Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ບົດວິໄຈການແປງແຄນ

ບົດວິໄຈການແປງແຄນ

Published by chudthang312201, 2020-07-28 00:38:16

Description: ບົດວິໄຈການແປງແຄນ ທີບ້ານຫ້ວຍຊາຍ ຫມູ່16 ຕຳບົນ ປ່າອໍ້ດອນໄຊ ອຳເພີເມືອງ ຈັງຫວັດ ຊຽງຮາຍ ປະເທດໄທ

Search

Read the Text Version

การศึกษาการทาแคน กรณศี ึกษาชุมชนบ้านห้วยทราย หมู่ 16 ตาบลป่ าอ้อดอนชัย อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงราย นายชาครินทร์ จัดทาโดย นายอนุพงศ์ แซ่คู รหสั นกั ศึกษา 571732012 นายจิดปะสง ใจทน รหสั นกั ศึกษา 571732048 แกว้ หลวงหาน รหสั นกั ศึกษา 571732056 เสนอ อาจารยก์ ลั ยาณี สายสุข สาขาวชิ าดุริยางคศาสตร์ สานักวชิ าสังคมศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2559 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย

ประกาศคุณปู การ วทิ ยานิพนธ์ฉบบั น้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยความกรุณาจาก อาจารยก์ ลั ยาณี สายสุข ซ่ึงไดใ้ หค้ วามช่วยเหลือใน การตรวจสอบความถูกตอ้ งและใหค้ าแนะนาเป็นอยา่ งดียงิ่ ผศู้ ึกษาขอกราบขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง ขอขอบพระคุณ พอ่ ใหญ่สหสั อสุรินทร์ ผใู้ หข้ อ้ มูลในการทาวทิ ยานิพนธ์ในคร้ังน้ี จนสาเร็จลุล่วง ไปดว้ ยดี ขอขอบพระคุณ พอ่ และแม่ ผเู้ ป็นบุพการี ผมู้ ีพระคุณอยา่ งยงิ่ ที่ช่วยเหลือค่าใชจ้ า่ ยและเป็นที่พ่ึงทุก ดา้ นสาหรับผศู้ ึกษา ขอบใจเพ่ือนๆทุกคน ท่ีช่วยใหก้ าลงั ใจ และช่วยแกไ้ ขปัญหา ชาครินทร์ แซ่คู อนุพงศ์ ใจทน จิดปะสง แกว้ หลวงหาน

สารบญั เร่ือง หน้า ท่ีมาและความสาคญั ………………………………………………………………………………….........1 วตั ถุประสงค์ …………………………………………………………………………………………….....3 ขอบเขตการศึกษา ………………………………………………………………………………………….3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ..........................................................................................................................................3 วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล …………………………………………………………………………….........3 การทบทวนวรรณกรรม …………………………………………………………………………..……… 4 แนวคิดดนตรีพ้นื บา้ นและดนตรีพ้ืนบา้ นอีสาน ………………………………………….……….4 แนวคิดการผลิตเครื่องดนตรี ……………………………………………………………………...5 แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวทิ ยา ………………………………………………………………6 ประวตั ิความเป็นมาของแคน ……………………………………………………………..............8 ประเภทของแคน ………………………………………………………………………………..10 ส่วนประกอบของแคนและวตั ถุดิบท่ีใชท้ าแคน …………………………………………………11 วสั ดุอุปกรณ์ที่ใชท้ าแคน ………………………………………………………………………...17 ข้นั ตอนการทาแคน ………………………………………………………………………..…….19 งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ……………………………………………………………………….............24 ผลการศึกษา ...............................................................................................................................................28 ส่วนประกอบของแคน …………………………………………………………………………..28 วตั ถุดิบ………………………………………………………………………………………….…32 วสั ดุอุปกรณ์ ……………………………………………………………………………………..39 ข้นั ตอนการทาแคน .......................................................................................................................43 บรรณานุกรม ..............................................................................................................................................55 ภาคผนวก ก ………………………………………………………………………………………………57 ภาคผนวก ข ……………………………………………………………………………………................60

สารบญั ภาพ เรื่อง หน้า ภาพท่ี 1 : ส่วนประกอบของแคน…………………………………………………………………………..28 ภาพที่ 2 : ภาพจาลองประเภทของแคน……………………………………………………………………..29 ภาพท่ี 3 : ขนาดความยาวของเตา้ แคน...........................................................................................................30 ภาพท่ี 4 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของรูตรงกลางเตา้ แคน…………………………………………..30 ภาพท่ี 5 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของไมก้ ้นั เตา้ แคน……………………………………………….31 ภาพที่ 6 : ไมก้ ้นั ลูกแคน................................................................................................................................31 ภาพที่ 7 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของไมก้ ้นั ลูกแคน………………………………………………..31 ภาพที่ 8 : เชือกมดั ลูกแคน………………………………………………………………………………….32 ภาพท่ี 9 : ไมเ้ ฮ้ีย…………………………………………………………………………………………….33 ภาพที่ 10 : ไมเ้ ฮ้ียที่ตากแหง้ แลว้ …………………………………………………………………………...33 ภาพท่ี 11 : รากไมป้ ระดู่……………………………………………………………………………………34 ภาพที่ 12 : รากไมป้ ระดู่ท่ีตดั แลว้ …………………………………………………………………………..34 ภาพที่ 13 : แมลงข้ีสูด………………………………………………………………………………………35 ภาพที่ 14 : ข้ีสูด…………………………………………………………………………………………….35 ภาพท่ี 15 : เถายา่ นาง……………………………………………………………………………………….36 ภาพท่ี 16 : สตางคแ์ ดง……………………………………………………………………………………...36 ภาพที่ 17 : กาไลเงินสมยั ก่อน.......................................................................................................................37 ภาพท่ี 18 : เหรียญหา้ บาทสมยั ก่อน...............................................................................................................37 ภาพที่ 19 : หลาบโลหะ.................................................................................................................................38 ภาพที่ 20 : ไมไ้ ผ…่ ………………………………………………………………………………………...38 ภาพที่ 21 : เล่ือยตดั ไม…้ …………………………………………………………………………………...39 ภาพที่ 22 : มีดตอก…………………………………………………………………………………………39 ภาพที่ 23 : เหล็กซี.........................................................................................................................................40 ภาพที่ 24 : สิ่ว………………………………………………………………………………………………40 ภาพท่ี 25 : ไมม้ ือลิง………………………………………………………………………………………...40 ภาพท่ี 26 : คอ้ นเล็ก………………………………………………………………………………………...41

สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ 27 : ไมจ้ ิ้มลิ้นแคน…………………………………………………………………………………...41 ภาพที่ 28 : หนา้ ทง่ั ………………………………………………………………………………………….42 ภาพท่ี 29 : กระดูกชา้ ง...................................................................................................................................42 ภาพที่ 30 : การวดั ไมเ้ ฮ้ีย……………………………………………………………………………………43 ภาพท่ี 31 : การตดั ไมเ้ ฮ้ีย……………………………………………………………………………………43 ภาพท่ี 32 : ภาพจาลองขนาดความยาวของลูกแคน…………………………………………………………45 ภาพที่ 33 : การเจาะไมเ้ ฮ้ีย………………………………………………………………………………….45 ภาพที่ 34 : การลนไฟไมเ้ ฮ้ีย………………………………………………………………………………..46 ภาพท่ี 35 : การดดั ไมเ้ ฮ้ีย…………………………………………………………………………………....46 ภาพที่ 36 : การตีหลาบโลหะ……………………………………………………………………………….47 ภาพท่ี 37 : การสบั ลิ้นแคน………………………………………………………………………………....47 ภาพท่ี 38 : ภาพจาลองลิ้นแคนเสียงต่า……………………………………………………………………..48 ภาพที่ 39 : ภาพจาลองลิ้นแคนเสียงกลาง…………………………………………………………………..48 ภาพที่ 40 : ภาพจาลองลิ้นแคนเสียงสูง……………………………………………………………………..48 ภาพที่ 41 : การเจาะรูใส่ลิ้นแคน……………………………………………………………………………49 ภาพที่ 42 : การขดู ลิ้นแคน………………………………………………………………………………….49 ภาพท่ี 43 : การใส่ลิ้นแคน………………………………………………………………………………….50 ภาพท่ี 44 : การเจาะรูแพร..............................................................................................................................50 ภาพท่ี 45 : ภาพจาลองขนาดความยาวของรูแพรเมื่อวดั จากลิ้นแคน.............................................................52 ภาพที่ 46 : การใส่ลูกแคน…………………………………………………………………………………..52 ภาพท่ี 47 : การติดข้ีสูด……………………………………………………………………………………..53 ภาพท่ี 48 : การเจาะรูนบั ……………………………………………………………………………………53 ภาพที่ 49 : การมดั ลูกแคน………………………………………………………………………………….54 ภาพท่ี 50 : ที่ต้งั บา้ นพอ่ ใหญ่สหสั อสุรินทร์.................................................................................................61 ภาพที่ 51 : ป้ายทางเขา้ ชุมชนบา้ นหว้ ยทราย.................................................................................................61

สารบญั ภาพ (ต่อ) ภาพท่ี 52 : ชุมชนบา้ นหว้ ยทราย…………………………………………………………………………...61 ภาพที่ 53 : วดั บา้ นหว้ ยทรายเป็นสถานท่ีจดั ประเพณีบุญบ้งั ไฟ....................................................................62 ภาพที่ 54 : บา้ นพอ่ ใหญส่ หสั อสุรินทร์……………………………………………………………………62 ภาพท่ี 55 : พอ่ ใหญส่ หสั อสุรินทร์................................................................................................................63 ภาพท่ี 56 : การสัมภาษณ์…………………………………………………………………………………...63 ภาพท่ี 57 : การเป่ าแคน.................................................................................................................................64

ห น้ า | 1 ทมี่ าและความสาคัญ แคน เป็ นเครื่องดนตรีพ้ืนบา้ นของภาคอีสานท่ีมีการสืบทอดมาอยา่ งยาวนาน โดยเครื่องดนตรีชนิด น้ีจะใชไ้ มเ้ ฮ้ียหรือไมซ้ างเป็ นส่วนประกอบหลกั ในการทา ซ่ึงวิธีการทาแคนน้นั จะข้ึนอยูก่ บั ช่างแคนแต่ละ คนต่างก็มีวิธีการทาท่ีแตกต่างกนั ออกไป แคนมีเอกลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นเฉพาะตวั คือสามารถดาเนินทานอง หลกั และเสียงประสานไปพร้อมๆกนั ได้ นอกจากน้ีแคนยงั เป็ นสัญลกั ษณ์ทางภูมิปัญญาของชาวบา้ นภาค อีสานอีกดว้ ย เนื่องจากมีความเกี่ยวขอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ของชาวอีสานมาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ไม่วา่ จะเป็ นการ ใชแ้ คนเพื่อประกอบพิธีกรรม ประเพณีต่างๆ และการใชแ้ คนบรรเลงเพ่ือผอ่ นคลายความตึงเครียดจากการ ทางาน ทาใหเ้ กิดความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผูบ้ รรเลงและผูฟ้ ัง ผูท้ ่ีบรรเลงแคนจะถูกเรียกวา่ หมอแคน โดยการบรรเลงแคนน้นั จะอาศยั การเป่ าลมเขา้ และดูดลมออกผา่ นลิ้นแคนเขา้ ไปสู่ลูกแคนท่ีมีลกั ษณะเป็ นคู่ๆ ทาใหเ้ กิดเสียงประสานข้ึน ในปัจจุบนั แคนเป็ นท่ีรู้จกั และได้รับความนิยมอย่างกวา้ งขวา้ งในภาคอีสาน ส่วนในภาคเหนือ ที่จงั หวดั เชียงรายก็ยงั มีใหเ้ ห็นอยบู่ า้ ง เนื่องจากมีหมอแคนจากภาคอีสานบางคนท่ีเขา้ มาใชช้ ีวิตอยใู่ นจงั หวดั เชียงราย และได้นาแคนซ่ึงเป็ นเคร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสานเขา้ มาเผยแพร่โดยการนาแคนมาบรรเลง และการทาแคนในจงั หวดั เชียงรายเพ่ือส่งออกจาหน่าย ทาให้ผูค้ นในจงั หวดั เชียงรายต่างให้ความสนใจ เกี่ยวกบั แคนเน่ืองจากหาชมไดย้ าก ไม่เคยเห็นเครื่องดนตรีชนิดน้ีและการบรรเลงแคนแบบพ้ืนบา้ นอีสาน มาก่อน บางส่วนสนใจท่ีจะเรียนรู้เก่ียวกบั เคร่ืองดนตรีชนิดน้ีวา่ มีหลกั การวธิ ีการเล่นอยา่ งไร มีส่วนประกอบ วิธีการทาอย่างไร ใช้วสั ดุอะไรในการทา เป็ นตน้ และเน่ืองจากแคนเป็ นเคร่ืองดนตรีท่ีเป็ นเอกลักษณ์ ของคนภาคอีสาน สามารถเขา้ ถึงได้ง่ายจึงเป็ นพ้ืนฐานให้แก่ผูท้ ี่สนใจเก่ียวกบั ดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสาน การท่ีหมอแคนจากภาคอีสานเขา้ มาใชช้ ีวิตอยใู่ นภาคเหนือตอ้ งมีการปรับเปลี่ยนวถิ ีชีวิตความเป็ นอยูจ่ ากเดิม เนื่องจากสังคม ประเพณี และวฒั นธรรมของภาคเหนือจะแตกต่างจากภาคอีสานอยา่ งสิ้นเชิง แต่หมอแคน ยงั คงอนุรักษแ์ คนซ่ึงเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีเป็ นเอกลกั ษณ์ของคนภาคอีสานไวไ้ ม่ใหส้ ูญหายไป ถึงแมจ้ ะอยตู่ า่ งท่ี ต่างถิ่นกต็ าม ในช่วงปี พุทธศกั ราช 2490-2520 น้นั มีการอพยพของคนอีสานจานวนหน่ึงข้ึนมาอยทู่ างภาคเหนือ กระจายกนั ไปในหลายๆ พ้ืนที่โดยเฉพาะจงั หวดั เชียงรายก็มีคนอีสานท่ีอพยพมาจานวนมากมาต้งั ถ่ินฐานอยู่ ในหลายอาเภอ เช่น อาเภอเทิง อาเภอพญาเมง็ ราย อาเภอเวียงชยั และกิ่งอาเภอเวียงเชียงรุ้ง เป็ นตน้ ซ่ึงการ อพยพเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานของคนอีสานก็มีจากปัจจยั หลายๆด้านที่ทาให้พวกเขาต้องละทิ้งถ่ินฐานบา้ นเกิด อพยพมา โดยมีจุดมุ่งหมายหลกั คือตอ้ งการความเป็ นอยทู่ ี่ดีข้ึน เพ่ือลูกหลานจะไดม้ ีชีวิตความเป็ นอยทู่ ี่ดีข้ึน และการอพยพยา้ ยถิ่นฐานของคนอีสานก็จะมากนั เป็ นครอบครัว สิ่งท่ีทุกๆครอบครัวนามาพร้อมๆ กบั การ อพยพยา้ ยถิ่นน้ันก็คือวฒั นธรรมและวิถีชีวิตของคนอีสาน มนั จึงทาให้เกิดกระบวนการธารงค์ไวซ้ ่ึง เอกลกั ษณ์ของคนอีสาน แต่อยา่ งไรก็ตามการอพยพเขา้ มาคร้ังน้ีก็ทาให้เกิดการปะทะทางวฒั นธรรม สอง วฒั นธรรม คือวฒั นธรรมอีสาน กบั วฒั นธรรมคนเมืองซ่ึงเป็ นเจา้ ของพ้ืนท่ี แต่การประทะก็ทาให้เกิดการ ปรับตวั เขา้ หากนั ทาให้เกิดการผสมผสานกบั วฒั นธรรมของคนเมือง แต่ถึงอยา่ งไรก็ตามชุมชนอีสานยงั ก็

ห น้ า | 2 ยงั คงอนุรักษเ์ อกลกั ษณ์วฒั นธรรมคนอีสานโดยผา่ นกลไกทางสังคมต่างๆ ทาให้ชุมชนอีสานอยู่ท่ามกลาง วฒั นธรรมคนเมืองไดอ้ ยา่ งภาคภูมิใจ (วสันต์ สรรพสุข , 2554) ชุมชนบา้ นหว้ ยทราย คนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็ นชาวอีสานปะปนกบั ชาวเหนือ ซ่ึงอพยพมาจาก ขอนแก่น นครราชสีมา เป็ นตน้ แต่คนอีสานเหล่าน้ียงั คงวิถีชีวิตแบบชาวอีสานไว้ คือการใช้ชีวิตแบบ พอเพียง ทาไร่ ทานา ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั และมกั จะอยู่กนั เป็ นกลุ่ม ท้งั น้ีโดยเฉพาะเร่ืองของดนตรี พ้ืนบา้ นภาคอีสานยงั คงมีการใชอ้ ยูใ่ นชีวิตประจาวนั ตลอดมา ชุมชนบา้ นห้วยทรายยงั เป็ นชุมชนในจงั หวดั เชียงรายท่ีมีการทาแคนจากช่างแคนที่มาจากภาคอีสานจริงๆ ซ่ึงมีอยนู่ อ้ ยมาก และนอกจากน้ีชุมชนบา้ นหว้ ย ทรายยงั เป็ นแหล่งท่องเที่ยวอีกดว้ ย เนื่องจากทุกๆปี จะมีการจดั ประเพณีบุญบ้งั ไฟของภาคอีสานโดยมีพ่อ ใหญ่สหสั อสุรินทร์ เป็ นผูจ้ ดั งานและนาดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสานเขา้ มาร่วมบรรเลงในงานดว้ ย ซ่ึงคนท่ีมา ร่วมงานมีท้งั คนในชุมชนและคนจากต่างอาเภอที่เป็ นท้งั ชาวอีสานและชาวเหนือมาเท่ียวในงานประเพณีบุญ บ้งั ไฟของชุมชนบา้ นหว้ ยทราย ทาใหม้ ีผคู้ นสนใจวฒั นธรรม ประเพณี และดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสานมากข้ึน แคนในชุมชนบา้ นห้วยทราย ยงั คงมีการอนุรักษ์ไวแ้ ละใช้อยู่ในวิถีชีวิตตลอดมา เป็ นชุมชนที่ สามารถผลิตแคนเองเพ่ือใช้สอนและจาหน่าย จากช่างแคนที่มีความรู้เรื่องการทาแคนซ่ึงเป็ นชาวอีสาน และการหาวสั ดุท่ีใชท้ าแคนน้นั บางส่วนสามารถหาไดใ้ นชุมชน เช่น รากไมป้ ระดู่ ข้ีสูดหรือชนั โรง เป็ นตน้ ในชุมชนบา้ นหว้ ยทรายมีผทู้ ่ีบรรเลงและทาแคนไดเ้ พยี งคนเดียว คือ พอ่ ใหญส่ หสั อสุรินทร์ นอกจากน้ียงั ได้ มีการสืบทอดการบรรเลงแคนให้แก่ผูท้ ่ีสนใจ และตามโรงเรียนท่ีสนใจในอาเภอต่างๆ เช่น อาเภอพญาเม็ง ราย อาเภอเทิง เป็นตน้ ดงั น้นั จึงสนใจที่จะศึกษาเรื่อง การทาแคน กรณีศึกษาชุมชนบา้ นห้วยทราย หมู่ 16 ตาบลป่ าออ้ ดอน ชยั อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงราย เน่ืองจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจเก่ียวกบั การทาแคนในภาคเหนือ จากช่างแคนท่ี เป็ นชาวอีสาน และรวบรวมเพอื่ เป็นความรู้ให้แก่ผทู้ ี่สนใจท่ีจะศึกษาในเร่ืองทาแคน ซ่ึงทาใหไ้ ดร้ ู้จกั แคนซ่ึง เป็ นเคร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสานกนั มากข้ึน รู้ถึงวิธีการทา เอกลกั ษณ์ของเคร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นภาคอีสาน และเป็นแนวในการอนุรักษแ์ คนใหอ้ ยคู่ ูก่ บั คนไทยสืบต่อไป

ห น้ า | 3 วตั ถุประสงค์ เพื่อศึกษาการทาแคนของพอ่ ใหญส่ หสั อสุรินทร์ ท่ีบา้ นหว้ ยทราย หมู่ 16 ตาบลป่ าออ้ ดอนชยั อาเภอ เมือง จงั หวดั เชียงราย ขอบเขตการศึกษา ขอบเขตดา้ นเน้ือหา ศึกษาข้นั ตอนวธิ ีการทาแคน วตั ถุดิบ และวสั ดุอุปกรณ์ ขอบเขตดา้ นบุคคล ผูท้ ี่ให้สัมภาษณ์ในการศึกษาและเก็บรวบรวมขอ้ มูลในคร้ังน้ี คือ พ่อใหญ่สหัส อสุรินทร์ บา้ นหว้ ยทราย หมู่ 16 ตาบลป่ าออ้ ดอนชยั อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงราย นิยามศัพท์เฉพาะ ไมเ้ ฮ้ีย หมายถึง ไมไ้ ผช่ นิดหน่ึง ลาเรียว เปลา เน้ือลาบาง ตรง สูง 6-12 เมตร มีเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 4-6 เซนติเมตร เมื่ออายยุ งั ออ่ นจะมีขนสีขาวปกคลุม พอลาแก่จะมีสีเขียวเขม้ ยาว 40-60 เซนติเมตร เตา้ หมายถึง ชื่อเรียกของแคนเมื่อทาเสร็จแลว้ จะเรียกเป็ นเตา้ เช่น แคน 1 เตา้ หมอแคน หมายถึง ผทู้ ี่มีความชานาญในการเป่ าแคน ช่างแคน หมายถึง ผทู้ ่ีมีความสามารถในการทาแคน ลิ้นแคน หมายถึง โลหะทองเหลืองหรือโลหะผสมทองแดงหรือผสมกบั เงินท่ีช่างแคนนามาตีให้มี ลกั ษณะเป็นแผน่ บางๆ ลูกแคน หมายถึง ไมไ้ ผท่ ี่นามาประกอบเป็นแคนหรือจะใชไ้ มซ้ าง ซ่ึงเป็นพืชไม่ไผล่ าเลก็ ๆ มีปลอ้ ง ยาวและมีขนาดยาวเท่าหัวแม่มือ โดยนามาตดั ให้ได้ขนาดความยาวที่ตอ้ งการแล้วลนไฟเพ่ือตดั ให้ตรง จากน้นั ทะลุขอ้ ออก เพอ่ื ใหล้ มผา่ นตรงกลางของไมล้ ูกแคนเจาะรูกลมเลก็ ๆ ลาละ 1 รู สาหรับใชน้ ิ้วปิ ดเปิ ด เวลาบรรเลงแคนแตล่ ะวงมีจานวนลูกแคนไม่เทา่ กนั ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของแคน พอ่ ใหญ่ หมายถึง คาท่ีชาวอีสานใชเ้ รียกผอู้ าวโุ ส วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผศู้ ึกษาแบ่งวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1.การศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 1.1 ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลจากเวบ็ ไซต์ หนงั สือ รายงานวิจยั วิทยานิพนธ์ วารสารและบทความ ตา่ งๆ 2.การลงพ้ืนท่ีเกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม 2.1 วธิ ีการเก็บขอ้ มูลขอ้ มูลภาคสนาม

ห น้ า | 4 2.1.1 การสัมภาษณ์ ใชว้ ิธีการสัมภาษณ์แบบก่ึงมีโครงสร้าง เป็ นการเตรียมหวั ขอ้ สัมภาษณ์ ไวล้ ่วงหนา้ 2.1.2 การสงั เกตการณ์ ใชก้ ารสงั เกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไมม่ ีส่วนร่วม 2.2 ข้นั ตอนการเก็บขอ้ มูลภาคสนาม 2.2.1 วางแผนลงพ้นื ที่เกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม กาหนดวนั และเวลาของผศู้ ึกษาและผสู้ มั ภาษณ์ 2.2.2 ลงพ้ืนที่เกบ็ ขอ้ มูลภาคสนามตามวนั และเวลาท่ีกาหนด 2.2.3 สัมภาษณ์และสังเกตการณ์ โดยมีการบนั ทึกวดี ีโอ ภาพ และเสียง 2.2.3 นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการลงพ้นื ที่ภาคสนามมาเรียบเรียง เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บขอ้ มูลภาคสนามในคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ กลอ้ งถ่ายภาพ เคร่ืองบนั ทึกเสียง เคร่ือง บนั ทึกวดี ีโอ และแบบสมั ภาษณ์ การทบทวนวรรณกรรม แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้อง 1.แนวคิดดนตรีพ้ืนบา้ นและดนตรีพ้ืนบา้ นอีสาน 2.แนวคิดการผลิตเครื่องดนตรี 3.แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวทิ ยา 1.แนวคดิ ดนตรีพืน้ บ้านและดนตรีพืน้ บ้านอสี าน ดนตรีพ้ืนบา้ นหรือเพลงพ้ืนบา้ น ภาษาองั กฤษใชค้ าวา่ Folk Music หรือ Folk Song ซ่ึงท้งั สองคาน้ี ใชแ้ ทนกนั ได้ และคาวา่ เพลงพ้ืนบา้ นดูจะนิยมใชม้ ากกวา่ ดนตรีพ้ืนบา้ น ซ่ึงนกั ปราชญบ์ างท่านใหเ้ หตุผลวา่ เน่ืองจากดนตรีพ้นื บา้ นให้กาเนิดดว้ ยการขบั ร้องไมใ่ ช่กาเนิดดว้ ยการบรรเลง บางท่านบางวา่ ท่ีใชค้ าวา่ เพลง พ้ืนบา้ นแทนคาวา่ ดนตรีพ้ืนบา้ น เนื่องจากดนตรีพ้นื บา้ นประเภทขบั ร้องมีมากกวา่ การบรรเลง (เจริญชยั ชน ไพโรจน์ , 2526 : 10) ดนตรีพ้นื บา้ นอีสานมีลกั ษณะเฉพาะท่ีแตกต่างจากดนตรีพ้ืนบา้ นของภาคอ่ืนๆ ในประเทศไทย เช่น ดนตรีพ้ืนบา้ นภาคเหนือมีการบรรเลง สะลอ้ ซอ ซึง ปี่ จุม เป็ นตน้ ภาคใตม้ ีการบรรเลง ป่ี ฆอ้ งคู่ กลองชาตรี เป็ นตน้ และภาคกลางมีการบรรเลง ระนาด ฆอ้ งวง ซออู้ ซอดว้ ง เป็ นตน้ ส่วนภาคอีสานมีดนตรีพ้ืนบา้ นที่ แตกต่างจากเคร่ืองดนตรีภาคอ่ืนๆ ท้งั ในดา้ นลกั ษณะการประสมวง การบรรเลง บทเพลงและเคร่ืองดนตรี โดยเฉพาะเคร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นอีสานลกั ษณะแตกต่างจากเคร่ืองดนตรีทอ้ งถ่ินอ่ืนๆ ในดา้ นรูปร่างลกั ษณะ วสั ดุที่ใช้ทา และเสียงของเคร่ืองดนตรี เครื่องดนตรีพ้ืนบา้ นอีสานมีหลายอย่าง เช่น โหวด สไนด์ พิณ

ห น้ า | 5 โปงลาง แคน เป็ นตน้ สาหรับแคนเป็ นเครื่องดนตรีพ้ืนบา้ นท่ีมีลกั ษณะเฉพาะ และเป็ นเครื่องดนตรีที่เป็ น สัญลกั ษณ์ของอีสาน (ปัญญา แสงสุนานนท์ , 2526:91) ดนตรีพ้ืนบา้ นไดส้ ะทอ้ นถึงขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วฒั นธรรม สภาพความเป็ นอยู่ ความ อุดมสมบูรณ์ ความแห้งแลง้ โดยภาพสะทอ้ นเหล่าน้ีจะดูไดจ้ ากสาเนียงเพลง บทเพลง ลกั ษณะของเคร่ือง ดนตรีไดอ้ ย่างชัดเจน ซ่ึงดนตรีของแต่ละภาคจะมีลกั ษณะโดยเฉพาะของตนเอง จะมีสาเนียงเพลง ภาษา เอกลกั ษณ์ และลกั ษณะเครื่องดนตรีแตกต่างกนั ออกไปตามลกั ษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ดนตรีพ้ืนบา้ น อีสาน เนื่องจากทางภาคอีสานมีอากาศที่ร้อนและแห้งแลง้ เมื่อถึงเวลาหนา้ ฝนชาวอีสานตอ้ งรีบทามาหากิน เพ่ือเล้ียงปากเล้ียงทอ้ ง จนไมม่ ีเวลาท่ีจะสนุกสนาน มากนกั เครื่องดนตรีจึงไมส่ วยงาม ประดิษฐข์ ้ึนอยา่ งง่าย ๆ และใช้วสั ดุอุปกรณ์ท่ีหาได้ในท้องถิ่น การบรรเลงก็รวดเร็วคึกคกั กระชับและสนุกสนาน แสดงถึง ความเร่งรีบ (ศุจินทรา อยเู่ ยน็ , 2554:1) กล่าวโดยสรุปแลว้ ดนตรีพ้ืนบา้ นอีสาน มีสาเนียง บทเพลง และลกั ษณะของเคร่ืองดนตรี ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เป็ นตน้ ซ่ึงจะแตกต่างกบั ดนตรีภาคอ่ืนๆในด้านรูปร่างเคร่ืองดนตรี การ บรรเลง และการประสมวง เน่ืองมาจากทางภาคอีสานมีอากาศท่ีร้อนและแห้งแลง้ เม่ือถึงเวลาหนา้ ฝนชาว อีสานตอ้ งรีบทามาหากินเพื่อเล้ียงปากเล้ียงท้อง จนไม่มีเวลาที่จะสนุกสนานมากนัก เคร่ืองดนตรีจึงไม่ สวยงาม ประดิษฐข์ ้ึนอยา่ งง่าย ๆ และใชว้ สั ดุอุปกรณ์ที่หาไดใ้ นทอ้ งถิ่น ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงความเร่งรีบ ทาให้ ดนตรีพ้ืนบ้านอีสานมีความเป็ นเอกลักษณ์ คือ มีจังหวะในการบรรเลงท่ีรวดเร็วคึกคัก กระชับและ สนุกสนาน 2.แนวคดิ การผลติ เครื่องดนตรี ในดา้ นการผลิตเครื่องดนตรีน้นั ส่วนใหญส่ ถานท่ีผลิตมกั จะอยูต่ า่ งพ้นื ที่กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ แต่สาหรับเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมืองแลว้ มกั จะมีสถานที่ผลิตอยู่ตามภูมิภาคของถ่ินฐานการเกิดดนตรีชนิดน้นั เช่น แหล่งผลิตสะลอ้ ซึง ส่วนใหญ่จะผลิตในจงั หวดั ลาปาง เชียงใหม่ โปงลาง โหวด แคน พิณ ส่วนใหญ่ ผลิตในจงั หวดั กาฬสินธุ์ นครพนม ระนาด ฆ้วงวง กลองต่างๆ ส่วนใหญ่ผลิตในจงั หวดั สมุทรปราการ กาญจนบุรี อ่างทอง เป็ นตน้ ดงั น้นั เมื่อชาวบา้ นใชด้ นตรีร่วมกบั ชีวิตประจาวนั แลว้ จึงมีการคิดคน้ ประดิษฐ์ เครื่องดนตรีท่ีตนมีความช่ืนชอบ ถนัดในการบรรเลง ซ่ึงเคร่ืองดนตรีแต่ละประเภทอาจมีการดดั แปลงหรือ พฒั นามาเรื่อยๆ จนกระทง่ั มีรูปร่างลกั ษณะดงั เช่นปัจจุบนั (สญั ญา สมประสงค์ , 2555:3)

ห น้ า | 6 ปัจจุบนั การผลิตเครื่องดนตรีพ้ืนบา้ นอีสาน มีการผลิตอย่างไม่มีรูปแบบที่แน่นอนหลายๆ ชุมชน ผลิตข้ึนตามท่ีเคยไดร้ ับการถ่ายทอดมาจากคนรุ่นก่อน กรรมวธิ ีในการสร้างเครื่องดนตรียงั ลา้ หลงั เช่น การ ผ่าไมท้ าลูกโปงลาง เกิดการสูญเสียเป็ นอย่างมาก ไม้ไม่ได้ขนาด ทาลูกโปงลางไม่ได้หลายๆชุมชนมี ความสามารถในการสร้างเคร่ืองดนตรีท่ีไม่เหมือนกนั บางชุมชนสร้างโหวดไดด้ ี ฯลฯ ในเรื่องของราคา บาง แห่งราคาสูง บางแห่งราคาต่า ปัญหาท่ีทุกชมชนท่ีผลิตเคร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นอีสานประสบเหมือนกนั คือ การ ขากวสั ดุในการสร้างเครื่องดนตรี ทาให้บางชุมชนเลิกผลิตไปเลยก็มี บางชุมชนตอ้ งเสียค่าใช้จ่ายในการ แสวงหาวสั ดุมากข้ึน ปัจจุบนั มีการส่ังนาเขา้ จากประเทศเพื่อนบา้ นใกลเ้ คียง ทาให้เงินตราไหลออกนอก ประเทศ จนกลายเป็ นปัญหาในการผลิตเครื่องดนตรีพ้ืนบา้ นอีสานท่ีทุกชุมชนประสบอยู่ (ปิ ยพนั ธ์ แสนทวี สุข , 2551:4-5) ดนตรีถือวา่ เป็ นวฒั นธรรมอยา่ งหน่ึงซ่ึงเป็ นผลผลิตของมนุษยท์ ่ีไดม้ ีการคิดสร้างสรรคข์ ้ึนและมี เอกลกั ษณ์เฉพาะของแตล่ ะทอ้ งถิ่น ท้งั ในเรื่องของบทเพลงหรือแมแ้ ตเ่ ครื่องดนตรีที่มีการประดิษฐข์ ้ึนเองซ่ึง ดนตรีจดั เป็ นศิลปะอีกแขนงหน่ึงที่สามารถพบเห็นไดใ้ นทุกชนชาติกลุ่มชน หรือแมก้ ระทงั่ ในกลุ่มสังคม เล็ก ๆ ดนตรีเป็ นเร่ืองของเสียงท่ีอาศยั โสตประสาทเป็ นเครื่องรับรู้และแปลความหมายหรือไม่มีก็ได้ ดุจ เดียวกบั เสียงของภาษาพูดซ่ึงในการตีความหมายอาจจะแตกต่างกนั ไปตามแต่ความคิดแต่ละคนหรือรับรู้ไป คนละอารมณ์กไ็ ด้ (สงดั ภูเขาทอง , 2532 : 9) กล่าวโดยสรุปแลว้ การผลิตเครื่องดนตรีพ้ืนเมืองมกั จะมีสถานท่ีผลิตอยตู่ ามภูมิภาคของถ่ินฐานการ เกิดดนตรีชนิดน้นั โดยส่วนใหญ่แลว้ ไดร้ ับการถ่ายทอดมาจากคนรุ่นก่อนๆ ทาให้ในหลายๆ ชุมชนมีการ ผลิตเครื่องดนตรีท่ีแตกต่างกนั ออกไป ปัญหาในการผลิตเคร่ืองดนตรีที่ทุกชุมชนมกั จะประสบคือ การขาด แคลนวสั ดุที่ใชใ้ นการผลิต จึงไดม้ ีการสั่งนาเขา้ จากประเทศเพอื่ นบา้ นใกลเ้ คียง 3.แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวทิ ยา Merwyn S. Garbarino ได้ให้ความหมายของคาว่ามานุษยวิทยาไวว้ ่า “มานุษยวิทยาเป็ นการศึกษา เก่ียวกบั มนุษย์ มีเน้ือหาวิชาที่ครอบคลุมกวา้ งขวางมาก ต่างกบั สาขาสังคมวิทยา จิตวิทยา รัฐศาสตร์ หรือ สังคมศาสตร์สาขาอ่ืนๆ การศึกษาทางมานุษยวทิ ยาเป็ นสังคมศาสตร์ที่มีแนวทางการวิเคราะห์สังคมรวมทุก ดา้ น (Holistic Social Science) ไม่เพียงแต่มนุษยใ์ นปัจจุบนั น้ีเท่าน้นั แตจ่ ะรวมไปถึงมนุษยท์ ี่เคยดารงชีวิตใน อดีตหรือศึกษาสงั คมที่ไม่มีภาษาเขียน ตลอดจนเผา่ ชนด้งั เดิมท่ีมีวฒั นธรรมต่างกนั “กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็น การศึกษาหาความรู้วา่ โลกของมนุษยเ์ ป็ นไปในรูปใด เพ่ือที่จะเขา้ ใจมนุษยท์ วั่ ไปมิใช่จากดั แต่เฉพาะตวั เอง หรือวฒั นธรรมของตนเองเทา่ น้นั (Merwyn S. Garbarino อา้ งถึงใน ปรีชา อุปโยคิน , 2558:166)

ห น้ า | 7 มานุษยวิทยาแปลมาจาก Anthropology ในภาษาอังกฤษ ซ่ึงหมายถึงศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์ แต่ เน่ืองจากมนุษยม์ ีหลายมิติ ทาให้มานุษยวิทยาสนใจประเด็นย่อยๆท่ีสัมพนั ธ์กบั มนุษยอ์ ีกหลายเรื่อง เช่น โครงสร้างทางร่างกาย รูปร่างหนา้ ตาสีผวิ เช้ือชาติ เผา่ พนั ธุ์ บรรพบุรุษของมนุษย์ พฤติกรรมทางสังคม การ ใชภ้ าษา การผลิตเครื่องมือเคร่ืองใช้และวตั ถุส่ิงของ แบบแผนทางวฒั นธรรม เป็ นตน้ ประเด็นยอ่ ยๆเหล่าน้ี ทาให้เกิดการจัดหมวดหมู่เป็ นสาขาย่อยของมานุษยวิทยา โดยสายองั กฤษ ได้แบ่งเป็ น 3 หมวด คือ มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) โบราณคดี (Archaeology) และมานุษยวิทยาสังคม (Social Anthropology) สายอเมริกนั ไดแ้ ยกเป็ น 4 หมวด โดยเพ่ิมมานุษยวิทยาภาษา(Linguistic Anthropology) เขา้ ไป และเปล่ียนคาว่ามานุษยวิทยาสังคมเป็ นมานุษยวิทยาวฒั นธรรม (Cultural Anthropology) สาขาย่อย เหล่าน้ีจะมีระเบียบวิธีวจิ ยั และใชท้ ฤษฎีที่แตกต่างกนั ซ่ึงมีผลทาใหอ้ งคค์ วามรู้เกี่ยวกบั ความเป็ นมนุษยจ์ าก สาขายอ่ ยเหล่าน้ีมีลกั ษณะเฉพาะของตวั เอง (นฤพนธ์ ดว้ งวเิ ศษ , 2558 : ออนไลน)์ มานุษยวทิ ยาเป็นวชิ าท่ีคนตะวนั ตกสร้างข้ึนเพ่ือทาความเขา้ ใจในเรื่องของความเป็นมนุษย์ โดยหวงั วา่ เม่ือรู้จกั และเขา้ ใจแลว้ กจ็ ะ ทาใหม้ นุษยใ์ นโลก ท่ีมีความเป็ นมนุษยเ์ หมือนกนั แต่แตกต่างกนั ในถ่ินกาเนิด ถ่ินท่ีอยู่อาศยั และวิถีชีวิตหรือวฒั นธรรมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น และสันติ นับเป็ นวิชาท่ีเกิดจาก ประสบการณ์ของคนตะวนั ตกโดยแท้ เพราะความกา้ วหนา้ แบบล้ายคุ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยที า ให้คนตะวนั ตกสามารถเดินทางไปพบดินแดนที่มีมนุษยอ์ าศยั อยใู่ นภูมิภาคต่างๆของโลก ไดแ้ ลเห็นความ เป็ นมนุษย์ท่ีแตกต่างจากพวกตนท้ังในด้านความรู้สึกนึกคิด ชีวิตความเป็ นอยู่และรูปร่างหน้าตา ใน ระยะแรกๆของการรับรู้และพบเห็นมนุษยใ์ นดินแดนและถ่ินอ่ืนที่แตกต่างไปจากตนน้นั คนตะวนั ตกมกั คิด ว่าตนมีเช้ือชาติและเผ่าพนั ธุ์ที่เลิศเลอกว่าชนชาติอื่นๆ ทาให้เกิดความคิดและการกระทาที่แสดงให้เห็นวา่ พวกตนคือผนู้ าความเจริญของโลกจึงเกิดคนหลายกลุ่ม หลายเหล่า หลายชาติทางตะวนั ตกที่สาคญั ตนผิดท้งั ในดา้ นดีและชว่ั ในเวลาเดียวกนั ดา้ นดี คือ พวกที่ไปเท่ียวสอนศาสนาซ่ึงอาจมีท้งั บงั คบั และแนะนาให้คนอื่น เลิกเช่ือถือศาสนาเดิมของตนหันมานบั ถือพระเจา้ ของตนตะวนั ตก ก็นบั เป็ นเจตนาดีอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทาให้เกิดการทาลายและความเสียหายก็มาก ส่วนท่ีชว่ั ก็คือคนตะวนั ตกท่ีแสวงหาผลประโยชน์ทางการคา้ เศรษฐกิจ และการเมืองที่เขา้ ไปยึดครองดินแดนและผูค้ นในภูมิภาคอ่ืนๆ ในยคุ ล่าอาณานิคมจะสร้างความ เจบ็ ปวดใหแ้ ก่มนุษยส์ ่วนใหญ่ของโลกกว็ า่ ได้ แต่จากความชว่ั ร้ายท่ีคนตะวนั ตกพวกหน่ึงสร้างเคราะห์กรรม ใหก้ บั มนุษยด์ ว้ ยกนั ในภูมิภาค อื่นๆของโลกน้นั คนตะวนั ตกท่ีมีความคิดดี มีมนุษยธรรมกต็ ระหนกั ถึงความ ชวั่ ร้ายของพวกตน จึงเกิดการเคลื่อนไหวทางมนุษยธรรมท่ีต่อตา้ น ท้งั ในดา้ นการดาเนินการทางองคก์ รและ การกุศลที่เป็ นส่วนตัว เกิดกระบวนการศึกษาเพื่อความเขา้ ใจในเร่ืองความเป็ นมนุษยข์ ้ึนมา และวิชา มานุ ษยวิทยาก็ถื อผลิ ตผลของกระบวนกา รเคลื่ อนไ หว และเ รี ยน รู้ เ หล่ าน้ี ด้วยเช่ นกัน หัวใจ ขอ ง วิช า

ห น้ า | 8 มานุษยวทิ ยาอยทู่ ี่การเห็นมนุษยม์ ีความสามารถในการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกนั หมด ส่วนที่ใครจะเก่งกวา่ ใคร ดี เลิศกว่าใครน้นั เป็ นเรื่องของสภาวะแวดลอ้ ม โอกาส ความชอบ ความถนดั โดยเฉพาะการมองว่าใครเป็ น ‘อจั ฉริยะ’ น้นั ก็ดูเป็ นเรื่องของการใชค้ ่านิยมของปัจเจกบุคคลหรือของคนบางกลุ่มมาตดั สิน เพราะคนบาง กลุ่มอาจจะเห็นวา่ ผูท้ ี่เป็ น ‘อจั ฉริยะ’ น้นั เป็ นคนบา้ หรือปัญญาอ่อนไดเ้ ช่นกนั ยกตวั อยา่ งเช่น สังคมไทย มกั จะยกย่องวา่ คนที่เรียนเก่งทางวิทยาศาสตร์คือ พวกท่ีเป็ นอจั ฉริยะ จึงให้การสนบั สนุนส่งเสริมในการ เรียนรู้ เพ่ือการคน้ พบและการสร้างสรรคก์ ารประดิษฐ์เทคโนโลยีข้ึนมาท้งั ๆที่เทคโนโลยหี ลายอยา่ งที่สร้าง มาน้นั คือส่ิงที่ทาลายสภาพแวดลอ้ มธรรมชาติ หรือไม่ก็เป็ นเครื่องมือและความรู้ของคนที่ชวั่ ร้ายในสังคม นาไปใชเ้ พ่ือเอาเปรียบคนอื่นๆที่ดอ้ ยโอกาสกว่า ซ่ึงแต่ก่อนแลว้ ถา้ เป็ นคนตะวนั ตกก็จะตอ้ งออกมาศึกษา กลุ่มคนต่างวฒั นธรรม ต่างเผา่ ต่างพนั ธุ์ นอกประเทศที่ตนอยู่ แลว้ นาเอาเรื่องที่ตนเห็นตนไดศ้ ึกษาวิเคราะห์ มาเขียนเป็ นผลงานการวิจยั หรือการค้นควา้ ให้เป็ นความรู้แก่ผูอ้ ื่น นักศึกษาทางมานุษยวิยาก็จะเรียนรู้ เรื่องราวของมนุษยใ์ นสังคมอื่นและวฒั นธรรมอื่น จากผลงานเหล่าน้ีซ่ึงอาจมีท้งั แนวคิดทฤษฎีและเน้ือหา แต่เท่าน้ียงั พบวา่ ไม่พอเพียงตอ้ งออกไปมีประสบการณ์ทางภาคสนามดว้ ย การเรียนหรือรับฟังเร่ืองราวจาก เอกสาร หรือสิ่งท่ีผูอ้ ่ืนเขียนไปอ่านน้นั ไม่มีทางท่ีจะเขา้ ใจในเรื่องความเป็ นมนุษยไ์ ด้ หากตอ้ งเรียนรู้ดว้ ย ตนเองในลกั ษณะที่รู้จกั ตนเองทา่ มกลางการอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นเป็นสาคญั (ศรีศกั ด์ิ วลิ ลิโภดม , 2545 : 24 – 25) กล่าวโดยสรุปแลว้ มานุษยวิทยา คือ การศึกษาเกี่ยวกบั มนุษย์ กลุ่มชน และชนเผา่ ต่างๆ เป็ นตน้ ไม่ เพียงแตศ่ ึกษามนุษยใ์ นปัจจุบนั น้ีเท่าน้นั แตจ่ ะรวมไปถึงมนุษยท์ ่ีเคยดารงชีวิตในอดีต หรือศึกษาสังคมที่ไม่มี ภาษาเขียน ซ่ึงมีแบบแผนทางสังคมและวฒั นธรรม มานุษยวทิ ยาจะเนน้ ถึงความเขา้ ใจในเรื่องของความเป็น มนุษย์ โดยหวงั วา่ เม่ือรู้จกั และเขา้ ใจแลว้ ก็จะทาให้มนุษยใ์ นโลก ที่มีความเป็ นมนุษยเ์ หมือนกนั แต่แตกต่าง กนั ในถ่ินกาเนิด ถิ่นที่อยอู่ าศยั และวถิ ีชีวติ หรือวฒั นธรรมจะอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งราบร่ืน และสันติ สารัตถะทเี่ กย่ี วข้อง 1.ประวตั ิความเป็ นมาของแคน แคนเป็ นเครื่องดนตรีที่มีประวตั ิความเป็ นมาอนั ยาวนาน โดยมีความเกี่ยวขอ้ งกบั วิถีชีวิตของชาว อีสานต้งั แต่อดีตมาจนถึงปัจจุบนั ใครเป็ นผปู้ ระดิษฐ์เคร่ืองดนตรีที่เรียกวา่ แคนคนแรก และทาไมถึงเรียกวา่ “แคน” น้นั ยงั ไม่มีหลกั ฐานแน่นอนท่ียนื ยนั ได้ แต่กม็ ีตานานที่เล่าสืบตอ่ ๆกนั มาดงั ต่อไปน้ี ตานานเรื่อง หญิงหมา้ ยผคู้ ิดประดิษฐแ์ คน กาลคร้ังหน่ึงนานมาแลว้ มีพรานคนหน่ึงไดไ้ ปเที่ยวในป่ า เขาไดย้ ินเสียงนกกรวิก (นกการะเวก) ร้องไพเราะจบั ใจมาก เมื่อกลบั จากป่ ามาถึงบา้ น จึงไดเ้ ล่าเรื่องท่ีตวั เองไปไดย้ นิ เสียงนกกรวิก ใหแ้ ก่ชาวบา้ น

ห น้ า | 9 และเพ่ือนฝูงฟัง ในจานวนผทู้ ี่มาฟังเร่ืองราวดงั กล่าวน้ี มีหญิงหมา้ ยคนหน่ึงเกิดความกระหาย ใคร่อยากจะ ฟังเสียงร้องของนกกรวิกยง่ิ นกั จึงไดข้ อร้องใหน้ ายพรานล่าเน้ืออนุญาตใหต้ นเดินติดตามไปในป่ าดว้ ย เพื่อ จะไดฟ้ ังเสียงร้องของนกตามท่ีนายพรานไดเ้ ล่าใหฟ้ ัง ในวนั ต่อมาเม่ือนายพรานล่าเน้ือไดพ้ าหญิงหมา้ ยไปถึง ในป่ า จนถึงถิ่นท่ีนกกรวิก และนกเหล่าน้นั ก็กาลงั ส่งเสียงร้อง นายพรานก็ไดก้ ล่าวเตือนหญิงหมา้ ยใหเ้ งี่ยหู ฟังวา่ “นกกรวกิ กาลงั ร้องเพลงอยู่ สูเจา้ จงฟังเถอะ เสียงมนั ออนซอนแท้ แมน่ บ่” หญิงหมา้ ยผนู้ ้นั ไดต้ ้งั ใจฟังดว้ ยความเพลิดเพลิน และติดอกติดใจในเสียงอนั ไพเราะของนกน้นั เป็ น อยา่ งยงิ่ ถึงกลบั คลงั่ ไคลหลงใหล ราพึงอยใู่ นใจตนเองวา่ “เฮาสิตอ้ งคิดทาเคร่ืองกาเนิดเสียง ใหม้ ีเสียงเสนาะ ไพเราะจบั ใจ ดุจเสียงนกกรวกิ น้ีใหจ้ งได”้ เม่ือหญิงหมา้ ยกลบั มาถึงบา้ น ก็ไดค้ ิดอ่านทาเคร่ืองดนตรีต่างๆ ท้งั เครื่องดี สี ตี เป่ า หลายๆ อยา่ งก็ ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดมีเสียงไพเราะวิเวกหวานเหมือนนกกรวิก ในที่สุด นางก็ไดไ้ ปตดั ไมผ้ า่ นอ้ ยชนิด หน่ึง เอามาประดิษฐด์ ดั แปลงเป็ นเคร่ืองเป่ าชนิดหน่ึง แลว้ ลองเป่ าดู ก็รู้สึกวา่ ไพเราะจึงไดพ้ ยายามดดั แปลง แกไ้ ข คร้ังสุดทา้ ยแลว้ ลองเป่ าก็รู้สึกไพเราะออนซอนดีแท้ นางจึงไดม้ ีความรู้สึกดีใจของตนเป็นพน้ ประมาน ท่ีสามารถประดิษฐเ์ คร่ืองดนตรีไดเ้ ป็นคนแรก จึงคิดจะไปทูลเกลา้ ถวายพระเจา้ ปเสนทิโกศล ใหท้ รงทราบ ก่อนที่จะไดเ้ ขา้ เฝ้า นางก็ไดป้ รับปรุงแกไ้ ขเสียงดนตรี ของนางใหด้ ีข้ึนกวา่ เดิมและยงั ไดฝ้ ึ กหดั เป่ า เพลงตา่ งๆ จนมีความชานาญเป็นอยา่ งดี คร้ันกาหนดวนั เขา้ เฝ้า นางก็ไดเ้ ป่ าดนตรีท่ีนางไดป้ ระดิษฐข์ ้ึนถวาย เมื่อไดเ้ ป่ าเพลงแรกจบลงนางก็ ทูลถามวา่ “เป็นจงั ได๋มวนบอ่ ขา้ นอ้ ย พระเจา้ ปเสนทิโกศลไดต้ รัสตอบวา่ “เออ พอฟัง” นางจึงไดเ้ ป่ าถวายซ้าๆ อีกหลายเพลงดว้ ยกนั เม่ือจบเพลงสุดทา้ ย พระเจา้ ปเสนทิโกศล ไดท้ รงตรัส วา่ “เท่ือน้ี แคนแด่” หญิงหมา้ ยเจา้ ของเคร่ืองดนตรีจึงทูลถามวา่ เคร่ืองดนตรีอนั น้ี ควรสิเคิน้ วา่ จงั ได๋ขา้ นอ้ ย” (เคร่ืองดนตรีชนิดน้ี ควรจะเรียกวา่ อยา่ งไรพระเจา้ ขา้ ) พระเจา้ ปเสนทิโกสน ทรงตรัสวา่ “สูจงเอิ้นเครื่องดนตรีชนิดวา่ แคน ตามคาเวา้ ของเฮาอนั ทา้ ยน้ี สืบไปเมื่อภายหนา้ เทอญ

ห น้ า | 10 (เจา้ จงเรียกเครื่องดนตรีชนิดน้ีวา่ แคน ตามคาพูดของเราตอนทา้ ยน้ี ตอ่ ไปในภายหนา้ เถิด) ดว้ ยเหตุน้ี เครื่องดนตรีที่หญิงหมา้ ยประดิษฐ์ข้ึนโดยใชไ้ มไ้ ผน่ ้อยมาติดกนั ใช้ปากเป่ า จึงไดช้ ื่อวา่ “แคน” มาตราบเทา่ ทุกวนั น้ี 2.ประเภทของแคน อดินนั ท์ แกว้ นิล (2551 : 7) ไดแ้ บ่งประเภทของแคนตามหลกั การใชง้ านเพ่ือบรรเลง ประกอบการ ขบั ร้อง ขบั ลา และการประสมวงเป็นวงดนตรีแลว้ สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดงั น้ี 1.ประเภทแคนเด่ียว ขบั ร้องขบั ลา ซ่ึงภาคอีสานเรียกว่าหมอแคน การเป่ าแคนเพื่อการประกอบการลาของหมอลา ดงั กล่าวน้ีจะใชห้ มอแคนเป่ าเพยี งเตา้ เดียวเท่าน้นั จึงจดั อยใู่ นประเภทแคนเด่ียว แคนเด่ียว หรือแคนเป่ าเพียงเตา้ เดียวน้นั อาจจะใชแ้ คนชนิดใดหรือขนาดใดก็ไดแ้ ลว้ แต่ความสามารถ หรือ ความสามารถเฉพาะตวั ของผเู้ ป่ าเป็นสาคญั เช่น อาจจะใชแ้ คนเจด็ หรือแคนเกา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงก็ได้ 2.แคนวง แคนท่ีบรรเลงพร้อมกนั หลายๆ เตา้ โดยเป่ าเป็ นคณะหรือเป็ นวงร่วมกนั มีเครื่องให้จงั หวะ เช่น กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ เขา้ ร่วมบรรเลงดว้ ย แคนวง วงหน่ึงจะใชแ้ คนต้งั แต่ 6 เตา้ ข้ึนไป ถึง 12 เตา้ กล่าวคือ แคนวงขนาดเลก็ ใชแ้ คนเพียง 6 เตา้ แคนวงขนาดกลาง ใชแ้ คนต้งั แต่ 8 ถึง 10 เตา้ แคนวงขนาดใหญ่ ใชแ้ คนถึง 12 เตา้ จานวนแคนต่างๆ ที่ประกอบกนั เขา้ เป็ นวงขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่เป็ นจานวนโดย อนุโลม ไม่ไดถ้ ือตายตวั มากนกั เช่นอาจจะเพิ่มจานวนแคนให้มากมายกว่าน้ีเพียงใดก็ตามก็เป็ นวงขนาด ใหญท่ ้งั น้นั และอาจถือเอาส่วนประกอบมาพิจารณาดว้ ยวา่ แคนวงไหนจดั อยใู่ น ขนาดเลก็ ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ แคนท่ีใชเ้ ป่ าบรรเลงเป็นแคนวงน้นั มกั จะใชแ้ คนเจด็ ท้งั หมด แต่มีขนาดและจานวนแคนแตกต่าง กนั คือ แคนวงขนาดเล็ก มีแคนเจบ็ ท้งั หมด 6 เตา้ ซ้ึงประกอบดว้ ย แคนเจด็ ขนาดใหญ่ 2 เตา้ แคนเจด็ ขนาดกลาง 2 เตา้ แคนเจด็ ขนาดเลก็ 2 เตา้ แคนวงขนาดกลาง มีแคนเจด็ ท้งั หมด 8 เตา้ ประกอบดว้ ย แคนเจด็ ขนาดใหญ่ 2เตา้

ห น้ า | 11 แคนเจด็ ขนาดกลาง 3 เตา้ แคนเจด็ ขนาดเล็ก 3 เตา้ แคนวงขนาดใหญ่ มีแคนเจด็ ท้งั หมด 12 เตา้ ประกอบดว้ ย แคนเจด็ ขนาดใหญ่ 4เตา้ แคนเจด็ ขนาด กลาง 4 เตา้ แคนเจด็ ขนาดเลก็ 4 เตา้ ตามที่กล่าวมาน้ี แคนวงท่ีประกอบไปดว้ ยแคนหลายๆ ตวั เป่ าเป็ นวงรวมกนั น้นั จึงตอ้ งใช้แคน ชนิดแคนเจด็ ท้งั หมด และวงหน่ึงๆ จะตอ้ งมีแคนเจ็ดขนาดใหญ่ แคนเจด็ ขนาดกลช่างและแคนเจด็ ขนาดเล็ก ประกอบกนั ข้ึนเป็นวง และจะตอ้ งมีเครื่องดนตรีอยา่ งอ่ืน และเครื่องดนตรี ประกอบจงั หวะเขา้ ดว้ ย เช่น ขลุ่ย หรือ ปี่ ซอดว้ ง ซออู้ ฉิ่ง ฉาบ กลอง หรือ โทนรามะนา เป็นตน้ แคนวงน้ีมกั จะเป่ าบรรเลงเพลงไทย เพลงไทยสากลท้งั เพลงลูกกรุงและลูกทุ่ง นอกจากนน้ียงั ใช้ บรรเลงประกอบการละเล่นพ้ืนเมืองต่างๆ 3.แคนวงประยกุ ต์ แคนวงประยุกต์เกิดจากการพฒั นาแคนวงในปัจจุบนั โดยนาเอาเคร่ืองดนตรีสากลต่างๆ มาผสมวง รวมกนั กบั แคน เช่น นากลองชุด เบส กีตา้ ร์ อิเล็กโทน เขา้ มาบรรเลงดว้ ย และบางคร้ังก็นาเอาดนตรีไทย เช่น ซอ ขิม จะเข้ เขา้ มาประกอบ จึงไม่มีการกาหนดประเภท ชนิด ขนาด และจานวนเครื่องดนตรีของวง ประยุกต์ นอกจากน้ียงั ไดน้ าเอา “หางเคร่ือง” มาเตน้ ประกอบการบรรเลงหรือการขบั ร้องน้นั ดว้ ย ทานอง เพลงท่ีนามาขบั ร้องหรือบรรเลง ก็ใชว้ ธิ ีการผสมผสานกนั ระหวา่ งทานองของหมอลาแบบด้งั เดิม กบั ทานอง ของเพลงลูกทุ่งหรือลูกกรุงผสมกนั โดยใชจ้ งั หวะสากลจาพวก ดิสโก้ ช่า ช่า ช่า ผสมกลมกลืนกนั ไปทาให้ รูปแบบเปล่ียนไปจากเดิมมาก และปรากฏวา่ เป็ นท่ีนิยมของคนพ้ืนเมืองมาก แคนวงแบบด้งั เดิม หรือการ แสดงหมดลาหมดแคนธรรมดาแบบด้งั เดิม 3.ส่วนประกอบของแคนและวตั ถุดิบทใี่ ช้ทาแคน ชมรมศิลปวฒั นธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั (ม.ป.ป. : ออนไลน์) ไดก้ ล่าวถึงส่วนประกอบ ต่างๆ ของแคนไวว้ า่ แคนมีส่วนประกอบต่างๆ ดงั น้ี 1.ลูกแคน 2.เตา้ แคน 3.หลาบโลหะ 4.ข้ีสูดหรือชนั โรง 5.ไมก้ ้นั 6.เชือกมดั

ห น้ า | 12 1.ลูกแคน ลูกแคน ทามาจากไมต้ ระกูลไผช่ นิดหน่ึง ทางภาคอีสานเรียกวา่ ไมไ่ ผเ่ ฮ้ีย ชาวลาวเรียกวา่ ไมเ้ ฮ้ียนอ้ ย ทางภาคกลางและทางเหนือเรียกไมซ้ าง และเนื่องจากไม่ไผเ่ ฮ้ียน้ี โดยมากนามาใชท้ าแคนเป็ นหลกั ช่างแคน จึงนิยมเรียกวา่ ไมก้ ู่แคน ไม้กู่แคน เป็ นพืชตระกูลไผ่ มีลาเล็กๆ ขนาดประมาณเท่า นิ้วหัวแม่มือ นิ้วช้ีและนิ้วนาง มีปล้องค่อนข้างยาว ภายในมีรู มี เปลือกบาง ก่อนนามาใช้ จะลนไฟแลว้ ดดั ให้ตรง แบ่งขนาดความ ยาวตามความเหมาะสมของเสียงแคนและรูปทรงแคน ไมก้ ู่แคนทุก ลาทะลุขอ้ ออกเพื่อให้ลมผ่าน ฝังหลาบโลหะเรียกว่าลิ้นแคน (ซ่ึง เลียนแบบมาจากลิ้นนก) ตรงรูส่ีเหลี่ยมผืนผา้ เล็กๆ ซ่ึงตรงลิ้นแคนน้ี เม่ือประกอบเป็ นแคนแล้ว จะอยู่ภายในเต้าแคนอีกที มองไม่เห็น หากเป็นแคนลิ้นคู่ รูใส่ลิ้นแคนจะมีสองรูตอ่ หน่ึงลูกแคน ถดั จากลิ้นแคนข้ึนไปประมาณ 15-20 ซ.ม. ในแนวเดียวกนั จะเจาะรู กลมเล็กๆ ลาละหน่ึงรู เพื่อใช้นิ้วปิ ดเปิ ดเวลาบรรเลงเพลง เรียกรูน้ี วา่ รูนบั ถดั จากลิ้นแคนลงมาดา้ นล่าง ระยะห่างข้ึนอยกู่ บั เสียงที่ตอ้ งการ ดา้ น ในจะบากรูไวล้ าละรู รูน้ีคือรูแพวล่าง เป็ นรูพ้ืนฐานในการกาหนด ระดับเสียง และถัดจากรูนับข้ึนไปอีก ระยะห่างข้ึนอยู่กบั เสียงที่ ตอ้ งการ หรือประมาณ 3 เท่าของระยะรูแพวล่างกบั ลิ้นแคน ดา้ นใน จะบากรูไวล้ าละรู รูน้ี เป็ นรูแพวบน เป็ นรูสาหรับปรับแต่งระดับ เสียง (การปรับเสียง มีสองวิธีคือ ปรับโดยระยะห่างของรูแพวบน กบั ปรับโดยขดู ลิ้นแคน) แคนแต่ละดวงจะมีจานวนลูกแคนไม่เท่ากนั ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของแคน เช่น แคนเจ็ดมี 14ลูก แคน แปด มี16 ลูก เป็นตน้ 2. เตา้ แคน เตา้ แคน ทาจากแก่นไมท้ ่ีเน้ือไม่แข็งมากนกั เช่นไมแ้ คนหรือไมต้ ะเคียน ไมห้ นามแท่ง ไมป้ ระดู่ แต่ ที่นิยมมากที่สุดคือ รากไมป้ ระดู่ เพราะรากไมป้ ระดู่ ไม่แข็งมากนกั ตดั บาก เจาะทารูปทรงของเตา้ แคนได้

ห น้ า | 13 ง่าย เตา้ แคน มีลกั ษณะกลมเป็นกระเปาะ หวั ทา้ ยสอบ ตรงกลางเจาะบากเป็นรูทะลุรูปสี่เหลี่ยม สาหรับใส่ลูก แคน ดา้ นหนา้ หรือหวั เตา้ เจาะรูกลมทะลุถึงรูส่ีเหล่ียมตรงกลาง สาหรับเป่ าใหล้ มเขา้ ไปส่ันสะเทือนลิ้นแคน ภายในเตา้ แคน ดา้ นทา้ ยเตา้ เหลาตกแต่งเป็ นรูปทรงคลา้ ยหัวนม ซ่ึงเตา้ แคนของช่างแคนแต่ละคน จะไม่ เหมือนกนั ช่างแคนตวั จริงทุกคนจะมีรูปร่างเตา้ แคนอนั เป็ นเอกลกั ษณ์ของตนเอง เตา้ แคน กค็ ือโลโกข้ องช่าง แคนคนน้นั นนั่ เอง ช่องวา่ งระหวา่ งเตา้ แคนและลูกแคน จะถูกปิ ดผนึกแน่นดว้ ยข้ีสูด เพ่ือปิ ดก้นั มิใหล้ มท่ีเป่ า เขา้ ไปน้นั รั่วออกมาขา้ งนอก ลมท่ีเป่ าเขา้ ไป จะไดผ้ า่ นออกทางลิ้นแคนอยา่ งเดียว 3. หลาบโลหะ หลาบโลหะ คือแผน่ โลหะบางๆ ใชส้ าหรับทาลิ้นแคน โดยช่างแคน จะคอ่ ยๆ ทุบตีกอ้ นโลหะ จากท่ี เป็นกอ้ น ใหเ้ ป็นแผน่ เส้นยาวๆ จากท่ีเป็นแผน่ ใหก้ ลายเป็นแผน่ บางๆ พอเหมาะกบั การใชง้ าน หลาบโลหะท่ี ใช้ทาลิ้นแคน เป็ นโลหะผสม โดยมากใชโ้ ลหะผสมระหว่างทองแดงกบั เงิน โลหะที่ช่างแคนนิยมใช้น้นั ไม่ใช่โลหะบริสุทธ์ิ เพราะโลหะบริสุทธ์ิหาไดย้ าก ช่างแคนมกั จะใช้เหรียญสตางค์แดง ซ่ึงเป็ นเหรียญหน่ึง สตางคส์ มยั ก่อน ผสมกบั เงิน(เกือบ)บริสุทธ์ิที่หาซ้ือจากร้านทอง บางทีเงินบริสุทธ์ิไม่มี ก็ใช้เหรียญ5บาท แบบโบราณแทน เพราะมีส่วนผสมของเงินอยมู่ าก ช่างแคนแตล่ ะคน จะมีสูตรผสมโลหะอนั เป็นสูตรของตน อยู่ ซ่ึงการผสมโลหะน้ี โดยมากช่างแคนมิไดผ้ สมเอง จะจา้ งช่างผสมโลหะอีกที เพยี งแตก่ าชบั อตั ราการผสม โลหะแก่ช่างผสมโลหะ เท่าน้นั นอกจากใชท้ องแดงกบั เงินแลว้ บางแห่ง (แคนตลาด) กน็ ิยมใชห้ ลาบโลหะที่ เป็ นทองเหลือง เพราะราคาถูก หาไดง้ ่าย แคนท่ีใชล้ ิ้นที่ทาจากทองแดงผสมกบั เงิน เรียกวา่ แคนลิ้นเงิน ให้ โทนเสียงออกนุ่มๆ มีเสียงสดใสโทนแหลมของโลหะทองแดง และเสียงโทนทุม้ ของโลหะเงิน ดงั น้นั แคน ลิ้นเงิน จึงใหเ้ สียงท่ีฟังไพเราะ สบายหู นุ่มหู... หากตอ้ งการให้ออกโทนทุม้ มากๆ ก็ใส่เงินเขา้ ไปมากข้ึนแต่ วา่ การใส่เงินเขา้ ไปมาก จะทาให้หลาบโลหะน้นั อ่อนเกินไป การสปริงตวั หรือการคืนตวั ไม่ดี ส่งผลให้ลิ้น นองง่าย ซ่ึงไม่เป็ นผลดี สูตรผสมท่ีพอเหมาะ ช่างแคนแต่ละคนจะทราบดี เนื่องจากแคนลิ้นเงิน ให้เสียงท่ี สดใสปนนุ่มนวล จึงเป็ นแคนท่ีหมอแคนท้งั หลาย นิยมเป็ นท่ีสุด และเนื่องจากเงินและสตางคแ์ ดง ปัจจุบนั ราคาแพงข้ึน แคนลิ้นเงิน (สูตรน้ี) จึงราคาแพงข้ึนตามไปดว้ ย แคนที่ใชล้ ิ้นท่ีทาจากสตางคแ์ ดงลว้ นๆ ไม่ผสม เงิน เรียกวา่ แคนลิ้นทองแดง หรือแคนลิ้นทอง แคนลิ้นทอง(แดง)น้ี เนื่องจากหลาบโลหะสตางคแ์ ดง มีความ แข็งมาก จึงให้เสียงโทนแหลมใส เป่ าแลว้ เสียงดงั ไกล แต่มีความนุ่มนวลน้อย คนท่ีชอบเสียงโทนทุม้ ฟัง แลว้ อาจจะบอกวา่ แสบแกว้ หู แต่คนที่ชอบเสียงโทนสดใส อาจจะบอกวา่ เสียงใสไพเราะดี ซ่ึงก็แลว้ แต่คน ชอบ ลิ้นแคนที่ทาจากหลาบโลหะสตางคแ์ ดง เนื่องจากแขง็ เหนียว ทน มีการคืนตวั ดี อายกุ ารใชง้ าน จึงนาน กวา่ ลิ้นเงินเลก็ นอ้ ย (ตามความเขา้ ใจของช่างแคน)

ห น้ า | 14 แคนที่ใชล้ ิ้นท่ีทาจากทองเหลือง เรียกวา่ แคนลิ้นทองเหลือง หรือเพ่ือให้ดูมีคุณภาพ บางทีก็บอกวา่ แคนลิ้น ทองเหลือง ทองเหลืองหาค่อนขา้ งง่ายกวา่ สตางคแ์ ดง และราคาไมแ่ พงเท่าสตางคแ์ ดง (สตางคแ์ ดง ในอดีตมี ราคาแคห่ น่ึงสตางค์ แตป่ ัจจุบนั ราคาแพงข้ึนหลายพนั เท่าตวั ) ช่างแคนที่ทาแคนตลาด (แคนคุณภาพต่า-ปาน กลาง) จึงนิยมใช้ทองเหลืองเป็นโลหะอ่อน ไม่เหนียว มีการคืนตวั ปานกลาง ให้เสียงใสนุ่ม แต่ไม่แน่น เสียง จะออกแนวโปร่งๆ หลวมๆ เพราะลิ้นทองเหลืองค่อนขา้ งอ่อน โดนลมกระทบนิดเดียว กส็ ั่นเกิดเสียง ดงั น้นั แคนลิ้นทองเหลือง เมื่อเราลองเป่ าดูตอนแรกซ้ือ จะเป่ าง่ายมาก เป่ าเบาๆ ก็ดงั ไม่เปลืองลม แต่หลงั จากเป่ า ไปเป่ ามา ลิ้นทองเหลืองน้นั เน่ืองจากอ่อน คืนตวั ไม่ดี ก็ไม่คืนเขา้ ที่เดิม เป็ นลิ้นนอง หรือลิ้นหมูหลบเขา้ ขา้ ง ใน ทาใหล้ มหนีออกตามช่องน้นั ๆ ได้ แทนท่ีจะไปออกเฉพาะลิ้นที่เรานบั หรือปิ ดรู ลกั ษณะน้ี จะทาใหผ้ เู้ ป่ า เปลืองลมมากข้ึน เพราะลมร่ัว นน่ั เองอีกอยา่ งหน่ึง เน่ืองจากลิ้นอ่อน และคืนตวั ไม่ดี เมื่อเป่ าแรงๆ หรือดูด แรงๆ ลิ้นอาจงอแลว้ ไม่คืนตวั หรือลิ้นอาจหกั ไดง้ ่าย แคนลิ้นทองเหลือง หมอแคนอาชีพไม่นิยมใช้ (แต่หมอ แคนตามบา้ น อาจจะใช้เพราะราคาถูก ไม่มีเงินซ้ือแคนแพงๆ) แคน จะให้เสียงที่ไพเราะหรือไม่ นอกจาก ความกล่อมกนั ความเขา้ กนั ความกินกนั ดี ของเสียงแต่ละเสียงแลว้ วสั ดุของตวั หลาบโลหะที่ใชท้ าลิ้น ก็ถือ วา่ สาคญั เพราะเป็นการกาหนดโทนของเสียงแคน แผน่ โลหะท่ีใชท้ าลิ้นแคน จะกวา้ งแคบ ส้ันยาว ข้ึนอยกู่ บั ระดบั เสียงของลูกแคนน้นั ๆ เช่น เสียงต่า จะยาวกวา่ เสียงสูง โดยประมาณแลว้ แต่ละแผน่ จะยาวประมาณ3 เซนติเมตร กวา้ งประมาณ 4 เซนติเมตร และหนาประมาณ0.5 มิลลิเมตร ที่แผ่นแต่ละแผน่ จะตดั ตรงกลาง แนวยาวทาเป็ นลิ้น ดงั รูป และลิ้นน้ี จะหนาบางไม่เท่ากนั ข้ึนอยู่กบั เสียงที่ตอ้ งการ ช่างแคน จะใช้มีดตอก และติวไมร้ วกขดู แต่งลิ้น เพอื่ ปรับเสียง หากขดู ดา้ นปลายลิ้นใหบ้ างลง เสียงจะสูงข้ึน หากขดู ดา้ นโคนลิ้นให้ บางลง เสียงจะต่าลง... ซ่ึงถา้ ขูดจนบางเตม็ ที่แลว้ เสียงยงั ไม่ได้ ช่างแคนก็จะแกท้ ี่ รูแพวบนของแคนลูกน้นั บากรูใหใ้ กลล้ ิ้นเขา้ มาอีก จะทาใหเ้ สียงสูงข้ึน การแกท้ ่ีรูแพวบนน้นั แกไ้ ดเ้ พียงบากใหใ้ กลล้ ิ้นแคนเขา้ ไปอีก เท่าน้นั ดงั น้นั ตอนแรกท่ีบากรูแพวบน ช่างแคนมกั จะเผือ่ เอาไว้ คือบากใหไ้ กลๆ เอาไวก้ ่อน แลว้ ค่อย บาก เขา้ มาทีหลงั ... แต่สาหรับช่างแคนท่ีชานาญ กบ็ ากไดค้ ่อนขา้ งแมน่ 4. ข้ีสูดหรือชนั โรง เป็ นข้ีผ้ึงเหนียวสีดาท่ีไดจ้ ากรังของแมลงชนิดหน่ึงตวั เล็กกว่าผ้ึงเรียกว่า แมลงข้ีสูด หรือบางแห่ง เรียก แมงนอ้ ย คุณสมบตั ิของข้ีสูดคือ ออ่ น เหนียว ยดื หยนุ่ ไม่ติดมือและไม่แหง้ กรอบ ข้ีสูดใชส้ าหรับติดยดึ ลูกแคนเขา้ กบั เตา้ แคน ท้งั ยงั ช่วยปิ ดอุดช่องวา่ งระหวา่ งลูกแคนกบั เตา้ และระหวา่ งลูกแคนกบั ลูกแคน เพ่ือ ไมใ่ หล้ มท่ีผา่ นเขา้ สู่โพรงเตา้ แคน รั่วไหลออกจากเตา้

ห น้ า | 15 5. ไมก้ ้นั ไมก้ ้นั ทาจากไมไ้ ผ่ เหลาเป็ นรูปทรงสี่เหลี่ยม กวา้ งประมาณ 1 ซ.ม. หนาประมาณ 1 ซ.ม. และยาว ประมาณ ไม่เกินความกวา้ งของแคนดวงน้ันไมก้ ้นั น้ี ใชก้ ้นั ระหว่างลูกแคนแพซ้าย กบั แพขวา ตรงจุดท่ีมี เชือกมดั ซ่ึงจุดที่มีเชือกมดั โดยมากจะมีอยู่ 3 จุดคือ ดา้ นล่าง 1 จุด ตรงกลางแถวๆปลายลูกแคนที่ส้ันท่ีสุด 1 จุด และดา้ นบนตรงปลายลูกแคนท่ียาวท่ีสุด อีก1 จุดนอกจากน้นั ตรงรูสี่เหล่ียมของเตา้ แคน ก็ใชไ้ มก้ ้นั อีก 2 จุด บน-ล่าง รวมแลว้ แคน 1 ดวง ใชไ้ มก้ ้นั ประมาณ 5 อนั 6. เชือกมดั เชือก ใชส้ าหรับมดั ยดึ ลูกแคนให้อยูใ่ นรูปทรงที่ตอ้ งการ ให้แคนมีความแขง็ แรงข้ึน เชือกมดั น้ีนิยม ใชเ้ ครือหญา้ นาง และหวาย แต่บางแห่งในปัจจุบนั ก็ใชเ้ ชือกฟาง แคนที่ผลิตท่ีแถวร้อยเอ็ดนิยมใชเ้ ครือหญา้ นางเป็นเชือกรัดแคน แคนที่ผลิตท่ีแถวนครพนมนิยมใชห้ วายเป็นเชือกรัดแคน สัญญา สมประสงค์ (2555 : 47) ไดก้ ล่าวถึงส่วนประกอบและวตั ถุดิบของแคนไวว้ า่ แคน 1 เตา้ มี ส่วนประกอบต่างๆ ซ่ึงเม่ือนามาประกอบกนั แลว้ จะเป็ นรูปร่างของแคน ซ่ึงวตั ถุดิบที่ใชท้ าแคนน้ีไดม้ าจาก ธรรมชาติและโลหะสงั เคราะห์ แคนทุกเตา้ มีวตั ถุดิบท่ีนามาใชท้ าดงั ตอ่ ไปน้ี 1.ไมก้ ่แู คน หรือไมไ้ ผเ่ ฮ้ีย 2.ไมเ้ ตา้ แคน 3.ข้ีสูด 4.หลาบโลหะ 5.ไมไ้ ผ่ 6.ตน้ ค่า 1.ไมก้ ู่แคน ไมส้ าหรับทาลูกแคน กู่แคนหมายถึงไมส้ ่วนท่ีเป็ นท่อขยายเสียงแคนมีลกั ษณะเป็นขอ้ ปลอ้ ง เปลือก บางคลา้ ยไมซ้ าง แต่เปลือกแขง็ แน่นผวิ ละเอียดกวา่ ช่างแคนจะเจาะทะลุปลอ้ ง และนามาประกอบ แคนภาษา ถิ่นเรียกวา่ ไมเ้ ฮ้ีย ไมก้ ูเป็ นไมไ้ ผช่ นิดหน่ึงชอบข้ึนตามภูเขาชาวบา้ นเรียกวา่ ไมเ้ ฮ้ีย ชาวภาคกลางเรียกวา่ ไม้ ซาง การเลือกไมไ้ ผเ่ ฮ้ียทารูปแคนตอ้ งเลือกลาไมท้ ่ีมีลกั ษณะดงั น้ี 1.1 มีอายรุ ะหวา่ ง 8 เดือน ถึง 1 ปี โดยสังเกตที่ตาไมจ้ ะมีสีน้าตาลเขม้ หรืออาจจะแตกแขนงออกมา จากตาบา้ งแลว้ 1.2 มีลาปลอ้ งยาว โดยปกติไมไ้ ผเ่ ฮ้ียจะมีลาปลอ้ งยาวประมาณ 1-2 ฟุต ซ่ึงปลอ้ งยาวเท่าใดย่งิ จะให้ คุณภาพของเสียงที่ดีเทา่ น้นั 1.3 ตาและขอ้ ไมโ้ ปน

ห น้ า | 16 1.4 ลาปลอ้ งใหญ่ ควรมีเส้นผา่ ศูนยก์ ลางระหวา่ ง 0.8 ถึง 1.0 เซนติเมตร 1.5 ลาปลอ้ งตรงหรือถา้ มีงอก็ใหง้ อเล็กนอ้ ยเพื่อใหด้ ดั ง่าย ไมไ้ ผ่เฮ้ีย ท่ีนามาใช้เป็ นไมก้ ู่แคนหรือลูกแคนของชาวบา้ นท่าเรือน้นั ส่ังซ้ือมาจากประเทศสหรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) เน่ืองจากว่าในทอ้ งถิ่นยงั ไม่มีไมไ้ ผ่จะมีบา้ งก็อยูท่ ี่อาเภอเขาวง จงั หวดั กาญจนสินอาเภอบึงกาฬ จงั หวดั บึงกาฬ แต่ไมด้ งั กล่าวมีจานวนนอ้ ยไม่พอเพียงกบั ความตอ้ งการใน การผลิตชาวบา้ นท่าเรือที่ประกอบอาชีพหตั ถกรรมทาเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมือง (แคน) จาเป็ นตอ้ งพ่ึงพาวตั ถุดิบ ในการทาแคนจากประเทศลาว 2.ไมเ้ ตา้ แคน ช่างผูผ้ ลิตแคนชุมชนบา้ นท่าเรือนิยมใช้แก่นไมร้ ักใหญ่ภาษาถ่ินเรียกว่าไมน้ ้าเกล้ียง นามาทาเตา้ แคนเพราะไมร้ ักใหญ่จะมีผวิ ของเน้ือไมท้ ี่สวยงาม มีความทนทาน และหาง่ายในทอ้ งถ่ิน เป็ นไมเ้ น้ืออ่อนที่ สะดวกต่อการนามาตดั ถาก เจาะ และตกแต่งรูปทรง คุณสมบตั ิพิเศษของไมน้ ้าเกล้ียงอีกอย่างหน่ึงคือ สามารถกาจดั กล่ินปาก กล่ินน้าลายไดด้ ว้ ย 3.ข้ีสูด (ชนั นะรง ชนั นางโรง) เป็นวสั ดุยดึ เกาะลูกแคนกบั เตา้ แคนและปิ ดช่องวา่ งอุดรูร่ัวเส้ือกกั ลมท่ีเป่ าไมใ่ หร้ ่ัวออกมา ไดจ้ ากรัง ผ้งึ ป่ าชนิดหน่ึงท่ีชาวบา้ นเรียกกนั วา่ ตวั แมงสูด หรือแมงนอ้ ย ตวั แมงสูดน้ีมีสีดาและมีขนาดเล็กกวา่ ผ้งึ ทวั่ ไป ประมาณ 2-3 เท่า มกั ทารังอยตู่ ามโพรงดิน เพรียง หรือโพรงจอมปลวก ข้ีสูดหรือรังของตวั แมงสูดน้ีมีสีดา ผมสีน้าตาลเมื่อขุดข้ึนมาจากโพรงจะมีน้าหวานไหลเยิ้มอยูส่ ามารถบีบออกมารับประทานได้ เมื่อบีบเอา น้าหวานออกแลว้ นาข้ีสูดไปหุงตม้ คนข้ีสุดใหเ้ ป็ นเน้ือเดียวกนั แลว้ นามาเทใส่กาบกลว้ ยสดเมื่อแหง้ แลว้ นา ที่สุดไปทุบตีดว้ ยสาก หรือคอ้ นไมท้ ี่ชุ่มน้าหลายๆเท่ียวพลิกจนเน้ือข้ีสูดนุ่มเหนียวและไม่ติดมือการทาเช่นน้ี เรียกวา่ การฆา่ ข้ีสูด ข้ีสูดท่ีดีตอ้ งมีสีดาเขม้ มากกวา่ สีน้าตาลเหนียวหนึบแน่นและไม่ติดมือ 4.หลาบโลหะ แผน่ โลหะบางบางท่ีสกดั ออกมาทาเป็ นลิ้นแคน โดยมากใชโ้ ลหะผสมระหวา่ งทองแดงผสมกบั เงิน เพราะไม่แข็งและอ่อนเกินไป ถา้ ใชแ้ ผน่ เงินบริสุทธ์ิ หรือทองแดงบริสุทธ์ิก็จะทาให้ลิ้นแคนอ่อนหรือแข็ง เกินไป ซ่ึงไม่เหมาะสมในการทาลิ้นแคน ดงั น้นั จึงนิยมใช้โลหะผสมแผน่ โลหะหลาบหน่ึงหรือแผ่นหน่ึง (หลาบเป็นหน่วยนบั แผน่ โลหะ) มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กวา้ งหนา 1 มิลลิเมตร 5.ไมไ้ ผ่ ใชผ้ า่ เป็ นซี่เล็กๆ ทาเป็ นไมค้ นั่ กลางระหวา่ ง 2 แพของลูกแคน ภาษาช่างทาแคนเรียกวา่ ไมก้ ้นั หรือ ไมค้ นั่ ในแคนดา้ นหน่ึงจะใชไ้ มค้ น่ั กลางถึง 4 จุด คือที่บริเวณปลายแคน ท่ีบริเวณเตา้ แคนและแกนกลาง กบั ที่บริเวณกกแคน ความส้ันยาวของไม้ก้ันหรือไม้ค่ันน้ีข้ึนอยู่กับความกวา้ งของแพลูกแคนแต่ละเต้า

ห น้ า | 17 6.ตน้ ค่า ช่างแคนบา้ นท่าเรือนิยมใช้ตน้ ค่าเป็ นเชือกสาหรับมดั แพซ้ายขวาของลูกแคนให้ยึดติดกนั เป็ นเตา้ เดียวกนั แทนเครือยา่ นาง ลกั ษณะของตน้ ค่ายจะมีความเหนียว ความทนทาน ไม่ขาดง่าย ตน้ ค่าน้นั หาง่ายใน ทอ้ งถ่ินบา้ นทา่ เรือและเขตอาเภอนาหวา้ จงั หวดั นครพนม 4.วสั ดุอปุ กรณ์ทใี่ ช้ทาแคน สิทธิศกั ด์ิ จาปาแดง (2552:บทคดั ยอ่ ) ไดก้ ล่าวถึงวสั ดุอุปกรณ์ที่ใช้ทาแคนไวว้ ่า วสั ดุอุปกรณ์เป็ น เครื่องมือท่ีช่วยใหก้ ารทาแคนสะดวกมากข้ึนและทาใหไ้ ดร้ ูปแบบตามท่ีช่างแคนตอ้ งการ วตั ถุที่ใชส้ ่วนใหญ่ ไดจ้ ากธรรมชาติและโลหะสังเคราะห์ แยกได้ 3 กลุ่มคือ 1.โลหะท่ีใช้ทาลิ้นแคนได้แก่ เงินทองแดง และ ทองเหลือง 2.ไมแ้ ละพืชบางชนิด ไดแ้ ก่ กู่แคนทาจากไมไ้ ผข่ นาดเล็ก ไมไ้ ผซ่ าผวิ หยาบใชข้ ดั ลิ้น เตา้ ทาจาก รากไมป้ ระดู่ แก่นไมร้ ักน้าเกล้ียง วตั ถุดิบท่ีใชม้ ดั กู่แคน คือ คลา้ และเถายา่ นาง 3.วตั ถุดิบที่ไดจ้ ากสัตวไ์ ดแ้ ก่ เขาควาย และกระดูกชา้ งใชเ้ ป็ นเขียงรองสับลิ้น ชนั โรงใชผ้ นึกกู่แคนและเตา้ เขา้ ดว้ ยกนั หอยกาบน้ามนั เผา และบดทาปูนใชอ้ ุดลิ้นแคน ความเป็ นมาของการทาแคนในจงั หวดั ร้อยเอด็ ไม่ปรากฏหลกั ฐานวา่ เร่ิมตน้ ใน สมยั ใด มีศูนย์กลางท่ีบา้ นสีแก้ว ปัจจุบนั จานวนช่างแคนเหลือเพียง 12 คน ส่วนการทาแคนในจงั หวดั นครพนม มีศูนยก์ ลางท่ีตาบลท่าเรือ เริ่มเมื่อประมาณ 70 ปี ท่ีผ่านมา ภายหลงั มีผูส้ นใจฝึ กทาแคนมากข้ึน ปัจจุบนั ที่นครพนมมีช่างแคนประมาณ 500 คน สัญญา สมประสงค์ (2555 : 51 - 54) ไดก้ ล่าวถึงวสั ดุอุปกรณ์ท่ีใชท้ าแคนไวว้ า่ วสั ดุอุปกรณ์ท่ีใชท้ า แคนไดแ้ ก่ ส่ิวเล็ก ส่ิวใหญ่ มีดตอกขนาดต่างๆ คอ้ นเล็ก ทงั่ กระดูกชา้ ง ไมแ้ ซน้ เหล็กซี ไมม้ ือลิง ปูนขาว ไมช้ า และเปลือกหอย ซ่ึงหนา้ ท่ีของเครื่องมือมีดงั น้ี 1.สิ่วเลก็ ใชส้ ับลิ้นแคนโดยการสกดั แผน่ โลหะจากแผน่ ใหญใ่ หอ้ อกเป็ นเส้นพอเหมาะกบั การทาลิ้น แคน จากน้นั ก็สกดั ให้เป็ นรูปชิ้นสี่เหล่ียมสกดั ตรงกลางให้เป็ นลิ้นแคน คือสกดั ตรงกลางชิ้นโลหะสามดา้ น คือดา้ นยาวสอง และดา้ นสกดั คือดา้ นกวา้ งหน่ึง ใหข้ าดเหลือดา้ นสกดั ขา้ งหน่ึงไว้ 2.ส่ิวใหญ่ สาหรับเจาะเตา้ แคนท่ีได้กลึงหรือเหลาให้กลมได้รูปดีแล้ว มีรูปร่างป่ องตรงกลางหัว ทา้ ยสุ้ม การเจาะกลางเตา้ เป็นรูทะลุรูปส่ีเหล่ียมผืนผา้ กวา้ งไม่เท่ากนั ทางหวั ของเตา้ ไดแ้ ก่ ทางดา้ นที่เจาะรูเป่ า กวา้ งกวา่ ทางปลาย เตา้ แคนหก เตา้ แคนเจ็ด เตา้ แคนแปด เตา้ แคนเกา้ ยอ่ มมีขนาดเตา้ ใหญ่และยาวไม่เทา่ กนั รูท่ีเจาะไวน้ ้ีสาหรับเสียบลูกแคนที่ไดเ้ ตรียมไวเ้ รียบร้อยแลว้ ลงไปและเจาะรูทางดา้ นหวั เตา้ เป็ นรูกลมให้ทะลุ ร่วมกบั รูใหญเ่ พื่อใชป้ ากพน่ ลมเขา้ ไปเม่ือเป่ าแคน

ห น้ า | 18 3. มีดตอก ตอ้ งใหค้ มและปลายตอ้ งแหลมและคมดว้ ยสาหรับใชเ้ หลาและเจาะรูเตา้ แคนและใช้ตดั ไมก้ ่แู คน 4. คอ้ นเล็ก อยา่ งเดียวกบั คอ้ นตอกตะปู แต่เป็ นคอ้ นขนาดเล็กสาหรับใช้ตีแผน่ โลหะท่ีสับ ออกมา แลว้ จากแผน่ ใหญ่ เพอ่ื รีดออกใหบ้ างพอดีและใหเ้ รียบและจึงสกดั แผน่ เล็กน้ีทาใหเ้ ป็นลิ้น 5.ทง่ั อยา่ งเดียวกนั กบั ทงั่ ท่ีรองตีเหล็กทวั่ ไป แต่เป็ นทงั่ ขนาดเล็ก สาหรับรองตีแผ่นโลหะหรือชิ้น โลหะที่สกดั ออกทาลิ้นแคน 6.กระดูกชา้ ง โดยมากใชก้ ระดูกขา ใชร้ องสับหรือสกดั แผน่ โลหะออกเป็ นชิ้นเพื่อทาลิ้นแคน เหตุ ใดจึงใชก้ ระดูกชา้ งจะใชส้ ่ิงอื่นไม่ไดห้ รือ ท้งั น้ีพวกช่างแคนใหเ้ หตุผลวา่ ท่ีใชก้ ระดูกชา้ งรองสกดั แผน่ โลหะ ก็เพ่ือไม่ให้เสียคมส่ิว คือ เม่ือตอกสกดั แคนทะลุลงไปกระทบกบั กระดูกชา้ งคมสิ่วจะไม่เสีย แต่ถา้ หากหา กระดูกชา้ งไม่ได้ อาจใช้เขาควายแทนก็ไดแ้ ต่จะใชก้ ระดูกสัตวช์ นิดอ่ืนหรือวสั ดุสิ่งอื่นนอกจาก สองส่ิงที่ กล่าวมาน้ีไมไ่ ดจ้ ะทาใหค้ มสิ่วเสีย 7.ไมแ้ ซ้น (ออกเสียงเป็ น ไม่แซ่น หรือไม่แส้น) มีรูปสัณฐานแบนๆเล็กๆคลา้ ยไมค้ วกั ปูน ทาดว้ ย ทองเหลือง สาหรับการใชง้ านใหล้ ิ้นแคนกระดกข้ึนรองลิ้นแคนไว้ เพ่ือขดู แตง่ เสียงและทาใหเ้ รียบร้อย 8.เหล็กซี มี 2 ขนาดคือขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ขนาดเลก็ สาหรับเจาะรูนบั คือ รูลูกแคนท่ีอยูเ่ หนือ เตา้ เวลาเป่ าใชน้ ิ้วมือท้งั สิบกดปิ ดท่ีรูเพ่ือใหเ้ กิดเสียงเป็ นเพลง เรียกวา่ \"นบั \" เหล็กซีขนาดใหญ่สาหรับใช้ซี ทะลุขอ้ ไมก้ ู่แคน กล่าวคือ ไมท้ ่ีเอามาทาลูกแคน ตอ้ งนามาซี ทะลุขอ้ ดา้ นในก่อนที่จะนาไปลนไฟเพื่อดดั ให้ ตรง ถา้ ไม่ทาเช่นน้นั หากนาไปลนไฟโดยไม่ซีทะลุขอ้ เสียก่อน ไมก้ ่แู คนจะระเบิดและเสียใชท้ าลูกแคนไม่ได้ 9.ไมม้ ือลิง ทาดว้ ยไมจ้ ริง มีรูปแอ่นงอนสาหรับใชด้ ดั ลูกแคนเม่ือลนไฟร้อนแลว้ ก็กดลงบนไมล้ ูก แคนดดั แตง่ ใหต้ รง 10.เปลือกหอย ใชฝ้ นกบั หิน ขณะท่ีฝนก็หยอดน้าผสมจนไดป้ ูนสีขาวขน้ ใชท้ าลิ้นแคนเพ่ือถ่วงให้ เสียงสดใสกบั ท้งั ช่วยอุดรูรั่วระหวา่ งลิ้นแคนกบั ลูกแคนอีกดว้ ย ในสมยั โบราณใชเ้ ปลือกหอยกีบก้ี ซ่ึงเป็ น หอยน้าจืดที่มีอยู่ในทอ้ งถ่ินโดยทวั่ ไปแต่ในปัจจุบนั ช่างแคนนิยมใช้เปลือกหอยทะเลเพราะเน้ือหอยจะมี ความเหนียวแน่นมากกวา่ หอยกีบก้ี 11.ไม้ชา หรือภาษาอีสานเรียกว่า\"ไม้เห้ีย\" เป็ นไม้ตระกูลไม้ไผ่ชนิดหน่ึงคาว่า ซา แปลว่าคาย (ระคาย) เพราะฉะน้นั คาวา่ \"ไมซ้ า\" ก็คือไมค้ าย ซ่ึงไดแ้ ก่ ผวิ ไมซ้ างนนั่ เอง ช่างทาแคนเขาเอาลาไมไ้ ผซ่ างมา ผา่ เปลือกออกเป็ นแผน่ กวา้ งประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เราใหส้ ันคมท้งั สองขา้ งใช้ ผิวไมซ้ างขดั ถูลิ้นแคนให้เรียบร้อยเกล้ียงเกลา และใชค้ มตดั เฉือนดา้ นขา้ งหรือริมลิ้นแคนที่สับออกมาจาก หลาบส่วนใหญ่ซ่ึงยงั ขรุขระหรือยงั มีความอยนู่ ้นั ใหเ้ รียบร้อยหายคม

ห น้ า | 19 5.ข้นั ตอนการทาแคน ชมรมศิลปวฒั นธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั (ม.ป.ป : ออนไลน์) ไดก้ ล่าวถึงข้นั ตอนการทา แคนไวว้ า่ ข้นั ตอนการทาแคนน้นั เป็ นเร่ืองท่ีค่อนขา้ งท่ีจะละเอียดอ่อน นึกจากวตั ถุดิบที่นามาทาน้นั เกิดการ แตกหักได้ง่าย ดงั น้ันช่างแคนจึงต้องมีความระมดั ระวงั ในเรื่องของการทาแคนอย่างมาก ซ่ึงท้งั น้ีได้มีผู้ กล่าวถึงข้นั ตอนการทาแคนไวว้ ่า อนั ดบั แรก ช่างแคนจะจดั ทาลูกแคนลูกแรก ข้ึนมาเป็ นแม่แบบ เรียกลูก แคนน้ีวา่ ลูกย้งั เพราะถือเป็ นฐานหรือแม่แบบ แลว้ สืบสาวออกไปยงั เสียงอ่ืนๆ ต่อไป นอกจากน้นั ลูกแคน ลูกแรกน้ี จะเป็ นตวั กาหนดขนาดความยาวต่าสุดของแคนดวงน้นั คือจะส้ันกวา่ ลูกน้ีไปไม่ได.้ .. ลูกแรกน้ี จึง ตอ้ งเป็ นลูกที่ยาวท่ีสุด... ลูกแคนที่น่าจะยาวท่ีสุด คือลูกที่รูแพวบนอยูไ่ กลท่ีสุด และลูกแคนท่ีรูแพวบนอยู่ ไกลที่สุด จะให้เสียงต่าที่สุด และในแคนทุกดวง เสียงท่ีต่าที่สุด คือเสียงลูกทุง้ หรือโป้ขวา ซ่ึงหมอแคน สมยั ใหม่ เมื่อเทียบกบั ดนตรีสากล จึงต้งั ชื่อลูกน้ีวา่ เสียงลาต่า ช่างแคน จะจดั ทาลูกโป้ขวา เป็ นอนั ดบั แรก โดยมีบนั ไดเสียง หรือคีย์ ตามที่ผมู้ าซ้ือแคนร้องขอ เช่น หากผูม้ าซ้ือแคน ตอ้ งการแคน แปดโป้ ช่างแคน ก็ จะบากรูสาหรับใส่ลิ้น จากน้นั ก็วดั นบั จากรูลิ้นน้นั ลงไปดา้ นล่างใหไ้ ดร้ ะยะ แปดโป้ (ความกวา้ งนิ้วหวั แม่ มือต่อกนั แปดคร้ัง) แลว้ บากตรงจุดน้นั เรียกวา่ รูแพวล่าง จากน้นั ก็บากรูแพวบน โดยวดั นบั จากลิ้นแคนข้ึน ไปดา้ นบน ระยะประมาณ 3 ทบของรูแพวล่าง เช่น รูแพวล่าง แปดโป้ รูแพวบน กป็ ระมาณ 24 โป้ ...เม่ือบาก รูแพวบนเสร็จแลว้ ใส่ลิ้นท่ีเตรียมไวเ้ ขา้ ไป ลองเป่ า ไดเ้ สียงที่พอใจแลว้ ถือวา่ ลูกแคนน้ี คือลูกมาสเตอร์(ลูก ย้งั )ของแคนดวงน้นั กรณีท่ี ผซู้ ้ือ ตอ้ งการระดบั เสียงที่แน่นอน ควรเอาตวั อยา่ งเสียง ตวั อยา่ งเครื่องดนตรีซ่ึง มีคีย์เสียงท่ีเราต้องการ ไปให้ช่างแคนเทียบด้วย เพ่ือให้ได้เสียงท่ีถูกตอ้ งแม่นยา ซ่ึงหากระบุคียเ์ สียงที่ แน่นอน ช่างแคน ก็จะขดู ลิ้น ปรับแตง่ เสียงแคนของลูกมาสเตอร์ใหไ้ ดต้ ามเสียงที่เราตอ้ งการก่อน เมื่อไดล้ ูก มาสเตอร์แลว้ ช่างแคน ก็จะสืบสาวไปหาลูกอ่ืนๆ ที่เสียงเดียวกนั แต่อยคู่ นละช่วงทบเสียง (เสียงถูกกนั ) เช่น ลา ต่า กบั ลา กลาง กบั ลา สูง เป็นตน้ สืบไปหาเสียงร่วมคอร์ด (เสียงกินกนั ) เช่น เทียบ ลา กบั โด, เทียบ ลา กบั มี, เทียบ ลา กบั เร, เทียบ เร กบั ซอล, เทียบ ซอล กบั โด, เทียบ โด กบั ฟา, เทียบ ฟา กบั ที, เทียบ ที กบั มี, ซ่ึงการเทียบเสียง หาเสียงที่กินกนั และถูกกนั น้ี เป็ นความสามารถพิเศษของหูช่างแคนหลงั จาก เสร็จทุกลูก แลว้ ช่างแคน กจ็ ะประกอบลูกแคนท้งั หมด เขา้ ในเตา้ แคนท่ีเตรียมไว้ โดยเรียงลาดบั ลูกแคน ดงั น้ี (กรณีแคน แปด)โดยขณะท่ีใส่ลูกแคนเขา้ ไปในโพรงเตา้ แคนแต่ละลูก ก็จะใชข้ ้ีสูดติดลุกแคนกบั เตา้ แคน และเม่ือเรียง ครบทุกลูกแลว้ ก็จะติดข้ีสูดปิ ดผนึกให้ทวั่ อุดรูรั่วให้มิด... เมื่อเสร็จแล้ว ช่างแคนจะลองเป่ าดูอีกทีสารวจ ตรวจสอบวา่ ยงั มีเสียงไหนที่ยงั เพ้ยี นอยหู่ รือไม่... หลงั จากปรับแต่งเสียงจนกลมกล่อมถูกตอ้ งดีแลว้ ช่างแคน กจ็ ะนาเครือหญา้ นาง หรือเส้นตอกหวายท่ีเตรียมไวแ้ ลว้ มาจดั การมดั รอบลูกแคน ท้งั สามจุด คือดา้ นล่างของ แคน, ตรงช่วงปลายลูกแคนท่ีส้ันท่ีสุด และตรงช่วงปลายลูกแคนท่ียาวท่ีสุด โดยจุดท่ีมดั น้ี จะใส่ไมห้ มอน

ห น้ า | 20 หรือไมก้ ้นั ระหวา่ งลูกแคนแพซา้ ยกบั แพขวา... เป็นอนั ทาแคนเสร็จหน่ึงดวง แคนท่ีทาเสร็จแลว้ ใหม่ๆ หลาบ โลหะลิ้นแคน ยงั ไม่อยูต่ วั คือเม่ือเป่ าไปๆ มาๆ ลิ้นแคนอาจเดง้ ออกมา หรือหลบเขา้ ไป เป็ นผลให้เกิดอาการ ท่ีเรียกวา่ “ ลิ้นนอง ” ได้ ดงั น้นั แคนที่ทาเสร็จใหม่ๆ ยงั ไม่ถือวา่ เป็ นแคนท่ีคุณภาพดี เพราะลิ้นยงั ไม่อยูต่ วั ... ช่างแคน จะคอยหมุนเวียนเป่ าแคนท่ีทาเสร็จแลว้ อยบู่ ่อยๆ เพ่อื ใหล้ ิ้นแคนเซ็ตตวั เองจนเขา้ ท่ี เม่ือพบวา่ ลูกใด ลิ้นนอง ก็จะทาการปรับแกไ้ ข ดงั น้นั หากผูซ้ ้ือไม่รีบเอาไปจนเกินไป ช่างแคน เม่ือทาแคนเสร็จแลว้ อาจจะ ยงั ไม่ใชเ้ ชือกมดั แคน เพราะมดั แลว้ ก็ตอ้ งแกเ้ ชือกออก ถอดลูกแคนออกมาแต่งลิ้นอยู่ดี แคนท่ีเป่ าจนลิ้นอยู่ ตวั แลว้ ช่างแคนปรับแกใ้ หห้ ายลิ้นนองน่ีแล ถือวา่ เป็นแคนคุณภาพดีสมบูรณ์ สญั ญา สมประสงค์ (2555 : 55 - 63) ไดก้ ล่าวถึงข้นั ตอนในการทาแคนไวว้ า่ แคนมีข้นั ตอน การทาดงั น้ี 1.จดั เตรียมไมไ้ ผเ่ ฮ้ียดว้ ยการคดั สรรขนาดของไมท้ ี่จะใชผ้ ลิตแคนจากขนาดลาใหญ่ เรียงตามลาดบั ไปหาลาเลก็ ใหไ้ ดข้ นาดและความสวยงาม 2.นาลาไมไ้ ผ่เฮ้ียท่ีคดั เลือกแลว้ น้ันมาตดั ให้มีขนาดความยาวลดหลน่ั กนั ลงไปเป็ นรูปแคนช่างทา แคนเรียกการตดั ลากลอ้ งไมไ้ ผ่เฮ้ียให้ไดข้ นาดความส้ันยาวน้ีว่า\"การเจียนกู่แคน\" หรือ \"การหยุดลูกแคน\" เม่ือเจียนเสร็จแลว้ นาลูกแคนมาเรียงลาดบั จากขนาดยาวที่สุดไปหาส้ันที่สุดดว้ ยขนาดความยาวของแคนแปด ซ่ึงเป็นแคนมาตรฐานที่ไดร้ ับความนิยมมากในหมู่ผเู้ ป่ าแคน มีขนาดความยาว-ส้ันของลูกแคนแตล่ ะคู่ดงั น้ี คู่ท่ี 1 และคู่ที่2 ขนาดความยาวประมาณ 98 เซนติเมตร คู่ท่ี 3 ขนาดความยาวประมาณ 82 เซนติเมตร คูท่ ่ี 4 ขนาดความยาวประมาณ 76 เซนติเมตร คูท่ ี่ 5 ขนาดความยาวประมาณ 72 เซนติเมตร คู่ที่ 6 ขนาดความยาวประมาณ 70 เซนติเมตร คู่ที่ 7 ขนาดความยาวประมาณ 67 เซนติเมตร คูท่ ี่ 8 ขนาดความยาวประมาณ 66 เซนติเมตร 3. นาเหล็กซีมาเผาไฟให้เกิดความร้อนจนปลายของเหล็กซีท่ีเผาไฟน้นั ร้อนแดงและนามาเจาะทะลุ ปลอ้ งของกู่แคนทุกลูก 4. นาลูกแคนทุกลูกไปลนไฟให้เกิดความร้อนแลว้ ใชไ้ มม้ ือลิง ไมส้ าหรับดดั รูปแคนมาดดั รูปแคน ใหต้ รงไม่คดงอ ลูกแคนเม่ือถูกความร้อนจากการลนไฟจะทาใหล้ ูกแคนมีความเหนียวแข็งแกร่งและสามารถ กนั มอดกินไมไ้ ดอ้ ีกดว้ ย

ห น้ า | 21 5. นาไมน้ ้าเกล้ียงซ่ึงเป็ นไมเ้ น้ืออ่อน มาตกแต่งรูปทรงเป็ นเตา้ แคน ช่างทาแคนจะตกแต่งเตา้ แคน ดว้ ยคมมีดตอก แลว้ จึงใชส้ ิ่วเจาะทะลุช่องเป็นสี่เหลี่ยมผนื ผา้ ตามแนวความกวา้ งยาวของตวั เตา้ ช่องทะลุน้นั ตอ้ งกวา้ งและหนา้ ตดั ของแพท้งั สองที่จะสอดเขา้ ไปผนึกไวใ้ นช่องเท่าน้นั เรียกช่องทะลุน้ีวา่ “ช่องเสียบลูก แคน” ตอนท่ีกะความกวา้ งของช่อง ช่างทาแคนจะวดั ความกวา้ งของลูกแคน 2 ลูก ไดค้ วามยาวเท่าใดก็จะ ขยายออกราวๆ 3 ถึง 4 เซนติเมตร เผือ่ ไวส้ าหรับ “ไมก้ ้นั ” หรือ “ไมค้ น่ั ” ระหวา่ งแพลูกแคนก็จะควา้ นผนงั ดา้ นในให้เวา้ โคง้ เขา้ ไปในเน้ือผนงั ท้งั สองดา้ นเผ่ือไวใ้ ห้เป็ นที่ว่างให้ลิ้นแคนกระดกเขา้ ออกได้ จะไดไ้ ม่ ตอ้ งปะทะกบั ผนงั ช่อง เสร็จแลว้ ช่างก็จะแบ่งช่องทะลุน้นั ออกเป็ น 2 ส่วนเท่าเท่ากนั ความยาวของช่องดว้ ย การพาดซี่ไมไ้ ผ่ซี่เล็กๆลงไปเหน็บหวั ทา้ ยไวใ้ นร่องเหน็บที่บากเอาเน้ือเตา้ ที่อยู่ริมสุดท้งั สองขา้ งของช่อง สี่เหลี่ยมท้งั ดา้ นบนและดา้ นตรงกนั ขา้ ม เรียกซ่ีไมไ้ ผท่ ี่แบง่ ช่องน้ีวา่ “ไมก้ ้นั ” หรือ “ไมค้ นั่ ” แพลูกแคนซ่ึงจะ มี 2 อนั อนั นึงอยดู่ า้ นบนอีกอนั หน่ึงอยดู่ า้ นล่าง 6. นาหลาบโลหะหรือหลาบเงินมาสับออกดว้ ยสิ่วใหเ้ ป็นเส้นเลก็ ๆขนาดยาวพอประมาณ 7. นาหลาบโลหะมาตีรีดออกเป็ นเส้นยาวๆและบางโดยใชค้ อ้ นเหล็กขนาดเล็กตีนวดหลาบโลหะที่ รองกบั ทงั่ จนหลาบโลหะเป็นเส้นยาวเรียวบางไดข้ นาดที่ตอ้ งการ 8.นาส่ิว มือสับลิ้นแคนโดยใช้กระดูกงาช้างเป็ นท่ีรองสับหรือสกดั โลหะเพื่อไม่ให้ส่ิวทะลุลงลึก จนเกินไป เพราะจะทาใหร้ ูของลิ้นแคนน้นั กวา้ ง เป็นเหตุท่ีทาใหแ้ คนกินลมในเวลาเป่ า 9.นามีดตอกมาขูดลิ้นให้มีความบาง ตามลกั ษณะเสียงต่า เสียงสูง หรือความหนาความบางของลิ้น แคน จากน้นั นาไมซ้ าหรือติวไมไ้ ผ่ที่มีผิวไมค้ ลา้ ยกระดาษทรายละเอียด มาขดั ลิ้นแคนให้เรียบเกล้ียงเกลา และใช้คมต้องตดั เฉือนข้างหรือรีมลิ้นแคนท่ีสับออกมาจากหลาบใหญ่ซ่ึงยงั ขรุขระหรือคมอยู่น้ันให้ เรียบร้อยหายคม 10.นาลิ้นแคนมาวางทาบกบั ลูกแคนท่ีบริเวณที่กาหนดใหบ้ นตาแหน่งลิ้น หนั ดา้ นปลายลิ้นไปดา้ น ปลายลาลูกแคน เม่ือทาบไดท้ ี่ตามตอ้ งการแลว้ ใหใ้ ชม้ ีดตอกกดเป็ นช่องที่จะตดั ลิ้นท่ีบริเวณดงั กล่าวโดยให้ ช่องมีความยาวนอ้ ยกวา่ ความยาวของลิ้นประมาณคร่ึงมิลลิเมตร เพ่ือจะไดท้ าร่องเสียบลิ้นเขา้ ไปในเน้ือไม้ ลูกแคนท้งั ดา้ นบนและดา้ นล่างของช่องลิ้นน้นั ๆ ส่วนความกวา้ งน้นั ใหป้ ลายแหลมของมีดตอกกรีดเปิ ดช่อง ใหก้ วา้ งกวา่ ขนาดของลิ้นแคนไม่รวมกรอบเล็กนอ้ ย เพ่ือให้ลิ้นแคนกระดกข้ึนลงภายในช่องน้นั น้นั ไดเ้ มื่อ ถูกลมเป่ า บริเวณช่องลิ้นซ่ึงจะใชเ้ ป็นฐานรองรับลิ้นน้นั ตอ้ งขดู แตง่ ใหไ้ ดเ้ สมอกนั ตลอดแนว 11.นาลูกแคนแตล่ ะลูกมาเจาะรูแพว รูหน่ึงอยเู่ หนือบริเวณท่ีติดลิ้นแคนเรียกวา่ “รูแพวบน” และอีก รูหน่ึงอยู่ใตบ้ ริเวณท่ีติดลิ้นเรียกว่า “รูแพวล่าง” การเจาะรูแพวท้งั สองรูน้ีจะตอ้ งเจาะท่ีดา้ นตรงกนั ขา้ มกบั ตาแหน่งลิ้นแคน ในการเจาะรูแพวน้นั จะทาไปพร้อมพร้อมกนั กบั การเทียบเสียง ช่างผผู้ ลิตแคนจะใชเ้ ครื่อง

ห น้ า | 22 ต้งั เสียง (Tuner) เป็ นหลกั เทียบเสียงแรก ต่อจากน้นั ก็จะมีวิธีการวดั ระยะห่างรูแพวแต่ละเสียงให้เขา้ คู่กนั โดยวดั หาตาแหน่งตามไมแ้ บบท่ีกาหนดระยะไว้ การเทียบเสียงของแคนน้นั จะเรียงลาดบั การเทียบดงั น้ี ลา (ต่า) ขวามือ เทียบหา ลา(กลาง) ขวามือ เทา่ กบั คู่ 8 ลา(กลาง) ขวามือ เทียบหา เร ซา้ ยมือ เทา่ กบั คู่ 4 ลา (กลาง)ขวามือ เทียบหา มีซา้ ยมือ เท่ากบั คู่ 5 เร ซา้ ยมือ เทียบหา ซอลขวามือ เท่ากบั คู่ 4 ซอล ขวามือ เทียบหา ซอลซา้ ยมือ เทา่ กบั คู่ 1 Unison ซอล ซา้ ยมือ เทียบหา โด(ต่า) ขวามือ เท่ากบั คู่ 4 โด(ต่า)ขวามือ เทียบหา โด (สูง)ซา้ ยมือ เท่ากบั คู่ 8 โด(สูง)ซา้ ยมือ เทียบหา ฟา(ต่า)ซา้ ยมือ เท่ากบั คู่ 4 มี ซา้ ยมือ เทียบหา ทีขวามือ เทา่ กบั คู่ 5 ทีขวามือ เทียบหา ทีซายมือ เทา่ กบั คู่ 8 เร ซา้ ยมือ เทียบหา เร(สูง)ขวามือ เท่ากบั คู่ 8 มี ซา้ ยมือ เทียบหา มี(สูง)ขวามือ เทา่ กบั คู่ 8 ฟา ซา้ ยมือ เทียบหา ฟา(สูง)ซา้ ยมือ เทา่ กบั คู่ 8 ซอลซา้ ยมือ เทียบหา ซอล(สูง)ซายมือ เท่ากบั คู่ 8 ลา(กลาง) ขวามือ เทียบหา ลา(สูง)ขวามือ เท่ากบั คู่ 8 เมื่อติดลิ้นแคนใส่ลงลูกแคนตดั ตกแต่งรูแพว และเทียบเสียงจนเสร็จเรียบร้อยแลว้ นาปูนขาวท่ีได้ จากการฝนเปลือกหอยผสมน้าให้ขน้ ทาอุดรูท่ีรั่ว ระหวา่ งลิ้นแคนกบั ฐานรองรับลิ้นแคนให้สนิท ถา้ มีรอยร่ัว เสียงแคนจะฟ่ าว คือเสียงจะไมแ่ น่น ไม่กระชบั และจะกินลมในเวลาเป่ า 12.นาลูกแคนทีละลูกสอดผนึกเขา้ ไปในเตา้ แคน และนาข้ีสูดท่ีผา่ นการนวดแลว้ มาเคียนผนึกครอบ ลาแคนท้งั ดา้ นบนและดา้ นล่างเตา้ เหมือนกนั ทุกๆลูก โดยการสอดลูกแคนเขา้ เตา้ แคนน้นั จะเรียงตามลาดบั เป็นคูๆ่ ดงั น้ี ลูกแคนคู่ที่ 1 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"โป้ซาย\" (เสียงโด) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"โป้ขวา\" (เสียงลา) ลูกแคนคูท่ ี่ 2 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"แมเ่ วยี ง\" (เสียงที) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"แม่เซ\" (เสียงโด) ลูกแคนคู่ที่ 3 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"แม่แก่\" (เสียงเร) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"สะแนน\" (เสียงซอล) ลูกแคนคู่ที่ 4 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"แมก่ อ้ ยขวา\" (เสียงมี) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"ฮบั ทุ่ง\" (เสียงลา) ลูกแคนคู่ที่ 5 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"แมก่ อ้ ยซา้ ย\" (เสียงฟา) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"ลูกเวยี ง\" (เสียงที)

ห น้ า | 23 ลูกแคนคูท่ ่ี 6 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"สะแนน\" (เสียงซอล) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"แก่นอ้ ย\" (เสียงเร) ลูกแคนคู่ที่ 7 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"กอ้ ยซา้ ย\" (เสียงฟา) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"กอ้ ยขวา\" (เสียงมี) ลูกแคนคูท่ ี่ 8 ดา้ นซา้ ย เรียกวา่ \"เสพซา้ ย\" (เสียงซอล) ดา้ นขวาเรียกวา่ \"เสพขวา\" (เสียงลา) สาหรับคู่แรกลูกแคนคู่ที่ 1 น้นั ให้หนั ดา้ นที่จะเจาะรูนบั มาทางปากเตา้ นอกน้นั ให้หนั รูนบั ออกทาง ดา้ นซา้ ยหรือดา้ นขวา แลว้ ใชไ้ มส้ อดคนั่ ไวร้ ะหวา่ งลิ้นแคนท้งั แถว เพื่อไม่ใหล้ ูกแคนเบียดเสียดกนั 13.เอานิ้วแม่มือขา้ งใดขา้ งหน่ึงจุ่มในขนั น้า แลว้ บ้ีบีบข้ีสูดที่เคียนอยรู่ อบๆลูกแคนทุกลูกใหแ้ ผอ่ อก เช่ือมเขา้ หากนั จนกลายเป็ นมวลสูดเน้ือเดียวกนั ตลอดท้งั แผ่นท้งั ดา้ นแพซา้ ยและแพขวา แผน่ ข้ีสูดน้นั น้นั ก็ จะปิ ดรอยร่ัวระหวา่ งเตา้ แคนกบั ลูกแคนและยดึ ลูกแคนใหต้ ิดกนั แน่นกบั เตา้ แคนดว้ ย 14.ใช้ซีกไมไ้ ผ่แผ่นเท่านิ้วมือ เหลาปลายให้แบนคลายใบมีด เรียกว่า \"ไมย้ ดั สูด\" ยดั ปลายเขา้ ไป ระหวา่ งแพลูกแคน กดอดั ใหข้ ้ีสูดอยรู่ ะหวา่ งแพลูกแคนแบนเป็ นเน้ือเดียวกนั แลว้ จึงเอาข้ีสูดออกมาสอดเขา้ ระหวา่ งลูกแคนแต่ละลูกๆ กดข้ีสูดลงในลกั ษณะเดียวกนั กบั ที่กดระหวา่ งแพ ก็จะทาใหข้ ้ีสูดปิ ดรูร่ัวระหวา่ ง ลูกแคนตอ่ ลูกแคนไดอ้ ยา่ งสนิท 15.นาเหลก็ ซี (เหล็กไซ) ขนาดเล็กมาเผาไฟให้ร้อนจดั จนแดง และนาไปเจาะรูนบั (รูนบั คือรูที่ใชน้ ิ้ว มือท้งั สิบนิ้วกดปิ ดและเปิ ด เมื่อเป่ าลมเขา้ ไปในเตา้ แคนเพื่อให้เกิดเสียงเป็ นเพลง มีอาการเหมือนคนใช้นิ้ว นบั สิ่งของ จึงเรียกวา่ รูนบั ) ท่ีลูกแคนใหท้ ะลุเป็นรูทุกลูก รูนบั ของลูกแคนคู่แรกอยูท่ างปากเตา้ ที่ใชป้ ากเป่ าน้นั ใหอ้ ยูส่ ูงจากระยะปากเตา้ ข้ึนไปประมาณ 2 1/2 เซนติเมตรเหมือนกนั รูคูน่ ้ีสาหรับนิ้วโป้ (หวั แม่มือ) ท้งั สองนบั รูนับของลูกแคน คูสุดทา้ ยที่อยู่ปลายเตา้ เจาะรูให้มีระยะสูงจากปลายเตา้ ข้ึนไปประมาณ 2 1/2 เซนติเมตรเหมือนกนั รูคู่น้ีสาหรับนิ้วกอ้ ยท้งั สองนบั ส่วนรูนบั ของลูกแคนที่อยูร่ ะหวา่ งกลางท้งั หมดเจาะรู ทางดา้ นขา้ งสูงจากเตา้ ประมาณ 5 เซนติเมตรเสมอกนั ทุกลูก สาหรับนิ้วช้ี นิ้วกลาง และนิ้วนางท้งั สองขา้ ง นบั 16.นาแคนมาเป่ าทดสอบระดบั เสียงอีกคร้ังหากแคนมีเสียงเพ้ียน ช่างแคนก็จะมีกรรมวิธี การแก้ เสียงเพ้ียนหลายวิธี เช่น ในกรณีเสียงใหญ่(ต่า) เกินไปให้เจาะรูแพวลงมา ถา้ เสียงนอ้ ย(สูง) เกินไปให้ปิ ดรู แพวโดยนาไมก้ ู่แคนท่ีไดป้ าดออกไปแลว้ มาติดคืนและใชก้ าวลาเทก็ ซ์มาทาติดยดึ หรือใชข้ ้ีสูดอุด หากเสียง แคนยงั เพ้ียนอยู่ ช่างแคนกจ็ ะไปตกแต่งท่ีลิ้นแคนตอ่ ไป 17.ทดสอบเป่ าแคน ใหไ้ ดร้ ะดบั เสียงท่ีถูกตอ้ งไดม้ าตรฐานแลว้ จึงนาตน้ ค่ามามดั แคน ช่างทาแคน มกั จะมดั แคน 3 จุด คือตรงปลายสุดจะมดั ลูกแคน 4 ลูก ยาวเท่ากนั จุดที่ 2 จะมดั ตรงปลายสุดของลูกเสพ

ห น้ า | 24 รวมเป็นมดั เดียวกนั ท้งั 2 แพซา้ ยขวาอยภู่ ายในลูกแคน จุดที่ 3 มดั ท่ีปลายสุดของกกแคนในทุกๆจุด ท่ีมดั จะมี ซ่ีไมไ้ ผส่ อดคน่ั แบง่ ซา้ ยขวาอยภู่ ายใน งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง สุรศกั ด์ิ พิมพเ์ สน (2532:บทคดั ยอ่ ) ไดท้ าการศึกษาเร่ือง การทาแคน ศึกษาเฉพาะกรณีตาบลสีแกว้ อาเภอเมือง จงั หวดั ร้อยเอ็ด มีวตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความสมั พนั ธ์ของข้นั ตอนต่างๆในการทาแคนแปด ซ่ึง มีระดบั เสียงเจ็ดโป้ท่ีมีผลต่อการสร้างระบบเสียงของแคนแปดที่มีระดบั เสียงเจ็ดโป้ ผลการวิจยั พบวา่ การ สร้างระบบเสียงแคนมีความสัมพนั ธ์กนั ในลกั ษณะข้นั คู่เสียง กล่าวคือ เร่ิมดว้ ยการสร้างเสียง Tonic แลว้ สร้างคู่ 8 จากน้นั ก็จะสร้างเสียงคู่ 4 คู่ 3 และคู่ 2 ตามลาดบั เป็ นผลให้ระบบเสียงคลา้ ยกบั ระบบเสียงของ Soprano Recorders หมายถึง มีเสียง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที ครบตาม Diatanic Scale ทุกประการ สุกิจ พลประถม (2536:บทคดั ย่อ) ได้ทาการศึกษาเรื่อง การเป่ าแคนแบบพ้ืนบ้านอีสาน โดยมี วตั ถุประสงค์ เพื่อศึกษาข้นั ตอนการเป่ าแคนแบบพ้ืนบา้ นอีสานลายสุดสะแนน ผลการวจิ ยั พบวา่ หมอแคน ชาวบา้ นในภาคอีสานมีข้นั ตอนในการฝึ ก 2 ข้นั ตอนใหญ่ๆได้แก่ 1.ข้นั ตอนการเตรียมการเบ้ืองตน้ และ 2.ข้นั ตอนการเป่ าแคนลายสุดสะแนน ข้นั ตอนการเตรียมการเบ้ืองตน้ มีข้นั ตอนแยกยอ่ ย 10 ข้นั ตอนไดแ้ ก่ 1. ข้นั ตอนการเลือกแคน ผูฝ้ ึ กจะเลือกแคนท่ีมีเสียงดีและมีเสียงถูกตอ้ ง 2. ข้นั ตอนการเตรียมแคนผฝู้ ึ กเป่ าแคน ควรจะมีสามารถแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของแคนเล็กๆนอ้ ยๆได้ เช่น ไมก้ ู่แคนแตก ข้ีสูดแห้งและข้ีสูดติดในรูนบั 3. ข้นั ตอนการฝึกเป่ าแคนเบ้ืองตน้ ผฝู้ ึกเป่ าแคนจะประกบปากบนรูเป่ าและฝึกเป่ าลมเขา้ ออก 4. ข้นั ตอนการ สร้างความเขา้ ใจในดา้ นองคป์ ระกอบของแคน ผูฝ้ ึ กจะศึกษาเสียงแต่ละคู่เสียง รูนบั และเตา้ แคน 5.ข้นั ตอน การหยิบจบั ผฝู้ ึ กเป่ าแคนท่ีมีประสบการณ์จะหยบิ จบั แคนตรงส่วนเตา้ แคน 6. ข้นั ตอนการใชท้ ่าทางฝึ กเป่ า แคนจะเป่ าแคนในท่าทางที่สะดวกสบายและผอ่ นคลาย 7. ข้นั ตอนการศึกษาตาแหน่งของการวางนิ้วผฝู้ ึ กเป่ า แคนจะสังเกตการวางนิ้วจากครูว่า แต่ละเสียงวางนิ้วอยา่ งไร และจะจาไปฝึ กเป่ าดว้ ยตนเอง 8.ข้นั ตอนการ วางนิ้วบนรูนบั ผฝู้ ึกเป่ าแคนจะวางนิ้วบนรูนบั เหมือนกนั เช่น นิ้วหวั แม่มือท้งั ซา้ ยขวาจะใชส้ าหรับปิ ดรูนบั กู่ แคนลูกท่ี 1 ดา้ นซ้ายขวาในทานองเดียวกนั นิ้วช้ีทางดา้ นซ้ายมือและขวามือใชส้ าหรับปิ ดรูนบั กู่แคนลูกท่ี 2 และ 3 ทางดา้ นซ้ายและดา้ นขวาเป็ นตน้ 9. ข้นั ตอนการจรดปากบนเตา้ แคน ผูฝ้ ึ กเป่ าแคนจะจรดปากตรง ก่ึงกลางรูเป่ าโดยให้ริมฝี ปากส่วนบนและส่วนล่างสนิทกบั ร่องรูเป่ า ทาให้ลมไม่ร่ัว 10. ข้นั ตอนการศึกษา ปัญหาของการเป่ าแคน ปัญหาของครูฝึ กเป่ าแคนที่พบมากคือ ไม่มีแคน ไม่มีการฝึ กที่เป็ นแบบแผนแน่นอน ผฝู้ ึ กมีปัญหาการเลือกครูแคน และไม่มีเวลาสาหรับฝึ กเพียงพอเนื่องจากตอ้ งมีภาระครอบครัว ข้นั ตอนการ เป่ าแคนลายสุดสะแนน มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ข้นั ตอนการวางนิ้วบนรูนบั ผฝู้ ึกเป่ าแคนจะวางนิ้วตามตาแหน่งการ วางนิ้วในข้นั เตรียมการเบ้ืองตน้ 2. ข้นั ตอนการใช้นิ้ววางปิ ดรูนบั ผูฝ้ ึ กเป่ าแคนส่วนใหญ่จะใช้ปลายนิ้ว สาหรับปิ ดรูนบั บางคนจะใชส้ ่วนหนา้ ของปลายนิ้วที่เหยยี ดตรง หรือใชท้ ้งั ปลายนิ้วและส่วนดา้ นหนา้ ของ นิ้วท่ีเหยยี ดตรงร่วมกนั เป็ นแบบท่ีสามในการเป่ าแคน 3. การติดสูดในการเป่ าแคนลายสุดสะแนน จะติดสูดรู

ห น้ า | 25 นบั ลูกที่ 6 และ8 ดา้ นมือซ้าย ส่วนหมอแคนอาชีพจะใชน้ ิ้วปิ ดรูนบั แทนการติดสูด 4.การฝึ กเป่ าทานอง ผฝู้ ึ ก เป่ าแคนลายสุดสะแนนมีการฝึ กเป่ าลายจากง่ายไปหายาก การฝึ กเป่ าทานองพ้ืนฐานจะพฒั นาไปสู่ลายสุด สะแนน โยธิน พลเขต (2552:บทคดั ยอ่ ) ไดท้ าการศึกษาเร่ือง ปัจจยั ท่ีทาให้หมอแคนประสบความสาเร็จใน การเป่ าแคนประกอบหมอลากลอนวาดอุบล มีวตั ถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ทาให้หมอแคน ประสบความสาเร็จในการเป่ าแคนลากลอนวาดอุบล 2.เพือ่ ศึกษาเทคนิควธิ ีการเป่ าแคนที่จะใหส้ อดประสาน การลากลอนวาดอุบลไดด้ ี ผลการวจิ ยั พบวา่ ในดา้ นองคป์ ระกอบที่ทาใหห้ มอแคนประสบความสาเร็จในการ เป่ าแคนประกอบหมอลากลอนวาดอุบลคือ หมอแคนจะตอ้ งมีความเช่ียวชาญรอบรู้ในลายแคนหลกั และลาย อ่ืนๆ ท่ีใชใ้ นการเป่ าเดี่ยวและเป่ าประกอบหมอลากลอนอยา่ งลึกซ้ึง มีความเขา้ ใจท่วงทานองลาของหมอลา รู้จงั หวะข้ึนจงั หวะลง ชา้ เร็วที่สอดคลอ้ งกบั จงั หวะและทานองลา มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรคล์ ีลาท่าทางการ แสดงประกอบหมอลากลอนให้มีความสาคญั ระหวา่ งหมอลาจบั หมอแคนเพื่อให้ผูช้ มเกิดความประทบั ใจ หมอแคนตอ้ งมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะตอ้ งใชล้ มเป่ าแคนประกอบการลาตลอดคืน มีความรับผดิ ชอบ ต่อหนา้ ท่ี รู้จกั ตรงต่อเวลาในดา้ นเทคนิควิธีการเป่ าแคน ท่ีจะให้สอดคลอ้ งประสานการลากลอนวาดอุบลได้ ดีคือ หมอแคนจะตอ้ งเขา้ ใจข้นั ตอนการแสดงของหมอลาและจดจาเน้ือหากลอนลาของหมอลาให้ได้ เพราะ ถา้ จาไม่ไดจ้ ะทาให้เป่ าแคนไม่ถูกช่วงจงั หวะการราของหมอลา และทาให้การลาสะดุดไม่มีความต่อเน่ือง รวมถึงตอ้ งรู้ใจหมอลาวา่ จะลากลอนอะไรต่อไป บางคร้ังถา้ หมอลาลืมกลอนลา หมอแคนตอ้ งมีปฏิภาณไหว พริบแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ได้ สามารถเป่ าแคนนาหมอลาใหไ้ ด้ โดยหมอแคนจะตอ้ งเป่ าลายแคนเลียนเสียงลา ในกลอนน้นั ๆไปเรื่อยๆ เพอื่ ช่วยใหห้ มอลานึกถึงกลอนลาสามารถลาต่อไปไดจ้ นจบกลอน รู้เทคนิคพเิ ศษใน การเป่ าใหก้ ลมกลืนรื่นหูไปกบั กลอนลา โดยหูตอ้ งฟัง ตาตอ้ งสังเกต หมอลาอยตู่ ลอดเวลา คอยฟังหมอลาวา่ จะลาไปในแนวไหน ตอ้ งเป่ าให้จงั หวะหมอลาตลอดเวลา มีเทคนิคลีลาในการเป่ าท่ีสะดุดใจคนฟัง เช่น การ ใชล้ ิ้นการใชล้ ม รวมถึงลีลาท่าทางขณะกาลงั แสดงดว้ ย การแต่งกายสุภาพเรียบร้อยดีเสริมใหบ้ ุคลิกหมอแคน โดดเด่นไปดว้ ย ช่วงหมอลาหยุดหายใจ จะเป่ าซ้วนช่วยหมอลา ทาให้เวลาหมอลาลาจะไม่เหน่ือยง่าย โดย สรุปจากการศึกษาดงั กล่าว นามาใชป้ ระโยชน์เพ่ือเป็ นแนวทางในการสืบทอดหมอแคนที่เป่ าประกอบหมอ ลากลอนวาดอุบล และเป็ นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนเป่ าแคนประกอบหมอลากลอน สาหรับนกั เรียนนกั ศึกษาและผสู้ นใจ สิทธิศกั ด์ิ จาปาแดง (2552:บทคดั ยอ่ ) ไดท้ าการศึกษาเรื่อง แคน:การประยุกตใ์ ชภ้ ูมิปัญญาพ้ืนบา้ น ในการอนุรักษฟ์ ้ื นฟูพฒั นาวตั ถุดิบและการทาแคนเพื่อสร้างมูลค่าเพมิ่ ทางวฒั นธรรม มีวตั ถุประสงค์ 1.ศึกษา ประวตั ิความเป็ นมาของเคร่ืองดนตรีแคน วตั ถุดิบและการทาแคนในภาคอีสาน 2.สภาพปัญหาเกี่ยวกบั การ อนุรักษ์ ฟ้ื นฟู พฒั นา วตั ถุดิบและการทาแคนในปัจจุบนั และ 3.การประยุกตใ์ ชภ้ ูมิปัญญาพ้ืนบา้ นในการ อนุรักษฟ์ ้ื นฟูพฒั นาวตั ถุดิบและการทาแคนเพ่ือสร้างมูลคา่ เพิม่ ทางวฒั นธรรม ผลการวจิ ยั พบวา่ ประวตั ิความ เป็นมา แคนเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่ ามีรูปแบบที่ใกลเ้ คียงกบั แคนจีนเกาหลี ญ่ีป่ ุน เวยี ดนาม ลาว สาหรับ แคนในภาคอีสานพบหลกั ฐานตามจิตรกรรมฝาผนงั และวรรณคดี วตั ถุที่ใชส้ ่วนใหญ่ไดจ้ ากธรรมชาติและ

ห น้ า | 26 โลหะสังเคราะห์ แยกได้ 3 กลุ่มคือ 1.โลหะที่ใชท้ าลิ้นแคนไดแ้ ก่ เงินทองแดง และทองเหลือง 2.ไมแ้ ละพืช บางชนิด ไดแ้ ก่ กู่แคนทาจากไมไ้ ผข่ นาดเล็ก ไมไ้ ผซ่ าผิวหยาบใชข้ ดั ลิ้น เตา้ ทาจากรากไมป้ ระดู่ แก่นไมร้ ัก น้าเกล้ียง วตั ถุดิบที่ใชม้ ดั ก่แู คน คือ คลา้ และเถายา่ นาง 3.วตั ถุดิบที่ไดจ้ ากสัตวไ์ ดแ้ ก่ เขาควาย และกระดูกชา้ ง ใชเ้ ป็ นเขียงรองสับลิ้น ชนั โรงใชผ้ นึกกู่แคนและเตา้ เขา้ ดว้ ยกนั หอยกาบน้ามนั เผาและบดทาปูนใช้อุดลิ้น แคน ความเป็ นมาของการทาแคนในจงั หวดั ร้อยเอ็ดไม่ปรากฏหลกั ฐานวา่ เริ่มตน้ ในสมยั ใด มีศูนยก์ ลางท่ี บา้ นสีแกว้ ปัจจุบนั จานวนช่างแคนเหลือเพียง 12 คน ส่วนการทาแคนในจงั หวดั นครพนม มีศูนยก์ ลางที่ ตาบลท่าเรือ เริ่มเมื่อประมาณ 70 ปี ที่ผา่ นมา ภายหลงั มีผูส้ นใจฝึ กทาแคนมากข้ึน ปัจจุบนั ท่ีนครพนมมีช่าง แคนประมาณ 500 คน สภาพปัญหาเก่ียวกบั การอนุรักษ์ ฟ้ื นฟู พฒั นา วตั ถุดิบ และการทาแคนในปัจจุบนั ดา้ นวตั ถุดิบเม่ือ ทรัพยากรธรรมชาติเส่ือมโทรม ทาใหว้ ตั ถุดิบที่ใชท้ าแคนทุกชนิดลดลงเกือบถึงข้นั วิกฤต ส่วนไมแ้ คนท่ีข้ึน บริเวณเทือกเขา ภูพานทางราชการเขา้ มาดูแลจึงอยู่ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ิป่ าสงวน ไม่สามารถนามาใชไ้ ด้ อยา่ งเปิ ดเผยเป็นเพียงการลกั ลอบตดั บางช่วงไมก้ ่แู คนอีกจานวนหน่ึงไดจ้ าก สปป.ลาว มีปัญหาดา้ นกฎหมาย ระหว่างประเทศคือสินคา้ ผ่านแดน ดา้ นเหรียญกษาปณ์เน้ือเงินและทองแดงมีราคาสูงและหายาก จะขาด แคลนในอนาคต สภาพปัญหาการทาแคน เลือกศึกษาจากช่างทาแคนท่ีมีชื่อเสียงจานวน 8 คน พบวา่ สกุลช่าง ร้อยเอด็ และนครพนมมีเทคนิควธิ ีการ มีขอ้ ดีและขอ้ ดอ้ ยต่างกนั ซ่ึงเกิดจากความรู้ท่ีไดร้ ับการถ่ายทอดจากครู และประสบการณ์ตรง ดา้ นการสืบทอดอาชีพการทาแคนกลุ่มช่างในจงั หวดั ร้อยเอ็ดมีผูส้ ืบทอดน้อยส่วน จงั หวดั นครพนมมีผูส้ ืบทอดมากเน่ืองจากผูค้ นในชุมชนเห็นความสาคญั และมีบางหน่วยงานให้การ สนบั สนุน ดา้ นการจาหน่ายและการตลาดท้งั สองแหล่งยงั มีผสู้ ัง่ ซื่ออยา่ งตอ่ เน่ือง การประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาพ้ืนบา้ นในการอนุรักษ์ ฟ้ื นฟู พฒั นา วตั ถุดิบและการทาแคน เพ่ือสร้าง มูลค่าเพมิ่ ทางวฒั นธรรม พบวา่ วตั ถุดิบท่ีไดจ้ ากไมแ้ ละพืช ไดแ้ ก่ ไมไ้ ผเ่ ฮ้ีย ไมไ้ ผซ่ า ไมป้ ระดู่ ไมร้ ักใหญ่ ไม้ ยอป่ า คลา้ และยา่ นาง ขยายพนั ธุ์ ดว้ ยวธิ ีการเพราะเมลด็ เหงา้ ปักชา เพาะเล้ียงเน้ือเย้ือ วตั ถุดิบที่ไดจ้ ากสัตว์ ไดแ้ ก่ เขาควาย และกระดูกชา้ ง ซ่ึงวตั ถุดิบชนิดน้ีข้ึนอยกู่ บั การคงอยขู่ องสัตวส์ องประเภทตามความสัมพนั ธ์ ในเชิงวฒั นธรรม ส่วนชันโรงสามารถเล้ียงและขยายพนั ธุ์ได้ โลหะที่ใช้ทาลิ้นแคนท่ีมีคุณภาพเม่ือนามา วเิ คราะห์องคป์ ระกอบพบวา่ เหรียญเงินมีโลหะร้อยละ 99 และเหรียญทองแดงประกอบดว้ ย ทองแดงร้อยละ 95 ดีบุกร้อยละ 4 สังกะสี ร้อยละ 1 ดา้ นการทาแคนไดป้ ระมวล องคค์ วามรู้ ขอ้ ดี ของช่างทาแคนแต่ละคน เพ่ือเป็นแนวทางในการผลิตแคนใหม้ ีคุณภาพยง่ิ ข้ึน ดา้ นมูลค่าเพิ่มทางดา้ นวฒั นธรรม มี 6 ดา้ นคือ ดา้ นธุรกิจ ดา้ นสงั คม ดา้ นวฒั นธรรม ดา้ นสุนทรียศาสตร์ ดา้ นการดลใจ และดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

ห น้ า | 27 โดยสรุป การวิจยั น้ีนบั เป็ นการประยกุ ตใ์ ช้ภูมิปัญญาพ้ืนบา้ นที่มีการต่อยอดทางความรู้นาไปสู่การ ใชแ้ กป้ ัญหาดา้ นวตั ถุดิบและวิธีทาแคนท่ีมีคุณภาพในอนาคต ผลการวิจยั จะเป็ น ประโยชน์ต่อการเรียนการ สอนทางวฒั นธรรมดนตรีพ้ืนบา้ น และเป็นขอ้ สนเทศสาหรับวิจยั ขยายผลช่วงสร้างมูลคา่ เพ่มิ ทางวฒั นธรรม ตอ่ ไป อาชา พาลี (2555:บทคดั ย่อ) ไดท้ าการศึกษาเร่ือง แนวทางการพฒั นาวิธีการถ่ายทอดการเป่ าแคน ทานองพ้ืนบา้ นอีสาน มีวตั ถุประสงค์ 1.เพ่ือศึกษาประวตั ิความเป็ นมาสภาพและปัญหาของวิธีการถ่ายทอด การเป่ าแคนในปัจจุบนั 2.เพือ่ ศึกษาแนวทางการพฒั นาวธิ ีการถ่ายทอดการเป่ าแคนทานองพ้นื บา้ นอีสาน ผลการวิจยั พบวา่ ประวตั ิความเป็นมาของวธิ ีการถ่ายทอดการเป่ าแคน พบวา่ คนอีสานส่วนมากชอบฟังเสียง แคน จึงทาให้หลายคนอยากเป็ นหมอแคน การเรียนเป่ าแคนจึงเกิดจากความหลงใหลในความไพเราะของ เสียงแคน ซ่ึงเริ่มจากบุคคลท่ีมีความสนใจและมีใจรัก แลว้ กเ็ รียนรู้ดว้ ยตนเองโดยการฟัง สงั เกต จดจาทาตาม หรือเรียนวา่ ครูพกั ลกั จา และต่อมาจึงมีการเรียนโดยผเู้ รียนสมคั รใจมามอบตวั เป็ นลูกศิษยก์ บั ครูแคนโดยเร่ิม เรียนจากไหวค้ รูและมีคาถาอาคมใหท้ ่องจา ซ่ึงมีความเชื่อวา่ จาทาใหม้ ีความจาดีและประสบผลสาเร็จในการ เรียนเร็วข้ึน นอกจากน้ียงั ใชว้ ธิ ีการสอนโดยการลองผดิ ลองถูก เช่น ใส่ปลอกสวมนิ้วมือ และใชย้ างรัดนิ้วมือ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเคยชินในการนบั ลูกแคนแลว้ การใชต้ วั เลข 1 2 3 4 5 6 7 เป็นสญั ลกั ษณ์แทนเสียงและ ใชอ้ กั ษร ด ร ม ฟ ซ ล ท เป็ นสัญลกั ษณ์แทนเสียงซ่ึงประกอบกบั การใชท้ ฤษฎีดนตรีไทยเป็ นพ้ืนฐานในการ อธิบายเพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจในการเป่ าแคน แนวทางการพฒั นาวธิ ีการถ่ายทอดการเป่ าแคนทานองพ้นื บา้ น อีสาน พบวา่ แนวทางการพฒั นากระทาไดโ้ ดยการสร้างแนวปฏิบตั ิในการเป่ าแคน ซ่ึงเริ่มตน้ จากการฝึ กเป่ า โดยการอธิบายเรื่อง การใชน้ ิ้วการใชล้ ิ้น การใชล้ ม และการสร้างทานองลายแคน โดยจดั ทาคู่มือในการฝึ ก เป่ าแคนซ่ึงมีการอธิบายการเป่ าแคนจากลายพ้ืนฐาน เช่น ลายโปงลาง ลายลมพดั พร้าว ลายนกไซบินขา้ มทุ่ง ที่ใช้เล่นผสมวงในวงโปงลางแลว้ จึงอธิบายแนวปฏิบตั ิในไลน์เดียว เช่น ลายเตย้ ลายใหญ่ ลายสุดสะแนน ลายนอ้ ย ลายโป้ซา้ ย ลายสร้อย ตามลาดบั ซ่ึงในแตล่ ะรายจะมีโนต้ ประกอบการทาความเขา้ ใจในการเป่ าแคน และมีแผ่นเสียงแคนท่ีเป่ าตามโน๊ตให้ผูเ้ รียนฟังและปฏิบตั ิตาม ซ่ึงเป็ นวิธีการท่ีทาให้ผปู้ ระสบผลสาเร็จใน การเรียนเป่ าแคน

ผลการศึกษา ห น้ า | 28 ส่ วนประกอบของแคน เชือกมดั ลูกแคน (ส่วนบนสุด) เชือกมดั ลูกแคน (ส่วนบน) แคน แคน ลูกแคน เตา้ แคน ไมก้ ้นั เตา้ แคน (อยดู่ า้ นในก่ึงกลางเตา้ แคน แคน) เชือกมดั ลูกแคน ไมก้ ้นั ลูกแคน (ส่วนล่าง) (อยดู่ า้ นในระหวา่ งลูกแคน) แคน ภาพที่ 1 : ส่วนประกอบของแคน 1.ลูกแคน เป็ นส่วนประกอบที่สาคญั ของแคน ทาหน้าที่เป็ นท่อขยายเสียง เสียงแคนจะไพเราะข้ึนอยู่กบั ลูก แคนดว้ ย ลูกแคนทามาจากไมไ้ ผช่ นิดหน่ึงท่ีมีลาตน้ เรียวยาว เปลือกบาง ทางภาคอีสานเรียกวา่ ไมเ้ ฮ้ีย ทาง ภาคเหนือเรียกวา่ ไมซ้ าง โดยช่างแคนจะนาไมเ้ ฮ้ียมาตดั ให้ไดข้ นาด ใส่ลิ้นแคน เจาะรูแพร บน – ล่าง และ เจาะรูนบั ซ่ึงเม่ือนามาประกอบกบั เตา้ แคนแลว้ จะเรียกวา่ ลูกแคน ในแคนหน่ึงตวั จะมีขนาดของลูกแคนที่ แตกต่างกนั คือ เสียงต่าจะมีขนาดของลูกแคนที่ใหญ่และยาว จากน้ันก็จะค่อยๆไล่ระดบั ลงไปจนถึงลูก สุดทา้ ยซ่ึงเป็นเสียงสูงจะมีขนาดของลูกแคนที่เลก็ และส้นั แคนแตล่ ะประเภทจะมีจานวนลูกแคนท่ีไมเ่ ท่ากนั เช่น แคนเจด็ มี 14 ลูก แคนแปด มี 16 ลูก แคนเกา้ มี 18 ลูก เป็นตน้ แต่ที่นิยมใชก้ นั มากที่สุดคือแคน 8

ห น้ า | 29 แคนเจ็ด แคนแปด แคนเกา้ ภาพท่ี 2 : ภาพจาลองประเภทของแคน ที่มา : http://pincansawmusic.blogspot.com/p/blog-page_9724.html

3.5 ซ.ม. ห น้ า | 30 2.เตา้ แคน เตา้ แคนทามาจากไม้ เช่น ไมพ้ ยุง ไมต้ ะเคียน ไมห้ นามแท่ง ไมน้ ้าเกล้ียง เป็ นตน้ แต่ท่ีนิยมกนั มาก ท่ีสุดคือ รากไมป้ ระดู่ เน่ืองจากหาไดง้ ่าย และรากไมป้ ระดู่สามารถ ตดั บาก เจาะทารูปทรงของเตา้ แคนได้ ง่าย อีกท้งั สีของรากไมป้ ระดู่ยงั มีสีท่ีสวยงาม ช่างแคนส่วนใหญ่จึงนิยมนามาใชท้ าเป็นเตา้ แคน เตา้ แคนจะมี ลกั ษณะเป็ นรูปทรงวงรี ยาว 15 เซนติเมตร ตรงกลางเจาะบากเป็ นรู ทะลุรูปสี่เหลี่ยมผืนผา้ กวา้ ง 3.5 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร เตา้ แคนใชส้ าหรับใส่ลูกแคน เมื่อเป่ าใหล้ มเขา้ ไปจะทาใหเ้ กิดการสน่ั สะเทือน ของลิ้นแคนภายในเตา้ แคน ซ่ึงเตา้ แคนของช่างแคนแต่ละคนจะไม่เหมือนกนั ช่างแคนแต่ละคนจะมีรูปร่าง เตา้ แคนอนั เป็นเอกลกั ษณ์ของตนเอง 15 ซ.ม. ภาพที่ 3 : ขนาดความยาวของเตา้ แคน 10 ซ.ม. ภาพที่ 4 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของรูตรงกลางเตา้ แคน

ห น้ า | 31 3.ไมก้ ้นั เตา้ แคนและลูกแคน ไมก้ ้นั เตา้ แคนและลูกแคนทามาจากไมไ้ ผ่แห้ง ไมก้ ้นั เตา้ แคนใชก้ ้นั ตรงกลางระหวา่ งเตา้ แคนเพ่ือ แยกลูกแคนฝ่ังซา้ ยและฝั่งขวา มีขนาดความยาว 10.5 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร และไมก้ ้นั ลูกแคน ใช้ ก้นั ระหว่างลูกแคน มี 2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง ขนาดความยาวของไมก้ ้นั ลูกแคน มีความยาว 10 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร 10.5 ซ.ม. 0.5 ซ.ม. ภาพท่ี 5 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของไมก้ ้นั เตา้ แคน ภาพท่ี 6 : ไมก้ ้นั ลูกแคน 0.5 ซ.ม. 10 ซ.ม. ภาพที่ 7 : ขนาดความกวา้ งและความยาวของไมก้ ้นั ลูกแคน

ห น้ า | 32 4.เชือกมดั ลูกแคน เชือกมดั ลูกแคนทามาจากเถายา่ นางที่ตากแห้งแลว้ ใชส้ าหรับมดั ยึดลูกแคนให้มีความแขง็ แรงข้ึน และอยใู่ นรูปทรงที่ตอ้ งการโดยจะมดั ลูกแคน 3 ส่วน คือ ส่วนบนสุด ส่วนบน และส่วนล่าง ภาพท่ี 8 : เชือกมดั ลูกแคน วตั ถุดบิ 1.ไมเ้ ฮ้ีย ไมเ้ ฮ้ียเป็ นไมไ้ ผช่ นิดหน่ึง มีชื่อเรียกหลากหลายช่ือ ทางภาคอีสานเรียกวา่ ไมเ้ ฮ้ียนอ้ ย ทางภาคกลาง และภาคเหนือเรียกว่า ไมซ้ าง ช่างแคนส่วนใหญ่จะเรียกไมเ้ ฮ้ียว่า ไมก้ ู่แคน เน่ืองจากเป็ นไมช้ นิดเดียวท่ี สามารถนามาทาแคนได้ ไมเ้ ฮ้ียมีลกั ษณะลาตน้ เรียวยาว เปลือกบาง ขา้ งในกลวง ซ่ึงใชเ้ ป็ นวตั ถุดิบหลกั ใน การทาแคน ไมเ้ ฮ้ียท่ีนามาทาแคนตอ้ งตากแดดใหแ้ ห้งก่อนอยา่ งนอ้ ยประมาณ 3 สัปดาห์ เพ่ือให้ไมเ้ ฮ้ียไม่มี ความช้ืน และมีน้าหนกั เบา โดยช่างแคนจะนาไมเ้ ฮ้ียมาทาเป็ นลูกแคน ในปัจจุบนั ประเทศไทยหาไมเ้ ฮ้ียได้ ค่อนขา้ งยาก จะมีก็ที่อุทยานแห่งชาติภูพานซ่ึงเป็ นเขตอนุรักษ์ จึงไม่อนุญาติให้ตดั ดงั น้นั ช่างแคนจึงส่ัง ไมเ้ ฮ้ียจากประเทศลาว

ห น้ า | 33 ภาพท่ี 9 : ไมเ้ ฮ้ีย ที่มา : https://arunothaigarden.wordpress.com/2015/10/14 ภาพที่ 10 : ไมเ้ ฮ้ียท่ีตากแหง้ แลว้ 2.รากไมป้ ระดู่ รากไมป้ ระดู่จะนามาทาเป็ นเตา้ แคน ซ่ึงสามารถหาไดใ้ นชุมชนบา้ นห้วยทราย เมื่อมีการตดั ตน้ ประดู่จะทิ้งส่วนรากไว้ พ่อใหญ่สหัส อสุรินทร์ จึงไปขุดมาเพ่ือนามาทาเป็ นเตา้ แคน เหตุผลที่ใช้รากไม้ ประดู่มาทาเตา้ แคนน้นั เน่ืองจากรากไมป้ ระดู่สามารถตดั บาก เจาะทารูปทรงของเตา้ แคนไดง้ ่ายและสีของ รากไมป้ ระดู่มีสีที่สวยงามจึงเหมาะท่ีจะนามาทาเตา้ แคน

ห น้ า | 34 ภาพท่ี 11 : รากไมป้ ระดู่ ท่ีมา : http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/121375.jpg ภาพท่ี 12 : รากไมป้ ระดู่ท่ีตดั แลว้ 3.ข้ีสูดหรือชนั โรง ข้ีสูดสามารถหาไดใ้ นชุมชนบา้ นหว้ ยทราย ซ่ึงไดม้ าจากรังของแมลงชนิดหน่ึง ที่อยใู่ นตระกูลผ้ึงแต่ ตวั เล็กกวา่ เรียกวา่ แมงข้ีสูดหรือแมงนอ้ ย โดยส่วนใหญ่แลว้ จะทารังบริเวณจอมปลวกหรือโพรงไม้ ข้ีสูดมี ลกั ษณะออ่ น เหนียว ยดื หยนุ่ ไม่ติดมือและไม่แหง้ กรอบ ใชส้ าหรับติดยดึ และปิ ดช่องวา่ งระหวา่ งลูกแคนกบั เตา้ แคน เพือ่ ไมใ่ หล้ มที่ผา่ นเขา้ สู่โพรงเตา้ แคนรั่วไหลออกจากเตา้ ทาใหผ้ เู้ ป่ าไม่รู้สึกเหนื่อยเวลาเป่ าแคน

ห น้ า | 35 ภาพที่ 13 : แมลงข้ีสูด ท่ีมา : http://www.isan.clubs.chula.ac.th/insect_sara/ index.php?transaction=insect_1.php&id_m=17824 ภาพที่ 14 : ข้ีสูด 4.เถายา่ นาง เป็ นเถาไมเ้ ล้ือยชนิดหน่ึง ซ่ึงหาไดใ้ นชุมชนบา้ นห้วยทรายและพ้ืนท่ีอื่นๆ เถาย่านางมีคุณสมบตั ิท่ี เหนียว ไม่ยดื หยนุ่ จึงนิยมนามาทาเป็ นเชือกมดั ลูกแคน โดยการทาเชือกมดั ลูกแคนจากเถายา่ นางน้นั ตอ้ งใช้ เถายา่ นางที่ยงั ไมแ่ ก่มาก นามาจกั ใหบ้ างๆ และตากแดดใหแ้ ห้งก่อน จากน้นั เมื่อจะใชต้ อ้ งชุบน้าให้เปี ยกเพ่ือ ป้องกนั ไม่ให้เถายา่ นางกรอบ ขาดง่าย และยงั ทาให้มีความเหนียวยง่ิ ข้ึนอีกดว้ ย เชือกท่ีไดจ้ ากเถายา่ นางใช้ สาหรับมดั ยึดลูกแคนให้มีความแข็งแรงข้ึน และอยู่ในรูปทรงท่ีต้องการ โดยจะมดั ลูกแคน 3 ส่วน คือ ส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง

ห น้ า | 36 ภาพที่ 15 : เถายา่ นาง ที่มา : http://www.ladyandme.com/s/12962 5.หลาบโลหะ เป็ นส่วนประกอบสาคญั ท่ีนามาทาลิ้นแคน ซ่ึงทามาจากการหลอมสตางคแ์ ดงผสมเงินบริสุทธ์ิท่ีได้ จากกาไลเงินของคนสมยั ก่อน หรือถา้ ไม่มีเงินบริสุทธ์ิก็จะใชเ้ หรียญห้าบาทสมยั ก่อนมาหลอมรวมกนั ซ่ึง พอ่ ใหญ่สหสั อสุรินทร์ ไม่สามารถทาการหลอมเองได้ จึงส่ังซ้ือมาจากจงั หวดั นครพนม หลาบโลหะท่ีไดม้ า จะมีลกั ษณะเป็นเส้น คลา้ ยๆเส้นลวด ช่างแคนจะคอ่ ยๆตีหลาบโลหะน้ีจากที่เป็นเส้นใหเ้ ป็นแผน่ ยาวและบาง พอเหมาะสาหรับการใชง้ าน ภาพท่ี 16 : สตางคแ์ ดง ท่ีมา : http://oknation.nationtv.tv/blog/phaen/2010/10/03/entry-1

ห น้ า | 37 ภาพที่ 17 : กาไลเงินสมยั ก่อน ท่ีมา : http://thomnakhon.com ภาพท่ี 18 : เหรียญหา้ บาทสมยั ก่อน ที่มา : https://board.postjung.com/795807.html

ห น้ า | 38 ภาพที่ 19 : หลาบโลหะ 6.ไมไ้ ผ่ มีอยตู่ ามพ้ืนที่ทวั่ ๆไป โดยจะใชไ้ มไ้ ผท่ ่ีแก่แลว้ นามาผา่ ใหม้ ีขนาดเล็กความยาวพอเหมาะกบั การใช้ งาน โดยไมไ้ ผน่ ้ีจะนามาทาไมก้ ้นั เตา้ แคนและไมก้ ้นั ลูกแคน ภาพที่ 20 : ไมไ้ ผ่ ท่ีมา : http://www.bansuanporpeang.com/node/15842

ห น้ า | 39 วสั ดุอปุ กรณ์ 1.เล่ือยตดั ไม้ ใชเ้ ลื่อยตดั ไมท้ ว่ั ไปแต่มีขนาดเลก็ เหมาะมือเวลาใชง้ าน ใชส้ าหรับตดั ไมเ้ ฮ้ียใหไ้ ดข้ นาดความส้นั ยาวตามตอ้ งการ และป้องกนั ไม่ใหไ้ มเ้ ฮ้ียแตก ภาพที่ 21 : เล่ือยตดั ไม้ 2.มีดตอก เป็นมีดปลายแหลมคม มีดา้ มจบั ที่ยาว ใชส้ าหรับการเจาะรูไมเ้ ฮ้ียสาหรับใส่ลิ้นแคน และเจาะรูแพร บนล่างของลูกแคนเพื่อใหไ้ ดเ้ สียงตามตอ้ งการ ภาพที่ 22 : มีดตอก 3.เหล็กซี เป็นเหล็กปลายแหลม มี 3 ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ขนาดเล็กใชส้ าหรับเจาะรูนบั ขนาดกลางและ ขนาดใหญใ่ ชส้ าหรับเจาะไมเ้ ฮ้ียใหท้ ะลุปลอ้ ง

ห น้ า | 40 ภาพที่ 23 : เหลก็ ซี 4.ส่ิว มีลกั ษณะดา้ นหน่ึงแหลมคมอีกดา้ นหน่ึงหนาเพ่ือรับแรงจากการตีดว้ ยคอ้ นเลก็ มี 4 ขนาดดว้ ยกนั คือ เลก็ มาก เล็ก กลาง ใหญ่ ส่ิวขนาดเล็กและเลก็ มากใชส้ าหรับเจาะลิ้นแคน ส่ิวขนาดกลางและใหญ่ใช้ สาหรับสับลิ้นแคน ภาพที่ 24 : สิ่ว 5.ไมม้ ือลิง ไมม้ ือลิงทามาจากไม้ มีลกั ษณะดา้ มจบั ยาว ส่วนปลายโคง้ งอและมีตะขอสาหรับดดั ไมเ้ ฮ้ียใหม้ ี ลกั ษณะตรง ภาพท่ี 25 : ไมม้ ือลิง

ห น้ า | 41 6.คอ้ นเลก็ เป็นคอ้ นขนาดเลก็ ดา้ นหน่ึงแหลมอีกดา้ นหน่ึงแบน ใชส้ าหรับตีหลาบโลหะใหม้ ีลกั ษณะเป็นแผน่ บางๆ และใชต้ ีเพ่ือสับและเจาะลิ้นแคน ภาพท่ี 26 : คอ้ นเล็ก 7.ไมจ้ ิม้ ลิ้นแคน ทามาจากทองเหลือง มีลกั ษณะเป็นแผน่ บางๆ ปลายมน ใชส้ าหรับสอดลิ้นแคนเพ่ือใส่ในรูไมเ้ ฮ้ียที่ เจาะไว้ ภาพท่ี 27 : ไมจ้ ิ้มลิ้นแคน

ห น้ า | 42 8.หนา้ ทง่ั หนา้ ทง่ั มีชื่อเรียกอีกชื่อวา่ เขียงแคน เป็นอุปกรณ์ท่ีใชร้ องในการตีหลาบโลหะใหม้ ีลกั ษณะเป็นแผน่ บางๆ ภาพท่ี 28 : หนา้ ทง่ั 9.กระดูกชา้ ง เป็นกระดูกส่วนสะโพกของชา้ งที่ลม้ ตายตามธรรมชาติ นามาจากโครงการอุตสาหกรรมป่ าไม้ จงั หวดั ลาปาง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใชส้ าหรับรองสับลิ้นแคนและเจาะลิ้นแคน เนื่องจากกระดูก ชา้ งมีร่องเลก็ ๆ จึงเหมาะที่จะใชร้ องในการสับหรือเจาะลิ้นแคน อีกท้งั ยงั ป้องกนั ไมใ่ หส้ ิ่วหกั หรือบ่ินได้ ภาพท่ี 29 : กระดูกชา้ ง

ห น้ า | 43 ข้นั ตอนการทาแคน 1. คดั เลือกและตดั ไมเ้ ฮ้ีย คดั เลือกไมเ้ ฮ้ียให้ไดข้ นาดใกลเ้ คียงกบั แบบลูกแคนที่ทาเสร็จแลว้ จากน้นั ใช้เล่ือยตดั ไม้ ตดั ไมเ้ ฮ้ียส่วนที่เกินออกเพื่อให้ไดข้ นาดตามแบบ ลูกแคนแต่ละตวั จะมีเส้นรอบวง และความส้ัน ยาวไมเ่ ท่ากนั ภาพท่ี 30 : การวดั ไมเ้ ฮ้ีย ภาพท่ี 31 : การตดั ไมเ้ ฮ้ีย

ขนาดความยาวของลูกแคน ห น้ า | 44 ลูกแคนฝ่ังซา้ ย ความยาว 110 เซนติเมตร ลูกแคนลูกที่ ชื่อเรียก ระดบั เสียง 110 เซนติเมตร โดสูง 95 เซนติเมตร 1 โป้ซา้ ย ทีต่า 90 เซนติเมตร เรต่า 87 เซนติเมตร 2 แม่เวยี ง มีต่า 85 เซนติเมตร ฟากลาง 83 เซนติเมตร 3 แม่แจ่ โซกลาง 81.5 เซนติเมตร ฟาสูง 4 แม่กอ้ ยขวา โซสูง ความยาว 110 เซนติเมตร 5 แม่กอ้ ยซา้ ย ระดบั เสียง 110 เซนติเมตร ลาต่า 95 เซนติเมตร 6 สะแนน โดต่า 90 เซนติเมตร โซกลาง 87 เซนติเมตร 7 ลูกกอ้ ยซา้ ย ลากลาง 85 เซนติเมตร ทีสูง 83 เซนติเมตร 8 เศษซา้ ย เรสูง 81.5 เซนติเมตร มีสูง ลูกแคนฝ่ังขวา ชื่อเรียก ลาสูง ทุง่ ลูกแคนลูกที่ เซ 1 2 สะแนน 3 รับทุง่ 4 ลูกเวยี ง 5 ลูกแจ่ 6 ลูกกอ้ ยขวา 7 เศษขวา 8


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook