Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Makabucha

Makabucha

Published by tanison0343, 2019-02-13 00:00:23

Description: Makabucha

Search

Read the Text Version

วันมาฆะบูชา ตรงกับวันขึน 15 ค่ํา เดือน 3

วันมาฆบูชา มีชอื เรยี กอกี อย่างหนึงวา่ \"วันจาตุรงคสันนิบาต\" เพราะเปนวันที พระพุทธองค์ประทานหลักโอวาทปาฏโิ มกข์ อันเปนหวั ใจของพระธรรม แก่พระอรหันตสาวก ผู้เปนเอหิภกิ ขุทัง1,250รูปทมี าประชมุ พรอ้ มกนั เข้าเฝาพระพุทธเจา้ โดยมไิ ด้นัดหมายในวนั มาฆปุรณมี วันมาฆบชู าได้รับการยกยอ่ งเปนวนั สําคญั ทางศาสนาพุทธ เนืองจากเหตุการณส์ ําคัญที เกิดขึนเมอื 2,500 กว่าปกอ่ น คอื พระโคตมพุทธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ทา่ มกลางที ประชมุ มหาสังฆสันนิบาตครงั ใหญใ่ นพระพุทธศาสนา คมั ภีรป์ ปญจสูทนรี ะบวุ ่าครังนนั มี เหตุการณเ์ กิดขึนพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภกิ ษุ 1,250 รปู ได้มาประชมุ พร้อมกันยังวดั เวฬุวนั โดยมิไดน้ ดั หมาย, พระภิกษุทงั หมดนนั เปน \"เอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา\" หรอื ผู้ได้รับการ อุปสมบทจากพระพุทธเจา้ โดยตรง, พระภกิ ษุทงั หมดนนั ล้วนเปนพระอรหนั ต์ผทู้ รงอภญิ ญา 6, และวันดงั กล่าวตรงกบั วนั เพ็ญเดอื น 3[3] ดังนัน จงึ เรยี กวันนีอีกอย่างหนงึ วา่ \"วนั จาตุรงคสันนิบาต\" หรอื วนั ทีมีการประชุมพรอ้ มด้วยองค์

เหตุการณ์สําคัญทีเกดิ ในวันมาฆบูชาตามพทุ ธประวตั ิ มภรี ์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบุว่าหลงั จากพระพุทธเจ้าเทศนา \"เวทนาปรคิ คหสูตร\" (หรือที ฆนขสูตร) ณ ถาสูกรขาตา เขาคิชฌกฎู จบแลว้ ทาํ ให้พระสารบี ตุ รได้บรรลุอรหตั ตผล จากนนั พระองค์ได้เสด็จ ทางอากาศไปปรากฏ ณ วัดเวฬุวนั มหาวหิ าร ใกลก้ รุงราชคฤห์ แคว้นมคธ แล้วทรงประกาศโอวาทปาติโมกข์แก่ พระภกิ ษุจํานวน 1,250 รปู โดยจาํ นวนนีเปนบริวารของชฏิลสามพีนอ้ ง 1,000 รูป และบริวารของพระ อัครสาวก 250 รปู ] คมั ภีร์ปปญจสูทนรี ะบวุ า่ การประชมุ สาวกครงั นนั ประกอบด้วย \"องคป์ ระกอบอัศจรรย์ 4 ประการ\" คอื (1).วนั ดังกล่าวตรงกับวนั เพ็ญเดือน 3 (2).พระภกิ ษุทัง 1,250 องคน์ ัน ได้มาประชุมกนั โดยมไิ ดน้ ัดหมาย (3).พระภกิ ษุเหล่านันเปนพระอรหนั ต์ทรงอภญิ ญา 6 (4).พระภกิ ษุเหลา่ นนั ไมไ่ ดป้ ลงผมดว้ ยมีดโกน เพราะพระพุทธเจา้ ประทาน \"เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา\" ดว้ ยพระองค์ เอง ดงั นนั จึงมคี ําเรียกวนั นีอีกคําหนงึ วา่ \"วันจาตุรงคสันนบิ าต\" หรอื วนั ทีมกี ารประชมุ พร้อมดว้ ยองค์ 4 ดงั กลา่ ว แล้ว

ดว้ ยเหตกุ ารณ์ประจวบกบั 4 อย่าง จงึ มีชอื เรยี กอกี ชอื หนึงวา่ จาตรุ งคสันนบิ าต (มาจาก ศัพทบ์ าลี จาตรุ +องฺค+สนฺนิปาต แปลวา่ การประชุมอันประกอบด้วยองคป์ ระกอบทงั สี ประการ) หลงั จากพระพุทธเจา้ ตรัสร้แู ลว้ 9 เดอื น (45 ป ก่อนพุทธศักราช) มผี ู้เข้าใจผดิ ว่าเหตสุ ทีพระสาวกทัง 1,250 รูป มาประชมุ พรอ้ มกนั โดยมไิ ด้นัดหมายนัน เพราะวนั เพ็ญเดอื น 3 ตามคตพิ ราหมณเ์ ปนวนั พิธีมหาศิวาราตรเี พือบูชาพระศิวะ พระสาวก เหลา่ นันซึงเคยนับถอื ศาสนาพราหมณม์ ากอ่ นจึงไดเ้ ปลยี นจากการรวมตวั กันทาํ พิธชี าํ ระบาป ตามพิธพี ราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝาพระพุทธเจ้าแทน[9] แต่ความคิดนีไม่ตรงกบั ข้อเท็จจริง เพราะพระศิวะเปนเทพทีชาวฮินดูเริมบูชากนั ในยุคหลงั พุทธกาล คือตังแต่ พ.ศ. 800 เปนตน้ มา

ประทานโอวาทปาตโิ มกข์ พระพุทธเจา้ เมือทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปดว้ ยเหตุอัศจรรยด์ ังกล่าว จึงทรงเหน็ เปน โอกาสอนั สมควรทีจะแสดง \"โอวาทปาติโมกข\"์ อันเปนหลักคาํ สอนสําคญั ทีเปนหัวใจของพระพุทธศาสนาแก่ที ประชมุ พระสงฆ์เหล่านัน เพือวางจดุ หมาย หลักการ และวธิ กี าร ในการเขา้ ถงึ พระพุทธศาสนาแกพ่ ระอรหนั ต สาวกและพุทธบรษิ ัททังหลาย พระพุทธองคจ์ งึ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขเ์ ปนพระพุทธพจน์ 3 คาถากึง ทา่ มกลางมหาสังฆสันนิบาตนนั มีใจความดงั นี[7] พระพุทธพจน์คาถาแรกทรงกลา่ วถงึ พระนิพพาน วา่ เปนจุดมงุ่ หมายหรืออุดมการณอ์ นั สูงสุดของบรรพชติ และ พุทธบริษัท อนั มลี ักษณะทแี ตกตา่ งจากศาสนาอนื ดงั พระบาลวี ่า \"นิพฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พุทฺธา\" พระพุทธพจนค์ าถาทสี องทรงกลา่ วถึง \"วธิ กี ารอันเปนหวั ใจสําคัญเพือเขา้ ถึงจดุ มงุ่ หมายของพระพุทธศาสนาแก่ พุทธบริษัททงั ปวงโดยยอ่ \" คอื การไม่ทาํ ความชัวทงั ปวง การบําเพ็ญแต่ความดี และการทาํ จิตของตนใหผ้ อ่ งใส เปนอสิ ระจากกเิ ลสทงั ปวง ส่วนนเี องของโอวาทปาฏิโมกขท์ ีพุทธศาสนกิ ชนมักทอ่ งจํากนั ไปปฏบิ ตั ิ ซงึ เปนเพียง หนึงคาถาในสามคาถากงึ ของโอวาทปาฏโิ มกขเ์ ท่านัน

ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดทา้ ย ทรงกล่าวถงึ หลักการ ปฏิบตั ขิ องพระสงฆ์ผู้ทําหนา้ ทเี ผยแผ่พระศาสนา 6 ประการ คือ การไม่กลา่ วร้ายใคร, การไม่ทําร้ายใคร , การมคี วามสํารวมในปาติโมกข์ทังหลาย, การเปนผูร้ ู้จกั ประมาณในอาหาร ,การร้จู ักทนี ังนอนอนั สงัด และบาํ เพ็ญ เพียรในอธจิ ติ

สถานทีสําคญั เนืองด้วยวนั มาฆบชู า เหตุการณ์สําคญั ทเี กิดในวันมาฆบชู า เกิดภายในบริเวณทตี งั ของ \"กล่มุ พุทธสถานโบราณวดั เวฬุวนั มหา วหิ าร\" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวนั มหาวิหาร ซงึ ลานจาตรุ งคสันนบิ าตอันเปนจดุ ทีเกิดเหตุการณส์ ําคัญ ในวนั มาฆบูชานัน ยงั คงเปนทีถกเถียงและหาข้อสรปุ ทางโบราณคดไี ม่ได้มาจนถึงปจจุบนั วัดเวฬุวันมหาวหิ าร \"วดั เวฬุวันมหาวหิ าร\" เปนอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตังอยู่ใกล้ เชงิ เขาเวภารบรรพต บนริมฝงแมน่ าสรสั วดซี งึ มตี โปธาราม (บ่อนาร้อนโบราณ) คนั อยู่ระหว่างกลาง นอกเขต กําแพงเมืองเกา่ ราชคฤห์ (อดตี เมืองหลวงของแคว้นมคธ) รฐั พิหาร ประเทศอินเดียในปจจุบนั (หรือแควน้ มคธ ในสมยั พุทธกาล). วดั เวฬุวันในสมัยพุทธการ เดมิ วดั เวฬุวนั เปนพระราชอทุ ยานสําหรบั เสด็จประพาสของพระเจ้า พิมพิสาร เปนสวนปาไผร่ ม่ รืนมีรวั รอบและกาํ แพงเข้าออก เวฬุวนั มอี กี ชอื หนึงปรากฏในพระสูตรวา่ \"พระวหิ าร เวฬุวนั กลนั ทกนวิ าปสถานหรอื \"เวฬุวนั กลนั ทกนวิ าป\" (สวนปาไผ่สถานทีสําหรับให้เหยือแก่กระแต)[13] พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยาน[14]แห่งนเี ปนวดั ในพระพุทธศาสนาหลงั จากได้สดบั พระธรรมเทศนา อนปุ พุ พิกถาและจตุราริยสัจจ[์ 15] ณ พระราชอทุ ยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหน่มุ ) โดยในครงั นัน พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เปนพระอริยบคุ คลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนวิ าปสถาน ไมน่ าน อารามแห่งนกี ไ็ ด้ใช้เปนสถานทีสําหรับพระสงฆป์ ระชุมจาตุรงคสันนิบาตครงั ใหญ่ในพระพุทธศาสนา อนั เปนเหตุการณส์ ําคัญในวันมาฆบูชา

วดั เวฬุวันหลังการปรินพิ พาน. หลงั พระพุทธเจา้ เสด็จปรินพิ พาน วัดเวฬุวนั ได้รบั การดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคนั ธกุฎที มี ีพระสงฆ์เฝาดแู ลทาํ การปดกวาดเชด็ ถูปลู าดอาสนะและปฏบิ ัติต่อสถานที ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยูท่ กุ ๆ แหง่ เหมอื นสมยั ทีพระพุทธองค์ทรงพระชนมช์ พี อยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบตั ิ เชน่ นตี ดิ ตอ่ กันกวา่ พันป แต่จากเหตกุ ารณย์ า้ ยเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครงั ในชว่ ง พ.ศ. 70 ทีเรมิ จากอาํ มาตย์และราษฎร พร้อมใจกันถอดกษัตรยิ ์นาคทสั สกแ์ หง่ ราชวงศ์ของพระเจา้ พิมพิสารออกจากพระราชบลั ลังก์ และยกสุสูนาค อํามาตยซ์ งึ มเี ชอื สายเจา้ ลจิ ฉวใี นกรุงเวสาลแี หง่ แคว้นวชั ชีเกา่ ใหเ้ ปนกษัตรยิ ต์ งั ราชวงศ์ใหมแ่ ล้ว พระเจ้าสุสู นาคจึงได้ทาํ การยา้ ยเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยงั เมืองเวสาลอี ันเปนเมอื งเดมิ ของตน และกษัตริย์พระองค์ ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผ้เู ปนพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จาก เมอื งเวสาลไี ปยังเมืองปาตลีบุตร ทําให้เมืองราชคฤห์ถกู ลดความสําคัญลงและถกู ทงิ ร้าง ซงึ เปนสาเหตุสําคัญที ทาํ ใหว้ ดั เวฬุวนั ขาดผู้อุปถัมภแ์ ละถูกทงิ ร้างอย่างสินเชงิ ในช่วงพันปถัดมาโดยปรากฏหลกั ฐานบันทกึ ของหลวง จนี ฟาเหยี น (Fa-hsien) ทไี ดเ้ ขา้ มาสืบศาสนาในพุทธภูมใิ นช่วงป พ.ศ. 942–947 ในช่วงรชั สมยั ของพระเจา้ จนั ทรคุปต์ที 2 (พระเจา้ วกิ รมาทติ ย)์ แหง่ ราชวงศ์คุปตะ ซึงท่านไดบ้ ันทกึ ไวว้ า่ เมืองราชคฤหอ์ ยู่ในสภาพ ปรักหักพัง แต่ยงั ทันไดเ้ หน็ มูลคนั ธกฎุ วี ดั เวฬุวันปรากฏอยู่ และยงั คงมีพระภกิ ษุหลายรูปช่วยกนั ดแู ลรกั ษาปด กวาดอยูเ่ ปนประจาํ แต่ไม่ปรากฏว่ามกี ารบนั ทึกถึงสถานทีเกดิ เหตุการณจ์ าตุรงคสันนิบาตแตป่ ระการใด

แต่หลงั จากนนั ประมาณ 200 ป วดั เวฬุวนั ก็ถูกทงิ ร้างไป ตามบันทกึ ของพระถังซําจัง (Hiuen-Tsang) ซึงได้ จารกิ มาเมอื งราชคฤห์ราวป พ.ศ. 1300 ซงึ ทา่ นบันทกึ ไว้แตเ่ พียงวา่ ทา่ นไดเ้ หน็ แตเ่ พียงซากมลู คันธกฎุ ีซงึ มี กาํ แพงและอิฐลอ้ มรอบอยู่เท่านนั (ในสมยั นันเมืองราชคฤห์โรยราถึงทีสุดแลว้ พระถังซําจังได้แตเ่ พียงจด ตําแหน่งทตี ังทศิ ทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเกา่ แก่อืน ๆ ในเมอื งราชคฤหไ์ ว้มาก ทําใหเ้ ปน ประโยชนแ์ ก่นักประวตั ศิ าสตร์และนกั โบราณคดใี นการคน้ หาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมอื งราชคฤห์ในปจจุบัน) จดุ แสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปจจุบัน ปจจุบันหลงั ถูกทอดทิงเปนเวลากว่าพันป และไดร้ บั การบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในชว่ งทอี ินเดียยงั เปน อาณานิคมขององั กฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดนิ โบราณสถานทียังไมไ่ ดข้ ุดคน้ อีกมาก สถานทีสําคัญ ๆ ที พุทธศาสนิกชนในปจจุบันนยิ มไปนมัสการคือ \"พระมลู คันธกุฎี\" ทีปจจบุ ันยงั ไมไ่ ดท้ าํ การขุดคน้ เนอื งจากมีกุ โบร์ของชาวมสุ ลิมสรา้ งทบั ไวข้ า้ งบนเนินดิน, \"สระกลนั ทกนิวาป\" ซึงปจจบุ นั รฐั บาลอินเดียได้ทําการบรู ณะใหม่ อยา่ งสวยงาม, และ \"ลานจาตุรงคสันนบิ าต\" อนั เปนลานเล็ก ๆ มีซุ้มประดษิ ฐานพระพุทธรูปยนื ปางประทานพร อยูก่ ลางซุ้ม ลานนเี ปนจุดสําคัญทชี าวพุทธนยิ มมาทําการเวียนเทยี นสักการะ (ลานนเี ปนลานทีกองโบราณคดี อินเดยี สันนิษฐานวา่ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขใ์ นจดุ นี)

จดุ ทีเกดิ เหตุการณ์สําคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต) ถงึ แมว้ า่ เหตุการณจ์ าตรุ งคสันนิบาต จะเปนเหตุการณ์สําคญั ยิงทีเกิดในบรเิ วณวดั เวฬุวนั มหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอยี ดในบันทกึ ของสมณ ทูตชาวจนี และในพระไตรปฎกแตอ่ ย่างใดว่าเหตกุ ารณ์ใหญน่ เี กดิ ขึน ณ จุดใดของวดั เวฬุวัน รวมทังจากการขดุ ค้นทางโบราณคดีกไ็ มป่ รากฏหลักฐานว่ามีการทําเครอื งหมาย (เสาหนิ ) หรือสถปู ระบุสถานทีประชุม จาตรุ งคสันนบิ าตไวแ้ ตอ่ ย่างใด (ตามปกตแิ ลว้ บริเวณทเี กดิ เหตกุ ารณส์ ําคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถปู โบราณหรือเสาหนิ พระเจ้าอโศกมหาราชสรา้ งหรอื ปกไว้เพือเปนเครืองหมายสําคญั สําหรบั ผูแ้ สวงบุญ) ทาํ ใหใ้ น ปจจบุ นั ไม่สามารถทราบโดยแนช่ ัดว่าเหตกุ ารณจ์ าตรุ งคสันนบิ าตเกิดขนึ ในจุดใดของวัด ในปจจบุ ันกองโบราณคดอี นิ เดียไดแ้ ต่เพียงสันนิษฐานว่า \"เหตุการณ์ดงั กลา่ วเกิดในบรเิ วณลานดา้ นทิศ ตะวันตกของสระกลนั ทกนิวาป\" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลกั ฐานวา่ เหตุการณ์ดงั กล่าวมีพระสงฆป์ ระชมุ กันมากถึงสองพันกว่ารปู และเกดิ ในชว่ งทพี ระพุทธองค์พึงได้ทรงรับถวายอารามแหง่ นี การประชุมครังนนั คง ยังตอ้ งนงั ประชุมกันตามลานในปาไผ่ เนืองจากเสนาสนะหรอื โรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ไดส้ รา้ งขึน และ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ในปจจบุ ันลานด้านทิศตะวนั ตกของสระกลันทกนิวาป เปนลานกวา้ งลานเดยี วในบรเิ วณวดั ที ไม่มโี บราณสถานอืนตงั อย)ู่ โดยไดน้ ําพระพุทธรปู ยนื ปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซมุ้ เลก็ ๆ กลาง ลาน และเรยี กวา่ \"ลานจาตุรงคสันนิบาต\" ซงึ ในปจจบุ นั กย็ งั ไมม่ ขี ้อสรุปแน่ชดั ว่าลานจาตรุ งคสันนบิ าตทีแท้ จรงิ อยูใ่ นจดุ ใด และยงั คงมีชาวพุทธบางกลมุ่ สร้างซมุ้ พระพุทธรูปไว้ในบริเวณอนื ของวัดโดยเชอื ว่าจดุ ทีตน สร้างนนั เปนลานจาตุรงคสันนบิ าตทีแทจ้ รงิ แตพ่ ุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชือตามขอ้ สันนษิ ฐาน ของกองโบราณคดีอนิ เดยี ดังกล่าว โดยนยิ มนับถอื กนั วา่ ซุม้ พระพุทธรูปกลางลานนีเปนจุดสักการะของชาวไทยผู้ มาแสวงบุญจดุ สําคัญ 1 ใน 2 แหง่ ของเมืองราชคฤห์ (อีกจดุ หนงึ คอื พระมูลคนั ธกฎุ บี นยอดเขาคิชฌกูฏ)

กิจกรรมทพี ทุ ธศาสนิกชนพึงปฏบิ ตั ิในวันมาฆบชู า วันมาฆบูชา พุทธศาสนกิ ชนชาวไทยนิยมทําบญุ ตักบาตรในตอนเชา้ และตลอดวันจะมกี ารบาํ เพ็ญบญุ กุศล ความดอี ืน ๆ เชน่ ไปวดั รับศีล งดเว้นการทาํ บาปทงั ปวง ถวายสังฆทาน ใหอ้ สิ ระทาน (ปล่อยนกปลอ่ ยปลา) ฟง พระธรรมเทศนา และไปเวยี นเทยี นรอบโบสถ์ในเวลาเย็น[19] โดยกอ่ นทาํ การเวยี นเทยี นพุทธศาสนกิ ชนควรร่วมกันกลา่ วคาํ สวดมนต์และคําบูชาในวันมาฆบชู า โดยปกติ ตามวัดตา่ ง ๆ จะจดั ใหม้ กี ารทําวัตรสวดมนต์ก่อนทําการเวยี นเทยี น ซึงส่วนใหญน่ ยิ มทําการเวียนเทียนอย่างเปน ทางการ (โดยมีพระภกิ ษุสงฆ์นาํ เวยี นเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นา ิกา โดยบทสวดมนต์ทีพระสงฆ์นิยมสวด ในวันมาฆบูชากอ่ นทาํ การเวยี นเทียนนิยมสวด (ทงั บาลแี ละคําแปล) ตามลําดับดังนี (1).บทบูชาพระรตั นตรัย (บทสวดบาลีทีขึนตน้ ดว้ ย:อรหงั สัมมา ฯลฯ) (2).บทนมสั การนอบนอ้ มบูชาพระพุทธเจ้า (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) (3).บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลีทีขึนต้นดว้ ย:อติ ปิ โส ฯลฯ) (4).บทสรรเสริญพระพุทธคณุ สวดทาํ นองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะทีขึนต้นด้วย:องคใ์ ดพระสัมพุทธ ฯลฯ) (5).บทสรรเสรญิ พระธรรมคุณ (บทสวดบาลที ีขนึ ตน้ ด้วย:สวากขาโต ฯลฯ)

บทสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทาํ นองสรภัญญะ (บทสวดสรภญั ญะทีขึนต้นด้วย:ธรรมมะคือ คณุ ากร ฯลฯ) บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (บทสวดบาลีทีขึนต้นดว้ ย:สุปฏิปนโน ฯลฯ) บทสรรเสริญพระสังฆคณุ สวดทํานองสรภัญญะ (บทสวดสรภญั ญะทีขนึ ตน้ ด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ) บทสวดบูชาเนืองในวนั มาฆบชู า (บทสวดบาลีทีขึนตน้ ดว้ ย:อัชชายัง ฯลฯ)[20] จากนันจุดธูปเทียนและถือดอกไมเ้ ปนเครอื งสักการบูชาในมือ แลว้ เดนิ เวยี นรอบปูชนยี สถาน 3 รอบ โดยขณะที เดนิ นนั พึงตังจติ ใหส้ งบ พร้อมสวดระลกึ ถึงพระพุทธคุณ ด้วยการสวดบทอิตปิ โส (รอบทีหนงึ ) ระลึกถงึ พระ ธรรมคุณ ด้วยการสวดสวากขาโต (รอบทสี อง) และระลกึ ถึงพระสังฆคณุ ดว้ ยการสวดสุปะฏปิ นโน (รอบทสี าม) จนกวา่ จะเวียนจบ 3 รอบ จากนันนาํ ธปู เทยี นดอกไม้ไปบชู าตามปูชนยี สถานจงึ เปนอันเสรจ็ พิธี

การกาํ หนดใหว ันมาฆบชู าเปนวนั สําคญั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจา อยูห ัว พระผูดําริใหมีพธิ ีมาฆบูชาขึ้นเปนครัง้ แรกของไทย การประกอบพิธใี นวันมาฆบูชาไดเ รมิ่ มีขนึ้ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจา อยหู วั เนือ่ งจากพระองคทรง เลง็ เห็นวาวนั น้เี ปนวันคลา ยวนั ทีเ่ กิดเหตุการณสําคัญในพระพทุ ธศาสนา คือเปน วนั ทพ่ี ระพุทธเจา ทรงแสดง โอวาทปาฏโิ มกข ฯลฯ ควรจะไดม ีการประกอบพธิ ีบําเพญ็ กศุ ลตา ง ๆ เพื่อถวายเปน พุทธบชู า โดยในคร้ังแรกนั้น ไดทรงกาํ หนดเปนเพียงการพระราชพธิ บี ําเพญ็ กศุ ลเปนการภายใน แตต อ มาประชาชนก็ไดนิยมนําพิธีนไ้ี ป ปฏิบัตสิ บื ตอ มาจนกลายเปนวันประกอบพธิ ีสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาวันหนึ่งไป เน่ืองจากในประเทศไทย พทุ ธศาสนกิ ชนไดม ีการประกอบพธิ ใี นวันมาฆบูชาสบื เนอ่ื งมาตั้งแตสมยั รชั กาลที่ 4 และนบั ถือกันโดยพฤตนิ ัยวาวนั นี้เปนวันสาํ คญั วันหน่ึงในทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยมาตั้งแตน ัน้ [21] โดยเมื่อถึงวันนพี้ ุทธศาสนกิ ชนจะรวมใจกันประกอบพิธบี าํ เพ็ญกุศลตา ง ๆ กนั เปน งานใหญ ดังนน้ั เม่อื ถึงในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยหู วั พระองคจ ึงทรงประกาศใหว นั มาฆบชู าเปนวนั หยุดนักขตั ฤกษ[1] สาํ หรับชาวไทยจะไดรวมใจกนั บาํ เพญ็ กศุ ลในวนั มาฆบชู าโดยพรอ มเพรยี ง

ในปจ จบุ ันยงั คงปรากฏการประกอบพธิ ีมาฆบชู าอยใู นประเทศไทยและประเทศท่ีเคยเปน สว นหน่ึงของประเทศ ไทย เชน ลาว และกัมพูชา (ซ่งึ เปนสว นทไี่ ทยไดเสยี ใหแ กฝรัง่ เศสในสมยั รัชกาลท่ี 5) โดยไมปรากฏวามีการ ประกอบพิธนี ้ีในประเทศพุทธมหายานอ่ืนหรอื ประเทศพุทธเถรวาทนอกนี้ เชน พมา และศรลี งั กา ซึ่งคง สันนษิ ฐานไดวา พธิ ีมาฆบชู าน้เี รมิ่ ตน จากการเปนพระราชพธิ ีของราชสํานกั ไทยและไดข ยายไปเฉพาะในเขต ราชอาณาจกั รสยามในเวลาน้ัน ตอมาดินแดนไทยในสวนท่เี ปน ประเทศลาวและกมั พชู าไดตกเปน ดนิ แดนใน อารกั ขาของฝร่ังเศส และไดร บั เอกราชในเวลาตอมา พุทธศาสนิกชนในประเทศท้ังสองทไี่ ดร ับคตนิ ยิ มการ ปฏิบัตพิ ิธมี าฆบูชาต้งั แตยงั เปน สวนหนง่ึ ของราชอาณาจกั รสยาม คงไดถ อื ปฏิบัตพิ ิธมี าฆบชู าอยางตอ เนื่องโดย ไมไ ดมกี ารยกเลกิ จึงทําใหคงปรากฏพธิ มี าฆบูชาในประเทศดงั กลาวจนถึงปจจุบัน

การประกอบพิธที างศาสนาในวนั มาฆบชู า พระราชพธิ บี ําเพญ็ พระราชกุศลในวนั มาฆบชู าน้ี โดยปกติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูหัวภมู ิพลอดยุ เดช เปนองค ประธานในการพระราชพิธบี ําเพ็ญพระราชกุศล และบางคร้ังทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหพ ระบรมวงศานวุ งศ เสดจ็ แทน โดยสถานทีป่ ระกอบพระราชพิธีจะจัดในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม สํานกั พระราชวงั จะออก หมายกําหนดการประกาศการพระราชพธิ ีนีใ้ หทราบท่วั ไปเปนประจําทุกป ในอดีตจะใชชอ่ื เรียกการพระราชพิธี ในราชกิจจานเุ บกษาแตกตา งกัน บางครง้ั จะใชชอื่ \"การพระราชกุศลมาฆบูชาจาตรุ งคสนั นบิ าต\"[22] หรือ \"การ พระราชกุศลมาฆบูชา\"[23] หรือแม \"มาฆบชู า\"[24] สว นในรัชกาลปจจุบัน สาํ นักพระราชวังจะใชช ่อื เรียก หมายกําหนดการท่ีชดั เจน เชน \"หมายกาํ หนดการ พระราชกุศลมาฆบชู า พุทธศกั ราช ๒๕๒๒\"[25] รายละเอยี ดการประกอบพระราชพธิ ีน้ใี นพระราชนิพนธพ ระราชพธิ สี บิ สองเดือน[26] ของพระบาทสมเดจ็ พระ จลุ จอมเกลา เจา อยูหวั ไดม พี ระบรมราชาธิบายเก่ียวกบั การพระราชพธิ ีในเดือนสาม คอื พระราชพิธบี าํ เพญ็ กุศล ในวนั มาฆบูชาไว มใี จความวา

“เวลาเชา พระสงฆว ัดบวรนิเวศและวดั ราชประดิษฐ ๓๐ รูป ฉันในพระอโุ บสถวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เวลาคา่ํ เสด็จออกทรงจดุ ธูปเทยี นเครอื่ งนมัสการแลว พระสงฆสวดทาํ วัตรเยน็ เหมอื นอยา งทว่ี ัด แลวจึงไดสวดมนตตอไป มีสวดคาถาโอวาทปาฏิโมกขด ว ย สวดมนตจ บทรงจดุ เทยี นรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เลม มีประโคม ดว ยอกี คร้ังหนึ่ง แลว จงึ มีเทศนาโอวาทปาฏโิ มกขกณั ฑ ๑ เปนเทศนาทงั้ ภาษามคธและภาษาสยาม เคร่ืองกัณฑ จวี รเน้ือดีผนื หนึง่ เงิน ๓ ตาํ ลงึ และขนมตา ง ๆ เทศนจบพระสงฆส วดมนตร บั สพั พี ๓๐ รปู ”[27] ในรชั กาลตอมาไดม กี ารลดทอดพธิ ีบางอยา งออกไปบาง เชน ยกเลิกการถวายภัตตาหารพระสงฆใ นเวลาเชา หรอื การจุดเทียนราย 1,250 เลม เปนตน แตก ย็ งั คงมกี ารบาํ เพญ็ พระราชกศุ ลในวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เหมือนเคย โดยในบางป พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหวั ภมู ิพลอดุลยเดชจะทรงประกอบพธิ ีบําเพ็ญพระราชกุศล มาฆบชู าและทรงเวยี นเทียนรอบพุทธศาสนสถานเปนการสว นพระองคต ามพระอารามหลวงหรือวดั ราษฎรอ ืน่ ๆ บา ง ตามพระราชอัธยาศยั [28] ซ่ึงการพระราชพิธนี ้เี ปนการแสดงออกถึงพระราชศรทั ธาอันแนน แฟนในพระ พุทธศาสนา ขององคพ ระมหากษัตรยิ ไ ทยผูทรงเปน เอกอคั รพทุ ธศาสนูปถัมภมาตัง้ แตอดีตจนถงึ ปจ จุบนั

พิธีสามัญ การประกอบพธิ ที างพระพุทธศาสนาเนอื่ งในวนั มาฆบชู าของพุทธศาสนกิ ชนชาวไทย โดยท่วั ไปนยิ มทาํ บุญ ตักบาตร ฟง พระธรรมเทศนา เวียนเทยี นรอบอโุ บสถหรือสถปู เจดียพ ุทธสถานตาง ๆ ภายในวดั เพือ่ เปนการระลึก ถึงวันคลายวนั ที่เกิดเหตุการณส าํ คัญของพระพทุ ธศาสนาในวนั ข้ึน 15 คาํ่ เดอื น 3 พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนิยมนับถอื เอาวนั น้ีเปน วันสําคญั ในการละเวนความช่วั บาํ เพญ็ ความดี ทําใจใหผ อ งใส ตามแนวทางพระบรมพทุ โธวาท โดยมแี นวปฏิบตั ใิ นการประกอบพิธีในวนั มาฆบชู าคลายกบั การประกอบพธิ ใี น วนั วสิ าขบชู า คอื มีการตัง้ ใจบําเพญ็ กุศลทําบญุ ตกั บาตรฟงพระธรรมเทศนาและเจริญจติ ตภาวนาในวนั น้ี เม่ือตก กลางคืนกม็ กี ารเวยี นเทยี นถวายเปนพทุ ธบูชาตามอารามตา ง ๆ และอาจมกี ารบาํ เพ็ญปกณิ ณกะกศุ ลตาง ๆ ตลอดคนื ตามแตจะเห็นสมควร การประกอบพิธีวันมาฆบูชาในปจ จบุ นั นน้ี อกจากการเวยี นเทยี น ทาํ บญุ ตกั บาตร ในวันสาํ คัญแลว ยงั มีหนว ย งานภาครฐั องคกรทางศาสนา และภาคประชาชน รวมกันจดั กจิ กรรมตา ง ๆ ขึ้นมากมาย เพอื่ เปน การเผยแผพ ระ พทุ ธศาสนาและประชาสัมพนั ธกิจกรรมทางพระพทุ ธศาสนาตา ง ๆ ใหแกประชาชน เชน กจิ กรรมสปั ดาหเ ผยแผ พระพทุ ธศาสนาวันมาฆบชู า ณ ทองสนามหลวง หรอื ตามวัดในจังหวัดตา ง ๆ เปน ตน

วนั สําคญั อื่นที่เกี่ยวเน่ืองกบั วันมาฆบชู า วนั คลายวนั ปลงพระชนมายสุ ังขาร ดบู ทความหลกั ท่ี: การปลงพระชนมายุสังขาร ปาวาลเจดีย เมอื งเวสาลี สถานที่ ๆ พระพุทธองคทรงทาํ การปลงพระชนมายสุ งั ขารในวันเพ็ญเดือนสามแหง พรรษาสุดทายของพระชนมชีพ นอกจากเหตุการณจ าตุรงคสนั นบิ าตในวนั เพ็ญเดอื น 3 ในพรรษาแรกของพระพุทธเจา แลว ในวนั เพญ็ เดือน 3 แหงพรรษาสดุ ทายของพระพุทธเจา (คราวทที่ รงพระชนมายุ 80 พรรษา) กไ็ ดเ กดิ เหตุการณสําคัญข้นึ อกี เหตุการณหนงึ่ คือ พระพทุ ธองคไดท รง ปลงพระชนมายุสงั ขาร พระศาสดาเสดจ็ พักผอ นกลางวนั ณ ปาวาลเจดีย ทรงแสดงนมิ ิตโอภาสแกพระอานนทว า ผใู ดเจรญิ อิทธบิ าท 4 ประการ อาจมอี ายุยนื ไดถึงกัป แตพ ระอานนทม ิได ทูลอาราธนา เมอื่ พระอานนทออกไป มารจงึ ไดมาอาราธนาใหน ิพพาน พระองคทรงมสี ตสิ ัมปชญั ญะ ปลงอายสุ ังขาร ณ ปาวาลเจดยี วา อกี 3 เดือนจะเสด็จปรนิ นพิ พาน เกดิ เหตุแผน ดนิ ไหว เมือ่ พระอานนทท ราบ จงึ กราบทูลอาราธนาใหทรงพระชนมชีพอยอู ีก แตพระศาสดาตรสั วา มิใชกาล เพราะไดทรงแสดงนิมติ แลวถงึ 16 คร้งั ทรงทาํ นายวาในวันเพ็ญเดอื น 6 ท่จี ะมาถงึ พระองคจ ะเขา สูม หาปรินพิ พาน จงึ ถอื ไดวาวันมาฆบูชาเปน วนั คลา ยวันสาํ คญั ของพระพุทธศาสนาสองเหตุการณส ําคญั คอื วันทพี่ ระพุทธองคทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข และวนั ที่ทรงทาํ การปลงพระชนมายุสงั ขาร

วันกตัญูแหงชาติ (ประเทศไทย) ในป พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยไดเลง็ เห็นถึงความสําคญั ของวนั มาฆบชู า (ท่อี าจถอื ไดวาเปน วันแหง ความรักของ พระพทุ ธศาสนา) โดยถอื วาเหตุการณสาํ คญั ทเี่ หลาพระสาวกท้ัง 1,250 รูป ไดก ลับมาเขา เฝา พระพุทธเจาดวย ความรกั ในพระองคห ลังจากไดออกไปเผยแพรพ ระศาสนาโดยมไิ ดนดั หมายดงั กลาวเปน ส่ิงทีแ่ สดงถงึ ความ กตญั ูกตเวทีอันบริสทุ ธิ์ และโดยเฉพาะอยางยง่ิ ชว งเวลาในปฏิทินจันทรคติในวนั เพญ็ เดือนสาม มักจะตกใกล กบั ชวง\"เทศกาลวาเลนไทน\" อนั เปนเทศกาลวนั แหงความรักของครสิ ตศ าสนา ซึ่งวยั รุนไทยบางกลมุ มักยึดถอื คตคิ านิยมวนั แหง ความรักในวนั วาเลนไทนผ ดิ ๆ โดยนยิ มยดึ ถอื กนั วาเปนวันแหงความรักของคนหนุมสาว หรือ แมก ระทงั่ ถอื วา เปน \"วนั เสยี ตัวแหงชาติ\"[29] ซึง่ สงผลกระทบตอ คา นิยมทางจรยิ ธรรมและศลี ธรรมของวัยรุน ไทย รฐั บาลไทยในสมยั นัน้ จงึ ไดประกาศใหวันมาฆบชู าเปนวันกตญั ูแหง ชาติ \"เพอ่ื สง เสรมิ คา นิยมทีเ่ หมาะสม แกวยั รนุ ไทย ใหหันมาสนใจกับความรกั อนั บริสุทธิท์ ่ไี มห วังส่ิงตอบแทน\" แทนที่จะไปมวั เมากับความรักใคร ชสู าวหรอื เร่ืองฉาบฉวยทางเพศของหนมุ สาว อันจะกอใหเ กิดปญ หาแกส ังคมตามมา

การผลักดนั ใหมวี นั กตัญูแหงชาติมมี าต้ังแต พ.ศ. 2546 เคยมีการต้ังกระทถู ามในสภาผูแทนราษฎรให พจิ ารณากาํ หนดใหมีวันกตญั ูแหงชาติ แตถกู ปฏิเสธจากผทู ่ีเกีย่ วของ โดยอางวา ในประเทศไทยมีวนั สําคญั แหงชาตทิ ี่เกี่ยวกบั การแสดงความกตัญมู ากพอแลว [30] ตอ มาในป พ.ศ. 2549 นักพดู ชือ่ ดงั หลายคน เชน ดร. ผาณติ กันตามระ นายสรุ วงศ วัฒนกลุ ดร.อภชิ าติ ดาํ ดี นายเฉลมิ ชยั จารไุ พบูลย ดร.โอภาส กิจกาํ แหง และ นายถาวร โชตชิ ่ืน ไดร วมกนั ทําหนงั สือถงึ คณะมนตรีความมน่ั คงแหงชาติขอใหสง เสรมิ ใหว ันมาฆบูชาเปน วนั กตญั แู หง ชาติอกี วนั หนงึ่ ดวย และไดรบั การตอบรับจากผเู กี่ยวของ[31] วันกตญั แู หง ชาติน้ี นอกจากเพอ่ื แสดงออกถงึ วนั แหง ความรกั อนั บรสิ ทุ ธิข์ องชาวพุทธแลว ยงั เพอ่ื สงเสรมิ คา นยิ มใหค นไทยยดึ ถือความกตญั ู โดยอาจมีการพดู คุย สงบัตรอวยพร มอบของขวัญหรอื ชอ ดอกไมแกผ ูมีพระ คณุ เปนการแสดงความระลกึ ถึงพระคุณดว ยความหวงั ดขี องผูให ไมว า จะเปน สง่ิ ของ การแสดงออกซ่งึ นา้ํ ใจ หรือคําพูดกต็ าม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook