การอาชีวศึกษายกกาลังสอง (Eco System College) การสรา้ งระบบการศึกษายกกาลงั สอง ก็เพอ่ื ใหเ้ กดิ “การศึกษาทีม่ คี วามเป็ นเลศิ (Education for Excellence)” ที่การศกึ ษาจะตอ้ งมีความยดื หยุ่น เท่าทนั กบั บริบทภายนอก และกระแสโลกที่เปล่ยี นไปอยา่ งรวดเร็ว สามารถพฒั นาทนุ มนุษยข์ องประเทศ ท่ีตอบโจทยค์ วามตอ้ งการของสงั คมและตลาดได้ ซ่ึงจะตอ้ งมุ่งเนน้ ไปท่ีการพฒั นา ศกั ยภาพบคุ คล สู่ความเป็นเลิศในแบบฉบบั ของแต่ละคนนนั่ เอง รมว.ศธ.กลา่ วถึง โมเดลการศกึ ษายกกาลงั สอง (Thailand Education Eco-System Model) ประกอบดว้ ย HCEC (Human Capital Excellence Center) หรือ ศนู ยพ์ ฒั นาศกั ยภาพบคุ คลเพ่อื ความ เป็นเลศิ ซ่ึงเป็นหน่วยพฒั นาทนุ มนุษย์ (HR) ของประเทศ เพือ่ ตอบโจทยอ์ าชพี อุตสาหกรรม และธุรกจิ DEEP (Digital Education Excellence Platform) หรือ แพลตฟอร์มดา้ นการศึกษา เพื่อความเป็นเลศิ เป็นหน่วยบริหารจดั การองคค์ วามรู้ (KM) ของประเทศ เพอ่ื ตอบโจทยก์ ารเรียนรู้ตลอดชีวติ EIDP (Excellence Individual Development Plan) หรือ แผนพฒั นารายบุคคลเพอ่ื ความเป็นเลศิ ซ่ึงเป็นตน้ แบบการพฒั นาศกั ยภาพ บุคคล (Human Potential : HP) เพ่อื ตอบโจทยเ์ สน้ ทางความสาเร็จของชีวิต
ความสาคญั อีกส่วนของการเปลี่ยนระบบการศึกษา ก็เพ่ือนาไปสู่ ”ระบบนิเวศ” ทาง การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ โดยจะตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั การเปลย่ี นนกั เรียน ครู ห้องเรียน ส่ือ การเรยี นรู้ และโรงเรยี น เพื่อยกกาลงั สองไปพรอ้ มกนั ทงั้ ระบบ • นกั เรียนยกกาลงั สอง จะตอ้ งเปลย่ี นจากการเรียนเพื่อสอบ ไปสู่เรียนเพอ่ื รู้ ให้เดก็ อยากท่ีจะเรียนรู้ เรียนเพ่อื อยากเรียน มกี ารฝึกฝนเพอื่ ทา สรา้ งทกั ษะอา่ นออกเขียนได้ คิดเลขเป็น ภาษาท่ี 2-3 และยกระดบั ทกั ษะชีวิต สรา้ งความสามารถ ของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 เป็นตน้ • ครูยกกาลงั สอง เมอื่ ตอ้ งการให้เดก็ เก่ง กต็ อ้ งมีระบบสรา้ งครูท่ีเก่ง มีระบบท่ีให้คนเกง่ เขา้ มาเป็นครู ใหอ้ าชีพครูเป็น อาชพี ในฝัน #เก่งเป็นครู โดยออกแบบโมเดลอาชพี ครูใหเ้ ป็นความใฝ่ ฝันของนกั เรียนนกั ศึกษา • ห้องเรียนยกกาลงั สอง จากการเรียนทโี่ รงเรียน ไปสู่การเรียนทบี่ า้ นถามท่โี รงเรียน (ห้องเรียนกลบั ดา้ น) โดยใหผ้ เู้ รียน หาความรูท้ บ่ี า้ น เพม่ิ ความรูเ้ สริมทกั ษะท่ีโรงเรียน (ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู)้ ทาหลกั สูตรให้ยดื หยนุ่ • ส่ือการเรียนรู้ยกกาลงั สอง เรียนจากตารา สู่การเรียนผา่ นส่ือแบบผสมผสาน (การเรียนรู้ออกแบบได)้ เรียนทไ่ี หนกไ็ ด้ ทีม่ อี ินเทอร์เน็ตและอปุ กรณ์ • โรงเรียนยกกาลังสอง เนน้ การประเมนิ โรงเรียนจากจานวนนกั เรียน ไปสู่คณุ ภาพ ตอบโจทยค์ วามรู้และทกั ษะท่เี พมิ่ ความสามารถในการเรียนรูต้ ามบริบท ความเป็นเลศิ ทางวชิ าการ และความเป็นเลศิ ทางภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ รวมท้งั วสิ าหกิจชมุ ชน ที่มา : https://www.moe.go.th
การจัดการเรียนการสอนโดยการลงมือปฏบิ ตั ิ (Active Learning) Active Learning คอื กระบวนการจดั การเรียนรู้ที่ผเู้ รียนไดล้ งมอื กระทาและไดใ้ ชก้ ระบวนการคดิ เก่ียวกบั สิ่งที่เขาไดก้ ระทาลงไป (Bonwell, 1991) เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภายใตส้ มมติฐานพ้ืนฐาน 2 ประการคอื 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์ และ 2) แตล่ ะบคุ คลมีแนวทางในการเรียนรู้ทแ่ี ตกต่างกนั (Meyers and Jones, บทบาทของครูในการช่วยเสริมสร้างแรงบนั ดานใจ ความสาคญั ของการจดั การเรียนรู้ผา่ นการลงมือปฏบิ ตั ิ การจดั การเรียนรู้ผ่านการลงมอื ปฏบิ ตั ิ เป็น การจดั การเรียนรู้ท่ีเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนไดล้ งมือปฏบิ ตั ิ เรียนรู้และ ด าเนินกิจกรรมต่างดว้ ยตนเอง โดยมีครู
เป็นผูช้ ้ีแนะ กระตนุ้ หรืออ านวยความสะดวก ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรู้ผา่ น กระบวนการคดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ การแลกเปล่ียนเรียนรู้และการน าเสนอขอ้ มลู ส่งผลให้การเรียนรู้มคี วามหมายและ ประสิทธิภาพ โดย Suwannatthachote (2012) ไดใ้ ห้ความหมายของ Active Learning คือ การเรียนเชิงรุก เป็นการ เรียนรู้ท่ี ผเู้ รียนมสี ่วนร่วมในการเรียนหรือด าเนินกิจกรรมต่างๆ ในการเรียนใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีความหมาย เป็น วิธีการ เรียนรู้ในระดบั ลกึ ผูเ้ รียนจะสร้างความเขา้ ใจและคน้ หาความหมายของเน้ือหาสาระโดยเช่ือมโยงกบั ประสบการณ์เดิมทมี่ ี อยู่ สามารถบูรณาการความรู้ใหมท่ ไ่ี ดร้ ับกบั ความรู้เก่าทีส่ ามารถประเมินต่อเตมิ และ สร้างเป็นแนวคดิ ของตนเอง ซ่ึง แตกตา่ งจากวิธีการเรียนรู้ในระดบั ผิวเผนิ ซ่ึงเนน้ การรบั รู้ขอ้ มูลและจดจ า ขอ้ มูลเท่าน้นั ผูเ้ รียนลกั ษณะน้ีจะเป็นผเู้ รียนท่ี เรียนรู้วธิ ีการเรียน (Learning How to Learn) เป็นผูเ้ รียนที่ กระตอื รือร้นและมที กั ษะที่สามารถเลือกรบั ขอ้ มลู วิเคราะห์ สงั เคราะหข์ อ้ มูลไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ ซ่ึง สอดคลอ้ งกบั มนตรี ศิริจนั ทร์ชื่น (2554) ไดก้ ล่าวถึงความหมายของ Active Learning ว่าเป็นกระบวนการ ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทผ่ี ูเ้ รียนตอ้ งไดม้ โี อกาสลงมือกระท ามากกวา่ การฟังหรืออา่ น เพียงอยา่ งเดียว โดยเป็นการจดั กิจกรรมใหผ้ ูเ้ รียนไดต้ อบโต้ วิเคราะหป์ ัญหา อกี ท้งั ใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดข้นั สูง ใน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคา่ ซ่ึงผเู้ รียนจะเปลย่ี นบทบาทจากผรู้ ับความรู้ ไปสู่การมีส่วนร่วมใน การสร้าง ความรู้ ลกั ษณะของการเรียนรูผ้ า่ นการลงมือปฏบิ ตั ิ การเรยี นการสอนที่พฒั นาทกั ษะการคิด การแกป้ ัญหา และการน า ความรูไ้ ปประยกุ ตใ์ ชซ้ ่งึ เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมี ส่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรู้ การสรา้ งองคค์ วามรูแ้ ละจดั ระบบการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง เนน้ การมีปฏิสมั พนั ธร์ ่วมกนั และ รว่ มมอื กันมากกว่าการแข่งขนั อกี ทงั้ เป็นการใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ป็นผปู้ ฏิบตั ิดว้ ย ตนเอง ดงั ทไี่ ชยยศ เรอื งสวุ รรณ (2553) ได้ อธิบายถงึ ลกั ษณะสาคญั ของการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning ดงั นี้ 1) เป็นการเรียนการสอนท่ีพฒั นาศกั ยภาพทางสมอง ไดแ้ ก่ การคดิ การแกป้ ัญหา และการน าความรู้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ 2) เป็นการเรียนการสอนท่ีเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3) ผเู้ รียนสร้างองคค์ วามรู้และจดั ระบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4) ผเู้ รียนมสี ่วนร่วมในการเรียนการสอนท้งั ในดา้ นการสร้างองคค์ วามรู้การสร้างปฏิสมั พนั ธ์ ร่วมกนั และร่วมมอื กนั มากกวา่ การแข่งขนั 5) ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ความรับผดิ ชอบร่วมกนั การมวี ินยั ในการท างาน และการแบ่งหนา้ ที่ความ รบั ผดิ ชอบ
6) เป็นการสร้างสถานการณ์ให้ผเู้ รียนอ่าน พดู ฟัง คดิ อยา่ งลุม่ ลกึ ผเู้ รียนจะจดั ระบบการเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 7) เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เนน้ ทกั ษะการคิดข้นั สูง 8) เป็นกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนบูรณาการขอ้ มลู ขา่ วสาร สารสนเทศ และหลกั การสู่การสร้าง ความคิดรวบยอด 9) ผสู้ อนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนเป็นผปู้ ฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง 10) ความรู้เกิดจากประสบการณ์การสร้างองคค์ วามรู้และการสรุปทบทวนของผเู้ รียน ดงั น้นั ลกั ษณะสาคญั ของการจดั การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบตั ิ จึงเป็นสิ่งสาคญั ของการจดั การ เรียนการสอนที่ จะส่งเสริมผเู้ รียนให้สามารถสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง น าไปสู่ทกั ษะ กระบวนการคดิ และการแกป้ ัญหาข้นั สูง รูปแบบของการเรยี นรูผ้ ่านการลงมือปฏบิ ตั ิ การจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื สนบั สนนุ การจดั การเรียนรูผ้ า่ นการลง มอื ปฏบิ ตั ิ สามารถสรา้ งใหเ้ กิดขนึ้ ไดท้ งั้ ใน และนอกหอ้ งเรียนรวมทงั้ สามารถใชไ้ ดก้ บั ผเู้ รียนทกุ ระดบั ทง้ั การเรียนรูเ้ ป็น รายบุคคล การเรยี นรูแ้ บบกลมุ่ เล็ก และการ เรยี นรูแ้ บบกลมุ่ ใหญ่ Mc Kinney (2008, อา้ งถงึ ใน ประภสั รา โคตะขนุ , 2554) ไดเ้ สนอ รูปแบบการจดั กิจกรรมการ เรียนรูท้ ีจ่ ะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรูแ้ บบ Active Learning ไดด้ ไี ดแ้ ก 1) การเรียนรู้แบบแลกเปล่ียนความคดิ (Think-Pair-Share) คอื การจดั กิจกรรม การเรียนรู้ท่ีให้ ผเู้ รียนคิด เก่ียวกบั ประเด็นท่กี าหนดคนเดียว 2-3 นาท(ี Think) จากน้นั ให้แลกเปลี่ยน ความคดิ กบั เพ่อื นอกี คน 3-5 นาที(Pair) และ น าเสนอความคิดเห็นตอ่ ผเู้ รียนท้งั หมด (Share) 2) การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ใี หผ้ เู้ รียน ได้ ท างานร่วมกบั ผอู้ ่นื โดยจดั กลุม่ ๆ ละ 3-6 คน 3) การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผเู้ รียน (Student-led review sessions) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี เปิ ด
โอกาสให้ผเู้ รียนไดท้ บทวนความรู้และพจิ ารณาขอ้ สงสยั ตา่ ง ๆ ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลอื กรณีทมี่ ปี ัญหา 4) การเรียนรู้แบบใชเ้ กม (Games) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผสู้ อนน าเกม เขา้ บรู ณาการใน การเรียนการ สอน ซ่ึงใชไ้ ดท้ ้งั ในข้นั การน าเขา้ สู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงานและหรือข้นั การ ประเมินผล 5) การเรียนรู้แบบวิเคราะหว์ ดี ีโอ (Analysis or reactions to videos) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ ให้ ผเู้ รียนไดด้ วู ดี ีโอ 5-20 นาทแี ลว้ ให้ผเู้ รียนแสดงความคิดเห็น หรือสะทอ้ นความคิดเกี่ยวกบั สิ่งที่ไดด้ ู อาจโดยวธิ ีการพดู โตต้ อบกนั การเขยี นหรือการร่วมกนั สรุปเป็นรายกลุม่ 6) การเรียนรู้แบบโตว้ าที(Student debates) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่จี ดั ใหผ้ ูเ้ รียนไดน้ าเสนอ ขอ้ มลู ที่ ไดจ้ ากประสบการณแ์ ละการเรียนรู้เพื่อยนื ยนั แนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม 7) การเรียนรู้แบบผเู้ รียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คอื การจดั กิจกรรม การ เรียนรู้ท่ีให้ผูเ้ รียนสร้างแบบทดสอบจากส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้มาแลว้ 8) การเรียนรู้แบบกระบวนการวจิ ยั (Mini-research proposals or project) คอื การจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ อิงกระบวนการวจิ ยั โดยให้ผเู้ รียนก าหนดหัวขอ้ ทตี่ อ้ งการเรียนรู้วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้าง 5 ผลงาน และสะทอ้ นความคิดในส่ิงทไ่ี ดเ้ รียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน (project- based learning) หรือ
การสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) 9) การเรียนรู้แบบกรณีศกึ ษา (Analyze case studies) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผเู้ รียนได้ อา่ นกรณี ตวั อยา่ งท่ีตอ้ งการศึกษา จากน้นั ใหผ้ ูเ้ รียนวเิ คราะหแ์ ละแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นหรือแนวทาง แกป้ ัญหาภายในกล่มุ แลว้ นาเสนอความคิดเห็นตอ่ ผูเ้ รียนท้งั หมด 10) การเรียนรู้แบบการเขียนบนั ทกึ (Keeping journals or logs) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผเู้ รียนจด บนั ทึกเร่ืองราวต่างๆ ทไ่ี ดพ้ บเห็น หรือเหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้นึ ในแต่ละวนั รวมท้งั เสนอความคดิ เพ่ิมเติม เกี่ยวกบั บนั ทึกท่ีเขียน 11) การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือ การจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ให้ผเู้ รียนร่วมกนั ผลติ จดหมายขา่ ว อนั ประกอบดว้ ย บทความ ขอ้ มลู สารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตุการณท์ เ่ี กิดข้นึ แลว้ แจกจา่ ยไปยงั บคุ คลอน่ื ๆ 12) การเรียนรู้แบบแผนผงั ความคิด (Concept mapping) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีใหผ้ ูเ้ รียน ออกแบบ แผนผงั ความคิด เพื่อน าเสนอความคดิ รวบยอด และความเช่ือมโยงกนั ของกรอบความคดิ โดยการ ใชเ้ สน้ เป็นตวั เช่ือมโยงอาจจดั ทาเป็นรายบคุ คลหรืองานกล่มุ แลว้ น าเสนอผลงานต่อผูเ้ รียนอ่ืนๆ จากน้นั เปิ ด โอกาสใหผ้ เู้ รียนคนอนื่ ไดซ้ กั ถามและแสดงความคิดเห็นเพิม่ เตมิ กลา่ วโดยสรุปไดว้ ่ารูปแบบของการจดั การเรียนรูผ้ ่านการลงมือปฏิบตั นิ นั้ มีรูปแบบท่ีหลากหลาย ซึง่ ผสู้ อน สามารถเลอื กน าไปใชใ้ หเ้ ขา้ กบั กิจกรรมการเรยี นการสอนอยา่ งเหมาะสม เพือ่ ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ กดิ ทกั ษะ กระบวนการ คดิ วเิ คราะห์ การแกป้ ัญหา ความสามารถในการท างานรว่ มกบั ผอู้ ื่น การเกดิ องคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง ตลอดจน ประสบการณค์ วามสาเร็จในการเรียน
บทบาทของผูส้ อนในการจดั การเรียนรู้ผา่ นการลงมือปฏิบตั ิ การจดั การเรยี นรูผ้ ่านการลงมอื ปฏบิ ตั ผิ สู้ อนมีบทบาทในการเป็นผชู้ ว่ ยกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสนใจ ความ กระตอื รอื รน้ และพยายามการท าสิ่งต่างๆ เป็นผอู้ านวยความสะดวก และสนบั สนนุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรูแ้ ละพฒั นา ทกั ษะของตนในดา้ นการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ การตดั สนิ ใจ การแกป้ ัญหา และการท างานรว่ มกบั ผอู้ ืน่ ซึ่งณัชนนั แกว้ ชยั เจรญิ กิจ (2550) ไดก้ ลา่ วถงึ บทบาทของครูผสู้ อนในการจดั กจิ กรรมการเรียนรูผ้ ่านการลงมอื ปฏบิ ตั ิ โดนเนน้ ผเู้ รยี นเป็น ศนู ยก์ ลางของการเรียนการสอน การสรา้ งบรรยากาศของการมสี ่วนรว่ ม การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนใหเ้ ป็นพลวตั การจดั สภาพการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนใหท้ า้ ทาย และใหโ้ อกาสผเู้ รยี นไดร้ บั วิธีการสอนที่ หลากหลาย ผสู้ อนสรา้ งบรรยากาศการเรียนการสอนโดยเนน้ ใหผ้ เู้ รียนเป็นผมู้ สี ่วนรว่ มและส่งเสริมใหม้ ีปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี ีระหว่าง ผสู้ อนและเพ่ือนรว่ มชนั้ เรยี น สรา้ งความสนใจใหแ้ กผ่ เู้ รียน จากการตงั้ ประเด็นปัญหาใหผ้ เู้ รยี นไดแ้ สดงความคิดเหน็ ที่ แตกต่างกนั อย่างอสิ ระ ผสู้ อนจะเป็นผทู้ ี่ท าหนา้ ท่ีรบั ฟังท่ดี ี อาจใชเ้ ทคนคิ การแสดงความคดิ เหน็ ในเชงิ คดั แยง้ เพือ่ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนคดิ ตอ่ และหาเหตผุ ลมาสนบั สนนุ ความคดิ เพิ่มเติม หรือการท่ีผสู้ อนแสดงความคิดเหน็ คลอ้ ยตาม เพื่อกระตนุ้ หู้ เรยี นแตล่ ะคนไดม้ ีสนรว่ ม ตลอดจนผสู้ อนใหข้ อ้ เสนอแนะ ค าอธิบายตามหลกั การ ทฤษฎีที่กาหนดไวเ้ พ่ิมเติม
ผสู้ อนควรจดั กิจกรรมท่ีเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลางของการเรียนการสอน โดยเป็นกจิ กรรมที่สะทอ้ นใหผ้ เู้ รียนได้ น าไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจ าวนั ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นไดม้ สี ่วนร่วมในทกุ กจิ กรรม การรว่ มมอื ในกล่มุ ผเู้ รยี น จดั กจิ กรรม การ เรียนการสอนท่ที า้ ทายความสามารถของผเู้ รียน โดยการใชว้ ธิ ีการสอนทห่ี ลายหลาย ตลอดจนเป็นกจิ กรรมท่ีสนบั สนนุ ให้ ผเู้ รยี นประสบการณค์ วามสาเรจ็ ในการเรียนรู้ บทสรุป การจดั การเรยี นรูผ้ า่ นการลงมือปฏิบตั ิ เป็นแนวคดิ ใหมท่ ีเ่ รม่ิ เป็นท่นี ยิ มในชว่ งปลายศตวรรษที่ 21 โดย รูปแบบนี้ เป็นแนวคิดท่ีเนน้ ความมีส่วนร่วมของผเู้ รียน โดยการใชว้ ธิ ีการสอนท่หี ลากหลาย ซงึ่ มีพนื้ ฐานแนวคิดใหผ้ เู้ รียนมี บทบาท หลกั ในการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง รูปแบบการเรียนรูผ้ ่านการลงมอื ปฏิบตั ิอาศยั หลกั การสรา้ งกระบวนการเรยี นรูท้ ่ี เหมาะสม กบั ธรรมชาตกิ ารท างานของสมอง ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง สรา้ งความกระตือรือรน้ ในการ เรยี น กระตนุ้ ทกั ษะการคิด มากกว่าการสอนแบบบรรยาย หรอื การใหผ้ เู้ รียนทอ่ งจ า สง่ ผลใหก้ ารเรยี นรูข้ องผเู้ รียนมี ประสทิ ธิภาพสงู และเกดิ การเรียนรูอ้ ย่างตอ่ เนอื่ งนอกหอ้ งเรยี น จากการศกึ ษาขอ้ มลู เกี่ยวกบั การจดั การเรยี นรูผ้ ่านการลงมอื ปฏิบตั ิ เพือ่ นามาสง่ เสริมพฤตกิ รรมการเรยี นรูข้ อง นกั ศึกษาเกย่ี วกบั การเชือ่ มโยงความรูเ้ ดิม กบั ความรูใ้ หม่ และการสรา้ งองคค์ วามรู้ โดยการลงมอื ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ตาม ความสนใจของนกั ศึกษา การท างานกล่มุ ร่วมกบั ผอู้ ืน่ การยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่ืน การรว่ มแสดงความคิดเห็นใน การอภปิ ราย การมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ที ่ไี ดร้ บั มอบหมาย ใหผ้ ลงานออกมามคี ณุ ภาพ และเสร็จตามก าหนด ระยะเวลา ตลอดจนความสขุ และความสนกุ สนานของผเู้ รียนท่ีเกิดขนึ้ ในชน้ั เรยี น ซึ่งพฤตกิ รรมต่างๆ เหล่านสี้ ง่ ผลกระทบ ตอ่ การเรียนรูข้ องนกั ศึกษาในรายวิขาการประเมนิ พฒั นาการเดก็ เป็นรายวชิ าที่เนน้ ทฤษฎี ซง่ึ มคี วามคาดหวงั ว่าผเู้ รยี นจะ เกิดความรูค้ วามเขา้ ใจในการประเมนิ พฒั นาการ การสรา้ งเครอ่ื งมอื การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือ การเก็บรวบรวม ขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มลู และการมีสว่ นรว่ มของผปู้ กครอง ผเู้ รียนมีความจ าเป็นทจี่ ะตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรือ่ ง ดงั กลา่ ว เพ่ือน าไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม
การจดั การเรียนการสอนตามสภาพจริง (Authentic Instruction) การเรียนการสอนตามสภาพจริง หรือการเรียนรู้แท้ (authentic instruction) เป็นการเรียนทีผ่ เู้ รียนจะตอ้ งคดิ กระบวนการทีใ่ ชเ้ ป็นยทุ ธศาสตร์วิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ประเมินผล ตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเองมี กระบวนการท่ีใชเ้ ป็นยทุ ธศาสตร์ในการคิดอยา่ งเป็นระบบผเู้ รียนเป็นดว้ ยการเรียนผอู้ ธิบายนาเสนอไดอ้ ยา่ ง มหี ลกั วชิ าการดว้ ยการเรียบเรียงดว้ ย Authentic instruction (การเรียนการสอนจริง) ความหมาย การเรียนการสอนตามสภาพจริง หรือการเรียนรู้แท้ ( authentic instruction) เป็นการเรียนทผี่ เู้ รียน จะตอ้ งคิด กระบวนการทีใ่ ชเ้ ป็นยทุ ธศาสตร์วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และ ประเมินผล ตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเองมี กระบวนการทใ่ี ชเ้ ป็นยทุ ธศาสตร์ในการคดิ อยา่ งเป็นระบบผเู้ รียนเป็นดว้ ยการเรียนผอู้ ธิบายนาเสนอไดอ้ ยา่ ง มีหลกั วชิ าการดว้ ยการเรียบเรียงดว้ ยตนเองอธิบายไดอ้ ยา่ งครอบคลุมและชดั เจน ทฤษฏีและแนวคิด องค์ประกอบสาคญั ของการเรียนการสอนตามสภาพจริง Newman et al. 1995 ไดท้ าการวิจยั ทีศ่ นู ยก์ ารวิจยั ทางการศึกษาของมหาวิทยาลยั วิสคอนชินพบว่า ผเู้ รียนจะประสบความสาเร็จไดเ้ มอ่ื ใชค้ วามรู้ในการแกไ้ ขปัญหาและทดสอบสิ่งต่างๆที่เกี่ยวขอ้ งและได้ สร้างมาตรฐานเพ่ือใช้เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในการออกแบบการเรียนการสอนดงั น้ี 1.ผ้เู รียนได้คิดข้นั สูง (higher-order thinking)
การเรียนการสอนตามสภาพจริง จะตอ้ งเปิ ดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดจ้ ดั กระทาขอ้ มลู และใชค้ วามคิดใน การสงั เคราะห์ การสรุปนยั ทว่ั ไป การอธิบายและการสรุปรวมเพื่อสร้างเขา้ ใจและความหมายใหม่ๆหรับ ผเู้ รียน 2.ผ้เู รียนได้ใช้ความรู้ระดบั ลึกมากกว่าความรู้พื้นฐาน การเรียนการสอนตามสภาพจริงจะตอ้ งใหผ้ เู้ รียนเขา้ ถึงแก่นความคดิ ของเน้ือหาวชิ าใชค้ วามรู้ท่ี มากกวา่ ความรู้พ้นื ฐานโดยตอ้ งมีการสารวจความเชื่อมโยงดคู วามสมั พนั ธเ์ พ่อื สร้างความเขา้ ใจในประเด็น ต่างๆท่ีเก่ียวขอ้ ง 3.ผ้เู รียนได้มโี อกาสสนทนาแลกเปลีย่ นเรียนรู้ในรู้ในเนือ้ หาสาระวิชาที่เรียน (substantive conversation) การเรียนการสอนตามสภาพจริง จะตอ้ งใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ใน เน้ือหาวชิ ากบั ครูผูส้ อนและกลมุ่ ผเู้ รียนดว้ ยกนั เป็นการแลกเปล่ียนความรู้ความคิดทาใหผ้ เู้ รียนมีความเขา้ ใจ ในประเด็นต่างๆมากข้นึ 4.ผ้เู รียนได้รับการสนบั สนุนทางสังคม (social support for student achievement)
การเรียนการสอนตามสภาพจริงจะตอ้ งสร้างบรรยากาศทีส่ ่งผลดีแก่การเรียนรู้ไดแ้ ก่ การยอมรบั นบั ถอื ซ่ึงกนั และกนั (mutual respect)ระหว่างผูเ้ รียนและผสู้ อนหรือผเู้ รียนกบั ผอู้ ่นื เกิดความรู้สึกที่ดีจะตอ้ งสร้าง คณุ ค่าของตนเองโดยเพ่มิ ความพยายามให้มากข้นึ ผูส้ อนตอ้ งคาดหวงั ว่าผเู้ รียนทุกคนสามารถเรียนรู้ความรู้ แลทกั ษะทเี่ ป็นสิ่งจาเป็นและมีความสาคญั 5.ผ้เู รียนสามารถเช่ือมโยงการเรียนรู้จากการเรียนสู่โลกภายนอก (connections to the world beyond the classroom) การเรียนการสอนตามสภาพจริงจะตอ้ งเช่ือมโยงความรู้ในเน้ือหาวชิ าความรู้สู่ปัญหาสาธารณะ หรือ ประสบการณต์ า่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ ง เพอ่ื สามารถนาความรู้ทเี่ รียนรู้ในช้นั เรียนอธิบายปัญหาตา่ งๆนอกช้นั เรียนได้ แนวทางการจัดการเรียนรู้
Newman 1995 ไดน้ าเสนอหลกั การหรือขอ้ คานึงในการนาแนวคิดการเรียนการสอนตามสภาพจริง ไปใชใ้ หม้ ปี ระสิทธิภาพดงั น้ี 1.ครูตอ้ งคุน้ เคยกบั การยอมรับและการใชค้ วามรู้เดิมของผูเ้ รียนซ่ึงการดดู ซึมมลู ใหมข่ องผูเ้ รียนข้ึนอยกู่ บั วา่ ขอ้ มูลน้นั ช่วยให้อธิบายหรือขยายประสบการณเ์ ดิมของตนเองอยา่ งมคี วามหมายไดม้ ากเพียงใด 2.ครูตอ้ งตระหนกั ว่าผเู้ รียนเป็นนกั คดิ ทซ่ี บั ซอ้ นทพ่ี ยายามสร้างความหมายของโลกครูจะตอ้ งเนน้ ในการ สร้างโอกาสสาหรับการคดิ ระดบั สูง และความเขา้ ใจทล่ี กึ ซ้ึงมากกวา่ การเรียนรู้แบบธรรมดาและการได้ ความรู้กวา้ งๆอยา่ งเพียงผิวเผิน 3.ครูตอ้ งให้โอกาสท่ีหลากหลายสาหรบั ผเู้ รียนในการใชก้ ารสนทนาการเรียนและรูปแบบอนื่ ๆของกระบวน ขอ้ มลู ขา่ วสาร 4.ครูตอ้ งเป็นผอู้ านวยความสะดวกผแู้ นะนาหรือผนู้ ิเทศทก่ี ระตุน้ ใหผ้ ูเ้ รียนทางานในการเรียนรู้มากกวา่ การ ทาหนา้ ทใ่ี ห้ขอ้ มลู ข่าวสารหรือขอ้ เท็จจริง 5.ผเู้ รียนจะตอ้ งใชค้ วามพยายามในการสร้างความเขา้ ใจและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ครูและผเู้ รียนจะตอ้ ง ร่วมมือ เชื่อใจ และต้งั ความหวงั สาหรบั ความสาเร็จของตนเองในระดบั สูง
โดยสรุป การจดั การเรียนการสอนตามสภาพจริง ผสู้ อนควรเนน้ ให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ภายใต้ ประสบการณท์ ีส่ อดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจริงมากทีส่ ุด เพ่อื ให้ผเู้ รียนสามารถประยกุ ตข์ อ้ มูลความรู้ ประสบการณ์ท่ไี ดไ้ ปใชใ้ นสถานการณจ์ ริง หรือโลกแห่งความเป็นจริงไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพโดยให้ผเู้ รียน ไดม้ ีโอกาสสร้างความรู้ดว้ ยตนเองใชก้ ระบวนการสืบสอบทางวชิ าการและผเู้ รียนไดม้ โี อกาสเชื่อมโยง กิจกรรมการเรียนการสอนไปสู่ชีวติ จริงของเขา เม่ือจัดการเรียนการสอนแล้วผ้สู อนสามารถนาเกณฑ์ต่อไปน้ใี ช้ประเมนิ ผ้เู รียนตามมาตรฐานการ เรียนการสอนตามสภาพจริง 5 ระดับ ดังนี้ 1.การคิดข้นั สูงการคิดระดบั ต่า 1…2…3…4…5 การคดิ ระดบั สูง 2.การใชค้ วามรู้ระดบั ลึกมากกวา่ ความรู้พ้นื ฐาน ใชค้ วามรู้ระดบั ต่นื 1…2…3…4…5 ใชค้ วามรู้ระดบั ลึก 3.การไดม้ โี อกาสสนทนาแลกเปลยี่ นเรียนรู้ในเน้ือหาสาระวชิ าทีเ่ รียนไมม่ ีการสนทนา 1…2…3…4…5 มกี ารสนทนาท่ีเป็นแก่นสาระระดบั สูง 4.การไดร้ ับการสนบั สนุนทางสงั คมการสนบั สนุนทางลบ 1…2…3…4…5 การสนบั สนุนทางบวก 5.การเช่ือมโยงการเรียนรู้จากการเรียนสู่โลกภายนอกไมเ่ ช่ือมโยง 1…2…3…4…5 เชื่อมโยง
เกณฑ์การประเมนิ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1.การคิดข้นั สูง ระดบั 1 หมายถงึ การเรียนการสอนทผ่ี เู้ รียนไดร้ ับขอ้ มลู กฎและข้นั ตอนต่างๆโดยใชก้ ารท่องจา และการ ตอบคาถามในสิ่งทไี่ ดเ้ รียนรู้ ระดบั 2 หมายถึงการเรียนการสอนที่ผเู้ รียนใชก้ ารคิดระดบั ต่ามกี ารแลกเปล่ยี นความรู้กนั ในขณะเรียน ระดบั 3 หมายถึงการเรียนการสอนที่ผเู้ รียนใชก้ ารคดิ ระดบั ต่ามกี ารแลกเปล่ียนความรู้กนั ในขณะเรียน และ ผเู้ รียนบางคนใชค้ าถาม หรือกิจกรรมทแ่ี สดงถงึ การใชค้ วามคดิ ข้นั สูงอยา่ งนอ้ ย 1 คาถาม ระดบั 4 หมายถึงการเรียนการสอนท่ผี เู้ รียนทากิจกรรมหลกั ๆโดยใชก้ ารคิดข้นั สูง ซ่ึงเป็นกิจกรรมที่ เก่ียวขอ้ งกบั แก่นสาระท่เี รียนจากผูเ้ รียนหลายๆคน ระดบั 5 หมายถึง การเรียนการสอนที่ผเู้ รียนไดจ้ ดั กระทาขอ้ มลู และความคดิ ต่างๆเพื่อให้เกิดความหมายและ ประโยชน์ในการนาไปใช้ เช่น ผูเ้ รียนสามารถผสมผสานขอ้ เทจ็ จริงและความคิดตา่ งๆเพือ่ ใชส้ งั เคราะห์นยั ทว่ั ไป อธิบาย ต้งั สมมุติฐานสรุปหรือตดั ความ ซ่ึงกระบวนการเหลา่ น้ีจะช่วยให้ผูเ้ รียนสามารถคน้ พบ ความหมายและความเขา้ ใจใหม่ๆได้ 2) การใช้ความรู้ระดับลกึ มากกว่าพ้นื ฐาน ระดบั 1 หมายถึงการเรียนการสอนที่ให้ผูเ้ รียนไดร้ ับขอ้ มลู ในลกั ษณะแยกส่วนไมส่ มั พนั ธ์กนั ทาให้ มีความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระระดบั ผวิ เผนิ ไม่ชดั เจน ระดบั 2.หมายถงึ การเรียนการสอนท่ีผเู้ รียนมคี วามรู้ในระดบั ผิวเผินและแยกส่วนอาจมีการพดู ถึง มโนทศั นท์ ีส่ าคญั บา้ งแต่ไมไ่ ดบ้ ง่ บอกถึงความเขา้ ใจทช่ี ดั เจน ระดบั 3.หมายถึงการเรียนการสอนที่ผูเ้ รียนแสดงความรู้ความเขา้ ใจระดบั ลึกและระดบั ต้นื แต่ตอ้ ง แสดงความคดิ ที่บ่งบอกความเขา้ ใจในระดบั ลกึ อยา่ งนอ้ ยๆ1ความคดิ ระดบั 4.หมายถงึ การเรียนการสอนที่ผเู้ รียนแสดงความรู้ความเขา้ ใจท้งั ในระดบั ลึกและระดบั ต้ืน และผเู้ รียนหลายคนแสดงให้เห็นความเขา้ ใจระดบั ลกึ ได้ ระดบั 5.หมายถงึ การเรียนการสอนท่ผี เู้ รียนมี ความรู้ความเขา้ ใจในระดบั ลึก ซ่ึงเป็นเน้ือหาสาระทีเ่ ป็นหลกั ของบทเรียน ทาให้ผูเ้ รียนสามารถแยกแยะ
ความแตกต่าง มีการพฒั นาการโตแ้ ยง้ การแกไ้ ขปัญหา อธิบาย และมีการกระทาทบ่ี ง่ บอกถึงความเขา้ ใจใน สิ่งที่ซบั ซอ้ น 3) การได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นเรียนรู้ในเนือ้ หาสาระที่เรียน ระดบั 1.หมายถงึ การเรียนการสอนทไ่ี มเ่ ปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดส้ นทนาเกี่ยวกบั เน้ือหาสาระเป็น การสอนแบบบรรยาย โดยครูอาจใชค้ าถามส้ันๆ ให้ผูเ้ รียนไมส่ ามารถเช่ือมโยงความรู้ทีเ่ รียนได้ ระดบั 2.หมายถงึ การเรียนการสอนที่ผเู้ รียนมกี ารสนทนาแลกเปลีย่ นความรู้ระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ย กนั เอง
ระดบั 3.หมายถึงการเรียนการสอนที่ผูเ้ รียนมีการสนทนาแลกเปลยี่ นเก่ียวกบั เน้ือหาสาระไมค่ รบ ประเดน็ ระดบั 4.หมายถงึ การเรียนการสอนทผ่ี ูเ้ รียนมีการสนทนาแลกเปลี่ยนเก่ียวกบั เน้ือหาสาระในระดบั มาก แต่ยงั ไมค่ รอบคลมุ ทุกประเดน็
ระดบั 5.หมายถึง การเรียนการสอนที่ผูเ้ รียนมีการสนทนาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกบั แกน่ เน้ือหาสาระใน ระดบั มาก และครอบคลมุ ทุกประเดน็ 4) การได้รับการสนับสนุนทางสังคม ระดบั 1.หมายถงึ การเรียนการสอนทผี่ เู้ รียนไมไ่ ดร้ บั การกระตุน้ ให้เกิดความพยายามหรือมสี ่วนร่วม ระดบั 2.หมายถงึ การเรียนการสอนที่ผเู้ รียนและผูส้ อนมีพฤติกรรมสนบั สนุนและไมส่ นบั สนุนใน การมีส่วนร่วมในกิจกรรม
ระดบั 3.หมายถงึ การเรียนการสอนทผ่ี สู้ อนคาดหวงั ผเู้ รียนในระดบั ปานกลางและกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนบางคน พยายามใชค้ วามพยายามการทางานทา้ ทาย ระดบั 4.หมายถงึ การเรียนการสอนท่ีผสู้ อนคาดหวงั ผเู้ รียนในระดบั สูง แต่เป็นงานที่ยงั ไม่ทา้ ทาย ใช้ ความพยายามไม่สูงนกั และมกี ารยอมรบั ในกลมุ่ ระดบั 5.หมายถงึ การเรียนการสอนทผี่ สู้ อนคาดหวงั กบั ผเู้ รียนในระดบั สูง และกระตนุ้ ให้ผเู้ รียน ทางานทีท่ า้ ทายใชค้ วามพยายามสูง และมีการยอมรับกนั ในกลุ่มสูง
5) การเช่ือมโยงการเรยี นรู้สู่โลกภายนอก ระดบั 1.หมายถงึ การเรียนการสอนทีเ่ น้ือหาในบทเรียนและกิจกรรมไม่เชื่อมโยงกบั ประเด็นหรือ ประสบการณน์ อกช้นั เรียน ระดบั 2.หมายถึง การเรียนการสอนท่เี น้ือหาเช่ือมโยงกบั โลกภายนอก แต่ไมม่ ีกิจกรรมท่เี ชื่อมโยง กบั ประสบการณ์นอกช้นั เรียน
ระดบั 3.หมายถงึ การเรียนการสอนทเี่ ช่ือมโยงท้งั เน้ือหาสาระและกิจกรรมบา้ ง ระดบั 4.หมายถึงการเรียนการสอนที่เน้ือหาสาระเช่ือมโยงกบั ประสบการณน์ อกช้นั เรียนแต่ผเู้ รียน มีส่วนร่วมกิจกรรมนอกช้นั เรียนเป็นบางคร้งั ระดบั 5.หมายถึงการเรียนทผ่ี ูเ้ รียนมกี ารทางานเกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาหรือประเด็นทเี่ ชื่อมโยงกบั ประสบการณ์ ภายนอก มกี ารเช่ือมโยงวธิ ีการทาให้เกิดความหมายสาหรับตนเองมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกช้นั เรียน เช่น ใหค้ วามรู้แกผ่ ูอ้ นื่ ให้ช่วยเหลือประชาชน เป็นตน้
ข้อค้นพบจากการวจิ ัย จากการวิจยั การเรียนรู้โดยใชก้ ารเรียนการสอนตามสภาพจริงมขี อ้ คน้ พบจากการวิจยั วิวฒั น์ ขตั ตยิ ะมาน 2546 ที่ไดว้ ิจยั การนาเสนอปฏิบตั ิการทางเลือกของการเรียนการสอนตามสภาพจริง แนววชิ า หลกั สูตรและการสอนทวั่ ไปสาหรับนิสิตคณะศกึ ษาศาสตร์ ผลการวิจยั พบว่า (1)นิสิตนกั ศึกษากล่มุ ทดลองท้งั สามกล่มุ มีคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องหลกั สูตรและ การสอน คะแนนเฉล่ยี ความสามารถดา้ นการวางแผนการสอนและคะแนนเฉลี่ยลกั ษณะการเรียนรู้ดว้ ยการ นาตนเองหลงั การทดลองสูงกวา่ กล่มุ ควบคุมอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ริ ะดบั .05 (2) นิสิตศกึ ษาศาสตร์มคี วามคดิ เห็นเกี่ยวกบั แนวปฏิบตั ิของการเรียนการสอนตามสภาพจริงใน ระดบั มากในทุกขอ้
(3)บรรยากาศของการเรียนการสอนตามสภาพจริงท้งั สามกล่มุ มคี วามเป็นสภาพจริงต้งั แต่ระดบั ปานกลางถึงมากท่ีสุดและ (4)การศกึ ษาวิธีปฏิบตั ขิ องผสู้ อน ความสาเร็จและอุปกรณ์การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนพบว่า นิสิตมีความกระตอื รือร้นและใหค้ วามสนใจกบั กิจกรรมการเรียนการสอนทใี่ ชป้ ระสบการณก์ ารเรียนรู้ตาม สภาพจริงมากท่สี ุด รองลงมาคือประสบการณ์การเรียนรู้สมมตุ แิ ละสุดทา้ ยคอื ประสบการณก์ ารเรียนรู้ทาง วิชาการ
การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem Besed Learning : PBL) อะไรหนักหนาชีวิตนี้ เกิด มาทำไมนี้ เม่อื เราเกดิ มาแลว้ จะทำ ไงได้ ชวี ติ คือการต่อสู้ เพอ่ื การอยู่รอดใน สังคม โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานในการเรียนรู้
การเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem Besed Learning : PBL) เมอ่ื ดจู ากค าศพั ท์ Problem–based Learning ก็คือ วธิ กี ารเรยี นรวู้ ิธีหนงึ่ ท่มี ีรปู แบบการ เรียนรู้ โดยการน าปญั หามาเป็นตัวกระตุ้นให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ การเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) เป็นรูปแบบการ เรียนรู้ท่เี กดิ ข้นึ จากแนวคดิ ตามทฤษฎกี ารเรียนรู้แบบสรา้ งสรรคน์ ยิ ม (Constructivism) โดยให้ผเู้ รยี นสร้าง ความรู้ใหม่ จากการใช้ปญั หาทเ่ี กิดขึน้ จรงิ ในโลกเปน็ บรบิ ทของการ เรยี นร(ู้ Learning Context) เพ่ือให้ผูเ้ รียน เกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคดิ แก้ปญั หา รวมทั้งได้ความรู้ ตามศาสตร์ในสาขาวชิ าทตี่ นศึกษา ไปพรอ้ ม กนั ดว้ ย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานจึงเปน็ ผลมาจาก กระบวนการท างานท่ีต้องอาศยั ความเขา้ ใจและการ แกไ้ ขปญั หาเป็นหลกั ถ้ามองในแงข่ องยทุ ธศาสตรก์ าร สอน PBL เป็นเทคนิคการสอน ที่ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นไดล้ ง มือปฏิบัตดิ ว้ ยตนเอง เผชิญหนา้ กับปญั หาดว้ ยตนเอง จะท าให้ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะในการคิดหลายรปู แบบ เชน่ การคิดวจิ ารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคดิ สร้างสรรค์ ฯลฯ หลายท่านอาจมคี วามสงสัยว่า การเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (PBL) และการเรียนรเู้ พอ่ื การ แกป้ ัญหา (problem solving learning) ต่างกนั อยา่ งไร ความแตกต่างท่ชี ดั เจนคอื การเรยี นร้โู ดยใชป้ ญั หา เป็นฐานจะเนน้ ที่การ กำหนดสงิ่ ท่จี ะเรยี นรแู้ ละกระบวนการค้นคว้าหาความรใู้ หม่เพ่อื อธบิ ายปญั หาทพ่ี บ ส่วน การเรียนรูเ้ พ่ือ แกป้ ัญหาจะเนน้ ที่การประยุกต์ใชค้ วามรทู้ มี่ อี ยแู่ ละตดั สินใจทางเลือกทเ่ี หมาะสมสำหรับการ แกป้ ัญหานัน้ ๆ จะเหน็ ว่าการเรียนรูท้ ้งั สองแบบไม่ใชเ่ ป็นส่ิงเดยี วกัน แต่จะมคี วามสัมพันธก์ ันและเป็น กระบวนการที่ ตอ่ เน่อื งกัน ลักษณะสำคัญของการเรยี นรู้แบบ PBL รูปแบบของการจดั การเรียนร้แู บบการใชป้ ัญหาเป็นฐาน หรือ PBL มีลักษณะสำคญั ดังนี้ 1. ให้ผ้เู รียนเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี นร้อู ยา่ งแทจ้ รงิ (student-centered learning)
2. จดั ผเู้ รยี นเป็นกล่มุ ยอ่ ย ๆ ให้มจี ำนวนกล่มุ ละประมาณ 5–8 คน 3. ผสู้ อนทำหนา้ ท่ี เปน็ ผูอ้ ำนวยความสะดวก (facilitator) หรือผใู้ ห้คำแนะน า (guide) 4. ใชป้ ัญหาเปน็ ตัวกระตุ้น (ส่งิ เร้า) ให้เกดิ การเรยี นรู้
5. ลกั ษณะของปญั หาทีน่ ำมาใช้ ต้องมลี ักษณะคลมุ เครือ ไม่ชัดเจน มวี ธิ ีแก้ไขปญั หาได้ อยา่ ง หลากหลาย อาจมคี าตอบไดห้ ลายคำตอบ 6. ผู้เรยี นเป็นผแู้ ก้ปัญหาโดยการแสวงหาขอ้ มลู ใหม่ ๆ ด้วยตนเอง (self-directed learning) 7.การประเมินผล ใช้การประเมนิ ผลจากสถานการณ์จริง (authentic assessment) ดูจาก ความสามารถในการปฏบิ ตั ิของผู้เรียนในขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้(Learning process) และพิจารณาจาก ผลงานที่เกิดขน้ึ จากการเรียนรู้ (Learning product)
รูปแบบการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem–based Learning: PBL) จากการศึกษาผลงานวจิ ยั ด้านพัฒนาการเรยี นสอนท่ีใช้ PBL ทง้ั ในระดบั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐานและ ระดบั อุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่ีอาศยั ลกั ษณะส าคัญของการจดั การเรียนรู้แบบ PBL เปน็ กรอบในการออกแบบข้ันตอนการจัดการเรียนรพู้ บว่ามกี ารพัฒนารูปแบบการจดั การเรยี นรทู้ ี่แตกต่างกันตาม ขั้นตอนของกจิ กรรมการเรียนรู้ เรม่ิ จากรปู แบบพน้ื ฐานทม่ี ี7 ขั้นตอนหลกั แลว้ มีการปรับขยายหรอื เพมิ่ ขัน้ ตอนกจิ กรรมการเรยี นรจู้ นมถี งึ 11 ขน้ั ตอน ในท่ีนขี้ อเสนอ 4 รปู แบบคือ แบบ 7, 9, 10 และ 11 ข้นั ตอน เพ่ือให้ศึกษาความแตกต่างของแต่ละรูปแบบ จะไดเ้ ลอื กใช้ให้เหมาะสมกับระดับของผเู้ รยี นและ ลกั ษณะเฉพาะ ของเนื้อหาวิชาท่จี ะจัดการเรียนรดู้ ้วย PBL รปู แบบที่ 1 แบบ 7 ขนั้ ตอน ลักษณะสำคญั ของกิจกรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะขน้ั ตอนมดี งั นี้ 1. Clarifying unfamiliar terms กลมุ่ ผเู้ รียนทำความเข้าใจคำศพั ท์ ข้อความท่ีปรากฏอยู่ในปัญหา ให้ชดั เจน โดยอาศยั ความรู้ พ้นื ฐานของสมาชกิ ในกลมุ่ หรอื การศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสารตำรา หรือส่อื อ่ืนๆ 2. Problem definition กลุม่ ผู้เรยี นระบุปัญหาหรอื ขอ้ มลู สำคญั ร่วมกนั โดยทกุ คนในกลุม่ เข้าใจ ปญั หา เหตุการณ์ หรอื ปรากฏการณ์ใดที่กลา่ วถงึ ในปัญหานนั้
3. Brainstorm กลมุ่ ผูเ้ รียนระดมสมองวิเคราะหป์ ัญหาตา่ งๆ และหาเหตุผลมาอธิบาย โดยอาศยั ความรเู้ ดมิ ของ สมาชิกกลุม่ เป็นการช่วยกันคดิ อย่างมเี หตมุ ผี ล สรปุ รวบรวมความรู้และแนวคดิ ของกล่มุ เกย่ี วกับ กลไกการเกดิ ปญั หา เพื่อน าไปสู่การสรา้ งสมมติฐานทีส่ มเหตุสมผลเพอ่ื ใช้ แกป้ ญั หานน้ั 4. Analyzing the problem กลมุ่ ผเู้ รียนอธิบายและตง้ั สมมติฐานท่เี ชอื่ มโยงกันกบั ปญั หาตามทีไ่ ด้ ระดมสมองกนั แลว้ น าผลการ วิเคราะหม์ าจัดล าดบั ความส าคญั โดยใช้พน้ื ฐานความรู้เดิมของ ผเู้ รยี น การแสดงความคิดอยา่ งมี เหตผุ ล 5. Formulating learning issues กลุ่มผู้เรยี นกำหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ เพอ่ื ค้นหาขอ้ มูลทจี่ ะ อธิบายผลการวิเคราะห์ทีต่ ง้ั ไว้ ผเู้ รยี นสามารถบอกไดว้ า่ ความรู้ส่วนใดรู้แลว้ สว่ นใดต้องกลบั ไป ทบทวน ส่วนใดยังไมร่ หู้ รือจ าเป็นต้อง ไปค้นคว้าเพมิ่ เตมิ
6. Self-study ผเู้ รยี นค้นควา้ รวบรวมสารสนเทศจากสอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้ต่างๆ เพื่อพฒั นา ทกั ษะการเรยี นรู้ ด้วยตนเอง (Self-directed learning) 7. Reporting จากรายงานขอ้ มลู สารสนเทศใหม่ทไี่ ดเ้ ข้ามา กลุ่มผู้เรยี นนำมาอภปิ ราย วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตาม วตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตง้ั ไว้ แลว้ นำมาสรปุ เปน็ หลกั การและแนวทางเพื่อนำไปใชโ้ อกาส ตอ่ ไป
การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing)
การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็ นฐาน (Project Based Learning : PjBL) การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PjBL) เป็นวิธีการจดั การ เรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียน เป็นสาคญั วิธีหน่ึง ท่จี ะช่วยพฒั นาผูเ้ รียนท้งั ดา้ นความรู้และทกั ษะผ่าน กระบวนการศึกษาคน้ ควา้ และการ ใชค้ วามรู้ในชีวิตจริง ขบั เคลือ่ นผ่านกิจกรรมและการแกป้ ัญหา ที่ทา้ ทายร่วมกนั โดยมีผลงานท่แี สดงถงึ ศกั ยภาพและความสาเร็จของผู้ . สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ไดก้ าหนดนโยบายในการจดั อาชีวศกึ ษาเพื่อให้ สอดคลอ้ ง กบั พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษา พ.ศ. 2542 และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 ซ่ึงเน้นการปฏิรูป การศึกษาเพ่อื พฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาทุกระดบั และพระราชบญั ญตั ิ การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 ที่เนน้ การจดั อาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวชิ าชีพให้สอดคลอ้ งกบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตแิ ละแผนการศกึ ษาแห่งชาติ เพือ่ ผลติ ก าลงั คนที่มีสมรรถนะ วิชาชีพ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และ จรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถนาไปใชใ้ นการประกอบอาชีพไดต้ รง ตามความตอ้ งการของตลาดแรงงานที่ สอดคลอ้ งกบั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี หรือประกอบ อาชีพอสิ ระ เพอ่ื ให้การจดั การศกึ ษา ตอบสนองนโยบายดงั กลา่ ว สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ไดต้ ระหนกั ถงึ ความสาคญั ของการจดั การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ทม่ี ุ่งเนน้ ให้ผเู้ รียนเป็นผสู้ ร้างความรู้ ท่ีเป็นของตนเองข้ึนมา ท้งั จากความรู้เดิม หรือจากความรู้ที่รบั เขา้ มาใหม่ จึงน าไปสู่การปรบั วิธีเรียน เปลีย่ นวิธีสอนทคี่ รูตอ้ งปรบั บทบาทเป็นผอู้ านวยความสะดวก (Facilitator) ผเู้ รียนตอ้ งลงมือปฏิบตั ิ ดว้ ยตนเองและสร้างองคค์ วามรู้ท่ีเกิดจากการศกึ ษา คน้ ควา้ รวมท้งั มีส่วนร่วมในการเรียนมากยิ่งข้นึ โดยผา่ นการจดั การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-
based Learning: PjBL) ทเ่ี ป็นการ จดั การเรียนการสอนวิธีหน่ึงที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใชท้ กั ษะ กระบวนการเรียนรู้ท่ผี ูเ้ รียน ตอ้ งแสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการคิด และพฒั นาทกั ษะในการแกป้ ัญหา การจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจดั การเรียนรู้ทมี่ ีครูเป็นผกู้ ระตนุ้ เพ่อื นา ความสนใจทีเ่ กิดจากตวั นกั เรียนมาใชใ้ นการทากิจกรรมคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตวั นกั เรียนเอง นาไปสู่การเพ่มิ ความรู้ที่ไดจ้ ากการลงมอื ปฏบิ ตั ิ การฟังและการสงั เกตุจากผเู้ ชี่ยวชาญ โดยนกั เรียนมกี ารเรียนรู้ผ่าน กระบวนการทางานเป็นกลมุ่ ท่จี ะนามาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มกี ารเขยี นกระบวนการจดั ทาโครงงานและ ไดผ้ ลการจดั กิจกรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม (ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20) วธิ ีสอนแบบใชโ้ ครงงานเป็นนฐาน (Project Based Learning) การสอนแบบโครงงานเป็นการจดกั ารเรยี นการ สอนแบบหนงึ่ ท่ีสอดคลอง้ กบแั นวทางการจดั การศึกษาตามมาตรา 22 และ มาตรา 23 และใชพ้ ฒั นาวธิ ีการเรียนรูท้ าง ปัญญา (Intellectual strategy) เพอ่ื เกอื้ หนนุ ผเู้ รียนใหเ้ ขา้ ถึงตวั ความรู้ (Body of Knowledge)และความชา นาญ ทางดา้ นทกั ษะในส่งิ ทเี่ รียน (Body of Process) เพราะเป็นการสอนท่ีมงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ูด้ ว้ ยตนเอง สามารถคิดวิเคราะหอ์ ยา่่ งมีเหตผุ ล มีกระบวนการทา งานและทา งานรว่ มกบั ผอู้ ื่นไดโ้ ดยมีครูเป็นท่ีปรกึ ษาใหคา้ แนะนา และกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียน ได้ เรยี นรูเ้ ต็มศกั ยภาพ การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจดั การสอนท่ีจดั ประสบการณใ์ นการปฏิบตั ิงาน ใหแ้ กผ่ เู้ รียน เหมือนกบกั ารทางานในชีวติ จรงิ อย่างมรี ะบบ เพอื่ เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดม้ ีประสบการณไ์ ดเ้ รียนรูว้ ธิ ีการแกป้ ัญหา ทางว ทิยาศาสตรไ์ ดท้ าการทดลอง ไดพ้ สิ ทู รส์ งิ่ ตา่ ง ดว้ ยตนเอง รูจ้ กั การวางแผนการทา งาน ฝึกการเป็นผนู้ า ผตู้ ามตลอดจนได้ พฒั นากระบวนการคิดโดยเฉพาะการคิดขน้ ั สงู (Higher Order Thinking) และการประเมนิ ตนเอง
ประเภทของโครงงาน ประเภทของโครงงาน แบง่ ตามลกษั ณะของกิจกรรมได้ 4 ประเภท คอื 1. โครงงานประเภทสารวจ (Survey Research Project) 2. โครงงานประเภททดลอง (Experimental Research Project) 3. โครงงานประเภท ส่ิงประดิษฐ์(Development Research Project)
4. โครงงานประเภททฤษฎี (Theoretical Research Project)
การเรียนรู้ตลอดชีวติ (Lifelong Learning) Lifelong Learning หรือ การเรียนรู้ตลอดชีวติ เป็ นคาท่เี ราคงไดย้ ินกนั บอ่ ย ๆ ในยคุ น้ี โดยเฉพาะ ในช่วงหลงั ๆ น้นั กเ็ ป็นเพราะเราอยู่ในยคุ ทท่ี กุ อยา่ งรอบตวั เราน้นั ถกู เปลี่ยนแปลงและเคลอื่ นทไ่ี ปขา้ งหนา้ แบบเร็วสุด ๆ อยา่ งที่ไมเ่ คยเกิดข้ึนมาก่อน ความรู้เดิมท่ีเราเคยมีหรือส่ิงท่เี ราเคยทามา อาจจะไมส่ ามารถ นาพาเราไปขา้ งหนา้ ไดอ้ กี ตอ่ ไป คนทจ่ี ะสามารถกา้ วไปพร้อมกบั การเปล่ยี นแปลงทเ่ี กิดข้นึ ไดน้ ้นั จึงตอ้ งเป็นคนทม่ี นี ิสัยของการ เรียนรู้ตลอดชีวติ คาถามคอื แลว้ เราจะตอ้ งทาอยา่ งไร ผมไปอา่ นเจอบทความอนั หน่ึงจาก The World Economic Forum ที่ชื่อว่า Bill Gates and Benjamin Franklin share this learning habit เห็นว่ามีเน้ือหาท่ี น่าสนใจเลยหยิบมาเล่าให้ฟังครับ Lifelong Learning : เรียนรู้ตลอดชีวิต The World Economic Forum เคยตพี ิมพร์ ายงานฉบบั หน่ึงซ่ึงระบุว่าภายใน 2-3 ปี ต่อจากน้ีคนทอ่ี ยใู่ น ตลาดแรงงานท้งั หมด จะตอ้ งใชเ้ วลา 101 วนั ในการเรียนรู้เร่ืองใหม่ ๆ แตก่ ารเรียนรู้เร่ืองใหม่ ๆ ที่ว่าน้นั ไม่ไดห้ มายถงึ การเรียนรู้วิชาใหมเ่ ลยซะท้งั หมด แต่เป็นการเรียนรู้จากการทางานไปดว้ ย หรือเรียนเรื่อง บางอยา่ งเพอ่ื ทีจ่ ะรู้แบบพอประมาณ ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั การเรียนรู้เร่ืองใหมแ่ บบจริง ๆ ทมี่ ีกระบวนการใน การเรียนรู้ทอี่ อกจะค่อนขา้ งซบั ซ้อน และเป็นการเรียนรู้ศาสตร์หรือวิชาใหมเ่ ลย ถา้ เปรียบเทียบกเ็ หมือนกบั การเรียนเพอื่ สอบในมหาวทิ ยาลยั และในบทความน้ีเราจะมาพูดถึงส่วนน้ีกนั ครับ เป็นทรี่ ู้กนั ดีว่ามคี น จานวนหน่ึงทีไ่ มไ่ ดเ้ รียนอยใู่ นระบบการศึกษาแบบด้งั เดิม (traditional education) แตก่ ็ยงั คงประสบ ความสาเร็จอยา่ งสูงในสาขาวิชาชีพของเขา ต้งั แต่ Steve Job, Bill Gates, Ellen DeGeneres, Anna Wintour, Henry Ford, John D. Rockefeller และอกี มากมายหลายคน
หลงั จากเขาไปศกึ ษาประวตั ิของคนเหลา่ น้ี เขากพ็ บว่าคนกลุ่มน้ีมีสิ่งหน่ึงที่เหมอื นกนั ซ่ึงน้นั กค็ อื ความเป็น self-directed learners (คนทีส่ ามารถพาตนเองไปเรียนรู้เร่ืองใหม่ ๆ ไดด้ ว้ ยตวั เอง) อยา่ งทร่ี ู้กนั ดีวา่ ในทุกวนั น้ีความเป็น self-directed learners น้นั มีความจาเป็นอยา่ งมาก เพราะระบบการศกึ ษาของเราแต่ ก่อนกอ็ าจจะครอบคลมุ ประมาณหน่ึง แต่ในทุกวนั น้ีการเรียนในระบบเพียงอยา่ งเดียวกอ็ าจจะไมค่ รอบคลุม เสียแลว้ ใบบทความของ The World Economic Forum บอกไวว้ ่า “บางทีใบปริญญาทเ่ี ราเรียนมา ทนั ทีท่ี มหาวทิ ยาลยั พมิ พใ์ บจบการศกึ ษาใหก้ บั เรา เรื่องทเี่ ราเรียนมามนั กล็ า้ สมยั ไปแลว้ ” ในความเป็ นจริงผมคดิ วา่ เร่ืองน้ีมีส่วนจริงอยบู่ า้ ง แตก่ ็ไม่ใช่ท้งั หมด เพราะเวลาเราเรียนรู้เร่ืองใหม่ ๆ มนั ไม่ใช่การเรียนเร่ืองใหม่ ท้งั หมด แตม่ นั คือการเอาความรู้เก่ามาต่อยอดดว้ ย เพราะเหตนุ ้ีการเรียนรู้ในระบบปัจจบุ นั จึงยงั คงมี ประโยชนอ์ ยมู่ าก
คณุ ตอ้ งเป็นเจา้ ของกระบวนการเรียนรู้ท้งั หมดของคณุ การทค่ี ณุ จะเป็น self-directed learners ไดน้ ้นั คุณตอ้ งควบคุมตวั เองใหส้ ามารถเรียนรู้เร่ืองใหม่ ๆ ได้ และคุณ ตอ้ งเป็นเจา้ ของกระบวนการในการเรียนรู้ท้งั หมด (Take ownership of your learning) น้นั หมายความวา่ เรา ตอ้ งมคี วามเขา้ ใจถึงกระบวนการของความเป็น self-directed learners ซ่ึงกระบวนการที่ว่าน้นั มดี งั น้ีครับ 1. เรียนไดด้ ว้ ยตวั เอง โดยทไ่ี มต่ อ้ งใหใ้ ครมาเคีย่ วเข็ญ 2. วิเคราะห์ไดว้ า่ เราตอ้ งเรียนเร่ืองอะไร และเพราะอะไร 3. มีเป้าหมายที่ชดั เจน
4. ตอ้ งใชท้ รพั ยากรอะไรบา้ งในการเรียนรู้ เช่น ตน้ ทุนเวลาหรือค่าใชจ้ า่ ย 5. เลอื กกลยทุ ธใ์ นการเรียน เช่น เรียนผ่าน คอร์ส, สัมมนา, อา่ นหนงั สือ หรือท้งั หมด 6. ตอ้ งประเมินผลได้ ขอ้ น้ีสาคญั มาก Salman Khan ผูก้ ่อต้งั Khan Academy บอกวา่ จริง ๆ แลว้ การเรียนเองก็ไมไ่ ดแ้ ตกต่างจากการเรียน ในมหาวิทยาลยั หรือในโรงเรียนเท่าไหร่นกั มนั เป็นภาพลวงตาทเ่ี ราคิดว่าเวลาเรียนในมหาวทิ ยาลยั จะเป็น การเรียนรู้แบบทีม่ ีคนมาป้อนขอ้ มูลให้กบั เรา เพราะในความเป็นจริงการเรียนมหาวทิ ยาลยั เป็นการสร้าง บริบท (context) ที่ทาใหเ้ ราสามารถดึงเอาขอ้ มลู ออกมาใชไ้ ดม้ ากท่ีสุด ซ่ึงในจุดน้ีเองทีท่ าใหค้ นท่ีมีความเป็น self-directed learners น้นั แตกต่างจากคนทว่ั ไป คือคนกลมุ่ น้ี เขาสามารถสร้าง context ของการเรียนรู้ข้นึ มาไดโ้ ดยท่ีไม่ตอ้ งเพ่งิ มหาวิทยาลยั แลว้ วิธีการท่ีดีทีส่ ุดในการ สร้าง context ทจี่ ะทาใหเ้ ราสามารถเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งต่อเน่ืองน้นั ก็คอื การมี “Growth mindset” เพราะคนท่มี ี Growth mindset จะอยากทจ่ี ะเรียนรู้ เช่ือว่าทกุ อยา่ งพฒั นาได้ ไม่เก่งก็ฝึก ไม่รู้กต็ อ้ ง เรียนรู้ ซ่ึงจะแตกต่างจากคนทเ่ี ป็น Fixed Mindset เพราะคนท่ีเป็น Fixed Mindset จะเช่ือวา่ ทกุ อยา่ งบนโลก
น้ีถกู กาหนดมาไวห้ มดแลว้ คนน้นั เกง่ ก็เพราะเขาฉลาดอยแู่ ลว้ เราไมร่ ู้เร่ืองน้นั หรอกเพราะเราไม่ไดเ้ รียนมา หรือเราคงไมส่ ามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตวั เองหรอกมนั คงยากเกินไปสาหรบั เรา วธิ ขี องคนทีเ่ ป็ น Fixed Mindset โต้ตอบกบั เหตุการณ์ต่าง ๆ เหตุการณ์ วธิ ีโตต้ อบของคนทม่ี ี Fixed Mindset เวลาเจอความทา้ ทาย พยายามหลีกเล่ียง เพราะกลวั ลม้ เหลว และในมุมมองของคนทีม่ ี fixed mindset คน ทเ่ี ก่งจะตอ้ งไมล่ ม้ เหลว เมอ่ื เจออปุ สรรค ลม้ เลกิ ไดง้ ่าย วิธีคดิ เก่ียวกบั ความ ความพยายามทท่ี ุ่มเทไปคงไม่ช่วยเปล่ยี นอะไร พยายาม เมอ่ื เจอคาวิจารณ์ ไมช่ อบ/ไมส่ นใจ Feedback ที่เป็นคาติ รู้สึกไมด่ ี/รู้สึกถกู คุกคาม เม่อื เห็นความสาเร็จของผอู้ นื่ เมอ่ื เห็นคนอนื่ สาเร็จ วธิ ีของคนทเี่ ป็ น Growth Mindset โต้ตอบกับเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ
เหตกุ ารณ์ วธิ ีโตต้ อบของคนท่ีมี Growth Mindset ไม่เป็นไร อนั น้ีเรายงั ไมร่ ู้ แต่เราพร้อมทจี่ ะเรียนรู้เพม่ิ เวลาเจอความทา้ ทาย เป็นเรื่องธรรมดา และสูต้ ่อไป เมอื่ เจออุปสรรค เช่ือว่าความพยายามจะเป็นเคร่ืองมอื ท่จี ะนาพาตวั เองไปสู่ความสาเร็จ วธิ ีคดิ เกี่ยวกบั ความ ยอมรบั คาติ นามาวิเคราะห์ และพฒั นาปรบั ปรุงตวั เอง พยายาม มเี ร่ืองอะไรท่เี ราสามารถเรียนรู้ไดจ้ ากคนท่ีประสบความสาเร็จเหล่าน้ีไดบ้ า้ ง เมือ่ เจอคาวจิ ารณ์ เม่ือเห็นคนอืน่ สาเร็จ
การอาชีวศึกษาเพ่ือการเป็นผปู้ ระกอบการนวตั กรรม (Innopreneur College) ภาวะผปู้ ระกอบการและนวตั กรรม ที่วิทยาลยั การจดั การ มหาวิทยาลยั มหิดล เป็นชุมชนการเรียนรู้ ของผปู้ ระกอบการไทยท่ีจะกา้ วเขา้ สู่เศรษฐกิจใหม่ ทใี่ ชค้ วามคิดสร้างสรรค์ และนวตั กรรม เพื่อ ตอบสนองตอ่ การเปลี่ยนแปลงของสังคม ระบบการผลิต และสิ่งแวดลอ้ มของโลก สาขาน้ีไดถ้ ูก ออกแบบมา เพอ่ื พฒั นาระบบความคดิ ทางธุรกิจทีใ่ ชเ้ หตผุ ล การสร้างมมุ มองใหมใ่ หก้ บั ธุรกิจ และทกั ษะใน การจดั การธุรกิจท่จี าเป็นดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิ เมือ่ เริ่มธุรกจิ ส่ิงแรกทีจ่ ะต้องบอกให้ได้ก็คอื เราต้องรู้ว่าธุรกิจของเราขายอะไร หรือนาเสนออะไรให้ ลกู ค้า เรากาลังจะมอบอะไรให้กับธุรกิจ นอกจากน้ยี ังต้องรู้ว่าลูกค้าเราคือกลุ่มใดอกี ด้วย ความคิดธุรกิจเป็นแนวทางการกาหนดความเป็นไปของการดาเนินการท่ีควรจะตอ้ งไดร้ ับการ ยอมรบั จากกล่มุ ลกู คา้ เป้าหมายเสียกอ่ น เช่นความคิดของร้านสะดวกซ้ือแบบ Seven-Eleven ท่ีเร่ิมตน้ ดว้ ย แนวคิดงา่ ยๆที่ร้านจาหน่ายน้าเข็งเลก็ ๆแห่งหน่ึงท่ีมีเจา้ ของร้านชื่อ คุณลงุ จอหน์ เห็นว่าในวนั หยุดไปโบสถ์ ร้านคา้ ปิ ดร้านเป็นส่วนใหญ่ ชาวบา้ นโดยเฉพาะเดก็ ๆไมม่ ีอะไรรับประทานหรือหายากตอ้ งมกี ารเตรียมการ ยงุ่ ยาก และดว้ ยความคดิ น้ีจึงปรบั ร้านเดิมท่ีเป็นร้าน ขายเฉพาะน้าแขง็ เท่าน้นั จึงเร่ิมนาขนมปัง ไข่ เนย นม มาวางขายเพิ่มเพ่อื สร้างความสะดวกให้กบั ลูกคา้ และธุรกิจก็เติบโตมาไดด้ ว้ ยแนวคิด Business Concept ที่
จบั ช่องวา่ งกบั ความสะดวกน่ีแหละ หรือจะมองแนวคิดของนาฬกิ า Rolex ขายความแพง ความหรูหรา ความ รวย คนทซี่ ้ือยอมเสียเงนิ จานวนมากเพือ่ ซ้ือนาฬิกา Rolex ก็เพราะตอ้ งการใชเ้ ป็นเคร่ืองบง่ บอกฐานะของตน และแนวคดิ ทจ่ี ะสร้างนาฬกิ าทีไ่ มไ่ ดบ้ อกเวลาแต่บง่ บอกถึงความสาเร็จของผสู้ วมใส่ จากธุรกิจนาฬกิ า กลายเป็นธุรกิจแห่งความสาเร็จ แนวคิดทางธุรกิจแบบน้ีจะเป็นรากฐานในการดาเนินการในธุรกิจ ทาให้ ลกู คา้ เขา้ ใจว่าจะไดอ้ ะไรท้งั ทางตรงทางออ้ มจากสินคา้ น้นั ๆ ทาใหธ้ ุรกิจเขา้ ใจตนเองวา่ จะเดินไปอยา่ งไร อะไรคอื จดุ เขง็ ของตนเอง รู้ตาแหน่งของสินคา้ ถา้ หากวา่ จะตอ้ งมาวางว่าธุรกิจของเราในลกั ษณธุรกิจคา้ ปลกี ที่ถงึ ตวั ผบู้ ริโภคโดยตรงจะมีอะไรเป็น แนวคดิ ทางธุรกิจทเ่ี ป็นจดุ ยืน กอ็ าจจะมองหลกั การ 3 แบบดงั น้ี คือ การจดั กลมุ่ ที่เนน้ ความสะดวก เนน้ ความสาคญั ของสินคา้ และเนน้ แนวทางการปฏิบตั ิให้บริการลกู คา้
คณุ ค่าด้านความสะดวก (Convenience Value) คือ การให้บริการที่เนน้ ความสะดวกให้กบั ลกู คา้ เป้าหมาย ตวั อยา่ งเช่น McDonald เนน้ การบริการท่รี วดเร็ว หรือ Seven-Eleven มีแนวคดิ เบ้ืองตน้ จากแนว concept คือ เป็นร้านเสมอื นหน่ึงเป็น “ ตูเ้ ยน็ ของคนจน” เม่อื บอกแนวคิดกจ็ ะเห็นกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจได้ อยา่ งดี รวมถงึ เห็นแนวทางการให้บริการ รูปแบบของสินคา้ ไดช้ ดั เจน แนวความคิดเหลา่ น้นั จะบอกถงึ วธิ ีการบริหารรูปแบบร้านของแตล่ ะธุรกิจ การกาหนดกลมุ่ เป้าหมาย การวางรูปแบบสินคา้ แมก้ ระทง่ั ระบบ การปฏิบตั ิงาน ร้านสะดวกซ้ือดงั กลา่ วจึงเนน้ กลมุ่ ลูกคา้ ระดบั ลา่ ง ระดบั กลาง สินคา้ ทีจ่ าหน่ายก็เป็นขนาด เล็ก ราคาไมแ่ พง ร้านเปิ ดตลอดเวลา และไม่จาเป็นตอ้ งมีทจ่ี อดรถเนน้ ลกู คา้ ทเ่ี ดินมาซ้ือสินคา้ นอกจากน้ียงั มเี ร่ืองของทาเล Location กเ็ กี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองของความสะดวก เช่น ร้านอาหาร Fast Food จะตอ้ งวาง ตาแหน่งให้ร้านของตนเป็ นร้านที่สะดวกซ้ือและรวดเร็วจริ งๆ คุณค่าด้านผลติ ภัณฑ์ (Product Value) คอื การสร้างความแตกตา่ ง(Diffenciate) ให้กบั สินคา้ และ บริการ สาหรับธุรกิจอาหารเร่ืองความแตกตา่ งของผลิตภณั ฑ์คงเป็นเรื่องยาก ดงั น้นั ธุรกิจอาหารจะตอ้ งสร้าง ความแตกต่างคือ “Something to talk” คือ บางสิ่งบางอยา่ งทที่ าให้ส่ิงน้นั มเี รื่องราว ประวตั ิท่นี ่าสนใจ การ สร้างจดุ เด่นที่ทาให้เกิดความรู้สึกท่ีดีต่อการซ้ือสินคา้ ของลกู คา้ ข้ึนมา
ตวั อยา่ งเช่น ร้านซาลาเปา หมนั โถวร้านหน่ึง ท่จี ะสร้างความแตกต่างของการสร้างเร่ืองราวท่ี กลา่ วถึงประวตั ิความเป็นมาของสินคา้ ตวั เอง การสร้างเร่ืองโดย มีป้ายตดิ หนา้ ร้านเลา่ ประวตั ิ วา่ “หมนั โถว เกิดข้ึนมาต้งั แต่สมยั 3 ก๊ก นบั เน่ืองจากขงเบง้ ยกทบั ไปรบกบั เบง้ เฮ็ก (คนไทยด้งั เดิม)” การเล่าเร่ืองที่มีลลี า น่าสนใจจบั เอาประเดน็ ให้เห็นความเช่ียวชาญเอาใจใส่ของร้านท่ีนาสินคา้ ท่ีเป็นหมน่ั โถมาเป็นสินคา้ หลกั และการเล่าเรื่องก็มปี ระวตั ิบรรยายที่มาของหมนั โถววา่ “เมอื่ สมยั ขงเบง้ ยกทบั ไปรบกบั เบง้ เฮก๊ เม่ือรบชนะ กาลงั จะยกทพั กลบั ขา้ มแม่น้าสาละวนิ ก็เกิดพายใุ หญ่ ทีเ่ กิดจากอทิ ธฤทธ์ิของชนชาวม่าน เนื่องจากขงเบง้ ฆา่ ชาวม่านจากสงครามไวม้ าก มกี ารลองใจขงเบง้ ข้ึนว่าจะนบั ชาวมา่ นเป็นประชาชนของตนจริงหรือไม่จึงมี การแสร้งทานายว่าจะตอ้ งแกเ้ คล็ดดว้ ยการตดั หัวชาวมา่ น 49 หัวมาเซ่นสงั เวย ดว้ ยความเมตตาและความ ฉลาดของขงเบง้ จึงแกไ้ ขดว้ ยการนาแป้งมาป้ันเป็นกอ้ นแทนหัวคน แลว้ จึงเซ่นสังเวย นี่เป็นท่มี าของคาว่า ม่านโถวทีแ่ ปลวา่ หวั ชาวม่าน และมาเรียกกนั วา่ หมนั โถว นน่ั เอง เรื่องราวแบบน้ีน่ีเองทที่ าใหผ้ ูท้ ี่เขา้ มาใน ร้านไดอ้ า่ นและสร้างความสนใจในตวั สินคา้ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว เรื่องราวท่ีบอกกลา่ วเลา่ ความเป็นมา เล่า แนวความคิดของร้าน พดู ถึงคณุ ภาพทจี่ บั ตอ้ งไดข้ องสินคา้ ทีน่ าเสนอ เร่ืองราวเหล่าน้ีสร้างภาพในการรับ บริการจากผบู้ ริโภคที่เริ่มเนน้ การบริโภคท่ีตอ้ งแฝงดว้ ยแนวคิดหรือ ไดร้ ับประสบการณ์ไปดว้ ย คุณค่าด้านการปฏบิ ตั ิ (Business – Behavior Value) เป็นส่วนเสริมทจี่ ะทาใหอ้ งคป์ ระกอบคุณค่า ดา้ นอน่ื ๆ สมบูรณ์ โดยเป็นดา้ นการควบคุมบคุ ลากร การฝึกอบรมพนกั งาน เช่น ร้านSeven-Eleven พนกั งาน จะถกู ฝึกว่าเม่อื มลี กู คา้ เขา้ มาในร้านตอ้ งกล่าวคาวา่ “ สวสั ดีคะ/ครับ” หรือเม่อื ลูกคา้ ออกจากร้านกก็ ลา่ วคาวา่ “ขอบคุณคะ่ /ครับ” รูปแบบของการปฏบิ ตั ิท่จี ะใหก้ บั ลกู คา้ คอื สิ่งทีห่ มายถงึ ในหัวขอ้ น้ี รวมถึงวิธีการ ใหบ้ ริการกบั ลูกคา้ ดว้ ย
ตวั อยา่ งพนกั งานขายท่ีประสบความสาเร็จในการขาย เธอมีชื่อวา่ “วิกตอเรีย” เป็นพนกั งานขายของ ร้านPRADA เธอสามารถทายอดขายไดม้ ากถึงปีละ 1 ลา้ นเหรียญ พนกั งานขายแตล่ ะคนจะบนั ทกึ ประวตั ิ ของลกู คา้ ไว้ ต้งั แต่วนั เกิด หรือขอ้ มูลเล็กนอ้ ยเช่นชอบสีอะไรเป็นพิเศษ ซ้ือสินคา้ อะไรในคร้งั ลา่ สุด การที่ สามารถรู้รายละเอียดสาคญั ของลกู คา้ กเ็ พื่อเป็นแสดงว่าเราใหค้ วามใส่ใจกบั ลกู คา้ เป็นการสร้างใหเ้ กิด บรรยากาศทีด่ ีดว้ ยวิธีการทกั ทายทเ่ี หมาะสมและสร้างความเป็นกนั เองเหมาะสมกบั ธุรกิจน้นั ๆ และเกิดความ แตกตา่ งในการให้บริการทดี่ ีกวา่ สาหรบั ธุรกิจ การทางานของวคิ ตอเรีย มกี ารตดิ ตามให้ขา่ วสาร การเย่ยี ม เยยี น จดจาวนั สาคญั ของลูกคา้ ไวอ้ ยา่ งเป็นธรรมชาติ ดงั น้นั การทีจ่ ะมียอดขายขนาดน้นั ก็ตอ้ งทางานหนกั เหมอื นกนั รูปแบบการปฏิบตั ิอาจจะมองงา่ ยๆ เช่น ร้านที่เป็นร้านญี่ป่ นุ ก็ตอ้ งมกี ารบริการทกั ทาย แบบญป่ี ่ ุน กนั ถา้ แบบจีน หรือไทยกต็ อ้ งสร้างบรรยากาศให้เกิดดว้ ย น้ีคือ คณุ ค่าในการปฏบิ ตั ิอยา่ งง่ายท่เี ห็น ได้ รูปแบบการทางานของพนกั งานจะสร้างความประทบั ใจ และทาใหแ้ สดงถึงแนวคดิ ธุรกิจของร้านได้ อยา่ งดี การสร้างความแตกตา่ งดว้ ยแนวคิดดา้ นน้ีจะตอ้ งมกี ารศกึ ษา และปรับปรุงอยเู่ สมอ และอยา่ สร้าง วิธีการให้เป็นเพียงกระแสแฟชน่ั เพราะการสร้างวิธีการการปฏบิ ตั ใิ ดข้นึ มา ลูกคา้ จะจดจาเป็นมาตรฐานทีจ่ ะ คาดหวงั ว่าจะไดร้ บั ถา้ มกี ารเปลีย่ นแปลงลดนอ้ ยลงทาใหผ้ ดิ การคาดหวงั ถอื ว่าเป็น การลดคณุ ภาพไป การทาความเขา้ ใจถึงการนาเสนอสิ่งใดของธุรกิจน้นั ก็คือบทเรียนบทแรกที่ฦธุรกิจทุกธุรกิจตอ้ ง เขา้ ใจและสอบผ่านใหไ้ ดเ้ สียกอ่ น การทาธุรกิจการคา้ โดยไมเ่ ขา้ ใจวา่ เรากาลงั เสนออะไรให้กบั ลกู คา้ น้นั ไมไ่ ดเ้ สี่ยงเฉพาะเจา้ ของกิจการเท่าน้นั แตค่ นกินคนใชก้ ็เส่ียงดว้ ยเพราะเมอ่ื ใดตอ้ งมาใชส้ ินคา้ หรือบริการ แลว้ ก็ยบั งงไม่แน่ใจตวั เองซกั ที วา่ สิ่งที่ตวั เองคดิ ตวั เองอยากไดน้ ้นั จะไดจ้ ากร้านคา้ ท่ีทาการคา้ อยหู่ รือ เปลา่ ผูซ้ ้ือก็วง่ิ ไลจ่ บั สิ่งทต่ี วั เองตอ้ งการ ผขู้ ายกไ็ ล่จบั สิ่งที่ลกู คา้ ตอ้ งการแต่หากนั ไม่เจอเสียที อยา่ งน้นั วนั น้ี ไมว่ า่ ธุรกิจเกา่ หรือใหม่กต็ ามคงตอ้ งมองตวั เองซกั ทีวา่ วนั น้ีเราขายอะไรกนั แน่ แลว้ หาทางตอบใหไ้ ดช้ ดั เจน สมกบั เป็นนกั คา้ นกั ขายในยคุ สมยั ใหมก่ นั เสียที อยา่ รอใหค้ นอื่นมาสะกิดแขนกอ่ นเลยครบั อายเขา…แยอ่
การอาชีวศึกษาเพ่ือทกั ษะอนาคต (Future Skill College) แพลตฟอร์มการเรียนออนไลนส์ าหรบั ทกั ษะแห่งอนาคต. curve_top ... คอร์สเรียนออนไลนท์ ด่ี ีทส่ี ุด ครอบคลมุ ทกุ ทกั ษะสาคญั เพ่ือเตรียมความพร้อมสาหรบั ทศวรรษน้ี. tech_icon. คาทีข่ าดไป: อาชีวศกึ ษา College) การจดั การศกึ ษาระบบทวิภาคี การจดั การศึกษาระบบทวิภาคี หรือเรียกเป็นภาษาองั กฤษวา่ Dual Vocational Training(DVT) เป็น การจดั การการศึกษาทเี่ นน้ ใหผ้ ูเ้ รียนวิชาชีพไดม้ ีโอกาสฝึกงานภาคปฏบิ ตั ใิ นสถานประกอบการจริงเป็น ความร่วมมอื ระหวา่ งสถานศึกษาและสถานประการเพ่อื ให้ผทู้ ี่จบการศกึ ษาออกไปเป็นช่างเทคนิคและช่าง ชานาญงานเตม็ รูปแบบ ดงั น้นั ผูเ้ รียนจะมีเวลาเรียน แนวทางปฏบิ ตั ิการจดั การอาชีวศกึ ษาระบบทวิภาคี กรอบความคิด
ส านกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ด าเนินการจดั การศกึ ษาดา้ นอาชีวศึกษา ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และพระราชบญั ญตั กิ ารอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงมี รายละเอียด ดงั น้ี พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๐การอาชีวศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จดั ในสถานศกึ ษาของรัฐ สถานศกึ ษา ของเอกชน สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหวา่ ง สถานศกึ ษา กบั สถานประกอบการ ท้งั น้ีให้ เป็นไปตามกฎหมายว่าดว้ ยการอาชีวศึกษาและกฎหมายทเ่ี ก่ียวขอ้ ง พระราชบญั ญตั กิ ารอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘ การจดั การอาชีวศกึ ษาและการฝึกอบรมวชิ าชีพให้จดั ได้ โดยรูปแบบ ดงั ต่อไปน้ี (๑) การศกึ ษาในระบบ เป็นการจดั การศกึ ษาวชิ าชีพท่ีเนน้ การศกึ ษาในสถานศกึ ษาอาชีวศกึ ษาหรือสถาบนั เป็นหลกั โดยมีการก าหนดจุดมงุ่ หมาย วิธีการศึกษา หลกั สูตร ระยะเวลาการวดั และการประเมนิ ผลทีเ่ ป็น เงื่อนไขของการส าเร็จการศึกษาทแี่ น่นอน (๒) การศึกษานอกระบบ เป็นการจดั การการศึกษาวิชาชีพท่ีมคี วามยืดหยนุ่ ในการก าหนด จุดม่งุ หมาย รูปแบบ วิธีการศกึ ษา ระยะเวลา การวดั และการประเมนิ ผลท่ีเป็นเง่ือนไขของการส าเร็จการศึกษา โดย เน้ือหาและหลกั สูตรจะตอ้ งมคี วามเหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหาและความตอ้ งการของบคุ คลแต่ ละกลมุ่ (๓) การศกึ ษาระบบทวิภาคี เป็นการจดั การศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากขอ้ ตกลงระหว่าง สถานศกึ ษาอาชีวศึกษา หรือสถาบนั กบั สถานประการ รฐั วสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐในเรื่อง การจดั หลกั สูตรการเรียนการสอน การวดั และการประเมนิ ผล โดยผเู้ รียนใช้เวลาส่วนหน่ึงใน สถานศึกษาอาชีวศกึ ษาหรือสถาบนั และเรียน ภาคปฏบิ ตั ใิ นสถานประกอบการ รฐั วสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการผลติ และพฒั นาก าลงั คน สถานศกึ ษาอาชีวศกึ ษาหรือสถานบนั สามารถจดั การศกึ ษา ตามวรรคหน่ึงในหลายรูปแบบรวมกนั ก็ได้ ท้งั น้ี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั น้นั ตอ้ ง มุ่งเนน้ การจดั การศกึ ษาระบบทวิภาคเี ป็นส าคญั มาตรา ๙ การจดั การอาชีวศกึ ษาและการฝึกอบรมวชิ าชีพตามมาตรา ๖ มาตรา ๗ และมาตรา ๘ใหจ้ ดั ตาม หลกั สูตรทคี่ ณะกรรมการการอาชีวศกึ ษาก าหนด ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (๒) ประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั สูง (๓) ปริญญาตรีสาขาสายเทคโนโลยหี รือสายปฏิบตั กิ าร คณะกรรมการการอาชีวศึกษาอาจก าหนดหลกั สูตรที่จดั ข้ึนเพื่อความรู้ หรือทกั ษะในการ ประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อ ซ่ึงจดั ข้ึนเป็นโครงการหรือส าหรบั เป้าหมายเฉพาะได้ ค านิยามศพั ท์
Search