รายงานการศึกษา เรอ่ื ง ปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ ความสาํ เร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนริ ภยั กรณศี กึ ษา : จงั หวดั ภเู ก็ต จัดทําโดย นางสาววยิ ดา โสภณ รหสั ประจําตัวนักศึกษา 28 เอกสารฉบับนเ้ี ปน็ ส่วนหนึง่ ในการศกึ ษาอบรม หลักสตู ร นักบรหิ ารงานปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั (นบ.ปภ.) ร่นุ ที่ 10 ระหวา่ งวนั ท่ี 7 มกราคม – 10 เมษายน 2557 วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั กรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั
ก คาํ นาํ เอกสารการศึกษานี้ จัดทําข้ึนเพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ตเพื่อจะได้นําไปแนวทางในการประกอบการตัดสินใจในการรณรงค์ การสวมหมวกนริ ภยั ให้ประสบความสําเรจ็ และมปี ระสทิ ธผิ ลท่ยี ง่ั ยืนตอ่ ไป ผู้ศึกษาวิจัยขอขอบพระคุณ คณะกรรมการที่ปรึกษา คณะผู้บริหารวิทยาลัยป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย ผู้อํานวยการโครงการฯ เจ้าหน้าที่ประจําโครงการฯ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต ประชาชนผู้ใช้จักรยานยนต์ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและขอขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การ สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล และช่วยเหลือจนสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากมีข้อบกพร่อง ประการใดปรากฏในรายงานฉบับน้ีผู้ศึกษายินดีน้อมรับนําไปปรับปรุงแก้ไข ต่อไป ด้วยความเคารพ วิยดา โสภณ มนี าคม 2557
ข กิตตกิ รรมประกาศ รายงานการศึกษาวิจัย เร่ือง ปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย ของจังหวดั ภูเก็ต สาํ เร็จได้ดว้ ยดีเนื่องจาก ผศู้ กึ ษาวจิ ยั ได้รบั ความอนเุ คราะห์ จาก ดร.ปิยวัฒน์ ขนิษฐบุตร อาจารย์วรชพร เพชรสุวรรณ และคณะกรรมการท่ีปรึกษา คณะผู้บริหารและผู้อํานวยการโครงการ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยซ่ึงได้กรุณาตรวจสอบ แนะนําและให้แนวทางอันถูกต้อง จนทํา ให้ผู้ศึกษาประสบความสําเร็จในการศึกษา ค้นคว้าและทําให้รายงานการศึกษาวิจัยฉบับน้ีสําเร็จได้ อยา่ งสมบูรณ์ ผู้ศึกษาวิจัยขอขอบพระคุณ ดร.ปิยวัฒน์ ขนิษฐบุตร อาจารย์วรชพร เพชรสุวรรณ คณะกรรมการท่ีปรกึ ษาคณะผบู้ รหิ ารกรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย ผูอ้ ํานวยการโครงการวิทยาลัย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมท้ังคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องกับภารกิจงาน ป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต ประชาชนผู้ใช้จักรยานยนต์ในพ้ืนที่จังหวัดภูเก็ตที่กรุณา เอื้อเฟ้ือข้อมูล ให้สัมภาษณ์และตอบแบบสอบถามทุกท่าน ตลอดจนนักวิชาการทุกท่านที่ผู้ศึกษาได้นํา ผลงานอ้างองิ ประกอบการศึกษาในครง้ั นผี้ ศู้ กึ ษาใคร่ขอบพระคุณไว้ ณ ท่ีน้ีด้วย ผู้ศึกษาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า รายงานการศึกษาวิจัยฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ในการรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภยั หรืออาจใช้เป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าต่อไปได้อย่างดี คุณความดี อันใดท่ีเกิดจากการศึกษาคร้ังน้ี ผู้ศึกษาขอมอบแด่ บิดา มารดา คณาจารย์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน ผู้ศกึ ษาด้วยดี ตลอดมา วิยดา โสภณ มนี าคม 2557
ค บทสรุปผูบ้ ริหาร การศึกษาวิจัย เร่ือง “ปัจจัยท่ีมีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย กรณีศึกษา : จังหวัดภูเก็ต” ในคร้ังนี้ เพ่ือศึกษาแนวทางการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต และศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต โดยใช้การวิจัย เชิงคุณภาพโดยมีข้อมูลเชิงปริมาณประกอบสนับสนุนผลการวิจัย ซ่ึงกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ศึกษา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีและภาคีเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องกับภารกิจงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ ทางถนนจงั หวัดภูเกต็ และประชาชนผ้ใู ช้รถจกั รยานยนตใ์ นพน้ื ท่จี ังหวดั ภูเกต็ ในเขตอาํ เภอเมอื งภูเก็ต ผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย กรณีศึกษา : จังหวัดภูเก็ต พบว่า จังหวัดภูเก็ตใช้แนวทางการสร้างทีมงานท่ีเข้มแข็งและย่ังยืน โดยยึดหลักการ ประชาสัมพันธ์ให้ทราบ และยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง และปัจจัยที่มีผลต่อ ความสําเร็จในการดําเนินการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต คือ เป็นนโยบายรัฐบาล ทําให้ ทกุ ภาคสว่ นท่เี กย่ี วข้องให้ความสาํ คัญในการขับเคล่ือนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 2. การประชาสัมพันธ์ และการให้ความรู้ เป็นปัจจัยที่สําคัญในการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ซ่ึงเห็นได้จากประชาชน ส่วนใหญ่ทราบว่ารัฐบาลมีนโยบายรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ และได้รับข่าวสาร เกย่ี วกับนโยบายการณรงคส์ ่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ซง่ึ สามารถชใี้ ห้เห็นได้ว่าจังหวัดภูเก็ตประสบความสําเร็จ ในการดําเนนิ การประชาสัมพนั ธ์และการให้ความรู้ 3. การบังคับใช้กฎหมาย เป็นเครื่องมือสําคัญในการท่ีทําให้อัตราการสวมหมวกนิรภัย ของจังหวัดภูเก็ตเพ่ิมมากขึ้น ซ่ึงเห็นได้จาก ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับแนวทางที่ทางราชการกวดขันและ จับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ การท่ีทางราชการออกมาตรการส่งเสริมการสวม หมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ทําให้ท่านสวมหมวกมากข้ึนคิดว่าในการกวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย ขณะขับข่รี ถจกั รยานยนต์ เจ้าหน้าทม่ี บี ทลงโทษท่ีสมเหตสุ มผล 4. การมสี ่วนรว่ ม จงั หวัดภูเก็ตมกี ารดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยโดย ใชห้ ลกั การดาํ เนินการแบบมีส่วนร่วมท้ังในระดับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระดับจังหวัดในการดําเนินการ และท่ีสําคัญจังหวัดภูเก็ตได้มุ่งเน้นลงไปในระดับพ้ืนท่ี ด้วยการสร้างความร่วมมือจากชุมชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินให้ส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎข้อบังคับในการสวมหมวกนิรภัย ทุกครั้งเมื่อขับข่ีและโดยสารรถจักรยานยนต์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน กําหนดลงโทษกนั เองเพอ่ื สรา้ งเป็นวัฒนธรรมความปลอดภยั ในชมุ ชนใหไ้ ด้ ในการนี้ ผู้วิจัยหวังผลท่ีได้รับจากการศึกษาในครั้งน้ีว่า จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานท่ีมีภารกิจ เกี่ยวข้องกับการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ ทางถนนท้ังในระดับส่วนกลางและระดับจังหวัด และผู้บริหารของหน่วยงาน เพ่ือใช้ประกอบการพิจารณาวาง แนวทางในการดาํ เนนิ การรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยให้ประสบความสาํ เรจ็ และมีประสทิ ธิภาพย่ิงขน้ึ ต่อไป
สารบัญ ง คํานาํ หน้า กติ ติกรรมประกาศ บทสรุปผ้บู ริหาร ก ข บทท่ี 1 บทนาํ ค ความสาํ คัญและท่ีมาของปัญหาวิจยั 1 วัตถุประสงคข์ องการศึกษา 3 ขอบเขตของการศึกษา 3 ประโยชน์ทใ่ี ช้ในการศึกษา 3 นิยามศพั ท์เฉพาะ 4 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง 5 6 ทฤษฎคี วามสาํ เรจ็ 7 แนวคดิ เกย่ี วกับความรู้ 10 แนวคิดเกย่ี วกับความรว่ มมอื และการมีสว่ นร่วม 13 แนวคิดเกยี่ วกับการประชาสมั พนั ธ์ 15 แนวความคิดนโยบายเกยี่ วกับความปลอดภยั ทางถนน 17 กฎหมายเก่ยี วกบั หมวกนริ ภยั กรอบแนวคิด 19 20 บทที่ 3 ระเบยี บวิธวี จิ ัย 20 20 ประชากร 21 เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษา 21 การตรวจสอบเครอื่ งมือ 21 องคป์ ระกอบของแบบสมั ภาษณ์ 21 องคป์ ระกอบของแบบสอบถาม การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 22 การแปรผลข้อมูล 34 สถิติทีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ บทท่ี 4 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากแบบสัมภาษณ์ ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบสอบถาม
สารบญั (ตอ่ ) 39 43 บทท่ี 5 สรปุ และอภปิ รายผล 44 45 สรปุ ผลการศกึ ษา การอภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะสาํ หรับการนาํ ผลไปใช้ ขอ้ เสนอแนะสาํ หรบั การวิจยั คร้งั ต่อไป บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก แบบสมั ภาษณ์ ภาคผนวก ข แบบสอบถาม ภาคผนวก ค แบบเสนอหวั ขอ้ การจดั ทําเอกสารวิจยั ส่วนบุคคล ภาคผนวก ง ประวตั ิผ้เู ขียน
สารบญั ตาราง จ หนา้ ตารางที่ 4.1 จาํ นวนและร้อยละประชาชนผู้ใชร้ ถจักรยานยนตใ์ นพืน้ ทจ่ี งั หวดั ภูเก็ต ในเขตอาํ เภอเมืองภูเก็ต จําแนกตามเพศ 34 34 ตารางที่ 4.2 จาํ นวนและร้อยละของประชาชนผ้ใู ช้รถจกั รยานยนตใ์ นพ้ืนท่ีจงั หวดั ภูเก็ต 35 ในเขตอําเภอเมอื งภูเก็ต จาํ แนกตามอายุ 35 36 ตารางท่ี 4.3 จํานวนและรอ้ ยละของประชาชนผ้ใู ชร้ ถจักรยานยนตใ์ นพื้นที่จังหวัดภเู ก็ต 36 ในเขตอาํ เภอเมืองภเู กต็ จําแนกตามระดบั การศกึ ษา ตารางท่ี 4.4 จํานวนและรอ้ ยละของประชาชนผ้ใู ช้รถจกั รยานยนต์ในพนื้ ทจี่ ังหวัดภเู ก็ต ในเขตอาํ เภอเมืองภูเกต็ จาํ แนกตามอาชพี หลัก ตารางท่ี 4.5 จํานวนและรอ้ ยละของประชาชนผใู้ ชร้ ถจกั รยานยนต์ในพืน้ ท่ีจงั หวัดภูเก็ต ในเขตอาํ เภอเมืองภูเกต็ จาํ แนกตามสถานภาพ ตารางที่ 4.6 : แสดงผลสรปุ ความคดิ เห็นของประชาชนผใู้ ชร้ ถจักรยานยนตต์ อ่ การรณรงค์ การสวมหมวกนิรภัยในจังหวดั ภูเก็ต (N=100)
สารบญั รูปภาพ ฉ ภาพท่ี 2.1 แสดงกระบวนการดาํ เนนิ งานประชาสมั พนั ธ์ หน้า ภาพท่ี 2.2 แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรอสิ ระกบั ตัวแปรตาม 12 17
บทที่ 1 บทนํา ความสําคญั และท่มี าของปญั หาวิจยั ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาสําคัญที่ทุกประเทศกําลังเผชิญอยู่และแนวโน้ม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงขึ้น โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ประมาณ 1.3 ล้านคน โดยมีผู้บาดเจ็บหรือพิการประมาณ 50 ล้านคน อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุ การตายอันดับแรกในกลุ่มอายุระหว่าง 15-29 ปี และเป็นสาเหตุการตายอันดับสองในกลุ่มเด็กอายุ ระหว่าง 5-14 ปี นอกเหนือจากน้ันมากกว่าร้อยละ 50 ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นกลุ่มคน เดินเท้าผู้ใช้รถจักรยานและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หากไม่มีการวางแผนป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศท่ียากจนถึงปานกลางจะสูงข้ึนเป็นสองเท่าในปี ค.ศ.2020 และอุบัติเหตทุ างถนนเปน็ สาเหตขุ องการเสียชวี ติ อนั ดบั หกของประชาชน จากสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการเรียกร้องให้ทุกประเทศให้ความสําคัญกับเรื่อง ความปลอดภัยทางถนน โดยองค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดําเนินการตามกรอบ ปฏิญญามอสโก ซึ่งกําหนดให้ “ค.ศ. 2011-2020 (พ.ศ. 2554 - 2563) เป็นทศวรรษแห่งการปฏิบัติการ เพื่อความปลอดภัยทางถนน” เพื่อให้แต่ละประเทศกําหนดทิศทาง แผนงาน มาตรการในการแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุทางถนน โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของทั้งโลกถึงร้อยละ 50 ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) สําหรับประเทศไทย อัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศโดยเฉลี่ยระหว่าง ปี พ.ศ. 2541-2552 เฉลี่ยปีละ 19.92 คนต่อประชากรหน่ึงแสนคน โดยในปี พ.ศ. 2556 พบว่า เกิดอบุ ัตเิ หตุ 8,500 คร้งั ผ้บู าดเจ็บ จํานวน 7,169 คน ผเู้ สยี ชีวิต จํานวน 3,099 คน ซงึ่ ถอื ว่าอยู่ในเกณฑ์ สูงเม่ือเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงและประเทศในภูมิภาคเอเชียบางประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์มีอัตราการเสียชีวิต 4.8 คนต่อประชากรหน่ึงแสนคน ประเทศญ่ีปุ่นมีอัตราการเสียชีวิต 5 คน ต่อประชากรหน่ึงแสนคน จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น คณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ 29 มิถุนายน 2553 จึงได้ให้ความสําคัญ กับแนวทางการดําเนินการตามกรอบปฏิญญามอสโก โดยกําหนดให้ปี พ.ศ. 2554-2563 เป็นทศวรรษ แห่งความปลอดภัยทางถนน โดยให้ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจัดทําแผนปฏิบัติการทศวรรษ แห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554-2563 (Decade of Action for Road Safety) ซึ่งการ ดําเนินการด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายตามกรอบปฏิญญามอสโก กล่าวคือ ลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนตํ่ากว่า 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนในปี พ.ศ. 2563 และมีกรอบแนวทางการดาํ เนนิ งานภายใตก้ รอบทศวรรษความปลอดภัยทางถนนโลก โดยได้กาํ หนด แนวทางในการทํางานไว้ 8 ประการ เพอื่ มุ่งสู่ทศวรรษความปลอดภัยทางถนน คือ 1. สง่ เสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั 2. ลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการบรโิ ภคเครอื่ งดม่ื แอลกอฮอลแ์ ลว้ ขับข่ยี านพาหนะ 3. แกไ้ ขปญั หาจดุ เสย่ี ง จุดอันตราย 4. ปรับพฤติกรรมของผู้ขบั ขีย่ านพาหนะใหใ้ ชค้ วามเร็วตามท่กี ฎหมายกาํ หนด
2 5. ยกระดับมาตรฐานยานพาหนะให้ปลอดภัยโดยเฉพาะมาตรฐานของรถจักรยานยนต์ รถกระบะรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทกุ 6. พัฒนาสมรรถนะของผ้ใู ช้รถใช้ถนนใหม้ คี วามปลอดภัย 7. พฒั นาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน การรกั ษาและฟนื้ ฟูผูบ้ าดเจ็บได้อยา่ งทว่ั ถึงและรวดเรว็ 8. พฒั นาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยทางถนนของประเทศใหม้ คี วามเข้มแข็ง แต่จากสถิติข้อมูล พบว่า ประเทศไทยมีการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีจํานวน มากท่ีสุด คือ ร้อยละ 67.7 ของจํานวนรถทั้งหมดของประเทศ และเนื่องด้วยลักษณะทางกายภาพทําให้ รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีจํานวนผู้ขับข่ีหรือผู้โดยสารบาดเจ็บและตายในสัดส่วนที่สูงที่สุด เม่ือเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยวิธีการอ่ืน การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนท่ีเกิดข้ึน สว่ นใหญ่เกดิ จากลมุ่ ผขู้ บั ขีร่ ถจักรยานยนต์ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการรักษาท่ีโรงพยาบาลรวมถึงผู้ที่เสียชีวิตจากการ ประสบอุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ขับข่ีรถจักรยานยนต์ และส่วนใหญ่ไม่สวมหมวกนิรภัยในการ ขับข่ีหรือซ้อนท้าย รัฐบาลจึงมีนโยบายเร่งด่วนให้ดําเนินการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เป็นอันดับแรก จากแนวทางในการทํางาน 8 ประการดังกล่าวข้างต้น เพื่อก้าวสู่ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน โดยมีเป้าหมายใหผ้ ขู้ ับขแี่ ละผ้ซู ้อนทา้ ยรถจกั รยานยนตท์ ุกคนต้องสวมหมวกนิรภยั 100 เปอร์เซ็นต์ จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดหนึ่งท่ีมีจํานวนการใช้รถจักยานยนต์เป็นพาหนะในการคมนาคม ขนส่งเป็นจํานวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มจํานวนมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลข้อมูลของสํานักงานขนส่งจังหวัด ภูเก็ต พบวา่ รถจดทะเบยี นสะสมในปี 2555 มีจํานวน 265,596 คัน แต่เป็นสิ่งท่ีน่าสังเกตว่าในปี 2553 ก่อนท่ีรัฐบาลจะนโยบายประกาศให้มีการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์นั้น จังหวัดภูเก็ต มีผู้ขี่และผู้ซ้อนท้ายสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 60 แต่จากผลการสํารวจอัตราการสวมหมวกนิรภัย ของผู้ใช้รถจักยานยนต์ของจังหวัดภูเก็ต ในปี 2555 พบว่า มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับข่ีและผู้ ซ้อนท้ายถึงร้อยละ 71 (มูลนิธิไทยโรดส์, 2555) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจาก กรงุ เทพมหานคร ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภยั ของจังหวดั ภูเก็ต เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบการตัดสินใจในการรณรงค์การสวม หมวกนริ ภยั ใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ และมีประสิทธิผลท่ยี ั่งยนื ต่อไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา การศกึ ษาในครง้ั น้ี มีวตั ถปุ ระสงคด์ งั ต่อไปนค้ี อื 1 เพือ่ ศึกษาแนวทางการรณรงค์การสวมหมวกนริ ภัยของจงั หวัดภูเกต็ 2 เพื่อศกึ ษาปจั จยั ท่ีมผี ลต่อความสําเรจ็ ในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภยั ของจังหวัดภเู กต็ ขอบเขตการศกึ ษา ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีข้อมูลเชิงปริมาณประกอบสนับสนุนผลการวิจัย สําหรับ การศึกษาในคร้ังนี้ โดยเลือกใช้วิธีการสํารวจด้วยแบบสอบถามที่สร้างขึ้นและได้กําหนดขอบเขตของการ วจิ ัยไวด้ งั น้ี คอื 1. ประชากรที่ใช้ศึกษาเป็นผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องกับภารกิจงาน ปอ้ งกนั และแกไ้ ขอุบตั ิเหตทุ างถนนจังหวัดภเู ก็ต และประชาชนผู้ใชร้ ถจกั รยานยนต์ในพื้นท่จี ังหวดั ภเู กต็
3 2. กล่มุ ตวั อย่างท่ใี ชศ้ กึ ษา แบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื 2.1 กล่มุ ผ้บู รหิ าร เจ้าหนา้ ทแ่ี ละภาคเี ครอื ข่ายท่ีเก่ียวข้องกบั ภารกิจงานปอ้ งกันและแกไ้ ข อุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ ตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต สํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต สํานักงานป้องกันและบรรเทาสา ธารณภยั ภเู กต็ ) รวมจํานวน 10 คน 2.2 ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนท่ีจังหวัดภูเก็ต ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต จํานวน 100 คน 3. ตัวแปรที่เก่ยี วข้องกบั การศกึ ษา ประกอบด้วย ตัวแปรตาม คือ ความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ต คือ มีจํานวนผู้ใช้ รถจักรยานยนตส์ วมหมวกนิรภยั เพม่ิ ข้ึนจากปีทผี่ ่านมา ตวั แปรอิสระ คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ นโยบายรัฐบาล การประชาสัมพันธ์ การให้ ความรู้ การบงั คับใช้กฎหมายและการมีส่วนรว่ ม สถานทีศ่ ึกษาที่ผู้วิจัยใช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล คือ อําเภอเมอื งจังหวดั ภเู กต็ 4. ระยะเวลาในการศกึ ษา เริ่มตง้ั แต่ เดอื นมกราคม 2557 ถงึ เดือนมนี าคม 2557 ประโยชน์ท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ผลจากการศึกษามีประโยชนต์ ่อฝา่ ยท่เี กี่ยวขอ้ งดงั น้ี คือ 1 ทราบแนวทางการรณรงค์การสวมหมวกนริ ภยั ของจงั หวัดภเู กต็ 2 ทราบปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ ความสาํ เรจ็ ในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภยั ของจังหวดั ภูเกต็ 3 ผลงานวิจัยท่ีได้ทราบแนวทางการรณรงค์และปัจจัยท่ีมีผลต่อความสําเร็จในการ รณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต เพ่ือนําแนวทางและปัจจัยท่ีได้จากการวิจัยในครั้งนี้เสนอต่อ ผู้บริหารที่เก่ียวข้องกับการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะโครงการรณรงค์การสวมหมวก นิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนในระดับส่วนกลาง ศูนย์อํานวยการ ความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัดและทอ้ งถน่ิ เพือ่ ใช้ประกอบการตดั สินใจในการรณรงค์การสวมหมวก นิรภยั ต่อไป นิยามศพั ท์เฉพาะ คาํ นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะในการศกึ ษาในครั้งนี้ ได้แก่ หมวกนิรภัย : หมวกท่ีจัดทําข้ึนโดยเฉพาะเพ่ือป้องกันอันตรายบริเวณศีรษะและใบหน้าในขณะ ขับขแ่ี ละโดยสารรถจักรยานยนต์ ทศวรรษความปลอดภัยทางถนน : องค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิก ดาํ เนนิ การตามกรอบปฏิญญามอสโก ซง่ึ กาํ หนดให้ “ค.ศ. 2011-2020 (พ.ศ. 2554 - 2563) เป็นทศวรรษ แห่งการปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัยทางถนน” เพื่อให้แต่ละประเทศกําหนดทิศทาง แผนงาน มาตรการ ในการแกไ้ ขปัญหาอบุ ัตเิ หตุทางถนน โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของท้ังโลก ถึงรอ้ ยละ 50 ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
4 นโยบายรฐั บาล : รฐั บาลได้กําหนดให้ปี พ.ศ. 2554-2563 เป็นทศวรรษแหง่ ความปลอดภัยทาง ถนน โดยให้ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจัดทําแผนปฏิบัติการทศวรรษแห่งความปลอดภัยทาง ถนน พ.ศ. 2554-2563 (Decade of Action for Road Safety) ซ่ึงการดําเนินการด้านความปลอดภัย ทางถนนของประเทศไทยใหบ้ รรลเุ ป้าหมายตามกรอบปฏิญญามอสโก การมีส่วนร่วม : ให้ทุกหน่วยงานท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนมีส่วนร่วม ดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนริ ภยั การประชาสัมพันธ์ : การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ด้านการสวมหมวกนิรภัย เผยแพร่ ความรู้ ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และสร้างกระแสให้ประชาชนสวมหมวกนิรภัย โดย การส่งข้อมูลประชาสัมพันธ์ไปตามบอร์ดประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน สถานศึกษา สถานีตํารวจในท้องถิ่น และสง่ ขา่ วประชาสมั พนั ธ์ตามรายการโทรทัศน์ วทิ ยุ และสอื่ สง่ิ พิมพ์ การให้ความรู้ : การฝึกอบรม การจดั ประกวด การบังคับใช้กฎหมาย : การบังคับใช้กฎหมายในการสวมหมวกนิรภัยเมื่อขับข่ีและโดยสาร รถจกั รยานยนต์ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
5 บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้อง บทนี้เปน็ การนําเสนอ แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับตวั แปรของการศกึ ษาซึง่ ผวู้ ิจยั ได้ทาํ การสืบค้น จากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยจากแหลง่ ต่างๆ โดยแบ่งเน้ือหาของบทนเ้ี ปน็ 6 สว่ นคอื 1. ทฤษฎคี วามสาํ เรจ็ 2. แนวคิดเกี่ยวกบั ความรู้ 3. แนวคดิ เกย่ี วกับความร่วมมอื และการมสี ่วนรว่ ม 4. แนวคดิ เก่ียวกับการประชาสัมพนั ธ์ 5. แนวความคิดนโยบายเกีย่ วกับความปลอดภัยทางถนน 6. กฎหมายเก่ียวกบั หมวกนิรภยั รายละเอียดในแต่ละสว่ นที่กล่าวมาข้างต้น มีสาระสาํ คัญดงั น้ี 1. ทฤษฎคี วามสําเรจ็ ทฤษฎีความสําเร็จ (Achievement Need (nAch)) เมคเคลแลนด์ (McClelland,1953) มคี วามเช่อื ว่า มนุษย์เรามุ่งจะกระทําสิ่งใดส่ิงหน่ึงให้สําเร็จลุล่วงไป เมคเคลแลนด์ได้สร้างแบบทดสอบเพ่ือ แยกประเภทของมนุษย์ออกเปน็ พวกทีม่ ีความตอ้ งการความสําเรจ็ สงู ตํ่า เรียกวา่ Thematic Apprecption Test (TAT) TAT จะประกอบดว้ ย ภาพต่างๆ ภาพเหล่านี้ จะไม่มีคําบรรยายกาํ กับไว้ ผ้ทู ดสอบจะเป็นผู้บรรยาย ว่า ภาพเหล่าน้ัน เกี่ยวกับส่ิงใด หรือคนในภาพน้ันมีความรู้สึกอย่างไร เช่น ภาพวาดหนึ่งมีเด็กหนุ่มกําลัง พรวนดนิ กลางทุ่งนา ทีป่ ลายนามพี ระอาทิตย์กําลงั จะลบั ขอบฟ้าแสดงถึงเวลาเย็นผู้ทดสอบจะต้องบรรยาย ว่า เด็กหนุ่มคนนั้นมีความรู้สึกอย่างไร คําบอกเล่าของผู้ทดสอบจะได้รับการตีความจากผู้ตัดสินว่าเขามี แรงจูงใจในความสําเร็จสูงหรือตํ่า โดยได้รับการเปรียบเทียบคําตอบของผู้ทดสอบต่างๆ เช่น ถ้าผู้ทดสอบ เล่าว่าหนุ่มผู้นั้นกําลังเสียใจว่าพระอาทิตย์กําลังตกดินซ่ึงหมายความว่า เขาไม่สามารถปลูกต้นไม้ให้เสร็จ สิ้นในวันนี้ได้ในขณะเดียวกัน มีผู้ทดสอบอีกผู้หน่ึงบรรยายว่า หนุ่มคนน้ันดีใจว่าพระอาทิตย์ตกและเขาจะ ได้พักผ่อนเสียที จะได้ด่ืมเหล้า สรวลเสเฮฮาบ้าง จากข้อมูลดังกล่าวผู้ทดสอบคนหน่ึงจะได้รับการตีความ ว่าเขามีแรงจูงใจในความสําเร็จสูง และผู้ทดสอบคนที่สองจะได้รับการตีความว่า เขามีแรงจูงใจใน ความสําเร็จต่ํา ลักษณะของบุคคลท่ีมีแรงจูงใจในความสําเร็จสูง (McClelland,1947) ได้เก็บรวบรวม ลักษณะตา่ งๆ ดังนี้ บุคคลผมู้ แี รงจงู ใจในความสาํ เร็จสงู จะตอ้ งเปน็ คนที่ 1) ชอบทํางาน ท่มี ีระดบั ยากปานกลาง เป็นงานท่ีไม่ยาก หรือง่ายเกิน ความสามารถของ เขาในการทดลองชิ้นหน่ึงให้ผู้รับการทดลอง โยนเกือกม้าใส่ห่วงปักกับดินผลปรากฏว่า บุคคลมีมีแรงจูงใจ สองลักษณะ คือ แรงจูงใจในความสําเร็จสูงและตํ่า มีการปฏิบัติท่ีแตกต่างกันพวกที่มีแรงจูงใจสูงจะเลือก ระยะห่าง จากหลักพอสมควรที่เขาสามารถจะโยนเกือกม้าเข้าหลักได้ เขาจะไม่เป็นใกล้หรือไกลเกินไป แต่จะยืนให้ห่างมากเท่าท่ีเขาจะพยายามโยน ให้เข้าได้ ส่วนพวกแรงจูงใจด้านน้ีต่ํามักเลือกยืนใกล้ๆให้ใส่ เกือกมา้ ได้ง่ายๆ หรือยนื ไกลๆจนไม่สามารถโยนเขา้ ได้ 2) ชอบได้รับการตอบสนอง ต่อผลงานทันทีที่ผลสําเร็จเพ่ือจะได้วัดประเมินผลงาน ความกา้ วหนา้ ของเขา และจะวดั ตามกฎเกณฑ์ทบี่ ่งเฉพาะ
6 3) ชอบท่ีจะทําสิ่งใดแล้วทําให้สําเร็จไปและเขามักมีความสนใจในงานน้ันๆ มีการ ตอบสนองความตอ้ งการใน (Intrinsic Reward) งานน้ันควรน่าสนใจและท้าทาย 4) เมื่อเลือกและมีจุดมุ่งหมายแล้วจะต้องทําจนสําเร็จลุล่วงไป เขาอาจจะมีลักษณะเงียบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นมากนัก เขารู้ถึงว่าความสามารถของเขาน้ันจริงๆมีแค่ไหน ไม่ใช่คิดเองว่าเขามี ความสามารถมีแค่นั้นแค่น้ี เน่ืองด้วยลักษณะของผู้มีแรงจูงใจสูงในความสําเร็จมักจะเป็นประโยชน์ต่อ องค์กรและบุคคล McClelland ได้สร้างกลุ่มฝึกบุคคลเพ่ือเป็นพวกที่มีแรงจูงใจสูงขึ้นในหมู่นักบริหาร ซง่ึ เขามีจุดมุ่งหมาย ดงั น้ี 4.1) สอนให้ผู้ร่วมงานรู้วิธีการคิด พูด และการกระทํา คล้ายกับพวกที่มีแรงจูงใจสูง ด้านความสาํ เร็จ 4.2) ให้ผู้ร่วมงานรู้จักตัวเองมากข้ึน ตามความเป็นจรอง รู้จักความสามารถท่ีแท้จริง ของตน 4.3) สร้างสรรค์ให้ผู้ร่วมงานได้เรียนรู้ เกี่ยวกับความหวังของผู้อ่ืน ความสามารถ ความกลัว ความผิดพลาด ล้มเหลว และความสําเร็จของผู้อื่นและตนเอง โดยให้บุคคลเหล่าน้ีมี ประสบการณ์ทางอารมณ์รว่ มกัน 2. แนวคิดเกี่ยวกบั ความรู้ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2542) ได้ให้คําอธิบายว่า ความรู้ เป็นพฤติกรรมขั้นต้นท่ีผู้เรียนรู้เพียงแต่ เกิดความจําได้ โดยอาจจะเป็นการนึกได้หรือโดยการมองเห็น ได้ยิน จําได้ ความรู้ในชั้นนี้ ได้แก่ ความรู้ เก่ียวกับคําจํากัดความ ความหมาย ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ โครงสร้างและวิธีแก้ไขปัญหา ส่วนความเข้าใจ อาจแสดงออกมาในรปู ของทกั ษะดา้ น “การแปล” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเขียนบรรยายเกี่ยวกับ ข่าวสารน้ัน ๆ โดยใช้คําพูดของตนเอง และ “การให้ความหมาย” ท่ีแสดงออกมาในรูปของความคิดเห็น และข้อสรุป รวมถึงความสามารถในการ “คาดคะเน” หรอื การคาดหมายวา่ จะเกิดอะไรขน้ึ เบนจามิน บลูม (2542) ได้ให้ความหมายของ ความรู้ว่า หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการระลึกถึง สิ่งเฉพาะ วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงแบบกระสวนของโครงการวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ โดยเน้นในเรื่องของกระบวนการทางจิตวิทยาของความจํา อันเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงเก่ียวกับการ จัดระเบียบ โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1965 บลูมและคณะ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้หรือ พุทธิพิสัย (cognitive domain) ของคน ว่าประกอบด้วยความรู้ตามระดับต่าง ๆ รวม 6 ระดับ ซึ่งอาจ พิจารณาจากระดับความรู้ในข้ันตํ่าไปสู่ระดับของความรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป โดยบลูมและคณะ ได้แจกแจง รายละเอยี ดของแต่ละระดบั ไวด้ ังน้ี 1. ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ท่ีเน้นถึงการจาและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจาที่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ที่เป็นอิสระแก่กัน ไปจนถึงความจาในส่ิงท่ียุ่งยาก ซบั ซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหวา่ งกนั 2. ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension) เป็นความสามารถทางสติปัญญาใน การขยายความรู้ ความจา ให้กว้างออกไปจากเดิมอย่างสมเหตุสมผล การแสดงพฤติกรรมเมื่อเผชิญกับส่ือ ความหมาย และความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสงิ่ ใดสงิ่ หนึง่ 3. การนําไปปรับใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนาความรู้ (knowledge) ความ เขา้ ใจหรอื ความคดิ รวบยอด (comprehension) ในเรอื่ งใด ๆ ทมี่ ีอยเู่ ดมิ ไปแก้ไขปญั หาทแ่ี ปลกใหมข่ อง
7 เร่ืองนั้น โดยการใช้ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการกับความคิดรวบยอดมาผสมผสานกับ ความสามารถในการแปลความหมาย การสรปุ หรอื การขยายความสิง่ นน้ั 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถและทักษะที่สูงกว่าความเข้าใจ และการนําไป ปรับใช้ โดยมีลักษณะเป็นการแยกแยะส่ิงที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อย ที่มีความสัมพันธ์กัน รวมทั้ง การสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยน้ันสามารถเข้ากันได้หรือไม่ อันจะ ช่วยให้เกิดความเขา้ ใจตอ่ สงิ่ หนึ่งสิ่งใดอยา่ งแท้จริง 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบย่อย ๆ หรือ ส่วนใหญ่ ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นเรื่องราวอันหนึ่งอันเดียวกัน การสังเคราะห์จะมีลักษณะของการเป็น กระบวนการรวบรวมเนื้อหาสาระของเรื่องต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างที่ยังไม่ ชดั เจนขึน้ มาก่อน อันเป็นกระบวนการทีต่ อ้ งอาศยั ความคิดสรา้ งสรรคภ์ ายในขอบเขตของสงิ่ ทก่ี ําหนดให้ 6. การประเมินผล (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับความคิด ค่านิยม ผลงาน คําตอบ วิธีการและเนื้อหาสาระเพ่ือวัตถุประสงค์บางอย่าง โดยมีการกําหนดเกณฑ์ (criteria) เป็นฐานในการพิจารณาตัดสิน การประเมินผล จัดได้ว่าเป็นข้ันตอนท่ีสูงสุดของพุทธิลักษณะ (characteristics of cognitive domain) ทตี่ ้องใช้ความรูค้ วามเข้าใจ การนาไปปรับใช้ การวิเคราะห์และ การสังเคราะหเ์ ขา้ มาพิจารณาประกอบกนั เพอื่ ทาการประเมินผลสิง่ หนงึ่ ส่ิงใด 3. ทฤษฎีเกย่ี วกับความรว่ มมือและการมีส่วนรว่ ม วันชัย มีชาติ (2550) กล่าวว่า ความร่วมมือ คือ การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างองค์กร จะเป็นรูปแบบ การจัดการประการหนึ่งท่ีน่าจะช่วยให้องค์กรต่างๆ ทํางานได้ดียิ่งข้ึน ซ่ึงจะเน้นการ ดึงองค์การหลายๆ องค์การเข้ามาทํางานร่วมกัน เพื่อมุงเป้าหมายเดียวกัน อันจะช่วยให้เกิดการประหยัด ในภาพรวม และเกิดการช่วยเหลือเก้ือกูลกันระหว่างองค์การต่างๆ ซ่ึงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง องค์การน้ีสามารถทําได้หลายวิธีด้วยกัน ตั้งแต่การประสานงานกันระหว่างองค์การ จนกระท่ังถึงการ ตั้งหน่วยงานใหม่ข้ึนมาทําหน้าท่ีโดยการร่วมหุ้นกัน เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างองค์การในการ ทํางานให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ตามองค์การก็จะต้องมีการปรับปรุงหลายประการเพ่ือ รองรับรปู แบบการจัดการแบบใหม่ ทั้งในดา้ นระเบียบวิธีปฏิบัติ ค่านิยมของผู้ท่ีเก่ียวข้อง ระบบการทํางาน ภายในองค์การ โดยให้ความหมายของการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างองค์การ คือ การปฏิบัติงานร่วมกัน ระหว่างองค์การ (Interorganization relations) เป็นภาวะที่องค์การต้ังแต่ 2 องค์การข้ึนไป มีความสัมพันธ์กันในการทํางานหรือทํางานบางประการร่วมกันเพ่ือบรรลุเป้าหมาย มีโครงสร้างองค์การ แบบเครือข่าย (Network structure) มีการเชื่อมโยงระหว่างองค์การ (Interorganization linkages) ได้แก่ การที่องค์การต่างๆ พัฒนาการทํางานร่วมกัน ในลักษณะหุ้นส่วน เพ่ือเพิ่มความสามารถในการ แขง่ ขัน แบง่ ปนั ทรพั ยากรทหี่ ายากระหวา่ งกันและความจาํ เป็นในการปฏบิ ตั ิงานร่วมกันระหว่างองค์การ คือ การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน การพัฒนาโครงสร้างองค์การ ความสลับสับเปล่ียนของ ปัญหาต่างๆ ที่องค์การเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ความจํากัดของทรัพยากร การมุ่งที่เป้าหมายและความสําเร็จ ในการทํางานขององค์การ ความสามารถในการแข่งขันในกระแสโลกาภิวัฒน์ ความยืดหยุ่นและความ ท้าทายในด้านอัตรากําลัง และการลดค่าใช้จ่ายต่อหัวในด้านการบริหาร เช่นเดียวกับ ชินชัย ช้ีเจริญ (2552) และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และคณะ (2550) ได้กล่าวถึงแนวคิดในด้านความร่วมมือไว้ว่า ความ ร่วมมือในการดําเนินงานระหว่างองคก์ รจะเป็นการทํางานโดยยดึ หลกั ความร่วมมือในด้านความคิดด้าน
8 การฝึกอบรม ด้านพัฒนาบุคลากร เช่น รูปแบบความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยมี หลักเกณฑ์การ ดังนี้ การจัดรูปแบบของความร่วมมือโดยอาศัยเกณฑ์สถานะทางกฎหมาย ประกอบด้วย องค์กรความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลและองค์กร ความรว่ มมอื ท่ไี มไ่ ด้มฐี านะเป็นนติ บิ ุคคล การจัดรปู แบบขององค์กรความร่วมมือโดยอาศัยเกณฑจ์ าํ นวน ภารกิจที่รับผิดชอบดําเนินการ เช่น องค์กรความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีมีภารกิจ รับผิดชอบเพียงด้านเดียว และองค์กรความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีภารกิจรับผิดชอบ หลายด้าน การจัดรูปแบบความร่วมมือโดยอาศัยเกณฑ์วิธีการของความร่วมมือ เช่น รูปแบบองค์กร ความร่วมมือท่ีแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินถือกรรมสิทธ์ิร่วมกันในทรัพย์สิน รวมถึงวัสดุครุภัณฑ์ ต่างๆ รูปแบบการให้ดําเนินการแทน รูปแบบการแลกเปลี่ยนและใช้ทรัพยากรร่วมกันและรูปแบบของ องคก์ รความรว่ มมอื ในการจดั ซอ้ื วัสดุอุปกรณ์ ถวิลวดี บุรีกุล (2543) และอรพินท์ สพโชคชัย (2538) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของ ประชาชน หมายถึง กระบวนการซึ่งประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียได้มีโอกาสในการแสดงทัศนะ และความ คดิ เหน็ นี้ได้ถูกใชป้ ระกอบในการกําหนดนโยบายและการตัดสินใจของรัฐ ซึ่งกล่าวโดยสรุป คือ ลักษณะการ มีส่วนร่วมอาจเป็นการสนับสนุนทรัพยากร เช่น การสนับสนุนเงิน วัสดุอุปกรณ์ แรงงาน การช่วยทํากิจกรรม ร่วมประชุมร่วมแสดงความคิดเห็น และสําหรับอํานาจหน้าที่ของผู้เข้าร่วม คือ ความเป็นผู้นํา เป็นกรรมการ เป็นสมาชิกปัจจัยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน การท่ีจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม นอกจากการปลูกฝัง จิตสํานึกแล้วจะต้องมีการส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางซึ่งควรพิจารณาถึง ปัจจัย เกี่ยวกับกลไกของภาครัฐ ท้ังในระดับนโยบายมาตรการ และการปฏิบัติท่ีเอื้ออํานวยรวมท้ังการสร้างช่อง ทางการมีส่วนร่วมของประชาชน จําเป็นที่จะต้องทําให้การพัฒนาเป็นระบบเปิดมีความเป็นประชาธิปไตย มีความโปร่งใส รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และมีการตรวจสอบได้ ปัจจัยด้านประชาชน ท่ีมีสํานึกต่อ ปัญหาและประโยชน์ร่วมมีสํานึกต่อความสามารถและภูมิปัญญาในการจัดการปัญหาซ่ึงเกิดจากประสบการณ์ และการเรียนรู้ ซ่ึงรวมถึงการสร้างพลังเช่ือมโยงในรูปกลุ่มองค์กร เครือข่ายและประชาสังคม และปัจจัยด้าน นักพัฒนาและองค์กรพัฒนา ซ่ึงเป็นผู้ที่มีบทบาทในการส่งเสริมกระตุ้น สร้างจิตสํานึก เอื้ออํานวย กระบวนการพัฒนาสนับสนนุ ข้อมลู ข่าวสารและทรัพยากรและร่วมเรยี นรกู้ ับสมาชิกชุมชน พัชรี สิโรรส, อรทัย ก๊กผล, และโสภารัตน์ จารุสมบัติ (2550) กล่าวว่า การบริหารราชการ แบบมีส่วนร่วม (Participatory governance – PG) หมายถึง การท่ีภาครัฐมีการบริหารราชการรูปแบบ ใหม่ที่มีการนําผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมในกระบวนการตัดสินใจ การดําเนินงานและการ ประเมินผล โดยมีการจัดระบบบริหารในรูปแบบใหม่ท่ีเป็นนวัตกรรม ได้แก่ การปรับวิธีการทํางาน การสร้างวัฒนธรรมการทํางาน ปรับเปล่ียนโครงสร้างองค์กร การออกกฎระเบียบและนโยบายของ หนว่ ยงาน ทีเ่ อื้อต่อการบรหิ ารราชการแบบมีส่วนร่วมและแสดงให้เหน็ ถงึ เจตนารมณข์ องหน่วยงานภาครัฐ ท่ีจะบริหารราชการที่ทํางานร่วมกับภาคประชาชนร่วมรับผลประโยชน์ และร่วมรับผิดชอบในการออก กฎระเบียบและใหบ้ รกิ ารสาธารณะต่างๆ และการบรหิ ารราชการกบั การมีส่วนรว่ มของประชาชน เพ่ือการ แก้ไขปัญหาท่ีมีความซับซ้อนท่ีมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องอาศัยการมีส่วน ร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเริ่มต้ังแต่ การร่วมกําหนดนโยบาย แนวทาง มาตรการ กฎเกณฑ์ และร่วมนํา นโยบายไปสู่การปฏิบัติตามศักยภาพของทรัพยากรท่ีมีอยู่ ตลอดจนร่วมในการกํากับ ตรวจสอบ และ ติดตามผลการดําเนินงาน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดําเนินงานร่วมกัน ระหวา่ งทุกภาคส่วน ซึ่งจะนําไปสกู่ ารกาํ หนดแนวทางการในการปรบั ปรุงการทาํ งานในอนาคต
9 และ Cohen and Uphoff (1981) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในงานพัฒนา โดยทัว่ ไป ประชาชนอาจเข้ารว่ มในกระบวนการตดั สนิ ใจวา่ จะทาํ อะไร เขา้ รว่ มในการนําโครงการไปปฏิบัติ โดยเสียสละทรัพยากรต่าง ๆ เช่น แรงงาน วัสดุ เงิน หรือร่วมมือในการจัดกิจกรรมเฉพาะด้าน เข้าร่วม ในผลที่เกิดจากการพัฒนาและร่วมในการประเมินผลโครงการนอกจากลักษณะการมีส่วนร่วมดังท่ีกล่าว มาแล้ว ยังมีผลการศึกษาอีกบางส่วนท่ีกล่าวถึงลักษณะการมีส่วนร่วม โดยแบ่งตามบทบาทและหน้าที่ของ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนา เช่น เป็นสมาชิก (Membership) เป็นผู้เข้าประชุม (Aterdance at meeting) เป็นผู้บริจาคเงิน (Financial Contribution) เป็นประธาน (Leader) หรือเป็นกรรมการ (Membership in Committees) กล่าวโดยสรุปลักษณะการมีส่วนร่วมอาจแบ่งออกเป็น การสนับสนุนทรัพยากร เช่นการสนับสนุน เงิน วัสดุอุปกรณ์ แรงงาน การช่วยทํากิจกรรม ร่วมประชุมร่วมแสดงความคิดเห็น และอํานาจหน้าที่ของ ผู้เข้าร่วม เช่น ความเป็นผู้นํา เป็นกรรมการเป็นสมาชิกปัจจัยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน การที่จะให้ ประชาชนมีสว่ นร่วม นอกจากการปลูกฝงั จติ สาํ นึกแลว้ จะตอ้ งมกี ารส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่าง กว้างขวาง ซ่ึงควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปัจจัยเกี่ยวกับกลไกของภาครัฐ ท้ังในระดับนโยบายมาตรการ และการปฏิบัติที่เอ้ืออํานวย รวมทั้งการสร้างช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชน จําเป็นที่จะต้องทําให้การ พัฒนาเป็นระบบเปิดมีความเป็นประชาธิปไตย มีความโปร่งใส รับฟังความคิดเห็นของประชาชนและมีการ ตรวจสอบได้ ปจั จัยดา้ นประชาชน ที่มีสาํ นกึ ตอ่ ปัญหาและประโยชนร์ ่วมมสี าํ นกึ ต่อความสามารถและภูมิปัญญา ในการจัดการปัญหาซ่ึงเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ ซึ่งรวมถึงการสร้างพลังเช่ือมโยงในรูปกลุ่มองค์กร เครือข่ายและประชาสังคมปัจจัยด้านนักพัฒนาและองค์กรพัฒนา ซ่ึงเป็นผู้ที่มีบทบาทในการส่งเสริมกระตุ้น สร้างจิตสํานึก เอื้ออํานวยกระบวนการพัฒนาสนับสนุนข้อมูลข่าวสารและทรัพยากรและร่วมเรียนรู้กับสมาชิก ชุมชน นอกจากน้ีต้องมีการเสริมสร้างพลังอํานาจ (Empowerment) แก่ประชาชน มีการสร้างองค์กรและพลัง เครือข่าย วางแผนระดับท้องถ่ินที่มีประสิทธิภาพ กระจายอํานาจ ใช้หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียง การพึ่งตนเอง แทนการพี่งพา พรอ้ มทง้ั จัดกระบวนการเรยี นรู้ (Learning Process) ที่เหมาะสมใหก้ ับประชาชน การพัฒนาทักษะ เฉพาะด้าน การตลาด ประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพผู้นําและเครือข่าย ให้มีความรู้ ความสามารถ การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ สนับสนนุ การจัดเวทปี ระชาคม ปัญหาอุปสรรคทม่ี ีต่อการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 4. แนวคดิ เก่ยี วกบั การประชาสัมพนั ธ์ การประชาสัมพันธ์เป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และ กลุ่มคนประเภทต่างๆ วิรัช ลภิรัตนกุล (2546) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการประชาสัมพันธ์ว่าเพ่ือการ ชักจูงประชามติ (public opinion) ด้วยวิธีการติดต่อสื่อสาร (communication) เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมาย (target publics) เกิดมีความรู้ ความเข้าใจ และความรู้สึกนึกคิดที่ดีต่อหน่วยงาน องค์การ สถาบัน การประชาสัมพันธ์จึงเป็นการเผยแพร่ ที่เป็นในเชิงการสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจแก่ ประชาชน เป็นงานส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างหน่วยงาน หรือกลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องจึงเป็นการสร้าง ค่านิยม (goodwill) แก่กลุ่มประชาชนต่างๆ ด้วยวิธีการบอกกล่าว (inform) ชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบ ถึงนโยบาย วัตถุประสงค์ และส่ิงซ่ึงองค์การ สถาบันได้ทําลงไป ในขณะที่ รัตนวดี ศิริทองถาวร (2546) ได้กล่าวถึงการประชาสัมพันธ์ต่อธุรกิจว่า การประชาสัมพันธ์เป็นการดําเนินความพยายามขององค์การ สถาบัน หรือหน่วยงานต่างๆ ในการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ (image) และรักษาทัศนคตทิ ดี่ ีของประชาชนเพอ่ื ใหป้ ระชาชนยอมรบั สนบั สนนุ และใหค้ วามรว่ มมือการ
10 ประกอบธรุ กิจนน้ั ตอ้ งเกี่ยวข้องกับประชาชนหลายกลุ่ม หากได้รับความร่วมมือ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ประชาชนทุกกลุ่มก็จะทําให้การประกอบธุรกิจประสบผลสําเร็จ ซ่ึงสอดคล้องกับ ณัฐนันท์ ศิริเจริญ (2548) ท่ีว่าการประชาสัมพันธ์ว่า เป็นการติดต่อสื่อสาร ระหว่างองค์กรกับสาธารณชน เพื่อบอกกล่าว ให้ทราบ ช้ีแจงทําความเข้าใจให้ถูกต้องเก่ียวกับความคิดเห็น ( opinion) ทัศนคติ ( Attitude) และ ค่านิยม ( value) สร้างช่ือเสียงและภาพพจน์ท่ีดี สร้างเสริมและรักษา ( to build and sustain) ความสมั พนั ธ์ทีด่ ี นําไปสกู่ ารสนบั สนนุ และความรว่ มมือจากกลุ่มเป้าหมาย สรุป การประชาสัมพันธ์เป็นการนําเอาหลักการ ความรู้ที่ได้ศึกษามา ไปประยุกต์ใช้ จึงมี ลักษณะเป็นศิลปะ การดําเนินงานประชาสัมพันธ์จะยึดถือกฎเกณฑ์ หรือระเบียบแบบแผนที่ตายตัวไม่ได้ แต่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีการให้สอดคล้องเหมาะสมกับเง่ือนไขของสถานการณ์ท่ีเป็นอยู่ใน ขณะน้นั ทงั้ น้ี ศลิ ปะของการประชาสัมพันธจ์ ะต้องใชค้ วามสามารถพเิ ศษเฉพาะตัวเปน็ หลกั หลักการและวตั ถุประสงค์ของการประชาสัมพนั ธ์ วิรัช ลภิรัตนกุล ( 2546 ) ได้สรุปหลักการประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันว่ามีหลักใหญ่ๆ ท่ีสําคัญ อยู่ 3 ประการคอื 1. การบอกกล่าวหรือชแี้ จงเผยแพร่ใหท้ ราบ คอื การบอกกล่าวชี้แจงให้ประชาชนทราบถึง นโยบาย วตั ถุประสงค์ การดําเนนิ งาน และผลงาน หรือกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนข่าวคราวความเคลื่อนไหว ขององค์กร สถาบันให้ประชาชนและกลุ่มประชาชนท่ีเกี่ยวข้องได้ทราบ และรู้เห็นถึงส่ิงดังกล่าว ทําให้ สถาบันเป็นท่ีรู้จัก เข้าใจ และเล่ือมใส ตลอดจนทําให้ประชาชนเกิดความรู้สึกที่ดีที่เป็นไปในทางที่ดี ตอ่ องคก์ าร สถาบนั ทําใหไ้ ดร้ บั ความสนบั สนุนรว่ มมือจากประชาชน 2. การป้องกันและแก้ไขความเข้าใจผิด เป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกัน (preventive public relations) ซ่ึงมีความสําคัญมาก เพราะการป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าทีต้องมาแก้ไขในภายหลัง โดยฝ่ายที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบต้องค้นหาสาเหตุท่ีอาจก่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในสถาบัน แล้วหา แนวทางในการให้เกิดความเข้าใจที่ดตี อ่ สถาบนั ก่อนทจี่ ะมคี วามเขา้ ใจผดิ นน้ั ๆ เกดิ ขน้ึ 3. การสํารวจประชามติ เป็นการสํารวจวจิ ัยประชามติ เพราะการดาํ เนินการประชาสัมพันธ์อย่าง มีประสิทธิภาพต้องรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชน หรือ ประชามิติ (public opinion) โดยจะต้องทราบว่า ประชาชนต้องการอะไร ไมต่ อ้ งการอะไร เพ่ือตอบสนองสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการและไม่ต้องการของ ประชาชนที่เกยี่ วข้อง การทําการสาํ รวจวจิ ยั จงึ เป็นสง่ิ ทีส่ ําคัญในการดาํ เนนิ การประชาสมั พนั ธ์ ดังนั้นวัตถุประสงค์ท่ัวไปของการประชาสัมพันธ์ จึงมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายได้ 3 ประการคือ 1. เพอ่ื สรา้ งความนยิ ม (good will) ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน 2. เพื่อป้องกันและรักษาช่ือเสียงสถาบันมิให้เส่ือมถอย เพราะชื่อเสียงของสถาบันเป็นสิ่งท่ี สําคญั มากซึง่ เก่ียวข้องกบั ภาพลักษณ์ (image) ของสถาบนั ด้วย 3. เพอื่ สรา้ งความสัมพันธ์ภายใน ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มประชาชนภายในสถาบัน ซ่ึงแบ่งออกเป็น การประชาสัมพันธ์ภายใน ได้แก่ กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในหน่วยงานเพ่ือให้เกิด ความสามัคคี เสริมสร้างขวัญและความรักใคร่ผูกพัน จงรักภัคดีต่อหน่วยงานและกาประชาสัมพันธ์ ภายนอก ได้แก่ประชาชนทั่วไปเพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในตัวสถาบันและให้ความร่วมมือแก่สถาบัน ดว้ ยดี
11 การดําเนินงานประชาสมั พนั ธ์ วิมลพรรณ อาภาเวท (2546) วิรัช ลภิรัตนกุล (2546) และ รัตนาวดี ศิริทองถาวร (2546) ได้กล่าวถึงการดาํ เนินงานประชาสัมพันธ์ว่ามีข้นั ตอนการดาํ เนนิ งาน 4 ข้นั ตอนคือ ภาพท่ี 2.1 แสดงกระบวนการดําเนนิ งานประชาสัมพนั ธ์ (รัตนาวดี ศิรทิ องถาวร (2546)) การแสวงหาข้อมลู การวางแผน การดําเนนิ การตาม การประเมนิ ผล ละวเิ คราะหป์ ัญหา แผนงาน 1. ข้ันแสวงหาข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหา (fact-finding and analysis problem) เป็นข้ันตอนแรกของการดําเนินงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นการค้นหาข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆ ทเ่ี กีย่ วกบั สถานการณ์หรอื ปัญหาท่ีองคก์ รประสบอยู่ 2. ขั้นการวางแผน - การตัดสินใจ (planning-decision making) เป็นการนําข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ท่ีได้จากการทําวิจัย การรับฟังความคิดเห็นมากําหนดเป็นแผนการ กิจกรรม ตลอดจน กําหนดนโยบายต่างๆ การดําเนินงานเป็นการกําหนดแนวทางการตัดสินใจ และการดําเนินงานอย่างมี ระบบเพอื่ ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายทต่ี งั้ ไว้ 3. ข้ันการดําเนินการตามแผนงาน (implementation) หรือ ข้ันตอนการสื่อสาร เป็น ขั้นตอนลงมือปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ โดยการอาศัยวิธีการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ รวมท้ังเทคนิคการ สื่อสารในการเผยแพร่แนวคิด หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ได้กําหนดไว้ในการวางแผนไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ เก่ียวข้องตามสถานการณ์ที่กําหนดไว้ ท้ังนี้ในการปฏิบัติการจะต้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และ ทันเวลาจงึ จะได้ผลเปน็ ทีน่ ่าพอใจ 4. ข้ันการประเมินผล (evaluation) เป็นข้ันตอนที่วัดผลการดําเนินงานว่าได้ผลตามที่ กําหนดไวใ้ นแผนหรอื โครงการหรอื ไม่ อย่างไร ข้อมูลที่ไดจ้ ากการประเมินผลจะเป็นผลดีต่อการดําเนินงาน ในคร้ังต่อไป การประชาสัมพนั ธ์ของรฐั บาล การประชาสมั พันธข์ องรัฐบาล หมายรวมถงึ การประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานราชการ ทั้งใน ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซ่ึงการดําเนินงานดังกล่าวจะใช้วิธีการกระจายข่าวสาร การเผยแพร่ชี้แจง เก่ียวกับนโยบาย การดําเนินงาน ผลงานต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดี และชื่อเสียงเกียรติคุณของ หน่วยงานสู่ประชาชน เพื่อให้ได้รับความร่วมมือ ร่วมใจและความนิยมจากประชาชนกลุ่มต่างๆ ในการ สร้างความสําเร็จแก่หน่วยงานราชการนั้นๆ และของประเทศชาติโดยส่วนรวม อีกทางหน่ึงประชาชนใน ฐานะผเู้ ป็นเจา้ ของประเทศย่อมมสี ทิ ธิ มีเสียง มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ดังน้ันประชาชนจึงมีสิทธิ ตามกฎหมายในการรบั รขู ้อมลู ขา่ วสารของรฐั สอ่ื ท่ใี ชไ้ ดแ้ ก่ วทิ ยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยโุ ทรทัศน์ เอกสาร
12 ส่ิงพิมพ์ ภาพข่าวและภาพยนตร์ การจัดนิทรรศการและงานพิเศษ หน่วยประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ บริการ สําหรับหนังสือพิมพ์ การสํารวจประชามติ การเผยแพร่ดา้ นวชิ าการผา่ นการอบรม เป็นต้น 5. แนวความคดิ นโยบายเก่ียวกบั ความปลอดภัยทางถนน (ศนู ยอ์ าํ นวยการความปลอดภัย ทางถนน , 2553) 5.1 มติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ 29 มิถุนายน 2553 ให้ความสําคัญกับแนวทางการดําเนินการ ตามกรอบปฏิญญามอสโก กําหนดให้ปี พ.ศ. 2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และ ได้กําหนดให้การป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้ศูนย์อํานวยการความ ปลอดภัยทางถนน จัดทําแผนปฏิบัติการทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554-2563 (Decade of Action for Road Safety) ซ่ึงการดําเนินการด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมาย กล่าวคือ ลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนตํ่ากว่า 10 คนต่อประชากรหน่ึง แสนคนในปี พ.ศ. 2563 และมีกรอบแนวทางการดําเนินงานของประเทศไทยตามแนวทาง 5 เสาหลัก ภายใตก้ รอบทศวรรษความปลอดภัยทางถนนโลก ดังน้ี 1) การจัดการความปลอดภยั ทางถนน (Road Safety Management) 2) ถนนและการสญั จรที่ปลอดภยั ย่ิงขน้ึ (Safer Road and Mobility) 3) ยานพาหนะที่ปลอดภยั ย่งิ ขึ้น (Safer Vehicle) 4) การใชร้ ถใชถ้ นนทป่ี ลอดภยั ยิ่งขน้ึ (Safer Road Use) 5) การดแู ลหลังการเกดิ เหตุ (Post-Crash Care) จากกรอบแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนตามกรอบปฏิญญามอสโก ประเทศ ไทยได้กําหนดแนวทางในการทํางานไว้ 8 ประการ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย คือ ลดอัตราการเสียชีวิตจาก อบุ ัติเหตทุ างถนนตํ่ากวา่ 10 คนตอ่ ประชากรหนึ่งแสนคนในปี พ.ศ. 2563 ดงั นี้ 1. ส่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัย 2. ลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการบรโิ ภคเคร่อื งด่มื แอลกอฮอล์แลว้ ขบั ขีย่ านพาหนะ 3. แก้ไขปัญหาจุดเสย่ี ง จดุ อันตราย 4. ปรบั พฤตกิ รรมของผูข้ ับขีย่ านพาหนะใหใ้ ช้ความเร็วตามทก่ี ฎหมายกาํ หนด 5. ยกระดับมาตรฐานยานพาหนะให้ปลอดภัยโดยเฉพาะมาตรฐานของรถจักรยานยนต์ รถกระบะรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทกุ 6. พัฒนาสมรรถนะของผูใ้ ชร้ ถใช้ถนนใหม้ คี วามปลอดภยั 7. พฒั นาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน การรกั ษาและฟนื้ ฟูผูบ้ าดเจบ็ ไดอ้ ย่างท่ัวถงึ และรวดเรว็ 8. พัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการความปลอดภัยทางถนนของประเทศใหม้ ีความเข้มแข็ง 5.2 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2553 ประกาศให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยให้หน่วยงานภาคราชการ องค์กรมหาชน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ มีมาตรการเพ่อื รณรงค์ส่งเสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั ดังนี้ 1) ใหห้ น่วยงานภาครัฐทุกแหง่ กําหนดใหบ้ ริเวณสถานทรี่ าชการเป็นพ้นื ท่สี วมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในการขบั ข่รี ถจกั รยานยนต์
13 2) ให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรมหาชน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่ง ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี 28 เมษายน 2546 ซ่ึงกําหนดมาตรการปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบายความปลอดภัยทางถนนของข้าราชการและเจ้าหน้าท่ีของรัฐไว้แล้ว โดยให้ทุกหน่วยงานท้ังภาครัฐ องค์กรมหาชน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้งกําชับให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าท่ี ในสงั กดั ปฏิบตั ิตนเป็นตัวอย่างที่ดใี นการปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย นโยบายความปลอดภัยทางถนน เร่ืองการขับ ขีร่ ถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง หากไม่ปฏิบัติตามถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายและให้ผู้บังคับบัญชา พิจารณาดําเนินการลงโทษทางวินยั ต่อไป 3) เพื่อเป็นการลดความสูญเสียในกลุ่มท่ีมีความเส่ียงสูงต่อการบาดเจ็บและเสียชีวิตจาก รถจักรยานยนต์ ได้แก่ กลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงเห็นสมควรให้ส่วนราชการท่ีเก่ียวข้อง ดาํ เนนิ การดงั นี้ 3.1) ให้กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือจากสถานประกอบการในการส่งเสริมให้ พนกั งานสวมหมวกนริ ภยั ทุกครั้งในการขับขีร่ ถจักรยานยนต์ 3.2) ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้สถานศึกษาทั้งของภาครัฐและเอกชนจัดให้มี มาตรการในการสง่ เสริมการสวมหมวกนริ ภยั ของบคุ ลากรในสงั กดั นักเรยี น และนักศึกษา 3.3) ให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้ความร่วมมือในการ รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนริ ภยั ในสถานศกึ ษาในสังกัดองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ 4) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทบทวน มาตรฐานหมวกนิรภัยให้เหมาะสมกับสภาพภูมอิ ากาศของประเทศไทย 5) ให้กระทรวงสาธารณสุข จัดเก็บข้อมูลสถิติการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนท่ี เก่ียวขอ้ งกับการไม่สวมหมวกนริ ภยั 6) ให้ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนจัดให้มี กจิ กรรมสนับสนุนโครงการปแี ห่งการรณรงคส์ ง่ เสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ 5.3 สาระสําคัญของโครงการ “ ปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซ็นต์ ” มีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และแนวทางในการดําเนนิ การ ดังน้ี วตั ถุประสงค์ 1 เพ่ือผลักดนั ใหท้ กุ ภาคสว่ นใหค้ วามสําคญั ในเรอ่ื งการสวมหมวกนริ ภัย 2. เพ่ือขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยไปสู่การปฏิบัติอย่าง เปน็ รูปธรรม 3. เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีการนําเสนอแผนงาน/โครงการสนับสนุนส่งเสริมการสวม หมวกนริ ภัย 4. เพื่อกําหนดกลไกกํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานโครงการ สง่ เสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั ในทกุ ระดบั เปา้ หมาย : ผูข้ บั ขแี่ ละผโู้ ดยสารรถจักรยานยนตส์ วมหมวกนิรภัยทกุ คร้งั
14 การดําเนินงาน : ประกอบด้วยกจิ กรรมหลัก 5 กจิ กรรม ดงั น้ี กิจกรรมหลักที่ 1 การผลกั ดนั ให้รฐั บาลประกาศให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์ สง่ เสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั 100 เปอรเ์ ซ็นต์ กิจกรรมหลกั ที่ 2 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ด้านการสวมหมวก นิรภัย กิจกรรมหลกั ท่ี 3 การบังคบั ใชก้ ฎหมาย กิจกรรมหลกั ท่ี 4 การผลิตหมวกนิรภยั และการออกแบบหมวกนริ ภัย กจิ กรรมหลักท่ี 5 การติดตามและประเมินผล 6. กฎหมายเกยี่ วกับหมวกนิรภัย พระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 122 ผขู้ บั ขีร่ ถจกั รยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัยท่ีทํา ขึ้น โดยเฉพาะเพ่ือป้องกันอันตรายขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้หมวก นิรภยั เพื่อปอ้ งกันอันตรายตามวรรคหนึง่ ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา 147 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏบิ ตั ิตามมาตรา 122 ตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กินหา้ ร้อยบาท พระราชบัญญัติจราจรทางบกแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2522 มีการออกพระราชบัญญัติ จราจรทางบก มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และ ใหใ้ ชข้ อ้ ความต่อไปนแ้ี ทน มาตรา 122 ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัย ท่ีทําขึ้น โดยเฉพาะเพ่ือป้องกันอันตรายขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ทั้งน้ี เฉพาะท้องที่ที่กําหนด ไว้ในพระราชกฤษฎีกา ความในวรรคหนึ่งให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 5 ปี นับแต่วันท่ีพระราชบัญญัติ บงั คับ ลักษณะและวิธกี ารใช้หมวก เพ่ือปอ้ งกันอนั ตรายตามวรรคหน่ึงให้เป็นตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง บทบัญญัติน้ี มิให้ใช้บังคับแก่ ภิกษุ สามเณร หรือผู้นับลัทธิศาสนาอื่นใด ที่ใช้ผ้าโพกศีรษะตามประเพณี นิยมน้นั หรือบุคคลใดทีก่ ําหนดในกฎกระทรวง พระราชกฤษฎีกากําหนดท้องท่ีที่ผู้ขับข่ี และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกที่จัด ขน้ึ โดยเฉพาะ พ.ศ. 2535 ใหบ้ งั คบั ใช้หมวกนริ ภัยในท้องที่ และเวลาต่อไปน้ี คอื ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร เมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วันประกาศในราชกิจจา นุเบกษา (14 กนั ยายน 2535) ในเขตท้องท่ีจังหวัดขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ นครปฐม นครราชสีมานครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พิษณุโลก ภูเก็ต สงขลา สมุทรปราการสมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และอุบลราชธานี เมื่อพ้นกําหนด 1 ปี นับวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในเขตท้องถิ่นที่จังหวัดอื่น นอกเหนอื จาก (1) และ (2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 เปน็ ตน้ ไป กฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อท่ี 1-3 อาศยั อาํ นาจตามความใน มาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และ มาตรา 122 วรรคสาม แห่ง พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบญั ญัตจิ ราจรทางบก (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2522 รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยออก
15 กฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปน้ี ข้อ 1 ในกฎกระทรวงน้ี \"หมวกนิรภัย\" หมายความว่า หมวกท่ีจัดทําขึ้น โดยเฉพาะเพ่ือป้องกันอันตรายในขณะขับข่ีและโดยสารรถจักรยานยนต์ \"หมวกนิรภัยแบบปิดเต็มหน้า\" หมายความว่า หมวกนิรภัยท่ีเปลือกหมวก เป็นรูปทรงกลมปิดด้านข้าง ด้านหลัง ขากรรไกร และคาง ในกรณที ี่มีบังลม บังลม ต้องทําจากวัสดุโปร่งใสและไม่มีสี \"หมวกนิรภัยแบบเต็มใบ\" หมายความว่า หมวก นิรภัยท่ีเปลือกหมวกเป็น รูปทรงกลมปิดด้านข้างและด้านหลังเสมอแนวขากรรไกรและต้นคอด้านหลัง ดา้ นหน้าเปิด เหนือคิ้ว \"หมวกนิรภยั แบบครึ่งใบ\" หมายความว่า หมวกนริ ภัยทเี่ ปลือกหมวกเปน็ รปู ครึง่ ทรง กลมปิดด้านข้างและด้านหลังเสมอระดับหู ในกรณีท่ีมีบังลม บังลม ต้องทาจาก วัสดุโปร่งใสและไม่มีสี ข้อ 2 หมวกนิรภัยให้ใช้ได้ 3 แบบ คือ หมวกนิรภัยแบบปิดเต็มหน้า หมวกนิรภัยแบบเต็มใบและหมวก นริ ภัยแบบครึ่งใบ ในกรณีท่ีได้มีการกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสาหรับหมวกนิรภัยแบบใดไว้ ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว หมวกนิรภัยที่จะใช้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ข้อ 3 ในขณะขับข่ีหรือโดยสารรถจักรยานยนต์ ผู้ขับข่ีและคนโดยสารต้อง สวมหมวกนิรภัยโดยจะต้องรัดคางด้วยสายรัดคางหรือเข็มขัดรัดคางให้แน่นพอท่ีจะป้องกันมิให้ หมวกนิรภัยหลุดจากศีรษะได้หากเกิดอุบัติเหตุ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับน้ี คือ โดยที่เป็นการสมควรกําหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์สวมหมวก ในขณะขับขี่ และโดยสารรถจักรยานยนต์ และโดยที่ มาตรา 122 วรรคสาม แห่ง พระราชบัญญัติ จราจร ทางบก พ.ศ. 2522 ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พระราชบัญญัติ จราจรทางบก (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2522 ได้บัญญัติ ให้ลกั ษณะและวิธกี ารใช้หมวกเพ่ือป้องกันอันตรายเป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จึงจาเป็นต้องออก กฎกระทรวงนี้ ผลที่ได้จากการศกึ ษาตามแนวคิดและทฤษฎีและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้องข้างตน้ สรุปไดว้ ่า การรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย เป็นการลดการสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บ และผู้พิการท่ีมี สาเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากการไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับข่ีรถจักรยานยนต์ การดําเนินการดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือ ผนวกกับการใช้กฎหมายในการดําเนินการ คือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซ่ึงการสรุปดังกล่าวนําไปสู่กรอบแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ นโยบายรัฐบาล การประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้ การบังคับใช้ กฎหมาย และการมีส่วนรว่ ม มีผลต่อความสําเรจ็ ในการรณรงคก์ ารสวมหมวกนิรภยั 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ตัวแปรตาม คือ ความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ต คือ มีจํานวน ผใู้ ชร้ ถจกั รยานยนตส์ วมหมวกนริ ภยั เพิม่ ขึน้ จากปที ผี่ า่ นมา ตัวแปรอิสระ คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ นโยบายรัฐบาล การประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้ การบังคับใช้กฎหมาย และการมสี ว่ นรว่ ม
16 กรอบแนวคดิ ตวั แปรตาม ตวั แปรอสิ ระ ความสําเร็จในการรณรงค์การสวม หมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ต คือ มีจํานวน ปัจจยั สว่ นบคุ คล ได้แก่ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย 1. เพศ เพมิ่ ขึน้ จากปที ่ผี า่ นมา 2. อายุ 3. ระดบั การศกึ ษา 4. อาชีพ ปัจจยั สนับสนนุ ไดแ้ ก่ 1. นโยบายรฐั บาล 2. การประชาสมั พันธ์การให้ ความรู้ 3. การบังคับใช้กฎหมาย 4. การมสี ่วนรว่ ม 5. การมสี ว่ นรว่ ม ภาพที่ 2.2 : แสดงความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปรอสิ ระกบั ตวั แปรตาม กรอบแนวคิดขา้ งตน้ แสดงถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง ตวั แปรอสิ ระกบั ตัวแปรตาม ภายใต้ แนวความคิดเร่ือง แนวความคิดนโยบายเก่ียวกับความปลอดภัยทางถนน ของศูนย์ อาํ นวยการความปลอดภยั ทางถนน (2553) แนวคิดเร่ืองการประชาสัมพันธ์ ของวิรัช ลภิรัตนกุล (2546) ณัฐนันท์ ศิริเจริญ (2548) วริ ัช ลภิรตั นกุล. (2546) และรตั นาวดี ศริ ิทองถาวร (2546) แนวคดิ เรื่องการใหค้ วามรู้ ของ ประภาเพญ็ สุวรรณ (2542) และเบนจามนิ บลูม (2542) แนวคิดเรือ่ งกฎหมายเก่ียวกับหมวกนิรภัย (พระราชบญั ญัตจิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522) แนวคิดเร่ืองการมีส่วนร่วม ของวันชัย มีชาติ (2550) ชินชัย ช้ีเจริญ (2552) นครินทร์ เมฆ ไตรรัตน์ และคณะ (2550)ถวิลวดี บุรีกุล (2543) อรพินท์ สพโชคชัย (2538) พัชรี สิโรรส อรทัย ก๊กผล และโสภารัตน์ จารุสมบัติ (2550) และ Cohen and Uphoff (1977)
17 บทท่ี 3 ระเบยี บวิธีวจิ ัย เนื้อหาของบทเป็นการอธิบายถึงวิธีการวิจัยสําหรับการศึกษาในครั้งนี้ ซ่ึงใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีข้อมูลเชิงปริมาณประกอบสนับสนุนผลการวิจัย ประกอบด้วย ประชากรและตัวอย่าง เคร่ืองมือท่ีใช้ ในการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์และการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ท่กี ําหนดข้นึ ประชากร ประชากรท่ใี ชศ้ ึกษา คือ ผ้บู ริหาร เจา้ หน้าท่ีและภาคเี ครือขา่ ยทีเ่ กีย่ วข้องกบั ภารกจิ งานป้องกนั และ แก้ไขอุบัติเหตทุ างถนนจังหวัดภเู กต็ และประชาชนผใู้ ชร้ ถจักรยานยนต์ในพ้ืนทจ่ี งั หวัดภูเกต็ ตวั อยา่ ง ตวั อยา่ งทีใ่ ชศ้ กึ ษา คือ กลุ่มตัวอย่างท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาครง้ั นี้ ไดแ้ ก่ 1. กลุ่มผู้บริหารผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจงานป้องกันและ แกไ้ ขอุบัตเิ หตุทางถนนจังหวัดภเู กต็ ได้แก่ กลมุ่ ผ้บู รหิ าร เจ้าหนา้ ทแ่ี ละภาคเี ครอื ข่ายที่เก่ียวข้องกับภารกิจ งานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต จากตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุข จังหวัดภูเก็ตสํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต สํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต สํานักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยภเู ก็ต อาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือน รวมจาํ นวน 10 คน (โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ)์ 2. กลุ่มประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนท่ีจังหวัดภูเก็ต ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต จํานวน 100 คน (โดยใช้แบบสอบถาม) ซ่ึงกลุ่มตัวอย่างของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนที่จังหวัดภูเก็ต ใน การศึกษาคร้ังนี้ จากจํานวนประชากรท่ีใช้รถจักรยานยนต์ท้ังหมดในเขตอําเภอเมือง โดยใช้วิธีของ Taro Yamane แต่เนื่องจากมีข้อจํากัดด้วยเวลา จึงเลือกลุ่มตัวอย่างเพียงจํานวน 100 คน (โดยใช้ แบบสอบถาม) n= N n = ขนาดตวั อย่างทีค่ าํ นวณได้ 1+Ne2 N = จํานวนประชากรทที่ ราบค่า e = คา่ ความคลาดเคลอ่ื นที่จะยอมรบั ได้ n = 54,138 1+54,138(0.05)2 (allowable error) = 0.05 n = 397 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการศกึ ษา ผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์และสอบถามเป็นเครื่องมือเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง โดยมี รายละเอยี ดและข้ันตอน ดงั น้ี
18 แบบสัมภาษณ์ 1. ศกึ ษาวิธกี ารสร้างแบบสัมภาษณจ์ ากเอกสาร งานวจิ ยั และทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้อง 2. สรา้ งแบบสมั ภาษณเ์ พื่อถามความคดิ เห็นในประเด็นต่างๆ 2 ประเดน็ คอื (1) ขอ้ มลู ทว่ั ไปเก่ียวกับผู้ตอบแบบสอบถาม (2) ความคิดเห็นที่มีผลตอ่ การรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภยั 3. นาํ แบบสัมภาษณท์ ่ไี ดส้ รา้ งขึ้นมาเสนอตอ่ อาจารยท์ ี่ปรึกษา เพื่อปรับปรงุ แก้ไข 4. หากมีการแก้ไขทําการปรับปรุงแก้ไขและนําเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความ ถกู ต้องอีกครง้ั หน่ึง เพือ่ ใหอ้ าจารยท์ ่ีปรึกษาอนมุ ตั กิ อ่ นสัมภาษณ์กลุ่มตวั อย่าง 5. ตดิ ตอ่ ประสานกลุ่มตวั อย่างเพ่ือกาํ หนดวัน เวลา ในการสมั ภาษณ์ การสรา้ งแบบสอบถาม 1. ศกึ ษาวิธีการสร้างแบบสอบถามจากเอกสาร งานวจิ ัย และทฤษฎที ีเ่ ก่ียวข้อง 2. สรา้ งแบบสอบถามเพอ่ื ถามความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ 2 ประเดน็ คอื (1) ขอ้ มูลทั่วไปเกย่ี วกับผู้ตอบแบบสอบถาม (2) ความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจกั รยานยนต์ตอ่ การรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภยั 3. นาํ แบบสอบถามที่ได้สร้างข้ึนมาเสนอตอ่ อาจารย์ทป่ี รกึ ษา เพ่ือปรับปรงุ แกไ้ ข 4. หากมีการแก้ไขทําการปรับปรุงแก้ไขและนําเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความ ถูกตอ้ งอีกคร้ังหนง่ึ เพอ่ื ให้อาจารย์ท่ปี รึกษาอนมุ ัติกอ่ นแจกแบบสอบถาม 5. แจกแบบสอบถามไปยังตวั อยา่ ง การตรวจสอบเครอื่ งมือ ผู้วิจัยได้นําเสนอแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่ได้สร้างข้ึนต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพ่ือตรวจสอบ ความครบถว้ นและความสอดคลอ้ งของเนอื้ หาของแบบสอบถามทต่ี รงกบั เรอ่ื งทีจ่ ะศึกษา องคป์ ระกอบของแบบสมั ภาษณ์ ผทู้ าํ วจิ ยั ไดอ้ อกแบบสมั ภาษณ์ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนพรอ้ มกับวธิ ีการตอบคาํ ถามดังตอ่ ไปนี้ คอื ส่วนท่ี 1 เป็นคําถามเก่ียวกับข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบคําถาม ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ตําแหน่ง ลกั ษณะคาํ ถามเป็นคาํ ถามปลายปิดแบบให้เลือกตอบ ส่วนที่ 2 เป็นคําถามเก่ียวข้องกับความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ท่ีมีต่อภารกิจการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภยั ลักษณะเปน็ คาํ ถามปลายเปิด องคป์ ระกอบของแบบสอบถาม ผู้ทาํ วิจัยไดอ้ อกแบบสอบถามซง่ึ ประกอบด้วย 2 ส่วนพร้อมกับวิธกี ารตอบคําถามดงั ตอ่ ไปนี้ คอื ส่วนที่ 1 เป็นคําถามเกี่ยวกับข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบคําถาม ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ หลัก สถานภาพ ลักษณะคาํ ถามเป็นคาํ ถามปลายปดิ แบบให้เลือกตอบ ส่วนท่ี 2 เป็นคําถามเก่ียวข้องกับความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์การ สวมหมวกนริ ภยั ลกั ษณะเปน็ คําถามปลายปดิ โดยคาํ ถามแบง่ เปน็ 2 คําตอบ คือใช่ กบั ไมใ่ ช่
19 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์ ผวู้ ิจยั ได้ดาํ เนินการเกบ็ ขอ้ มลู ตามข้นั ตอนตอ่ ไปนี้ คอื 1. ติดต่อประสานงานกับกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการสัมภาษณ์ นัดหมายวันเวลาท่ีจะทําการ สมั ภาษณ์ 2. ทาํ การสมั ภาษณต์ ามแบบสัมภาษณท์ ี่ได้จัดทาํ ไว้ การเก็บรวบรวมข้อมลู แบบสอบถาม ผู้วิจยั ได้ดาํ เนนิ การเกบ็ ขอ้ มูลตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี คอื 1. ผู้วิจัยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเน้ือหาภายในแบบสอบถามและวิธีการตอบแก่ตัวแทนและ ทมี งาน 2. ตัวแทนและทีมงาน เข้าไปในสถานทต่ี า่ งๆท่ตี ้องการศกึ ษาตามท่รี ะบไุ วข้ ้างต้น 3. ตัวแทนและทีมงาน ได้แจกแบบสอบถามให้กลุ่มเป้าหมายและรอจนกระทั่งตอบคําถาม ครบถ้วน ซ่งึ ในระหวา่ งนั้นถา้ ผ้ตู อบมีขอ้ สงสยั เก่ยี วกับคําถาม ทมี งานจะตอบขอ้ สงสัยนั้น การแปรผลข้อมลู 1 ผู้ทําวิจัยได้นําแบบสัมภาษณ์ที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ ของข้อมลู นาํ มาจดั ระบบและทาํ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลบรรยายเชงิ พรรณนา (Descriptive Analysis) 2 นาํ แบบสอบถามทไ่ี ด้รบั กลับคืนมาดําเนินการ ดงั นี้ 2.1 ตรวจสอบความถกู ต้องสมบูรณข์ องข้อมูล 2.2 จําแนกและจดั หมวดหมูข่ องประเดน็ ท่ีศึกษา 2.3 กรอกขอ้ มลู ในแบบสอบถามลงในแบบกรอกขอ้ มลู ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2.4 วเิ คราะหข์ ้อมูล โดยวิเคราะห์หาคา่ รอ้ ยละ และสรปุ ผลออกมาโดยการใช้สถติ ิเชิงพรรณนา สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ ในการศึกษาครงั้ นี้ ผู้ทาํ วิจยั ใช้สถติ ิพื้นฐานในการวิเคราะหข์ ้อมูล คอื ร้อยละ (Percentage)
20 บทที่ 4 การวิเคราะหข์ ้อมลู บทน้เี ป็นการวเิ คราะห์ข้อมูลเพ่ือการอธิบายและการทดสอบสมมุติฐานที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรแต่ ละตัว ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมจาก 2 แบบ ในจํานวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 110 ตัวอย่าง โดย แบง่ ออกเป็นดงั น้ี ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ โดยกลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีและภาคีเครือข่ายที่เก่ียวข้องกับภารกิจ งานป้องกันและแกไ้ ขอุบัติเหตทุ างถนนจังหวดั ภเู กต็ รวมจํานวน 10 คนประกอบดว้ ย 1. สถานตี าํ รวจภูธรจงั หวดั ภเู กต็ จํานวน 1 คน 2. สํานกั งานสาธารณสุขจังหวัดภเู ก็ต จํานวน 2 คน 3. สาํ นกั งานขนสง่ จังหวัดภเู กต็ จาํ นวน 1 คน 4. สาํ นกั งานประชาสัมพันธจ์ ังหวดั ภูเกต็ จํานวน 1 คน 5. สาํ นกั งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั ภูเก็ต จํานวน 3 คน 6. คณะกรรมการอาสาสมัครป้องภัยฝา่ ยพลเรือนจังหวัดภเู ก็ต จํานวน 2 คน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสัมภาษณ์ แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ประกอบด้วย สว่ นที่ 1 เปน็ ขอ้ มูลทั่วไปเกยี่ วกบั เพศ และระดบั การศกึ ษา ผลการศกึ ษา พบว่า 1) เพศ ในการวิเคราะหข์ ้อมูลเพศของกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้บริหาร ผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีและภาคีเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องกับภารกิจงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัด ภูเก็ต จํานวนท้ังส้ิน 10 คน พบว่า เป็นชาย จํานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 70 เป็นหญิง จํานวน 3 คน คิดเป็น ร้อยละ 30 2) ระดับการศึกษา ในการวิเคราะห์ข้อมูลระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบ สัมภาษณ์ กลุ่มผู้บริหารผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจงานป้องกันและแก้ไข อุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต พบว่า มีการศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 และ ระดับสงู กวา่ ปริญญาตรี จาํ นวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 70 ส่วนที่ 2 เปน็ ขอ้ มูลเกี่ยวกับความคดิ เหน็ ที่มตี ่อภารกจิ การรณรงค์การสวมหมวกนริ ภัย สรุปผลการสัมภาษณ์ความคิดเห็นท่ีมีต่อภารกิจการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของ ผู้บริหารเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัด ภูเกต็ 1. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซน็ ต์ และทา่ นมีแนวทางการขบั เคล่อื นนโยบายน้อี ยา่ งไร จากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องกับภารกิจงาน ปอ้ งกันและแก้ไขอุบตั ิเหตทุ างถนนจังหวัดภูเกต็ จาํ นวน 10 คน สามารถสรุปประเดน็ ได้ดังน้ี ผู้ให้สัมภาษณ์จากสถานีตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า นโยบายการรณรงค์การสวม หมวกนริ ภยั 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ เปน็ นโยบายทีท่ า้ ทายและสามารถลดการบาดเจบ็ พกิ ารและการสญู เสียชวี ิต
21 จากอุบัติเหตุทางถนนลงได้เกือบครึ่งหนึ่งเพราะจากที่ทราบสถิติข้อมูลของสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต พบว่า จากจํานวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการขับขี้รถจักรยานยนต์ และ ไม่สวมหมวกนิรภัย ดังนั้น แนวทางในการดําเนินการเพื่อให้นโยบายการรณรงค์การสวมหมวกให้นิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ในจังหวัดภูเก็ตประสบความสําเร็จ ควรดําเนินการเผยแพร่ความรู้ ความเช้าใจ ถึง ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย เพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เห็นความสําคัญ และประโยชน์ของหมวกนิรภัย หลังจากน้ันใช้มาตรการการบังคับใช้กฎหมาย โดยการตรวจจับ ปรับ ตามท่ีกฎหมายกาํ หนด เพ่ือให้เกดิ ความเคยชนิ และสามารถพฒั นาเปน็ วัฒนธรรมความปลอดภัยไดใ้ นทสี่ ุด ซ่ึงสอดคล้องกับผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยให้ ข้อมูลคล้ายท่ีกันว่า นโยบายการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นโครงการท่ีรัฐบาลให้ ความสําคัญเป็นอันดับแรกจากกรอบแนวทางท้ัง 8 แนวทางในการดําเนินการภารกิจด้านความปลอดภัย ทางถนนของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายตามกรอบปฏิญญามอสโก คือ ลดอัตราการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนต่ํากว่า 10 คนต่อประชากรหน่ึงแสนคนในปี พ.ศ. 2563 โดยโครงการรณรงค์การ สวมหมวกนิรภัยน้ีดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ทุกคร้ังทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เป็นนโยบายท่ีดีในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เน่ืองจากปัจจุบันผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากรถจักรยานยนต์ และไม่สวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งอันดามัน มีนักท่องเท่ียวจํานวนมากท้ังชาวไทยและต่างประเทศ และที่สําคัญประชาชนในจังหวัดภูเก็ตรวมท้ัง นักท่องเทยี่ วนยิ มใช้รถจักรยานยนต์ในการสัญจรไปมาเน่ืองจากสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล หรือช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ทําให้การจราจรในจังหวัดภูเก็ตหนาแน่น มักจะมีการเกิดอุบัติเหตุ ทางถนนเป็นจํานวนมาก เมื่อได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้ดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ จังหวัดภูเก็ตจึงได้มีแนวทางการดําเนิน คือ จัดประชุมภาคีเครือข่ายที่เก่ียวข้องกับการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพ่ือร่วมกันกําหนดแนวทางการดําเนินงาน โดยมีการระดม ข้อมูลอัตราการสวมหมวกนิรภัยจากภาคส่วนต่างๆ เช่น ข้อมูลอัตราการสวมหมวกนิรภัยจากตํารวจภูธร จังหวัดภูเก็ตที่ได้จากกล้อง CCTV ข้อมูลสถิติการสุ่มเก็บอัตราการสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ตจาก มูลนิธิไทยโรดส์ เพ่ือนําข้อมูลท่ีมาประมวล วิเคราะห์ กําหนดแผน กิจกรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลด อุบัติเหตุทางถนนตามที่รัฐบาลกําหนด ซ่ึงแนวทางการดําเนินการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัด ภเู กต็ คอื เนน้ สร้างทมี งานท่ีเข้มแขง็ และยง่ั ยนื การทํางานแบบมีส่วนร่วม ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วม ของเครือข่าย การใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยการรวบรวมใช้ข้อมูลจากหลายภาคส่วนเพ่ือวิเคราะห์สาเหตุการ เกิดอุบัตเิ หตุ และใชข้ ้อมูลท่ไี ด้จากการวเิ คราะห์ มาเปน็ แนวทางในการดําเนินงาน การสร้างแรงจูงใจและ กําลังใจ สร้างบรรยากาศการทํางาน โดยมีการช่ืนชมผลสําเร็จและให้กําลังใจในการดําเนินงานมี ค่าตอบแทนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการเข้าร่วมประชุม และความต่อเน่ืองในการดําเนินงาน จัด ประชุมอย่างต่อเนื่อง มีการติดตาม ประเมินผลการดําเนินงานอย่างต่อเน่ือง โดยใช้หลักการ ประชาสัมพันธ์ให้ทราบ ปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้เห็นความสําคัญและประโยชน์ของหมวก นิรภัย กฎหมายที่เก่ียวกับหมวกนิรภัย โดยการฝึกอบรมให้ความรู้ การประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือต่างๆ ทั้ง ส่ือสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น โดยจังหวัดภูเก็ตใช้หลักการประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยไม่มีการใช้ กฎหมายบงั คับเป็นเวลา 3 เดอื น เพ่ือกระตุ้นและสร้างจติ สาํ นกึ ให้กบั ประชาชนเป็นการเบื้องตน้ และ
22 สุดท้ายใช้หลักการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งและต่อเน่ืองส่วนความคิดเห็นของผู้ให้สัมภาษณ์ จากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ท้ัง 2 ท่าน ได้ให้ข้อมูลคล้ายกันว่านโยบายการรณรงค์การสวม หมวกนริ ภยั 100 เปอร์เซ็นต์ ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้กําหนดให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการ สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นนโยบายที่ดีมาก เน่ืองจากยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนส่วน ใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ โดยสาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตของผู้ใช้ รถจักรยานยนต์ คือ การบาดเจ็บที่ศีรษะ ซ่ึงในปัจจุบัน พบว่า จังหวัดภูเก็ตมีจํานวนรถจักรยานยนต์ ท่ีจดทะเบียนจํานวนเพิ่มมากข้ึนซึ่งแปรผกผันกับจํานวนการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับข่ีรถจักรยานยนต์ และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ถ้าเราสามารถรณรงค์ให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังใน การใช้รถจักรยานยนต์ก็จะสามารถลดจํานวนผู้พิการหรือผู้เสียชีวิตได้กว่าร้อยละ 50 ท่ีสําคัญจังหวัด ภูเก็ตเป็นจังหวัดท่องเที่ยวซึ่งมีจํานวนนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเท่ียวเป็นจํานวนมากและและใช้ รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการท่องเที่ยวรอบเกาะ ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆทําให้จํานวน รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ตมีจํานวนเพ่ิมมากขึ้น ซ่ึงสํานักงานสาธารณสุขมีแนวทางการขับเคลื่อน นโยบายนี้ให้ประสบความสําเร็จ สาธารณสุขจังหวัด ได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ และภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ในการดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายการรณรงค์การสวม หมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งส่วนใหญ่สาธารณสุขจะเป็นผู้สนับสนุนข้อมูลสถิติ ผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตและสาเหตุของการเสียชีวิตและบาดเจ็บให้กับทีมงาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ ดําเนินการวางแผน กําหนดกิจกรรมต่อไป นอกจากนี้ยังสนับสนุนสื่อประชาสัมพันธ์ในการรณรงค์ฯ เช่น แผ่นพับ เอกสารความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของหมวกนิรภัย แผ่นซีดีความรู้หมวกนิรภัย เป็นต้น แนว ทางการดําเนินการท่ีได้ร่วมคิดร่วมทํากับทางทีมงานจังหวัดภูเก็ตคิดว่า ควรดําเนินการประชาสัมพันธ์ให้ ทราบควบคกู่ ับการบงั คับใชก้ ฎหมายอย่างจรงิ จงั และต่อเนือ่ ง และผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวว่า นโยบายโครงการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเร่ืองที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดท่ีมี ประชากรหลากหลายทั้งคนไทย คนต่างด้าว (พม่า) และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ทําให้ การดําเนินการโครงการรณรงค์ฯ ทําได้ยากเพราะประชาชาชนไม่คงที่มีการหมุนเวียนเข้าออกจังหวัด ตลอดเวลา สํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ตมีแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายโดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายท่ี เก่ียวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ในการดําเนินการโดยใช้เวทีการประชุมในการ จัดทําแผนงานกิจกรรม โดยกิจกรรมหลักที่สํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ตรับผิดชอบหลัก คือ การจัดการ ฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขับข่ีรถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยประโยชน์ของหมวกนิรภัย โดย กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็กนักเรียน นักศึกษาในสถาบันศึกษาต่างๆ และสถานประกอบการการ ซึ่งเป็น กลุ่มท่ีมีจํานวนการใช้รถจักรยานยนต์มากท่ีสุด นอกจากนี้ยังสนับสนุนการรณรงค์ประชาสัมพันธ์รณรงค์ การสวมหมวกนริ ภัยของจังหวัดภเู กต็ เชน่ หมวกนิรภยั เอกสารแผน่ พับต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า โครงการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต ถือว่าเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากจังหวัด ภูเก็ตมีจํานวนผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นจํานวนมาก และการสวมหมวกนิรภัยขณะขับข่ีรถจักรยานยนต์จะ เป็นสิ่งที่ช่วยลดการบาดเจ็บที่ศีรษะและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ ในส่วนของสํานักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดภูเก็ต ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายในการดําเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ หมวกนิรภัย ผา่ นทางชอ่ งทางสอื่ ต่างๆทั้งโทรทัศน์ วทิ ยุ แผน่ พับ โปสเตอร์ และไวนวิ เพื่อสร้างทัศนคติ
23 และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ขับข่ีและผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัยทุกคร้ัง เพื่อให้เกิด ความปลอดภัย โดยมงุ่ เน้นกลุ่มเป้าหมายท่ีมคี วามเสย่ี งสูงเป็นอันดับแรก คอื นักเรียน นักศกึ ษา เปน็ ต้น และสอดคล้องกับคณะกรรมการอาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือนจังหวัดภูเก็ต โดยให้ ข้อมูลท่ีคล้ายกันว่า นโยบายรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เป็นนโยบายท่ีเป็นประโยชน์อย่างมาก สําหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ต เน่ืองจากประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ตนิยมใช้ รถจักรยานยนต์กันมากเนื่องจากสะดวก คล่องตัว และที่สําคัญการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยเป็น ส่ิงจําเป็นเพราะหากเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน หรือเฉ่ียวชนกันหมวกนิรภัยสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความ รุนแรงจากการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่ศีรษะได้ ในฐานะอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนซ่ึงมีภารกิจท่ี สําคัญในการเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในการทําประโยชน์เพ่ือสังคม ได้ร่วมเป็นส่วนหน่ึงในการ รณรงค์การสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภูเก็ตโดยการให้ส่งเสริมให้สมาชิก อปพร. เข้าร่วมฝึกอบรมของ หน่วยงานต่างๆท่ีจัดขึ้นในการให้ความรู้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน ความรู้เก่ียวกับหมวกนิรภัย การสวมใส่หมวกนิรภัยที่ถูกวิธี และประโยชน์ของหมวกนิรภัย เพ่ือให้สมาชิก อปพร. สามารถนําความรู้ที่ ได้ไปเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปในชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ได้รับทราบประโยชน์ของหมวกนิรภัย และการ สวมหมวกนิรภัยท่ีถูกต้อง โดยแนวทางการดําเนินงานของศูนย์ อปพร.จังหวัดภูเก็ต คือ ออกกฎบังคับให้ สมาชิก อปพร.ท่ีใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งในการขับข่ี เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ ประชาชน ทั้งนี้ได้ดําเนินการเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าท่ีภาครัฐในการดําเนินการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โครงการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ในกิจกรรมต่างๆท่ีทางจังหวัดภูเก็ตจัดข้ึน เป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าท่ีตํารวจในการบังคับใช้กฎหมายสําหรับผู้ม่ีไม่สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น ท้ังน้ี ประธาน อาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือน และรองประธานอาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือนจะเข้าร่วมประชุม โครงการรณรงค์ส่งเสริมกรสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ตทุกครั้งเพื่อร่วมคิด ร่วมวางแผนการดําเนิน กิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้โครงการรณรงค์ส่งเสริมกรสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ตบรรลุตามเป้าหมายท่ี วางไว้ จากการข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พบว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีประชาชนเป็นจํานวน มากนิยมใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ เนื่องจากประหยัด สะดวกและรวดเร็ว การเสียชีวิตและบาดเจ็บ ส่วนใหญ่มาจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่มาจากรถจักรยานยนต์นโยบายการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เปน็ นโยบายรฐั บาลทีม่ คี วามสําคญั และเปน็ ประโยชน์ในการลดอัตราผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บที่ ศีรษะจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก และผู้ที่มีภารกิจที่ เก่ียวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ได้มีแนวทางการขับเคล่ือนนโยบาย คือ เน้น การบูรณาการร่วมกันดําเนินการภารกิจรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ทั้งร่วมกันคิด ร่วมกันทํา ร่วมกันวางแผน และติดตามประเมินผลร่วมกัน ทั้งนี้มีการแลกเปล่ียนข้อมูลร่วมกันเพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือ ในการตัดสินใจการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายท่ีวางไว้ สร้างแรงจูงใจและกําลังใจในการดําเนินการโดย มีการช่ืนชม มีรางวัลค่าตอบแทน ต่อผลสําเร็จเพ่ือเป็นขวัญกําลังใจในการดําเนินงาน ความต่อเนื่องใน การดําเนินงาน จัดประชุมอย่างต่อเนื่อง มีการติดตาม ประเมินผลการดําเนินงานอย่างต่อเน่ือง และท่ี สําคัญจังหวัดภูเก็ต ใช้การประชาสัมพันธ์โครงการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยให้ประชาชนทราบ เพื่อปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้เห็นความสําคัญและประโยชน์ของหมวกนิรภัย กฎหมายท่ี เกี่ยวกับหมวกนิรภัย โดยใช้แนวทางการฝึกอบรมให้ความรู้ และการประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือต่างๆ ทั้งส่ือ ส่งิ พิมพ์ วิทยุ โทรทศั น์ เป็นตน้ โดยจังหวดั ภูเกต็ ใชห้ ลกั การประชาสมั พนั ธ์ให้ทราบ โดยไม่มีการใช้
24 กฎหมายบังคับเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อกระตุ้นและสร้างจิตสํานึกให้กับประชาชนเป็นการเบื้องต้น สว่ นแนวทางท่สี าํ คญั ใช้แนวทางการบังคบั ใชก้ ฎหมายทเ่ี ข้มแขง็ และต่อเนื่อง 2. ท่านมีส่วนร่วมในการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภูเก็ต หรอื ไม่ อย่างไร ผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า การดําเนินการ รณรงค์สง่ เสรมิ การสวมหมวกนิรภัยในจงั หวดั ภเู ก็ต สํานกั งานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต ได้เป็นหน่วยประสานการดําเนินการ โดยประสานนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในการแจ้งหน่วยงาน ภาครัฐในพื้นที่ถือปฏิบัติตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดให้พ้ืนท่ีส่วนราชการและหน่วยงานในจังหวัด ภูเก็ต รวมทั้งเขตพ้ืนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เป็นเขตพ้ืนที่ควบคุมวินัยจราจรในเรื่องการสวมหมวก นริ ภัยอย่างเครง่ ครดั ทงั้ นีก้ าํ ชับให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีในการ ปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบายความปลอดภัยทางถนน เร่ืองการขับข่ีรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัย ทุกครั้ง หากไม่ปฏบิ ัตติ ามถือวา่ ฝา่ ฝนื กฎหมายและให้ผู้บงั คับบัญชาในหน่วยงานนั้นๆ พิจารณาดําเนินการ ลงโทษทางวินัย ต่อไป รวมทั้งกําชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนในสถานศึกษา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ทุกคร้ัง จังหวัด ภูเก็ตได้กําหนดให้บริเวณสถานที่ราชการเป็นพื้นที่สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ในการขับข่ีและ โดยสารรถจักยานยนต์ โดยใช้รูปแบบสัญลักษณ์เหมือนกันทั้งจังหวัดภูเก็ต ซ่ึงรูปแบบสัญลักษณ์การ รณรงค์สวมหมวกนริ ภัยเป็นรปู แบบทม่ี ตคิ ณะรัฐมนตรใี ห้ความเหน็ ชอบใหใ้ ชเ้ หมือนกันทวั่ ประเทศ ซ่ึงสอดคล้องกับผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยคนที่ 2 ที่กล่าวว่าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ตได้เป็นหน่วยประสานการดําเนินการ โครงการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 10 เปอร์เซ็นต์ โดยทําหน้าท่ีในการจัดประชุมภาคีเครือข่าย หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องภาคีเครือข่ายที่เก่ียวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และมูลนิธิต่างๆ ในการดําเนินการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นประจําทุกเดือน เพ่ือร่วมกันแชร์ข้อมูล แชร์ความคิด และ หาวธิ กี ารในการดาํ เนนิ การรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภัยของจังหวัดภูเก็ตให้สําเร็จตามเป้าหมายของรัฐบาล ที่ว่าผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง นอกจากนี้ยังทําหน้าท่ีนําเสนอกิจกรรม รณรงค์การสวมหมวกนิรภัยท่ีสําคัญๆให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบและเข้าร่วมเป็นประธานในการจัด กิจกรรมต่างๆ เช่น เป็นประธานเปิดพิธีปล่อยขบวนรณรงค์ฯ มอบหมวกนิรภัยให้กับเด็กและเยาวชน และท่สี าํ คัญเปน็ พรเี ซนเตอรใ์ นการสรา้ งจติ สํานกึ การสวมหมวกนิรภยั ดว้ ย โดยข้อมลู ผู้ให้สัมภาษณ์จากสถานีตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวว่า ตํารวจภูธรจังหวัด ภูเก็ต ได้มีการดําเนินการประชาสัมพันธ์นโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ําในเร่ืองของมาตรการการบังคับใช้กฎหมาย บทลงโทษผู้ท่ีไม่สวมหมวกนิรภัยเมื่อขับขี่หรือซ้อน ท้ายรถจักรยานยนต์ โดยใช้ส่ือประชาสัมพันธ์ต่างๆ ป้ายไวนิว เพ่ือให้ประชาชนได้รับรู้ถึงนโยบายการ รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย หลังจากน้ันจึงนํามาตรการการบังคับใช้กฎหมายมาบังคับโดยผู้ที่ไม่ สวมหมวกนิรภัยในคร้ังแรกไม่ต้องจ่ายค่าปรับแต่จะมีการให้ดูภาพยนตร์เร่ืองประโยชน์ของหมวกนิรภัย แทน แตห่ ากพบเจอว่ารายเดมิ ทเี่ คยถูกจับโดนเรยี กจบั เป็นครง้ั ที่ 2 ทางตํารวจจะดําเนินการให้เสียค่าปรับ ตามที่กฎหมายกําหนดพร้อมท้ังดูภาพยนตร์เพ่ือย้ําเตือนและสร้างความตระหนักให้เห็นความสําคัญของ หมวกนิรภัย
25 ซ่ึงสอดคล้องกับผู้ให้สมั ภาษณ์จากสาํ นักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ตและ ประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต ให้ข้อมูล ที่คล้ายกันว่า ร่วมกับภาคีเครือข่ายป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนในการร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับหมวก นิรภัยและกฎหมายท่ีใช้บังคับหมวกนิรภัย โดยจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้เก่ียวกับกฎหมายท่ีบังคับใช้ หมวกนิรภัยแก่ประชาชนและมีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ผ่านทางส่ือต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณา ส่ือโทรทัศน์ ทําให้ประชาชนตระหนักว่าการขับข่ีรถจักรยานยนต์มีความจําเป็นต้องสวมหมวกนิรภัย ทั้งนี้ ได้ลงพนื้ ท่ีดาํ เนนิ การถึงระดับชมุ ชน หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และโรงเรียนทุกโรงเรยี นในจงั หวดั ภเู ก็ต ผู้ให้สัมภาษณ์จากคณะกรรมการอาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือนจังหวัดภูเก็ต จํานวน 2 คนได้ให้ข้อมูลที่คล้ายกันว่าได้ร่วมดําเนินการกับภาคีเครือข่ายในจังหวัดภูเก็ต ในการรณรงค์ส่งเสริมการ สวมหมวกนิรภัยทั้งในเร่ืองของการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมความเข้าใจให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เห็น ความสําคญั ของหมวกนริ ภัย การฝกึ อบรมใหค้ วามรู้ การบังคบั ใชก้ ฎหมายโดยเป็นผู้ช่วยเจา้ หนา้ ท่ีตํารวจ ในการตรวจจับผู้ขับข่ีรถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยมีการจัดกําลังพลอาสาสมัครป้องกันภัย ฝา่ ยพลเรือนเข้าร่วมกจิ กรรมดงั กลา่ วอยา่ งตอ่ เน่อื ง จากการข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พบว่า ทุกภาคส่วนในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่ร่วมบูรณาการ ในการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย โดยเฉพาะภาครัฐจะเป็นหน่วยหลัก โดยมีภาคี เครอื ขา่ ยภาคเอกชนรว่ มสนบั สนนุ ในกจิ กรรมต่างๆ โดยเฉพาะการรณรงคใ์ หค้ วามรู้ การประชาชาสัมพันธ์ ให้ทราบถึงนโยบาย กิจกรรมต่างๆ เพ่ือต้องการที่จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงนโยบายการ รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย รู้จักกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักในความปลอดภัยในการขับรถจักรยานยนต์และซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ ซ่ึงสอดคล้องกบั แนวคดิ เกีย่ วกบั ความร่วมมอื และการมสี ่วนร่วมของ วันชัย มีชาติ ท่ีกล่าว ว่า การมสี ่วนร่วม คอื การปฏบิ ตั งิ านร่วมกนั ระหว่างองค์กร จะเป็นรูปแบบการจดั การประการหนึ่งที่น่าจะ ช่วยให้องค์กรต่างๆ ทํางานได้ดีย่ิงข้ึน ซึ่งจะเน้นการดึงองค์การหลายๆ องค์การเข้ามาทํางานร่วมกัน เพ่ือ มุ่งเป้าหมายเดยี วกัน 3. จากการศึกษาข้อมูลผลการสํารวจอัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ของจงั หวัดภูเกต็ ในปี 2555 พบวา่ มีจํานวนผูใ้ ชร้ ถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นจากปีท่ีผ่าน มา อยากทราบว่าทา่ นใชก้ ลยุทธ์อะไรในการดําเนนิ การ ผู้ให้สัมภาษณ์จากสถานีตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงาน สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ทั้ง 2 ท่าน ได้ให้ข้อมูลท่ีคล้ายกันว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมใน การดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย โดยมีทีมงานในการดําเนินการอย่างต่อเน่ือง มงี บประมาณสนับสนุนจากแหล่งต่างๆ และท่สี าํ คัญผู้บริหารให้ความสําคัญ โดยใช้กลยุทธ์การดําเนินการ เร่ิมจากสร้างทีมงาน โดยใช้หลักการ 5 ช. คือ ชวน เชื่อม/เชียร์ ชม ชง ช้อนไว้ ซ่ึงก็คือหลักในการ ประสานภาคีนั้นเอง “ชวนและเชื่อม” คือ การชวนคนท่ีมีหน้าที่ความรับผิดชอบภารกิจการป้องกันและ แก้ไขปญั หาอุบตั เิ หตทุ างถนนของจังหวัดภูเก็ต มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเพื่อมาร่วมเช่ือมร้อยกันเป็น เครือข่ายภาคี และ “ชม/เชียร์”กันบ่อยๆ ไม่ตําหนิติเตียนซ่ึงกันและกัน ช้อน คือ การตักตวงองค์ความรู้ เครื่องมอื ปัจจยั งบประมาณทีเ่ อือ้ ตอ่ การทางาน เช็ค คอื การนําขอ้ มูล ผลลัพธม์ าตรวจสอบ มรี ะบบการ ตดิ ตามกํากบั และประเมนิ ผล และสดุ ทา้ ย เชือ่ คือ เชือ่ มน่ั วา่ เรากําลงั สร้างสังคมปลอดภยั ให้สงั คมไทย และจะทําไดส้ าํ เรจ็ ซึง่ ประเด็นสาํ คัญทจ่ี ะทําให้มีทีมงานท่ี เข้มแขง็ และยัง่ ยืน คอื ผบู้ ริหารของทกุ
26 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาม่ีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างจริงจังมีการสร้างทีมงาน เครือข่ายการทํางาน โดยกําหนดบทบาทหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน สร้างสัมพันธภาพและเป้าหมายการทํางานร่วมกัน มีการ แลกเปล่ียน สนทนากันในรูปแบบท่ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการอย่างต่อเน่ือง และที่สําคัญจังหวัด ภูเก็ตโชคดีที่ผู้บริหารในพื้นที่ให้การสนับสนุนการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายก อบจ. นายกเทศบาลและ อบต.ต่างๆให้ความร่วมมือเป็นอย่าง ท่าน เหล่านี้สนับสนุนการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยในพ้ืนท่ีได้อย่างดีเย่ียม และที่สําคัญเป็นท่ีเคารพ เชื่อถือ ของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ทําให้ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ ยอมรับและสวมหมวกนิรภัยกันมากขึ้น กลยุทธ์ท่ีสําคัญในการประกาศใช้นโยบายกวดขันการสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภูเก็ต คือ ทีมงานภาคี เครือข่ายร่วมกันประชาสัมพันธ์นโยบายให้ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทราบกันให้ทั่วถึง โดยใช้วิธีการ ประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือต่างๆ ทั้งวทิ ยุโทรทัศน์ วิทยุชุมชน หอกระจายเสียงชุมชน แผ่นพับ โปสเตอร์ ไวนิว และจัดกิจกรรมขบวนรณรงค์โดยมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง นักเรียน นักศึกษาร่วมขบวน โดย ดําเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน หลังจากน้ันจึงใช้มาตรการบังคับใช้ กฎหมายซ่ึงในระยะแรกใช้การดูภาพยนตร์เพ่ือสร้างจิตสํานึกแทนการเสียค่าปรับ หลังจากน้ันจึง ดําเนินการทั้งปรับและดูภาพยนตร์ แต่ส่ิงที่สําคัญที่ทําให้ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ในจังหวัด ภูเก็ตสวมหมวกนิรภัยเพ่ิมข้ึนจากปีที่ผ่านมา คือ การที่เจ้าหน้าที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ท้ังการ ประชาสมั พันธ์ การฝกึ อบรมให้ความรู้ และการบังคับใช้กฎหมายอยา่ งจริงจงั ผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต และสํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ภูเก็ต รวมท้งั ผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานกั งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั จังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 ท่าน และคณะกรรมการอาสาสมคั รปอ้ งภยั ฝา่ ยพลเรอื นจังหวดั ภูเกต็ ทง้ั 2 คน ได้ให้ข้อมูลท่ีคล้ายกันว่ากลยุทธ์ ที่สําคัญในการดําเนินการให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ของจังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้น จากปีท่ีผ่านมา คือ ใช้กลยุทธ์การบอกให้ทราบ ประชาสัมพันธ์ให้รู้ ช้ีให้เห็นถึงประโยชน์ของหมวกนิรภัย และความสูญเสียที่จะได้รับหากไม่สวมใส่หมวกนิรภัยในขณะขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เพื่อเป็น การสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยในการขับข่ีให้กับประชาชน และสุดท้ายจึงใช้กฎหมายในการ บังคับท้ังจับ ท้ังปรับ ซ่ึงเหตุผลดังกล่าวคิดว่าน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สําคัญในการดําเนินการให้อัตราการสวม หมวกนริ ภยั ของผใู้ ชร้ ถจักรยานยนตข์ องจังหวัดภเู กต็ เพ่มิ ขึน้ จากการข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พบว่า จังหวัดภูเก็ต ได้ใช้กลยุทธ์ คือ การทํางานแบบ มีส่วนร่วม การใช้ข้อมูลร่วมกัน การสร้างแรงจูงใจและกําลังใจ และความต่อเน่ืองในการดําเนินงาน ยึดหลักการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ เพ่ือปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้เห็นความสําคัญและ ประโยชน์ของหมวกนิรภัย กฎหมายที่เกี่ยวกับหมวกนิรภัย และยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง และต่อเนื่อง 4. ท่านคิดว่าปัจจัยอะไรท่ีทําให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ของ จังหวดั ภูเกต็ มจี าํ นวนเพิ่มขนึ้ ผู้ให้สัมภาษณ์จากสถานีตํารวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั ภูเก็ต และสํานักงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต ให้ข้อมูลที่ คล้ายกันว่า ปัจจัยที่สําคัญที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต คือ ประการท่ี 1 เปน็ นโยบายของรัฐบาล เปน็ โครงการทีค่ ณะรฐั มนตรีไดม้ ีมตเิ หน็ ชอบเพ่ือผลักดนั ให้ทุกภาค
27 ส่วนให้ความสําคัญในเร่ืองการสวมหมวกนิรภัย ขับเคลื่อนการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยไปสู่การปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรม ทําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเป้าหมายเดียวกัน ที่จะขับเคล่ือนสู่ความสําเร็จ ประการที่ 2 คือ การประชาสัมพนั ธแ์ ละการใหค้ วามรู้ เป็นส่งิ จําเป็นและสาํ คัญมากในการรณรงค์ส่งเสริม การสวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ตใช้หลักการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ด้านการสวมหมวกนิรภัย โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนจัดทําโครงการ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เผยแพร่ ความรู้ ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และสร้างกระแสให้ ประชาชนสวมหมวกนิรภัยเป็นระยะเวลา 3 เดือน ประการที่ 3 คือ การบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดภูเก็ต มีการดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเน่ืองโดยการจัดต้ังด่านตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยเป็น ด่านบูรณาการมีหลายหน่วยงานร่วมปฏิบัติการ เช่น เจ้าหน้าที่ตํารวจ เจ้าหน้าท่ีขนส่ง เจ้าหน้าท่ี สาธารณสขุ เจ้าหน้าที่ ปภ. และอปพร. เป็นต้น หลงั จากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้รับทราบนโยบาย การรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่างท่ัวถึงแล้วจึงบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการ ดําเนินการเน้นการมีส่วนร่วม จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยโดยใช้ หลักการดําเนินการแบบมีส่วนร่วมท้ังในระดับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระดับจังหวัดในการดําเนินการ เช่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานขนส่งจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัด เป็นต้น รวมถึงอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนด้วยและท่ีสําคัญจังหวัดภูเก็ตได้มุ่งเน้นลงไปใน ระดับพื้นที่ ด้วยการสร้างความร่วมมือจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ส่งเสริมให้ประชาชน ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎข้อบังคับในการสวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังเมื่อขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน กําหนดลงโทษกันเองเพ่ือสร้างเป็นวัฒนธรรม ความปลอดภยั ในชมุ ชนให้ได้ ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์จากสํานักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต จากสํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ภูเก็ต สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภูเก็ต จากสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดภูเก็ต และคณะกรรมการอาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือนจังหวัดภูเก็ต ได้ให้ข้อมูลท่ีคล้ายกันว่า ปัจจัยสําคัญท่ีทําให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ของจังหวัดภูเก็ตมีจํานวนเพิ่มขึ้น คือ การปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้เห็นความสําคัญและประโยชน์ของหมวกนิรภัยว่าสามารถ ลดการเสียชวี ิตและลดการบาดเจ็บท่ศี ีรษะได้ถงึ รอ้ ยละ 43 สําหรับผู้ขับขี่และร้อยละ 53 สําหรับผู้โดยสาร ที่ประสบอุบัติเหตุ เพราะสาเหตุที่ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่ไม่สวมหมวกนิรภัย เหตุผลเน่ืองจากเดินทาง ระยะใกล้ ไม่ได้ขับรถออกถนนใหญ่ ร้อน อึดอัด สวมแล้วไม่สบาย กลัวผมเสียทรง ไม่มีที่เก็บ พกพา ลาํ บาก กลัวหาย ตํารวจไม่จบั เปน็ ตน้ ซง่ึ สงิ่ เหล่าน้ีเป็นทัศนคติที่ผิด ดังน้ันการท่ีจะปรับทัศนคติของผู้ใช้ รถจักรยานยนต์ให้เห็นความสําคัญและประโยชน์ของหมวกนิรภัยได้น้ัน ต้องให้ความรู้โดยการฝึกอบรม การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ท้ังสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น เม่ือดําเนินการปรับทัศนคติของ ผู้ใช้รถใช้ถนนแล้วกระบวนการต่อไป คือ การใช้แนวทางในการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวก นิรภัย โดยการประกาศนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยเป็นวาระจังหวัด เพ่ือให้ ประชาชนโดยทัว่ ไปไดร้ บั รู้เพอื่ ให้ประชาชนโดยท่ัวไปได้รับทราบโดยจังหวัดภูเก็ตใช้วิธีการเปิดตัวโครงการ โดยการปล่อยขบวนรณรงค์ที่ยิ่งใหญ่โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปล่อยขบวน ได้รับความร่วมมือจาก ทุกภาคส่วนท้ังภาครัฐ เอกชน มีการมอบหมวกนิรภัยให้กับผู้เข้าร่วมขบวนทุกคน ในขบวนรณรงค์ได้รับ ความร่วมมือจากนักเรียน นักศึกษา อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มอเตอร์ไซด์รับจ้าง รวมกว่า 500 คนั โดยขบวนรณรงค์ในการเปิดตัวจะวงิ่ รอบเมืองภูเก็ต พรอ้ มรถกระจายเสยี งเชญิ ชวนใหใ้ ห้สวมหมวก
28 นิรภยั ทุกคร้ังในการขับขรี่ วมถงึ ผู้ซ้อนท้ายด้วย จากน้ันผ้วู า่ ราชการจังหวัดภูเกต็ ไดส้ ง่ เสรมิ การมสี ว่ นร่วมให้ ทุกหน่วยงานท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนจัดทําโครงการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เผยแพร่ ความรู้ ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และสร้างกระแสให้ประชาชนสวมหมวกนิรภัยอย่าง ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ดําเนินการในการเผยแพร่รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย เช่น การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ การจัด กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมท้ังสร้างความร่วมมือกับ ผู้จําหน่ายรถจักรยานยนต์ใน จังหวัดภูเก็ตในการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยด้วย ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้น้ันก็ต้องมีการ บังคับใช้กฎหมายควบคู่กันไปด้วย แต่ปัจจัยที่สําคัญ คือ การดําเนินการลงในระดับพ้ืนที่ คือ การสร้าง ความร่วมมือจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้ส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎ ข้อบังคับในการสวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังเม่ือขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการเปน็ ผูว้ ่ากลา่ วตักเตอื น ลงโทษ กันเองเพ่อื สร้างเปน็ วัฒนธรรมความปลอดภัยในชุมชนให้ได้ จากการข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พบว่า ปัจจัยที่ทําให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้ รถจักรยานยนต์ของจังหวัดภูเก็ตมีจํานวนเพิ่มข้ึน คือ เป็นนโยบายรัฐบาล โครงการรณรงค์ส่งเสริมการ สวมหมวกนริ ภยั เปน็ โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเพ่ือผลักดันให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญใน เร่ืองการสวมหมวกนิรภัย ขับเคลื่อนการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทาํ ให้จงั หวัดภูเก็ตได้มีการประกาศนโยบายการรณรงค์ส่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภยั ใหเ้ ป็นวาระของจังหวัด ภูเก็ตเพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรภาคสังคม ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซ็นต์ โดยม่งุ สู่เป้าหมายเดยี วกัน คือ ผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง ซ่ึงนโยบายรัฐบาลเป็นกลไกอย่างหน่ึงในการขับเคล่ือนการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยไปสู่ เป้าหมายไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ เป็นส่ิงจําเป็นและสําคัญมากใน การรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ตใช้หลักการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ด้าน การสวมหมวกนิรภัย โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาค ประชาชนจดั ทําโครงการส่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัย เผยแพร่ ความรู้ ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และสร้างกระแสให้ประชาชนสวมหมวกนิรภัยเป็นระยะเวลา 3 เดือน เพ่ือเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนได้รับรู้ถึงนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ประโยชน์ของการสวมหมวก นิรภัย และเพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายเก่ียวกับหมวกนิรภัยให้ประชาชนได้รับ ทราบ เข้าใจและสร้างความตระหนักให้เกิดข้ึน มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างทัศนคติและ ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมของผู้ขบั ขแี่ ละผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัยทุกคร้ัง เพื่อให้เกิดความ ปลอดภัย โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายท่ีมีความเส่ียงสูงเป็นอันดับแรก ซ่ึงในจังหวัดภูเก็ต คือ นักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยคึกคะนอง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในจังหวัดภูเก็ต ดําเนินการเผยแพร่รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย เช่น การผลิตสื่อ ประชาสัมพนั ธ์ การจดั กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้เป็น ปัจจัยที่สําคัญในการปรับทัศนคติของจังหวัดภูเก็ต และการบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดภูเก็ตมีการ ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องหลังจากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้รับทราบนโยบายการ รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่างท่ัวถึงแล้วจึงบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ยุติธรรม และเป็นที่ ยอมรับจากประชาชน การมีส่วนร่วม จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย โดยใช้หลักการดาํ เนนิ การแบบมสี ่วนร่วมทงั้ ในระดับหน่วยงานภาคีเครอื ขา่ ยในระดบั จังหวัดในการ
29 ดําเนินการ เช่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานขนส่งจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสา ธารณภัยจังหวัด เป็นต้น รวมถึงอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนด้วย และที่สําคัญจังหวัดภูเก็ตได้ มุ่งเน้นลงไปในระดับพ้ืนที่ (ประชาชนมีส่วนร่วม) ด้วยการสร้างความร่วมมือจากชุมชน องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถ่ินใหส้ ง่ เสริมใหป้ ระชาชนปฏบิ ตั ิตามกฎหมายหรือกฎขอ้ บังคบั ในการสวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังเม่ือ ขับขแ่ี ละโดยสารรถจกั รยานยนต์ โดยใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วมในการเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน กําหนดลงโทษ กันเองเพอ่ื สรา้ งเปน็ วัฒนธรรมความปลอดภัยในชมุ ชนให้ได้ ซึ่งเหน็ ไดจ้ ากรอ้ ยละ 76 ให้ขอ้ มูลวา่ ในชมุ ชน หรือหน่วยงาน หรือโรงเรียนของท่านมีการกวดขันการสวมหมวกนิรภัย โดยร้อยละ 68 ได้เข้าร่วมการ ฝึกอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 85 ในชุมชน หรือหน่วยงาน หรือโรงเรียนของ ท่านมีการรณรงค์เกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัย และประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 92 ยอมรับแนวทางท่ีทางราชการกวดขันและจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับข่ีรถจักรยานยนต์ รวมท้ัง ได้เข้าร่วมกิจกรรมการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย เช่น ร่วมพิธีปล่อยขบวนรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย รอบเมือง เปน็ ตน้ 5. ท่านมีปัญหาอุปสรรค หรือข้อเสนอแนะในการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวม หมวกนริ ภัยในจังหวดั ภูเกต็ หรือไม่ อยา่ งไร จากการสัมภาษณ์ทั้ง 10 ท่าน ให้ข้อเสนอแนะท่ีคล้ายกันว่าในการดําเนินการรณรงค์ ส่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภเู ก็ตให้ประสบความสาํ เรจ็ อยา่ งยัง่ ยืน คือ 1. ต้องมีความต่อเนื่อง หากรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเน่ืองให้มีการ ดาํ เนนิ การการรณรงคส์ ่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัย ทั้งในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การบังคับใช้กฎหมาย การฝึกอบรมให้ความรู้ และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเน่ืองเป็นประจําทุกปีก็จะทําให้ประชาชนเกิด ความเคยชินในการสวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังในขับข่ีรถจักรยานยนต์หรือสวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังท่ีซ้อนท้าย จักรยานยนต์ จนกลายเป็นวฒั นธรรมความปลอดภยั ถือวา่ บรรลเุ ป้าหมายสูงสดุ ในการดาํ เนนิ การ 2. การดําเนินการโครงการฯ ควรมีการดําเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่าง ต่อเนอื่ ง เพอ่ื สรา้ งความตระหนกั ถงึ ความปลอดภัยในการสวมหมวกนิรภยั เม่อื ขับข่รี ถจักรยานยนต์ 3. รัฐบาลควรสนับสนนุ งบประมาณในการดําเนินการโครงการรณรงค์ส่งเริมการสวม หมวกนิรภัยเป็นการเฉพาะอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกิจกรรมหน่ึงในการขับเคล่ือนการป้องกันและ แก้ไขอบุ ตั เิ หตทุ างถนนซ่งึ เป็นวาระแห่งชาติ 4. ควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายให้ ได้ผลแมจ้ ะมีกฎหมายบังคับการสวมหมวกนริ ภยั มาตัง้ แต่ ปี 2539 แตค่ นไทยบางสว่ นยงั ไม่นิยมสวมหมวก นริ ภยั และขาดการกวดขนั บังคับใช้ให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายกําหนด ซึ่งรัฐบาลและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน จะดําเนินการรณรงค์ และจูงใจให้ผู้ขับขี่หันมาสวมหมวกนิรภัยมากขึ้น เช่น การจัดหาวัสดุรองหมวก ใน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ของรัฐ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตอ้ งเปน็ ตวั อย่างในการปฏิบตั ติ ามกฎหมายอยา่ งเคร่งครดั 5. ควรส่งเสริมความร่วมมือของสถานศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาของรัฐ สถานศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชน ให้ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการการใช้หมวกนิรภัยของ นักเรียน นกั ศึกษาท่ีใช้รถจักรยานยนต์
30 6. ควรมีการติดตามประเมินผลและยกย่ององค์กรตัวอย่างในการส่งเสริมการสวม หมวกนิรภัย เพ่ือให้เกิดการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่างแพร่หลาย และท่ีสําคัญเป็นการให้ ขวัญกาํ ลงั ใจแก่หนว่ ยงานองค์กรท่ีดาํ เนินการ และเกิดแบบอย่างแก่หนว่ ยงานองคก์ รอืน่ ๆดว้ ย ข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยกลุ่มประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนที่จังหวัดภูเก็ต ใน เขตอาํ เภอเมอื งภเู ก็ต จํานวน 100 คน ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลแบบสอบถาม แบง่ ออกเป็น 2 ส่วน ประกอบดว้ ย ส่วนท่ี 1 รายละเอียดข้อมูลท่ัวไปเก่ียวกับเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพหลัก และ สถานภาพ ตารางที่ 4.1 จํานวนและร้อยละประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนท่ีจังหวัดภูเก็ต ในเขต อาํ เภอเมืองภูเกต็ จําแนกตามเพศ เพศ จาํ นวน (คน) รอ้ ยละ ชาย 66 66 หญิง 34 34 รวม 100 100 ผลการศึกษาตามตารางที่ 4.1 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม จะเป็นจํานวนเพศชาย มากกว่าเพศหญิง จํานวน 66 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 66 ตารางท่ี 4.2 จํานวนและร้อยละของประชาชนผ้ใู ช้รถจักรยานยนตใ์ นพืน้ ที่จังหวดั ภูเก็ต ใน เขตอาํ เภอเมืองภเู กต็ จําแนกตามอายุ อายุ จํานวน (คน) ร้อยละ >15 1 1 15-20 32 32 21-30 31 31 31-40 19 19 41-50 12 12 <50 5 5 รวม 100 100 ผลการศึกษาตามตารางที่ 4.2 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15 - 20 ปีมากที่สดุ ซึ่งมีจาํ นวน 32 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 32
31 ตารางท่ี 4.3 จํานวนและร้อยละของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในพ้ืนที่จงั หวัดภเู ก็ต ใน เขตอาํ เภอเมืองภูเกต็ จําแนกตามระดับการศึกษา ระดบั การศึกษา จาํ นวน (คน) ร้อยละ ประถมศึกษา-มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 5 5 มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 88 อนปุ ริญญา 37 37 ปริญญาตรี 48 48 สูงกวา่ ปรญิ ญาตรี 22 รวม 100 100 ผลการศึกษาตามตารางท่ี 4.3 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีระดับ การศึกษาในระดบั ปริญญาตรีมากท่ีสุด ซ่งึ มจี าํ นวน 48 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 48 ตารางท่ี 4.4 จํานวนและร้อยละของประชาชนผใู้ ช้รถจักรยานยนต์ในพ้นื ท่ีจังหวัดภูเก็ต ใน เขตอาํ เภอเมืองภเู กต็ จําแนกตามอาชพี หลกั อาชีพหลกั จาํ นวน (คน) ร้อยละ นกั เรียน/นักศกึ ษา 29 29 ธรุ กจิ สว่ นตวั 11 11 รับจา้ ง 8 8 คา้ ขาย 18 18 เอกชน/รัฐวิสาหกจิ /ราชการ 34 34 อน่ื ๆ 0 0 รวม 100 100 ผลการศึกษาตามตารางที่ 4.4 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีอาชีพเอกชน/ รฐั วิสาหกจิ /ราชการ มากทสี่ ุด ซง่ึ มีจํานวน 34 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 34 ตารางท่ี 4.5 จาํ นวนและรอ้ ยละของประชาชนผ้ใู ชร้ ถจกั รยานยนต์ในพื้นท่จี ังหวัดภูเก็ต ใน เขตอําเภอเมอื งภเู ก็ต จาํ แนกตามสถานภาพ สถานภาพ จาํ นวน (คน) รอ้ ยละ โสด 34 34 สมรส 63 63 หม้าย 3 3 อ่นื ๆ 0 0 รวม 100 100 ผลการศึกษาตามตารางท่ี 4.5 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มีสถานภาพ สมรสมากท่ีสุด ซึ่งมจี าํ นวน 63 คน คิดเปน็ ร้อยละ 63
32 ส่วนที่ 2 : ความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์การสวมหมวก นิรภยั จงั หวัดภเู กต็ ในเขตอาํ เภอเมอื งภเู ก็ต ตารางท่ี 4.6 : แสดงผลสรุปความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภยั ในจังหวัดภูเกต็ (N=100) รายการ ใช่ ร้อยละ ท่านคดิ วา่ การขับข่รี ถจักรยานยนต์มคี วามจําเป็นตอ้ งสวมหมวกนิรภยั 92 92 การขับขร่ี ถจักรยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภยั เป็นการสร้างวนิ ัยแก่ตนเองในการใช้รถ 92 92 ใช้ถนนทดี่ ี ทา่ นรู้สกึ วา่ การขับขีร่ ถจกั ยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นความเท่หแ์ ละสร้างแรง 76 76 ดงึ ดูดใจทด่ี ีแก่ผู้พบเหน็ ทา่ นทราบว่ารฐั บาลมนี โยบายรณรงคส์ ง่ เสรมิ การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซ็นต์ 94 94 91 91 ท่านเห็นดว้ ยกับนโยบายการรณรงค์สง่ เสรมิ การสวมหมวกนิรภยั ท่านได้รับขา่ วสารเกยี่ วกบั นโยบายการณรงคส์ ่งเสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั 98 98 91 91 จงั หวดั ภูเกต็ มีการรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภัย 100 เปอรเ์ ซน็ ต์อยา่ งต่อเน่ือง 92 92 87 87 ท่านทราบว่ามีกฎหมายบงั คับใช้หมวกนริ ภยั 89 89 ท่านเหน็ วา่ การสวมหมวกนริ ภยั เมอ่ื ขบั ข่ีรถจกั รยานยนตเ์ ป็นการป้องกนั อนั ตราย จากอบุ ัติเหตุทางถนน 91 91 ทา่ นปฏบิ ตั ิตามกฎขอ้ บงั คับของโรงเรยี นหรือหน่วยงานหรือชุมชนทีใ่ หส้ วมหมวก นิรภัยขณะใชร้ ถจักรยานยนต์ 83 83 76 76 ทา่ นคิดวา่ การทีเ่ จา้ หนา้ ทก่ี วดขันจบั กมุ ผู้ไมส่ วมหมวกนริ ภัยบ่อยคร้งั ทําให้ท่านสวม 68 68 หมวกนิรภัยมากขนึ้ 85 85 การทท่ี างราชการออกมาตรการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภยั 100 เปอร์เซน็ ตท์ าํ ให้ ท่านสวมหมวกมากขึน้ 92 92 ในชุมชน หรอื หน่วยงาน หรอื โรงเรยี นของท่านมกี ารกวดขนั การสวมหมวกนิรภัย ทา่ นได้เข้าร่วมการฝึกอบรม ใหค้ วามรเู้ กีย่ วกับการสวมหมวกนริ ภัยในชุมชน หรือ หนว่ ยงาน หรอื โรงเรียนของท่านมีการรณรงค์เก่ียวกบั การสวมหมวกนริ ภัย ในชุมชนหรอื หนว่ ยงานหรือโรงเรยี นของทา่ นมกี ารรณรงคเ์ กีย่ วกบั สง่ เสรมิ การสวม หมวกนริ ภัย ทา่ นยอมรบั แนวทางทที่ างราชการกวดขนั และจับกุมผไู้ มส่ วมหมวกนริ ภัยในขณะขบั ขีร่ ถจกั รยานยนต์
รายการ 33 ท่านคิดวา่ ในการกวดขนั จบั กุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขรี่ ถจกั รยานยนต์ ใช่ ร้อยละ เจา้ หนา้ ทม่ี ีบทลงโทษที่สมเหตุสมผล 89 89 ท่านได้เขา้ ร่วมกจิ กรรมการรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภยั เช่น ร่วมพธิ ีปล่อยขบวน 76 76 รณรงค์การสวมหมวกนริ ภยั รอบเมือง ฯลฯ 89 89 ในการกวดขนั จบั กมุ ผู้ไมส่ วมหมวกนริ ภัยขณะขบั ขร่ี ถจักรยานยนต์ เจ้าหนา้ ที่ได้ ปฏบิ ัตงิ านอยา่ งเสมอภาค 97 97 ท่านพอใจในภาพรวมของการรณรงคส์ ง่ เสรมิ การสวมหมวกนริ ภยั 100 เปอร์เซ็นต์ ทีม่ า : จากแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจกั รยานยนต์ตอ่ การรณรงคก์ ารสวม หมวกนิรภยั จังหวดั ภเู ก็ต ในเขตอําเภอเมอื งภูเกต็ สรุปผลการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์การสวม หมวกนิรภยั จงั หวดั ภเู กต็ ในเขตอําเภอเมืองภเู กต็ จากการรวบรวมแบบสอบถามกลุ่มประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์การสวม หมวกนริ ภัยจังหวัดภูเกต็ ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต สามารถสรปุ ไดด้ ังนี้ ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จังหวัดภูเก็ต ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต ร้อยละ 92 มีความ คิดเห็นว่าการขับขี่รถจักรยานยนต์มีความจําเป็นต้องสวมหมวกนิรภัย และการขับขี่รถจักรยานยนต์โดย สวมหมวกนิรภัยเป็นการสร้างวินัยแก่ตนเองในการใช้รถใช้ถนนที่ดี ร้อยละ 76 มีความรู้สึกว่าการขับข่ีรถ จักยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นความเท่ห์และสร้างแรงดึงดูดใจท่ีดีแก่ผู้พบเห็น ร้อยละ 94 ทราบว่า รฐั บาลมนี โยบายรณรงค์สง่ เสริมการสวมหมวกนริ ภัย 100 เปอร์เซน็ ต์ และเหน็ ดว้ ยกบั นโยบายการรณรงค์ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ถึงร้อยละ 91 ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่ทราบว่ามี กฎหมายบังคับใช้หมวกนิรภัย และเห็นว่าการสวมหมวกนิรภัยเม่ือขับข่ีรถจักรยานยนต์เป็นการป้องกัน อันตรายจากอุบัติเหตุทางถนน ถึงร้อยละ 92 โดยร้อยละ 89 ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนหรือ หนว่ ยงานหรือชุมชนท่ีใหส้ วมหมวกนริ ภัยขณะใชร้ ถจักรยานยนต์ รอ้ ยละ 91 คดิ วา่ การทเี่ จ้าหน้าที่กวดขัน จับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยบ่อยครั้งทําให้ท่านสวมหมวกนิรภัยมากข้ึน และร้อยละ 83 มีความคิดเห็นว่า การทีท่ างราชการออกมาตรการสง่ เสรมิ การสวมหมวกนริ ภัย 100 เปอรเ์ ซ็นต์ทําให้มีการสวมหมวกมากขึ้น ร้อยละ 76 ให้ข้อมูลว่าในชุมชน หรือหน่วยงาน หรือโรงเรียนของท่านมีการกวดขันการสวมหมวกนิรภัย โดยร้อยละ 68 ได้เข้าร่วมการฝึกอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 85 ในชุมชน หรือ หน่วยงาน หรือโรงเรียนของท่านมีการรณรงค์เกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัย และประชาชนผู้ใช้ รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 92 ยอมรับแนวทางที่ทางราชการกวดขันและจับกุมผู้ไม่สวมหมวก นริ ภยั ในขณะขบั ขร่ี ถจกั รยานยนต์ รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย เช่น ร่วมพิธี ปล่อยขบวนรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยรอบเมือง ร้อยละ 76 และร้อยละ 89 มีความคิดเห็นว่าในการ กวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับข่ีรถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่มีบทลงโทษท่ีสมเหตุสมผล และใน การกวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าท่ีได้ปฏิบัติงานอย่างเสมอภาค และประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 97 พอใจในภาพรวมของการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซน็ ต์
34 บทท่ี 5 สรุปและอภิปรายผล บทน้เี ป็นการสรุปผลการศึกษา การอภิปรายผลของการศึกษาเปรียบเทียบกับแนวคิด ทฤษฎีและ งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องท่ีผู้วิจัยได้ทําการสืบค้นและนําเสนอไว้ในบทท่ี 2 การนําผลการศึกษาไปใช้ใน ทางปฏบิ ัติและข้อเสนอแนะสําหรบั การวิจัยครั้งต่อไป สรุปผลการศึกษา ผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ผลการศึกษาจากข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ และ ผลการศึกษาจากข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ สรุปข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ให้สัมภาษณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเพศชายมากที่สุดซ่ึงมีจํานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 70 และมีระดับการศึกษาในระดับปริญญาโทมากท่ีสุด ซึ่งมีจํานวน 7 คน คิดเป็น ร้อยละ 70 สรุปขอ้ มูลเรยี งตามวตั ถปุ ระสงค์ จากการศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยของจังหวัดภูเก็ต โดยการใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณก์ ลมุ่ ผูบ้ รหิ ารผ้บู ริหาร เจ้าหนา้ ที่และภาคเี ครอื ขา่ ยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับภารกิจ งานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต และประกอบกับข้อมูลจากแบบสอบถามกลุ่ม ประชาชนผ้ใู ชร้ ถจักรยานยนต์ในพ้ืนท่ีจังหวดั ภเู กต็ ในเขตอําเภอเมืองภูเกต็ สามารถสรุปไดว้ า่ แนวทางการรณรงค์การสวมหมวกนริ ภยั ของจังหวดั ภเู กต็ คือ 1. ยดึ หลกั การสรา้ งทมี งานทเี่ ข้มแขง็ และย่ังยนื โดยยดึ หลัก ดงั นี้ 1.1การทํางานแบบมีส่วนร่วม ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย โดยใช้หลักการ 5 ช. ในการบริหารจัดการทีมงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดภูเก็ตให้เข้มแข็ง และยั่งยืน คือ ชักชวน/เชื่อม : ทํางานเชิงรุก ค้นหาแกนนาและชักชวนกันมาทํางานและเชื่อมประสาน ภาคคี นทางานท่ีเกยี่ วข้อง ชง : ชงข้อมูล คือ การรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูล เทคนิคการนําเสนอข้อมูล ท่ีสําคัญเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ชื่นชม/เชียร์ : สนับสนุนและชื่นชม ยกย่องผู้ปฏิบัติงาน เป็นการ สร้างบรรยากาศและให้กําลังใจ สร้างความภูมิใจการทางานร่วมกัน ช้อน : การตักตวงองค์ความรู้ เคร่ืองมือ ปัจจัย งบประมาณที่เอ้ือต่อการทางาน เช็ค : การนําข้อมูล ผลลัพธ์มาตรวจสอบ มีระบบการ ติดตามกํากับและประเมินผล และสุดท้าย เชื่อ คือ เช่ือมั่นว่าเรากําลังสร้างสังคมปลอดภัยให้สังคมไทย และจะทําได้สําเร็จ ซึ่งประเด็นสําคัญที่จะทําให้มีทีมงานที่เข้มแข็งและยั่งยืน คือ ผู้บริหารของทุก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามี่ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มีการสร้างทีมงาน เครือข่ายการ ทํางานโดยกําหนดบทบาทหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน สร้างสัมพันธภาพและเป้าหมายการทํางานร่วมกัน มีการแลกเปล่ียน สนทนากนั ในรูปแบบทเ่ี ปน็ ทางการ และไม่เปน็ ทางการอย่างตอ่ เนือ่ ง 1.2การใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยการรวบรวมใช้ข้อมูลจากหลายภาคส่วนเพื่อวิเคราะห์สาเหตุ การเกดิ อุบัติเหตุ และใช้ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ มาเป็นแนวทางในการดาํ เนนิ งาน 1.3การสร้างแรงจูงใจและกําลังใจ สร้างบรรยากาศการทํางาน โดยมีการชื่นชมผลสําเร็จ และให้กาํ ลงั ใจในการดําเนินงาน มคี า่ ตอบแทนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและการเข้ารว่ มประชุม
35 1.4ความต่อเนื่องในการดําเนินงาน จัดประชุมอย่างต่อเนื่อง มีการติดตาม ประเมินผลการ ดําเนินงานอยา่ งตอ่ เนือ่ ง 2. ยึดหลักการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ โดยการปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้เห็น ความสําคัญและประโยชน์ของหมวกนิรภัย กฎหมายท่ีเกี่ยวกับหมวกนิรภัย โดยการฝึกอบรมให้ความรู้ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อส่ิงพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น โดยจังหวัดภูเก็ตใช้หลักการ ประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยไม่มีการใช้กฎหมายบังคับเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อกระตุ้นและสร้างจิตสํานึก ใหก้ ับประชาชนเป็นการเบ้ืองตน้ 3. ยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายท่ีเข้มแข็งและต่อเนื่อง โดยการจัดตั้งด่านตรวจจับผู้ไม่สวม หมวกนิรภัย โดยเป็นด่านบูรณาการมีหลายหน่วยงานร่วมปฏิบัติการ เช่น เจ้าหน้าที่ตํารวจ เจ้าหน้าท่ี ขนสง่ เจ้าหน้าท่สี าธารณสขุ เจ้าหนา้ ที่ ปภ. และอปพร. เป็นต้น ปจั จยั ทม่ี ีผลตอ่ ความสาํ เร็จในการรณรงคก์ ารสวมหมวกนริ ภยั ของจงั หวัดภูเกต็ คือ 1. นโยบายรัฐบาล โครงการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบเพ่ือผลักดันให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญในเรื่องการสวมหมวกนิรภัย ขับเคล่ือนการ ส่งเสริมการสวมหมวกนริ ภัยไปส่กู ารปฏบิ ัติอย่างเปน็ รูปธรรม ทาํ ให้จังหวัดภูเก็ตได้มีการประกาศนโยบาย การรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยให้เป็นวาระของจังหวัดภูเก็ตเพ่ือให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องคก์ รภาคสงั คม ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมุ่งสู่เป้าหมาย เดียวกัน คือ ผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกคร้ัง ซ่ึงนโยบายรัฐบาลเป็นกลไกอย่าง หน่งึ ในการขับเคล่อื นการรณรงค์ส่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัยไปส่เู ป้าหมายได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 2. การประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ เป็นสิ่งจําเป็นและสําคัญมากในการรณรงค์ส่งเสริม การสวมหมวกนิรภัย จังหวัดภูเก็ตใช้หลักการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ด้านการสวมหมวกนิรภัย โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้ทุกหน่วยงานท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนจัดทําโครงการ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เผยแพร่ ความรู้ ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และสร้างกระแสให้ ประชาชนสวมหมวกนิรภัยเปน็ ระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ ถึงนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และเพ่ือสร้าง ความรู้ความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับหมวกนิรภัยให้ประชาชนได้รับทราบ เข้าใจและสร้าง ความตระหนักให้เกิดขน้ึ มกี ารรณรงคป์ ระชาสัมพนั ธ์ เพื่อสร้างทัศนคตแิ ละปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมของผู้ขบั ขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย โดยมุ่งเน้น กลุ่มเป้าหมายที่มีความเส่ียงสูงเป็นอันดับแรก ซึ่งในจังหวัดภูเก็ต คือ นักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยคึกคะนอง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในจังหวัดภูเก็ต ดําเนินการเผยแพร่รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย เช่น การผลิตส่ือประชาสัมพันธ์ การจัด กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้เป็นปัจจัยท่ีสําคัญในการ ปรับทัศนคติของจังหวัดภูเก็ต ซ่ึงเห็นได้จากความเห็นจากการทําแบบสอบถามประชาชน ซึ่งพบว่า ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 92 มีความคิดเห็นว่าการขับขี่รถจักรยานยนต์มีความจําเป็นต้อง สวมหมวกนิรภัย และการขับข่ีรถจักรยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นการสร้างวินัยแก่ตนเองในการใช้ รถใช้ถนนท่ีดี ร้อยละ 76 มีความรู้สึกว่าการขับข่ีรถจักยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นความเท่ห์และ สร้างแรงดงึ ดูดใจทดี่ ีแก่ผูพ้ บเหน็ และเหน็ ว่าการสวมหมวกนิรภยั เมือ่ ขับขีร่ ถจกั รยานยนตเ์ ปน็ การปอ้ งกัน
36 อันตรายจากอุบัติเหตุทางถนน ถึงร้อยละ 92 โดยร้อยละ 89 ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนหรือ หน่วยงานหรอื ชมุ ชนที่ใหส้ วมหมวกนริ ภัยขณะใชร้ ถจักรยานยนต์ ร้อยละ 91 คดิ วา่ การที่เจ้าหน้าท่ีกวดขัน จับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยบ่อยคร้ังทําให้ท่านสวมหมวกนิรภัยมากข้ึน และร้อยละ 83 มีความคิดเห็นว่า การทีท่ างราชการออกมาตรการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภยั 100 เปอร์เซ็นตท์ ําให้มกี ารสวมหมวกมากข้ึน และประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 92 ยอมรับแนวทางท่ีทางราชการกวดขันและ จบั กมุ ผู้ไม่สวมหมวกนริ ภัยในขณะขับขีร่ ถจักรยานยนต์ ซึ่งเห็นได้จากประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จังหวัดภูเก็ต ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต ร้อยละ 92 มีความคิดเหน็ วา่ การขบั ขีร่ ถจกั รยานยนต์มคี วามจําเปน็ ตอ้ งสวมหมวกนริ ภยั และการขบั ขีร่ ถจกั รยานยนต์ โดยสวมหมวกนริ ภยั เป็นการสรา้ งวนิ ยั แกต่ นเองในการใช้รถใชถ้ นนทีด่ ี ร้อยละ 76 มคี วามรสู้ ึกว่าการขับข่ี รถจักยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นความเท่ห์และสร้างแรงดึงดูดใจท่ีดีแก่ผู้พบเห็น รวมทั้งได้เข้าร่วม กิจกรรมการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย เช่น ร่วมพิธีปล่อยขบวนรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยรอบเมือง รอ้ ยละ 76 3. การบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเน่ือง หลังจากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้รับทราบนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่าง ท่วั ถึงแล้วจงึ บังคับใชก้ ฎหมายอย่างจริงจัง ยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ซ่ึงจะเห็นได้จากร้อย ละ 89 ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนหรือหน่วยงานหรือชุมชนท่ีให้สวมหมวกนิรภัยขณะใช้ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 91 คิดว่าการที่เจ้าหน้าที่กวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยบ่อยครั้งทําให้ท่าน สวมหมวกนิรภยั มากข้ึน และรอ้ ยละ 83 มคี วามคดิ เหน็ วา่ การท่ที างราชการออกมาตรการส่งเสริมการสวม หมวกนิรภยั 100 เปอร์เซ็นต์ทําใหม้ ีการสวมหมวกมากข้ึน 4. การมีส่วนร่วม จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยโดยใช้ หลักการดําเนินการแบบมีส่วนร่วมท้ังในระดับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระดับจังหวัดในการดําเนินการ เช่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานขนส่งจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จงั หวัด เปน็ ต้น รวมถงึ อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภยั ฝ่ายพลเรอื นด้วย และท่ีสําคัญจังหวัดภูเก็ตได้มุ่งเน้นลงไปใน ระดับพื้นท่ี (ประชาชนมีส่วนร่วม) ด้วยการสร้างความร่วมมือจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ ส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎข้อบังคับในการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเม่ือขับขี่และ โดยสารรถจักรยานยนต์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน กําหนดลงโทษกันเอง เพื่อสร้างเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยในชุมชนให้ได้ ซ่ึงเห็นได้จากร้อยละ 76 ให้ข้อมูลว่าในชุมชน หรือ หนว่ ยงาน หรอื โรงเรยี นของท่านมกี ารกวดขันการสวมหมวกนริ ภัย โดยรอ้ ยละ 68 ได้เข้าร่วมการฝึกอบรม ให้ความรู้เก่ียวกับการสวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 85 ในชุมชน หรือหน่วยงาน หรือโรงเรียนของท่านมีการ รณรงค์เก่ียวกับการสวมหมวกนิรภัย และประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 92 ยอมรับ แนวทางท่ีทางราชการกวดขันและจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับข่ีรถจักรยานยนต์ รวมท้ังได้เข้า ร่วมกิจกรรมการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย เช่น ได้เข้าร่วมพิธีปล่อยขบวนรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย รอบเมือง เป็นตน้ สรุปข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถาม จะเป็นจํานวน เพศชายจํานวนเพศชายมากกว่าเพศหญิง จํานวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 66 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15 - 20 ปมี ากท่ีสดุ ซ่ึงมีจํานวน 32 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 32 มรี ะดบั การศึกษาในระดบั ปริญญา โทมาก
37 ท่ีสุด ซึ่งมีจํานวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 48 ส่วนใหญ่มีอาชีพเอกชน/รัฐวิสาหกิจ/ราชการ มากที่สุด ซึ่งมี จาํ นวน 34 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 34 มีสถานภาพสมรสมากทส่ี ดุ ซง่ึ มีจาํ นวน 63 คน คิดเป็นร้อยละ 63 ความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยจังหวัด ภเู กต็ ในเขตอําเภอเมืองภเู กต็ พบว่า จากแนวทางการดําเนินการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยจังหวัดภูเก็ต ทั้งในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้ และการบังคับใช้กฎหมาย ถือว่าเป็นแนวทางที่ประสบ ความสําเร็จในระดับหน่ึงส่งผลให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยผู้ใช้รถจักรยานยนต์มีจํานวนเพ่ิมขึ้น ซ่ึงดูได้ จากผลการทําแบบสอบถามประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์มีการปรับทัศนคติ คือ ประชาชนผู้ใช้ รถจักรยานยนต์จังหวัดภูเก็ต ในเขตอําเภอเมืองภูเก็ต มีความคิดเห็นว่าการขับขี่รถจักรยานยนต์มีความ จาํ เปน็ ตอ้ งสวมหมวกนริ ภัย และการขับข่รี ถจกั รยานยนต์โดยสวมหมวกนริ ภยั เปน็ การสร้างวินัยแก่ตนเอง ในการใช้รถใช้ถนนที่ดี การขับขี่รถจักยานยนต์โดยสวมหมวกนิรภัยเป็นความเท่ห์และสร้างแรงดึงดูดใจท่ี ดีแก่ผู้พบเห็น และเห็นว่าการสวมหมวกนิรภัยเม่ือขับข่ีรถจักรยานยนต์เป็นการป้องกันอันตรายจาก อุบตั ิเหตุทางถนน ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ตมีการความสนใจต่อสื่อประชาสัมพันธ์ ต่างๆและยอมรับข่าวสารการประชาสัมพันธ์ทั้งในเร่ือง การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายการณรงค์ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยทําให้ทราบว่ารัฐบาลมีนโยบายรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ทําให้มคี วามรู้ในเร่อื งของระเบยี บกฎหมายเกี่ยวกับหมวกนิรภัย รู้ถึงประโยชน์ของหมวกนิรภัย ซ่ึงส่ิงท่ีเป็นผลตามมา คือ เกิดการยอมรับในกติกา การบังคับใช้กฎหมาย ทําให้ประชาชนผู้ใช้ รถจักรยานยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนหรือหน่วยงานหรือชุมชนท่ีให้สวม หมวกนิรภัยขณะใช้รถจักรยานยนต์ มีความคิดว่าการท่ีเจ้าหน้าที่กวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย บ่อยคร้ังทําให้ท่านสวมหมวกนิรภัยมากขึ้นและการท่ีทางราชการออกมาตรการส่งเสริมการสวมหมวก นิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ทําให้ท่านสวมหมวกมากขึ้น เกิดการยอมรับแนวทางท่ีทางราชการกวดขันและ จบั กมุ ผไู้ มส่ วมหมวกนริ ภัยในขณะขบั ข่รี ถจกั รยานยนตแ์ ละการกวดขันจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับ ขี่รถจกั รยานยนต์ เจ้าหน้าทีไ่ ด้ปฏิบัติงานอย่างเสมอภาค และสุดท้ายประชาชนผู้ใช้รถจักยานยนต์ในพ้ืนที่ จังหวัดภูเก็ตมีส่วนร่วมในการดําเนินการโดยชุมชนมีการรณรงค์เก่ียวกับส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย มกี ารกวดขนั การสวมหมวกนิรภยั ดว้ ยประชาชนในชุมชนเอง การอภิปรายผล ผลการศึกษาสรุปว่า จากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการรณรงค์การสวมหมวก นิรภยั ของจงั หวดั ภูเกต็ พบวา่ แนวทางการรณรงค์การสวมหมวกนริ ภยั ของจังหวัดภเู ก็ต คือ 1. สรา้ งทมี งานท่ีเข้มแขง็ และยัง่ ยนื โดยยดึ หลกั การทํางานแบบมสี ว่ นรว่ ม การใช้ข้อมูล ร่วมกัน โดยการรวบรวมใช้ข้อมูลจากหลายภาคส่วนเพ่ือวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ และใช้ข้อมูลท่ี ไดจ้ ากการวเิ คราะห์ มาเป็นแนวทางในการดําเนินงาน การสร้างแรงจูงใจและกําลังใจ สร้างบรรยากาศ การทํางาน โดยมีการชื่นชมผลสําเร็จและให้กําลังใจในการดําเนินงาน มีค่าตอบแทนการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลและการเข้าร่วมประชมุ และความต่อเน่อื งในการดาํ เนนิ งาน จัดประชุมอยา่ งต่อเน่ือง มกี ารติดตาม ประเมินผลการดาํ เนนิ งานอยา่ งต่อเนื่อง 2. ใช้หลักการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ โดยการปรับทัศนคติของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้ เห็นความสําคัญและประโยชน์ของหมวกนิรภัย กฎหมายท่ีเก่ียวกับหมวกนิรภัย โดยการฝึกอบรมให้ ความรู้ การประชาสมั พนั ธผ์ า่ นสอื่ ตา่ งๆ ท้ังสือ่ สิ่งพิมพ์ วทิ ยุ โทรทัศน์ เป็นตน้ โดยจงั หวดั ภูเก็ตใช้
38 3. หลักการประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยไม่มีการใช้กฎหมายบังคับเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อ กระตนุ้ และสรา้ งจิตสาํ นกึ ให้กับประชาชนเปน็ การเบอื้ งต้น 4. ใช้หลกั การบังคบั ใช้กฎหมายทีเ่ ขม้ แขง็ และต่อเน่ือง สว่ นปจั จัยที่มีผลต่อความสาํ เร็จในการรณรงคก์ ารสวมหมวกนิรภยั ของจงั หวดั ภูเกต็ คอื 1. นโยบายรัฐบาล โครงการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เป็นโครงการ ท่ีคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญในเร่ืองการสวมหมวกนิรภัย ขับเคลื่อนการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทําให้จังหวัดภูเก็ตได้มีการ ประกาศนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยให้เป็นวาระของจังหวัดภูเก็ตเพ่ือให้หน่วยงานทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรภาคสังคม ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมุ่งสู่ เปา้ หมายเดยี วกนั คือ ผู้ขับข่ีและโดยสารรถจักรยานยนตส์ วมหมวกนริ ภยั ทุกคร้งั 2. การประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ เป็นส่ิงจําเป็นและสําคัญมากในการรณรงค์ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ซึ่งเห็นได้จากความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ต่อการรณรงค์ การสวมหมวกนิรภยั จงั หวัดภเู กต็ ในเขตอําเภอเมืองภูเกต็ 3. การบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง หลังจากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้รับทราบนโยบายการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยอย่าง ท่ัวถงึ แล้วจงึ บังคบั ใช้กฎหมายอย่างจรงิ จัง 4. การมีส่วนร่วม จังหวัดภูเก็ตมีการดําเนินการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยโดยใช้ หลักการดําเนินการแบบมีส่วนร่วมทั้งในระดับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระดับจังหวัดในการดําเนินการ เช่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานขนส่งจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จงั หวดั เป็นตน้ รวมถงึ อาสาสมคั รป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื นดว้ ย และที่สําคัญจังหวัดภูเก็ตได้มุ่งเน้นลงไปใน ระดับพื้นท่ี ด้วยการสร้างความร่วมมือจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้ส่งเสริมให้ประชาชน ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎข้อบังคับในการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือน กําหนดลงโทษกันเองเพ่ือสร้างเป็นวัฒนธรรม ความปลอดภยั ในชมุ ชนให้ได้ สรุปข้อมูลเกี่ยวกับผลดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง ทฤษฎีเก่ียวกับความร่วมมือ และการมีส่วนร่วม ของวันชัย มีชาติ (2550) กล่าวว่า การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างองค์กร จะเป็น รูปแบบ การจัดการประการหน่ึงที่น่าจะช่วยให้องค์กรต่างๆ ทํางานได้ดีย่ิงขึ้น ซ่ึงจะเน้นการดึงองค์การ หลายๆ องค์การเข้ามาทํางานร่วมกัน เพ่ือมุงเป้าหมายเดียวกัน อันจะช่วยให้เกิดการประหยัดในภาพรวม และเกดิ การช่วยเหลือเกอื้ กลู กันระหว่างองค์การตา่ งๆ ซง่ึ การปฏิบตั งิ านร่วมกนั ระหว่างองค์การนีส้ ามารถ ทําได้หลายวิธีด้วยกัน ตั้งแต่การประสานงานกันระหว่างองค์การ จนกระทั่งถึงการต้ังหน่วยงานใหม่ขึ้นมา ทําหน้าที่โดยการร่วมหุ้นกัน เพ่ือเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างองค์การในการทํางานให้บรรลุ ตามเป้าหมายที่วางไว้ และถวิลวดี บุรีกุล (2543) และอรพินท์ สพโชคชัย (2538) กล่าวว่า การมีส่วนร่วม ของประชาชน หมายถึง กระบวนการซ่ึงประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียได้มีโอกาสในการแสดงทัศนะ และ ความคิดเห็นน้ีได้ถูกใช้ประกอบในการกําหนดนโยบายและการตัดสินใจของรัฐ ซ่ึงกล่าวโดยสรุป คือ ลักษณะการมีส่วนร่วมอาจเป็นการสนับสนุนทรัพยากร เช่น การสนับสนุนเงิน วัสดุอุปกรณ์ แรงงาน การช่วย ทาํ กจิ กรรม ร่วมประชมุ ร่วมแสดงความคิดเห็น และสําหรับอํานาจหน้าที่ของผู้เข้าร่วม คือ ความเป็นผู้นํา เป็น กรรมการเปน็ สมาชิกปจั จัยสง่ เสรมิ การมีสว่ นรว่ มของประชาชน
39 ขอ้ เสนอแนะสําหรบั การนําผลไปใช้ 1. การดําเนินการโครงการฯ ควรมีการดําเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเน่ือง เพ่ือสร้างความตระหนกั ถึงความปลอดภยั ในการสวมหมวกนริ ภัยเมื่อขับข่ีรถจักรยานยนต์ 2. รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินการโครงการรณรงค์ส่งเริมการสวมหมวก นิรภัยเป็นการเฉพาะอย่างต่อเน่ือง เน่ืองจากเป็นกิจกรรมหนึ่งในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไข อุบัตเิ หตุทางถนนซึง่ เปน็ วาระแห่งชาติ 3. ควรมกี ารบังคับใชก้ ฎหมายอยา่ งเขม้ งวดและต่อเนอื่ ง ซ่งึ การบงั คบั ใช้กฎหมายให้ได้ผลแม้จะ มีกฎหมายบงั คับการสวมหมวกนิรภยั มาต้งั แต่ ปี 2539 แตค่ นไทยบางส่วนยังไม่นิยมสวมหมวกนิรภัย และ ขาดการกวดขันบังคับใช้ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด ซึ่งรัฐบาลและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนจะ ดําเนินการรณรงค์ และจูงใจให้ผู้ขับขี่หันมาสวมหมวกนิรภัยมากขึ้น เช่น การจัดหาวัสดุรองหมวก ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าท่ีของรัฐ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน กํานัน ผู้ใหญบ่ ้าน ต้องเป็นตัวอย่างในการปฏิบัตติ ามกฎหมายอย่างเคร่งครดั 4. ควรส่งเสริมความร่วมมือของสถานศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาของรัฐ สถานศึกษา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชน ให้ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการการใช้หมวกนิรภัยของนักเรียน นกั ศกึ ษาทใ่ี ช้รถจกั รยานยนต์ 5. ควรมีการติดตามประเมินผลและยกย่ององค์กรตัวอย่างในการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เพอื่ ให้เกดิ การรณรงคส์ ่งเสรมิ การสวมหมวกนิรภัยอย่างแพร่หลาย และที่สําคัญเป็นการให้ขวัญกําลังใจแก่ หน่วยงานองค์กรทีด่ าํ เนินการ และเกดิ แบบอยา่ งแก่หนว่ ยงานองค์กรอ่นื ๆดว้ ย ขอ้ เสนอแนะสาํ หรบั การวิจยั คร้ังไป 1. สําหรับผู้ศึกษาในครั้งต่อไป น่าจะทําการขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากกว่านี้ เพื่อก่อให้เกิด การเปรียบเทียบ ขอ้ ดี ขอ้ จํากดั ปัญหาอปุ สรรค และแนวทางการดําเนนิ การในเรือ่ ง ปจั จยั ที่มีผลต่อความสําเร็จ ในการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย ท่ีมีประสิทธิภาพของข้อมูลและมีประโยชน์ในการดําเนินการรณรงค์การ สวมหมวกนิรภัย ซ่งึ สามารถนาํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นพน้ื ทอ่ี ืน่ ๆ ได้ต่อไปในอนาคต 2. ผลของการวิจัยคร้ังน้ีอาจมีความสมบูรณ์ไม่เพียงพอ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในพ้ืนที่อันจํากัดเท่าน้ัน ฉะนนั้ เพ่ือให้เกิดความสมบรู ณค์ วรจะศกึ ษาในเรื่องเดยี วกันกบั พื้นทอ่ี ่นื ๆ ต่อไป
บรรณานกุ รม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทาง ถนน. (2554). แผนท่ีนําทางเชิงกลยุทธ์ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554- 2563. กรงุ เทพฯ. ชินชัย ช้ีเจริญ. (2552). การมีส่วนร่วมของประชาชนในงานสังคมสงเคราะห์ชุมชน. กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ ณัฐนนั ท์ ศริ เิ จรญิ , หลักการโฆษณาประชาสมั พนั ธ์และการส่ือสารเพือ่ การพฒั นาอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ. กรงุ เทพฯ: บายฮาร์ทมเี ดีย, 2548. ถวิลวดี บุรีกุล. (2547). จับชีพจรประเทศไทย : ตัวชี้วัดประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล. นนทบุรี : สถาบนั พระปกเกล้า. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. รัฐธรรมนูญ 2540 VS ร่างรัฐธรรมนูญ 2550. เนช่ันสุดสัปดาห์. 6 กรกฎาคม 2550, หนา้ 22. บลมู , เบนจามิน เอส.(2542). การพัฒนาการศกึ ษา.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประภาเพญ็ สุวรรณ. (2542). ทศั นคติ : การวดั การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมอนามัย. กรุงเทพฯ. พชั รี สิโรรส. (2550) . เทคนิคการมีสว่ นร่วมของประชาชน. คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ มูลนิธไิ ทยโรดส์ (2555). อตั ราการสวมหมวกนิรภยั ของประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร. รัตนวดี ศิริทองถาวร (2546). การประชาสัมพันธ์ธุรกิจ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ,2546. วันชัย มีชาติ (2551) . พฤติกรรมการบริหารองค์การสาธารณะ. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย , 2551 วิรัช ลภิรัตนกุล (2546). การประชาสัมพันธ์ฉบับสมบูรณ์. พิมพ์คร้ังท่ี 8 กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2546. วมิ ลพรรณ อาภาเวท. (2546). การวางแผนประชาสมั พนั ธ์และรณรงค.์ กรงุ เทพฯ: บุ๊ค พอยท.์ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 . กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ คณะรัฐมนตรแี ละราชกจิ จานเุ บกษา. โสภารตั น์ จารสุ มบัต.ิ (2550). การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต.้ กรงุ เทพฯ : โครงการจดั พมิ พ์คบไฟ. อรทัย ก๊กผล. (2550). การบริหารจัดการการมีส่วนร่วมของประชาชน. คู่มือพลเมืองยุคใหม่. พิมพ์ครั้ง ท่ี 3. กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พ์คณะรัฐมนตรีและราชกจิ จานุเบกษา, 2550.
บรรณานุกรม (ต่อ) อรพินท์ สพโชคชัย. (2538). การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน. มูลนิธิ สถาบันวิจยั เพอ่ื การพัฒนาประเทศไทย , กรุงเทพมหานคร. Cohen, J.M. and Uphoff, N.T.1981. Rural Development Participation : Concept and Measures for Project Design Implementation and Evaluation. Rural Development Committee Center for International Studies Cornell University . McClelland, D. C. and thers. (1953). The Achievement Motive. New York: Appletion
ภาคผนวก
Search