหญ่มนษุ ย์มักเลือกทจ่ี ะมองรปู ภาพ หรืออะไรที่มสี ีสันก่อนมองเน้ือหาเสมอ แอนเิ มชน่ั นนั้ ไดเ้ ข้ามามบี ทบาทกบั งานหลายๆ ดา้ น ซ่ึงแตล่ ะ องค์กร หรือหนว่ ยงานกน็ าไปประยุกต์ใช้ในงานหลายๆประเภท และในการจดั ทาสื่อการเรียนการสอน กไ็ ด้หนั มาใชง้ านแอนเิ มชน่ั ในการผลติ มากขึ้น งานด้านแอนิเมชัน่ จงึ เป็นงานทมี่ ีคุณคา่ และต้องอาศยั ความสามารถในการผลิต เนือ่ งจากประโยชนข์ องส่ือแอนเิ มชั่นมมี ากมาย เชน่ สามารถสื่อความหมายให้ เขา้ ใจได้ง่าย ใช้แอนิเมช่นั ในการช่วยจดจา และดึงดูดความสนใจ แอนเิ มชั่นสามารถอธบิ ายเร่อื งราวท่ี ซบั ซ้อน เขา้ ใจยากใหเ้ ราเขา้ ใจได้ง่ายขนึ้ เพราะสือ่ แอนิเมช่ันมคี วามน่ารักสดใส ในตวั ของมันเองอยแู่ ล้ว มที งั้ ภาพ เสียง เป็นองค์ประกอบหลกั การใส่ตวั หนังสือเข้าไป เพอื่ เสรมิ ทักษะ ทัง้ ดา้ นการฟัง การอา่ น และการมองเหน็ ภาพ ไปพรอ้ มๆกัน ซึ่งจากผลการวจิ ยั การใชแ้ อนิเมชั่นเปน็ สื่อในด้านของการศึกษา พบวา่ ช่วยทาให้ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หลังเรียนสงู ขนึ้ และนักเรยี นมีความพึงพอใจในบทเรยี นอยใู่ น เกณฑ์ดี (ดจิ ิทัลมเี ดยี เอาท์ซอร์ส โซลูชัน่ . 2556) 3. ประเภทของแอนเิ มชนั่ สามารถแบง่ ออกได้ 2 ประเภทแอนนิเมชั่นดังนี้ (สชุ าติ แสนพิช. 2552 : 9-10 ) 3.1 ภาพเคล่ือนไหวแบบ 2 มิติ (2D Animation ) คอื การสรา้ งภาพเคลื่อนไหวด้วยการ ใช้เสน้ และการใชส้ ีเพื่อการสรา้ งรูปร่างท่ีมลี ักษณะต่อเน่ืองกนั จนเกิดมีลักษณะการเคล่ือนไหวของวตั ถุ โดยมีลกั ษณะโดดเด่นท่ีรปู ร่าง จะแสดงเดน่ ชัดแบบแนวกว้างและสงู จึงนยิ มเรียกแอนเิ มช่ันทีแ่ สดงส่วน ของวตั ถุแบบกวา้ งและสงู กว่าเป็น “แอนเิ มชั่น 2 มติ ิ” คือใหค้ วามรสู้ ึกวตั ถเุ ปน็ 2 มิติ คือมิติทางด้าน กว้างหรือแกน X และมติ ิทางดา้ นความสงู หรือแกน Y 3.2 ภาพเคล่ือนไหวแบบ 3 มติ ิ (3D Animation) คอื การสร้างการเคล่ือนไหวดว้ ยการใช้ รูปทรง เพ่ือใชใ้ นการสร้างการเคลื่อนไหว โดยมีลกั ษณะโดดเด่นท่ีรูปทรงจะแสดงเด่นชดั ใหค้ วามรสู้ กึ ใน แบบ 3 มติ ิ คือมิติทาวดา้ นกว้างหรือแกน X มติ ิทางด้านสงู หรือแกน Y และมิติทางด้านลึกของภาพหรือ แกน Z ซ่งึ ลักษณะภาพ 3 มติ ิ ซ่งึ มลี กั ษณะใกล้เคยี งกับการมองเหน็ ของสายตามนุษย์ทึจ่ ะมองวัตถุเปน็ แบบ 3 มิติ
14 4. ประเภทของการสร้างแอนิเมชน่ั สามารถแบง่ ออกได้ 3 ประเภทการสร้างแอนิเมช่ันดงั น้ี (ววิ ฒั น์ มีสวุ รรณ์. 2557 : 3-4) 4.1 การสรา้ งงานแอนเิ มช่ันแบบดั่งเดิม (Traditional Animation หรอื Drawn Animation) เปน็ กระบวนการทใี่ ชส้ าหรับการสรา้ งภาพเคลื่อนไหวภาพยนตรม์ ากที่สดุ คือ เป็นการ สร้างชนิ้ งานแอนิเมชั่นด้วยภาพวาดซ่ึงจะมกี ารวาดภาพลงบนกระดาษก่อน เพื่อสรา้ งภาพลวงตาของ การเคลอื่ นไหว แต่ละรปู วาดจะแตกต่างกันเล็กน้อยหลายพนั ภาพ และฉายภาพเหล่าน้ันผ่านกล้อง บันทกึ ภาพ หรือกลอ้ งวดิ ีโอ ซ่ึงการทาแอนเิ มชน่ั ต้องอาศัยความสามารถทางศลิ ปะในการวาดภาพเป็น อย่างมาก จึงทาใหต้ อ้ งใช้เวลาในการผลิตนานและต้นทนุ ในการผลติ จงึ สูงตามไปดว้ ย 4.2 การสรา้ งแอนเิ มชั่นแบบสต๊อปโมชนั่ (Stop Motion หรือเรียกว่า Model Animation) เปน็ การสรา้ งหุ่นจาลองขึ้นมาหรือใช้สง่ิ ของแล้วค่อยๆ ขยับ พร้อมกบั ถา่ ยภาพนัน้ ที่ละภาพ ท่ีพบมาก ได้แก่ ภาพเคลอ่ื นไหวแบบหนุ่ เชิด ภาพเคลอ่ื นไหวดนิ น้ามัน ซ่งึ วัสดุท่นี ิยมใช้มักจะเปน็ ดนิ น้ามัน ปน้ั เป็นรูปรา่ งตา่ งๆ โดยมีเส้นลวดเสมอื นเปน็ โครงกระดูกอยู่ภายในหนุ่ ท่ปี น้ั และทาใหส้ ามารถ นามาใชง้ านไดห้ ลายครง้ั แอนิเมช่นั แบบน้ีต้องอาศยั เวลา ความอดทนและความสามารถมากต้องใช้ ทกั ษะทางศิลปะการปัน้ และการถา่ ยภาพ ทง้ั น้ีเพราะหุ่นจาลอง หรอื สิ่งของที่ประกอบฉากนั้นหลายๆ สิ่งมีการขยบั หรือเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กัน ในหนึง่ ภาพ ดงั น้ันหากตอ้ งการแสดงความสมจริงจาเป็นตอ้ ง อาศยั ความละเอียดในการกาหนดการเคลอ่ื นไหวเพื่อทีจ่ ะสร้างภาพลวงตาของการเคลือ่ นไหวแต่ละภาพ 4.3 การสรา้ งแอนเิ มชนั่ ด้วยคอมพวิ เตอร์ (Computer Animation) เป็นกระบวนการใน การสร้างภาพเคลื่อนไหวโดยใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ดว้ ยความกา้ วหนา้ ด้านเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ใน ปจั จุบันจึงมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทชี่ ว่ ยให้การทาแอนิเมช่ันงา่ ยขน้ึ ทาให้ประหยัดเวลา และตน้ ทนุ เปน็ อยา่ งมาก โปรแกรมที่มีการนาใชใ้ นการผลิตงานแอนเิ มชน่ั เชน่ โปรแกรม Abode Flash, Lightwave, modo, Anime Studio และ 3D Studio Max เปน็ ต้น 5. ขั้นตอนการสร้างแอนิเมช่ัน การสร้างแอนเิ มช่นั ไม่ว่าจะเปน็ ประเภทใดสามารถแบง่ ขนั้ ตอนการทาได้ 3 ขน้ั ตอนดังน้ี (สน่ัน สระแก้ว. 2554 : 239-242) 5.1 ขั้นตอนเตรยี มการก่อนการทา (Preproduction) 5.1.1 การเขยี นเรอ่ื งหรือบท (story) เปน็ สิง่ แรกเริม่ ท่ีสาคัญที่สดุ ในการผลิตชนิ้ งาน ของแอนเิ มชน่ั และภาพยนตร์ทกุ เรือ่ งแอนิเมช่ันจะสนกุ หรือไม่ ล้วนขนึ้ อยู่กบั เรอื่ งหรอื บท 5.1.2 การออกแบบภาพ (visual design) หลงั จากไดเ้ รื่องหรอื บทมาแลว้ จะทาการ กาหนดเกย่ี วกบั ตัวละครว่าควรมีลกั ษณะหน้าตาอยา่ งไร สงู เทา่ ใด ฉากควรจะมีลกั ษณะอยา่ งไร สอี ะไร ในข้นั ตอนนี้ อาจทากอ่ น หรือทาควบคู่ไปกบั บทภาพ (storyboard) 5.1.3 การทาบทภาพ (storyboard) คอื การนาบททเี่ ขียนข้ึนนัน้ มาทาการจาแนกมมุ ภาพตา่ งๆ โดยการรา่ งภาพลายเส้น ซ่ึงแสดงถึงการดาเนินเรื่องพร้อมคาบรรยายอย่างคร่าวๆ
15 5.1.4 การร่างช่วงภาพ (animatic) คือ การนาบทภาพท้ังหมดมาตัดตอ่ รอ้ ยเรยี งพร้อม ใส่เสียงพากย์ของตัวละครทั้งหมด 5.2 ข้นั ตอนการทา (Production) 5.2.1 การวางผัง (layout) คอื การกาหนดมมุ ภาพ และตาแหนง่ ของตัวละครอย่าง ละเอยี ด รวมทงั้ วางแผนวา่ ในแต่ละชอ็ ตภาพนัน้ ตัวละครจะต้องเคลื่อนไหว หรอื แสดงสีหนา้ อารมณ์ อย่างไร ซ่ึงหากทาภาพยนตร์แอนเิ มชนั่ กนั เป็นทมี ก็จะต้องประชมุ ร่วมกันว่า แต่ละฉากจะมีอะไรบา้ ง เพื่อใหแ้ บง่ งานกนั ได้อยา่ งถูกต้อง 5.2.2 การทาให้เคลื่อนไหว (animate) คือ การทาใหต้ ัวละครเคลอ่ื นไหวตามบทในแต่ ละฉากนน้ั ๆ ในขั้นตอนนสี้ าคัญอยา่ งย่ิง ซ่ึงหากทาขั้นตอนนีไ้ ด้ไมด่ พี อ ก็อาจทาใหผ้ ูช้ มไม่ร้สู ึกมอี ารมณ์ รว่ มไปกบั ตวั ละครด้วย สว่ นแอนิเมชั่นแบบภาพแสดงมติ ิมวี ิธีการทา โดยวาดภาพลงบนแผ่นพลาสตกิ โปรง่ ใสในแต่ละฉากของเรื่อง และเมื่อแบ่งย่อยลงไปอาจประกอบไปด้วยสว่ นตา่ งๆ เช่น ตัวละคร ตน้ ไม้ แมน่ ้า ภเู ขา ดวงอาทติ ย์ ตัวละครแตล่ ะตวั หรือสง่ิ ของแตล่ ะช้ินจะถูกนาไปวาดลงบนแผ่นใสแต่ละแผน่ เมอ่ื นาแผน่ ใสแตล่ ะแผน่ มาวางซอ้ นกัน แล้วถ่ายภาพด้วยกล้องถา่ ยภาพท่ีไดร้ บั การออกแบบมาเปน็ การ พิเศษ กจ็ ะไดภ้ าพการ์ตูน 1 ภาพ ท่ีประกอบไปด้วยตัวละครและฉาก ในการสรา้ งภาพการ์ตนู ให้มีการ เคลือ่ นไหว ผทู้ าแอนิเมชัน่ (animator) จะตอ้ งกาหนดลงไปวา่ ในแต่ละวนิ าที ตวั ละคร หรือสงิ่ ของใน ฉากหนึง่ ๆ จะเปลี่ยนตาแหนง่ หรอื อิรยิ าบถไปอยา่ งไร ทัง้ น้ี ผู้ทาแอนเิ มชั่นจะต้องวาด หรอื กาหนด อริ ยิ าบถหลกั หรือคีย์ภาพ (key) ของแตล่ ะวินาที หลงั จากน้นั ผูท้ าแอนเิ มช่นั คนอน่ื ๆ ก็จะวาดลาดบั การ เปล่ียนแปลงอกี จานวนหนึ่ง (ซงึ่ โดยท่ัวไปจะใช้ 24 ภาพ) เพอื่ แสดงใหเ้ หน็ ถึงการเคล่ือนไหวจากคียภ์ าพ หนง่ึ ไปสู่ยังอีกคีย์ภาพหน่ึง ภาพวาดจานวนมหาศาลระหว่างแต่ละคียภ์ าพนัน้ เรียกวา่ ภาพชว่ งกลาง (in-betweens) ในการวาดภาพการ์ตูน ผวู้ าดภาพท่วี าดคีย์ภาพตา่ งๆ เรียกว่า ผู้วาดภาพหลัก (key animator) ซึ่งตอ้ งเป็นนักวาดภาพท่ีมีฝมี ือ สว่ นผวู้ าดภาพจานวนหนงึ่ ท่ที าหนา้ ทว่ี าดภาพระหวา่ งภาพ หลักเรยี กว่า ผู้วาดภาพช่วงกลาง (in-betweener) นอกจากผู้วาดภาพแลว้ ก็มผี ลู้ งสี (painter) ซง่ึ ทา หน้าท่ลี งสี หรอื ระบายสภี าพใหส้ วยงาม 5.2.3 ฉากหลัง (background) ฝ่ายฉากเปน็ ฝ่ายที่สาคญั ไม่น้อยไปกวา่ ฝ่ายอ่ืนๆ เพราะฉากชว่ ยสอื่ อารมณ์ไดเ้ ช่นเดยี วกับตวั ละคร เนื่องจากสีและแสงทต่ี า่ งกันยอ่ มใหอ้ ารมณท์ ่ีไม่ เหมอื นกนั และฉากยังช่วยเสริมอารมณข์ องผู้ชมได้มากขนึ้ 5.3 ขน้ั ตอนหลงั การทา (Postproduction) 5.3.1 การประกอบภาพรวม (compositing) คือ ขนั้ ตอนในการนาตัวละคร และฉาก หลงั มารวมเป็นภาพเดียวกัน ซ่ึงทงั้ แอนเิ มชน่ั แบบภาพสองมิติและภาพสามมติ ิ ตา่ งตอ้ งใช้กระบวนการน้ี ท้ังส้ิน ในกระบวนการนี้ มีการปรับแสงและสีของภาพ ให้มีความกลมกลืนกนั ไมใ่ หส้ แี ตกต่างกนั 5.3.2 ดนตรแี ละเสยี งประกอบ (music and sound effects) หมายถงึ การเลือกใช้ เสยี งดนตรปี ระกอบใหเ้ ข้ากบั การดาเนนิ เรือ่ ง และฉากตา่ งๆ ของการ์ตนู ซง่ึ วศิ วกรเสียงสามารถสรา้ ง
16 เสยี งประกอบ ใหส้ อดคลอ้ งกับการดาเนินเร่ืองได้ โดยดูจากเคา้ โครงเร่ือง ดงั น้ันเคา้ โครงเรอื่ งถือวา่ มี ความสาคญั อยา่ งยิ่ง ในอดตี การสร้างเสยี งประกอบสามารถทาได้ โดยการบนั ทึกเสยี งจากแหล่งกาเนิด เสียงจริงทีใ่ หเ้ สียงได้ใกล้เคียง เช่น เสียงเคาะกะลาอาจใชแ้ ทนเสยี งม้าวง่ิ เสยี งเคาะช้อนและส้อมอาจใช้ แทนเสียงการฟันดาบ ในปจั จุบัน ไดน้ าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เขา้ มาชว่ ยในการสงั เคราะห์เสยี งให้ได้ เหมอื นจรงิ หรือเกนิ กว่าความเป็นจริง เช่น เสยี งคลืน่ เสียงพายุ เสยี งระเบิด ซึ่งวศิ วกรเสียงไดเ้ ขา้ มามี บทบาทอย่างมาก ทัง้ น้ี การต์ ูนที่มภี าพลักษณะเดียวกนั แต่เสยี งประกอบตา่ งกนั เสียงประกอบทด่ี ีกวา่ และเหมาะสมกวา่ จะช่วยเพ่ิมอารมณ์ความรสู้ ึกในการชมภาพยนตรก์ ารต์ ูนแอนเิ มช่นั มากยง่ิ ขึ้น 6. โปรแกรมทใ่ี ช้พฒั นาแอนิเมชนั่ 2 มิติ โปรแกรมทใ่ี ช้ในการพัฒนาแอนเิ มชนั่ โดยทวั่ ไปมีดงั ต่อไปนี้ 6.1 โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 คือ โปรแกรมที่มีความสามารถในการจัดการ ไฟลข์ ้อมลู รปู ภาพทีม่ ปี ระสิทธิภาพ ซง่ึ การทางานกับไฟล์รูปภาพของโปรแกรมโฟโตชอปน้ัน สว่ นใหญจ่ ะ ทางานกบั ไฟล์ขอ้ มูลรูปภาพที่จัดเกบ็ ข้อมลู รูปภาพแบบ Raster โฟโตชอปสามารถใช้ในการตกแตง่ ภาพ เลก็ นอ้ ย เชน่ ลบตาแดง, ลบรอยแตกของภาพ, ปรบั แกส้ ี, เพม่ิ สีและแสง หรอื การใส่เอฟเฟกต์ให้กับรูป เชน่ ทาภาพสซี เี ปยี , การทาภาพโมเซค, การสรา้ งภาพพาโนรามาจากภาพหลายภาพต่อกนั นอกจากน้ี ยังใชไ้ ด้ในการตัดต่อภาพ และการซ้อนฉากหลังเข้ากบั ภาพ โฟโตชอปสามารถทางานกับระบบสี RGB, CMYK, Lab และ Grayscale และสามารถจัดการกับไฟล์รูปภาพที่สาคัญได้ เช่น ไฟล์นามสกุล JPG, GIF, PNG, TIF, TGA โดยไฟล์ทโี่ ฟโตชอปจัดเกบ็ ในรปู แบบเฉพาะของตวั โปรแกรมเอง จะใชน้ ามสกุล ไฟล์ PSD ซง่ึ จะสามารถจัดเก็บคุณลกั ษณะพเิ ศษของไฟล์ท่ีเป็นของโฟโตชอป เช่น เลเยอร์, แชนแนล, โหมดสี รวมท้งั สไลด์ ไดค้ รบถ้วน 6.2 โปรแกรม Adobe Flash Professional CS6 คอื เป็นโปรแกรมที่ชว่ ยในการสรา้ ง ส่ือมัลตมิ เี ดีย, ภาพเคลอ่ื นไหว (Animation), ภาพกราฟิกท่ีมคี วามคมชัด เนอ่ื งจากเปน็ กราฟิกแบบ เวคเตอร์ (Vector), สามารถเล่นเสียง และวีดโิ อ แบบสเตริโอได้, สามารถสร้างงานให้โต้ตอบกบั ผู้ใช้ (Interactive Multimedia) มีฟังกช์ นั่ สาหรบั การเขยี นโปรแกรม (Action Script) และยงั ทางานใน ลักษณะ CGI โดยเชื่อมตอ่ กบั การเขยี นโปรแกรมภาษาอนื่ ๆ ได้อยา่ งมากมาย โปรแกรม Flash จึงมี ความสามารถในการบบี อดั ไฟล์ใหม้ ีขนาดเล็ก มผี ลทาให้แสดงผลได้อย่างรวดเรว็ นอกจากนั้นยงั มีการ แปลงไฟล์ไปอยู่ในฟอร์แมตอ่ืนๆ ได้หลากหลาย เช่น avi, mov, gif, wav, emf, eps, ai, dxf, bmp, jpg, gif, png เปน็ ตน้ 6.3 โปรแกรม Adobe Audition CS6 คือ โปรแกรมทีใ่ ชบันทึกเสียง (Rec) , แกไข (Edit) และการผสมเสียง (Mix) เพ่มิ เสียงหนัก เสียงเบา หรอื เอฟเฟคตา่ งๆ เพื่อนาเสยี งท่ีผานกระบวนการไปใช ตามวัตถปุ ระสงค์
17 การ์ตูน 1. ความหมายของการต์ นู ธรรมศกั ด์ิ เออ้ื รักสกลุ (2547) กลา่ วไว้ว่า การต์ นู (Cartoon) หมายถงึ ภาพลอ้ และรวม ไปถึงการ์ตูนที่วาดเป็นเร่ืองสั้น เรื่องราวทง้ั ทเ่ี ปน็ Comic หรอื Animation ประเสรฐิ ผลิตผลการพิมพ์ (2546) กลา่ วไวว้ า่ การ์ตูน หมายถงึ ภาพลายเสน้ ทีแ่ สดงถึง เร่ืองราวได้ และถูกนาไปเผยแพร่แจกจา่ ยต่อท่สี าธารณะ สาราญ ผลดี (2547) กลา่ วไวว้ ่า การ์ตนู หมายถงึ ศิลปะการวาดภาพด้วยความเรยี บงา่ ย ทผี่ สมผสานกบั จนิ ตนาการของผ้วู าดให้ออกมาลักษณะใดลักษณะหน่ึง เพ่ือสื่อความหมาย หรือถ่ายทอด ประสบการณ์ เรื่องราว เหตุการณ์ตา่ งๆ ที่พบเห็นด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึง่ โดยอาศยั รปู ทรงทเ่ี ป็น ธรรมชาตทิ ี่ไดพ้ บเหน็ แลว้ ตดั ทอนรายละเอยี ดทไ่ี ม่ตอ้ งการออก จนมีรูปแบบท่สี ามารถสื่อความเขา้ ใจ ระหว่างกันได้ 2. ประโยชนข์ องการ์ตูนที่มีต่อการเรยี นการสอน การ์ตูนเพอื่ การสอน หมายถึง การทม่ี ีผู้สง่ และผ้รู บั คอื ครแู ละนักเรยี น ตามความคิดเดมิ ทเ่ี คยเขา้ ใจกันว่า การ์ตูนสรา้ งขน้ึ เพื่อให้เด็กอา่ นเพ่ือความบันเทิง หรอื ความขบขัน แตค่ วามจรงิ การ์ตนู นับวา่ เหมาะกับทกุ เพศทุกวัยท่รี ักการอา่ น และใชค้ วามคิด เพราะการต์ นู จะใหแ้ ง่คิดท่ซี ่อนเร้นแฝงอยู่ อย่างมเี สน่หใ์ นตัวของการต์ ูนเอง ซง่ึ บทบาทของการต์ ูนในดา้ นของการศึกษาน้นั การต์ นู จะชว่ ยใหก้ าร สอนไดผ้ ลดขี นึ้ เพราะครจู ะเป็นผทู้ ีม่ อี ารมณด์ ี อารมณ์ขนั จะมีการสอนมเี ทคนิคการสร้างความสนใจ และอารมณ์ขันเสมอ จะทาให้บรรยากาศการเรียนการสอนดกี วา่ การสอนท่ีไม่มคี วามขบขนั หรอื การต์ ูน จะเข้ามามีส่วนชว่ ยเพิม่ บรรยากาศทาใหส้ ภาพการเรยี นการสอนไมง่ ่วงเหงาหาวนอน เพียงแตผ่ ู้สอนรูจ้ ัก หรือมศี ลิ ปะในการเลอื กใชก้ ารต์ นู ใหเ้ หมาะสมเทา่ น้ัน บทบาทของการ์ตูนทีเ่ ก่ียวข้องกบั สือ่ การสอนนั้นมี ความจาเป็นกบั แทบจะในทุกระดับการศึกษานับตัง้ แต่วยั เด็กจนถงึ วัยผู้ใหญ่ ซง่ึ คณุ สมบัติทีแ่ ทจ้ ริงของ การต์ นู นัน้ แสดงถงึ ความคิด ความฝนั เสยี ดสี ท้าทายท่ีเหมือนจรงิ หรือเกนิ จรงิ และให้ความขบขนั แกผ่ ู้ดู ในด้านการเรียนการสอน ดังนั้นการ์ตูนจึงนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนไ์ ด้เปน็ อย่างมากดังนี้ (พนั สุขเจริญ. 2525 : 33-34) 2.1 ใช้เปน็ สงิ่ เรา้ หรือกระต้นุ ให้ผเู้ รียนเกดิ ความสนใจในบทเรยี น หรืออาจใชเ้ ปน็ ตวั นาเข้าสูบ่ ทเรียน 2.2 ใชอ้ ธบิ ายให้เกดิ ความเขา้ ใจในบทเรยี น การเรยี นในหลาย ๆ วิชาสามารถนาการต์ นู เขา้ มาร่วมดว้ ยกับการเขียนการต์ ูนประกอบบทเรียน จะทาใหผ้ เู้ รยี นสนใจมากขึ้นกว่าอธิบายเพยี งอยา่ ง เดียว
18 3. หลักการพืน้ ฐานเกยี่ วกบั การสร้างและออกแบบการต์ ูน 3.1 การวาดสัดสว่ นของตัวละคร การออกแบบตวั ละครใหม้ รี ปู ร่างและท่าทางโดยการอ้างองิ ลักษณะของมนุษยส์ ามารถ แบ่งออกเป็น 4 แบบดังน้ี (สุชาติ แสนพิช. 2552 : 74-76 ) 3.1.1 แบบ 1 ส่วน คอื ตัวละครในลักษณะน้ีจะเป็นการออกแบบตวั ละครที่มีรปู รา่ ง หรือร่างกายเพยี งท่อนเดยี ว หรือส่วนเดยี ว ที่ไมเ่ น้นแขนและขา แตจ่ ะเนน้ ท่ีการแสดงความรสู้ ึกตัวละคร ท่ีแสดงออกผ่านทางใบหนา้ จุดเน้นของตัวละครลกั ษณะสไตล์น้ี จะเปน็ ส่วนการแสดงผา่ นสหี นา้ อารมณ์ ดงั นนั้ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า จะมีการเคลือ่ นไหวทม่ี ากกว่าเพ่ือให้สามารถส่ืออารมณ์ ความรสู้ ึกได้จริงๆ 3.1.2 แบบ 2 ส่วน คือ ตัวละครโดยรวมต้ังแต่หัวจรดเท้าสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 สว่ น หรือโดยสว่ นใหญ่จะแบ่งตวั ละครออก 2 สว่ น คือ 1. ส่วนหวั และ 2. สว่ นลาตวั และขา สดั สว่ นของหวั จะมขี นาดหรอื ความยาวทไ่ี ม่เท่ากับสัดสว่ นของลาตัวและขา ตวั ละครในรูปแบบนี้จะสามารถแสดงออก ผ่านทางด้านสีหนา้ และอารมณ์ความร้สู กึ ไดเ้ ช่นกนั ซงึ่ จะมีการในเพ่ิมสว่ นของแขนและขาใหม้ ลี ักษณะ เหมอื นมนุษย์มากย่ิงขึน้ 3.1.3 แบบ 3 สว่ น คอื การแบ่งตัวละครเป็น 3 ส่วน คือ 1) สว่ นหวั 2) สว่ นลาตัว และ 3) ส่วนขา สดั สว่ นจะไม่เทา่ กนั ซง่ึ การเพ่ิมสดั ส่วนแลว้ แตค่ วามต้องการของผู้ออกแบบ โดยการ ออกแบบในลักษณะนมี้ ีการเพ่ิมส่วนแขนขาออกมาจบี จากแบบ 2 สว่ น แตไ่ ม่มากนัก เปน็ การลดทอน รายละเอียดในส่วนของสัดสว่ นรปู ร่างลงมา 3.1.4 แบบเหมอื นจรงิ คือ การออกแบบในลกั ษณะนจ้ี ะเป็นการออกแบบสัดส่วนของ ตัวละคร ทอี่ ้างอิงสดั สว่ นจากสดั ส่วนของมนุษยจ์ ริงเปน็ งานในลกั ษณะเสมือนจรงิ ในสัดส่วนทถี่ ูกต้อง ตามหลกั ทางกายภาพโดยเราสามารถแบ่งส่วนของตวั ละครออกได้ประมาณ 7–8 ส่วน 3.2 เสน้ และการลงสีในตัวละคร สามารถแบ่งลักษณะการออกแบบ และการลงสใี ห้กบั ตัวละคร แบ่งออกเปน็ 4 แบบ ดงั นี้ (สชุ าติ แสนพชิ . 2552 : 76-79 ) 3.2.1 การออกแบบตัวละครแบบขาวดา คอื มสี ขี าวและสีดาประกอบในการออกแบบ ส่วนใหญ่การออกแบบในลกั ษณะนีส้ เี ส้นจะเปน็ สีดา สว่ นสีพนื้ ผวิ จะมสี ขี าว ตวั ละครในลกั ษณะน้จี ะมี จดุ เดน่ คือสามารถแสดงใหเ้ ห็นลักษณะท่าทาง และการเคลื่อนไหวของตัวละครได้เป็นอย่างดี ซ่งึ ทาให้ ประหยัดเวลาในการผลติ มาก ตวั ละครแบบขาวดาจะพบได้ในการ์ตูนแบบ “comic” หรือการต์ ูนช่อง 3.2.2 การออกแบบตวั ละครแบบพืน้ ผวิ มีสแี ละมีเส้นเป็นสีดา คือ สว่ นตา่ งๆ ของตวั ละครมีสสี ันตา่ งๆ ตามที่ออกแบบ แต่มีสีสันของตัวละคร หรอื สีของ stork ทัง้ หมดเปน็ สีดา ตวั ละครใน รูปแบบนี้จะเป็นการเน้นตัวละครให้ดเู ดน่ ข้ึนมา และเป็นการแยกสดั สว่ นออกจากฉากหลงั ทอี่ าจมีการ ใหโ้ ทนสีและน้าหนกั สีที่ใกล้เคียงกบั ตัวละครและทาให้ดูมีมิติมากข้ึน
19 3.2.3 การออกแบบตัวละครแบบพืน้ ผิวมีสแี ตไ่ มม่ ีเส้น คือ ตวั ละครในลักษณะน้ีจะมี การเนน้ ในสว่ นของสีสนั ของตัวละครเป็นหลัก โดยจะมีการเนน้ สสี ันที่สดใส และสีเข้มจดั เพื่อทดแทนเส้น ขอบทีห่ ายไปแนวคิดทส่ี าคัญของการออกแบบตัวละครแบบนค้ี อื แนวคิดการสร้างตัวละครเสมือนจรงิ ใน ธรรมชาติ ที่โดยท่ัวไปแล้วสิ่งของในธรรมชาติไม่มีสีขอบ หรือมขี อบใหเ้ หน็ เหมือนในหนังสือการ์ตนู ต่างๆ 3.2.4 การออกแบบตวั ละครแบบพน้ื ผวิ มีสแี ละมเี สน้ โทนสเี ดยี วกนั คือ โทนสีของเสน้ โทนสใี กลเ้ คยี งกับสขี องพ้ืนผวิ ตัวละครในลักษณะนีเ้ ป็นการนาจดุ เด่นของการมีเส้นขอบ และจุดเดน่ ของ การใหส้ ีของพนื้ ผวิ เขา้ มารวมกนั ทาใหต้ วั ละครโดดเดน่ แต่ลดทอนความเขม้ ของเส้นขอบที่แตเ่ ดิมต้องมีสี ดาเขม้ ทาใหส้ ีเส้นดูแข็งทาให้ลดรายละเอยี ดของตัวละครลงไป ดงั นัน้ ในรปู แบบนี้จึงมกี ารลดทอนสีสัน ของเสน้ ลง โดยการใหส้ เี ส้นเป็นโทนสีเดยี วกนั กบั สขี องพืน้ ผิว แตจ่ ะมีความเข้มมากกว่าสีพนื้ ผวิ ทาให้ตัว ละครโดดเดน่ และทาใหเ้ ห็นรายละเอียดของตวั ละคร 3.2.5 การออกแบบตวั ละครแบบผสม คอื ระหวา่ งการมเี ส้นกับการไม่มีเส้นในตัวละคร เดียวกนั วิธกี ารนเ้ี ปน็ การผสมผสานในสว่ นของการใส่เส้นให้กับตวั ละครกับการไมม่ เี ส้น ซ่งึ ส่วนใหญจ่ ะ ใส่เสน้ ให้กับส่วนของร่างกายตัวละคร ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ของตวั ละคร เช่น เสอ้ื ผา้ เครื่องแต่งกาย ตา่ งๆ จะไม่มเี สน้ น้ัน คืออาศัยลกั ษณะพิเศษของการมเี สน้ ขอบร่วมกับการใชส้ สี นั ของพื้นผวิ เขา้ ร่วมกัน เพ่ือเปน็ การแยกส่วนออกจากกนั ของตัวละครกบั องคป์ ระกอบอื่นๆ 3.3 การออกแบบฉาก การออกแบบฉาก คือ การส่อื ความหมายแทนทจ่ี ะบรรยายดว้ ยข้อความกลับตอ้ งใช้ ภาพเปน็ ตัวเล่าเรอ่ื ง ดงั นน้ั การจดั ลาดับภาพนนั้ จะต้องแสดงให้เหน็ ถึง ความต่อเนื่องของการกระทา (Action Continuity) ซงึ่ มีหลักการพน้ื ฐาน 2 ข้อ ดังน้ี (พรทิพย์ ปนสงู เนิน. 2558 ) 3.3.1 ถ้าวตั ถุมกี ารเคลื่อนไหว จะตอ้ งมีการคานึงถงึ ความต่อเนือ่ งของการกระทา (Action Continuity) ซ่งึ จะทาให้การเคล่ือนไหวน้นั ไมผ่ ิดธรรมชาติ 3.3.2 ถา้ วตั ถุไม่มกี ารเคลื่อนไหว สามารถนาภาพซ่ึงเปน็ เหตุการณ์ตา่ งๆ ในเวลาตอ่ มา มาใชไ้ ด้ 3.4 รปู แบบฉาก รูปแบบฉาก หมายถึง ลกั ษณะโครงสร้างดา้ นหนา้ ของฉาก ซ่ึงประกอบกนั เขา้ หลายๆ สว่ นเพ่ือสรา้ งสถานทีแ่ วดล้อม (Local) ให้แกต่ วั ละคร และเป็นสว่ นแบค๊ กราวนเ์ บือ้ งหลังใหแ้ กต่ ัวละคร บนเวที ลกั ษณะโครงสรา้ งดา้ นหนา้ น้เี ป็นแนวทางในการออกแบบฉาก และการสรา้ งฉาก มสี ่วนชว่ ยใน ความสัมพันธ์กับสไตล์ของการแสดง แต่ละสไตล์ดว้ ยการเคล่อื นไหวของนักแสดง และสถานการณต์ า่ งๆ ของเรื่องมีความผกู พนั กบั รูปแบบฉากโดยตรง ฉากแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ (ภาควิชานเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พายัพ. 2558)
20 3.4.1 ฉากภายใน (Interior) คอื ฉากที่แสดงว่าเปน็ สถานที่ภายในของส่ิงใดสงิ่ หนึ่ง ประกอบไปด้วยกาแพงอย่างน้อย 1 ดา้ น หรอื มเี ครือ่ งประดบั การแสดง และเวทีเปน็ สื่อความหมาย ตวั อยา่ งเช่น ของฉากภายใน ได้แก่ ในบา้ น ในสานักงาน ในเครอ่ื งบนิ ในรถยนต์ บนเรือ เป็นตน้ 3.4.1 ฉากภายนอก (Exterior) คือ ฉากที่แสดงสถานทท่ี เ่ี ป็นภายนอกของอาคารที่อยู่ อาศยั ไดแ้ ก่ ในสวน ชายคาบ้าน รว้ั บ้าน ในป่า บนเขา หรอื สว่ นใดก็ไดท้ สี่ ามารถแลเห็นท้องฟา้ หรอื แล เหน็ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตอิ ยา่ งเดน่ ชัด อาจจะมสี ่ิงใดสิ่งหน่งึ เปน็ ส่ือความหมายก็ได้ เชน่ เสาไฟฟา้ ม้าน่ังในสวน ตน้ ไม้ใหญ่ เปน็ ต้น งานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง นพรัตน์ วรามติ ร (2550) ไดศ้ ึกษาและพัฒนาการต์ นู แอนเิ มชน่ั 2 มิติ เรื่อง คณิตคิดสนุก กลุ่มเปา้ หมาย นักเรียนช้ันประศึกษาปที ่ี 1 ผลการศกึ ษาพบวา่ จากการสอบถามความพึงพอใจของ นกั เรียนในระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 เกยี่ วกับการพฒั นาการต์ นู แอนิเมชัน่ 2 มติ ิ เรื่อง คณติ คดิ สนุก พบว่าส่วนใหญอ่ ยใู่ นเกณฑ์ดีมีระดับคา่ เฉล่ยี เท่ากับ 4.18 โดยเปน็ สื่อท่นี าเสนอเขา้ ใจไดง้ า่ ยไมซ่ ับซ้อน มีระดับค่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.67 และเสียงในบทเรียนมีระดับค่าเฉลยี่ เทา่ กบั 4.60 ซ่งึ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก และกลุม่ เป้าหมายยงั ไดร้ ้ถู ึงแนวคิด วิธีคานวณทางวชิ าคณิตศาสตรม์ ากข้นึ อีกด้วย การพัฒนาการต์ นู แอ นเิ มชัน่ 2 มิติ เรื่อง คณติ คดิ สนุก ยังทาใหท้ ้ังความเพลดิ เพลนิ ไปกับเนื้อหาทเี่ ข้าใจงา่ ย ชวนใหค้ ดิ ตาม ตวั ละครมีความน่ารกั ส่งผลให้กล่มุ เปา้ หมายทีเ่ ปน็ เด็กชนื่ ชอบอกี ด้วย นอกจากน้นั เด็กๆ ยงั มีความสนใจ ในขน้ั ตอนวธิ กี ารทาแอนิเมชั่น 2 มติ ิ อกี ดว้ ย ปาณรดา อภิรัตนวงศ์ (2554) ได้ศึกษาและสร้างสอื่ การต์ นู แอนิเมช่นั 2 มิติ เร่ือง ทนั ต สุขภาพสาหรบั เด็กปฐมวัย ความมุ่งหมายเพ่ือ 1) ศึกษาลักษณะและรปู แบบการต์ ูนทีเ่ ด็กปฐมวยั ชน่ื ชอบ 2) สร้างสื่อการ์ตนู แอนิเมช่ัน 2 มติ ิ เรอ่ื งทันตสขุ ภาพสาหรับเด็กปฐมวยั โดยใชล้ กั ษณะและรูปแบบ การ์ตูนท่ีเด็กชอบท่ีมคี ุณภาพ 3) ศึกษาการรบั รูของเด็กปฐมวยั ทเี่ กิดจากส่อื การ์ตูนแอนิเมชั่น 2 มิติ เรือ่ งทนั ตสขุ ภาพสาหรับเดก็ ปฐมวยั และ 4) ศกึ ษาความพึงพอใจทีม่ ีต่อสอ่ื การต์ นู แอนิเมช่ัน 2 มิติ เรอ่ื งทันตสขุ ภาพสาหรบั เดก็ ปฐมวยั กลุ่มตวั อย่างท่ีใชท้ ดลองได้มาจากเดก็ ระดับปฐมวัยอายุ 3 - 6 ปี ในศนู ยพ์ ฒั นาเด็กเล็ก วัดโพธ์ิศรี ตาบลโคกสงู อาเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ซ่งึ ผลการศึกษาพบว่า 1. เด็กสวนใหญ่ชอบดกู ารต์ ูนท่ีมีฉากการ์ตูนที่สดใส เสยี งประกอบท่เี ปน็ เสียงเพลงและดนตรีเป็นจังหวะ ทานองเร็วเรา้ ใจ และลักษณะรปู แบบตัวการ์ตนู ท่เี ด็กชอบเป็นแบบลอกของจริง 2. ผเู้ ช่ียวชาญได้ทาการ ประเมนิ ส่อื ทีผ่ ู้วจิ ยั ได้พฒั นาข้ึนโดยรวม และเป็นรายด้านทั้ง 2 ด้าน อยูใ่ นระดบั มาก คอื ดา้ นออกแบบ (������̅ = 4.09) ดา้ นเน้อื หา (������̅ = 3.97) 3. เด็กปฐมวยั มกี ารรบั ร้ตู อ่ ส่อื การ์ตูนแอนเิ มชนั่ 2 มิติ โดยรวม อยู่ในระดับมากทสี่ ดุ (������̅ = 4.63) 4. เดก็ ปฐมวัยมคี วามพงึ พอใจต่อสอื่ การ์ตนู แอนเิ มชนั 2 มิติ โดยรวม
21 อยู่ในระดับมากทส่ี ุด (������̅ = 4.55) โดยสรุป สอ่ื การตนู แอนเิ มชนั 2 มติ ิ เร่อื ง ทันตสุขภาพสาหรบั เดก็ ปฐมวัย ทผ่ี วู้ จิ ัยไดพ้ ัฒนาขน้ึ สามารถนาไปใชไ้ ด้กบั เด็กระดับปฐมวัยไดอ้ ย่างเหมาะสม ทาใหเ้ ดก็ เกดิ การ รับรูแ้ ละพงึ พอใจไดอ้ ย่างดี ปฏวิ ัติ ยะสะกะ (2550) ไดศ้ ึกษาและพฒั นาการ์ตนู แอนิเมชนั 2 มติ ิ เรื่อง อภินิหาร หนา้ กากผตี าโขนมหศั จรรย์ วัตถุประสงค์ ดงั นี้ 1) เพ่ือเป็นการพัฒนาส่ือการ์ตูนแอนเิ มชนั 2 มติ ิ เร่ือง อภินหิ ารหนา้ กากผีตาโขนมหัศจรรย์ 2) เพ่ือให้ทราบถึงประเภทของผีตาโขน และหนา้ กากของผี ตาโขนของอาเภอดา่ นซา้ ย จงั หวดั เลย 3) เพือ่ ประเมนิ สื่อการ์ตนู แอนิเมชัน 2 มติ ิ เร่ือง อภนิ ิหารหนา้ กากผีตาโขนมหัศจรรย์ กลมุ่ เปา้ หมาย เด็กอายุ 10-12 ปี ผลการประเมินกล่มุ เปา้ หมายมีความพงึ พอใจ ต่อการ์ตูนแอนเิ มชัน 2 มติ ิ เร่ือง อภินหิ ารหนา้ กากผีตาโขนมหัศจรรย์ พบวา่ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (������̅ = 4.03) เมอ่ื พจิ ารณารายข้อพบว่า กลุม่ เปา้ หมายดูสื่อแล้ว ระดบั ความพงึ พอใจมากท่ีสุด ไดแ้ ก่ ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการดูสื่อภาพยนตร์การต์ นู แอนิเมชัน 2 มติ ิ เรือ่ ง อภินิหารหน้ากากผีตาโขนมหศั จรรย์ (������̅ = 4.66) และเน้ือหาเข้าใจงา่ ย (������̅ = 4.61) ระดับความพงึ พอใจมาก ได้แก่ สอื่ การต์ นู ทาใหท้ ราบถงึ ชนดิ หน้ากากผตี าโขน แง่คิดของเรอื่ ง ประเภทผีตาโขน ความเหมาะสมของเสยี ง มีความต้องอยากรู้ ประเพณกี ารละเล่นผีตาโขน ส่งเสริมการท่องเท่ียวประเพณีการละเล่นผตี าโขน มีความสนกุ สนาน เพลดิ เพลิน ความเหมาะสมของตัวละคร มีความคิดสรา้ งสรรค์ ความเหมาะสมของสี ยงยุทธ มุ่งหมาย (2558) ไดศ้ ึกษาและพฒั นาการต์ ูนแอนเิ มชัน 2 มติ ิ สง่ เสรมิ คุณธรรม ด้านความซ่ือสตั ย์ เรื่อง เรื่องดๆี ของเดก็ ชายดนิ สาหรบั เด็กนกั เรยี นประถมศึกษาปท่ี 6 วัตถุประสงค์ ดงั น้ี 1) ศึกษารูปแบบตวั การ์ตนู ที่เหมาะสมสาหรบั นักเรยี นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อพัฒนาการ์ตูน แอนเิ มชนั 2 มิติ สง่ เสรมิ คุณธรรมดา้ นความซ่ือสตั ย์ 3) เพื่อประเมินคุณภาพการต์ นู แอนิเมชัน 2 มติ ิ 4) ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรียนตอ่ การ์ตนู แอนเิ มชัน 2 มติ ิ และ5) ศกึ ษาการรบั รขู้ องนักเรยี นที่เกิด จากการ์ตูนแอนิเมชนั 2 มติ ิ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสอบถามรูปแบบตัวการ์ตนู ทน่ี กั เรยี น ชื่นชอบ 2) การ์ตูนแอนเิ มชัน 2 มติ ิ สง่ เสริมคุณธรรมดา้ นความซอ่ื สตั ย์ มคี วามยาวท้ังหมด 10 นาที 3) แบบประเมินคุณภาพการต์ ูนแอนเิ มชนั 2 มิติ 4) แบบวัดความพึงพอใจนกั เรียนประถมศึกษาปีที่ 6 และ5) แบบวดั การรับรขู้ องนักเรยี นประถมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มตัวอยา่ งที่ใช้ในการวิจยั คือ นกั เรยี น โรงเรยี นเทศบาลสวนสนุก อาเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ ระดับประถมศึกษาปที ี่ 6 ปีการศกึ ษา 2555 จานวน 80 คน ผลการวิจัยพบวา่ ความพึงพอใจนักเรียนต่อการต์ ูนแอนิเมชัน 2 มติ ิ สง่ เสริมคณุ ธรรม ด้านความซื่อสัตย์ เร่ือง เรือ่ งดๆี ของเดก็ ชายดิน ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นเทศบาล สวนสนกุ โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มากทีส่ ดุ (������̅ = 4.52) และเมือ่ พจิ ารณาเป็นรายด้านทงั้ 3 ดา้ น โดยมี การเรยี งลาดับคา่ เฉลีย่ จากมากไปหาน้อยดังน้ี ด้านการสง่ เสริม (������̅ = 4.62) ด้านเน้อื หา (������̅ = 4.51) และดา้ นการ์ตนู แอนิเมชัน (������̅ = 4.42)
22 ศศวิ รา หริ ัญตยี ะกลุ (2550) ได้ศึกษาและพัฒนาสอื่ การต์ นู แอนเิ มชนั่ 2 มติ ิ เรื่อง ปวดเอย๋ ปวดฟนั กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กวัยเรียนอายรุ ะหวา่ ง 7-12 ปี ผลการศกึ ษาพบวา่ การพัฒนาสือ่ การต์ นู แอนเิ มช่นั 2 มติ ิ เรื่อง ปวดเอ๋ย ปวดฟัน ทีไ่ ด้ทาการศกึ ษาและพฒั นาข้นึ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ไดด้ ี จากการสอบถามความพึงพอใจของเด็กอายุระหว่าง 7-12 ปี โดยรวมพบว่าส่ือมคี ุณภาพอยู่ในระดับดี (������̅ = 3.98) เน่ืองจากสามารถสะท้อนเรื่องราวเกย่ี วกบั การดูแลรกั ษาสขุ ภาพฟันของเด็กๆ ไดด้ ี เด็กอายุ 7-12 ปี มีความสนใจท่จี ะดแู ลสุขภาพฟันของตนเอง เพราะตัวการต์ ูนในส่ือมีความนา่ รกั สดใส สามารถ โนม้ นา้ วจิตใจของเด็ก เสียงพากย์มคี วามชัดเจนเหมาะสมกับตัวละคร เนือ้ หามีความสอดคลอ้ งต่อเนอ่ื ง กันมีรูปแบบการนาเสนอดที าใหเ้ ด็กๆ มีความสนกุ สนานไปพร้อมๆกับดนตรีประกอบ นอกจากนน้ั แลว้ สอื่ ยงั มปี ระโยชนส์ ามารถนาไปเผยแพรใ่ ห้เด็กๆ และผปู้ กครอง ท่ีได้ชมการ์ตูนแอนิเมช่นั 2 มิติ เรอื่ ง ปวดเอย๋ ปวดฟนั ดูแลและใส่ใจสุขภาพฟันมากข้นึ
บทที่ 3 วิธดี าเนนิ การศกึ ษาค้นคว้า โครงงานสารสนเทศศาสตร์ การพัฒนาการต์ ูนแอนเิ มชัน 2 มติ ิ เรื่อง การป้องกันโรคฟันผุ ได้แบ่งวธิ ดี าเนนิ การศึกษา โดยมขี น้ั ตอนดังนี้ 1. การศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มลู เบื้องตน้ 2. การออกแบบโครงเรือ่ ง 3. ข้นั ตอนการพัฒนาแอนเิ มช่ัน 4. การนาไปใช้ 5. การประเมินผล การศกึ ษาและวเิ คราะหข์ อ้ มูลเบ้ืองตน้ จากการศกึ ษาข้อมลู และรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับการป้องกันโรคฟนั ผุ จากหนังสือเรียนวิชา สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 เว็บไซต์ และเอกสารทเ่ี กีย่ วข้อง ซ่ึงมีเนอื้ หาในการพัฒนา การ์ตนู แอนิเมช่ัน ดงั นี้ 1. ความหมายโรคฟนั ผุ 2. สาเหตุการเกดิ โรคฟนั ผุ 3. การปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ 3.1 การหลีกเลย่ี งอาหารทีท่ าให้เกดิ โรคฟันผุ 3.2 การดูแลรกั ษาความสะอาดช่องปาก 3.3 พบทนั ตแพทย์เพ่ือตรวจสุขภาพฟันและเคลือบฟลอู อไรดท์ กุ 6 เดือน 3.4 การเคลือบหลมุ รอ่ งฟัน 3.5 การตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเองเปน็ ประจา 3.6 การฝกึ หัดให้เด็กเลิกดูดนมจากขวด 3.7 งดการเคี้ยว เป่า กดั อาหารป้อนเด็ก
24 การออกแบบโครงเร่ือง ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) No Display Screenplay Script 1. ภาพตราโรจนากรปรากฏ ข้ึนมา ขอ้ ความ “การป้องกนั โรค 2. ฟันผุ” ปรากฏขน้ึ มา - ขนมหวานถกู กากบาท - ฟนั กาลังถือแปรงและยา สีฟันยกขึน้ ลง - เดก็ กาลงั แปรงฟัน 3. บ้านสม้ ค่อยๆ ขยายเข้าไป บทบรรยาย : เช้าวัน ทีต่ วั บา้ น เสาร์ ส้มร้สู ึกวา่ วนั นี้ อากาศแจม่ ใสจงึ ไดใ้ ห้ แมพ่ าออกไปเล่นทบี่ ้าน องุ่น
25 ตาราง 1 การออกแบบโครงเรื่อง (Story boards) (ต่อ) No Display Screenplay Script 4. สม้ และพ่อแม่กาลงั กินขา้ ว สม้ : “แมค่ ่ะวันนี้พาหนู และสม้ ก็พดู คุยกับแม่ที่ ไปเล่นกับองนุ่ ที่บ้านนะ โต๊ะอาหาร คะ” แมข่ องส้ม : “ได้จ้ะแต่ หนตู ้องกินขา้ วให้หมด ก่อนนะจะ๊ เดยี วแม่จะ พาไปจ้ะ” สม้ : “คะแม่” 5. ส้มกาลงั เดินไปบา้ นองุ่น กบั แม่ 6. ส้มกาลังยืนเรียกองุ่นอยู่ สม้ : “ถงึ ซะที องนุ่ ๆ หนา้ บ้านองนุ่ กบั แม่ อยไู่ หม”
26 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 7. แม่องุ่นเปดิ ประตูบา้ นออก แมข่ ององุ่น : “ว่าไงจะ๊ มาแลว้ พูดคยุ กับสม้ และ สม้ ” แม่ของส้ม ส้ม : “สวสั ดคี ะแม่ องุ่น อยไู่ หมคะ” แม่ขององนุ่ : “องนุ่ ไม่ สบายนอนอยู่ขา้ งใน บา้ นจะ้ ” สม้ : “งน้ั หนูขอเขา้ ไป หาองุ่นนะคะ” แมอ่ งนุ่ :“เขา้ มาเลยจ้ะ. 8. สม้ ถามองนุ่ ดว้ ยสีหน้าเปน็ สม้ : “องุ่นเปน็ อะไร ห่วง เหรอ” 9. องุ่นพูดกบั ส้มดว้ ยสีหน้าท่ี องุ่น : “คุณหมอบอกว่า กาลงั ปวดฟนั เราเปน็ โรคฟนั ผุ” ส้ม : “แล้วโรคฟนั ผุมัน คืออะไรหรอ”
27 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 10. องนุ่ อธิบายความหมาย องุ่น : “โรคฟันผุก็คือ โรคฟนั ผโุ ดยแมงข้ึนมา เชอื้ แบคทเี รยี ทเ่ี ข้าไป แทะทีฟ่ นั ทาลายเน้อื ฟันของเรา จนทาใหเ้ กดิ รูหรือโพรง ที่ตวั ฟนั ” 16. ส้มถามสาเหตุการเกิดโรค ส้ม : “แลว้ องุน่ ไปทา ฟนั ผุ อะไรมาถึงไดป้ วดฟนั ขนาดนี้” 17. องุน่ อธิบายการสาเหตกุ าร อง่นุ : “กเ็ ราชอบกิน เกดิ โรคฟันผุ ทอ็ ฟฟี่ ขนมหวาน นา้ อัดลม”
28 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 18. องนุ่ อธิบายการสาเหตุการ องนุ่ : “แล้วเรากไ็ ม่ชอบ เกิดโรคฟันผโุ ดยแมงกาลงั แปรงฟันเลยทาให้เศษ กนิ ฟนั องุ่น ขนมไปเจอกบั แบคทเี รีย ทอี่ ยู่ในปากต่อมาจงึ ทา ใหเ้ กดิ กรดไปทาลายฟัน ของเรา” 19. สม้ บอกลาอง่นุ เพอื่ กลบั ส้ม : “ง้ันวนั นอี้ งนุ่ กเ็ ล่น บา้ น กบั เราไม่ไดแ้ ล้วละสิ งั้น เรากลบั บ้านก่อนนะ” 20. สม้ กาลังเดินกลบั บ้านและ บทบรรยาย : ใน เดนิ ผา่ นคลีนคิ ฟนั สวย ระหวา่ งทางกลบั บ้านนน้ั สม้ กบั แมเ่ ดนิ ผา่ นคลินิก ฟันสวย
29 ตาราง 1 การออกแบบโครงเรื่อง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 21. ส้มชวนแม่ไปตรวจฟันใน สม้ : “แม่คะหนูอยากไป คลนี ิค ตรวจฟนั ดูจังเลยคะ” แม่ : ได้สิจ๊ะ บทบรรยาย : จากน้ันสม้ กับแม่ก็เดนิ เขา้ ไปใน คลนิ ิก 22. สม้ คุยกับหมอท่ีหนา้ คณุ หมอ : “เป็นอะไรมา เคานเ์ ตอร์ จ๊ะ” ส้ม : “หนมู าตรวจฟนั คะ” 23. คณุ หมอกาลงั ตรวจฟนั ส้ม คุณหมอ : “ไหนจ๊ะอา้ ปากให้หมอดหู นอ่ ยนะ ซ”ิ
30 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 24. คณุ หมอตกใจในความสวย คุณหมอ : “โอโ้ ฮ ฟนั ของฟันส้ม สวยมากเลย” 25. ส้มถามวธิ กี ารป้องกนั โรค สม้ : “แสดงว่าหนูไม่ ฟันผุ เปน็ โรคฟันผุใช่ไหมคะ” คณุ หมอ : “ใช่จา้ ” สม้ : “แล้วถา้ หนูไม่ อยากเปน็ หนตู ้อง ป้องกนั ยังไงค่ะ” 26. คณุ หมอแนะนาวธิ ปี อ้ งกัน คณุ หมอ : “ง่ายๆ เลย โรคฟันผุ แคป่ ฏิบตั ติ ามวธิ กี าร ป้องกนั โรคฟันผุของ หมอดงั นน้ี ะจะ๊ ”
31 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 27. ภาพขนม อมยม้ิ น้าอดั ลม คณุ หมอ : “1. หลกี เล่ยี ง คอ่ ยๆ เกิดข้ึน แลว้ ถูกท้งิ อาหารทม่ี ีส่วนผสมของ ลงถงั ขยะ แป้งและนา้ ตาลจาพวก ทอ็ ฟฟ่ี ลกู อม น้าอดั ลม และขนมหวาน” 28. กินให้ครบอาหาร 5 หมู่ คณุ หมอ : “แลว้ หันมา ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่” 29. แปรงฟันตอนเชา้ และก่อน คุณหมอ : “2. แปรง นอน ฟนั อยา่ งน้อยวนั ละ 2 ครง้ั ตอนตื่นเชา้ และก่อน นอน บว้ นปากทุกครัง้ หลงั อาหารทกุ มื้อ”
32 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 30. แปรงฟันนานถงึ 2 นาที คุณหมอ : “ทีส่ าคัญต้อง และใช้ยาสฟี นั ผสม แปรงฟนั ใหน้ านถงึ 2 ฟลอู อไรด์ นาทใี ชย้ าสฟี ันผสม ฟลูออไรด์” 31. ไมค่ วรกินอาหาร 2 ช่ัวโมง คุณหมอ : “และไม่ควร หลังจากแปรงฟัน กินอาหาร 2 ชั่วโมง หลังจากแปรงฟัน” 32. พบทันตแพทย์เพ่ือตรวจ คุณหมอ : “3.ไปพบ สขุ ภาพฟัน ทนั ตแพทยเ์ พื่อตรวจ สขุ ภาพฟัน”
33 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 33. เคลอื บฟลอู อไรด์ทกุ 6 คุณหมอ : “และใหท้ ันต เดอื น แพทย์ทาการเคลอื บ ฟลอู อไรดใ์ ห้ทกุ 6 เดือน อย่างสม่าเสมอ” 34. เคลือบหลมุ ร่องฟนั เมือ่ ฟนั คณุ หมอ : “4. เข้ารบั กรามแท้ซแี่ รกข้นึ หรือเม่อื การเคลือบหลุมร่องฟนั ฟนั มหี ลุมร่องลึก เมือ่ ฟันกรามแทซ้ ่ีแรก ขึน้ หรอื เมื่อตรวจพบว่า ฟนั มีหลมุ ร่องลกึ ” 35. ตรวจฟนั ดว้ ยตนเอง คุณหมอ : “5.หมั่นตรวจ ฟันด้วยตนเองเปน็ ประจา”
34 ตาราง 1 การออกแบบโครงเรื่อง (Story boards) (ต่อ) No Display Screenplay Script 36. คณุ หมอถามวา่ มีอะไร คณุ หมอ : “ถ้าหนู สงสยั อีกไหม ปฏิบัตติ ามวธิ ขี องหมอ ได้แบบนีห้ นกู จ็ ะ สามารถปอ้ งกันตวั เอง จากโรคฟนั ผุได้จ๊ะ” ส้ม : “คะ่ คณุ หมอหนจู ะ ปฏบิ ตั ิตามที่คุณหมอ บอกทุกอยา่ งเลยคะ” คณุ หมอ : “แลว้ หนมู ี อะไรสงสัยอยากจะถาม หมออีกไหม” 37. ส้มกาลังคดิ วา่ จะถามอะไร สม้ : “เอ้! มีอะไรอีกไหม คุณหมอ นะ” 38. ส้มคิดคาถามออกแลว้ สม้ : “อ๋อคดิ ออกแลว้ คุณหมอค่ะแล้วเราจะ ตรวจฟนั ด้วยตวั เองยังไง คะ่ ”
35 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 39. คณุ หมอแนะนาวิธตี รวจ คณุ หมอ : “ไม่ยากจ๊ะ ฟันดว้ ยตนเอง แค่ทาตามขั้นตอนดังนี้ เลย” 40. คณุ หมอแนะนาการตรวจ คุณหมอ : “1. การตรวจ ฟันหนา้ บนและลา่ ง ฟนั หนา้ บนและล่าง โดย ยิ้มยิงฟันกับกระจกให้ เห็นฟันหน้าบนท้งั หมด ท้ังตัวฟันและเหงอื ก” 41. คุณหมอแนะนาการตรวจ คณุ หมอ : “2. ตรวจฟนั ฟันกรามด้านตดิ แกม้ กรามดา้ นติดแก้ม โดย ยม้ิ ให้กวา้ งไปถงึ ฟัน กราม อาจใช้นวิ้ มอื ชว่ ย ดงึ มมุ ปาก เพื่อใหเ้ ห็นได้ ชัดเจนข้นึ ”
36 ตาราง 1 การออกแบบโครงเรื่อง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script 42. คณุ หมอแนะนาการตรวจ คุณหมอ : “3. ตรวจฟัน ฟันลา่ งและฟนั กรามดา้ น ล่างและฟันกรามด้านใน ใน โดยการกม้ หน้าอ้า ปากกว้าง กระดกลนิ้ ข้ึน และเอียงไปทางซา้ ยและ ทางขวาสลับกัน” 43. คุณหมอแนะนาการตรวจ คุณหมอ : “4. ตรวจฟัน ฟนั บนและฟนั กรามด้าน บนและฟันกรามด้านใน ใน โดยการเงยหนา้ อา้ ปาก เอยี งไปทางซ้ายและ ทางขวาสลับกนั ” 44. ส้มบอกลาคณุ หมอเพื่อจะ คุณหมอ : “เปน็ ไงจ๊ะ กลบั บ้าน งา่ ยไหมลองไปทาตามท่ี หมอบอกนะจ๊ะ”
ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ต่อ) 37 No Display Screenplay Script 45. บา้ นส้มตอนกลางคนื 46. ส้มลุกออกจากโต๊ะอาหาร พ่อของส้ม : “ส้มจะไป ไหนลกู อิ่มแล้วเหรอ ลกู ” ส้ม : “อิม่ แลว้ คะ หนจู ะ รบี ไปแปรงฟนั คะ” แม่ของส้ม : “ท่าทางจะ กลวั มากเลยนะลูกเรา น่ี” 47. สาระนา่ รู้กบั คุณหมอชมพู่ คุณหมอ : “สาระนา่ รู้ กับคณุ หมอชมพู่”
38 ตาราง 1 การออกแบบโครงเร่ือง (Story boards) (ตอ่ ) No Display Screenplay Script คุณหมอ : “รู้หรือไม่” 48. ร้หู รือไม่ 49. หา้ มเดก็ ด่ืมนมจากขวด คุณหมอ : “เมื่อเด็ก แลว้ ให้ดม่ื นมจากแกว้ อายุไดป้ ระมาณ 1 ปี หรืออยา่ งชา้ 2 ปี ควร หดั ให้เดก็ ดื่มนมจากแกว้ แทนการดดู จากขวด ขณะนอนหลับ” 50. เป่า เคี้ยว กดั อาหาร คุณหมอ : “และไมค่ วร เค้ียว เปา่ หรอื กัด อาหารป้อนเด็ก เน่ืองจากจะทาให้แพร่ เช้ือฟันผสุ ูเ่ ด็กได้” สาระดๆี แบบน้ีอย่าลมื นาไปปฏิบตั นิ ะจ๊ะ
39 ตาราง 1 การออกแบบโครงเรื่อง (Story boards) (ต่อ) No Display Screenplay Script 51. คุณหมอบอกลา คณุ หมอ : “สาระดๆี แบบน้อี ย่าลืมนาไป ปฏบิ ัตนิ ะจะ๊ ” ข้ันตอนการพัฒนาแอนเิ มชน่ั ข้ันตอนการพฒั นาการ์ตูนแอนิเมชน่ั เรือ่ ง การปอ้ งกันโรคฟนั ผุ มีข้ันตอนและรายละเอียด ดงั นี้ (สิริวชิ ย์ พงั สวุ รรณ. 2557 : 6-7) 1. ศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ เอกสาร และหนังสอื เรยี นรายวชิ าสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 เร่ือง การป้องกนั โรคฟันผุ และวเิ คราะห์ข้อมลู เบอ้ื งตน้ ที่มีความสอดคลอ้ งกนั ใน เนอื้ หาจากหนังสือสขุ ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 2. เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากเวบ็ ไซต์ เอกสาร และหนงั สือเรียนวชิ าสขุ ศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 ที่มีเนื้อหาเกย่ี วข้องและสอดคล้องกันในเรอ่ื ง การป้องกนั โรคฟันผุ 3. นาเสนอเนอื้ หากับคณุ ครู ธนากร ศรภี ูธร คณุ ครผู สู้ อนนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นโนนสงั วทิ ยาสรรค์ เพอื่ ตรวจสอบความถูกต้องบนเนือ้ หาบทเรียนรายวิชาสุขศึกษาและพลศกึ ษา ของชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 4. วางแผนพัฒนาการต์ ูนแอนิเมชั่น ออกแบบ (Storyboard) โดยทนั ตแพทยห์ ญิง ธนานนั ต์ อุณหนนั ทน์ แพทย์ด้านทนั ตกรรมโรงพยาบาลมหาสารคาม ให้คาแนะนาเก่ยี วกบั เนื้อหา เพิม่ เติมและภาพให้มีความสอดคลอ้ งกนั และกาหนดขัน้ ตอนในการผลิตแอนิเมชัน่ 2 มติ ิ เรื่องการ ป้องกนั โรคฟนั ผุ 5. ลงมือดาเนินการผลติ การต์ ูนแอนิเมช่ัน 2 มติ ิ ตามขัน้ ตอนทว่ี างแผนไว้
40 6. นาการต์ ูนแอนิเมช่นั 2 มิติ เรอ่ื งการป้องกนั โรคฟนั ผุ เสนอต่ออาจารย์ ศิริพร น้อยอา คา อาจารยป์ ระจาสาขาคอมพิวเตอร์แอนเิ มชันและเกม และอาจารยท์ ่ีปรกึ ษา เพื่อให้อาจารย์ตรวจสอบ หาขอ้ บกพร่องและนามาปรบั ปรุงแก้ไข 7. แก้ไขตามคาแนะนาของอาจารย์ศิริพร น้อยอาคา และอาจารย์ท่ีปรกึ ษา หลังจากนัน้ นาการ์ตนู แอนเิ มชัน่ 2 มติ ิ เรื่อง การป้องกันโรคฟันผุ ไปทดลองใชก้ บั นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นโนนสงเปลอื ย ตาบลโนนสงั อาเภอโนนสงั จังหวัดหนองบัวลาภู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 เพอ่ื หาคา่ ความเช่ือม่ันของแบบประเมนิ 8. นาเสนอค่าความเช่ือมัน่ แก่อาจารยท์ ป่ี รึกษา แลว้ ปรบั แกต้ ามคาแนะนาของอาจารย์ที่ ปรึกษา 9. นาเสนอการต์ นู แอนิเมชน่ั 2 มติ ิกบั ประชากร โดยการแจกแบบประเมินใหแ้ ก่นักเรียน ทีละคน หลังจากนั้นเกบ็ กลับมาวิเคราะห์หาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการต์ นู แอนเิ มช่นั 2 มติ ิ เรอ่ื ง การป้องกันโรคฟนั ผุ เพื่อหาข้อบกพรอ่ งแล้วนามาปรับปรุงแก้ไขก่อนนาออกไปเผยแพร่ การนาไปใช้ (Implement) ขนั้ ตอนน้ีเปน็ การนาการ์ตูนแอนเิ มชนั่ ไปใช้งานกับประชากร โดยเม่ือจะนาไปใช้จริง ก็จะมี การคัดลอกไฟล์งานลงในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ไวล้ ว่ งหนา้ ทดสอบความเรยี บร้อยก่อนกลุม่ ประชากรจะมา ใชง้ าน และแนะนาการใชก้ าร์ตูนแอนิเมชนั่ โดยเปิดผา่ นคอมพวิ เตอร์ผ่านเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต การประเมนิ ผล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง การศกึ ษาจากประชากรครั้งน้ี ไดแ้ ก่ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นโนนสัง วทิ ยาสรรค์ ตาบลโนนสัง อาเภอโนนสงั จังหวัดหนองบวั ลาภู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จานวน 24 คน 2. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ ผล 2.1 การ์ตูนแอนิเมชน่ั 2 มติ ิ เร่ือง การป้องกันโรคฟนั ผุ 2.2 แบบสอบถามความพงึ พอใจต่อการ์ตูนแอนิเมชนั 2 มติ ิ เรือ่ งการป้องกันโรคฟนั ผุ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นโนนสังวิทยาสรรค์ ตาบลโนนสัง อาเภอโนนสัง จังหวดั หนองบวั ลาภู จานวน 2 ตอน ประกอบด้วย 1. แบบสอบถามความพึงพอใจ 2. ขอ้ เสนอแนะ ตอนท่ี 1 ความพึงพอใจต่อการ์ตนู แอนิเมชัน่ 2 มติ ิ เรื่อง การป้องกันโรคฟนั ผุ มี รายละเอียดดังนี้
41 1. ดา้ นภาพ 2. ดา้ นเสยี ง 3. ดา้ นเนอื้ หา ตอนที่ 2 ข้อเสนอแนะ 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผศู้ ึกษาไดค้ ้นควา้ ไดด้ าเนินการเกบ็ ดว้ ยตนเองตามลาดบั ขั้นตอนดังต่อไปน้ี 3.1 นาเสนอการต์ ูนแอนเิ มชั่น 2 มติ ิ เร่ืองการป้องกนั โรคฟนั ผุ ทีพ่ ฒั นาเสร็จสมบูรณ์ แลว้ ให้กลุ่มตัวอย่างประเมนิ และตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจ ท่ีมีตอ่ การ์ตนู แอนิเมช่ัน 2 มติ ิ เร่อื ง การป้องกันโรคฟันผุ 3.2 เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามความพึงพอใจจากประชากร เพอ่ื นาไปวิเคราะหผ์ ล ซ่ึง กาหนดระดบั ความพึงพอใจ โดยใชม้ าตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ให้คะแนนตาม เกณฑ์ดงั นี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 163) ระดบั 5 หมายถงึ มากท่สี ุด ระดับ 4 หมายถงึ มาก ระดบั 3 หมายถงึ ปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ นอ้ ย ระดบั 1 หมายถงึ น้อยที่สุด 4. การวเิ คราะห์ข้อมูล ผศู้ กึ ษาคน้ คว้าไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้ 4.1 นาแบบสอบถามทีม่ ขี ้อความสมบรู ณ์มาจดั ระเบยี บขอ้ มูล 4.2 วิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2 ปี การศกึ ษา 2559 โรงเรยี นโนนสงั วทิ ยาสรรค์ ตาบลโนนสงั อาเภอโนนสัง จังหวดั หนองบวั ลาภู ท่มี ีตอ่ การต์ นู แอนเิ มชนั 2 มติ ิ เรือ่ งการปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ โดยหาค่าเฉล่ีย ˉx และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) กาหนดเกณฑ์การแปลคา่ คะแนนดงั น้ี (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 163) 4.51 - 5.00 หมายถึง ความพงึ พอใจในระดับมากทสี ดุ 3.51 - 4.50 หมายถงึ ความพึงพอใจในระดบั มาก 2.51 - 3.50 หมายถงึ ความพงึ พอใจในระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง ความพึงพอใจในระดับนอ้ ย 1.00 - 1.50 หมายถึง ความพึงพอใจในระดับนอ้ ยทสี ดุ
Search