Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดทำแผนการสอนวิชาภาษาไทย ม.ปลาย

การจัดทำแผนการสอนวิชาภาษาไทย ม.ปลาย

Published by bandun252817, 2020-06-12 04:30:57

Description: การจัดทำแผนการสอนวิชาภาษาไทย ม.ปลาย

Search

Read the Text Version

๔. ยอ่ บนั ทกึ เหตุการณ์(จดหมายเหต)ุ การเขียนเรียงความ การเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรยี งความ เป็นงานเขยี น รอ้ ยแก้ว ชนิดหนง่ึ ทผ่ี เู้ ขยี นมงุ่ ถา่ ยทอดเร่อื งราว ความรู้ ความคดิ และทศั นคตใิ นเรอ่ื งใดเร่อื งหนึ่ง ดว้ ยถอ้ ยคาสานวนทเี่ รยี บเรยี งอยา่ งมลี าดบั ขนั้ และสละสลวย องคป์ ระกอบของเรียงความ มี ๓ สว่ นใหญ่ ๆ คอื คานา เป็นสว่ นแรกของเรยี งความ ทาหน้าทเ่ี ปิดประเดน็ ดงึ ดูดความสนใจ พถิ พี ถิ นั คานงึ ถงึ เรอ่ื งทต่ี นจะ เขยี น เนน้ ศลิ ปะในการใชภ้ าษา การเขยี นคานา ควรยึดแนวทางต่อไปนี้ 1. ไมย่ ดื ยาด เยนิ่ เยอ้ 2. ไมค่ วรกล่าวถงึ สงิ่ ทไ่ี มเ่ ก่ยี วกบั เน้ือเร่อื ง 3. ไมค่ วรซา้ กบั สว่ นสรุปหรอื ความลงทา้ ย 4. อาจหาคาคม สานวน สุภาษติ หรอื บทกวที ไี่ พเราะและเก่ยี วกบั เน้ือเรอ่ื งมาเป็นคานากไ็ ด้ เนื้อเรือ่ ง เป็นสว่ นสาคญั และยาวทส่ี ุดของเรยี งความ ประกอบดว้ ย ความรู้ ความคดิ และขอ้ มูลทผ่ี เู้ ขยี น คน้ ควา้ และเรยี บเรยี งอยา่ งเป็นระบบ ระเบยี บ การเขยี นเน้ือเร่อื งเป็นการขยายความในประเดน็ ต่าง ๆ ตาม โครงเร่อื งทว่ี างไวล้ ่วงหนา้ แลว้ ในการเขยี นอาจมกี ารยกตวั อยา่ ง การอธบิ าย การพรรณนา หรอื ยกโวหาร ตา่ ง ๆ มาประกอบดว้ ย โดยอาจจะมยี อ่ หน้าหลายย่อหนา้ กไ็ ด้ การเขียนเน้ือเรื่องควรยึดแนวทางต่อไปนี้

1.ความถกู ตอ้ ง แจ่มแจง้ สมบูรณ์ ผอู้ า่ นสามารถเขา้ ใจเจตนารมณ์ของผเู้ ขยี นไดเ้ ป็นอย่างดี ซง่ึ เรยี กวา่ มสี ารตั ถภาพ 2.ใจความสาคญั แต่ละยอ่ หน้า จะต้องมเี พยี งใจความเดยี ว ไมอ่ อกนอกเร่อื ง สบั สน วกวน ซ่งึ เรยี กวา่ มเี อกภาพ 3.เน้ือหาในแต่ละย่อหนา้ จะตอ้ งมคี วามสมั พนั ธ์เกย่ี วเน่ืองกนั โดยตลอด ยอ่ หนา้ ทมี่ าหลงั จะตอ้ ง เก่ยี วเน่ืองสมั พนั ธก์ บั ยอ่ หน้าทมี่ าก่อน ซง่ึ เรยี กวา่ มสี มั พนั ธภาพ สรปุ เป็นส่วนสดุ ทา้ ย หรอื ย่อหนา้ สดุ ทา้ ยในเรยี งความแต่ละเร่อื ง ผเู้ ขยี นจะทง้ิ ทา้ ยใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความ ประทบั ใจ สอดคลอ้ งกบั เรอ่ื งทเ่ี ขยี น กระชบั รดั กุม ซง่ึ การเขยี นสรุปมหี ลายวธิ ี เช่น ฝากขอ้ คดิ และความ ประทบั ใจใหผ้ อู้ า่ นยา้ ความคดิ สาคญั ของเรอ่ื ง ชกั ชวนใหป้ ฏบิ ตั ติ าม ใหก้ าลงั ใจแกผ่ อู้ ่าน ตงั้ คาถามทชี่ วน ใหผ้ ผอู้ า่ นคดิ หาคาตอบ และยกคาพูด คาคม สุภาษติ หรอื บทกวที น่ี ่าประทบั ใจ เป็นต้น การเขยี นสรุปควร ยดึ แนวทางตอ่ ไปน้ี 1. เขยี นสนั้ ๆ ไมเ่ ยน่ิ เยอ้ (ความยาวควรจะเท่า ๆ กบั คานา) 2. อาจสรุปโดยการออ้ นวอน เชญิ ชวนหรอื แสดงความคดิ เหน็ 3. ควรหลกี เลย่ี งคาขออภยั หรอื คาออกตวั ว่าผเู้ ขยี นไมม่ คี วามรู้ 4.ไม่ควรเสนอประเดน็ ใหมเ่ ขา้ มาอกี ขนั้ ตอนการเขยี นเรียงความ การเลือกเรอ่ื ง หากจะต้องเป็นผเู้ ลอื กเร่อื งเองแลว้ ควรเลอื กตามความชอบ หรอื ความถนดั ของตนเอง การคน้ คว้าหาขอ้ มลู อาจทาไดโ้ ดยการคน้ ควา้ จากหนงั สอื นติ ยสาร วารสาร อนิ เทอรเ์ นต็ หรอื สอ่ื อน่ื วางโครงเรอื่ ง เม่อื ไดห้ วั ขอ้ เรอ่ื งแลว้ ต้องวางโครงเรอ่ื ง โดยคานงึ ถงึ การจดั การ จดั ลาดบั หวั ขอ้ เร่อื งทจี่ ะเขยี นให้ สมั พนั ธ์ ตอ่ เน่ืองกนั เชน่ 1. จดั ลาดบั หวั ขอ้ ตามเวลาทเี่ กดิ 2. จดั ลาดบั หวั ขอ้ จากหน่วยเลก็ ไปสูห่ น่วยใหญ่ 3. จดั ลาดบั ตามความนยิ ม โครงเรอ่ื งของงานเขยี นควรจดั หมวดหม่ขู องแนวคดิ สาคญั เพอ่ื เป็นแนวทางในการเขยี น โครง เร่อื งเปรยี บเสมอื นแปลนบา้ น ผสู้ รา้ งบา้ นจะตอ้ งใชแ้ ปลนบา้ นเป็นแนวทางในการสรา้ งบา้ น การเขยี นโครง

เรอ่ื งจงึ มคี วามสาคญั ทาใหผ้ เู้ ขยี นเรยี งความเขยี นไดต้ รงตามจดุ ประสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ ถ้าไม่เขยี นโครงเรอ่ื งหรอื ไม่ วางโครงเร่อื ง เรยี งความอาจจะออกมาไมต่ รงตามทผ่ี เู้ ขยี นต้องการ การเรยี บเรียง ตามรูปแบบของเรยี งความ ตามองคป์ ระกอบ คานา เน้อื เร่อื ง และสรปุ (บางคนอาจเขยี นคานา หลงั สุดกไ็ ด้ เพอ่ื หลกี เลยี่ งเน้ือหาทซ่ี า้ ซ้อน) ลกั ษณะของเรยี งความทด่ี ี นอกจากต้องมอี งคป์ ระกอบครบทงั้ ๓ สว่ น คอื คานา เน้ือเรอ่ื ง และสรปุ แลว้ ยงั ต้องมลี กั ษณะ ดงั น้ีอกี ดว้ ย เอกภาพ คอื ในแตล่ ะยอ่ หน้า ความคดิ สาคญั ต้องมเี นอ้ื หาไปในทศิ ทางเดยี วกนั กบั หวั ขอ้ เรอ่ื ง สมั พนั ธภาพ คอื ต้องมเี น้ือหาเกย่ี วเน่ืองสมั พนั ธก์ นั ตลอดทงั้ เร่อื ง โดยจะตอ้ งมกี ารวางโครงเร่อื งทดี่ ี จดั ลาดบั ย่อหน้าอยา่ งมรี ะบบระเบยี บ เรยี บเรยี งดว้ ยคาเชอ่ื มทเ่ี หมาะสม สารตั ถภาพ คอื มเี น้ือหาสาระทส่ี มบรู ณต์ ลอดทงั้ เรอ่ื งโดยในแต่ละย่อหน้า ประโยคสาคญั ตอ้ งชดั เจน ประโยค ขยายมนี ้าหนกั เชอ่ื ถอื ได้ ถกู ตอ้ งตามขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื ชว่ ยเน้นยา้ ใหป้ ระโยคใจความสาคญั มคี วามสมบรู ณ์ ยงิ่ ขน้ึ การเขียนคาขวญั คาขวญั คอื ขอ้ ความสนั้ ๆ เขยี นดว้ ยถอ้ ยคาทเี่ ลอื กสรรเป็นพเิ ศษเพ่อื ใหป้ ระทบั ใจผฟู้ ัง จูงใจใหค้ ดิ หรอื ปฏบิ ตั ปิ ระโยชน์ของคาขวญั คอื ใชเ้ ป็นเครอ่ื งเตอื นใจใหป้ ฏบิ ตั ติ าม องคป์ ระกอบของคาขวญั มี ๓ สว่ น คอื ๑. ความมุ่งหมายหรอื แนวคดิ ๒. ขอ้ ความหรอื เน้ือหา ๓. ศลิ ปะแหง่ การใชถ้ อ้ ยคา องคป์ ระกอบทงั้ ๓ สว่ นน้ี จะประสมกลมกลนื กนั ในตวั คาขวญั นัน้ อยา่ งเหมาะสม ลกั ษณะของคาขวญั ทดี่ ี ๑. มเี จตนาทดี่ ี ต่อผฟู้ ัง ผปู้ ฏบิ ตั หิ รอื ผลประโยชน์ของส่วนรวม เชน่ คาขวญั เชญิ ชวนงดการสูบบหุ ร่ี คาขวญั เชญิ ชวนใหป้ ระหยดั น้า ประหยดั ไฟ ฯลฯ ๒. มเี ป้าหมายชดั เจนเพยี งเป้าหมายเดยี ว เช่น เพ่อื ใหเ้ คารพกฎจราจรหรอื เพ่อื ใหช้ ่วยรกั ษาความ สะอาดของถนน ฯลฯ ๓. มเี น้ือหาครอบคลมุ เป้าหมาย ๔. ไพเราะ สมั ผสั คลอ้ งจอง มพี ลงั โน้มนา้ วใจผฟู้ ังใหจ้ าและปฏบิ ตั ติ าม

ขนั้ ตอนในการเขยี นคาขวญั คาขวญั ทดี่ ตี อ้ งเป็นขอ้ ความสนั้ ๆ ไพเราะมพี ลงั ในการโนม้ นา้ วใจผฟู้ ัง เขยี นครอบคลมุ เป้าหมายทก่ี าหนดไว้ อย่างชดั เจน มขี นั้ ตอนดงั น้ี ๑. ขนั้ เตรยี ม ๑. ๑ กาหนดจดุ มงุ่ หมายใหช้ ดั เจนว่าจะใหผ้ ฟู้ ังคดิ หรอื ปฏบิ ตั เิ ร่อื งอะไร อย่างไร ๑. ๒ กาหนดกล่มุ ผใู้ ชค้ าขวญั ว่าเป็นคนกล่มุ ใด เช่น คาขวญั สาหรบั เดก็ ต้องเขยี นใหง้ ่ายกวา่ คาขวญั สาหรบั ผใู้ หญ่ ๑. ๓ ศกึ ษาหาความรเู้ ก่ยี วกบั เร่อื งทจ่ี ะเขยี นคาขวญั ๒. ขนั้ ลงมอื เขยี น ๒. ๑ เรยี บเรยี งขอ้ ความทจี่ ะเขยี นเป็นรอ้ ยแก้ว ใหม้ เี น้ือหาครอบคลุมเป้าหมายทก่ี าหนดไว้ ๒. ๒ เรยี บเรยี งขอ้ ความในขอ้ ๔ ๒ ๑ ใหเ้ ป็นขอ้ ความทม่ี สี มั ผสั และมถี อ้ ยคาทม่ี พี ลงั โนม้ นา้ วใจ โดยลอง เขยี นดูหลาย ๆ ขอ้ ความแลว้ พจิ ารณาตดั ขอ้ ความทไ่ี มเ่ หมาะสมออกไป จนเหลอื ขอ้ ความทพ่ี อใจประมาณ ๓-๔ ขอ้ ความ ๒. ๓ เลอื กขอ้ ความทดี่ ที สี่ ุดเอาไวใ้ ช้ ๓. ขนั้ ตรวจทาน นาคาขวญั ทไ่ี ดม้ าพจิ ารณาตรวจทานการใชค้ าทถ่ี กู ต้องตามความหมายและ ความนยิ ม และการเขยี นสะกดการนั ต์

แบบทดสอบย่อยครัง้ ที่ 4 รายวิชาภาษาไทย (พท31001) ระดบั ม.ปลาย บทท่ี 4 การเขยี น 1. การเขียนคือ ตอบ .................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ............................... 2. ใหน้ กั ศึกษาบอกหลกั การเขยี นท่ดี ีมา 5 ข้อ ตอบ ....................................................................................................................................................................... ............. .................................................................................................................................................................................... 3. งานเขยี นในภาษาไทยมกี ่ีรปู แบบ อะไรบ้าง ตอบ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... 4. จดหมายราชการ คือ ตอบ ............................................................................................................................. ....................................................... ................................................................................................................................................................................... . .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................................

5. ประกาศ หมายถงึ ตอบ .................................................................................................................................. .................................................. .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................ .................................................................... ............................................................................................................................. .......................................................

เฉลยแบบทดสอบย่อยครัง้ ท่ี 4 รายวิชาภาษาไทย (พท31001) ระดบั ม.ปลาย บทที่ 4 การเขยี น 1. การเขยี นคือ ตอบ การแสดงความรู้ ความคดิ อารมณ์ความรสู้ ึกและความตอ้ งการของผูส้ ง่ ออกมาเป็นลายลักษณอ์ ักษร เพื่อให้ ผูร้ บั สารอ่านเขา้ ใจไดร้ บั ความรู้ความคิด อารมณ์และความตอ้ งการต่าง ๆ เหล่านน้ั 2. ใหน้ ักศกึ ษาบอกหลกั การเขียนที่ดมี า 5 ข้อ ตอบ 1.เขียนตวั หนังสือชัดเจน อา่ นง่าย เป็นระเบียบ 2.เขยี นได้ถกู ต้องตามอักขรวธิ ี 3.เลอื กใชถ้ ้อยคำได้ เหมาะสม 4.เลือกใชส้ ำนวนภาษาได้ไพเราะเหมาะสมกบั ความรู้ 5.เขยี นในสงิ่ สร้างสรรค์ ไมเ่ ขยี นในสงิ่ ทจ่ี ะสรา้ งความ เสยี หาย 3. งานเขียนในภาษาไทยมีกรี่ ปู แบบ อะไรบา้ ง ตอบ 2 รปู แบบ คือ 1.งานเขียนร้อยแกว้ 2.งานเขยี นรอ้ ยกรอง 4. จดหมายราชการ คอื ตอบ จดหมายราชการหรอื หนงั สอื ราชการ เปน็ จดหมายทต่ี ิดต่อกนั เปน็ ทางราชการจากส่วนราชการหนง่ึ ถึงอกี สว่ นราชการหนึง่ ขอ้ ความในหนงั สอื ถือวา่ เป็นหลักฐานทางราชการและมสี ภาพผกู มัดถาวรในราชการ จดหมาย ราชการจะมีเลขที่ของหนงั สือมีการลงทะเบยี นรบั -สง่ ตามระเบียบของงานสารบรรณ 5. ประกาศ หมายถึง ตอบ การบอกกลา่ วหรือช้แี จงเร่ืองราวตา่ ง ๆ ให้สาธารณชนหรอื ผูท้ เี่ ก่ยี วข้องทราบ ผ้รู บั ขอ้ มลู ได้ทราบจาก สอ่ื มวลชนต่าง ๆ เชน่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสอื พิมพ์ หรอื จากฝ่ายโฆษณาใบปลิว

บันทึกหลังสอน 1. ปญั หาหรืออปุ สรรคในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. แนวทางการแก้ปญั หาหรอื อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. . …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรงุ แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………………………………… (……………………………………………………) ตำแหนง่ …………………………………………………. ความคดิ เหน็ ของผู้นิเทศท่ีได้รบั มอบหมายจากผู้บริหาร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชอ่ื ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตำแหน่ง…………………………………………………. ความคดิ เห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอื่ ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตำแหน่ง………………………………………………….

แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ กลุ่มสาระความรพู้ นื้ ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย พท31001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย แผนการจัดการเรยี นรเู้ รื่องท่ี 6 หลกั การใช้ภาษา เวลา 6 ชว่ั โมง สอนวันที่ …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรยี นท่ี ………ปกี ารศึกษา……….. มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดบั ความรู้ ความเข้าใจในการเรียนวิชาภาษาไทย พท31001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เก่ยี วกบั รายละเอียดคาอธิบายรายวิชา กจิ กรรมการเรยี นการสอน ขอ้ ตกลง และขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมให้เปน็ ไปตาม วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นบรรลผุ ลตามทคี่ าดหวงั และชว่ ยใหก้ จิ กรรมการเรียนการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพ ตวั ชีว้ ัด 1. เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนมคี วามเข้าใจแนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในรายวิชา รายวชิ า ภาษาไทย พท31001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 2. เพอ่ื เตรยี มตัวล่วงหนา้ ในการเรยี น และมีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 3. เพอื่ ทดสอบความรพู้ นื้ ฐานเดมิ ของผเู้ รยี น และเปน็ แนวทางในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ การปฐมนเิ ทศ 1. รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวชิ า ภาษาไทย พท31001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 2. หลกั เกณฑ์การวดั ผล และการใหค้ ะแนนรายวชิ า ภาษาไทย พท31001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 3. ข้อตกลงเก่ียวกับหลักการ ข้อปฏิบตั แิ ละกฎระเบียบในการเรยี นการสอนในห้องเรยี น กระบวนการจัดการเรียนรู้ 1. ข้นั กำหนดสภาพปัญหาความต้องการในการเรียนรู้ 1.1 ครกู ลา่ วทกั ทายผเู้ รยี น และแนะนาตัวเอง โดยบอกชอ่ื นามสกุล และช่องทางการติดต่อ 1.2 ครสู อบถามผเู้ รยี นถงึ กิจกรรมทที่ าในระหวา่ งปิดภาคเรยี นทผ่ี า่ นมา และนาเขา้ สู่เรอ่ื งทจี่ ะเรยี น 1.3 ครแู จ้งใหผ้ เู้ รียนทราบวา่ ในภาคเรยี นนจ้ี ะไดเ้ รียน รายวชิ า ภาษาไทย พท31001 2. ข้นั แสวงหาขอ้ มูล และจัดการเรียนรู้ 2.1 ครชู ้ีแจงรายละเอียดคาอธิบายรายวิชา ภาษาไทย พท31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ท่จี ะ เรียนในภาคเรยี นนี้ จานวน 6 เร่อื ง คอื การฟัง การดู การพดู การอา่ น การเขียน หลกั การใช้ภาษา และวรรณคดี วรรณกรรม ครแู จง้ ตวั ช้ีวัด และอภปิ รายถงึ เนือ้ หา ทจ่ี ะเรยี นร่วมกนั กบั ผเู้ รยี น

2.2 ครู และผเู้ รยี นตกลงหลกั เกณฑก์ ารวัดผล และการใหค้ ะแนนในสว่ นต่าง ๆ รว่ มกัน จากคะแนนเตม็ 100 คะแนน อตั ราสว่ นคะแนนระหวา่ งภาคต่อปลายภาค = 60 : 40 เปน็ ดังนี้ 1. คะแนนระหว่างเรียน 60 คะแนนแบ่งเกบ็ ดงั น้ี 1.1 คะแนนดา้ นความรู้ 30 คะแนน 1.2 คะแนนดา้ นทกั ษะ (โครงงาน/ชนิ้ งาน) 20 คะแนน 1.3 คะแนนดา้ นคุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ 10 คะแนน 2. คะแนนปลายภาคเรียน 40 คะแนน ดงั น้ี เกณฑ์การประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนด้านความรู้ ของผเู้ รยี นท่ศี กึ ษา หลกั สูตรรายวิชา ภาษาไทย พท31001 มีดงั นี้ หมายถงึ ผเู้ รยี นมคี ะแนนสอบปลายภาคเรยี น ตง้ั แต่ 12.00 – 40.00 หรอื ร้อยละ 30 ของคะแนนเตม็ ขนึ้ ไป ไมผ่ า่ น หมายถงึ ผเู้ รยี นมีคะแนนสอบปลายภาคเรยี น ต้งั แต่ 0.00 – 11.99 หรือ รอ้ ยละ 0.00 – 29.99 ของคะแนนเตม็ ขน้ึ ไป การตดั สินผลการเรียน รายวิชา ภาษาไทย พท31001 จะนาคะแนนระหว่างภาคมารวมกับคะแนนปลาย ภาคเรียน และจะตอ้ งได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 50 จึงจะถือวา่ ผ่าน ทัง้ นี้ ผ้เู รียนต้องเข้าสอบปลายภาคเรยี นดว้ ย แล้วนาคะแนนไปเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ทก่ี ำหนดใหค้ ่าระดบั ผลการ เรยี นเป็น 8 ระดบั ดังนี้ ได้คะแนนรอ้ ยละ 80 – 100 ใหร้ ะดับ 4 หมายถงึ ดเี ย่ียม ไดค้ ะแนนร้อยละ 75 – 79 ใหร้ ะดบั 3.5 หมายถึง ดมี าก ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 70 – 74 ใหร้ ะดบั 3 หมายถึง ดี คะแนนร้อยละ 65 – 69 ให้ระดบั 2.5 หมายถงึ ค่อนขา้ งดี ไดค้ ะแนนร้อยละ 60 – 64 ใหร้ ะดบั 2 หมายถึง ปานกลาง ไดค้ ะแนนร้อยละ 55 – 59 ใหร้ ะดบั 1.5 หมายถึง พอใช้ ไดค้ ะแนนร้อยละ 50 – 54 ใหร้ ะดบั 1 หมายถงึ ผา่ นเกณฑข์ ั้นต่ำทกี่ ำหนด ได้คะแนนรอ้ ยละ 0 – 49 ใหร้ ะดบั 0 หมายถงึ ต่ำกว่าเกณฑ์ขัน้ ต่ำท่ีกำหนด 2.3 ข้อตกลง ขอ้ ปฏิบัติ และกฎระเบยี บในการเรียนการสอนในหอ้ งเรยี น ดงั น้ี 1. ผเู้ รยี นตอ้ งเขา้ เรยี นไม่ต่ำกว่า 80 เปอรเ์ ซ็นต์ ของเวลาเรยี นทง้ั หมด 2. ผเู้ รยี นไมพ่ ดู คุยเสียงดงั หรอื สง่ เสียงรบกวนเพ่ือนในเวลาเรียน 3. ผเู้ รียนต้องเข้าเรียนให้ตรงเวลา 4. หากมีความจาเป็นต้องหยุดเรียน ต้องขออนญุ าตครผู ู้สอนก่อนทุกครง้ั 5. ไม่นาอาหารมารบั ประทานในหอ้ งเรียนขณะครสู อน 6. หากมีข้อสงสยั ขณะเรยี น ใหส้ อบถามครูได้ทันที 3 2.4 ครชู ้ีแจงรายละเอียดการพบกลมุ่ วนั เวลา สถานท่ใี หผ้ ู้เรียนทราบ

3. ขน้ั ปฏบิ ตั ิ และนาไปประยกุ ตใ์ ช้ 3.1 ครูใหผ้ ูเ้ รียนแนะนาตัวให้ครู และเพ่ือน ๆ ทกุ คนในหอ้ งเรยี นไดร้ จู้ ัก 3.2 ครแู จกแบบทดสอบก่อนเรียน รายวชิ า ภาษาไทย พท31001 ใหผ้ เู้ รียนทาจากนั้นตรวจแบบทดสอบ พรอ้ มบนั ทกึ คะแนนไว้ และร่วมกนั สรปุ ถงึ การทาแบบทดสอบ กอ่ นเรยี น รายวิชา ภาษาไทย พท31001 4. ขน้ั ประเมินผลการเรียนรู้ 4.1 ครูถามผ้เู รยี นเก่ยี วกบั เรือ่ งที่ครูกลา่ วมาขา้ งตน้ ว่ามเี รอื่ งอะไรบา้ งมรี ายละเอียดทส่ี ำคัญอยา่ งไร (เรอื่ งทจ่ี ะเรียน หลกั เกณฑ์การให้คะแนน กฎระเบยี บ ขอ้ ตกลง ข้อควรปฏบิ ัติ กตกิ าในการเรยี นการสอน) 4.2 ครถู ามผเู้ รียนวา่ พบกลุ่มวันไหน เวลาไหน และทไี่ หน 4.3 ครซู กั ถามผเู้ รียนว่ามขี อ้ สงสัยหรอื ไม่ 4.4 ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนศึกษาเรื่องทีจ่ ะเรยี นในครง้ั ตอ่ ไปลว่ งหนา้ (เร่อื ง การฟงั และการดู) การวดั ผลประเมินผล วิธกี ารวดั ประเมินจากการสงั เกต การซกั ถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เคร่อื งมือ ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เกณฑก์ ารวดั ผา่ น ต้องทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น รายวิชา ภาษาไทย พท31001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 2. ใบความรู้ เอกสารประกอบหลกั การใช้ภาษา

ใบความรู้ ธรรมชาติของภาษา มนุษยใ์ ชภ้ าษาส่อื ความรู้ ความคดิ ความต้องการ ความเขา้ ใจ และประสบการณ์ตา่ งๆ ชนทุกชาตมิ ี ภาษาใชส้ อ่ื สารเพอ่ื ถ่ายทอดศลิ ปะวทิ ยาการใหแ้ กก่ นั ภาษาจงึ เป็นสงิ่ สาคญั สาหรบั มนษุ ย์ การมี ความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ธรรมชาตขิ องภาษาและพลงั ของภาษา จะช่วยใหใ้ ชภ้ าษาเพอ่ื การสอ่ื สารได้ ชดั เจนถกู ตอ้ ง สามารถพฒั นาทกั ษะทางภาษาได้ตามกระบวนวธิ ี ตระหนักถงึ ความงาม ความ เหมาะสม ความหมายของภาษาไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ ๑. ประเภทของภาษา ภาษา หมายถงึ เสยี งทเี่ ป็นคาพดู หรอื ถอ้ ยคาสานวนทใ่ี ชพ้ ูดกนั รวมทงั้ กริ ยิ าอาการทแ่ี สดงออกมาแลว้ สามารถทาความเขา้ ใจกนั ไดภ้ าษาสามารถจาแนกออกไดเ้ ป็น ภาษาสามารถจาแนกออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ดงั น้ี ๑.๑ ภาษาที่เป็นถอ้ ยคา เรยี กวา่ “วจั นภาษา” หมายถงึ ภาษาทใ่ี ชเ้ สยี ง หรอื ตวั อกั ษรทมี่ นษุ ยป์ ระดษิ ฐ์ ขน้ึ มาโดยตกลงกนั ใหใ้ ชเ้ รยี กแทนสง่ิ ของ ความคดิ หรอื มโนภาพของสงิ่ หน่ึงสง่ิ ใดทม่ี นษุ ยร์ บั รจู้ าก ประสาทสมั ผสั วจั นภาษาจงึ เป็นภาษาทช่ี ดั เจน เพราะเป็นภาษาทมี่ ที งั้ ภาษาพูดและภาษาเขยี น ๑.๒ ภาษาทไ่ี มเ่ ป็นถ้อยคา เรยี กว่า “อวจั นภาษา” หมายถงึ ภาษาทเี กดิ จากริ ยิ าอาการตา่ งๆ ทแี่ สดง ออกมาทางรา่ งกาย หรอื สญั ลกั ษณ์ทมี่ องเหน็ แลว้ ผอู้ น่ื เกดิ ความเขา้ ใจความหมายได้ โดยไมต่ อ้ งอาศยั ภาษาพูดและภาษาเขยี น เป็นส่อื บางครงั้ อาจเรยี กว่า “ภาษาทา่ ทาง” ซ่งึ ในชวี ติ ประจาวนั มนุษยใ์ ชภ้ าษาทา่ ทางประกอบคาพูดไป ดว้ ย เพ่อื ชว่ ยใหก้ ารสอ่ื สารความหมายไดช้ ดั เจน และตรงกบั ความรสู้ กึ ของผสู้ ่งสารยงิ่ ขน้ึ ๒. ธรรมชาติของภาษา ภาษาเป็นเคร่อื งมอื สาหรบั ส่อื ความคดิ ระหว่างมนษุ ยม์ าแต่โบราณ ถา้ ไมม่ ภี าษาสงั คม มนุษยย์ อ่ มไม่ สามารถพฒั นามาจนถงึ ปัจจุบนั ได้ ในโลกน้ีมภี าษาอยู่มากมายประมาณ ๔,๐๐๐ ภาษา ลกั ษณะทีถ่ ือเป็นธรรมชาติของภาษาทงั้ หมดมีดงั นี้ ๒.๑ภาษาใช้เสียงส่อื ความหมาย ภาษาจงึ เป็นสงิ่ ทสี่ งั คมร่วมกนั กาหนดขน้ึ ทจี่ ะใหเ้ สยี งใดมคี วามหมายอย่างใด ดว้ ยเหตุน้ี เสยี งในภาษาแต่ ละภาษาจงึ ตา่ งกนั เชน่ เสยี งในภาษาไทย ประกอบดว้ ย เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และสียง วรรณยกุ ต์ ขณะที่ในภาษาองั กฤษไมม่ เี สยี งวรรณยกุ ต์ ๒.๒ หน่วยในภาษาประกอบกนั เป็นหน่วยท่ีใหญข่ ึน้ ได้

ภาษาประกอบดว้ ยหน่วยตา่ งๆ เรยี งจากหน่วยทเี่ ลก็ ไปเป็นหน่วยทใ่ี หญ่ ดงั น้ี ๑) เสยี ง เสยี งเป็นหน่วยในภาษาทเ่ี ลก็ ทส่ี ุด แบ่งเป็น เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกต์ ๒) พยางค์ พยางคเ์ กดิ จากการนาหน่วยเสยี งในภาษามาประกอบกนั จงึ ถอื ว่าเป็นหน่วยพยางคใ์ หญก่ วา่ หน่วยเสยี ง ทงั้ น้ี หน่วยพยางคอ์ าจมคี วามหมายหรอื ไมก่ ต็ าม ๓) คา เกดิ จากพยางคท์ ไี่ ดก้ าหนดความหมาย กลา่ ว เมอ่ื กาหนดความหมายใหพ้ ยางค์ พยางคน์ ัน้ ๆ จะ กลายเป็นคาสาหรบั ใชใ้ นการส่อื สารไดใ้ นภาษา ๔) กลุ่มหรอื วลี กลุม่ คาหรอื วลเี กดิ จากการนาคามาประกนั ตามหลกั การใชถ้ ้อยคาของแตล่ ะภาษา กจ็ ะได้ หน่วยภาษาทใี่ หญข่ น้ึ เช่น อาหารไทย เป็นกลุ่มคาหรอื วลที ป่ี ระกอบดว้ ย คา ๒ คา คอื อาหาร ๑ คา และ ไทย ๑ คา เป็นตน้ ๕) ประโยค ประโยคเกดิ จากการนาคามาเรยี งลาดบั กนั ตามระบบทางภาษาแตล่ ะภาษา แลว้ ไดค้ วามหมาย ครบถว้ น ซง่ึ ประโยคน้ีสามารถขยายใหใ้ หญข่ น้ึ ไดอ้ กี จากเดมิ คาขยาย เช่น ฉนั ชอบอาหารไทย ฉนั ชอบอาหารไทยทร่ี สจดั ฉันและน้องชอบอาหารไทยทรี่ สจดั ฉันและนอ้ งชอบอาหารไทยทร่ี สจดั และตกแตง่ อย่าง สวยงาม การนาประโยคมาเรยี งตอ่ กนั ใหไ้ ดค้ วามหมายทชี่ ดั เจนมากขน้ึ และต่อกนั มากมายหลายประโยค เรยี งรอ้ ย กนั เป็นลาดบั เหตกุ ารณ์ จะทาใหเ้ กดิ เรอ่ื งราวไดใ้ นทส่ี ดุ ๓ ภาษามีการเปลย่ี นแปลง ภาษาทุกภาษามกี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา การสงั เกตการเปลยี่ นแปลงของภาษาสามารถทาไดโ้ ดยการ พจิ ารณาลกั ษณะเดมิ ของภาษา เปรยี บเทยี บกบั ลกั ษณะใหมท่ เ่ี กดิ ขน้ึ โดยทวั ่ ไปภาษามกั มกี ารเปลยี่ นแปลง ในลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี ๑) การเปลย่ี นแปลงดา้ นการออกเสียง การเปลย่ี นแปลงดา้ นการออกเสยี งทพ่ี บไดใ้ น ชวี ติ ประจาวนั ไดแ้ ก่ การกลนื เสียง เชน่ อยา่ งนัน้ เป็น ยงั งนั้ การกลายเสียง เช่น สะพาน เป็น ตะพาน การตดั เสียง เป็น โบสถ์ เช่น อโุ บสถ การกรอ่ นเสียง เช่น ลูกอ่อน เป็น ละออ่ น

การสบั เสียง เชน่ ตะกรุด เป็น กะตุด(ในภาษาถน่ิ อสี าน) ๒) การเปล่ยี นเสยี งท่ีเกิดจากการยมื คาจากภาษาต่างประเทศ การยมื คาภาษาตา่ งประเทศมาใชโ้ ดย มไิ ดด้ ดั แปลงหรอื แปลใหเ้ ป็นภาษาของตน อาจทาใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในภาษาได้ เชน่ ในภาษาไทย มี การยมื คาภาษาองั กฤษมาใชท้ าใหเ้ กดิ อกั ษรควบกลา้ ทไ่ี มม่ อี ย่ใู นหลกั ภาษาไทยแท้ ขน้ึ เชน่ ฟรี แฟลต บลชั ออน เป็นตน้ ๓) การเปลีย่ นแปลงดา้ นความหมาย ความหมายของคาบางคาอาจเปลยี่ นแปลงไปต่างจากความหมาย เดมิ ไดต้ ามกาลเวลา เชน่ คา “วติ ถาร” แตเ่ ดมิ หมายถงึ กวา้ งขวาง,มาก ,ละเอยี ดลออ แต่ในปัจจบุ นั คาน้ี กลบั มคี วามหมายวา่ การกระทาทลี่ ามก แปลกแยกจากบุคคลทวั ่ ไป เป็นต้น ๔) การเปลีย่ นแปลงด้านถอ้ ยคาสานวน ถอ้ ยคาสานวนบางคามกี ารเปลย่ี นแปลงไปจากอดตี โดยเกดิ จากสภาพแวดลอ้ มและลกั ษณะการดาเนินชวี ติ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ทาใหผ้ ใู้ ชส้ านวนนาความคนุ้ เคยม เปลยี่ นแปลงสานวนเหล่าน้ี ในภาษาไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงลกั ษณะน้ี เชน่ สานวนเดิม สานวนปัจจบุ นั ยนื กระตา่ ยสามขา ยนื กระตา่ ยขาเดยี ว ไกเ่ หน็ นมไก่ งเู หน็ ตนี งู ไกเ่ หน็ ตนี งู งเู หน็ นมไก่ ๕) การเปลย่ี นแปลงดา้ นไวยากรณ์ อทิ ธพิ ลของภาษาต่างประเทศมคี วามสาคญั ตอ่ การเปลย่ี นแปลง ทางดา้ นไวยากรณเ์ ป็นอย่างยงิ่ เชน่ ในภาษาไทยมไี วยากรณ์ การเรยี งคาทตี่ ่างจากภาษาองั กฤษ เม่อื ภาษาไทยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากภาษาองั กฤษมากขน้ึ ทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางโครงสรา้ งไวยากรณ์ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี ไวยากรณเ์ ดมิ ผรู้ า้ ย ๒ คน ถูกจบั เพราะคา้ ยาบา้ ไวยากรณใ์ หม่ สองผรู้ า้ ยถกู จบั เพราะคา้ ยาบา้ ๔ ภาษาต่างๆ มีลกั ษณะที่คลา้ ยคลึงกนั แมว้ า่ ภาษาจะมคี วามแตกต่างกนั อยู่บา้ ง แตก่ ม็ ลี กั ษณะทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั หลายประการดงั น้ี ๑) ภาษาแตล่ ะภาษาใชเ้ สยี งส่อื ความหมาย โดยเสยี งทใ่ี ชส้ ่อื ความหมายในภาษาทุกภาษาจะมที งั้ เสยี ง พยญั ชนะและ เสยี งสระ ๒) ภาษาแต่ละภาษาสามารถสรา้ งคาศพั ทใ์ หม่จากศพั ท์เดมิ โดยอาจเปลยี่ นแปลงศพั ทเ์ ดมิ หรอื นาคาอ่นื มา

ประสมกบั ศพั ทเ์ ดมิ เชน่ ภาษาไทยมกี ารประสมคา ซ้อนคา ซ้าคา ส่วนภาษาองั กฤษมกี าร เตมิ Prefix Suffix Infix เป็นตน้ ๓) ภาษาแตล่ ะภาษามสี านวนและมกี ารใชค้ าในความหมายใหม่ เชน่ ในภาษาไทยมกี ารใชค้ าวา่ “สี หนา้ ” ซง่ึ มไิ ดห้ มายความถงึ สขี องหน้า แต่หมายถงึ การแสดงออกทางดวงหนา้ หรอื ภาษาองั กฤษมคี า วา่ “hotair” ซง่ึ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ อากาศรอ้ น แตห่ มายถงึ เร่อื งไม่จรงิ เป็นตน้ ๔) ภาษาแตล่ ะภาษามชี นิดของคาคลา้ ยกนั เชน่ คานาม คาขยายนาม คากรยิ า คาขยายกรยิ า เป็นตน้ ๕) ภาษาแต่ละภาษามวี ธิ กี ารขยายประโยคใหย้ าวออกไปไดเ้ รอ่ื ยๆ ๖) ภาษาแตล่ ะภาษามวี ธิ แี สดงความคดิ คลา้ ยกนั เชน่ ทกุ ภาษาตา่ งมตี า่ งมปี ระโยคทใ่ี ชถ้ าม ปฏเิ สธ หรอื ใช้ สงั ่ ๗) ภาษาแตล่ ะภาษาต้องมกี ารเปลยี่ นแปลงตามกาลเวลา ๕ ภาษายอ่ มมีสว่ นประกอบที่เป็นระบบมรี ะเบยี บแบบแผน ภาษาทกุ ภาษาจะต้องมรี ะบบระเบยี บแบบแผน ซ่งึ โดยทวั ่ ไปแลว้ ภาษามสี ว่ นประกอบที่ สาคญั คอื สญั ลกั ษณ์ คา ประโยค และความหมาย ทุกสว่ นประกอบเหลา่ นี้ ต้องอยู่รวมกนั อย่าง เป็นระบบ ตามระเบียบแบบแผนของภาษาจึงจะทาให้เกิดเป็นภาษาท่ีสมบรู ณ์ ถ้าขาดส่วนประกอบ ส่วนใดส่วนหนง่ึ กจ็ ะไม่เป็นภาษา เชน่ ตอ้ งทาสญั ลกั ษณ(์ ตวั อกั ษร)มาประกอบกนั เป็นคาจงึ จะเกดิ ความหมาย การนาคามาประกอบเป็นประโยค กต็ ้องเรยี บเรยี งตามระเบยี บแบบแผนของภาษา จงึ จะมคี วามหมาย

ใบความรู้ สานวน สุภาษิต และคาพงั เพย สานวน หมายถงึ ถ้อยคาทเี่ รยี บเรยี ง, โวหาร,บางทกี ใ็ ชว้ า่ สานวนโวหาร เช่น สารคดเี ร่อื งน้สี านวน โวหารดี ความเรยี งเร่อื งน้ีสานวน โวหารลุ่ม ๆ ดอน ๆ; คดี เช่น ปิดสานวน; ถอ้ ยคาหรอื ขอ้ ความ ทกี่ ล่าว สบื ต่อกนั มาชา้ นานแลว้ มคี วามหมายไมต่ รงตาม ตวั หรอื มคี วามหมายอน่ื แฝงอยู่ เชน่ สอนจระเขใ้ หว้ า่ ยน้า ราไมด่ โี ทษป่ีโทษกลอง, ถอ้ ยคาทแ่ี สดงออกมาเป็นขอ้ ความ พเิ ศษ เฉพาะภาษาหนึ่ง ๆ เช่น สานวนฝรงั ่ สานวนบาล,ี ชนั้ เชงิ หรอื ท่วงทานองในการแตง่ หนังสอื หรอื พูด เชน่ สานวน เจา้ พระยาพระคลงั (หน) สานวนยาขอบ สานวนไม้ เมอื งเดมิ ; ลกั ษณนามใชเ้ รยี กขอ้ ความหรอื บทประพนั ธ์รายหนงึ่ ๆ สุภาษติ หมายถงึ ถ้อยหรอื ขอ้ ความทก่ี ลา่ วสบื ตอ่ กนั มาช้านานแลว้ มี ความหมายเป็นคตสิ อนใจ เช่น รกั ยาวใหบ้ นั่ รกั สนั้ ใหต้ อ่ น้าเชย่ี วอยา่ ขวางเรอื 1.คาสภุ าษติ ประเภทที่ พูด อ่านหรอื เขา้ ใจเน้ือความไดท้ นั ที โดยไมต่ อ้ งแปล ความหมาย ตคี วามหมาย 2.คาสุภาษติ ประเภทที่ พดู อ่านหรอื ฟังแลว้ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจเน้ือความนัน้ ในทนั ทตี อ้ งนึกตรกึ ตรอง ต้อง แปลความตคี วามหมายเสยี ก่อนจงึ จะทราบเน้ือแทข้ องคาเหล่านัน้ เช่น ผบี า้ นไม่ดผี ปี ่ากพ็ ลอย ทาดไี ดด้ ี ทา ชวั ่ ไดช้ วั ่ คาพงั เพย ความหมายตามพจนานุกรม หมายความวา่ \"คาทกี่ ล่าวขน้ึ ลอย ๆ เป็นคากลางเพ่อื ตใี ห้ เขา้ กบั เน้ือเร่อื ง\" คาพงั เพยเป็นถ้อยคาทม่ี ลี กั ษณะเดยี วกบั สานวน แตต่ ่างจากสานวนตรงทมี่ จี ุดม่งุ หมายเชงิ สงั ่ สอน แตเ่ ป็นไปในทานองเสยี ดสี ประชดประชนั แฝงความหมายเชงิ ตชิ มไวด้ ว้ ย คาพงั เพยส่วนมากมลี กั ษณะเป็น ขอ้ คดิ และมคี วามหมายลกึ ซ้งึ เน้ือความทสี่ งั ่ สอนนนั้ ไมไ่ ดเ้ ป็นความจรงิ อนั เทย่ี งแท้ คาทมี่ าจากแมว มหี ลายเร่อื ง เชน่ เรอ่ื งทม่ี าจากนิทานพน้ื บา้ น เรอ่ื ง \"ศรธี นญชยั \"ตอนทศี่ รธี นญชยั กราบทูลขอทด่ี นิ จากพระเจา้ แผน่ ดนิ ขอเพยี งทเี่ ทา่ แมวด้นิ ตายเทา่ นัน้ พระเจา้ แผน่ ดนิ เหน็ ว่าเป็นทดี่ นิ เพยี ง เลก็ นอ้ ย จงึ ทรงอนุญาต ศรธี นญชยั ไดท้ จี งึ เอาแมวตวั หน่ึงมาผกู เชอื กทค่ี อแลว้ เฆย่ี นใหแ้ มวด้นิ ไปเร่อื ย ๆ กวา่ แมวตวั นัน้ จะตายกก็ นิ พน้ื ทเ่ี ป็นอาณาบรเิ วณกวา้ ง จากนิทานเรอ่ื ง ศรธี นญชยั \"ท่ีเท่าแมวด้ินตาย\" จะหมายถงึ ทด่ี นิ จานวนมาก แต่ในการใชเ้ ป็น สานวน จะหมายถงึ ทดี่ นิ เพยี งเลก็ น้อยเท่านัน้ แมวไม่อยู่ หนลู ะเลิงอยา่ คดิ ว่า เขยี นผดิ หรอื สะกดผดิ นะคะ คาวา่ ละเลงิ เป็นคาเก่าทม่ี ี ความหมายว่า เหลงิ จนลมื ตวั ลาพอง หรอื คกึ คะนองแตใ่ นปัจจุบนั มกั จะใช้ \"แมวไม่อยู่ หนูรา่ เรงิ \" สานวนน้หี มายถงึ เวลาทผี่ ใู้ หญไ่ มอ่ ยู่ผนู้ อ้ ยกเ็ ลน่ กนั คกึ คะนอง ลาพองตนทว่ี า่ สานวนน้ีน่าสนใจกเ็ พราะวา่ การเอาธรรมชาตขิ องหนูทกี่ ลวั แมวมาเปรยี บเทยี บ โดยเปรยี บแมวเป็นผใู้ หญเ่ ปรยี บหนูเป็นผนู้ ้อยนัน่ เอง และบางโอกาสสานวนน้ีกจ็ ะมคี าต่อทา้ ยสานวนดว้ ยคอื \"แมวไมอ่ ยู่ หนูรา่ เรงิ แมวมาหลงั คาเปิง\"นัน่ คอื

เวลาผใู้ หญไ่ ม่อยู่ ผนู้ อ้ ยกเ็ ล่นกนั อยา่ งเมามนั สนุกสนานครนั้ ผใู้ หญ่กลบั มากล็ นลาน รบี เกบ็ กวาดขา้ วของ และสถานทใ่ี หอ้ ยูใ่ นสภาพปกตเิ สมอื นวา่ ไมม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ ฝากเน้ือไวก้ บั เสือ ฝากปลายา่ งไวก้ บั แมวมที ม่ี าจากบทเสภาหลวงเรอ่ื ง\"ขนุ ชา้ ง-ขุนแผน\" ตอนท่ี ขนุ แผนทง้ิ นางวนั ทองไวก้ บั ขนุ ชา้ งแลว้ ขุนแผนกค็ ดิ วา่ \"เราฝากวนั ทองไวก้ บั ขนุ ชา้ งเหมอื นฝากปลายา่ งไว้ กบั แมว\"เพราะขุนชา้ งกร็ กั นางวนั ทองเชน่ กนั ดงั คาประพนั ธจ์ ากบทเสภาหลวงเรอ่ื งขุนชา้ ง-ขุนแผน ดงั น้ี เน้ือตกถงึ เสอื หรอื จะงด อร่อยรสคอ่ ยกนิ เป็นภกั ษา ทง้ิ ไวใ้ หม้ นั สองเวลา เจา้ แก้วตาน้ีจะเป็นประการใด สานวนน้บี างทอี าจใชว้ า่ \"ฝากออ้ ยไวก้ บั ชา้ งฝากปลายา่ งไวก้ บั แมว\" กไ็ ดท้ งั้ สองแบบเพราะทงั้ สอง แบบมคี วามหมายเหมอื นกนั คอื ฝากสงิ่ ใดไวก้ บั ผทู้ ชี่ อบสงิ่ นัน้ ย่อมสูญเสยี ใหก้ บั ผนู้ นั้ ไป หงุ ข้าวประชดหมา ปิ้ งปลาประชดแมว มคี วามหมายว่าการทาประชดหรอื แดกดนั ทผี่ ทู้ ารงั แต่ จะเสยี ประโยชน์ ตวั อยา่ งเช่นคณุ ยกสมบตั ใิ หเ้ ขาไปแบบน้ี เหมอื นหุงขา้ วประชดหมา ป้ิงปลาประชดแมว เขายง่ิ ชอบใจ เอาไปถลงุ ใชเ้ พลนิ ไปเลย เป็นต้น สานวนน้ีมที ม่ี าจากความจรงิ ทวี่ ่า โดยทวั ่ ไปแลว้ หมาชอบ ขา้ วและแมวกช็ อบกนิ ปลา ดงั นัน้ เมอ่ื หงุ ขา้ วหรอื ป้ิงปลาใหท้ งั้ หมาและแมวก็กนิ เสยี เพลนิ มคี วามสุข แตค่ น หุงคนป้ิงกลบั เสยี ของเองเปรยี บเหมอื นเราโกรธใครแลว้ ใหใ้ นสง่ิ ทผี่ นู้ นั้ ขอเพอ่ื เป็นการประชดแดกดนั ก็ เท่ากบั เขา้ ทางเขา และผทู้ เ่ี สยี ประโยชน์กค็ อื ตวั เราเองเพราะไหนจะไม่หายโกรธแลว้ ยงั ตอ้ งเสยี ของไปอกี เรยี กวา่ เป็นการประชดแดกดนั อย่างไม่ถกู ทางและทาใหเ้ สยี หายเพม่ิ ขน้ึ ดงั เชน่ คาประพนั ธ์จากสุภาษติ คา โคลงของสานวน\"หงุ ขา้ วประชดหมา ป้ิงปลาประชดแมว\" ดงั น้ีประชดหมายเรยี กรอ้ ง เหน็ ใจ จงึ ทุ่มเท กลบั ไป เฉกแสรง้ เขารอรบั เรว็ ไว ทุกสงิ่ เสนอนา เกดิ กอ่ ประโยชน์แลง้ ตา่ งลว้ นคอื สญู ยอ้ มแมวขาย เป็นสานวนทเี่ รามกั จะไดย้ นิ กนั บอ่ ย ๆในหม่ขู องนกั ธรุ กจิ ผทู้ าการคา้ ในสมยั โบราณ คนมกั นยิ มเลย้ี งแมวไวเ้ ป็นเพ่อื นแก้เหงาและเพ่อื นกม็ กั ตอ้ งการใหเ้ พ่อื นดดู ี สวยงาม คนสมยั โบราณจงึ ใช้ ขมน้ิ บา้ งปนู บา้ ง มายอ้ มสขี นของแมวใหม้ สี สี นั ทส่ี ดใสสวยงามเป็นทส่ี ะดุดตาจงึ เป็นทม่ี าของสานวนบาง ตารากว็ ่าสานวนน้มี ที มี่ าจากบรรดาแมวมงคลทงั้ หลาย ซ่งึ นิยมเลย้ี งในหมเู่ จา้ ขุนมลู นายหากชาวบา้ นนา แมวลกั ษณะดถี ูกตอ้ งตามตารามาขายกจ็ ะใหร้ าคางาม จงึ เกดิ การ\"ยอ้ มแมว\"คอื จบั เอาแมวทวั ่ ไปมาแตม้ แต่ง ใหด้ ูมลี กั ษณะเหมอื นแมวมงคลแลว้ จงึ นาไปหลอกขายสานวนยอ้ มแมวขายในปัจจบุ นั มักจะใชใ้ นการทา ธุรกจิ การคา้ ทหี่ วงั ผลกาไรหลอกขายสนิ คา้ ทภี่ ายนอกดูดี แต่แทท้ จี่ รงิ แลว้ ดอ้ ยคณุ ภาพบางโอกาสอาจใชใ้ น การพูดประชดประชนั เสยี ดสสี าวงามทเี่ ขา้ ประกวดตามเวทตี ่าง ๆทมี่ กั ถกู ปรบั โฉมใหส้ วยงามหลอกสายตา คณะกรรมการ ตรงตามความหมายของสานวนคอื ตกแต่งสง่ิ ทไี่ มด่ ี ไม่สวยงาม โดยมเี จตนาใหผ้ อู้ น่ื เชอ่ื วา่ เป็นของดสี านวนทงั้ หมดน้ลี ว้ นแลว้ แตม่ ที มี่ าและความหมายแฝงอยแู่ ตล่ ะสานวนเมอ่ื ฟังแลว้ อาจจะให้ ความรสู้ กึ ไมด่ อี าจจะฟังแลว้ คดิ ไปในทางทลี่ บ บางสานวนอาจใจรา้ ยกบั แมวหรอื มองวา่ แมวเป็นสตั วท์ ไี่ มน่ ่า ไวว้ างใจอาจเป็นเพราะสภุ าษติ สานวนเหล่าน้ีมมี าแตโ่ บราณโดยสานวนเป็นสง่ิ ทสี่ ามารถสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ สงั คมและวฒั นธรรมซง่ึ ยคุ สมยั นัน้ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคนกบั แมวอาจยงั มรี ะยะห่างระหว่างกนั แตจ่ ากการ

ทค่ี นไทยรจู้ กั สงั เกตอากปั กริ ยิ าของแมวแลว้ นามาผกู เป็นสานวนได้ นัน่ อาจจะทาความเขา้ ใจไดว้ า่ ระหว่าง คนไทยกบั แมวในสมยั ก่อนยอ่ มมคี วามผกู พนั กนั ในระดบั หนึง่ เพยี งแต่อาจจะยงั ไมก่ ระชบั แน่นเฟ้นดงั เชน่ ความรสู้ กึ ทคี่ นรกั แมวมใี หแ้ กแ่ มวแสนรกั ในยคุ สมยั น้ีกเ็ ป็นได.้ ..ว่าไหม ชนิ ดและหน้ าที่ของประโยค ความหมายและสว่ นประกอบของประโยค ความหมายของประโยค ประโยค เกดิ จากคาหลายๆคา หรอื วลที น่ี ามาเรยี งตอ่ กนั อย่างเป็นระเบยี บใหแ้ ต่ละคามคี วามสมั พนั ธ์กนั มี ใจความสมบรู ณ์ แสดงใหร้ ูว้ า่ ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน อย่างไร เชน่ สมคั รไปโรงเรยี น ตารวจจบั คนรา้ ย เป็นตน้ สว่ นประกอบของประโยค ประโยคหนง่ึ ๆ จะตอ้ งมภี าคประธานและภาคแสดงเป็นหลกั และอาจมคี าขยายส่วนตา่ ง ๆ ได้ 1. ภาคประธาน ภาคประธานในประโยค คอื คาหรอื กล่มุ คาทท่ี าหนา้ ทเ่ี ป็นผกู้ ระทา ผแู้ สดงซง่ึ เป็นสว่ นสาคญั ของประโยค ภาคประธานน้ี อาจมบี ทขยายซง่ึ เป็นคาหรอื กลุ่มคามาประกอบ เพอ่ื ทาใหม้ ใี จความชดั เจนยงิ่ ขน้ึ 2. ภาคแสดง ภาคแสดงในประโยค คอื คาหรอื กลุม่ คาทป่ี ระกอบไปดว้ ยบทกรยิ า บทกรรมและสว่ นเตมิ เตม็ บทกรรมทา หน้าทเ่ี ป็นตวั กระทาหรอื ตวั แสดงของประธาน สว่ นบทกรรมทาหนา้ ทเ่ี ป็นผถู้ กู กระทา และส่วนเตมิ เตม็ ทา หน้าทเ่ี สรมิ ใจความของประโยคใหส้ มบรู ณ์ คอื ทาหนา้ ทค่ี ลา้ ยบทกรรม แตไ่ มใ่ ชก้ รรม เพราะมไิ ดถ้ ูกกระทา ชนิ ดของประโยค ประโยคในภาษาไทยแบ่งเป็น 3 ชนดิ ตามโครงสรา้ งการสอ่ื สารดงั น้ี 1. ประโยคความเดยี ว ประโยคความเดยี ว คอื ประโยคทมี่ ขี อ้ ความหรอื ใจความเดยี ว ซ่งึ เรยี กอกี อยา่ งหนึ่งวา่ เอกรรถประโยค เป็น ประโยคทมี่ ภี าคประโยคเพยี งบทเดยี ว และมภี าคแสดงหรอื กรยิ าสาคญั เพยี งบทเดยี ว หากภาคประธานและ ภาคแสดงเพมิ่ บทขยายเขา้ ไป ประโยคความเดยี วนัน้ กจ็ ะเป็นประโยคความเดยี วทซี่ บั ซอ้ นยงิ่ ขน้ึ 2. ประโยคความรวม ประโยคความรวม คอื ประโยคทร่ี วมเอาโครงสรา้ งประโยคความเดยี วตงั้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไปเขา้ ไวใ้ น ประโยคเดยี วกนั โดยมคี าเช่อื มหรอื สนั ธานทาหนา้ ทเ่ี ช่อื มประโยคเหล่านัน้ เขา้ ดว้ ยกนั ประโยคความรวม เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ อเนกกรรถประโยค ประโยคความรวมแบง่ ใจความออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 2.1 ประโยคทมี่ คี วามคลอ้ ยตามกนั ประโยคความรวมชนิดน้ปี ระกอบดว้ ยประโยคเลก็ ตงั้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไป มเี น้ือความคลอ้ ยตามกนั ในแง่ของความเป็นอยู่ เวลา และการกระทา ตวั อย่าง • ทรพั ย์ และ สนิ เป็นลกู ชายของพ่อคา้ รา้ นสรรพพาณชิ ย์ • ทงั้ ทรพั ย์ และ สนิ เป็นนักเรยี นโรงเรยี นอาทรพทิ ยาคม • ทรพั ยเ์ รยี นจบโรงเรยี นมธั ยม แลว้ กไ็ ปเรยี นตอ่ ทวี่ ทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษา

• พอ สนิ เรยี นจบโรงเรยี นมธั ยม แลว้ ก็ มาชว่ ยพอ่ คา้ ขาย สนั ธานทใี่ ชใ้ น 4 ประโยค ไดแ้ ก่ และ, ทงั้ – และ, แลว้ ก,็ พอ – แลว้ ก็ หมายเหตุ : คา “แลว้ ” เป็นคาช่วยกรยิ า มใิ ชส่ นั ธานโดยตรง 2.2 ประโยคทม่ี คี วามขดั แยง้ กนั ประโยคความรวมชนดิ น้ี ประกอบดว้ ยประโยคเลก็ 2 ประโยค มเี น้ือความ ทแี่ ยง้ กนั หรอื แตกต่างกนั ในการกระทา หรอื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ตวั อยา่ ง • พต่ี ฆี อ้ ง แต่ นอ้ งตตี ะโพน • ฉนั เตอื นเขาแลว้ แต่ เขาไม่เช่อื 2.3 ประโยคทม่ี คี วามใหเ้ ลอื ก ประโยคความรวมชนิดน้ี ประกอบดว้ ยประโยคเลก็ 2 ประโยคและกาหนดให้ เลอื กอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตวั อย่าง • ไปบอกนายกจิ หรอื นายกอ้ งใหม้ านคี่ นหนง่ึ • คณุ ชอบดนตรไี ทย หรอื ดนตรสี ากล 2.4 ประโยคทมี่ คี วามเป็นเหตเุ ป็นผลแกก่ นั ประโยคความรวมชนิดน้ปี ระกอบดว้ ยประโยคเลก็ 2 ประโยค ประโยคแรกเป็นเหตุประโยคหลงั เป็นผล ตวั อย่าง • เขามคี วามเพยี รมาก เพราะฉะนนั้ เขา จงึ ประสบความสาเรจ็ • คณุ สดุ าไมอ่ จิ ฉาใคร เธอ จงึ มคี วามสขุ เสมอ ข้อสงั เกต • สนั ธานเป็นคาเช่อื มทจี่ ้าเป็นต้องมปี ระโยคความรวม และจะตอ้ งใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั เน้ือความในประโยค ดงั นัน้ จงึ กลา่ วไดว้ ่า สนั ธานเป็นเครอ่ื งกาหนดหรอื ช้บี ง่ วา่ ประโยคนนั้ มใี จความแบบใด • สนั ธานบางคาประกอบดว้ ยคาสองคา หรอื สามคาเรยี งอยหู่ ่างกนั เชน่ ฉะนัน้ – จงึ , ทงั้ – และ, แต่ – ก็ สนั ธานชนิดน้ีเรยี กว่า “สนั ธานคาบ” มกั จะมคี าอ่นื มาคนั ่ กลางอยู่จงึ ต้องสงั เกตใหด้ ี • ประโยคเลก็ ทเ่ี ป็นประโยคความเดยี วนัน้ เมอ่ื แยกออกจากประโยคความรวมแลว้ กย็ งั ส่อื ความหมายเป็นที่ เขา้ ใจได้ 3. ประโยคความซ้อน ประโยคความซ้อน คอื ประโยคทมี่ ใี จความสาคญั เพยี งใจความเดยี ว ประกอบดว้ ยประโยคความเดยี วทมี่ ี

ใจความสาคญั เป็นประโยคหลกั (มขุ ยประโยค) และมปี ระโยคความเดยี วทมี่ ใี จความเป็นส่วนขยายส่วนใด สว่ นหนง่ึ ของประโยคหลกั เป็นประโยคยอ่ ยซ้อนอยูใ่ นประโยคหลกั (อนุประโยค) โดยทาหนา้ ทแี่ ต่งหรอื ประกอบประโยคหลกั ประโยคความซ้อนน้เี ดมิ เรยี กวา่ สงั กรประโยค อนุประโยคหรอื ประโยคยอ่ ยมี 3 ชนดิ ทาหน้าทตี่ ่างกนั ดงั ต่อไปน้ี 3.1 ประโยคยอ่ ยทที่ าหนา้ ทแี่ ทนนาม (นามานุประโยค) อาจใชเ้ ป็นบทประธานหรอื บทกรรม หรอื สว่ นเตมิ เตม็ กไ็ ด้ ประโยคยอ่ ยน้ีเป็นประโยคความเดยี วซ้อนอยใู่ นประโยคหลกั ไม่ตอ้ งอาศยั บทเช่อื มหรอื คาเชอ่ื ม ตวั อยา่ งประโยคความซอ้ นทเี่ ป็นประโยคยอ่ ยทาหน้าทแี่ ทนนาม • คนทาดยี อ่ มไดร้ บั ผลดี คน...ยอ่ มไดร้ บั ผลดี : ประโยคหลกั คนทาดี : ประโยคยอ่ ยทาหนา้ ทเี่ ป็นบทประธาน • ครดู ุนกั เรยี นไมท่ าการบา้ น ครูดุนกั เรยี น : ประโยคหลกั นักเรยี นไมท่ าการบา้ น : ประโยคยอ่ ยทาหน้าทเ่ี ป็นบทกรรม 3.2 ประโยคยอ่ ยทท่ี าหนา้ ทเ่ี ป็นบทขยายประธานหรอื บทขยายกรรมหรอื บทขยายสว่ นเตมิ เตม็ (คณุ านุ ประโยค) แลว้ แตก่ รณี มปี ระพนั ธสรรพนาม (ท่ี ซง่ึ อนั ผ)ู้ เช่อื มระหว่างประโยคหลกั กบั ประโยคย่อย ตวั อย่างประโยคความซ้อนทป่ี ระโยคยอ่ ยทาหนา้ ทเ่ี ป็นบทขยาย • คนทป่ี ระพฤตดิ ยี ่อยมคี วามเจรญิ ในชวี ติ ทปี่ ระพฤติ ขยายประธาน คน - คน...ยอ่ มมคี วามเจรญิ ในชวี ติ : ประโยคหลกั - (คน) ประพฤตดิ ี : ประโยคย่อย • ฉันอาศยั บา้ นซ่งึ อยูบ่ นภูเขา ซ่งึ อยู่บนภูเขา ขยายกรรม บา้ น - ฉนั อาศยั บา้ น : ประโยคหลกั - (บา้ น) อย่บู นภเู ขา : ประโยคยอ่ ย 3.3 ประโยคยอ่ ยทท่ี าหนา้ ทเ่ี ป็นบทขยายคากรยิ า หรอื บทขยายคาวเิ ศษณใ์ นประโยคหลกั (วเิ ศษณานุ ประโยค) มคี าเชอ่ื ม (เชน่ เมอ่ื จน เพราะ ตาม ให้ ฯลฯ) ซง่ึ เช่อื มระหวา่ งประโยคหลกั กบั ประโยคย่อย ตวั อยา่ งประโยคความซ้อนทปี่ ระโยคยอ่ ยทาหนา้ ทเี่ ป็นบทกรยิ าหรอื บทขยายวเิ ศษณ์ • เขาเรยี นเกง่ เพราะเขาตงั้ ใจเรยี น เขาเรยี นเกง่ : ประโยคหลกั (เขา) ตงั้ ใจเรยี น : ประโยคย่อยขยายกรยิ า • ครูรกั ศษิ ยเ์ หมอื นแมร่ กั ลูก ครรู กั ศษิ ย์ : ประโยคหลกั แม่รกั ลกู : ประโยคยอ่ ย (ขยายส่วนเตมิ เตม็ ของกรยิ าเหมอื น) หน้าที่ของประโยค

ประโยคต่างๆ ทใ่ี ชใ้ นการสอ่ื สารยอ่ มแสดงถงึ เจตนาของผสู้ ง่ สาร เช่น บอกกลา่ ว เสนอแนะ อธบิ าย ซกั ถาม ขอรอ้ ง วงิ วอน สงั ่ หา้ ม เป็นตน้ หากจะแบ่งประโยคตามหน้าทหี่ รอื ลกั ษณะทใ่ี ชใ้ นการส่อื สาร สามารถแบง่ ออกเป็น 4 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1. บอกเล่าหรอื แจง้ ใหท้ ราบ เป็นประโยคทมี่ เี น้ือความบอกเลา่ บ่งช้ใี หเ้ หน็ วา่ ประธานทากรยิ า อะไร ทไ่ี หน อยา่ งไร และเม่อื ไหร่ เชน่ - ฉันไปพบเขามาแลว้ - เขาเป็นนักฟุตบอลทมี ชาติ 2. ปฏเิ สธ เป็นประโยคมเี น้ือความปฏเิ สธ จะมคี าวา่ ไม่ ไม่ได้ หามไิ ด้ มใิ ช่ ใชว่ ่า ประกอบอยู่ดว้ ยเชน่ - เรา ไมไ่ ด้ สง่ ขา่ วถงึ กนั นานแลว้ - นัน่ มใิ ช่ ความผดิ ของเธอ 3. ถามใหต้ อบ เป็นประโยคมเี น้ือความเป็นคาถาม จะมคี าวา่ หรอื ไหม หรอื ไม่ ทาไม เมอ่ื ไร ใคร อะไร ทไ่ี หน อยา่ งไร อยู่ หน้าประโยคหรอื ทา้ ยประโยค เชน่ - เม่อื คนื คุณไป ทไ่ี หน มา - เธอเหน็ ปากกาของฉัน ไหม 4. บงั คบั ขอรอ้ ง และชกั ชวน เป็นประโยคทมี่ เี น้ือความเชงิ บงั คบั ขอรอ้ ง และชกั ชวน โดยมคี าอนุภาค หรอื คาเสรมิ บอกเน้อื ความของ ประโยค เชน่ - หา้ ม เดนิ ลดั สนาม - กรุณา พดู เบา สรปุ การเรยี บเรยี งถ้อยคาเป็นประโยคความเดยี ว ประโยคความรวม และประโยคความซอ้ น สามารถขยายให้ เป็นประโยคยาวขน้ึ ไดด้ ว้ ยการใชค้ า กล่มุ คา หรอื ประโยค เป็นส่วนขยาย ยง่ิ ประโยคมสี ว่ นขยายหรอื องคป์ ระกอบมากสว่ นเพยี งใด กจ็ ะยง่ิ ทาใหก้ ารส่อื สารเกดิ ความเขา้ ใจตอ่ กนั มากขน้ึ เพยี งนัน้ ขอ้ สาคญั คอื ต้องเขา้ ใจรูปแบบประโยค การใชค้ าเช่อื มและคาขยาย ทงั้ น้ีต้องคานึงถงึ เจตนาในการส่งสารดว้ ย ผมู้ ี ทกั ษะในการเรยี บเรยี งประโยคสามารถพฒั นาไปสกู่ ารเขยี น เลา่ บอกเรอ่ื งราวทย่ี ดื ยาวไดต้ ามเจตนาของ การส่อื สาร ดงั นัน้ ผใู้ ชภ้ าษาจงึ ต้องศกึ ษาและทาความเขา้ ใจโครงสรา้ งประโยค แบบทดสอบย่อยครั้งท่ี 5 รายวชิ าภาษาไทย (พท31001)

ระดบั ม.ปลาย บทท่ี 5 หลักการใช้ภาษา 1. ให้นกั ศึกษาบอกถึงความสำคญั ของภาษา ตอบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................. ....................... 2. ภาษาไทยมตี วั อักษรเป็นของตนเองหมายถงึ ตอบ ............................................................................................................................................................................ ........ .................................................................................................................................................................................... 3. ใหน้ ักศึกษายกตวั อยา่ งคำสมาสในภาษาไทยมา 10 คำ ตอบ .................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ...................................................................... .................................................................................................................................................... ................................ .................................................................................................................................................................................... 4. ศัพท์บญั ญตั ิ หมายถึง ตอบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ............................... .................................................................................................................................................................................... 5. สำนวน หมายถงึ

ตอบ .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................... ............................................................. เฉลยแบบทดสอบย่อยครั้งที่ 5 รายวชิ าภาษาไทย (พท31001) ระดับ ม.ปลาย บทที่ 5 หลักการใชภ้ าษา

1. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกถงึ ความสำคัญของภาษา ตอบ 1.ภาษาเป็นเคร่อื งมือในการตดิ ตอ่ สอื่ สาร 2.ภาษาเปน็ เครอื่ งมอื ในการแสวงหาความรู้ ความคิดและความ เพลิดเพลนิ 3.ภาษาเป็นเครือ่ งมอื ในการประกอบอาชพี และการปกครอง 4.ภาษาช่วยบนั ทึกถ่ายทอดและจรรโลง วฒั นธรรมใหด้ ำรงอยู่ 2. ภาษาไทยมตี ัวอักษรเปน็ ของตนเองหมายถึง ตอบ เปน็ ที่ทราบวา่ ประเทศไทยมตี ัวอักษรภาษาไทยมาตง้ั แต่ครงั้ กรงุ สโุ ขทัยแลว้ ววิ ฒั นาการตามความเหมาะสม มาเร่ือย ๆ จนถึงปจั จบุ ัน โดยแบ่งเป็น 3 ลกั ษณะ คอื 1.เสยี งแท้ มี 24 เสยี ง ใช้รปู สระ 32 รปู 2.เสียงแปรมี 21 เสียง ใชร้ ปู พยญั ชนะ 44 ตัว 3.เสียงดนตรีหรอื วรรณยุกต์มี 5 เสียง ใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ 4 รปู 3. ใหน้ ักศึกษายกตัวอยา่ งคำสมาสในภาษาไทยมา 10 คำ ตอบ 1.พลศกึ ษา 2.ประวัตศิ าสตร์ 3.ปรยิ ตธิ รรม 4.กามเทพ 5.เทพบุตร 6.สนุ ทรพจน์ 7. วศิ วกรรม 8.วิศวกร 9.อากาศยาน 10.สวัสดิการ 4. ศพั ทบ์ ญั ญตั ิ หมายถึง ตอบ คำเฉพาะวงการหรอื คำเฉพาะวชิ าท่ีผู้คิดข้ึนเพอ่ื ใชส้ อื่ ความหมายในวงการอาชีพหรอื ในวชิ าการแขนงใด แขนงหน่ึงโดยเฉพาะ ท้งั นเ้ี พราะการศึกษาของเราไดข้ ยายตัวกว้างขวางมากขึ้น การศึกษาจากตา่ งประเทศกม็ มี าก ข้นึ เราต้องรบั รคู้ ำศพั ทข์ องประเทศเหลา่ น้ัน 5. สำนวน หมายถึง ตอบ กลมุ่ ของวลี คำหรือกลุม่ คำท่ีนำมาใชใ้ นความหมายทแี่ ตกต่างไปจากความหมายเดมิ ความหมายทเ่ี กิดขึน้ มักจะเป็นความหมายในเชงิ อปุ มา หรือเชงิ เปรียบเทียบ ไมไ่ ดใ้ หค้ ตธิ รรม แต่จะเป็นความหมายท่กี ระชบั และลึกซง้ึ เชน่ สำนวนวา่ เรือ่ งกล้วย ๆ คำวา่ กลว้ ย ๆ ไมไ่ ดห้ มายถงึ ผลไม้แต่หมายถงึ งา่ ย ๆ เรอ่ื งไมย่ ากเป็นเรือ่ งงา่ ย ๆ สำนวนภาษาไทยอาจจะประกอบคำต้งั แต่ 1 คำข้นึ ไปจนถึงหลายคำหรอื เปน็ กลุม่ บนั ทกึ หลงั สอน 1. ปญั หาหรอื อุปสรรคในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. แนวทางการแก้ปญั หาหรอื อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. . …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรุงแผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………………………………… (……………………………………………………) ตำแหน่ง…………………………………………………. ความคดิ เหน็ ของผู้นเิ ทศท่ีได้รบั มอบหมายจากผู้บรหิ าร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตำแหนง่ …………………………………………………. ความคดิ เห็นของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตำแหน่ง………………………………………………….


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook