Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 26วสันต์ ไชยทวีวงศ์

26วสันต์ ไชยทวีวงศ์

Published by Hommer ASsa, 2021-05-03 07:10:14

Description: 26วสันต์ ไชยทวีวงศ์

Search

Read the Text Version

รายงานการศกึ ษา เรอื่ ง การมีส่วนรว่ มของเจ้าหน้าทศ่ี นู ยป์ ้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย จดั ทําโดย วสนั ต์ ไชยทวีวงศ์ รหสั ประจาํ ตัวนักศึกษา 26 เอกสารฉบบั นีเ้ ป็นสว่ นหน่ึงในการศกึ ษาอบรม หลักสูตรนกั บริหารงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั (นบ.ปภ.) รุ่นที่ 10 ระหว่างวันที่ 7 มกราคม – 10 เมษายน 2557 วทิ ยาลัยปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั

ก   คํานาํ การศึกษาการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฉบับน้ี เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยส่วนบุคคลหลักสูตร นักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นบ.ปภ.) รุ่นที่ 10 วิทยาลัยป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งผู้วิจัยสามารถนําเสนอผลการศึกษาให้ ผู้บังคับบัญชา เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ลยิ่งข้นึ หากเอกสารการศึกษาวิจัยส่วนบุคคลฉบับน้ีมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ผู้วิจัยยินดีน้อมรับด้วยความเคารพ และจะนาํ ข้อผิดพลาไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป วสันต์ ไชยทววี งศ์ นกั ศึกษาหลักสตู ร นบ.ปภ. รนุ่ ที่ 10 มีนาคม 2557

ข กิตตกิ รรมประกาศ รายงานการศึกษาวิจัยเล่มนี้ สําเร็จลุล่วงไปได้ดี ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง จาก ดร.ปิยวัฒน์ ขนิษฐบุตร และอาจารย์วรชพร เพชรสุวรรณ อาจารย์ท่ีปรึกษาการศึกษาวิจัยของ นักศึกษา นบ.ปภ. รุ่นที่ 10 ที่ได้ให้คําแนะนําเก่ียวกับการศึกษาวิจัย และให้ข้อเสนอแนะทางวิชาการ การตรวจแก้ไข ตลอดจนดูแลเอาใจใส่ต่อผู้วิจัยเป็นอย่างดีย่ิง และขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารและ ผ้อู ํานวยการโครงการวทิ ยาลัยปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั รวมถึงเจา้ หนา้ ท่ีทกุ ทา่ นทีเ่ กีย่ วข้อง ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา ทุกท่านที่ให้ความ ร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม ซ่ึงทาํ ให้งานวิจัยครั้งน้สี าํ เร็จไปได้ดว้ ยดี ขอขอบคุณเพื่อน ๆ นักศึกษาหลักสูตรนักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นบ.ปภ.) รุ่นท่ี 10 ทกุ ทา่ นท่ีใหค้ วามชว่ ยเหลอื และเป็นกาํ ลังใจดว้ ยดตี ลอดมา ความดีและประโยชน์ใดๆที่เกิดจากการศึกษาวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยขอมอบแด่ผู้มีพระคุณทุกท่านที่ให้ ความช่วยเหลือด้วยดีตลอดมาจนสาํ เรจ็ ตามหลักสตู ร วสนั ต์ ไชยทววี งศ์ นกั ศกึ ษาหลักสตู ร นบ.ปภ. ร่นุ ที่ 10 มนี าคม 2557

ค    บทสรปุ สาํ หรบั ผบู้ รหิ าร ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลามีหน้าท่ีกํากับดูแล 5 จังหวัดภาคใต้ ตอนล่าง คือ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส หนึ่งในภารกิจหลักของศูนย์ป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา คือ สร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย ซ่ึงที่ผ่านมาได้จัดโครงการและหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัยมากมายในขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนของศูนย์ฯ กลับละเลย หรือมองข้ามการมีส่วนร่วมในการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่จะมีความรู้ความสนใจเฉพาะรายละเอียดของงานที่ตนเองปฏิบัติ อยู่เท่านั้นดังนั้น จึงจําเป็นต้องศึกษาการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซ่ึงผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ผู้บังคับบัญชา และหน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีใน การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยต่อไปการศึกษาวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับการมี ส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยและ2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามตัวแปร เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงานโดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ ประกอบด้วย การค้นคว้า ข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง การเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยนําข้อมูล ท่ไี ดม้ าประมวลผลวเิ คราะห์เนอ้ื หาเพ่ือตอบคําถามการวิจัย และแสวงหาขอ้ ค้นพบจากการศึกษาวจิ ัย ผลการศึกษาวิจยั 1.ผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 41 – 50 ปี ตําแหน่งลูกจ้างประจํา มปี ระสบการณ์ในการทาํ งานมากกว่า 20 ปขี ้ึนไป และสงั กดั กล่มุ งานสนับสนนุ ทรัพยากรก้ภู ัย 2. การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12สงขลา ในการ ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ในภาพรวมอยูใ่ นระดบั มีส่วนรว่ มปานกลาง เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมีส่วนร่วมปานกลาง โดยด้านขณะเกิดภัย มีค่าเฉล่ียสูงสุดและด้านหลังเกิด ภยั มีค่าเฉล่ยี ต่ําสุด 3. การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12สงขลา ในการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในภาพรวม จําแนกตาม อายุ และสังกัดกลุ่มงาน มีระดับการมีส่วน ร่วมไม่แตกต่างกันส่วนการมีส่วนร่วมจําแนกตามเพศ ตําแหน่ง และประสบการณ์ในการทํางานมี ระดับการมสี ่วนรว่ มแตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสําคญั ทางสถติ ิที่ระดับ .05 4. ข้อเสนอแนะให้หน่วยงานต้องจัดให้มีการซ้อมแผนฯ ภายในหน่วยงาน โดยแบ่งเจ้าหน้าที่ เป็นกลุ่มคละกัน หมุนเวียนกันฝึกทุกเดือนจนครบทุกคน มีความถี่สูงสุด รองลงมาคือหน่วยงานต้อง จดั การอบรมเพื่อเพิ่มพนู ความรคู้ วามเขา้ ใจของเจ้าหน้าทใ่ี นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

ง    ข้อเสนอแนะสาํ หรบั การนําผลไปใช้ เพ่ือให้ผลการศึกษาครั้งนี้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ จึงต้องมีความ ตระหนกั และเหน็ ความสําคัญดงั น้ี 1.ผู้อํานวยการศูนย์ฯควรจัดโครงการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย เขต 12 สงขลา เพ่ือให้เจ้าหน้าที่เพ่ิมพูนความรู้ความเข้าใจด้านการป้องกันและบรรเทา สาธารณภยั 2.ผู้อาํ นวยการศูนย์ฯควรจัดการฝึกซ้อมแผนฯ ขึ้นภายในหน่วยงาน โดยให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมี โอกาสฝกึ ทกั ษะการใช้เครือ่ งมอื และอุปกรณท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั 3.ผู้อํานวยการศูนย์ฯควรจัดการอบรมให้เจ้าหน้าท่ีทุกคนมีความรู้ในการปฐมพยาบาล เบ้ืองตน้ แก่ผู้ท่ีประสบภยั ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ อบุ ัติภัยทางถนน อคั คภี ัย อุทกภัยเปน็ ตน้ ขอ้ เสนอแนะสาํ หรบั การวิจยั คร้งั ไป เพื่อให้ผลการศึกษาในคร้ังน้ีสามารถขยายต่อไปในทัศนะท่ีกว้างมากข้ึนอันจะเป็นประโยชน์ ในการอธิบายปรากฏการณ์และปัญหาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือปัญหาอ่ืนที่มีความ เกย่ี วข้องกนั ผู้ทําวิจัยจึงขอเสนอแนะประเด็นสาํ หรับการทําวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไปดังน้ี 1.ควรศกึ ษาการมสี ่วนร่วมของอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื น (อปพร.) จังหวัดสงขลา ใน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อให้ทราบว่า เจ้าหน้าที่ อปพร. มีระดับการมีส่วนร่วมในการ ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั อย่ใู นระดบั ใด ซึง่ ผลการศึกษาสามารถเปน็ ประโยชนแ์ ก่หน่วยงานได้ 2.ในการศึกษาวิจัยครง้ั ตอ่ ไปควรเพม่ิ ตวั แปรอน่ื ๆตวั แปรอิสระ เช่นระดับการศึกษา รายได้ต่อ เดือน เป็นต้น ส่วนตัวแปรตามอาจจะเป็น ความรู้ความเข้าใจ หรือทัศนคติของการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั ซงึ่ ตวั แปรเหล่าน้จี ะใหข้ ้อมูลท่เี ปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ้บู งั คบั บญั ชาได้ 3.ควรศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยใช้การวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณแบบ คูณปกติ (multiple regression analysis) เพื่อหาว่ามีปัจจัยตัวใดบ้างที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของ เจ้าหน้าท่ี โดยอาจมีปัจจัยบุคคล ปัจจัยด้านการปฏิบัติงาน ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน รว่ มงาน เปน็ ตน้

จ สารบญั หนา้ เร่อื ง ก ข คาํ นาํ ค กติ ติกรรมประกาศ จ บทสรุปสาํ หรบั ผู้บรหิ าร ช สารบัญ ซ สารบญั ตาราง สารบัญภาพ 1 2 บทที่ 1 บทนาํ 2 ความสาํ คัญและทีม่ าของปัญหาวิจยั 3 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 3 ขอบเขตของการวิจัย 3 สมมติฐานของการวิจัย ประโยชน์ท่ไี ด้จากการวิจยั 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 8 18 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ทเี่ กยี่ วข้อง แนวคิดการมีสว่ นรว่ ม 28 แนวคิดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 32 พระราชบญั ญัตปิ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 34 ประวตั ิความเป็นมา และโครงสรา้ งของศูนยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา 36 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง 37 กรอบความคิดในการวจิ ัย 37 38 บทที่ 3 ระเบยี บวิธีวิจัย 38 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 39 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย 39 การตรวจสอบเครื่องมอื 40 องคป์ ระกอบของแบบสอบถาม การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การแปลผลขอ้ มูล การวเิ คราะหข์ อ้ มูล สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู

ฉ สารบญั (ต่อ) เร่อื ง หนา้ บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ขอ้ มลู ท่วั ไปของผู้ตอบแบบสอบถามจาํ แนกตามตวั แปรอสิ ระ 41 การมสี ่วนร่วมของเจา้ หนา้ ที่ศูนย์ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 43 สรปุ ผลการทดสอบสมมุตฐิ าน 54 ข้อเสนอแนะเกีย่ วกับการมสี ่วนร่วมของเจ้าหน้าทศ่ี นู ยป์ อ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั 55 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ัย การอภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผลการวจิ ยั 56 การอภปิ รายผล 58 ข้อเสนอแนะสาํ หรบั การนําผลไปใช้ 59 ขอ้ เสนอแนะสาํ หรบั การวิจัยคร้งั ไป 60 บรรณานุกรม 61 ภาคผนวก แบบสอบถาม ตารางของ Krejcie และ Morgan ประวัติผู้วจิ ยั

ช สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ 1 ปฏทิ นิ สาธารณภยั ประจาํ ปี 9 2 จาํ นวนประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 36 3 จํานวนและร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ แนกตามตวั แปรเพศ อายุ ตาํ แหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสงั กัดกลมุ่ งาน 41 4 คา่ เฉล่ีย (x¯) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับการมสี ว่ นรว่ มของเจา้ หนา้ ที่ ศูนยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั จําแนกตามภาพรวม และรายด้าน 43 5 ค่าเฉลีย่ (x¯) คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดบั การมีส่วนรว่ มของเจ้าหนา้ ท่ศี นู ยป์ ้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านก่อนเกิดภัย จาํ แนกตามรายขอ้ 43 6 ค่าเฉล่ยี (x¯) คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดบั การมสี ว่ นร่วมของเจา้ หน้าทศ่ี ูนย์ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ดา้ นขณะเกดิ ภัย จําแนกตามรายขอ้ 45 7 ค่าเฉลี่ย (x¯) คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับการมสี ่วนรว่ มของเจ้าหน้าท่ีศูนยป์ อ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย ดา้ นหลังเกดิ ภัย จําแนกตามรายข้อ 46 8 เปรียบเทียบการมสี ว่ นร่วมของเจา้ หนา้ ท่ีศูนย์ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ในภาพรวม จาํ แนกตามตัวแปรอิสระ 48 9 เปรยี บเทยี บการมีสว่ นร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนยป์ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านก่อนเกดิ ภัย จาํ แนกตามตัวแปรอสิ ระ 50 10 เปรยี บเทยี บการมสี ่วนร่วมของเจ้าหน้าทศ่ี ูนยป์ ้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านขณะเกดิ ภยั จําแนกตามตัวแปรอิสระ 51 11 เปรียบเทยี บการมสี ่วนร่วมของเจ้าหนา้ ทีศ่ นู ย์ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั ดา้ นหลงั เกดิ ภัย จาํ แนกตามตัวแปรอสิ ระ 52 12 สรุปผลการทดสอบสมมุติฐาน 54 13 ขอ้ เสนอแนะเก่ยี วกบั การมีสว่ นร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั 55

ซ สารบญั ภาพ หนา้ ภาพท่ี 17 29 1 วฏั จกั รการบริหารจดั การสาธารณภยั (Disaster Management Cycle) 35 2 แผนภูมิโครงสรา้ งของศูนยป์ ้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา 3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม

บทที่ 1 บทนาํ ความสาํ คญั และทม่ี าของปญั หาวิจยั กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ก่อต้ังขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ วางแนวทางในการปฎิรูประบบราชการ โดยดําเนินการปรับปรุงระบบการบริหารราชการแผ่นดินของ ส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นระบบ ซ่ึงมีการก่อตั้งหน่วยงานข้ึนใหม่ เพ่ือให้เป็นหน่วยงานหลัก ในการ ปฎิบัติภารกิจท่ีเคยซํ้าซ้อนอยู่ในหน่วยงานอื่น ๆ ให้เป็นระบบ เปรียบเสมือนเป็นเจ้าภาพในการ ดําเนินงาน เพ่ือประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งยังเป็นการตอบสนองความ ตอ้ งการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วย่ิงขึ้น โดยมีภารกิจหน้าท่ีในการจัดทําแผนแม่บท วางมาตรการ ส่งเสริมสนับสนุน การป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟูจากสาธารณภัย โดยกําหนดนโยบายด้านความ ปลอดภัย สร้างระบบป้องกัน เตือนภัย ฟ้ืนฟูหลังเกิดภัย และการติดตามประเมินผล เพื่อให้ หลักประกันในด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประกอบด้วยบุคลากรท่ีถ่ายโอนมาจาก 5 หน่วยงาน คือ กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท กองป้องกันภัย ฝา่ ยพลเรือน กรมการปกครอง สาํ นักงานคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี กองสงเคราะห์ผู้ประสบภัย กรมประชาสงเคราะห์ และกรมการพัฒนาชุมชน ซ่ึงบุคลากรจาก หนว่ ยงานเหลา่ นี้ จะเป็นนาํ้ หน่งึ ใจเดยี วกันใจการปฏบิ ัติงานป้องกนั บรรเทา และฟ้ืนฟู ด้วยระบบการ บริหารจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบ และเกิดผลสัมฤทธ์ิในการลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นจาก สาธารณภัยทุกประเภทอย่างเป็นรูปธรรม เม่ือมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นศูนย์กลาง หลักในการจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบ การพัฒนาประสิทธิภาพระบบการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย เพ่ือให้ประชาชนได้รับการดูแลเอาใจใส่ ให้มีความปลอดภัย และไม่มีความสูญเสียด้าน ชีวิตและทรัพยส์ นิ ทส่ี บื เน่ืองจากสาธารณภัย โดยมีวิสยั ทัศน์ คอื “กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นองค์กรหลักของประเทศในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีมาตรฐาน เพ่ือให้ประเทศไทย เป็นเมืองปลอดภัย” ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา เป็นหน่วยงานท่ีสืบเนื่องจากนโยบาย ปฏิรูประบบราชการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 มีหน้าที่กํากับ ดแู ล 5 จงั หวดั ภาคใต้ตอนล่าง คือ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีอํานาจหน้าท่ีเก่ียวกับ การอํานวยการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยและพื้นที่เกิดภัยขนาดใหญ่ การสนับสนุน และปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและฟ้ืนฟูสภาพพ้ืนที่ การให้ความรู้ คําแนะนํา ตลอดจนติดตามและประเมินผลการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ เกี่ยวข้อง การสนับสนุนและจัดให้มีการฝึกอบรมซ้อมแผนป้องกันสาธารณภัย การบริหารจัดการ กิจการอาสาสมัครเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุน การปฏิบัติงานของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมาย ซ่ึงหนึ่งในภารกิจหลักของศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา คือ สร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมในการป้องกัน

2   และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดโครงการ และหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภยั มากมาย โดยได้รบั การสนับสนุน และได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิเช่น องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) รวมถึงมูลนิธิและองค์กรการกุศล ต่าง ๆ ในขณะท่ีเจ้าหน้าท่ีบางส่วนของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา กลับ ละเลย หรือมองข้ามการมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่จะมีความรู้ความสนใจ เฉพาะรายละเอียดของงานท่ีตนเองปฏิบัติอยู่เท่าน้ัน ยกตัวอย่างเช่น บุคลากรฝ่ายบริหารงานท่ัวไป ซึ่งรับผิดชอบการปฏิบัติงานบริหารงานทั่วไป งานสารบรรณ งานงบประมาณ งานการเงินและบัญชี งานการเจ้าหน้าที่ งานอาคารสถานที่ ยานพาหนะ พสั ดุครุภัณฑ์ งานเรื่องราวร้องทุกข์ งานรัฐพิธี ราช พิธี ตลอดจนการบริหารงบกลางและเงินทดรองราชการในความรับผิดชอบของศูนย์ฯ ก็จะมีความรู้ ความสนใจเฉพาะรายละเอยี ดของงานทีต่ นเองปฏบิ ัตอิ ย่เู ทา่ นัน้ ดงั นน้ั ในฐานะท่ีผู้วิจัยเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าท่ีของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลาจงึ สนใจศึกษาการมสี ว่ นร่วมของเจ้าหน้าทศี่ นู ยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ผู้บังคับบัญชา และหน่วยงาน เพ่ือเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั ตอ่ ไป วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1.เพ่ือศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั 2. เพอื่ เปรยี บเทียบการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามตัวแปร เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การ ทํางาน และสังกัดกลุม่ งาน ขอบเขตการวิจัย ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณสําหรับการศึกษาในคร้ังนี้ โดยเลือกใช้วิธีการสํารวจด้วย แบบสอบถามทส่ี รา้ งข้ึนและไดก้ ําหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดงั นี้ คอื 1. ประชากรท่ีใช้ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา จํานวนทัง้ สิ้น 130 คน 2. ตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเลือกจากประชากร ซึ่งกําหนดจํานวนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krecie & Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 97 คน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) 3. ตัวแปรทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการศึกษา ประกอบดว้ ย ตัวแปรตาม คือ การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย 3 ดา้ น คอื กอ่ นเกิดภยั ขณะเกดิ ภยั และหลังเกิดภัย ตัวแปรอสิ ระ คือ เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทาํ งาน และสังกดั กลมุ่ งาน

3   4. พื้นทที่ ี่ผู้วจิ ัยใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู คือ บรเิ วณศูนยป์ ้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา 5. ระยะเวลาในการศกึ ษา คอื ชว่ งเดือน มกราคม – มนี าคม พ.ศ. 2557 สมมตฐิ านของการวิจัย 1. เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา มีระดับการมีส่วนร่วมใน การป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัยอยูใ่ นระดบั ปานกลาง 2. เจ้าหน้าท่ีที่มี เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงานต่างกัน มี ระดบั การมสี ว่ นรว่ มในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแตกต่างกนั ประโยชนท์ ี่ไดจ้ ากการวจิ ยั 1. ผู้วิจัยสามารถนําเสนอผลการศึกษาให้เจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา เพือ่ เปน็ แนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการมีส่วนร่วมของตนเอง ในการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยต่อไป 2. ผู้วิจัยสามารถนําเสนอผลการศึกษาให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุง แก้ไขการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลตอ่ ไป นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ คาํ นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะในการศกึ ษาในครัง้ นี้ ได้แก่ หน่วยงาน หมายถงึ ศนู ยป์ อ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา ผู้บังคับบัญชา หมายถึง ผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา เจ้าหน้าที่ หมายถึง บุคลากรท่ีปฏิบัติงานในศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา การมีส่วนร่วม หมายถึง การได้เข้าไปเก่ียวข้องที่อาจเป็นการเข้าร่วมแบบทางตรง หรือ ทางออ้ มในการทาํ กจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งก็ได้ สาธารณภัย หมายถึง ภัยอันได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง ภาวะฝนท้ิงช่วง ฟ้าผ่า ภัยอันเกิดจากไฟป่า ภัยจากโรคหรือการระบาดของแมลงหรือศัตรูพืชทุกชนิด อากาศหนาวจัด จน สัตว์ต้องสูญเสียชีวิตตลอดจนภัยอ่ืน ๆ ท่ีมีผลต่อสาธารณะไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ หรือมีผู้ทําให้ เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของ ประเทศหรือของรัฐ

4   ก่อนเกิดภัย หมายถึง ข้ันตอนการปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีก่อนการเกิดสาธารณภัย คือ การแจ้ง เตือนภัยให้กับท้ังหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และประชาชน ความรับผิดชอบด้านเคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ วัสดุ อุปกรณ์ที่จําเป็นต้องนําไปใช้ในกรณีที่เกิดภัย และการหาวิธีป้องกันและลดผลกระทบที่เกิดจากสา ธารณภัยตามโครงการท่ไี ด้กาํ หนดไว้ ขณะเกิดภัย หมายถึง ขั้นตอนการปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีขณะเกิดสาธารณภัย คือ การจัดตั้ง ศนู ย์อํานวยการเฉพาะกิจเพ่ือเปน็ ศูนย์ประสานงาน การสนับสนนุ กําลงั เจ้าหน้าทแ่ี ละอปุ กรณ์กู้ภัยต่าง ๆ รวมถงึ ถุงยังชีพ และการรายงานความเสียหายและความชว่ ยเหลือไปยังหนว่ ยงานทเ่ี ก่ยี วข้อง หลังเกิดภัย หมายถึง ขั้นตอนการปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีหลังเกิดสาธารณภัย คือ การฟื้นฟู เยียวยา และการสงเคราะห์ผู้ประสบสาธารณภัย การโดยการให้เงินช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เชน่ ซ่อมแซมพืน้ ทปี่ ระสบภยั เป็นต้น

บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง การศึกษาศึกษาระดับการมีสว่ นร่วมของเจา้ หนา้ ที่ศูนย์ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้วิจัยได้สืบค้นจากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยจาก แหล่งตา่ ง ๆ เพ่ือเปน็ แนวทางในการศกึ ษา โดยเสนอตามลาํ ดบั ดงั น้ี 1. แนวคดิ การมสี ว่ นรว่ ม 2. แนวคดิ การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั 3. พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ. 2550 4. ประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา 5. งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง 6. กรอบความคดิ ในการวจิ ยั แนวคดิ การมสี ว่ นร่วม ความหมายการมีส่วนร่วม มนี ักวิชาการ ไดใ้ ห้ความหมายของการมีส่วนร่วม ดังน้ี จิราภรณ์ ศรีคํา (2547 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) การมี ส่วนร่วม หมายถึง การที่บุคคลท่ีมีความสนใจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเร่ืองเดียวกันเข้ามาร่วมกัน เพ่ือ ปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การดําเนินงาน การรับทราบผลการดําเนินงาน การติดตาม ประเมนิ ผล หรอื ร่วมกนั ทํากิจกรรมต่าง ๆ เพอื่ บรรลเุ ป้าหมายตามท่ีได้ตกลงกนั ไว้ จินตนา สุจจานันท์ (2549 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) การ มีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการดําเนินงานรวมพลังประชาชนกับองค์กรของรัฐหรือองค์กรเอกชน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาของชุมชน โดยให้สมาชิกเข้ามาร่วมวางแผน ปฏิบัติและ ประเมินงาน เพือ่ แก้ปญั หาของชมุ ชน ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ (2550 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทร่วมใน กิจกรรมทุกประการตามกําลังความสามารถของสมาชิกไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การดําเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และการประเมินผลร่วมกัน นําผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานในกลุ่มให้มี ประสทิ ธภิ าพยิง่ ๆ ข้ึน สัญญา เคณาภูมิ (2551 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) การมี ส่วนร่วม หมายถงึ การท่สี มาชกิ ได้มโี อกาสร่วมคดิ รว่ มตดั สนิ ใจ ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติตามโครงการ ร่วมติดตามประเมินผลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ ทั้งน้ี การมีส่วนร่วมจะต้องมาจากความ สมคั รใจ พึงพอใจ และได้รบั ผลประโยชนท์ เี่ กดิ จากชมุ ชนโดยส่วนรวมร่วมกนั

6 เมตต์ เมตต์การุณจิต (2553 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ไม่ว่าจะ เปน็ ทางตรงหรอื ทางออ้ ม ในลกั ษณะของการร่วมรับรู้ รว่ มคดิ รว่ มทํา ร่วมตัดสนิ ใจ รว่ มติดตามผล โดยสรุป การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้สมาชิกร่วมมือกันในการตัดสินใจ การ ดําเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และการประเมินผลร่วมกันเป็นไปอย่างมีอิสรภาพ และเสมอ ภาคกัน แล้วนําผลท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไข เพ่ือพัฒนางาน หรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ และความ เชี่ยวชาญของแตล่ ะคนในการแก้ปญั หาขององคก์ ร การพัฒนางานให้มปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ขึ้น การมีส่วนร่วมก่อให้เกิดผลดีต่อการขับเคล่ือนองค์กร เพราะมีผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างยิ่ง กลา่ วคอื ผู้ท่ีเข้ามามสี ่วนรว่ มยอ่ มเกดิ ความภาคภูมใิ จทไี่ ด้เปน็ สว่ นหนึง่ ของการบริหาร ความคิดเห็นถูก รับฟังและนําไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาองค์กร และที่สําคัญผู้ที่มีส่วนร่วมจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ องคก์ ร ความรู้สกึ เปน็ เจา้ ของจะเปน็ พลงั ในการขับเคลอื่ นองค์กรท่ีดที ส่ี ดุ ผลดขี องการมสี ว่ นรว่ มตอ่ การบรหิ ารจัดการองคก์ ร (วันชยั วฒั นศัพท,์ 2546 อา้ งถงึ ใน med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/participation.doc) 1. ทําให้การบริหารหรือการพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหามีความหลากหลายเป็นไป อย่างถ่ีถ้วน รอบคอบ เพราะเปน็ การระดมแนวคิดจากบคุ คลท่มี คี วามหลากหลาย ท้ังความรอบรู้ และ ประสบการณ์ 2. ทาํ ใหม้ ีการถ่วงดุลอาํ นาจซึ่งกนั และกนั โดยมใิ ห้บคุ คลใดบุคคลหน่ึงมอี าํ นาจมากเกนิ ไป ซ่งึ อาจนําไปสกู่ ารใชอ้ าํ นาจในทางท่ีไมถ่ กู ตอ้ งอันเกิดผลเสยี หายแก่องค์กรได้ 3. เป็นการขจัดปัญหา มิให้การดําเนินนโยบายใด ๆ มีผลต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากหรือน้อย เกินไป ซ่งึ จะก่อใหเ้ กดิ ความไมย่ ตุ ิธรรมในการดําเนนิ การตอ่ ทกุ ฝา่ ยได้ 4. ก่อให้เกิดการประสานงานท่ีดี ทําให้การบริหารองค์กรเป็นไปอย่างราบร่ืนและมี ประสิทธิภาพ และขอความร่วมมืองา่ ย 5. การรวมตัวกันของบุคคลเป็นองค์กรจะก่อให้เกิดพลังที่เข้มแข็ง สามารถขับเคล่ือน กิจกรรมให้เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์และตรงเป้าหมาย โดยทุกคนมคี วามรู้สกึ เปน็ เจ้าของ หลักการมีสว่ นรว่ ม (วันชัย วฒั นศัพท์, 2546 อา้ งถงึ ใน med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/participation.doc) หลักของการมีส่วนร่วม ในความหมายของการบริหารจัดการจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด กับ “การตัดสินใจ” นั่นคือ การมีส่วนร่วม จะนําไปสู่การตัดสินใจอย่างมีคุณค่าและอย่างชอบธรรม และตอ้ งเป็นการมีส่วนรว่ มอยา่ งแทจ้ ริง (meaningful participations) คอื การมสี ว่ นรว่ มนั้น ๆ ทําข้ึน หรือวางระบบขึ้น ไม่ใช่เพียงเพ่ือว่าได้จัดทําให้มีแล้วเท่านั้น แต่การมีส่วนร่วมนั้น ๆ ได้นําไปสู่การ พิจารณา ตัดสินใจ หากสมเหตุสมผล ต้องมีความชอบธรรมก็นําไปปฏิบัติ หากผู้มีอํานาจคิดว่าไม่ เหมาะสมก็จะต้องอธิบายได้ โดยมีมาตรฐานแห่งความชอบธรรม (LEGITIMACY) ในการตัดสินใจน้ัน ๆ โดยที่สังคมส่วนใหญย่ อมรบั ได้ ซ่งึ อาจจะขัดกับผลของการมสี ่วนรว่ ม

7 กระบวนการมสี ว่ นรว่ ม (วนั ชยั วฒั นศพั ท,์ 2546 อ้างถึงใน med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/participation.doc) เป็นกระบวนการท่ีจะกระจายอํานาจจากผู้มีอํานาจที่แต่เดิมมักจะใช้อํานาจเหนือ (power over หรือ power against) ตามทฤษฎีผู้มีอํานาจชอบที่จะใช้อํานาจเหนือ เช่น แม่ซ่ึงมีอํานาจ มากกว่าลูก ก็มักจะใช้อํานาจเหนือลูก ส่ังให้ลูกกลับบ้านก่อนค่ํา มาถึงวันหน่ึงลูกซึ่งโตข้ึนมาเป็นหนุ่ม เป็นสาวแล้ว ก็จะขอกลับบ้านดึก เพราะจะไปงานวันเกิดเพื่อน แม่ก็ยังใช้อํานาจเหนือให้กลับบ้าน ภายในหกโมงเย็น ถามว่าลูกสาวจะยังเชื่อและปฏิบัติตามไหม ตามทฤษฎีแล้ว หากผู้มีอํานาจยิ่งใช้ อทิ ธิพลเหนือไปเร่อื ย ๆ อาํ นาจนั้น ๆ ก็จะใช้ไม่ได้ เพราะอาํ นาจทีม่ ีหรอื ไม่มีนนั้ ไม่ใช่ว่าเรา “มี” หรือ “ไม่มี” “อํานาจ” อย่างเดียว แต่อยู่ที่คนอื่น ๆ ท่ีอยู่รอบข้างหรือท่ีเราใช้อํานาจเหนือเขานั้น เขามอง ว่าเราเหมาะสมท่ีจะมีอํานาจเหนือหรือไม่ ซ่ึงบางครั้งสําคัญกว่าด้วยซํ้าไป ฉะน้ันแทนที่แม่จะใช้ อํานาจเหนือ หันมาใช้อํานาจร่วมกับ (power with) ลงมาพูดคุยกับลูก หาทางออกที่ดีกว่าแทนการ สง่ั อยา่ งเดียว ลกู กจ็ ะยนิ ดปี ฏิบัตแิ ละเช่อื ฟงั แม่ตอ่ ไป การทํางานแบบมีส่วนร่วมนั้นไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ระดับโรงเรียน ระดับชุมชน ระดับ องค์กร หรือระดับประเทศนั้นว่ามีความสําคัญอย่างย่ิงในกระบวนทัศน์ปัจจุบัน เพราะจะช่วยให้ผู้มี ส่วนร่วมเกิดความรู้สึกความเป็นเจ้าของ (ownership) และจะทําให้ผู้มีส่วนร่วมหรือผู้มีส่วนได้ส่วน เสียน้ัน ยินยอมปฏิบัติตาม (compliance) และรวมถึงตกลงยอมรับ (commitment) ได้อย่างสมัคร ใจ เต็มใจ และสบายใจ ได้มีการดําเนินการแก้ปัญหาความไม่เรียบร้อยในห้องเรียนโดยกระบวนการมี ส่วนร่วม หลังจากพยายามด้วยวิธีการใช้ไม้เรียว ใช้กฎกติกาที่ครูอาจารย์ออกกฎ หรือวางระเบียบให้ นักเรียนปฏิบัติ แต่การยอมรับก็ยังไม่ได้ผลดีนัก ครูประจําชั้นได้ชวนนักเรียนในห้องให้ร่วมกัน “ตระหนัก” ถึงปัญหาในห้องเรียน เช่น ความสกปรก การแต่งกายนักเรียน การไม่มีระเบียบใน ห้องเรยี น ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมท่ีจะวางกติกากันเอง จนในท่ีสุดได้ระเบียบปฏิบัติประจําห้องท่ีครู รับ เอามาจัดพิมพ์ติดไว้ในห้อง ปรากฏว่าได้รับการยอมรับและการปฏิบัติตามอย่างดีกว่ากฎกติกาท่ี ครกู าํ หนดกติกานัน้ ตัวอย่างเช่นน้ี เป็นตวั อย่างที่สามารถจะนาํ ไปใชใ้ นองค์กรทจี่ ะสรา้ งกระบวนการมี ส่วนร่วมทจ่ี ะเป็นเครอื่ งมอื ของการมีส่วนร่วมอย่างมีคณุ ภาพตอ่ ไป ประเภทของการมสี ว่ นรว่ ม เมตต์ เมตต์การุณ์จิต (2553 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) ได้ กลา่ วถึงประเภทของการมสี ว่ นรว่ มโดยสามารถจาํ แนกการมีสว่ นรว่ มออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. การมีส่วนโดยตรง การมีส่วนร่วมในการบริหารเป็นเรื่องท่ีเก่ียวกับการตัดสินใจเป็นสําคัญ ดังน้นั ผู้มหี นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบกจิ กรรมโดยตรง เช่น ผู้บริหาร หัวหน้าโครงการ มักจะเปิดโอกาสให้บุคคล อืน่ เข้ามามสี ่วนรว่ มในรูปของกรรมการท่ปี รึกษาทใี่ หข้ ้อคิด ข้อเสนอแนะ เพราะกิจกรรมบางอย่างอาจ มีอุปสรรค ไม่สารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงจําเป็นต้องให้บุคคลอ่ืนเข้ามาร่วมในการตัดสินใจ เพ่ือให้ผลการตัดสินใจเป็นท่ียอมรับแก่คนทั่วไปหรือเกิดผลงานท่ีมีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วม โดยตรงจึงมีสาระสําคัญอยู่ที่ว่า เป็นการร่วมอย่างเป็นทางการและมักทําเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น คําส่ังแต่งต้งั หนงั สือเชิญประชมุ บันทกึ การประชุม เป็นต้น 2. การมีส่วนร่วมโดยอ้อม การมีส่วนร่วมโดยอ้อมเป็นเรื่องของการทํากิจกรรมใดกิจกรรม หน่ึงให้บรรลุเป้าหมายอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่ได้ร่วมในการตัดสินใจในกระบวนการบริหาร แต่

8 เป็นเรื่องของการให้การสนับสนุน ส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายเท่าน้ัน เช่น การบริจาคเงิน ทรัพย์สิน วสั ดอุ ปุ กรณ์ แรงงาน เขา้ ช่วยสมทบ ไมไ่ ด้เขา้ ร่วมประชมุ แตย่ นิ ดรี ว่ มมือ เป็นต้น ลักษณะการมีส่วนร่วม Huntington & Nelson (1975 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) ไดม้ ีหลักในการพจิ ารณาถึงลกั ษณะการมีสว่ นรว่ มดงั มีรายละเอียด ดังน้ี 1. กิจกรรม ลักษณะของการมีส่วนร่วมประเภทนี้ให้ดูจากกิจกรรมที่เข้าร่วม เช่น ด้าน การเมอื ง อาจพิจารณาจากการมสี ่วนรว่ มของประชาชนในการเลือกตั้ง การลงประชามติ การประท้วง กรณที ่รี ฐั มโี ครงการทม่ี ผี ลกระทบต่อประชาชน เปน็ ต้น ว่าสามารถกระทําได้เพยี งใด 2. ระดับการบริหาร โครงสร้างขององค์กรหน่ึงจะต้องมีสายการบังคับบัญชา ดังนั้น การมี สว่ นรว่ มจะพจิ ารณาได้จาก  ในแนวราบ ทุกแผนกทุกฝ่ายจะมีความเสมอกันในตําแหน่ง ดังน้ัน การมีส่วนร่วมใน แนวราบจึงเปน็ ไปอย่างหลวม ๆ ไม่จรงิ จัง ท้งั นอ้ี าจเปน็ เพราะมสี ถานะหรือตาํ แหนง่ เท่ากัน  ในแนวดิ่ง เป็นการมีส่วนร่วมตามสายการบังคับบัญชา เช่น มีหัวหน้าลูกน้อง มีฝ่าย แผนกต่าง ๆ ลดหล่ันกันไป เป็นต้น การทํางานจึงมีการตรวจสอบตามลําดับข้ัน การแสวงหา ผลประโยชนเ์ พอื่ ตนเองหรอื ผู้อืน่ จะได้รบั การตรวจสอบจากผู้บังคบั บัญชา  การมีส่วนร่วมทั้งแนวราบและแนวดิ่งนั้น ในบางครั้งจะต้องทํางานร่วมกัน ผู้บังคับบัญชาและเพ่ือนร่วมงานในแผนกอื่น จึงต้องแสดงบทบาทตามสถานภาพของแนวราบและ แนวด่งิ แนวคิดการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ความหมาย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557ก : www.disaster.go.th) ไดใ้ ห้ความหมายของการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย ดังนี้ การป้องกัน (Prevention) หมายถึง กิจกรรมหรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อหลีกเล่ียงและลด ผลกระทบทางลบจากภัยพิบัติ และยังหมายถึง การลดและป้องกันเหตุและความล่อแหลมต่าง ๆ ซ่ึง อาจกอ่ ให้เกดิ ภยั พิบตั ิ การบรรเทา (Mitigation) หมายถึง มาตรการและกิจกรรมต่าง ๆ ทางด้านการก่อสร้างและที่ มิใช่ด้านการก่อสร้าง ซ่ึงกําหนดหรือจัดทําข้ึนล่วงหน้าเพ่ือบรรเทา ลดหรือควบคุมผลกระทบในทาง ลบจากภยั พบิ ัติ สาธารณภัย (Disaster) หมายถึง อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีมาเป็นสา ธารณะไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ หรือมีผู้ทําให้เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของ ประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพย์สนิ ของประชาชนหรอื รัฐ

9 ประเภทของสาธารณภยั สาธารณภัยท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทย แบ่งเป็นสาธารณภัยท่ีเกิดจากธรรมชาติ สาธารณภัยที่ เกิดจากการกระทําของมนุษย์ และสาธารณภัยท่ีเกิดข้ึนในช่วงเวลาหรือเทศกาลต่าง ๆ ซ่ึงจะมีห้วง เวลาในการเตรียมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ได้ลว่ งหน้าตามปฏิทินสาธารณภัยประจําปี ตารางที่ 1 ปฏทิ นิ สาธารณภัยประจาํ ปี ประเภทของภยั ชนิดของภัย ระยะเวลา (เดอื น) ภยั ธรรมชาติ 1. ภยั หนาว ตลุ าคม – มกราคม 2. ภัยแลง้ มกราคม – พฤษภาคม 3. อทุ กภยั ตุลาคม – พฤศจิกายน และ มถิ ุนายน – กนั ยายน 4. ดนิ โคลนถลม่ ตุลาคม – พฤศจิกายน และ มิถนุ ายน – กันยายน 5. มรสมุ ฤดูรอ้ น มีนาคม – พฤษภาคม 6. แผ่นดนิ ไหว เฝา้ ระวงั ตลอดปี 7. คล่นื พายุซดั ฝ่ัง ตุลาคม – พฤศจิกายน ภยั ท่ีเกดิ จาก 1. ไฟปา่ เฝา้ ระวงั ตลอดปี ธรรมชาติและการ ภาคเหนอื เมษายน – พฤษภาคม กระทาํ ของมนษุ ย์ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื พฤศจกิ ายน – พฤษภาคม ภาคกลาง ภาคตะวันออก มนี าคม – พฤษภาคม ภาคใต้ ภัยจากการกระทาํ 1. อบุ ตั ิเหตุทางถนน เฝ้าระวังตลอดปี ของมนุษย์ 2. ภยั จากสารเคมี และวตั ถุอันตราย เฝา้ ระวังตลอดปี 3. อัคคีภัย เฝา้ ระวังตลอดปี ท่มี า : แผนการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแหง่ ชาติ พ.ศ.2553-2557 (กรมป้องกนั และบรรเทาสา ธารณภยั , 2557ก : www.disaster.go.th) การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2553-2557 กําหนดขอบเขตสาธารณภยั ไว้ดงั นี้ 1. ด้านสาธารณภยั ประกอบด้วย 14 ประเภทภยั คอื 1) อทุ กภัยและดินโคลนถลม่ 2) ภยั จากพายุหมนุ เขตรอ้ น 3) ภัยจากอคั คภี ยั 4) ภยั จากสารเคมีและวตั ถุอันตราย

10 5) ภยั จากการคมนาคมและขนส่ง 6) ภยั แลง้ 7) ภัยจากอากาศหนาว 8) ภยั จากไฟป่าและหมอกควนั 9) ภยั จากแผ่นดนิ ไหวและอาคารถล่ม 10) ภยั จากคลน่ื สนึ ามิ 11) ภัยจากโรคระบาดในมนษุ ย์ 12) ภยั จากโรค แมลง สัตว์ ศตั รพู ชื ระบาด 13) ภัยจากโรคระบาดสตั ว์ และสัตวน์ ํา้ 14) ภยั จากเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. ด้านความมนั่ คง ประกอบด้วย 4 ประเภทภัย คอื 1) ภยั จากการก่อวินาศกรรม 2) ภยั จากทุน่ ระเบิดกบั ระเบิด 3) ภยั ทางอากาศ 4) ภัยจากการชุมนุมประท้วงและก่อการจลาจล สถานการณส์ าธารณภัยของประเทศไทยที่เกิดขึน้ และสรา้ งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2545-2551) มีดังนี้ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557ก : www.disaster.go.th) 1. อุทกภยั ในห้วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับปัญหาอุทกภัยเป็นประจําและเกิดขึ้นทุกปี นับเป็นภัยพิบัติท่ีก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่ประเทศมากที่สุด โดยมีสาเหตุจากอิทธิพลของร่อง ความกดอากาศต่ํากําลังแรงพาดผา่ นภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทําให้มีฝนตกหนักและเกิดนํ้าท่วมใน หลายจังหวัด ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ส่ิงสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนได้รับ ความเสียหาย ในระยะหลังปัญหาอุทกภัยเร่ิมมีความรุนแรงมากขนึ้ และมมี ลู ค่าความเสียหายสงู มาก 2. วาตภยั วาตภัยเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่มีผลกระทบต่อพ้ืนท่ีกว้างนับร้อยตารางกิโลเมตร (โดยเฉพาะอย่างย่ิงอาณาบริเวณท่ีศูนย์กลางของพายุเคล่ือนที่ผ่านจะได้รับผลกระทบมากท่ีสุด) ซึ่ง ความเสียหายมักผันแปรไปตามความรุนแรง เม่ือพายุมีกําลังแรงในช้ันดีเปรสชั่นจะทําให้เกิดฝนตก หนัก และมักมีอุทกภัยตามมา หากพายุมีกําลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน หรือพายุไต้ฝุ่น จะก่อให้เกิด ภัยหลายอย่างพร้อมกัน ทัง้ วาตภยั อทุ กภัย และคลนื่ พายซุ ดั ฝัง่ เป็นอันตราย และอาจก่อให้เกิดความ เสยี หายถงึ ขั้นรุนแรงทาํ ให้ประชาชนเสียชวี ิตเป็นจาํ นวนมาก 3. ภัยจากดนิ โคลนถลม่ ภัยจากดินโคลนถล่มท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทย ในอดีตมีความรุนแรงไม่มากนัก โดยท่ัวไป ดินโคลนถลม่ มกั เกิดข้ึนพร้อมกับ หรือเกิดตามมาหลังจากเกิดนํ้าป่าไหลหลาก อันเนื่องมาจากพายุฝน

11 ท่ีทําให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องรุนแรง ส่งผลให้มวลดินและหินไม่สามารถรองรับการอุ้มน้ําได้ จึง เกิดการเคลื่อนตัวตามอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก ปัจจุบันปัญหาดินโคลนถล่มเร่ิมเกิดข้ึนใน ประเทศไทยบ่อยมากข้ึนและมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทําลายป่า การทําการเกษตรในพื้นที่ลาดชันการทําลายหน้าดิน เป็นต้น ส่งผลให้การเกิด ปญั หาดินโคลนถลม่ เพ่ิมมากข้ึน 4. ภัยแลง้ จากการท่ีประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การขาดแคลนนํ้าจึงส่งผลกระทบอย่าง รุนแรงต่อประชาชน การเปล่ียนแปลงของสภาพอากาศทําให้ฤดูฝนสั้นข้ึน ซ่ึงหมายถึงว่าฤดูแล้งจะ ยาวนานขนึ้ สิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาจากภาวะแห้งแล้งคือการขาดแคลนน้ํา โดยในห้วงระหว่างเดือน พฤศจิกายน-มิถุนายน ในพื้นที่ตอนบนของประเทศไทยจะมีฝนตกปริมาณน้อย ประกอบกับปริมาณ นํ้าในเขื่อนและอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาณไม่เพียงพอสําหรับประชาชนใช้อุปโภค บริโภคและเพ่ือการเกษตร โดยเฉพาะพื้นท่ีนอกเขตชลประทาน ทําให้ประชาชนต้องประสบกับความ เดือดร้อนในหลายพนื้ ที่ 5. ภัยจากคลนื่ สนึ ามิ ประเทศไทยไม่เคยมีปรากฏการณ์ของภัยจากคลื่นสึนามิมาก่อน จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ได้เกิดคลื่นสึนามิอันเน่ืองมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลคร้ังใหญ่ขนาด 9.3 ริกเตอร์ ท่ีหมู่เกาะสุมาตรา ส่งผลให้ 11 ประเทศในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 216,000 คน สําหรับประเทศไทยได้รับผลกระทบ ในเขต 6 จังหวัดชายฝ่ังทะเล อันดามัน คือ จังหวัดพังงา กระบ่ี ระนอง ภูเก็ต ตรัง และสตูล มีผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศ รวม 5,401 คน สูญหาย 2,921 คน และทําให้มีเด็กกําพร้ามากกว่า 1,215 คน มูลค่า ความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 14,491 ล้านบาท ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อระบบเศรษฐกิจและ อตุ สาหกรรมการทอ่ งเที่ยวมากกว่า 30,000 ล้านบาท 6. ภัยหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ความกดอากาศสูงจากประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้พื้นท่ีดังกล่าวเกิดความหนาวเย็น ทั่วไป โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีบนภูเขาหรือยอดดอยสูงจะหนาวเย็นมาก ซ่ึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจําวัน อีกท้ังทําให้เกิดโรคระบาดท่ีมีสาเหตุมาจากสภาพความหนาวเย็น เช่น โรคติดต่อทางเดินหายใจ โรค ไขห้ วดั ใหญ่ และโรคระบาดสัตว์ เปน็ ต้น สง่ ผลกระทบใหป้ ระชาชนได้รับความเดอื ดร้อนจํานวนมาก 7. อัคคภี ยั อัคคีภัย นับเป็นสาธารณภัยประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจํา โดยส่วนมากมีสาเหตุมา จากความประมาท ขาดความระมัดระวังหรือพลั้งเผลอ เช่น การเกิดไฟฟ้าลัดวงจร การลุกไหม้จาก การระเบิด จากการปรุงอาหารหรือจากการลอบวางเพลิง รายงานด้านอัคคีภัยของฮ่องกงพบว่า ประเภทส่ิงปลูกสร้างหรือสถานท่ีเกิดเพลิงไหม้สูงสุดเกิดในสถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับ ประเทศสหรฐั อเมรกิ าทเ่ี พลิงไหม้สว่ นใหญเ่ กดิ ภายในบ้านเรอื น 8. ภัยจากแผ่นดนิ ไหวและอาคารถลม่ ประเทศไทยยังไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แต่ได้มีการบันทึกไว้ว่าได้เกิด

12 แผ่นดินไหวขนาดปานกลางในพื้นที่ภาคเหนือ ขนาด 5.6 ริกเตอร์ เม่ือวันท่ี 17 กุมภาพันธ์ 2518 ที่ อําเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และได้เกิดแผ่นดินไหวในพื้นท่ีภาคตะวันตก ขนาด 5.9 ริกเตอร์ เมื่อ วันที่ 22 เมษายน 2526 บริเวณแนวรอยเล่ือนศรีสวัสด์ิ อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากน้นั ในบริเวณภาคตะวนั ตกและภาคเหนือ ยังมีแผ่นดินไหวที่สามารถรู้สึกได้ปีละประมาณ 5 - 6 คร้ัง ผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างโดยเฉพาะอาคาร และบ้านพกั อาศัย การตกหล่นของวัตถุในทีส่ ูง 9. ภัยจากโรคระบาดสตั วแ์ ละพชื (1) การเกิดโรคระบาดในสัตว์เล้ียงประเภทต่าง ๆ เช่น โค กระบือ สุกร ไก่ และเป็ด เป็นต้น เกิดขึ้นน้อยมากและสามารถควบคุมการระบาดไมใ่ ห้แพร่กระจายไดอ้ ย่างรวดเร็ว (2) การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก พบครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 โดย สายพันธ์ุท่ีตรวจพบเป็นชนดิ H5N1 ทงั้ นพี้ บการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกต้ังแต่ช่วงปี พ.ศ.2547- 2551 ในหลายระลอก รวมจํานวน 25 ราย และเสียชีวิต 17 ราย สว่ นการแพรร่ ะบาดของโรคพชื ยังไมม่ รี ายงานสถานการณค์ วามรุนแรง 10. ภยั จากโรคระบาดในมนุษย์ (1) โรคไข้หวัดนกหรือโรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีก (Avian Influenza) เป็นโรคสัตว์ที่อาจ ติดต่อไปยังสัตว์อื่นและคนได้ ซ่ึงต้ังแต่ปี พ.ศ.2540 จนถึงปัจจุบัน (ณ วันท่ี 17 มีนาคม 2552) มี รายงานพบโรคไข้หวัดนกชนิด H5N1 ในสัตว์ปีก 62 ประเทศ และในคน (ณ วันที่ 8 เมษายน 2552) รวม 417 ราย เสยี ชวี ิต 257 ราย ใน 15 ประเทศ ในประเทศไทยแมว้ ่าโรคไข้หวดั ใหญม่ กั จะไม่ระบาด รุนแรงเหมือนประเทศในเขตหนาว แต่พบผู้ป่วยประปรายตลอดปี และมีจํานวนผู้ป่วยมากในช่วง กลางปี และในระยะทศวรรษทผี่ า่ นมามีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปีละประมาณ 30,000-50,000 ราย และจํานวนผเู้ สียชีวิตมกั จะไม่เกินปีละ 10 ราย (2) สถานการณ์และแนวโน้มการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (H1N1) ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2552 เป็นต้นมา ประเทศเม็กซิโกเร่ิมพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และ ผู้ป่วยปอดบวมสูงข้ึนผิดปกติ จากน้ันจึงเร่ิมมีการส่งตัวอย่างจากผู้ป่วยตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบ เป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1เอ็น1) ซ่ึงส่วนของประเทศไทย จากการเฝ้า ระวงั โรคตง้ั แต่วนั ที่ 28 เมษายน - 5 สงิ หาคม 2552 พบผู้ป่วยท่ีตรวจยืนยันว่าติดเช้ือไข้หวัดใหญ่สาย พันธ์ุใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) จํานวน 10,043 ราย เสียชีวิต 81 ราย ซึ่งมีการระบาดในโรงเรียน คา่ ยทหาร และสถานบันเทงิ ในแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วท้ังชาวไทยและต่างชาติ 11. ภัยจากสารเคมแี ละวตั ถุอันตราย ภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยมักเกิดข้ึนในโรงงาน อุตสาหกรรม โกดังเก็บสารเคมี และจากการขนส่ง แต่สาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและ สิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่จะเป็นการร่ัวไหลของสารเคมีและวัตถุอันตรายและการเกิดเพลิงไหม้ สถิติการ เกดิ ภัยจากสารเคมแี ละวตั ถอุ ันตราย 12. ภยั จากไฟป่า ส่วนใหญ่ไฟป่ามักเกิดจากฝีมือมนุษย์ท่ีก่อให้เกิดไฟเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง เช่น เพื่อทําการเกษตร เพ่ือการล่าสัตว์ และจากความประมาท โดยทิ้งเศษบุหร่ีหรือเศษไฟที่ยังไม่ดับให้

13 สนิท สถิติการเกิดไฟไหม้ป่าในประเทศไทยในแต่ละปีมีความถี่ค่อนข้างสูง และมีพ้ืนท่ีได้รับความ เสยี หายจาํ นวน 13. ภยั จากการคมนาคมและขนส่ง ประเทศไทยอยู่ในชว่ งการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้เกิด ภัยจากการคมนาคมและการขนสง่ มากขนึ้ และเปน็ สาเหตุของการเสยี ชวี ติ ท่สี ําคัญในลําดับต้น ๆ ของ ประชากรของประเทศ รวมทั้งความสูญเสียด้านอ่ืน ๆ เช่น ความเสียหายต่อครอบครัวและสังคม การ สูญเสียค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ การสูญเสียแรงงานของชาติ และเกิดผลกระทบด้านจิตใจและ เศรษฐกิจของครอบครัว ฯลฯ ซ่ึงร้อยละ 90 ของภัยจากการคมนาคมและขนส่ง เกิดจากการใช้รถใช้ ถนนอย่างประมาท การทําผดิ กฎจราจร และการเมาสรุ า 14. ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ แนวโน้มสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน มุ่งเน้น การพยายามขโมยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก เช่น ข้อมูลบัญชีและพาสเวิร์ดระหว่างทําธุรกรรม ออนไลน์กับธนาคาร ภยั คุกคามลกั ษณะนี้คิดเปน็ สัดสว่ นร้อยละ 70 ของภัยคกุ คามทั้งหมด นอกจากน้ี การท่ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถูกเจาะและยึดครองโดยเหล่าอาชญากรคอมพิวเตอร์ผ่านทาง ไวรัส โดยท่ีเจ้าของคอมพิวเตอร์ไม่รู้ตัว ได้กลายเป็นเคร่ืองมือสําคัญในการแสวงหาประโยชน์ของนัก เทคโนโลยีสารสนเทศในโลกใตด้ นิ ท่ีสนับสนุนการทําอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ 15. ภยั จากการก่อวนิ าศกรรม เปน็ ภัยที่เกิดจากการกระทาํ ใด ๆ เพื่อทําลาย ทําความเสียหายต่อทรัพย์สิน วัสดุ อาคาร สถานท่ี ยุทธปัจจัย สาธารณูปโภค และสิ่งอํานวยความสะดวก หรือรบกวน ขัดขวาง หน่วงเหน่ียว ระบบการปฏิบัติงานใด ๆ รวมทั้งการประทุษร้ายต่อบุคคลซึ่งทําให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ด้วยความมุ่งหมายที่จะทําให้เกิดผลร้ายต่อความสงบ เรยี บรอ้ ยหรอื ความมน่ั คงแห่งชาติ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับสาธารณภัยที่เกิดขึ้นใหม่อีกหลายประเภท เช่น ภัย จากคล่ืนซัดชายฝั่ง ภัยจากหมอกควัน ภัยจากโรคซาร์ส ภัยจากโรคไข้หวัดนก ภัยจากโรคเอดส์ เป็น ต้น ซึ่งล้วนเป็นสาธารณภัยที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต จิตใจ และทรัพย์สินของประชาชนจํานวนมาก รวมถึงระบบเศรษฐกิจต้ังแต่ระดับรากแก้วไปจนถึงระดับชาติ สาธารณภัยเหล่าน้ีหากไม่มีการ เตรียมการในการป้องกันหรือมีมาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการ จะส่งผลให้เกิดความเสียหาย ตอ่ ชีวติ รา่ งกาย ทรัพยส์ นิ ของประชาชน และกลายเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะ ยาว เน่ืองจากรัฐต้องนําเงินงบประมาณแผ่นดินมาเพื่อจ่ายชดเชยช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยอัน เน่อื งมาจากสาธารณภยั ท่ีเกดิ ขึ้นในแตล่ ะปีเป็นจํานวนมาก และมีอัตราการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อ การนเี้ พิม่ มากขึ้นทกุ ปี

14 ตารางท่ี 2 สถิติการใช้เงินทดรองราชการเพ่ือช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพ่ือช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2546 และที่ แกไ้ ขเพ่ิมเติม ปีงบประมาณ จํานวนเงิน อตั ราท่เี พมิ่ ขึน้ พ.ศ. (ล้านบาท) (รอ้ ยละ) 2547 1,627 - 2548 5,058 210.8 2549 6,472 27.9 2550 7,933 22.5 2551 9,267 16.8 ท่มี า : แผนการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาติ พ.ศ.2553-2557 (กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสา ธารณภัย, 2557ก : www.disaster.go.th) จากมลู ค่าของการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพ่ือช่วยเหลือผู้ประสบภัยข้างต้น เป็นการใช้จ่าย เพ่ือช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยประเภทต่าง ๆ ในระยะ 5 ปี เรียง ตามลําดบั ประเภทภยั ตารางที่ 3 ลาํ ดับประเภทภัยทจ่ี ่ายเงินทดรองราชการเพ่อื ชว่ ยเหลือผูป้ ระสบภยั ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2547 – 2551) ลําดับ ประเภทภัย อตั ราการจา่ ยเงินทดรองราชการ (รอ้ ยละ) 1 อทุ กภยั 56.92 2 ภยั แล้ง 25.55 3 ภยั หนาว 4.77 4 ภยั จากคลนื่ สึนามิ 3.24 5 วาตภัย 3.19 6 ภยั จากไข้หวัดนก 1.94 7 ภยั จากฝนทงิ้ ชว่ ง 1.82 8 อัคคภี ัย 1.22 9 ภยั จากศัตรูพชื ระบาด 0.59 10 ภัยจากการกอ่ การรา้ ย 0.27 11 ภัยอื่น ๆ 0.26 ทมี่ า : แผนการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ พ.ศ.2553-2557 (กรมป้องกนั และบรรเทาสา ธารณภยั , 2557ก : www.disaster.go.th)

15 การบรหิ ารจดั การสาธารณภยั ของประเทศไทย จากสภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ท่ีเปล่ียนไป ทําให้สาธารณภัยมีแนวโน้มที่จะทวีความถี่ ของการเกิดมากขึ้นและมีความรุนแรงเพ่ิมขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยได้มีการพัฒนาความก้าวหน้า และความเจริญในทุก ๆ ด้าน ซ่ึงส่งผลให้สาธารณภัยที่เกิดข้ึนมีความหลากหลายและซับซ้อนมากข้ึน เชน่ กัน การบรหิ ารและจดั การสาธารณภัยจงึ เปน็ เร่ืองสําคัญอย่างยิ่งและจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย และแผนงานตา่ ง ๆ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557ก : www.disaster.go.th) การบรหิ ารจดั การตามแผนป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรือนแหง่ ชาติ พ.ศ.2548 แผนฉบับน้ีจัดทําขึ้นตามพระราชบัญญัติป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2522 ซึ่งกําหนดให้ สํานักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนต้องจัดทําแผนฯ ทุกสามปี แผนดังกล่าวได้วางทิศทางและ นโยบายในด้านการบริหารจดั การสาธารณภัยของประเทศท่ีจะเปน็ แนวทางในอนาคต โดยมีนโยบายท่ี สําคญั คือ 1. เน้นการป้องกันโดยการจัดการสาธารณภัยในเชิงรุกเพื่อลดความสูญเสีย โดยการพัฒนา ระบบเตือนภัยทุกระดับจากระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ การจัดระบบสื่อสาร ให้มีทั้ง ระบบส่ือสารหลัก ระบบสื่อสารรอง และระบบสื่อสารสํารอง การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านการ ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั 2. เน้นความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการสาธารณภัย โดยการสร้างระบบบัญชาการ เหตุการณใ์ ห้มเี อกภาพ ไมม่ ีการแทรกแซงจากทุกฝา่ ย 3. เน้นการมีส่วนร่วม โดยให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการสาธารณภัยทุกขั้นตอน อยา่ งบูรณาการ ท้งั จากภาครัฐ/รฐั วสิ าหกจิ ภาคเอกชน มลู นธิ ิ/อาสาสมัคร และประชาชน 4. เน้นการสร้างความพร้อมของชุมชน ให้มีความรู้ ตระหนัก และสามารถบริหารจัดการสา ธารณภัยไดด้ ้วยตนเอง ก่อนที่หน่วยงานภายนอกจะเขา้ มาใหค้ วามช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทยตามแนวทางของแผนป้องกัน ภัยฝ่ายพลเรือนแห่งชาติ พ.ศ.2548 ก็ยังไม่ครอบคลุมครบถ้วนทุกประเด็นของการบริหารจัดการสา ธารณภัย กล่าวคือ 1. ขาดความชัดเจนในการปฏิบัติ และความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการทั้งใน ระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับท้องถ่ิน คือผู้รับผิดชอบหลัก มีอํานาจส่ังการได้ไม่ครอบคลุม ทุกหน่วยงาน ทําให้การประสานงานและการผนึกกําลังจากหน่วยงานอื่น ๆ ในภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และอืน่ ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องไมม่ ปี ระสิทธภิ าพเทา่ ท่ีควร 2. ขาดแคลนงบประมาณ บุคลากร เครื่องจักร ยานพาหนะ และเครื่องมืออุปกรณ์ในการ บริหารจัดการสาธารณภัยท่ีเหมาะสมและจําเป็นในเบื้องต้น รวมท้ังเครื่องมือพิเศษท่ีจําเป็นต้องใช้ใน กรณตี า่ งๆ และบคุ ลากรที่มีความเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น 3. ขาดการวิจัยและพัฒนาด้านสาธารณภัยอย่างต่อเนื่องในเรื่องของพฤติกรรมและสาเหตุ ของการเกิด เรือ่ งการบริหารจดั การและแนวทางปรับปรุงแก้ไข รวมท้ังการจัดการและการวางแผนท้ัง ระดบั นโยบายและระดบั ปฏิบัติ 4. ขาดการฝึกซอ้ มแผนการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ระหวา่ งหน่วยงานอยา่ งบูรณาการ ทีเ่ พยี งพอ

16 การบริหารจัดการสาธารณภัย เป็นกระบวนการท่ีจําเป็นต้องมีความเป็นพลวัตเปล่ียนแปลง ได้ตามสถานการณ์และควบคุมการดําเนินการทุกข้ันตอน ทั้งการวางแผน การจัดวางบุคลากร การ ปฏิบัติและควบคุมดูแล รวมทั้งการประสานและร่วมมือระหว่างองค์กรต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอย่างมี ประสิทธิภาพเพ่ือการจัดการท่ีดีในทุกระยะของวงจรการจัดการสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย จึงไดก้ าํ หนดวัตถุประสงคแ์ ละเป้าหมายของการจัดการสาธารณภัยไว้ ดงั น้ี วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือเป็นกรอบและทิศทางให้หน่วยงานทุกภาคส่วนต้ังแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ ปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต้ังแต่ระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย อย่าง เปน็ ระบบ มที ิศทางเดียวกนั และเสริมกําลังกันอย่างบรู ณาการ 2. เพื่อจัดระบบการดําเนินงานและการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไว้รองรับ สถานการณ์สาธารณภัยตามลักษณะความเส่ียงภัย ให้แก่หน่วยงานทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ถงึ ระดับประเทศ ท้งั ในระยะก่อนเกิดภยั ระหว่างเกิดภัย และหลังเกดิ ภัย 3. เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกัน การเตรียมความพร้อม การระงับและบรรเทา และการฟื้นฟูบูรณะ ให้หน่วยงานทุกภาคส่วนต้ังแต่ระดับท้องถ่ินถึงระดับประเทศสามารถปฏิบัติงาน ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพและมีประสทิ ธิผลสูงสุดในทกุ สถานการณ์ เปา้ หมาย 1. ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในระบบการบริหารจัดการสาธารณภัย ท้ังใน ระยะกอ่ นเกิดภัย ระหวา่ งเกดิ ภยั และหลังเกิดภัย 2. มีความพร้อมด้านทรัพยากร ซึ่งประกอบด้วยงบประมาณ บุคลากร เครื่องจักรกล ยานพาหนะ และเครื่องมืออุปกรณ์ ที่จําเป็นต้องใช้ในการป้องกันสาธารณภัย บรรเทาและลด ผลกระทบจากสาธารณภยั และการฟน้ื ฟูบรู ณะ 3. ประชาชนมีจติ สาํ นึกและมีความตระหนักด้านความปลอดภยั (Safety Mind) เพ่ือรว่ มกนั สรา้ งวฒั นธรรมความปลอดภยั (Safety Culture) ใหเ้ กดิ ขึ้นในสังคมไทย 4. ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือ พื้นที่ประสบภัยได้รับการฟื้นฟูบูรณะอย่างท่ัวถึงและเป็น ธรรม                  

17   สาธารณภยั (Disaster) การเตรยี มความพร้อม ระหวา่ งเกิดภัย การจัดการในภาวะฉกุ เฉิน (Response and Relief) (Preparedness) หลงั เกิดภยั กอ่ นเกิดภัย การปอ้ งกนั และลดผลกระทบ การจดั การหลังเกดิ ภยั (Prevention and Mitigation) (Rehabilitation and Reconstruction) ภาพท่ี 1 วัฏจกั รการบรหิ ารจดั การสาธารณภัย (Disaster Management Cycle) (ท่มี า : กรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย, 2557ก : www.disaster.go.th) วฏั จกั รการบรหิ ารจดั การสาธารณภัย การป้องกัน (Prevention) หมายถึง มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ท่ีกําหนดขึ้นล่วงหน้า ท้ัง ทางด้านโครงสร้าง (Structural Approach) และท่ีมิใช่ด้านโครงสร้าง (Non Structural Approach) เพือ่ ลดหรือควบคมุ ผลกระทบในทางลบจากสาธารณภยั การลดผลกระทบ (Mitigation) หมายถึง กิจกรรมหรือวิธีการต่าง ๆ เพ่ือหลีกเล่ียงและลด ผลกระทบทางลบจากสาธารณภัย และยงั หมายถึงการลดและป้องกันมิให้เกิดเหตุหรือลดโอกาสท่ีอาจ กอ่ ให้เกดิ สาธารณภยั การป้องกันและลดผลกระทบ ประกอบด้วย การใช้มาตรการใช้ส่ิงก่อสร้าง และมาตรการไม่ ใชส้ ่งิ ก่อสรา้ งตา่ ง ๆ เชน่ ระบบการจัดการฐานข้อมูลและสารสนเทศ ระบบการประเมินความเส่ียงภัย และการจัดทําพ้ืนท่ีเสี่ยงภัย การพัฒนาแผนหลักและแผนปฏิบัติการ การบริหารจัดการภัยพิบัติ โดย อาศัยชุมชนเป็นฐาน (Community Based Disaster Risk Management) การสร้างความตระหนัก และการใหก้ ารศึกษาเรือ่ ง ภัยพิบัติแก่ประชาชน ฯลฯ การเตรียมความพร้อม (Preparedness) หมายถึง มาตรการและกิจกรรมท่ีดําเนินการ ล่วงหน้าก่อนเกิดสาธารณภัย เพื่อเตรียมพร้อมการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้สามารถรับมือกับ ผลกระทบจากสาธารณภัยได้อย่างทันการณ์ และมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย การพัฒนาระบบการ แจ้งเตือนภัยและการกระจายข่าวสาร การจัดทําแผนและการฝึกซ้อมแผน การฝึกอบรมเพ่ือเตรียม ความพร้อมรับภัย การเตรียมความพร้อมด้านปัจจัยสี่ การเตรียมการสนับสนุนด้านเคร่ืองจักรกล เครื่องมือ และงบประมาณ การเตรียมพร้อมด้านการประชาสัมพันธ์ การเตรียมการด้านโครงสร้าง

18 พืน้ ฐาน ฯลฯ การจัดการในภาวะฉกุ เฉนิ (Emergency Management) หมายถงึ การจดั ต้ังองคก์ รและการ บริหารจัดการด้านต่าง ๆ เพื่อรับผิดชอบในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่าง ย่ิงการเตรียมความพร้อมรับมือและการฟื้นฟูบูรณะ ประกอบด้วย มาตรการติดตามและเฝ้าระงับ สถานการณ์ ระบบการส่ังการ การวางแผน การพัฒนาระบบสื่อสาร ทิศทางการหนีภัย การอพยพผู้ ประสบภัย การชว่ ยเหลอื เบอ้ื งตน้ มาตรการตอบโต้และกภู้ ัย การปฏิบตั งิ านซ่อมฉุกเฉนิ ฯลฯ การฟื้นฟูบูรณะ (Rehabilitation) หมายถึง การฟ้ืนฟูสภาพเพื่อทําให้ส่ิงท่ีถูกทําลายหรือ ได้รับความเสียหายจากสาธารณภัยได้รับการช่วยเหลือ แก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิมหรือดีกว่าเดิม รวมท้ังใหผ้ ปู้ ระสบภัยสามารถดํารงชวี ติ ตามสภาพปกตไิ ด้โดยเร็ว การจัดการหลังเกิดภัย ประกอบด้วย การประเมินความเสียหายของผู้ประสบภัย มาตรการ ช่วยเหลือและบรรเทา มาตรการดูแลสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน และสิ่งของบรรเทาทุกข์ การฟืนฟูสิ่งอํานวยความสะดวกเบ้ืองต้น การประเมินความเสียหายเบ้ืองต้น การฟน้ื ฟูสภาพจิตใจ การตดิ ตามและประเมินผลเบ้อื งตน้ การฟน้ื ฟูอาชพี ฯลฯ พระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี 124 ตอนที่ 52 ก. วันที่ 7 กันยายน 2550 หน้า 1-23 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป เพ่ือเป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการสาธารณภัยในปัจจุบัน โดย ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2552 และพระราชบัญญัติป้องกันและระงับ อัคคีภัย พ.ศ. 2542 ท้ังน้ีเพ่ือให้สอดคล้องกับการปฏิรูประบบราชการตามพระราชบัญญัติการ ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2545 (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557ค : www.disaster.go.th) มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550” มาตรา 2 พระราชบัญญตั นิ ีใ้ หใ้ ชบ้ ังคบั เมือ่ พ้นกําหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจา นเุ บกษาเป็นตน้ ไป มาตรา 3 ใหย้ กเลิก (1) พระราชบญั ญัติป้องกันภัยฝา่ ยพลเรอื น พ.ศ. 2522 (2) พระราชบัญญัตปิ อ้ งกันและระงบั อัคคภี ยั พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตนิ ้ี “สาธารณภัย” หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรค ระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ํา การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอ่ืน ๆ อันมีผลกระทบต่อ สาธารณชน ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทําให้เกิดข้ึน อุบัติเหตุ หรือเหตุอ่ืนใด ซ่ึงก่อให้เกิดอันตรายแก่

19 ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้ หมายความรวมถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรมด้วย “ภยั ทางอากาศ” หมายความว่า ภยั อนั เกิดจากการโจมตีทางอากาศ “การก่อวินาศกรรม” หมายความว่า การกระทําใด ๆ อันเป็นการมุ่งทําลายทรัพย์สินของ ประชาชนหรือของรัฐ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณูปโภค หรือการรบกวน ขัดขวางหน่วงเหน่ียวระบบการ ปฏิบัติงานใด ๆ ตลอดจนการประทุษร้ายต่อบุคคลอันเป็นการก่อให้เกิดความป่ันป่วนทางการเมือง การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความม่ันคงของรัฐ “หนว่ ยงานของรัฐ” หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงาน อืน่ ของรฐั แตไ่ มห่ มายความรวมถงึ องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ “องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาลองค์การ บริหารส่วนจังหวัด เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่ืนที่มีกฎหมาย จัดตั้ง “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นท่ี” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนตําบลเทศบาล เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่ืนท่ีมีกฎหมายจัดต้ัง แต่ไม่หมายความรวมถึงองค์การ บริหารสว่ นจงั หวดั และกรงุ เทพมหานคร “จงั หวดั ” ไม่หมายความรวมถึงกรงุ เทพมหานคร “อาํ เภอ” หมายความรวมถงึ กิง่ อําเภอ แต่ไมห่ มายความรวมถงึ เขตในกรุงเทพมหานคร “นายอาํ เภอ” หมายความรวมถึงปลดั อาํ เภอผ้เู ปน็ หัวหนา้ ประจํากง่ิ อําเภอ “ผ้บู ริหารท้องถิ่น” หมายความว่า นายกองค์การบริหารส่วนตําบล นายกเทศมนตรีนายกเมือง พัทยา และหัวหน้าผบู้ รหิ ารขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ แหง่ พ้ืนทอี่ ื่น “ผู้บัญชาการ” หมายความวา่ ผู้บญั ชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแหง่ ชาติ “ผู้อํานวยการ” หมายความว่า ผู้อํานวยการกลาง ผู้อํานวยการจังหวัด ผู้อํานวยการอําเภอ ผูอ้ ํานวยการท้องถิน่ และผอู้ าํ นวยการกรุงเทพมหานคร “เจา้ พนกั งาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าท่ีในการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยในพน้ื ท่ตี า่ ง ๆ ตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ “อาสาสมคั ร” หมายความว่า อาสาสมัครปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรือนตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ “อธิบด”ี หมายความว่า อธิบดกี รมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย “รฐั มนตรี” หมายความว่า รฐั มนตรผี รู้ กั ษาการตามพระราชบัญญัตนิ ี้ มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มี อํานาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติน้ี กฎกระทรวงนัน้ เมื่อได้ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแลว้ ให้ใช้บังคับได้ หมวด 1 บททวั่ ไป มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “กปภ.ช.” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซ่ึงนายกรัฐมนตรี มอบหมาย เป็น

20 ประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนที่หน่ึง ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนท่ีสอง ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวง การพฒั นาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษย์ ปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลดั กระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้ บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคน ซ่ึงคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มี ความรู้ ความเช่ียวชาญ หรือประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการ ผังเมือง และการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภยั เป็นกรรมการ ให้อธิบดเี ปน็ กรรมการและเลขานุการ และให้แต่งต้ังข้าราชการในกรมป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยจํานวนไม่เกินสองคนเปน็ ผชู้ ่วยเลขานกุ าร มาตรา 7 ให้ กปภ.ช. มอี าํ นาจหน้าท่ี ดังต่อไปนี้ (1) กาํ หนดนโยบายในการจัดทําแผนการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (2) พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตามมาตรา 11 (1) กอ่ นเสนอคณะรฐั มนตรี (3) บูรณาการพัฒนาระบบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ และหนว่ ยงานภาคเอกชนท่ีเกยี่ วข้องให้มีประสิทธิภาพ (4) ให้คําแนะนํา ปรึกษาและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภยั (5) วางระเบียบเก่ียวกับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายในการดําเนินการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลงั (6) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติน้ีหรือกฎหมายอ่ืน หรือตามท่ี คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ในการปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ในวรรคหนึ่ง กปภ.ช. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพ่ือ ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนหรือตามท่ีมอบหมายก็ได้ ท้ังน้ี ให้นําบทบัญญัติในมาตรา ๑๐ มาใช้ บงั คบั กบั การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนโุ ลม เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอํานาจหน้าท่ีตามวรรคหน่ึง กปภ.ช. อาจเรียกให้ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือหน่วยงานของภาคเอกชน ที่เก่ียวข้องมาร่วม ประชุมหรือชีแ้ จงหรอื ใหข้ ้อมลู กไ็ ด้ มาตรา 8 ใหก้ รรมการผู้ทรงคณุ วฒุ อิ ยูใ่ นตําแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีท่ีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ หรือในกรณีท่ีคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มข้ึนในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งต้ังไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน ตําแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งแทน หรือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพ่ิมข้ึนอยู่ในตําแหน่ง เทา่ กับวาระทเ่ี หลอื อยูข่ องกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ซิ ่ึงไดแ้ ต่งตั้งไว้แลว้

21 เมื่อครบกาํ หนดตามวาระดงั กล่าวในวรรคหนงึ่ หากยงั มิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระน้ัน อยู่ในตําแหน่งเพื่อดําเนินงานต่อไป จนกว่าจะมกี ารแตง่ ต้งั กรรมการผ้ทู รงคุณวฒุ ิใหม่ กรรมการผ้ทู รงคุณวุฒิ ซึ่งพ้นจากตําแหนง่ ตามวาระอาจไดร้ ับการแต่งต้ังอีกได้ ทั้งน้ี ไม่เกินสอง วาระตดิ ต่อกัน มาตรา 9 นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระตามมาตรา ๘ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจาก ตาํ แหนง่ เมอ่ื (1) ตาย (2) ลาออก โดยย่ืนหนงั สอื ลาออกต่อประธานกรรมการ (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก (4) เป็นบคุ คลล้มละลาย (5) เป็นคนไรค้ วามสามารถ หรอื คนเสมือนไรค้ วามสามารถ (6) ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดท่ีได้ กระทาํ โดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ มาตรา 10 การประชุมของ กปภ.ช. ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวน กรรมการท้งั หมด จงึ จะเป็นองค์ประชมุ ในการประชุมคราวใด ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในท่ีประชุมหรือไม่สามารถ ปฏิบัติหน้าท่ีได้ ใหร้ องประธานกรรมการคนท่ีหนึ่งเป็นประธานในท่ีประชุม ถ้ารองประธานคนที่หน่ึงไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้รองประธานคนท่ีสองเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการท้ังสองไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้กรรมการซึ่งมา ประชุมเลอื กกรรมการคนหน่งึ เป็นประธานในทป่ี ระชมุ สาํ หรับการประชมุ คราวนั้น การวินิจฉัยช้ีขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหน่ึง ในการ ลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเทา่ กนั ใหป้ ระธานในท่ีประชมุ ออกเสยี งเพม่ิ ขึ้นอีกเสียงหนง่ึ เป็นเสยี งชี้ขาด มาตรา 11 ใหก้ รมป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั เปน็ หนว่ ยงานกลางของรฐั ในการดําเนินการ เกย่ี วกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ของประเทศ โดยมีอํานาจหน้าที่ ดังตอ่ ไปน้ี (1) จัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ กปภ.ช. เพ่ือขออนุมัติต่อ คณะรัฐมนตรี (2) จัดให้มีการศึกษาวิจัยเพ่ือหามาตรการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มี ประสทิ ธิภาพ (3) ปฏิบัติการ ประสานการปฏิบัติ ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือหน่วยงานของรัฐองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน และหน่วยงานภาคเอกชน ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และให้การ สงเคราะหเ์ บือ้ งต้นแกผ่ ้ปู ระสบภยั ผู้ได้รบั ภยนั ตราย หรือ ผ้ไู ดร้ บั ความเสยี หายจากสาธารณภัย (4) แนะนํา ให้คําปรึกษา และอบรมเก่ียวกับการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแก่ หนว่ ยงานของรฐั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน และหน่วยงานภาคเอกชน (5) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามแผนการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยในแตล่ ะระดับ

22 (6) ปฏิบัติการอื่นใดตามท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น หรือตามที่ผู้ บญั ชาการ นายกรฐั มนตรี กปภ.ช. หรอื คณะรัฐมนตรีมอบหมาย เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตาม (1) แล้ว ให้ หน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกยี่ วขอ้ งปฏิบัตกิ าร ใหเ้ ปน็ ไปตามแผน ดังกล่าว ในการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตาม (1) ให้กรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยร่วมกับหนว่ ยงานของรัฐท่ีเกีย่ วข้องและตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ละ ประเภทมาปรึกษาหารือและจัดทํา ทั้งน้ี จะจัดให้หน่วยงานภาคเอกชนเสนอข้อมูลหรือความเห็นเพื่อ ประกอบการพจิ ารณาในการจัดทาํ แผนดว้ ยก็ได้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าท่ีตาม (3) (4) (5) และ (6) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัยจะจัดให้มีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้นในบางจังหวัด เพื่อปฏิบัติงานในจังหวัดน้ันและ จงั หวดั อ่ืนทอี่ ยู่ใกลเ้ คียงกันได้ตามความจําเป็น และจะ ให้มีสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดข้ึน เพื่อกํากับดูแลและสนับสนุนการปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัดหรือ ตามที่ผอู้ าํ นวยการจังหวดั มอบหมายด้วยกไ็ ด้ มาตรา 12 แผนการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติตาม มาตรา 11 (1) อย่างน้อยต้อง มสี าระสําคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) แนวทาง มาตรการ และงบประมาณที่จําเป็นต้องใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัยอย่างเป็นระบบและตอ่ เนือ่ ง (2) แนวทางและวิธีการในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดข้ึนเฉพาะ หน้าและระยะยาวเม่ือเกิดสาธารณภัย รวมถึงการอพยพประชาชน หน่วยงานของรัฐ และองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การดูแลเก่ียวกับการสาธารณสุข และการแก้ไข ปัญหาเกย่ี วกับการส่ือสารและการสาธารณูปโภค (3) หน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีรับผิดชอบในการดําเนินการตาม (1) และ (2) และวิธกี ารให้ไดม้ าซึ่งงบประมาณเพ่อื การดาํ เนินการดงั กล่าว (4) แนวทางในการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ และจัดระบบ การปฏิบตั ิการในการดําเนนิ การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั รวมถึงการฝึกบคุ ลากรและประชาชน (5) แนวทางในการซ่อมแซม บรู ณะ ฟน้ื ฟู และให้ความชว่ ยเหลอื ประชาชนภายหลงั ทส่ี าธารณภัย สน้ิ สดุ การกําหนดเรื่องตามวรรคหนึ่ง จะต้องกําหนดให้สอดคล้องและครอบคลุมถึงสาธารณภัยต่าง ๆ โดยอาจกาํ หนดตามความจําเปน็ แหง่ ความรุนแรงและความเส่ียงในสาธารณภัยด้านน้ัน และในกรณี ที่มีความจําเป็นต้องมีการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติของคณะรัฐมนตรีที่ เกีย่ วข้อง ใหร้ ะบไุ ว้ในแผนการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาติดว้ ย มาตรา 13 ให้รัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการมีอํานาจควบคุมและกํากับการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยทั่วราชอาณาจักรให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แห่งชาติและ พระราชบัญญัติน้ี ในการนี้ ให้มีอํานาจบังคับบัญชาและส่ังการผู้อํานวยการ รองผู้อํานวยการ ผู้ช่วย ผอู้ าํ นวยการ เจ้าพนกั งาน และอาสาสมคั รได้ท่ัวราชอาณาจกั ร

23 ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นรองผู้บัญชาการมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้บั ญชาการ ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และปฏิบัติหน้าท่ีตามที่ผู้บัญชาการมอบหมาย โดยให้มีอํานาจ บังคับบญั ชาและสั่งการตามวรรคหนง่ึ รองจากผบู้ ญั ชาการ มาตรา 14 ให้อธิบดีเป็นผู้อํานวยการกลางมีหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทั่ว ราชอาณาจักร และมีอํานาจควบคุมและกํากับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อํานวยการ รองผู้อํานวยการ ผู้ช่วยผู้อาํ นวยการ เจา้ พนักงาน และอาสาสมคั ร ไดท้ ่ัวราชอาณาจกั ร มาตรา 15 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อํานวยการจังหวัด รับผิดชอบในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยในเขตจงั หวัด โดยมอี ํานาจหน้าทดี่ ังต่อไปน้ี (1) จัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ซึ่งต้องสอดคล้องกับแผนการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ (2) กาํ กับดูแลการฝกึ อบรมอาสาสมัครขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน (3) กํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้จัดให้มีวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือเครื่องใช้ ยานพาหนะ และส่ิงอื่น เพ่ือใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามที่กําหนด ในแผนการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั (4) ดําเนินการให้หน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้การสงเคราะห์เบื้องต้น แก่ผู้ประสบภัย หรือผู้ได้รับภยันตรายหรือเสียหายจากสาธารณภัย รวมตลอดท้ังการรักษาความสงบ เรยี บรอ้ ยและการปฏบิ ตั ิการใด ๆ ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย (5) สนับสนนุ และใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นในการปอ้ งกันและบรรเทา สาธารณภยั (6) ปฏิบตั ิหนา้ ท่อี ่ืนตามท่ีผู้บัญชาการและผอู้ าํ นวยการกลางมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าท่ีตาม (3) (4) และ (5) ให้ผู้อํานวยการจังหวัด มีอํานาจสั่ง การหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินซึ่งอยู่ในจังหวัด ให้ดําเนินการในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และมีอํานาจสั่งการ ควบคุม และกาํ กับดูแลการปฏิบัติหน้าทขี่ อง เจา้ พนกั งานและอาสาสมคั รให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั นิ ี มาตรา ๑๖ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตามมาตรา 15 (1) อย่างน้อยต้องมี สาระสําคญั ตามมาตรา 12 และสาระสําคัญอ่นื ดังต่อไปน้ี (1) การจัดต้ังศูนย์อํานวยการเฉพาะกิจเมื่อเกิดสาธารณภัยข้ึน โครงสร้าง และผู้มีอํานาจสั่ง การดา้ นตา่ ง ๆ ในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั (2) แผนและข้ันตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครอื่ งใช้ และยานพาหนะ เพื่อใช้ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั (3) แผนและข้ันตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ในการจัดให้มีเครื่องหมาย สัญญาณ หรอื สง่ิ อื่นใด ในการแจง้ ใหป้ ระชาชนไดท้ ราบถงึ การเกิดหรอื จะเกดิ สาธารณภยั (4) แผนปฏิบตั ิการในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ (5) แผนการประสานงานกบั องคก์ ารสาธารณกุศล มาตรา 17 ในการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการ จังหวดั แต่งตง้ั คณะกรรมการข้ึนคณะหนึ่ง ประกอบดว้ ย

24 (1) ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เป็นประธานกรรมการ (2) รองผู้ว่าราชการจงั หวัดซึ่งผู้วา่ ราชการจงั หวัดมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ (3) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกหรือผู้บังคับการจังหวัดทหารบกหรือผู้แทนเป็นรองประธาน กรรมการ (4) นายกองค์การบริหารสว่ นจังหวัด เป็นรองประธานกรรมการ (5) กรรมการอนื่ ประกอบด้วย (ก) ผู้แทนหน่วยงานของรัฐท่ีประจําอยู่ในพื้นที่จังหวัดตามจํานวนที่ผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นสมควรแต่งต้งั (ข) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นท่ีจํานวนเจ็ดคน ซ่ึงประกอบด้วยผู้แทน เทศบาลจํานวนสองคนและผแู้ ทนองค์การบรหิ ารส่วนตําบลจํานวนห้าคน (ค) ผู้แทนองค์การสาธารณกุศลในจังหวัดตามจํานวนท่ีผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นสมควร แต่งตงั้ (6) หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือผู้แทนกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั เป็นกรรมการและเลขานุการ ในกรณีท่ีจังหวัดใดเป็นที่ต้ังของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้พิจารณาแต่งต้ัง ผู้บริหารของสถาบันการศึกษานั้น เป็นท่ีปรึกษาหรือกรรมการตามจํานวนที่ผู้ว่าราชการจังหวัด เหน็ สมควร ให้คณะกรรมการตามวรรคหน่ึงมีหน้าท่ีจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เสนอผวู้ า่ ราชการจังหวดั เพือ่ ประกาศใช้ตอ่ ไป การปฏิบัติหน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามที่ ผู้ว่า ราชการจังหวัดกาํ หนด ในกรณีท่ีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเห็นว่าแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดไมส่ อดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ให้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทราบเพ่อื ดาํ เนินการแกไ้ ขให้แลว้ เสร็จภายในสามสิบวนั นับแต่วันทีไ่ ดร้ บั แจ้ง มาตรา 18 ใหน้ ายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองผู้อํานวยการจังหวัดมีหน้าที่ช่วยเหลือ ผู้อํานวยการจังหวัดในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนตามท่ีผู้อํานวยการ จังหวดั มอบหมาย มาตรา 19 ให้นายอําเภอเป็นผู้อํานวยการอําเภอ รับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยในเขตอําเภอของตน และมีหน้าท่ีช่วยเหลือผู้อํานวยการจังหวัดตามที่ได้รับ มอบหมาย ในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ีของผู้อํานวยการอําเภอตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้อํานวยการอําเภอ มีอํานาจสั่ง การหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีเกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในเขตอําเภอให้ดําเนินการใน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และมีอํานาจ ส่ังการ ควบคุม และกํากับดูแลการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าพนักงานและอาสาสมัครให้เป็นไปตาม พระราชบัญญตั นิ ้ี

25 มาตรา 20 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพ้ืนที่มีหน้าท่ีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในเขตท้องถ่ินของตน โดยมีผู้บริหารท้องถ่ินขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพ้ืนท่ีนั้นเป็น ผู้รับผิดชอบในฐานะผู้อํานวยการท้องถิ่น และมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อํานวยการจังหวัดและผู้อํานวยการ อาํ เภอตามที่ไดร้ บั มอบหมาย ในการปฏิบัติหนา้ ทขี่ องผู้อาํ นวยการทอ้ งถน่ิ ตามวรรคหน่งึ ใหผ้ อู้ าํ นวยการท้องถิ่นมีอํานาจส่ัง การ ควบคุม และกํากับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานและอาสาสมัครให้เป็นไปตาม พระราชบัญญตั ิน้ี ให้ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพ้ืนที่นั้น เป็นผู้ช่วย ผู้อํานวยการท้องถิ่น รับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในเขต ทอ้ งถ่ินของตนและมีหน้าที่ช่วยเหลอื ผอู้ าํ นวยการทอ้ งถน่ิ ตามทไี่ ด้รับมอบหมาย หมวด ๒ การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั มาตรา 21 เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัยข้ึนในเขตขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ิน แห่งพ้ืนที่ใด ให้ผู้อํานวยการท้องถ่ินขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพื้นที่นั้น มีหน้าที่เข้า ดําเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยเร็ว และแจ้งให้ผู้อํานวยการอําเภอที่รับผิดชอบในเขต พ้นื ทน่ี น้ั และผู้อาํ นวยการจงั หวัดทราบทนั ที ในการปฏิบัติหนา้ ทตี่ ามวรรคหน่งึ ให้ผอู้ าํ นวยการท้องถิ่นมอี ํานาจหนา้ ท่ี ดงั ต่อไปน้ี (1) สั่งข้าราชการฝ่ายพลเรือน พนักงานส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าท่ีของหน่วยงานของรัฐเจ้า พนักงาน อาสาสมัคร และบุคคลใด ๆ ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพื้นที่ท่ีเกิดสาธารณภัย ให้ ปฏบิ ตั ิการอย่างหน่งึ อย่างใดตามความจําเป็นในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั (2) ใช้อาคาร สถานที่ วสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมอื เครอื่ งใช้ และยานพาหนะของหน่วยงานของรัฐ และเอกชนท่ีอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพ้ืนที่ท่ีเกิดสาธารณภัยเท่าที่จําเป็นเพ่ือการ ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั (3) ใช้เคร่ืองมือส่ือสารของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนทุกระบบที่อยู่ในเขตองค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถ่ินแหง่ พ้นื ที่ทีเ่ กดิ สาธารณภยั หรือทอ้ งทีท่ ี่เกย่ี วเนือ่ ง (4) ขอความชว่ ยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอ่ืนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย (5) ส่ังห้ามเขา้ หรอื ให้ออกจากพ้นื ท่ี อาคารหรอื สถานท่ีทีก่ าํ หนด (6) จดั ให้มกี ารสงเคราะหผ์ ปู้ ระสบภยั โดยทว่ั ถงึ และรวดเร็ว มาตรา 22 เม่อื มีกรณตี ามมาตรา 21 เกิดขึ้น ให้ผู้อํานวยการอําเภอ และผู้อํานวยการจังหวัด มีอาํ นาจหนา้ ที่เช่นเดยี วกับผอู้ าํ นวยการทอ้ งถิน่ โดยในกรณผี ้อู าํ นวยการอาํ เภอ ให้ส่ังการได้สําหรับใน เขตอําเภอของตน และในกรณผี ู้อาํ นวยการจังหวัด ใหส้ ง่ั การได้สําหรบั ในเขตจังหวัด แล้วแต่กรณี ในกรณีท่ีผู้อํานวยการท้องถ่ินมีความจําเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐที่อยู่นอกเขตขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพ้ืนท่ีของตน ให้แจ้งให้ ผู้อํานวยการอําเภอหรือผู้อํานวยการจงั หวัด แลว้ แตก่ รณี เพ่ือสงั่ การโดยเร็วต่อไป

26 ในกรณีจําเป็นเพ่อื ประโยชน์ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใด ผู้อํานวยการจังหวัดจะ สงั่ การให้หนว่ ยงานของรัฐ องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลใด กระทําหรืองด เว้นการกระทําใดที่มีผลกระทบต่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยน้ันก็ได้ คําสั่งดังกล่าวให้มีผล บงั คับเป็นระยะเวลาตามท่กี ําหนดในคําสั่ง แต่ต้องไม่เกินย่ีสิบสี่ช่ัวโมง ในกรณี ท่ีมีความจําเป็นต้องให้ คําส่ังดังกล่าวมีผลบังคับเกินย่ีสิบส่ีชั่วโมง ให้เป็นอํานาจของผู้บัญชาการ ที่จะสั่งการได้ตามความ จําเป็นแตต่ อ้ งไมเ่ กนิ เจด็ วนั ในกรณีที่พื้นท่ีที่เกิดหรือจะเกิดสาธารณภัยตามวรรคหน่ึงอยู่ในความรับผิดชอบของ ผู้อํานวยการท้องถ่ินหลายคน ผู้อํานวยการท้องถิ่นคนหน่ึงคนใด จะใช้อํานาจหรือปฏิบัติหน้าท่ีตาม มาตรา 21 ไปพลางกอ่ นกไ็ ด้ แลว้ ให้แจง้ ผู้อาํ นวยการทอ้ งถิ่นอน่ื ทราบโดยเรว็ มาตรา 23 เมื่อเกิดสาธารณภัยขึน้ ในเขตพน้ื ทข่ี ององคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินแห่งพ้ืนที่ใด ให้ เป็นหน้าที่ของผู้อํานวยการท้องถิ่นซึ่งมีพ้ืนที่ติดต่อหรือใกล้เคียงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่ง พ้ืนท่ีนนั้ ทจ่ี ะสนับสนนุ การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยท่เี กิดข้นึ มาตรา 24 เม่ือเกิดสาธารณภัย ให้เป็นหน้าท่ีของเจ้าพนักงานท่ีประสบเหตุ ต้องเข้า ดาํ เนนิ การเบื้องต้นเพอ่ื ระงับสาธารณภยั น้ัน แลว้ รบี รายงานให้ผู้อํานวยการท้องถ่ินที่รับผิดชอบในพื้นท่ี นัน้ เพ่อื สงั่ การต่อไป และในกรณจี าํ เป็นอนั ไมอ่ าจหลีกเล่ยี งได้ ให้เจ้าพนกั งานมีอํานาจดําเนินการใด ๆ เพื่อคมุ้ ครองชีวิตหรือป้องกนั ภยนั ตรายท่จี ะเกดิ แก่บุคคลได้ มาตรา 25 ในกรณีที่เกิดสาธารณภัยและภยันตรายจากสาธารณภัยนั้นใกล้จะถึง ผู้อํานวยการมีอํานาจสั่งให้เจ้าพนักงานดัดแปลง ทําลาย หรือเคล่ือนย้ายสิ่งก่อสร้าง วัสดุ หรือ ทรัพย์สินของบุคคลใดท่ีเป็นอุปสรรคแก่การบําบัดปัดป้องภยันตรายได้ ท้ังนี้ เฉพาะเท่าที่จําเป็นแก่ การยบั ยัง้ หรอื แก้ไขความเสยี หายท่จี ะเกดิ ขนึ้ จากสาธารณภยั นนั้ ความในวรรคหน่งึ ใหใ้ ชบ้ ังคบั กับกรณีมคี วามจาํ เปน็ ต้องดาํ เนินการเพอื่ ป้องกันภัยต่อส่วนรวม ดว้ ยโดยอนุโลม ในกรณีที่การดัดแปลง ทําลาย หรือเคลื่อนย้ายส่ิงก่อสร้าง วัสดุ หรือทรัพย์สินจะมีผลทําให้ เกิดสาธารณภัยข้ึนในเขตพื้นท่ีอื่นหรือก่อให้เกิดความเสียหายเพ่ิมข้ึนแก่เขตพื้นท่ีอ่ืน ผู้อํานวยการ ท้องถ่ินจะใช้อํานาจตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสองมิได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากผู้อํานวยการ จงั หวดั มาตรา 26 เมื่อมีกรณีที่เจ้าพนักงานจําเป็นต้องเข้าไปในอาคารหรือสถานท่ีท่ีอยู่ใกล้เคียงกับ พื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยเพ่ือทําการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้กระทําได้ เมื่อได้รับอนุญาตจาก เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสถานที่แล้ว เว้นแต่ไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ในเวลาน้ัน หรือเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อํานวยการ ก็ให้กระทําได้แม้เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะไม่ได้ อนุญาต ในกรณีทีท่ รัพย์สินที่อยู่ในอาคารหรือสถานทตี่ ามวรรคหนง่ึ เป็นสิ่งที่ทําให้เกิด สาธารณภัยได้ ง่ายให้เจ้าพนักงานมีอํานาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองขนย้ายทรัพย์สินนั้นออกจากอาคารหรือ สถานทด่ี งั กลา่ วได้

27 ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงานตามวรรคสองให้เจ้า พนกั งานมอี ํานาจขนย้ายทรัพย์สินนัน้ ไดต้ ามความจําเป็นแก่การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเจ้า พนกั งานไม่ตอ้ งรับผิดชอบบรรดาความเสียหายอันเกิดจากการกระทาํ ดังกลา่ ว มาตรา 27 ในการบรรเทาสาธารณภัย ผู้อํานวยการและเจ้าพนักงานซ่ึงได้รับ มอบหมายจาก ผอู้ าํ นวยการมีอํานาจหนา้ ทีด่ ําเนินการดังตอ่ ไปนี้ (1) จัดให้มีสถานท่ีช่ัวคราวเพ่ือให้ผู้ประสบภัยอยู่อาศัยหรือรับการปฐมพยาบาล และการ รกั ษาทรัพย์สินของผู้ประสบภัย (2) จัดระเบียบการจราจรชั่วคราวในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยและพ้ืนท่ีใกล้เคียง เพ่ือประโยชน์ ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั (3) ปดิ กั้นมใิ ห้ผไู้ มม่ สี ่วนเก่ยี วขอ้ งเข้าไปในพื้นที่ทีเ่ กดิ สาธารณภยั และพ้นื ท่ใี กลเ้ คยี ง (4) จดั ให้มีการรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยและปอ้ งกันเหตโุ จรผ้รู ้าย (5) ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และช่วยขนย้ายทรัพย์สินในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัย และพ้ืนที่ ใกล้เคียง เมอ่ื เจา้ ของหรอื ผ้คู รอบครองทรัพยส์ นิ ร้องขอ ผู้อํานวยการหรือเจ้าพนักงานซ่ึงได้รับมอบหมายจากผู้อํานวยการจะจัดให้มีเคร่ืองหมายหรือ อาณัติสัญญาณเพอ่ื ใช้ในการกาํ หนดสถานทห่ี รือการดาํ เนนิ การใดตามวรรคหน่งึ กไ็ ด้ ในการดําเนินการตาม (2) (3) (4) และ (5) ผู้อํานวยการหรือเจ้าพนักงาน จะดําเนินการเอง หรือมอบหมายให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจในพื้นท่ีเป็นผู้ดําเนินการ หรือช่วยดําเนินการก็ได้ และในกรณีตาม (5) จะมอบหมายให้องค์การสาธารณกุศลเป็นผู้ดําเนินการหรือช่วยดําเนินการด้วยก็ ได้ มาตรา 28 เมื่อเกิดหรือใกล้จะเกิดสาธารณภัยขึ้นในพ้ืนที่ใด และการท่ีผู้ใดอยู่อาศัยในพ้ืนท่ี นั้นจะก่อให้เกิดภยันตรายหรือกีดขวางต่อการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าพนักงาน ให้ผู้บัญชาการรองผู้ บัญชาการ ผู้อํานวยการ และเจ้าพนักงานซ่ึงได้รับมอบหมายมีอํานาจสั่งอพยพผู้ซ่ึงอยู่ในพื้นที่นั้น ออกไปจากพนื้ ท่ดี งั กล่าว ทงั้ นี้ เฉพาะเท่าทจ่ี าํ เปน็ แก่การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั มาตรา 29 เม่ือเกิดหรือใกล้จะเกิดสาธารณภัยข้ึนในพื้นท่ีใดและการอยู่อาศัยหรือดําเนิน กจิ การใด ๆ ในพืน้ ทน่ี ัน้ จะเปน็ อันตรายอย่างร้ายแรง ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ผู้อํานวยการกลาง ผู้อํานวยการจังหวัด ผู้อํานวยการอําเภอ และผู้อํานวยการท้องถ่ินโดยความเห็นชอบของผู้อํานวยการ อําเภอ จะประกาศห้ามมิให้บุคคลใด ๆ เข้าไปอยู่อาศัยหรือดําเนินกิจการใดในพ้ืนที่ดังกล่าวก็ได้ ประกาศดังกล่าวให้กําหนดระยะเวลาการห้ามและเขตพนื้ ท่ที ี่ห้ามตามท่จี าํ เปน็ ไว้ดว้ ย มาตรา 30 ให้ผู้อํานวยการในเขตพื้นที่ท่ีรับผิดชอบสํารวจความเสียหาย จากสาธารณภัยที่ เกิดขึ้นและทําบัญชีรายชื่อผู้ประสบภัยและทรัพย์สินท่ีเสียหายไว้เป็นหลักฐาน พร้อมท้ังออกหนังสือ รบั รองให้ผูป้ ระสบภยั ไวเ้ ปน็ หลกั ฐานในการรับการสงเคราะห์และฟ้นื ฟู หนังสือรับรองตามวรรคหน่ึงต้องมีรายละเอียดเก่ียวกับการสงเคราะห์และการฟ้ืนฟูที่ ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับจากทางราชการ พร้อมทั้งระบุหน่วยงานท่ีเป็นผู้ให้การสงเคราะห์หรือฟ้ืนฟู และสถานท่ตี ิดต่อของหนว่ ยงานน้ันไว้ดว้ ย ทัง้ น้ี ตามแบบท่อี ธบิ ดกี าํ หนด บรรดาเอกสารราชการของผู้ประสบภัยท่ีสูญหายหรือเสียหายเนื่องจากสาธารณภัยท่ีเกิดขึ้น เม่ือผปู้ ระสบภัยร้องขอต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัย หรือท่ีเป็นภูมิลําเนา

28 ของผู้ประสบภัย ให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นท่ีน้ัน แจ้งให้หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่เก่ียวข้องทราบ และให้หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินที่เก่ียวข้องออกเอกสารทางราชการดังกล่าวให้ใหม่ตามหลักฐานที่อยู่ในความครอบครองของ ตนส่งมอบให้แก่ผู้ประสบภัยหรือส่งมอบผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เป็นผู้แจ้ง ท้ังน้ี โดยผู้ประสบภัยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ แม้ว่าตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการออก เอกสารราชการดังกล่าวจะกําหนดให้ตอ้ งเสียค่าธรรมเนยี มหรอื คา่ บรกิ ารกต็ าม ใ น ก ร ณี ท่ี ผู้ ป ร ะ ส บ ภั ย ห รื อ เ จ้ า ข อ ง ห รื อ ผู้ ค ร อ บ ค ร อ ง ท รั พ ย์ สิ น ร้ อ ง ข อ ห ลั ก ฐ า น เพื่อรับการสงเคราะห์หรอื บริการอื่นใด ให้ผู้อํานวยการในเขตพื้นท่ีท่ีรับผิดชอบ ออกหนังสือรับรองให้ ตามระเบยี บท่กี ระทรวงมหาดไทยกําหนด มาตรา 31 ในกรณีท่เี กดิ สาธารณภัยรา้ ยแรงอยา่ งย่ิง นายกรฐั มนตรหี รือรองนายกรัฐมนตรซี ่งึ นายกรัฐมนตรีมอบหมายมีอํานาจส่ังการผู้บัญชาการ ผู้อํานวยการ หน่วยงานของรัฐ และองค์กร ปกครองสว่ นท้องถนิ่ ใหด้ ําเนินการอย่างหนงึ่ อยา่ งใดเพอ่ื ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมตลอดทั้ง ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นท่ีที่กําหนดก็ได้ โดยให้มีอํานาจเช่นเดียวกับ ผู้บัญชาการตาม มาตรา 13 และผู้อํานวยการตามมาตรา 21 และมีอํานาจกํากับและควบคุม การปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ บญั ชาการ รองผบู้ ญั ชาการ ผู้อํานวยการ รองผ้อู ํานวยการ ผู้ช่วยผ้อู ํานวยการ และเจ้าพนกั งานในการ ดาํ เนินการตามมาตรา 25 มาตรา 28และมาตรา 29 ดว้ ย เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีตามวรรค หนง่ึ ใหถ้ ือว่าเปน็ การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่โดยไม่ชอบหรอื เปน็ ความผดิ วินัยอยา่ งรา้ ยแรงแลว้ แต่กรณี ประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ประวตั ิความเป็นมา (กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557ง : www.disaster.go.th) ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา สังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย กระทรวงมหาดไทย ต้ังอยู่ ณ บ้านทุ่งควนจีน เลขที่ 1661 หมู่ที่ 6 ถนนสายสนามบิน ตําบลควน ลัง อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นหน่วยงานท่ีสืบเน่ืองจากนโยบายปฏิรูประบบราชการของ รัฐบาลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 ได้จัดต้ังกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยเม่ือวันท่ี 9 ตุลาคม 2545 ตามพระราชกฤษฎีกาการจัดต้ังกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย โดยรวมบุคลากร เครื่องจักรกล ยานพาหนะ และอุปกรณ์จากหลายหน่วยงาน ดังน้ี 1. ศนู ยเ์ ร่งรดั และพัฒนาชนบท หาดใหญ่ กรมการเรง่ รดั และพัฒนาชนบท 2. กองอาํ นวยการปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื นภาค (ภาคใตต้ อนลา่ ง) กรมการปกครอง 3. ศูนยส์ งเคราะห์ผปู้ ระสบภัยภาคใต้ กรมประชาสงเคราะห์ 4. ศนู ย์ชว่ ยเหลือทางวชิ าการ กรมพฒั นาชมุ ชน พร้อมท้ังใช้สถานท่ีศูนย์ปฏิบัติการเร่งรัดและพัฒนาชนบท หาดใหญ่ เป็นท่ีต้ังศูนย์ฯ และมี พิธเี ปดิ อย่างเป็นทางการ เมือ่ วนั ท่ี 20 ธนั วาคม พ.ศ. 2545

29 โครงสรา้ งอํานาจหนา้ ทศี่ ูนยป์ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา กฏกระทรวง แบ่งสว่ นราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2551 ข้อ 2 กําหนดให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีหน้าท่ีตามภารกิจของกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั ดงั น้ี (กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั , 2557จ : www.disaster.go.th) 1. ดําเนินการจัดทํานโยบาย แนวทาง และวางมาตรการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย 2. ศึกษา วิเคราะห์ วจิ ัย และพฒั นาระบบปอ้ งกัน เตือนภยั และบรรเทาสาธารณภยั 3. พฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศในการปอ้ งกัน เตอื นภยั และบรรเทาสาธารณภยั 4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างเครือข่ายป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย 5. สร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของประชาชนในการป้องกันและบรรเทาสา ธารณภยั 6. ฝึกอบรม และฝึกปฏิบัติในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟ้นื ฟูสภาพพน้ื ท่ี ทงั้ น้ี ตามระเบียบทกี่ ฎหมายกาํ หนด 7. ส่งเสริม สนับสนุน และปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูสภาพพนื้ ที่ 8. อํานวยการและประสานการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูบูรณะ สภาพพ้ืนที่ประสบสาธารณภัยขนาดใหญ่ 9. ประสานความช่วยเหลือในการป้องกันการช่วยเหลือการบรรเทาและฟื้นฟูหน่วยงานทั้ง ภายในและภายนอกประเทศ 10. ดําเนนิ การอื่นใดตามทกี่ ฏหมายกําหนดให้เป็นอํานาจหน้าท่ีของกรมหรือตามท่ีกระทรวง หรือคณะรฐั มนตรมี อบหมาย การแบง่ สว่ นราชการ แบ่งส่วนราชการเปน็ 4 กลมุ่ งาน 1 ฝ่าย ดังน้ี ศูนยป์ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ฝ่ายบรหิ ารทว่ั ไป กลมุ่ งานป้องกนั และปฏิบตั กิ าร กล่มุ งานฝึกอบรม กลมุ่ งานยทุ ธศาสตร์และการจดั การ กลมุ่ งานสนับสนนุ ทรัพยากรกู้ภัย ภาพท่ี 2 แผนภมู ิโครงสรา้ งของศนู ยป์ อ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา

30 1. ฝา่ ยบรหิ ารทัว่ ไป มีหน้าท่ีและอํานาจเก่ยี วกบั  ปฏิบัติงานบริหารงานท่ัวไป งานสารบรรณ งานงบประมาณ งานการเงินและบัญชี งานการเจา้ หนา้ ท่ี งานอาคารสถานที่ ยานพาหนะ พัสดุครุภณั ฑ์ งานเรื่องราวร้องทุกข์ งานรัฐพิธี ราช พิธขี องหน่วยงาน ตลอดจนการบรหิ ารงบกลางและเงนิ ทดรองราชการในความรับผดิ ชอบของศนู ย์ฯ  อํานวยการควบคุม กํากับ สนับสนุน และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภารกิจ ด้านการสาธารณภยั  กล่ันกรองและตรวจสอบความถูกตอ้ งของเอกสารหลักฐานและใบสาํ คญั ใหเ้ ป็นไปตาม ระเบยี บและหลกั เกณฑ์ทกี่ ระทรวงการคลงั กําหนด  สนับสนุนและประสานความช่วยเหลือ ตลอดจนปฏิบัติงานช่วยเหลือสนับสนุนการ ปฏบิ ตั งิ านของหน่วยงานที่เกีย่ วข้อง  ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เก่ียวข้องหรือที่ ไดร้ บั มอบหมาย 2. กลมุ่ งานยทุ ธศาสตรแ์ ละการจัดการ มหี น้าทแ่ี ละอํานาจเกี่ยวกบั  การประสานกับทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องในการจัดทํา นํานโยบายและยุทธศาสตร์ ระดับประเทศ กระทรวง กรมแปลงไปสู่การปฏิบัตใิ นระดับศูนย์ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัยเขต  ให้คําปรึกษา แนะนํา ติดตามประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ในพื้นท่ี รบั ผดิ ชอบ  ส่งเสริมการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ชุมชน ประชาชน ตลอดจน องคก์ รเอกชนในการสรา้ งเครอื ขา่ ยเพื่อป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย  การพัฒนา จัดทําระบบและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล เครือข่าย สมาชิก อปพร. และฐานขอ้ มลู พน้ื ฐานด้านสาธารณภัยท่มี ีการเช่ือมโยงจากจงั หวดั ในพืน้ ทรี่ ับผิดชอบ  งานพัฒนาระบบราชการ และการจัดทําแผนงานงบประมาณทั้งในระดับศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั และสํานกั งานป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั จังหวัด  บริหารจดั การระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศของหนว่ ยงาน  เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนักในการ ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย  ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เกี่ยวข้องหรือท่ี ได้รับมอบหมาย 3. กลุ่มงานปอ้ งกนั และปฏบิ ตั ิการ มีหน้าทแี่ ละอํานาจเกย่ี วกับ  ศึกษา วิเคราะห์ สํารวจและจัดทําฐานข้อมูลสภาพภูมิประเทศ สิ่งก่อสร้างท่ีอาจเป็น สาเหตขุ องการเกิดสาธารณภยั  ดําเนินการและประสานงานด้านวิศวกรรมในการป้องกันสาธารณภัยอย่างเป็นระบบ ตลอดจนวิเคราะห์ความเหมาะสมดา้ นวิศวกรรมและประเมนิ ราคาโครงการ  ควบคุม กํากับ ติดตาม เร่งรัดการปฏิบัติการ ป้องกัน บรรเทา และฟ้ืนฟูด้านสาธารณ ภัย ให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมาตรฐานทีก่ ําหนด

31  ดําเนินการฟื้นฟูบูรณะสภาพพ้ืนที่ท่ีประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและ ดาํ เนนิ การแกไ้ ขใหก้ ลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว  ดําเนนิ การเฝ้าระวัง รบั แจ้งเหตุ รายงานและตดิ ตามสถานการณ์สาธารณภัยตลอด 24 ชว่ั โมง  ประเมิน และรายงานระดับความรุนแรงข้ันต้นของสาธารณภัย เพ่ือประโยชน์ในการ อํานวยการ ส่ังการ กภู้ ยั และเรง่ ระดมทรัพยากรสนับสนนุ  ประสานการปฏิบัติการร่วมกับอาสาสมัครองค์กรประชาชนในการดําเนินการด้านสา ธารณภยั  สนับสนุนและให้คําปรีกษาแนะนําการบริหารจัดการศูนย์อํานวยการเฉพาะกิจสา ธารณภัยในระดับจังหวดั  บริหารจัดการให้ความช่วยเหลือ เพ่ือบรรเทาความเดือดร้อน และฟื้นฟูผู้ประสบภัย และสภาพพ้นื ทใี่ นสภาวะฉุกเฉนิ และตดิ ตามประเมินผลการชว่ ยเหลือผู้ประสบภยั  ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนท่ีเก่ียวข้องหรือที่ ได้รับมอบหมาย 4. กลุ่มงานสนบั สนุนทรพั ยากรกภู้ ัย มีหนา้ ทแ่ี ละอํานาจเกี่ยวกบั  ดําเนินการบริหาร วางแผน ควบคุม กํากับ ติดตาม และรายงานการใช้ การ บาํ รุงรักษา การจดั หาทดแทนเครื่องจักรกล เพอ่ื ใช้ในกิจการดา้ นสาธารณภัย  ดาํ เนินการซอ่ มและบาํ รุงรกั ษาเครอ่ื งจักรกลใหม้ สี ภาพดีอยู่เสมอ  ดําเนินการซอ่ มและบาํ รุงรักษา ระบบไฟฟา้ อาคาร และระบบสือ่ สาร  ใหก้ ารสนบั สนุนวิชาการด้านเครอ่ื งกลให้แก่องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ  วางระบบและรวบรวมข้อมูลแหล่งทรัพยากรสนับสนุนการจัดการกู้ภัยในภาระกิจงาน ดา้ นสาธารณภยั  ประสานงานในการจัดหา จัดสรร และสนับสนุนทรัพยากรเพ่ือการสงเคราะห์ ผู้ประสบภยั  สนับสนุนและให้คําปรึกษาแนะนําการบริหารจัดการศูนย์รับบริจาคเงินและสิ่งของ ช่วยเหลือผปู้ ระสบภัย  ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เกี่ยวข้องหรือที่ ได้รบั มอบหมาย 5. กลุ่มงานฝึกอบรม มหี น้าที่และอํานาจเกย่ี วกับ  จัดทาํ แผนปฏิบตั กิ าร การฝึกอบรม ฝกึ ซ้อม ฝึกปฏิบัติของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัย ให้สอดคลอ้ งกับแผนแมบ่ ทการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั  อํานวยการและปฏิบัติ การฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ ฝึกซ้อมด้านการป้องกัน บรรเทาและ ฟืน้ ฟใู ห้กบั เจ้าหน้าที่ของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาสาสมัคร ประชาชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และองคก์ รเอกชน  ติดตามและประเมินผลการฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ ฝึกซ้อมด้านการป้องกัน บรรเทาและ ฟ้ืนฟูในทุกระดบั

32  รายงานผลการการฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ ฝึกซ้อมด้านการป้องกัน บรรเทาและฟื้นฟู ให้กับเจ้าหน้าท่ีของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาสาสมัคร ประชาชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิน่ และองคก์ รเอกชน  ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เกี่ยวข้องหรือท่ี ไดร้ บั มอบหมาย งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง ชยั วัฒน์ สวัสดิเวช (2553, บทคดั ยอ่ ) ศกึ ษาปญั หา อุปสรรค และแนวทางพัฒนาการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดภูเก็ต มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัญหาและอุปสรรคในการ ดําเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดภูเก็ต และ 2) แนวทางในการดําเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดภูเก็ต เป็นการวิจัยในเชิงคุณภาพ โดยเป็นการศึกษาทําความเข้าใจในโจทย์การวิจัยและ สามารถตอบปัญหาการวิจัยในเรื่องของปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานตามมาตรการด้านการ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยของงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของการปกครองส่วนท้องถ่ินต่าง ๆ ตลอดจนงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขตภูเก็ต และ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 18 ภูเก็ต ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยการใช้ เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus group) สัมภาษณ์ระดับลึก (In-depth interview) สังเกตแบบมี ส่วนร่วม(Participant observation) และสงั เกตแบบไม่มสี ว่ นร่วม (Non-participant observation) จากผู้ให้ข้อมูลหลักซึ่งได้แก่ พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพล เรือน อาสาสมัครมูลนิธิ ผู้ที่มีประสบการณ์หรือผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ประสบภัย พร้อมกับการศึกษา เอกสารทเ่ี ก่ยี วข้อง จดบนั ทกึ ขอ้ มูล บนั ทึกภาพ และบันทึกเสียงจากการสัมภาษณ์ ตรวจสอบความถูก ต้องของข้อมูล แล้วถอดคําให้สัมภาษณ์จัดหมวดหมู่มโนทัศน์ หาความเชื่อมโยงของมโนทัศน์และ เหตุผล ผลการศกึ ษาวจิ ยั พบว่า ปัญหา อุปสรรค และแนวทางพัฒนาการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย จังหวัดภูเก็ต มี 4 ปัญหาคือ 1) ปัญหาทางด้านโครงสร้างข้ันตอน ระเบียบและกฎหมาย โดยการ สั่งการงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังไม่เป็นเอกภาพมีความยุ่งยากซับซ้อน ตลอดจนการ ดําเนินการทางเอกสารมีความล่าช้าทําให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจึงล่าช้าด้วย โดยหากไม่มี ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับหน่วยงานที่เข้าไปช่วยเหลือก็จะได้รับความช่วยเหลือตามปกติ 2) ปัญหา ด้านบุคลากร กหน่วยงานมเี จ้าหนา้ ท่ีไม่เพียงพอและขาดบคุ ลากรท่ีมีองค์ความรู้ความสามารถโดยตรง ขาดทักษะในการช้ีแจงข้อมูลทางเอกสาร เจ้าหน้าท่ียังขาดทักษะในการปฏิบัติงาน ขาดทักษะในการ ซ้อมแผนปฏิบัติการแบบสมจริง ขาดแรงจูงใจ และภาครัฐไม่ได้เข้าไปดูแลหรือให้ความรู้ด้านทักษะ ของกลุ่มอาสาสมัครในมูลนิธิกลุ่มย่อยๆ 3) ปัญหาด้านงบประมาณ 4) ปัญหาด้านวัสดุอุปกรณ์ เครือ่ งมือและเครอื่ งจกั ร ปรารีย์ ยอดมณี (2552, บทคัดย่อ) ศึกษาทัศนะต่อการพัฒนาตนเองของบุคลากรกรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ส่วนกลาง) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะการพัฒนาตนเอง ทศั นะตอ่ กระบวนการพัฒนาบุคลากร และความตอ้ งการในการพัฒนาตนเองของบุคลากรกรมป้องกัน

33 และบรรเทาสาธารณภัย เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาโดยเก็บข้อมูลจากข้าราชการประเภทตําแหน่ง ท่ัวไปตั้งแต่ระดับปฏิบัติงานถึงระดับชํานาญงาน และข้าราชการประเภทตําแหน่งวิชาการต้ังแต่ระดับ ปฏิบัติการถึงระดับชํานาญการพิเศษท่ีปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลาง จํานวน 163 คน โดยใช้ แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ความสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปรด้วยคา่ ที และค่าเอฟ กําหนดนัยสาํ คญั ทางสถิติท่ี 0.05 ผลการศึกษาสรุป ได้วา่ กลุม่ ตัวอยา่ งมีความคดิ เหน็ ตอ่ การพฒั นาตนเองในดา้ นความต้งั ใจจากภายในมากท่สี ุด รองลงมา ได้แก่ด้านการเข้าร่วมกิจกรรมและด้านการแสวงหาโอกาส ส่วนความคิดเห็นต่อกระบวนการพัฒนา บุคลากรในภาพรวมอยู่ในระดบั ปานกลางทุกดา้ น ไดแ้ ก่ การสาํ รวจและกาํ หนดความต้องการ การวาง แผนพฒั นาบคุ ลากร การดําเนนิ กิจกรรม และการประเมินและติดตามผล สําหรับความต้องการในการ พฒั นาตนเอง พบว่า อย่ใู นระดบั สูงทุกมิติ ผลการศึกษาเปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาตนเอง พบว่า เพศชายมีความต้องการท่ีจะพัฒนาตนเองในมิติการเพ่ิมพูนความรู้ภารกิจหลักสูงกว่าเพศหญิง ส่วนอายุ ระดับการศึกษา และระดับตําแหน่งท่ีแตกต่างกันมีระดับความต้องการในการพัฒนาตนเอง ในภาพรวมท่ีแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย พบว่า กรมควรส่งเสริม ให้บุคลากรมีความเสียสละ มองโลกในแง่ดี และปลูกจิตสํานึกให้บุคลากรมีความตระหนักถึง ความสําคัญในการทํางานเพื่อสังคม และกรมควรที่จะสนับสนุนพัฒนาบุคลากรในด้านของการใช้ เทคโนโลยี/คอมพิวเตอร์ และการใช้ภาษาอังกฤษ รวมทั้งส่งเสริมจัดให้มีการศึกษาดูงานในหน่วยงาน ชน้ั นําตา่ ง ๆ เพอ่ื เปน็ การสัง่ สมตอ่ ยอดองค์ความรู้ ศิริบูรณ์ สุขพัฒน์ธี (2552, บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพทีมงานในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการ ทํางานเป็นทีมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และปัญหาอุปสรรคของการทํางานเป็นทีมใน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ใน 6 หน่วยงาน ได้แก่ สํานักนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักส่งเสริมการป้องกันสา ธารณภัย ศูนย์อํานวยการบรรเทาสาธารณภัย สํานักช่วยเหลือผู้ประสบภัย สํานักมาตรการป้องกันสา ธารณภัย กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รวม 135 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเก็บ รวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยค่า t-test และ F-test ท่ีระดับนัยสําคัญทางสถิติท่ี 0.05 ผล การศกึ ษาโดยสรุป คอื ลักษณะการทํางานเป็นทีมในภาพรวมสําหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย เห็นด้วยในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการประสานงานที่ทีมงานใช้การประสานงานอย่างเป็น ทางการและไม่เป็นทางการในการทํางานเป็นทีม และด้านการกํากับดูแล ท่ีทีมงานมีการติดตาม สถานการณด์ า้ นสาธารณภยั อยา่ งตอ่ เนื่อง สว่ นปญั หาอปุ สรรคในการทํางานเป็นทมี มีระดับปานกลาง โดยเฉพาะด้านบริหารงานขององค์กรที่มีการมอบหมายหน้าท่ีความรับผิดชอบไม่ตรงกับความรู้ ความสามารถของสมาชกิ และการบริหารจัดการขอ้ มูลยังไม่เป็นระบบ ไม่เอ้ือต่อการนําไปใช้ประโยชน์ ในการตัดสินใจของผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาคุณภาพทีมงาน คือ องค์กรควรมีการกําหนด นโยบายการทํางานเป็นทีมไว้ในยุทธศาสตร์และมีกระบวนการถ่ายทอดนโยบายสู่การปฏิบัติอย่าง ชัดเจนและท่ัวถึง มีการมอบหมายหน้าท่ีความรับผิดชอบให้ตรงกับความรู้ความสามารถของสมาชิก สนบั สนนุ งบประมาณเพือ่ การซ่อมบาํ รุงเคร่ืองมอื เคร่ืองจกั รกลและอุปกรณใ์ นการปฏิบตั ิงาน ส่งเสริม

34 ให้บุคลากรในสายงานประเภทท่ัวไปมีโอกาสในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษาต่อและการฝึกอบรม ให้ความรู้ด้านวิชาการควบคู่กับการสร้างการมีส่วนร่วมในการทํางานเป็นทีม ปรับเปลี่ยนค่านิยม ทัศนคติ ส่งเสริมวัฒนธรรมบูรณาการงานด้านเครือข่าย พัฒนาข้อมูลสารสนเทศ และบุคลากรควรให้ ความสาํ คัญตอ่ การทํางานเปน็ ทมี ธีระ สันติเมธี (2548, บทคัดย่อ) ศึกษาแนวทางการบูรณาการการปฏิบัติงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการบูรณาการการปฏิบัติงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด ปัญหาและอุปสรรคของการบูรณาการ และแนวทางการพัฒนาการ ปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด โดยศึกษาจากภาคสนาม เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษา คือ แบบสอบถาม ประชากรศึกษา คือ ผู้ปฏิบัติงานในสํานักงานป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยจังหวัด จํานวน 275 คน สถิติท่ีใช้ในการศึกษา คือ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าไคสแควร์ ผลการศึกษาโดยสรุปคือ ภาพรวมของการบูรณาการการ ปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ค่าเฉล่ีย ตามลําดับ คือ ด้านงานสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ด้านงานอํานวยการและบริหารงาน และด้านงาน ป้องกันและประสานการการปฏิบัติงาน ปัญหาอุปสรรค 4 ด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยมีปัญหาอุปสรรคด้านบุคลากรมากที่สุด ข้อเสนอแนะของการศึกษาคือ ควรบูรณาการการ ปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด ตั้งแต่ระดับนโยบาย แผนงาน โครงการ ใน ลักษณะยุทธศาสตร์ การทํางานแบบบูรณาการของผู้ว่าราชการจังหวัด CEO ควรพัฒนาระบบการ สงเคราะห์ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะการพิจารณาจ่ายเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ รวดเร็วทันทีท่ีประสบภัยพิบัติ ควรพัฒนากิจการอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับ ภาคเอกชน และองค์กรอาสาสมัครให้เข็มแข็งเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงาน ควรพัฒนาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้สามารถปฏิบัติงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ควรพัฒนาข่ายการส่ือสารให้เครือข่ายทุกระดับสามารถติดต่อถึงกันได้อย่าง รวดเรว็ ทนั ที และควรกาํ หนดสถานะของสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานส่วน ภมู ภิ าค เพือ่ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการปฏิบัติงานรว่ มกับจังหวดั กรอบแนวความคิดในการวิจัย ผลท่ีได้จากการศึกษาตามแนวคิดและทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น สรุปได้ว่า การมี ส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ในการกระทํา หรือปฏิบัติงานใด ๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง หน่ึงในนั้นคือ ปัจจัยส่วนบุคคล ซึ่งนําไปสู่สมมุติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรอิสระ คือ เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงาน กับ การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา 3 ดา้ น คอื กอ่ นเกดิ ภยั ขณะเกดิ ภัย และหลังเกิดภัย สมมติฐานที่ 1 เจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา มีระดับการมี ส่วนรว่ มในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอยู่ในระดับปานกลาง สมมติฐานท่ี 2 เจา้ หนา้ ทที่ ี่มี เพศ อายุ ตาํ แหน่ง ประสบการณก์ ารทาํ งาน และสังกัดกลุ่มงาน ต่างกัน มีระดบั การมสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแตกต่างกนั

35 ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม - เพศ การมสี ่วนรว่ มของเจา้ หนา้ ทศ่ี ูนยป์ อ้ งกัน - อายุ และบรรเทาสาธารณภยั เขต 12 สงขลา - ตําแหน่ง ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั - ประสบการณก์ ารทาํ งาน - สงั กัดกลุ่มงาน - ก่อนเกิดภยั - ขณะเกิดภัย - หลังเกิดภัย ภาพท่ี 3 ความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรอสิ ระกับตัวแปรตาม กรอบแนวคิดข้างต้นแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรอิสระ คือ เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงาน กับ ตัวแปรตาม คือ การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 3 ด้าน คือ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย ภายใต้แนวความคิดเรื่อง ลักษณะการมีส่วนร่วม ของ Huntington & Nelson (1975 อ้างถึงใน วชิรวัชร งามละม่อม, 2557 : www.trdm.co.th) กับ แผนการดําเนินงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2557 : www.disaster.go.th)

บทที่ 3 ระเบียบวธิ ีวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้วิจัยกําหนดวิธีการดําเนินการวิจัย ตามลาํ ดับ ดังน้ี 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 2. เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั 3. การตรวจสอบเครือ่ งมอื 4. องคป์ ระกอบของแบบสอบถาม 5. การเก็บรวบรวมข้อมลู 6. การแปลผลขอ้ มูล 7. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 8. สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรท่ีใช้ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา จํานวนท้งั ส้ิน 130 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเลือกจากประชากร โดยผู้วิจัยกําหนดจํานวนกลุ่มตัวอย่างจากตารางการ กําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krecie & Morgan (1970) ท่ีระดับความเช่ือมั่นร้อยละ 95 ได้ขนาด กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 97 คน แล้วผู้วิจัยได้เลือกใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) ดงั แสดงในตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 จํานวนประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง กลุ่มงาน/ฝา่ ย ประชากร กลมุ่ ตวั อยา่ ง ฝา่ ยบริหารทวั่ ไป 37 28 กลมุ่ งานยทุ ธศาสตร์และการจดั การ 7 5 กล่มุ งานป้องกนั และปฏิบัติการ 37 28 กลุ่มงานสนบั สนนุ ทรัพยากรก้ภู ัย 39 29 กลุม่ งานฝกึ อบรม 10 7 รวม 130 97

37 เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวิจยั ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง โดยมีรายละเอียด เก่ยี วกับการสรา้ งแบบสอบถามเป็นข้นั ตอนดังน้ี 1. ศึกษารายละเอียดจากเอกสาร สงิ่ ตพี ิมพ์ อินเตอรเ์ น็ต และงานวจิ ยั ตา่ ง ๆ ท่เี กี่ยวข้อง เพื่อ เปน็ แนวทางในการสร้างแบบสอบถาม 2. สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยแบ่งแบบสอบถาม เป็น 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 เป็นขอ้ มลู ทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 เป็นคําถามให้เลือกตอบ และตอนที่ 3 ให้ เขียนขอ้ เสนอแนะ 3. นําแบบสอบถามที่สร้างไปเสนออาจารย์ท่ีปรึกษา เพื่อพิจารณาความถูกต้อง และให้ คาํ แนะนําเพ่อื แกไ้ ขปรับปรงุ แบบสอบถามให้ถูกตอ้ ง เหมาะสม และชัดเจน 4. ปรบั ปรงุ แก้ไข และนําเสนอให้อาจารยท์ ป่ี รึกษาตรวจสอบความถูกต้องอีกคร้ังหนึ่ง เพ่ือให้ อาจารย์ทปี่ รึกษาอนุมตั ิกอ่ นแจกแบบสอบถาม 5. นําแบบสอบถามท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try out) กับตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่ม ตวั อยา่ งในการวิจัยคร้งั นี้ จาํ นวน 10 คน เพ่อื หาคา่ ความเช่ือม่นั 6. ปรบั ปรงุ และนาํ เสนอให้อาจารย์ทปี่ รึกษาอนมุ ัตกิ อ่ นแจกแบบสอบถาม 7. นาํ แบบสอบถามฉบับสมบรู ณไ์ ปใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู กับกลุ่มตัวอยา่ ง การตรวจสอบเครอ่ื งมอื การตรวจสอบเนื้อหา ผู้วิจัยได้นําเสนอแบบสอบถามท่ีได้สร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบความครบถ้วนและความสอดคล้องของเน้ือหา เพื่อพิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content validity) ความถูกต้องเหมาะสมของภาษาที่ใช้ พร้อมทั้งแนวทางปรับปรุงแก้ไขเพ่ิมเติม เพอ่ื ใหส้ มบูรณ์ยิง่ ขน้ึ การตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) ผู้วิจัยพิจารณาจากค่า สัมประสทิ ธิค์ วามเช่อื ม่ันของคาํ ถาม ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั นี้ สว่ นของคําถาม ค่าสัมประสิทธ์คิ วามเชื่อมัน่ กอ่ นเกิดภัย 0.814 ขณะเกดิ ภยั 0.971 หลังเกิดภยั 0.899 ค่าสมั ประสทิ ธค์ิ วามเชือ่ มน่ั รวมคือ 0.952

38 องค์ประกอบของแบบสอบถาม ผู้ทําวิจัยได้ออกแบบสอบถามซ่ึงประกอบด้วย 3 ตอน พร้อมกับวิธีการตอบคําถามดังต่อไปน้ี คอื ตอนที่ 1 เป็นคําถามเก่ียวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบคําถาม โดยเป็นแบบกําหนดคําตอบให้ (Checklist) ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณก์ ารทํางาน และสงั กดั กลุ่มงาน ตอนท่ี 2 เป็นคําถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยคําถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วน ประมาณค่าห้าระดับของลิเคิร์ท (Likert’s Rating Scale) คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย และ น้อยทีส่ ดุ ซงึ่ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนในแบบสอบถาม มีความหมายของแต่ละระดบั ดงั น้ี 5 หมายถึง การมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ในระดับมี ส่วนร่วมมากท่ีสุด 4 หมายถึง การมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ในระดับมี ส่วนรว่ มมาก 3 หมายถึง การมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ในระดับมี ส่วนร่วมปานกลาง 2 หมายถึง การมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ในระดับมี ส่วนร่วมนอ้ ย 1 หมายถึง การมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ในระดับมี ส่วนรว่ มน้อยทส่ี ดุ ตอนท่ี 3 เป็นคําถามให้ตอบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลักษณะเป็นคําถาม ปลายเปิด (Open-ended Questions) ใหผ้ ้ตู อบแบบสอบถามได้แสดงความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ เพื่อนาํ ไปประกอบการอภปิ รายและปรับปรงุ แกไ้ ขการปฏบิ ตั ิงาน การเก็บรวบรวมข้อมลู ผูว้ ิจัยดําเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู โดยดาํ เนนิ การดังตอ่ ไปน้ี 1. ผู้วิจัยอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับเนื้อหาและวิธีการตอบแบบสอบถามแก่ตัวแทนและ ทมี งาน 2. ผู้วิจัยหรือตัวแทนและทีมงาน ได้แจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างและรอจนกระท่ังตอบ คําถามครบถ้วน ซ่ึงในระหว่างนั้นถ้าผู้ตอบมีข้อสงสัยเก่ียวกับคําถาม ผู้วิจัยหรือทีมงานจะตอบข้อ สงสยั นนั้ 3. นําแบบสอบถามท่ีได้รับคืนมา ตรวจสอบความถูกต้อง และคัดเลือกเฉพาะฉบับสมบูรณ์ เพ่อื นําไปตรวจให้คะแนน และวเิ คราะห์ข้อมูลด้วยวธิ ีการทางสถิติต่อไป

39 การแปลผลขอ้ มูล ผู้วิจัยได้กําหนดค่าอันตรภาคช้ัน สําหรับการแปลผลข้อมูลโดยคํานวณค่าอันตรภาคช้ัน เพ่ือ กําหนดชว่ งชนั้ ด้วยการใชส้ ูตรคํานวณและคําอธิบายสําหรบั แตล่ ะชว่ งชั้น ดังนี้ อนั ตรภาคชน้ั = คา่ สูงสุด – คา่ ตาํ่ สดุ จํานวนช้นั = 5–1 = 0.80 5 ค่าเฉลี่ย 4.24-5.00 หมายถึง มีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมากที่สุด ค่าเฉลย่ี 3.43-4.23 หมายถึง มีส่วนรว่ มในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั มาก คา่ เฉลี่ย 2.62-3.42 หมายถงึ มสี ่วนรว่ มในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยปานกลาง ค่าเฉลีย่ 1.81-2.61 หมายถงึ มีสว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั นอ้ ย คา่ เฉลีย่ 1.00-1.80 หมายถึง มสี ่วนรว่ มในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั นอ้ ยที่สุด การวเิ คราะห์ข้อมูล ผวู้ จิ ยั วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยคอมพวิ เตอร์ โดยใช้โปรแกรมทางสถิติ ดําเนนิ การตามขั้นตอน ดงั นี้ 1. แบบสอบถามตอนที่ 1 เป็นข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงาน ผู้วิจัยใช้วิธีการหาค่าร้อยละและบรรยาย ประกอบตาราง 2. แบบสอบถามตอนท่ี 2 กําหนดน้ําหนักของระดับความคิดเห็นเป็น 5 4 3 2 และ 1 สําหรับคําตอบ มีส่วนร่วมมากท่ีสุด มีส่วนร่วมมากมาก มีส่วนร่วมมากปานกลาง มีส่วนร่วมมากน้อย และมีสว่ นร่วมมากนอ้ ยท่ีสุด ตามลําดับ 3. ให้คะแนนของคาํ ถามในตอนที่ 2 และตรวจทานใหม้ ีความสมบรู ณ์ 4. ใช้วิธีการหาค่าเฉล่ียเลขคณิต (Arithmetic Mean) เป็นรายด้านท้ัง 3 ด้าน คือ ก่อนเกิด ภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย และรายข้อ เมื่อหาค่าได้แล้วนําไปแปลผลโดยใช้เกณฑ์สัมบูรณ์ในการ แปลผลข้อมูล 5. หาค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคําถามในแบบสอบถามตอนที่ 2 เป็นรายด้านท้ัง 3 ด้าน คือ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย และรายข้อ เพ่ือหาความกระจาย ของขอ้ มูล 6. ใช้วิธีการวิเคราะห์เพื่อหาความแตกต่างระหว่างค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ตามตัว แปรเพศ โดยใชค้ า่ ทดสอบที (t-test) และการวิเคราะห์เพ่ือหาความแตกต่างระหว่างค่าเฉล่ียของกลุ่ม ตัวอย่างท่ีมากกว่า 2 กลุ่มตามตัวแปร อายุ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และสังกัดกลุ่มงาน โดยใชค้ า่ ทดสอบเอฟ (F-test) ทดสอบระดบั นยั สําคัญทางสถติ ิท่ี 0.05 7. แบบสอบถามตอนที่ 3 ประมวลข้อเสนอแนะท่ีรวบรวมได้มาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เพื่อสนบั สนุนการอภปิ ราย และนาํ ขอ้ มูลมาจัดลําดับความถ่ี

40 สถิติที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ผวู้ ิจัยใชส้ ถติ ใิ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี 1. การหาค่าความถี่ (Frequency) 2. การหาคา่ ร้อยละ (Percentage) 3. การหาคา่ เฉลีย่ (Arithmetic Mean) 4. การหาคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 5. การทดสอบค่าที (t-test) 6. การทดสอบค่าเอฟ (F-test)

บทท่4ี ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู บทน้ีเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือการอธิบายและการทดสอบสมมุติฐานที่เก่ียวข้องกับตัวแปร แต่ละตวั ซงึ่ ขอ้ มลู ดงั กล่าวผวู้ จิ ัยได้เก็บรวบรวมจากแบบสอบถามที่มีคําตอบครบถ้วนสมบูรณ์ จํานวน ทั้งสน้ิ 97 ชดุ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ของจาํ นวนแบบสอบถามท้งั หมด 97 ชดุ ผ้วู จิ ยั ได้กาํ หนดความหมายของสัญลกั ษณท์ างสถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูลดังน้ี n แทน จํานวนกลุ่มตวั อย่าง x¯ แทน คะแนนเฉลี่ย (Mean) S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) t แทน สถติ ิที่ใช้ทดสอบพิจารณา t-distribution F แทน สถิติทดสอบที่ใชเ้ ปรียบเทยี บใน F-distribution Sig แทน นยั สําคญั ทางสถติ ิ * แทน นัยสาํ คัญทางสถิติทรี่ ะดับ 0.05 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลแบ่งออกเป็น 3 ส่วนประกอบด้วย ส่วนที่ 1 เป็นข้อมลู ท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามจาํ แนกตามตัวแปรอสิ ระ ส่วนท่ี 2 เปน็ ข้อมลู เก่ียวกบั การมีสว่ นร่วมของเจ้าหน้าทศ่ี ูนย์ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั สว่ นท่ี 3 สรุปผลการทดสอบสมมุตฐิ าน ส่วนท่ี 4 เป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสา ธารณภยั เขต 12 สงขลา ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ทัว่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ตารางที่ 3 จํานวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามตัวแปรเพศ อายุ ตําแหน่ง ประสบการณก์ ารทํางาน และสงั กัดกลมุ่ งาน ตวั แปรทศ่ี ึกษา ผตู้ อบแบบสอบถาม จํานวน รอ้ ยละ เพศ n = 97 ชาย 75 77.30 หญิง 22 22.70


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook