การเผชิญเหตแุ ละบัญชาการเหตกุ ารณ์ (Single Comm กรณีเกดิ อทุ กภยั ความรุนแ นา้ และอทุ กภัยขนาดใหญ:่ เกิดผลกระทบรุนแรงกว้า (ผวู้ า่ ราชการจังหวดั ) ไม่สามารถควบคมุ สถานการณ์ได้ ต้องอาศัยผเู้ ชีย่ วชาญ บรรเทาภยั ผู้อานวยการกลาง (อธบิ ดีกรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย) หร คณะกรรมการ สนับสนนุ ข้อมลู กองบญั ชาการปอ้ งกนั แล บรหิ ารจดั การน้า แหง่ ช และอุทกภยั ผบู้ ัญชาการปอ้ งกนั และบรร(บเทกา.ปสภา (กบอ.) รฐั มนตรวี า่ การกระ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ กองอานวยการป้องกันและบรร ผูอ้ านวยการจงั หวดั (ผู้ว่าร กองอานวยการปอ้ งกนั และ ผอู้ านวยการอาเภ กองอานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สนบั สนนุ ผู้อานวยการทอ้ เงทถศน่ิ บา(นลายกเทศมนตรี) ซ่ึงกนั :7j’
mand) ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ. 2550 แรง ระดับ 3 (สาธารณภยั ขนาดใหญ่) างขวาง มพี นื้ ทีเ่ สียหาย เปน็ บริเวณกวา้ ง เกนิ ขดี ความสามารถของจงั หวดั ผอู้ านวยการจงั หวัด ญ/อปุ กรณ์พิเศษ/กาลังสนบั สนนุ ระดมสรรพกาลังทกุ ภาคส่วน เพ่อื ตอบโต้เหตฉุ ุกเฉิน/ รอื ผบู้ ัญชาการ ปภ.แห่งชาติ (รมว.มท.) เปน็ ผู้ควบคมุ สถานการณ์/บญั ชาการเหตุการณ์ ละบรรเทาสาธารณภยั ชาติ ผู้อานวยการกลาง ภาธ.ชา.ร)ณภัยแหง่ ชาติ (ผบ.ปภ.ช.) สงั่ การ ะทรวงมหาดไทย อธิบดกี รมป้องกนั และบรรเทาสาธารณ สงั่ การ รายงา น ณ์สว่ นหนจา้ งั หวัดอุดรธานี ควบคมุ /กากับ ภัย รเทาสาธารณภยั จังหอวดุ ดั รธานี ราชการจังหวัดอุดรธานี) สนบั สนนุ ศนู ย์ปฏิบตั ิการส่วนหน้า ร้องขอ ของผอู้ านวยการกลาง ะบรรเทาสาธารณภัยอาเภอ ภอ (นายอาเภอ) นการปฏิบัติ กองอานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั นและกัน ผู้อานวยการท้อองบถตนิ่ . (นายก อบต.) ’dyo
แผนกภามูรเิทผี่ ช5ิญกเาหรตเผุแชลญิะบเหัญตชแุ าลกะาบรเัญหชตากุ กาารรณเห์ (ตSุกinาgรlณe์ C(SoinmgmleaCnodm) ภm กรณเี กดิ อุทกภยั ความรนุ แรง ระดบั 4 (ส น้าและอุทกภยั ขนาดรา้ ยแรงอย่างยง่ิ : เกิดผลกระทบรา้ ย เปน็ อยู่และขวัญกาลังใจของประชาชนจานวนมากอยา่ งรา้ ยแรง ผู้อานวยการกลา แห่งชาติ (รมว.มท.) ไมส่ ามารถควบคมุ สถานการณ์ /แก้ไขปญั หา/ระงับภยั ได้ นาย 31 แหง่ พ.ร.บ.ปภ. พ.ศ. 2550 ผูค้ วบคุมสถานการณ์/บัญชาการเหตุการณท์ กุ พ้ืน นายกรฐั มนตรี Single Command คณะกรรมการ สนับสนุน กองบัญชาการปอ้ งกันและบรรเทาสาธาร บริหารจัดการนา้ ขอ้ มลู และอุทกภยั (กบอ.) ผบู้ ัญชาการปอ้ งกันแ(บละกบ.ปรภรเ.ชท.า)สาธาร (ผบ.ปภ.ช.) ศูนยบ์ ัญรฐั ชมานกตารรเีวหา่ ตกุกาารรกณระส์ ท่วรนวหงมนหา้ จาังด กองอานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ผู้อานวยการจังหวัด (ผู้วา่ ราชการจงั หวดั กองอานวยการป้องกนั และบรรเทาสา ผอู้ านวยการอาเภอ (นายอาเภอ กองอานวยการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั สนบั สนุนการปฏิบัติ ผอู้ านวยการท้อเงทถศิน่ บา(นลายกเทศมนตรี) ซึง่ กันและกนั
ภmาaยnใตd้)พใ.นร.พบ้ืน.ปทอ้ ่ีกงลก่มุ ันจแังลหะวบดั รอรดุเทราธสานาธี การรณณเีภกัยดิ อพทุ .ศก.ภ2ัย5ค5ว0ามรนุ แรงระดบั 3 สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างย่ิง) ยแรงอยา่ งยิง่ ระดบั วิกกฤตกิ ารณ์ มผี ลกระทบต่อชีวิตและทรพั ยส์ ิน ความ าง (อธิบดกี รมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย)หรอื ผู้บญั ชาการ ปภ. ยก รัฐมนตรีหรอื รองนายกรัฐมนตรที ี่ไดร้ ับมอบหมายใช้อานาจตามมาตรา นท่ที ่วั ราชอาณาจกั ร รณภยั แหง่ ชาติ ส่งั การ ผอู้ านวยการกลาง รณภัยแห่งชาติ งดหไทวยัดอดุ รธานี ควบคมุ /กากบั ส่งั การ รายงาน ณจภังยหวดั อดุ รธานี สนับสนุน ร้องขอ ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ดอุดรธานี) ของผอู้ านวยการกลาง าธารณภยั อาเภอ ศูนย์ ปภ.เขต ๑๔ อดุ รธานี อ) กองอานวยการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ผู้อานวยการทอ้ องบถตน่ิ . (นายก อบต.)
23 กรณีเกิดสาธารณภัยจากนา้ และอุทกภยั ความรนุ แรงระดับ 3 - 4 ให้จงั หวัดดาเนินการ ดังน้ี 1) ให้ศูนย์อานวยการเฉพาะกจิ จงั หวดั อุดรธานปี รบั โครงสรา้ งเปน็ ศูนยบ์ ัญชาการ เหตกุ ารณ์ส่วนหนา้ จังหวัดอุดรธานีทันทีเม่อื มกี ารยกระดบั ความรุนแรงของภยั เปน็ ระดบั 3 - 4 (โครงสรา้ งตามภาคผนวก ) เพ่ือเปน็ สว่ นหน้าระดับจังหวดั ทม่ี ีหนา้ ทีป่ ฏิบตั งิ านตามการบัญชาการ เหตุการณจ์ ากกองบัญชาการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาติ (บก.ปภ.ช.) เพื่อจดั ทาขอ้ มูลบัญชี ทรัพยากร เหตกุ ารณ์ พืน้ ทค่ี วามเสยี หาย และผลการปฏบิ ตั ทิ ี่ผา่ นมา รายงานและประสานขอรับการ สนบั สนนุ และความชว่ ยเหลอื จากกองบญั ชาการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยแหง่ ชาติ (บก.ปภ.ช.) 2) ใหผ้ ู้อานวยการจังหวดั (ผวู้ า่ ราชการจังหวัดอุดรธานี ) ข้ึนกบั กองบัญชาการปอู งกนั และบรรเทา สาธารณภัยแหง่ ชาติ (บก.ปภ.ช.) โดยมีผู้บัญชาการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย ) ในฐานะผูบ้ ัญชาการเหตกุ ารณอ์ ทุ กภยั ความรนุ แรงระดบั 3 เข้าสงั่ การ และบญั ชาการเหตกุ ารณ์ โดยใหผ้ อู้ านวยการกลาง (อธบิ ดกี รมปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั ) ควบคุม กากับการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ตี ามการส่ังการของผ้บู ัญชาการปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กรณีเหตกุ ารณอ์ ุทกภยั ความรนุ แรงระดบั 4 นายกรฐั มนตรีหรอื รองนายกรัฐมนตรีท่ีไดร้ บั มอบหมาย โดย ใชอ้ านาจตามมาตรา 31 แหง่ พระราชบัญญัตปิ ูองกันและบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ.2550 ในฐานะ ผู้บัญชาการเหตกุ ารณเ์ ข้าควบคุมสถานการณ์ มีอานาจส่งั การและบญั ชาการให้ดาเนินการอย่างใดอยา่ ง หน่ึงเพอ่ื ปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยรวมตลอดถึงใหค้ วามช่วยเหลอื แกป่ ระชาชนในพน้ื ทีท่ ก่ี าหนด ก็ได้ ทวั่ ราชอาณาจกั ร 3) ใหศ้ ูนย์บญั ชาการเหตกุ ารณส์ ่วนหน้าจงั หวัดอุดรธานี รบั ผดิ ชอบการดาเนนิ การ ปอู งกัน แก้ไข และชว่ ยเหลือผูป้ ระสบภัยในพ้นื ท่ีจงั หวดั โดยขึน้ การบังคบั บัญชา และสนบั สนนุ การ ปฏิบัติ การ เผชญิ เหตขุ องกองบัญชาการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาติ (บก.ปภ.ช.) และ รายงานสถานการณแ์ ละผลการดาเนนิ งาน ตามแบบรายงานเหตดุ ว่ นสาธารณภยั ของกรมปอู งกนั และ บรรเทาสาธารณภัย และรายงานผา่ นระบบโปรแกรม ของสานักงานนโยบายและบรหิ ารจัดน้าและอุทกภัย แหง่ ชาติ (Single Command Center: สบอช.) ทราบจนกวา่ สถานการณ์จะสนิ้ สดุ 7.การเตรยี มการอพยพ ใหด้ าเนินการดงั น้ี (1) จดั ทาแผนอพยพในพ้ืนที่เสย่ี งจากสาธารณภัย (2) จดั หาสถานทีป่ ลอดภยั สาหรบั การอพยพประชาชน (3) จัดเตรียมเส้นทางอพยพหลกั และเสน้ ทางสารอง ท่ไี ม่ขัดขวางต่อการปฏิบัติการทางทหาร (4) จดั ทาปาู ยแสดงสัญญาณเตอื นภัยบอกเสน้ ทางอพยพไปสูส่ ถานที่ปลอดภยั (5) จัดเตรยี มสรรพกาลงั หน่วยปฏิบัตกิ ารฉุกเฉนิ หรอื หนว่ ยอพยพ (6) จัดเตรียมยานพาหนะ เครือ่ งมอื อปุ กรณ์ เช่น รถยนตข์ ับเคลือ่ น 4 ล้อ ไฟฉาย พลุส่องสวา่ ง นกหวดี เส้ือชูชพี ฯลฯ (7) จัดประชมุ หรืออบรมให้ความรใู้ นการช่วยเหลือตวั เองเมื่ออยใู่ นภาวะฉุกเฉนิ
(8) จดั ให้มกี ารฝึกซ้อมแผนอพยพจากสาธารณภยั (9) จดั ทาค่มู ือการอพยพจากสาธารณภัย ให้ประชาชนศึกษา 24 องคก์ รหลักท่ีดาเนินการอพยพ (1) กองอานวยการปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ทาหนา้ ท่ีอานวยการ ควบคุม สนับสนนุ การปฏิบตั ขิ องกองอานวยการปอู งกนั และ บรรเทาสาธารณภัยทกุ ระดบั โดยมีผ้วู ่าราชการจังหวดั ในฐานะผูอ้ านวยการจังหวัด ทาหน้าทีผ่ ู้บัญชาการ และบงั คบั บญั ชาเจา้ หน้าทีใ่ นการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ในเขตพื้นที่จังหวดั (2) กองอานวยการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยอาเภอ ทาหน้าท่ีดาเนินการในส่วนท่เี ก่ียวข้องกับการอพยพประชาชนและสว่ นราชการ ต้งั แต่ ยามปกติ ได้แก่ จดั หากาลงั เจา้ หน้าทีส่ นบั สนนุ การปฏิบัตงิ านดาเนนิ การอพยพประชาชนในระดับอาเภอใหม้ ี ประสทิ ธภิ าพ ซักซ้อมการปฏิบัตใิ นการอพยพประชาชนและสว่ นราชการ เพอื่ ใหม้ ีเอกภาพและมี ประสิทธิภาพ ในการปฏบิ ัติ (3) กองอานวยการปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั ท้องถ่นิ แหง่ พ้นื ที่ ทาหน้าท่อี พยพประชาชนและส่วนราชการในเขตความรบั ผิดชอบของตน และปฏิบัติ ตามการส่งั การของกองอานวยการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยช้ันเหนือขน้ึ ไป องคก์ รสนับสนุนการปฏิบัติ ได้แก่ (1) หนว่ ยงานสังกดั กระทรวงกลาโหม ใหก้ ารสนบั สนุนการปฏบิ ัตงิ าน ดงั นี้ (1.1) ให้การสนบั สนนุ และร่วมมือในดา้ นยานพาหนะ พนกั งานประจายานพาหนะตลอดจน น้ามันเชื้อเพลิงและหล่อลนื่ เพ่อื ใช้ในการขนยา้ ยและบรรเทาทกุ ขผ์ ้ปู ระสบภยั (1.2) ให้การสนบั สนุนเครอื่ งมอื สอ่ื สาร เครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้อุปกรณต์ า่ งๆ เพือ่ ใช้ ในการอพยพประชาชนและส่วนราชการ (1.3) ให้การสนบั สนุนดา้ นแรงงานเพื่อใช้ในการอพยพประชาชนและสว่ นราชการ (1.4) ให้การสนับสนุนในการดาเนินการรกั ษาความปลอดภยั (2) สว่ นราชการและหนว่ ยงานต่างๆ ในเขตท้องทมี่ ีหนา้ ที่ปฏิบัตกิ ารปอู งกันและบรรเทาสา ธารณภัยร่วมในส่วนทีเ่ กีย่ วขอ้ ง และให้การสนบั สนุนตามอานาจหน้าทีข่ องแต่ละหนว่ ยงาน (3) องคก์ รเอกชน มลู นิธิ มีหนา้ ท่ีให้การสนับสนุน ในการปฏบิ ัตงิ านตามแผนรวมทงั้ ให้การ สนับสนนุ การปฏบิ ตั เิ ม่ือได้รับการรอ้ งขอ ตามทีผ่ อู้ านวยกาจระสัง่ การในกรณที ีเ่ กิดสาธารณภัย (4) ประชาชนในเขตทอ้ งที่ มหี น้าทีใ่ ห้การสนบั สนนุ ในการปฏิบัตงิ านตามแผนรวมท้ังให้การ สนบั สนุนการปฏบิ ัตเิ มอ่ื ไดร้ ับการรอ้ งขอ ตามทผ่ี อู้ านวยกาสรัง่ การในกรณที ่เี กดิ สาธารณภยั
ขัน้ ตอนการอพยพ (1) เมอื่ คาดว่าจะเกดิ สาธารณภยั ขึ้นในท้องทีใ่ ดผู้อานวยการจังหวดั ดาเนินการแจง้ เตือนอาเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ให้เตรยี มพรอ้ มรับสถานการณแ์ ละเตรยี มการอพยพประชาชนในกรณที ี่ จาเปน็ ตามแผนการอพยพ (2) การเตรยี มการอพยพ (2.1) การจัดทาแผนอพยพ ให้กาหนดรายละเอยี ดดงั นี้ (2.1.1) สารวจและจัดทาบัญชจี านวนผู้อพยพไวล้ ว่ งหนา้ โดยแยกประเภท ตามลาดบั ความเร่งด่วน (2.1.2) กาหนดเขตพน้ื ที่รวมพลและพืน้ ท่ีรองรับการอพยพไว้ โดยแน่นอน 25 (2.1.3) กาหนดเจ้าหน้าที่ดาเนนิ การอพยพไวล้ ว่ งหน้า โดยระบุหน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบไวใ้ ห้ ชดั เจน (2.1.4) สารวจยานพาหนะ นา้ มันเชอ้ื เพลงิ ตลอดจนระบบการสื่อสารสาหรบั การ อพยพ (2.1.5) กาหนดเสน้ ทางอพยพหลกั และเสน้ ทางรองทช่ี ัดเจน (2.1.6) กาหนดสถานทปี่ ลอดภยั เปน็ พ้นื ทรี่ องรบั การอพยพ (2.1.7) กาหนดระเบียบปฏบิ ตั ิในการรกั ษาความปลอดภัยและความสงบ เรยี บร้อย ในการอพยพการอยู่อาศัยในพืน้ ทีร่ องรับการอพยพตลอดจนการอพยพ กลับ (2.1.8) ให้ความชว่ ยเหลอื และบรกิ ารในการดารงชีพ และระบบสุขลักษณะตาม สมควร (2.1.9) จดั ใหม้ สี ่ิงสาธารณปู โภค และสิ่งอานวยความสะดวกเพ่ิมเตมิ ตลอดจน ร่างระเบียบ ในการควบคุมการใช้สิ่งเหล่าน้ี (2.1.10) ให้แบง่ การปกครองในพ้ืนทอ่ี พยพออกเป็นกลุม่ และให้จดั ทาทะเบยี น และ จัดระเบียบการปกครอง (2.2) ให้จดั แบง่ ประเภทของบคุ คลตามลาดบั เร่งดว่ น ดงั น้ี (2.2.1) ผู้ปวุ ยทพุ พลภาพ คนพกิ าร คนชรา เด็ก และสตรีตามลาดบั (2.2.2) บุคคลหรือประชาชนทว่ั ไปที่ไม่มคี วามจาเปน็ ในการปฏบิ ตั กิ ารในพนื้ ที่ (2.3) การจดั เตรียมพน้ื ทรี่ องรบั การอพยพไวล้ ว่ งหน้าให้เป็นตามลกั ษณะความจาเปน็ ดังนี้ (2.3.1) ต้องหา่ งจากพื้นทีอ่ ันตราย
(2.3.2) ต้องไม่กดี ขวางหรอื เหนย่ี วรัง้ การปฏิบัติการ (2.3.3) เป็นพ้ืนทท่ี ส่ี ามารถจดั การดา้ นสุขลกั ษณะได้ (2.3.4) มีความสะดวกในเส้นทางคมนาคม (2.3.5) มีสงิ่ อานวยความสะดวกและระบบสาธารณปู โภคตามสมควร (3) การจดั ระเบียบสถานทีอ่ พยพและการอานวยความปลอดภัย (3.1) การจัดระเบียบสถานทอ่ี พยพ (3.1.1) ควรมกี ารประสานงานล่วงหน้ากบั หนว่ ยงานทเ่ี ป็นเจ้าของสถานท่แี ละพ้นื ท่ี ปลอดภยั สาหรบั การอพยพและควรจัดพ้ืนที่ใหเ้ หมาะสมกบั จานวนประชากรท่ีอพยพ หากพ้ืนทไี่ มเ่ พียงพอต่อ จานวนประชากรให้จัดหาสถานท่ีปลอดภัยแหง่ อ่ืนไวร้ องรับ โดยพจิ ารณาจากฐานขอ้ มูลประชากรในชมุ ชนหรือ หมบู่ ้านพืน้ ทีเ่ สี่ยงภยั (3.1.2) ควรจัดกาลังสว่ นหน่งึ ทาความสะอาดสถานทที่ ี่ใชส้ าหรบั การอพยพใหถ้ กู สขุ ลักษณะ (3.1.3) ควรจดั เตรียมระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในสถานที่ปลอดภัยหรือสถานที่ อพยพใหแ้ ก่ผอู้ พยพตามสมควร 26 (3.1.4) ควรจัดระเบียบพน้ื ทีอ่ พยพ โดยแบ่งพืน้ ทีใ่ ห้เปน็ สดั ส่วนเป็นกลุ่ม ครอบครวั หรอื กลุม่ ชมุ ชน เพอื่ เกิดความสะดวกในการสงเคราะหผ์ ู้ประสบภัยและการสื่อสาร (3.2) การอานวยความปลอดภยั (3.2.1) ควรจดั ระเบียบเวรยามในการรักษาความสงบเรยี บรอ้ ยตามความเหมาะสม โดยประสานงานขอกาลังเจา้ หน้าที่ตารวจและอาสาสมัคร (3.2.2) ควรให้การสนบั สนนุ ในการดาเนนิ การรกั ษาความปลอดภยั ในเขตพ้ืนท่รี องรับการ อพยพ (4) การดูแลความปลอดภยั บา้ นเรอื นของผ้อู พยพ กองอานวยการปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั จัดเจา้ หนา้ ท่ปี ระสานงานกับเจา้ หน้าท่ี ตารวจในพนื้ ท่เี พอ่ื จดั กาลังสายตรวจไปดูแลบา้ นเรอื นของผู้อพยพเป็นระยะๆ หากกาลงั เจา้ หน้าที่ตารวจ ไม่เพยี งพอให้ประสานขอกาลังสนับสนุนจากหน่วยอาสาสมัครปอู งกันภยั ฝุายพลเรือน (อปพร.) หรอื จัดหา อาสาสมัครจากประชาชน (5) การแจง้ ความเคล่ือนไหวของสถานการณ์ (5.1) ควรมีการติดตามความเคล่อื นไหวของสถานการณ์การเกดิ สาธารณภยั อยา่ งใกล้ชดิ และต่อเน่อื งจากทุกสื่อและจากทุกหนว่ ยงานทีเ่ กีย่ วข้อง แล้วประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถงึ สถานการณ์สาธารณภัยเปน็ ระยะๆ เพือ่ ลดความต่ืนตระหนกของประชาชนในพื้นที่ทีป่ ระสบภัย
(5.2) ในกรณที ม่ี ีการยกเลิกสถานการณ์สาธารณภยั ควรมกี ารยนื ยนั ใหช้ ัดเจนถงึ การยกเลกิ สถานการณส์ าธารณภยั พรอ้ มท้งั แจง้ ใหผ้ ้อู พยพเตรียมพรอ้ มในการอพยพกลบั ส่ทู ีต่ ้ังตอ่ ไป (6) การอพยพกลับ (6.1) ประชาชน เมือ่ ประชาชนไดร้ ับข่าวสารการแจ้งว่าสถานการณ์ภัยไดส้ ิน้ สุดลงแล้วประชาชน ต้องใหค้ วามร่วมมือและเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมสาหรับการอพยพกลบั และรอรับแจ้งจุดอพยพกลบั (6.2) ผู้นาชุมชนหรือผูน้ าหม่บู ้าน ผูน้ าชุมชนหรือผูน้ าหมูบ่ า้ นตอ้ งจัดระเบียบและจัดลาดบั ก่อนหลงั ของการอพยพ อยา่ งเปน็ ระบบไปสทู่ ต่ี ั้งเดมิ และประสานงานการอพยพกับเจา้ หนา้ ท่ที ีด่ าเนนิ การควบคุมดแู ลการอพยพ (6.3) หน่วยอพยพ เมือ่ ไดร้ ับการแจ้งข่าวว่าสถานการณ์ภัยไดส้ ิน้ สุดลงแล้วหนว่ ยอพยพผูป้ ระสบภัย ของศนู ย์อานวยการเฉพาะกจิ ต้องทราบ เสน้ ทางกลบั สู่พืน้ ท่เี ปาู หมาย (ท้ังชมุ ชนหรอื หม่บู ้าน) และต้อง ตรวจสอบสภาพยานพาหนะสาหรบั การอพยพใหพ้ รอ้ กม่อนออกปฏบิ ัติหนา้ ท่ี รวมทง้ั ติดตอ่ ประสานงานกบั ผู้นาชุมชนหรอื ผ้นู า หมู่บา้ นทุกระยะให้เตรียมตัวใหพ้ ร้อมสาหรบั การอพยพกลบั และรอรับแจ้งจุดอพยพกลับ ทตี่ ้งั เดิมอย่างปลอดภัย 7.2.5 การอพยพส่วนราชการและองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ เป็นการเคลือ่ นย้ายหน่วยราชการและองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินมาอย่ใู นพ้นื ทป่ี ลอดภัย เพอื่ ให้สามารถใหบ้ ริการประชาชนไดต้ ามปกติ โดยให้ศนู ย์อานวยการเฉพาะกิจในเขตพืน้ ที่ แบ่งประเภท สว่ นราชการทจ่ี ะอพยพตามลาดับและความจาเป็นเรง่ ดว่ น พร้อมท้งั กาหนดพนื้ ที่รองรับการอพยพสว่ น ราชการและครอบครัวสว่ นราชการ และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ไวล้ ่วงหนา้ และจัดทาแผนอพยพส่วน ราชการโดยกาหนดรายละเอียด ดงั นี้ 27 (1) สารวจและจัดทาบัญชสี ว่ นราชการไว้ล่วงหนา้ และแยกประเภทความเร่งด่วนในการ อพยพ โดยเน้นความจาเปน็ ของประชาชนเป็นลาดับแรก (2) กาหนดเขตพืน้ ทีร่ องรับการอพยพ ตลอดจนพน้ื ทข่ี องแต่ละสว่ นราชการใหอ้ ยู่ในพนื้ ท่ีท่ี เหมาะสม (3) กาหนดเจา้ หนา้ ที่ดาเนินการอพยพไวล้ ่วงหนา้ โดยระบหุ น้าท่ีความรบั ผิดชอบไวใ้ หช้ ัดเจน (4) กาหนดรายการและจานวนสิ่งของพสั ดุ เอกสารราชการทจ่ี าเปน็ ตอ้ งขนยา้ ย (5) สารวจยานพาหนะและน้ามนั เชื้อเพลงิ ตลอดจนระบบการส่ือสารสาหรบั การอพยพ (6) กาหนดเสน้ ทางอพยพหลกั และเส้นทางอพยพรอง ทีไ่ มข่ ัดขวางตอ่ การปฏบิ ตั งิ านของ ทหาร (7) วางระเบยี บปฏบิ ัติในการรกั ษาความปลอดภัยและความสงบเรยี บรอ้ ยในการอพยพ การ เข้าไปอยใู่ นพน้ื ทอี่ พยพ ตลอดจนการอพยพกลับ
(8) ระหวา่ งการอพยพใหพ้ จิ ารณาจดั ส่วนราชการ ณ ทตี่ ้ังเดมิ ไว้ตามความจาเป็น และท่ี อพยพเฉพาะส่วน เพื่อให้บรกิ ารประชาชนได้ (9) การอพยพสว่ นราชการสว่ นกลาง ซ่ึงรวมท้งั การอพยพรฐั บาลหรอื คณะรัฐมนตรหี รอื สถาบันองคพ์ ระมหากษัตริย์ ใหเ้ ป็นไปตามมติคณะรฐั มนตรี 8. การชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภยั ให้สนบั สนนุ การปฏบิ ตั ิการ ดังนี้ 8.1 งานการเงนิ มหี นา้ ที่ดงั นี้ 1) จดั ซ้ือจัดจ้างส่ิงท่จี าเป็นสาหรับการปฏิบัตงิ านในกรณที ไ่ี ม่สามารถขอรับการสนบั สนนุ จาก หน่วยงานทีเ่ กยี่ วข้องและภาคเอกชนได้ 2) บันทึกเวลาการปฏิบตั ขิ องเจ้าหนา้ ท่ที ีถ่ ูกสง่ มาปฏบิ ตั ภิ ารกิจ 3) ชดใชค้ า่ เสยี หายทีเ่ กิดจากการปฏิบตั งิ านของเจ้าหน้าท่ี 4) ประเมนิ คา่ ใชจ้ ่ายสาหรับการปฏบิ ตั ภิ ารกิจ ผรู้ บั ผิดชอบหลัก : สานกั งานปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุดรธานี 8.2 งานรบั บริจาค มีหนา้ ทีด่ งั น้ี 1) จัดระบบการรับบริจาคตามระเบียบสานักนายกรฐั มนตรวี ่าด้วยการรบั บรจิ าคและการให้ ความชว่ ยเหลือผูป้ ระสบสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เติม โดยจาแนกเป็น เงินบรจิ าค ส่ิงของ บริจาคทีเ่ นา่ เสยี ได้ และสง่ิ ของบรจิ าคท่ีไมเ่ น่าเสยี 2) จดั ทารายงานยอดเงนิ บรจิ าคและสิง่ ของบรจิ าคใหส้ ่วนท่ีเกย่ี วข้อง ผรู้ ับผดิ ชอบหลัก : คลังจังหวัดอดุ รธานี 9. การสื่อสารในภาวะฉกุ เฉนิ 1) จัดตง้ั ศูนยส์ ่ือสาร และจดั ให้มีระบบส่อื สารหลัก ระบบสอ่ื สารรอง และระบบสอื่ สาร อื่นๆ ท่จี าเปน็ ใหใ้ ช้งานไดต้ ลอด 24 ชว่ั โมง ใหส้ ามารถเช่อื มโยงระบบส่อื สารดงั กลา่ วกบั หนว่ ยงานอ่ืนได้ ปกติ โดยเรว็ ทว่ั ถึงทุกพ้ืนท่ี 2) ใช้โครงข่ายสื่อสารทางโทรศัพท์ โทรสาร และวทิ ยุส่อื สารเป็นหลกั 3) คลนื่ วทิ ยสุ ื่อสารในภาวะฉุกเฉนิ 28 การประสานกบั หน่วยงานทเ่ี กยี่ วข้อง ในภาวะฉุกเฉิน เม่ือเกดิ เหตสุ าธารณภยั ขึ้น หรอื มกี ารประกาศเขตภัยพบิ ตั ใิ น พน้ื ที่จงั หวัดในเขตรบั ผดิ ชอใบหศ้ ูนย์ปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยเขต 14 อดุ รธานี ประสานการปฏิบตั ิกับ อาสาสมคั ร มลู นิธิ องคก์ ารสาธารณกศุ ลและหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวข้อง ในพน้ื ท่ี เพ่ือสนับสนุนการปฏิบัติของ จงั หวดั ทปี่ ระสบภัย การรายงานขอ้ มูลข่าวสารในภาวะฉกุ เฉนิ
1) ประสานและติดตามรายงานสรุปสถานการณ์สาธารณภัยจากจังหวัด พร้อม ทัง้ ตรวจความถูกต้องของข้อมูล 2) รายงาน และสรปุ สถานการณ์อทุ กภัย ไปยังผู้อานวยการ จังหวัด ทราบทกุ ขั้นตอนเปน็ ระยะๆ จนกว่าภัยจะยุติ หน่วยงานหลัก สานกั งานปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวัดอุดรธานี หน่วยงานสนับสนุน ได้แก่ ศนู ยป์ อู งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 14 อุดรธานี การประชาสมั พันธข์ อ้ มลู ข่าวสาร 1) จัดแถลงขา่ วและสรปุ สถานการณ์อทุ กภยั ผ่านส่อื ต่างๆ ให้ หนว่ ยงานทกุ ภาค สว่ น ส่ือมวลชน และประชาชนไดร้ บั ทราบสถานการณ์ภัยทกุ วัน เปน็ ระยะๆ เพื่อมิให้เกดิ ความสับสนและ ตื่นตระหนกจนกวา่ สถานการณภ์ ยั จะยตุ ิ 2) ประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหวของสถานการณอ์ ทุ กภัย ทค่ี าดวา่ จะเกิดหรือ เกิดภยั พบิ ัตใิ หส้ ว่ นราชการและประชาชนไดร้ บั รแู้ ละเข้าใจสถานการณ์ ผา่ นชอ่ งทางการสอ่ื สาร ตา่ งๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หอกระจายขา่ ว วิทยุชุมชน ฯลฯ เพ่ือประชาสมั พนั ธ์ ใหป้ ระชาชนรบั ทราบสถานการณ์ท่ี ถกู ต้อง ลดความตืน่ ตระหนก และสับสนในสถานการณภ์ ัยพิบตั ิ หน่วยงานหลกั สานกั งานปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั จังหวดั อดุ รธานี หน่วยงานสนบั สนุน ได้แก่ ศนู ยป์ อู งกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 14 อดุ รธานี กรณีสาธารณภัยขนาดใหญ่ทมี่ ผี ลกระทบเกนิ ขดี ความสามารถของ สานกั งานปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยจงั หวดั อดุ รธานี กรณเี กิดอทุ กภยั ท่มี สี ถานการณ์สาธารณภัยขนาดใหญท่ ีม่ ี ผลกระทบรา้ ยแรงอย่างยิง่ (ความรุนแรงระด3ับ) ขยายเป็นบริเวณกว้าง ซงึ่ อาจครอบคลุมพื้นที่หลายอาเภอ หรอื หลายจงั หวัดมผี ลกระทบต่อชีวติ และทรพั ย์สนิ ของประชาชนจานวนมาก ให้ วเิ คราะห์ และประเมนิ ศกั ยภาพของทรัพยากรที่มอี ย่ใู นการเตรียมพรอ้ ม เผชิญเหตุแล้วพบวา่ เกินขีดความสามารถ ของสานักงาน ปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั จังหวดั อุดรธานใี ห้รายงานต่อผอู้ านวยการกลาง ทราบทันที ประกาศยุติภัย เมื่อภยั พบิ ัตทิ เี่ กิดข้นึ ในพน้ื ทจ่ี งั หวัดยตุ ิแล้ว หรือมกี ารประกาศยตุ ภิ ยั ให้ ยกเลกิ ศูนย์ อานวยการเฉพาะกิจฯ ระดบั จังหวัดแล้วส่งมอบหน้าทีค่ วามรบั ผิดชอบใหอา้ เภอ ประสานการปฏิบัติ่อไป 29 10. ขั้นปฏบิ ัตกิ ารหลงั เกิดภัย มีแนวทางปฏิบตั ิ ดงั นี้
การฟน้ื ฟูบูรณะในเขตพ้ืนทจ่ี ังหวดั เปน็ หนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบของกองอานวยการ ปอู งกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัด โดยการนาทรัพยากรที่มอี ยูท่ ัง้ กาลงั คน ทรพั ย์สิน เคร่อื งมอื ของเอกชนเข้าร่วมในการฟนื้ ฟูบูรณะ ดังนี้ 1) จัดให้มกี ารรกั ษาพยาบาลแกผ่ ู้ประสบภัยอย่างตอ่ เนอ่ื งจนกว่าจะหายเปน็ ปกติ รวมทง้ั การจดั ทพี่ ักอาศยั ชว่ั คราว และระบบสขุ าภิบาลแก่ผปู้ ระสบภัยในกรณีทตี่ อ้ งอพยพจาก พน้ื ที่อันตราย 2) ใหม้ ีการประสานงานระหว่างหน่วยงานของรฐั และองค์กรภาคเอกชนในการ สงเคราะหผ์ ู้ประสบภัยให้เปน็ ไปอยา่ งมีระบบ รวดเรว็ ท่วั ถงึ และหลกี เลี่ยงความซ้าซ้อนในการ สงเคราะหผ์ ้ปู ระสบภยั โดยจดั ทาบัญชีรายช่ือผ้ปู ระสบภยั ไวเ้ ปน็ หลักฐานเพ่ือการสงเคราะห์ ผ้ปู ระสบภยั 3) ให้รอื้ ถอนซากปรกั หักพงั และซอ่ มแซมส่งิ สาธารณปู โภค โครงสรา้ งพ้ืนฐาน และอาคารบ้านเรือนของผปู้ ระสบภัย เพ่อื ให้สามารถประกอบอาชพี ตอ่ ไป 4) ให้การสงเคราะห์แกค่ รอบครวั ของผทู้ ปี่ ระสบภยั อยา่ งต่อเนือ่ ง โดยเฉพาะใน กรณีที่ผู้เปน็ หวั หน้าครอบครัวประสบภัยจนเสยี ชีวติ หรอื ไมส่ ามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ โดยการ ใหท้ นุ การศึกษาแก่บุตรของผปู้ ระสบภัยจนจบการศกึ ษาภาคบงั คับ และโดยการจดั หาอาชพี ในแก่ บุคคลในครอบครัว 5) ประชาสมั พนั ธ์เพ่ือเสริมสรา้ งขวัญและกาลังใจของประชาชนใหก้ ลับคนื สู่ สภาพปกติโดยเร็ว 3. ทฤษฎที เ่ี กี่ยวขอ้ งและสนับสนนุ การศึกษาเรือ่ ง “ความสาเร็จในการบรหิ ารจดั การการใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้ประสบอทุ กภยั กรณศี กึ ษา : ศูนยป์ อู งกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 ปทุมธานี ” จาเป็นท่จี ะตอ้ งทาความเข้าใจใน ทฤษฏีท่เี กี่ยวข้องและสนับสนนุ เสียกอ่ น ซึ่งจะเป็นแนวทางทีจ่ ะช่วยส่งเสรมิ ให้มีความเข้าใจในเร่ืองท่ี จะต้องศึกษามากยงิ่ ขนึ้ ดังนั้น ในการศึกษานผ้ี ้วู ิจยั จึงขอนาเสนอทฤษฏีที่เกีย่ วข้องและสนบั สนนุ 4 ทฤษฏี คือ ทฤษฎกี ารบรหิ าร ทฤษฎคี วามสาเร็จ ทฤษฎีความตอ้ งการของมาสโลว์ ทฤษฎภี าวะผู้นา (Achievement Needs (NACH) ดังนี้ 3.1 ทฤษฎกี ารบริหาร แนวความคดิ (concepts) หมายถงึ การสรุปและจดั ระเบยี บเรอ่ื งราวจากรายละเอียดต่างๆ เพื่อ วางเป็นหลกั การ การมแี นวความคิดเปน็ ส่ิงยึดถอื อยู่ตลอดเวลานับว่าเปน็ ส่งิ จาเป็นและสาคญั ย่งิ เพื่อที่จะ ได้มีการพฒั นาต่อไปอกี ให้เปน็ หลักและทฤษฎี (principles & theory) ไดด้ ีท่สี ุด ทฤษฎี ( theory) หมายถึง ความรูท้ ี่เกดิ ขึ้นมาจากการรวบรวมแนวความคิดและหลกั การตา่ งๆ ให้ เปน็ กลุ่มกอ้ น
ทฤษฎีการบรหิ าร หมายถึง การพยายามสรปุ ความและจัดระเบยี บเรือ่ งราวต่างๆทางการบรหิ าร ที่เป็นทงั้ แนวความคิดและหลกั กาตา่ งๆ อยา่ งเป็นระเบียบน่ันเอง 30 Henri Fayol ไดเ้ ขยี นหนังสือท่ไี ดร้ บั การตีพิมพ์เมือ่ ปี ค.ศ. 1916 ชอื่ Administration industrielle et generale หรือ หลักการบรหิ ารอุตสาหกรรม โดยอาศยั ประสบการณ์ทไ่ี ด้จากการเปน็ นักบรหิ ารมาเปน็ เวลานาน และรวบรวมเขยี นข้นึ เป็นหลกั (principle) แตห่ ลกั ของ Fayol ดังกลา่ วกม็ ี ความถูกต้องอยา่ งยิง่ จนถือไดว้ า่ เปน็ ทฤษฎี (theory) ของการบรหิ าร Fayol ได้สรปุ สาระสาคัญตามแนวความคดิ ของตนไว้ดังนี้ คือ 1. เกย่ี วกบั หนา้ ทกี่ ารบรหิ าร ( management function) เขาอธบิ ายถึงกระบวนการบริหารงาน ว่า หน้าท่ี (functions) ทางการบริหารมี 5 ประการ คือ 1.1) Planning การวางแผน หมายถึง ภาระหนา้ ที่ของผ้บู ริหารทจ่ี ะต้องทาการ คาดการณล์ ่วงหน้าถงึ เหตุการณ์ตา่ งๆ ท่จี ะมีผลกระทบต่อธรุ กิจ และกาหนดข้ึนเป็นแผนการปฏิบตั งิ าน เพ่อื สาหรบั เป็นแนวทางของการทางานในอนาคต 1.2) Organizing การจดั องค์การ หมายถงึ ภาระหนา้ ทข่ี องผู้บริหารทจ่ี ะต้องจัดให้มี โครงการของงานตา่ งๆ และอานาจหน้าท่ี ทั้งนี้เพอ่ื ให้เครอื่ งจักร สงิ่ ของ ( materials) และตวั คน ( man) อยู่ในสว่ นประกอบทเี่ หมาะสมในอันทีจ่ ะชว่ ยให้งานขององค์กรบรรลุผลสาเร็จได้ 1.3) Commanding การบงั คับบัญชาส่งั การ หมายถึง ภาระหนา้ ทีใ่ นการสั่งการงาน ต่างๆ ของผู้บริหาร ไปยงั ผใู้ ต้บังคับบญั ชา ผบู้ ริหารจะต้องกระทาตนเปน็ ตวั อยา่ งท่ดี ี จะต้องเข้าใจคนงาน ของตน ตลอดถงึ จะต้องมกี ารติดต่อส่ือสารกับผู้อยใู่ ต้บังคับบญั ชาอยา่ งใกล้ชิด นอกจากนีย้ งั ตอ้ งทาการ ประเมินโครงสรา้ งขององคก์ าร และผู้อย่ใู ตบ้ งั คับบญั ชาของตนเป็นประจาเสมอด้วย 1.4) Coordinating การประสานงาน หมายถึง ภาระหน้าทีท่ จี่ ะตอ้ งเช่อื มโยงงานของ ทุกคนใหเ้ ข้ากนั ได้ และกากับให้ไปสู่จุดมงุ่ หมายเดียวกัน 1.5) Controlling การควบคุม หมายถงึ ภาระหนา้ ทใี่ นการทจี่ ะตอ้ งกากบั ใหส้ ามารถ ประกันได้ว่า กจิ กรรมตา่ งๆ ท่ที าไปนัน้ สามารถเขา้ กนั กบั แผนทีไ่ ดว้ างไว้แลว้ ผบู้ ริหารจะตอ้ งมีคณุ ลักษณะพรอ้ มดว้ ยความสามารถทางรา่ งกาย จิตใจ ไหวพรบิ การศกึ ษาหา ความรู้ เทคนิคในการทางาน และประสบการณต์ ่างๆ Fayal แยกแยะใหเ้ ห็นวา่ คณุ สมบตั ิทางดา้ น เทคนคิ วธิ กี ารทางาน สาคญั ท่สี ดุ ในระดบั คนงานธรรมดา แตส่ าหรบั ระดบั สงู ขึ้นไปนั้นความสามารถทางด้านการ บรหิ าร จะเพิม่ ความสาคญั ตามลาดับ และมีความสาคญั มากทส่ี ดุ ในระดบั ผ้บู ริหารสงู สดุ ( top executive) 2. เกีย่ วกบั หลกั การบริหาร (Management Principles) Fayol ไดว้ าง หลกั ท่ัวไปในการบริหาร ไว้ 14 ข้อสาหรับใช้เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิสาหรับผู้บรหิ ารดงั นี้ คอื
2.1) Quthority & Responsibility หลกั อานาจหนา้ ท่แี ละความรบั ผิดชอบ : เป็นสิง่ ที่ แยกกนั ไมไ่ ด้อานาจหนา้ ที่ควรจะมีเทา่ กบั ความรบั ผิดชอบ 2.2) Unity of command (หลักของการมผี บู้ งั คับบญั ชาเพียงคนเดยี ว ): ในการกระทา การใดๆ คนงานควรได้รบั คาสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเท่าน้นั เพื่อเปน็ การปูองกนั ความสบั สน และขจัดสาเหตแุ ห่งการเกิดขอ้ ขัดแย้งระหว่างแผนกงาน 2.3) Unity of direction หลกั ของการมจี ดุ มุ่งหมายร่วมกัน : หลกั ขอ้ น้ีเกยี่ วกับ โครงสร้างขององคก์ รเปน็ สาคัญ กิจกรรมของกลมุ่ ที่มีเปาู หมายอันเดยี วกัน ควรจะต้องดาเนินไปในทศิ ทาง อันเดยี วกนั 31 2.4) Scalar chain หลกั ของการธารงไว้ซึง่ สายงาน: สายงาน คือสายการบงั คบั บัญชา จากระดับสูงมายงั ระดบั ตา่ สุด ดว้ ยการมสี ายการบงั คบั บัญชาดงั กลา่ วจะอานวยใหก้ ารบังคับบัญชาเป็นไป ตามหลกั ของunity of command และชว่ ยใหเ้ กดิ ระเบียบในการส่งทอดขา่ วสารขอ้ มลู ระหว่างกนั อกี ดว้ ย 2.5) Division of work or specialization หลกั ของการแบ่งงานกนั ทา : คือการ แบง่ แยกงานกันทาตามความถนดั ไมว่ า่ จะเป็นงานทางดา้ นบริหารหรอื งานด้านเทคนิค 2.6) Discipline หลักเกย่ี วกับระเบียบวนิ ยั : เปน็ การปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลงในการทางาน ท้ังน้โี ดยม่งุ ทจ่ี ะกอ่ ให้เกดิ การเคารพเช่ือฟัง และ ทางานตามหน้าที่ด้วยความตง้ั ใจ 2.7) Subordination of individual หลักของการถือประโยชนส์ ว่ นบุคคลเป็นรองจาก ประโยชน์สว่ นรวม 2.8) Remuneration หลกั ของการให้ประโยชนต์ อบแทน : มีการให้และวิธกี ารจา่ ย ผลตอบแทนทีย่ ตุ ิธรรม และใหค้ วามพอใจท้ังฝาุ ยลกู จา้ งและนายจา้ ง 2.9) Centralization หลักการรวมอานาจไวส้ ่วนกลาง : ในการบรหิ ารควรมกี ารรวม อานาจไว้ทีจ่ ดุ ศนู ยก์ ลาง เพ่อื ใหส้ ามารถควบคมุ สว่ นตา่ งๆ ขององคก์ รไวไ้ ด้เสมอจะกระจายอานาจมาก น้อยเพยี งใดก็ย่อมแลว้ แตก่ รณี 2.10) order หลกั การของความมรี ะเบยี บเรยี บรอ้ ย : Fayol ถอื ว่าทุกสงิ่ ทกุ อยา่ งไมว่ ่า สงิ่ ของหรือคนต่างต้องมีระเบยี บและรู้ว่าตนอยู่ในทีใ่ ดของส่วนรวม เป็นหลักมูลฐานในการจัดระเบียบ สิง่ ของและตัวคนในการจดั องคก์ รน่นั เอง 2.11) equity หลักของความเสมอภาค : ผบู้ ริหารต้องยึดถอื ความเออ้ื อารีและความ ยุติธรรมเป็นหลักในการปฏิบตั ิต่อผ้ใู ต้บงั คับบญั ชา 2.12) stability of tenure หลักของความมีเสถยี รภาพในการว่าจา้ งงาน : ไม่ควรมกี าร เข้า – ออก ของคนมากนัก เพราะจะทาใหเ้ กดิ การสิ้นเปลอื งเปน็ ผลของการบริหารงานที่ไมม่ ปี ระสิทธิภาพ 2.13) initiative หลกั ของความคดิ ริเรมิ่ : หมายถึงการทผี่ บู้ ริหารควรเปิดโอกาสใหผ้ ูน้ ้อย ไดใ้ ชค้ วามคิดรเิ ร่ิมของตนบา้ ง อันจะเปน็ พลงั สาคัญที่จะทาใหอ้ งค์กรเขม้ แขง็ ข้ึน
2.14) esprit de corps หลกั ของความสามัคคี : เนน้ ถงึ ความจาเปน็ ทคี่ นงานตอ้ งทางาน เปน็ กลมุ่ เปน็ อันหน่งึ อนั เดยี วกนั (teamwork) ทฤษฎกี ารบรหิ ารของ Fayol ยอมรับองค์กรทเ่ี ปน็ ทางการ โดยใชป้ ระโยชนจ์ ากการแบ่งงานกัน ทา (Specialzation) และเนน้ ถงึ ความสาคัญที่ว่าอานาจหนา้ ทแ่ี ละความรับผิดชอบตอ้ งเทา่ กนั โดย Fayol ระบเุ ปาู หมายท่ีสาคัญขององคก์ ร คือ ความเป็นระเบียบ ความม่ันคง ความคิดริเร่ิม และความสามัคคี นักทฤษฎกี ารบรหิ ารจะต้องเปน็ นกั ปฏบิ ัติอยา่ งแท้จรงิ ซ่ึงเมื่อเปรยี บเทยี บกบั นกั ทฤษฎรี ะบบองค์กร ขนาดใหญแ่ ล้วสิง่ ทพ่ี วกเขาสนใจและใหค้ วามสาคญั คือหลกั การและแนวคดิ สาหรบั การประสบความสาเร็จ ขององคก์ รซ่ึงเป็นทางการนักทฤษฎรี ะดับองค์กรขนาดใหญ่จะกลา่ วถงึ ลกั ษณะทีค่ วรจะเปน็ ส่วนนกั ทฤษฎี การบรหิ ารจะมองในลกั ษณะทีว่ า่ จะทาใหอ้ งคก์ รประสบความสาเรจ็ ไดอ้ ย่างไร กล่าวคอื ให้ความสาคญั กับ การบริหาร วา่ เป็นสว่ นประกอบที่สาคัญขององคก์ ร หลกั การบรหิ ารของ Fayol เปน็ หลักเกณฑ์ท่ไี ดใ้ ชป้ ฏบิ ตั ิจนถึงทกุ วนั น้ี เพราะไม่ว่าเราจะ ยกเร่อื งกิจการใดกต็ ามขึน้ มาแยกแยะดู กจ็ ะเหน็ วา่ งานบริหารขององคก์ รเหลา่ น้นั มกี ารจัดแบง่ หน้าท่ีของ ผ้บู รหิ ารไว้ใกล้เคียงกบั หลักเกณฑ์ทเี่ ขาแบ่งแยกไว้ หลกั การบริหารจัดการนน้ั สามารถนาไปใช้ได้เปน็ การ 32 ทั่วไป ไม่ว่าจะเปน็ งานบริหาร จัดการของเอกชน หรือของรัฐ เทคนคิ การทางาน คนงานธรรมดา ความสามารถทางด้านบรหิ าร ระดับผู้บริหาร 3.2 ทฤษฎีเก่ียวกับการมีสว่ นร่วม 3.2.1 ความหมายของการมสี ่วนร่วม ในการปฏบิ ัติงานดา้ นการช่วยเหลือผปู้ ระสบภัยนน้ั จาเป็นตอ้ งอาศยั การมีสว่ นรว่ มจาก ทกุ ภาคสว่ น ฉะนั้นจงึ ตอ้ งมกี ารมสี ว่ นรว่ มในการทางานของเจา้ หนา้ ที่ หลายๆ ฝุาย ซึ่งจะเป็นประโยชนต์ ่อ การใหค้ วามช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบภัย การรว่ มกันดาเนนิ การตาม บทบาทหน้าที่ของเจา้ หน้าที่เกยี่ วขอ้ งแต่ละ ฝาุ ย จะส่งผลให้ งานมี ประสิทธิผลและ เกดิ ความสาเรจ็ ในการปฏบิ ัติงาน ดังนนั้ การมสี ่วนร่วม (participation) จงึ เกิดจากการท่ีทุกฝาุ ย เหน็ พ้องกนั ในเร่ืองของความต้องการและทศิ ทางของการ เปลี่ยนแปลงและความเห็นพ้องตอ้ งกันจะต้องมีมากจนเกดิ ความคิดริเรมิ่ โครงการเพอื่ การปฏิบตั ิเหตุผล เบื้องแรกของการที่มีคนมา รวมกันได้ควรจะตอ้ งมกี ารตระหนกั วา่ ปฏบิ ตั กิ ารทง้ั หมดหรอื การกระทา ทง้ั หมดทที่ าโดยกลมุ่ หรอื ในนามกลมุ่ นน้ั กระทาผ่านองค์การ ( organization) โดยองคก์ ารจะต้องเป็น เสมือนตวั นาให้บรรลุถึงความเปลี่ยนแปลงได้ (ยพุ าพร รปู งาม , 2545, หนา้ 5) Erwin (อ้างองิ ใน ยุพาพร รปู งาม 5 2545, หน้า 6) ได้ใหค้ วามหมายเก่ยี วกับการมี สว่ นร่วม ไวว้ ่า คอื กระบวนการให้บคุ คลเข้ามามสี ว่ นเกีย่ วขอ้ งในการดาเนินงานพฒั นา รว่ มคิด ตดั สนิ ใจ แกไ้ ข ปัญหาดว้ ยตนเอง เน้นการมีสว่ นร่วมเกย่ี วขอ้ งอย่างแข็งขนั ของ บคุ คล แกไ้ ขปัญหารว่ มกับการใช้ วทิ ยาการที่เหมาะสมและสนบั สนนุ ติดตามการ ปฏิบตั งิ านขององค์การและบคุ คลทเ่ี กีย่ วข้อง
3.2.2 แนวคิดเร่ืองการมีสว่ นร่วม สานกั งานคณะกรรมการกองทุนหมบู่ า้ นและชุมชนเมอื งแห่งชาติ , สานกั งานสภาสถาบัน ราชภฎั และทบวงมหาวิทยาลัย ( 2546, หน้า 114) ไดร้ ะบวุ ่า การมสี ่วนร่วม คอื การท่ปี ระชาชนหรือ ชุมชนสามารถเข้าไปมีส่วนในการตัดสนิ ใจ ในการกาหนด นโยบายพฒั นาท้องถน่ิ และมสี ว่ นร่วมในการรบั ประโยชนจ์ ากบริการ รวมทัง้ มสี ว่ นใน การควบคมุ ประเมินผลโครงการต่าง ๆ ของทอ้ งถิน่ นอกจากนยี้ ังได้ ให้ความหมายของ การมีสว่ นร่วมวา่ มี 2 ลักษณะ คือ 1. การมสี ว่ นรว่ มในลักษณะท่ีเป็นกระบวนการของการพฒั นา โดยใหป้ ระชาชน มสี ่วน ร่วมในการพฒั นาต้งั แต่เรมิ่ ดน้ จนสิน้ สดุ โครงการ ไดแ้ ก่ การร่วมกนั ค้นหาปญั หา การวางแผน การดดั สนิ ใจ การระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีทอ้ งถิ่น การบริหารจัดการ การคดิ ตามประเมนิ ผล รวมท้งั รบั ผลประโยชน์ท่เี กิดข้ึนจากโครงการ 2. การมสี ่วนรว่ มทางการเมือง แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื การส่งเสริมสทิ ธิและพลัง อานาจของพลเมอื งโดยประชาชน หรอื ชุมชนพฒั นาขดี ความสามรถของตนในการจดั การเพ่ือรกั ษา ผลประโยชนข์ องกลมุ่ ควบคุมการใช้และการกระจายทรพั ยากรของชมุ ชนอันจะกอ่ ใหเ้ กิดกระบวนการ และ โครงสร้างที่ประชาชนในชนบทสามารถแสดงออกซึง่ ความสามารถของตนและได้รับ ผลประโยชน์ จากการพฒั นาการเปลีย่ นแปลง กลไกการพฒั นาโดยรฐั มาเปน็ การพัฒนาที่ประชาชน มีบทบาทหลักโดย การกระจายอานาจในการวางแผน จากส่วนกลางมาเปน็ สว่ นภมู ิภาค เป็นการคนื อานาจในการพัฒนา ใหแ้ กป่ ระชาชนให้มีสว่ นร่วมในการกาหนดอนาคต ของตนเอง 33 นริ ันดร์ จงวฒุ ิเวศย์ ( 2527,หน้า 183)ได้สรุปความหมายของการมีสว่ นร่วมวา่ การมสี ่วนรว่ ม หมายถงึ การเก่ยี วขอ้ งทางดา้ นจิตใจและอารมณข์ อง บคุ คลหนึ่งในสถานการณก์ ล่มุ ซงึ่ ผลของการ เกี่ยวข้องดงั กลา่ วเป็นเหตุเร้าใจให้กระทาการใหบ้ รรลุ จุดมงุ่ หมายของกลุ่มนัน้ กบั ท้งั ทาให้เกดิ ความสว่ น รว่ มรับผิดชอบกับกลมุ่ ดงั กลา่ วดว้ ย นรนิ ทรช์ ยั พฒั นพงศา ( 2546, หนา้ 4) ได้สรปุ ความหมายของการมสี ่วนร่วมวา่ การมสี ่วนร่วม คือ การท่ฝี ุายหนง่ึ ฝุายใดทีไ่ มเ่ คยได้เข้ารว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ หรือเขา้ ร่วมการตดั สนิ ใจหรอื เคยมาเข้ารว่ ม ดว้ ยเลก็ นอ้ ยได้เขา้ ร่วมด้วยมากขึน้ เป็นไปอย่างมี อสิ รภาพ เสมอภาค มิใชม่ ีสว่ นร่วมอย่างผิวเผนิ แตเ่ ข้า ร่วมดว้ ยอยา่ งแท้จริงยง่ิ ขน้ึ และ การเข้ารว่ มนั้นตอ้ งเริ่มต้งั แตข่ ้ันแรกจนถงึ ขน้ั สุดท้ายของโครงการ ชิต นิลพานิช และกลุ ธน ธนาพงศธร ( 2532, หน้า 350) ไดร้ ะบุวา่ การมสี ว่ นรว่ ม ของ ประชาชนในการพัฒนาชนบท หมายถงึ การทป่ี ระชาชนทง้ั ในเมืองและชนบทได้เขา้ มีส่วนรว่ มหรือเข้ามี สว่ นเกีย่ วขอ้ งในการดาเนนิ งานพฒั นาชนบทขน้ั ตอนใดข้ ้ันตอน หนงึ่ หรือทกุ ขน้ั ตอนแลว้ แตเ่ หตกุ ารณจ์ ะ เอือ้ อานวย
วนั รกั ษ์ ม่ิงมณีนาคิน ( 2531, หนา้ 10) ไดส้ รุปวา่ การมสี ่วนร่วมของประชาชน หมายถงึ การ เข้ารว่ มอย่างแขง็ ขนั และอยา่ งเต็มที่ของกลุ่มบุคคลผ้มู ีส่วนได้เสียในทุก ข้นั ตอนของโครงการหรืองาน พัฒนาชนบท โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการมี สว่ นรว่ มในอานาจ การตัดสินใจและหน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ การมี ส่วนเขา้ ร่วมจะเป็นเครื่องประกันว่าส่งิ ท่ี ผ้มู ีสว่ นได้เสียต้องการที่สุดน้นั จกั ไดร้ บั การตอบสนองและทาให้ มคี วามเปน็ ไปได้มาก ข้นึ วา่ สิ่งที่ทาไปนนั้ จะตรงกบั ความตอ้ งการที่แท้จริง และมนั่ ใจมากขึ้นวา่ ผู้เขา้ รว่ ม ทกุ คนจะได้รบั ประโยชนเ์ สมอหน้ากนั 3.2.3 ขนั้ ตอนการมสี ่วนรว่ ม โกวทิ ย์ พวงงาม ( 2545, หน้า 8) ได้สรปุ ถึงการมีส่วนรว่ มที่แทจ้ รงิ ของประชาชน ในการพัฒนา ควรจะมี 4 ขนั้ ตอน คือ 1. การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปญั หาของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ กล่าวคอื ถ้าหาก ชาวชนบทยงั ไมส่ ามารถทราบถงึ ปัญหาและเขา้ ใจถงึ สาเหตขุ องปญั หา ในทอ้ งถนิ่ ของตนเป็นอยา่ งดีแล้ว การดาเนนิ งานต่าง ๆ เพือ่ แก้ปญั หาของท้องถน่ิ ยอ่ ม ไร้ประโยชน์ เพราะชาวชนบทจะไมเ่ ข้าใจและมอง ไมเ่ หน็ ถงึ ความสาคญั ของการ ดาเนนิ งานเหลา่ น้นั 2.การมสี ่วนรว่ มในการวางแผนดาเนินกิจกรรม เพราะการวางแผนดาเนนิ งาน เปน็ ขัน้ ตอนทจี่ ะ ชว่ ยให้ชาวชนบทรู้จกั วิธีการคดิ การตัดสินใจอยา่ งมเี หตุผล ร้จู กั การ นาเอาปัจจยั ข่าวสารขอ้ มลู ตา่ ง ๆ มา ใช้ในการวางแผน 3.การมสี ่วนร่วมในการลงทุนและการปฏิบัตงิ าน แมช้ าวชนบทส่วนใหญจ่ ะมี ฐานะยากจน แต่ก็มแี รงงานของตนทสี่ ามารถใช้เข้ารว่ มได้ การรว่ มลงทนุ และปฏบิ ัตงิ าน จะทาให้ชาวชนบทสามารถคิด ตน้ ทุนดาเนนิ งานได้ดว้ ยตนเอง ทาใหไ้ ดเ้ รียนรกู้ ารดาเนนิ กิจกรรมอยา่ งใกลช้ ดิ 4.การมสี ว่ นรว่ มในการติดตามและประเมินผลงาน ถ้าหากการติดตามงานและ ประเมินผลงาน ขาดการมสี ว่ นร่วมแลว้ ชาวชนบทยอ่ มจะไม่ทราบด้วยตนเองวา่ งานที่ทา ไปนั้นได้รับผลดี ได้รับประโยชน์ หรอื ไม่อยา่ งใด การดาเนินกิจกรรมอย่างเดียวกันใน โอกาสต่อไป จึงอาจจะประสบความยากสาบาก นอกจากน้ี สานักมาตรฐานการศึกษา , สานกั งานสภาสถาบันราชภัฎ , กระทรวง ศึกษาธกิ าร , สานัก มาตรฐานอุดมศึกษา และทบวงมหาวทิ ยาลยั ( 2545,หน้า 116) ยงั ได้ กลา่ วถึง การมสี ว่ นรว่ มในขนั้ ตอน ของการพัฒนา 5 ขนั้ ดงั น้ี 34 1. ขัน้ มีสว่ นรว่ มในการคน้ หาปัญหาและสาเหตุของปญั หาในชมุ ชนตลอดจน กาหนดความ ตอ้ งการของชุมชน และมสี ว่ นร่วมในการจัดลาดับความสาคญั ของความ ต้องการ 2. ข้นั มสี ว่ นรว่ มในการวางแผนพฒั นา โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการกาหนด นโยบายและ วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ กาหนดวธิ กี ารและแนวทางการดาเนินงาน ตลอดจนกาหนดทรพั ยากรและ แหลง่ ทรพั ยากรทีใ่ ช้
3. ขนั้ มีส่วนรว่ มในการดาเนนิ งานพัฒนา เปน็ ขัน้ ตอนท่ปี ระชาชนมีสว่ นรว่ ม ในการสรา้ ง ประโยชน์โดยการสนบั สนนุ ทรัพย์ วัสดุอปุ กรณ์และแรงงาน หรือเข้าร่วม บรหิ ารงาน ประสานงานและ ดาเนนิ การขอความชว่ ยเหลอื จากภายนอก 4. ขัน้ การมีสว่ นร่วมในการบั ผลประโยชนจ์ ากการพฒั นา เปน็ ขนั้ ตอนที่ ประชาชนมสี ่วนรว่ ม ในการรบั ผลประโยชน์ที่พงึ ได้รับจากการพฒั นาหรอื ยอมรับ ผลประโยชนอ์ นั เกดิ จากการพัฒนาทง้ั ดา้ น วัตถแุ ละจิตใจ 5. ข้ันการมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผลการพฒั นา เปน็ ขั้นทปี่ ระชาชนเขา้ รว่ ม ประเมินว่าการ พฒั นาท่ีไดก้ ระทาไปนั้นสาเร็จดามวัตถปุ ระสงค์เพียงใด 3.2.4 ระดบั ของการมีส่วนร่วม นรินทรช์ ัย พัฒนพงศา ( 2546, หนา้ 17) ได้กลา่ วถงึ ระดับของการมสี ว่ นรว่ มดาม หลกั การท่วั ไป วา่ แบ่งเปน็ 5 ระดับ คอื 1. การมสี ่วนรว่ มเปน็ ผูใ้ หข้ ้อมูล ของตน/ครอบครวั /ชุมชนของตน 2. การมีส่วนรว่ มรับขอ้ มูลขา่ วสาร 3. การมสี ว่ นรว่ มตัดสนิ ใจ โดยเฉพาะในโครงการทีต่ นมสี ่วนไดเ้ สีย โดย แบ่งเป็น 3 กรณแี ล้วแต่ กิจกรรมในตนอยใู่ นขั้นตอนใดตอ่ ไปนี้ 3.1 ตนมีนา้ หนกั การตัดสนิ ใจนอ้ ยกวา่ เจา้ ของโครงการ 3.2 ตนมนี า้ หนักการตัดสินใจเท่ากบเจ้าของโครงการ 3.3 ตนมนี ้าหนกั การตัดสนิ ใจมากกวา่ เจา้ ของโครงการ 4. การส่วนร่วมทา คอื ร่วมในขัน้ ดอนการดาเนินงานทั้งหมด 5. การมสี ่วนร่วมสนบั สนุน คอื อาจไม่มีโอกาสรว่ มทา แตม่ ีส่วนรว่ มชว่ ยเหลอื ในดา้ นอ่นื ๆ นอกจากนยี้ ังไดม้ กี ารแบ่งระดับของการมสี ว่ นร่วมเป็นระดับของการมีสว่ นร่วม ตามแนวทาง พัฒนาชุมชน เปน็ การมสี ่วนร่วมในการแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในชุมชน โดยได้ แบ่งไวด้ งั น้ี 1. ร่วมคน้ หาปญั หาของตนให้เหน็ วา่ ส่ิงใดที่เป็นปญั หารากเหงา้ ของปญั หา 2. ร่วมคน้ หาสง่ิ ทีจ่ าเป็นของตนในปัจจบุ ันคืออะไร 2.1 ร่วมคดิ ชว่ ยตนเองในการจดั สาดับปัญหา เพ่ือจะแกไ้ ขสง่ิ ใดกอ่ นหลัง 2.2 วางแผนแก้ไขปญั หาเปน็ เรื่อง ๆ 2.3 ร่วมระดมความคดิ ถงึ ทางเลอื กต่างๆ และเลอื กทางเลอื กท่เี หมาะสมเพือ่ แก้ไขปญั หาท่ี วางแผนน้ัน 2.4 รว่ มพฒั นาเทคโนโลยที ่จี ะนามาใช้ 2.5 ร่วมดาเนินการแกไ้ ขปญั หานัน้ ๆ 2.6 รว่ มตดิ ตามการดาเนินงานและประเมนิ ผลการดาเนินงาน 2.7 ร่วมรบั ผลประโยชน์/หรือรว่ มเสยี ผลประโยชนจ์ ากการดาเนินงาน 35
3.2.5 การสง่ เสริมการมสี ว่ นร่วมของประชาชน หลักการสาคญั ของการสง่ เสรมิ การมีส่วนร่วมของประชาชนมี ดังนี้ (ชติ นิลพานิช และกุลธน ธนาพงศธร, 2532, หน้า 362) 1. หลักการสรา้ งความสมั พันธ์ท่ีดีต่อกันระหวา่ งทางราชการกับประชาชน โดย ยึดถอื ความ ศรัทธาของประชาชนทม่ี ตี อ่ หน่วยงานหรือตอ่ บคุ คล 2. หลักการขจดั ความขดั แรง ความขัดแย้งในเร่อื งผลประโยชน์และความคิด จะมี อิทธิพลตอ่ การดาเนินงานพฒั นาเปน็ อย่างมากเพราะจะทาให้งานหยุดชะงักและลมเหลว 3. หลกั การสรา้ งอดุ มการณ์และค่านิยมในดา้ นความขยนั ความอดทน การร่วมมือ การซอื่ สัตย์ และการพ่ึงตนเอง เพราะอุดมการณ์เปน็ เรอ่ื งทจี่ ะจงู ใจประชาชนให้ ร่วมสนบั สนุนนโยบาย และเปูาหมาย การดาเนนิ งานและอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ขวญั และกาลังใจ ในการปฏิบัตงิ าน 4. การให้การศึกษาอบรมอย่างตอ่ เนอ่ื งเป็นการส่งเสริมให้คนมีความรู้ความคิด ของตนเอง ชว่ ยให้ประชาชนมนั่ ใจในตนเองมากข้นึ การให้การศกึ ษาอบรมโดยให้ ประชาชนมีโอกาสทดลองคิด ปฏบิ ตั ิ จะชว่ ยใหป้ ระชาชนสามารถคุ้มครองตนเองได้ รจู้ กั วเิ คราะห์เห็นคณุ คา่ ของงาน และน่าไปสูก่ าร เขา้ ร่วมในการพฒั นา 5. หลักการทางานเป็นทมี สามารถนามาใชใ้ นการแสวงหาความรว่ มมือในการ พัฒนาได้ ดี 6. หลกั การสร้างพลังชมุ ชน การรวมกลมุ่ กันทางานจะทาใหเ้ กิดพลงั ในการ ทางานและทาให้ งานเกดิ ประสทิ ธิภาพ อนง่ึ สานกั มาตรฐานการศกึ ษา , สานักงานสภาสถาบันราชภฎั , กระทรวงศึกษาธกิ าร , สานกั มาตรฐานอดุ มศกึ ษา และทบวงมหาวทิ ยาลัย (2545,หน้า 118) ได้ กลา่ วถึงยทุ ธศาสตรใ์ นการส่งเสริมการ มสี ่วนรว่ มของประชาชนไว้ 2 ประการคอื 1. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สามารถทาได้หลายวิธี ดงั นี้ 1.1 จดั เวทีวเิ คราะห์สถานการณข์ องหมูบ่ า้ นเพ่อื ทาความเข้าใจและเรียนรู้ ร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ 1.2จดั เวทีแลกเปล่ยี นประสบการณ์หรอื จัดทัศนศึกษาระหว่างกลุ่มองคก์ ร ตา่ ง ๆ ภายใน ชุมชนและระหวา่ งชมุ ชน 1.3 แก่อบรมเพอ่ื พฒั นาทักษะเฉพาะดา้ นตา่ ง ๆ 1.4 ลงมือปฏิบัติจรงิ 1.5 ถา่ ยถอดประสบการณ์และสรปุ บทเรยี นทจ่ี ะนาไปสกู่ ารปรับปรงุ กระบวนการทางานที่ เหมาะสม 2. การพฒั นาผูน้ าเครอื ข่าย เพอ่ื ให้ผ้นู าเกดิ ความมน่ั ใจในความและ ความสามารถที่มี จะชว่ ยให้ สามารถริเริม่ กจิ กรรมการแกไ้ ขปัญหา หรือกจิ กรรมการ พัฒนาได้ ซ่ึงสามารถทาไค้หลายวิธี ดังน้ี 2.1 แลกเปล่ยี น เรยี นfระหว่างผนู้ าทงั้ ภายในและภายนอกชมุ ชน
2.2 สนับสนนุ การจดั เวทแี ลกเปลย่ี นเรยี นเอย่างตอ่ เน่ือง และสนบั สนุน ขอ้ มูลข่าวสารท่ี จาเปน็ อย่างต่อเนือ่ ง 2.3 แลกเปลยี่ นเรียน!และดาเนนิ งานร่วมกนั ของเครือข่ายอย่างต่อเนอื่ งจะทา ใหเ้ กดิ กระบวนการจัดการและจดั องค์กรรว่ มกัน 36 3.2.6 ทฤษฎกี ารมีสว่ นร่วม Rose (อ้างถงึ ใน สานิตย์ บญุ ชุ,2527,หนา้ 7) ไค้กลา่ วถงึ การมสี ่วนรว่ มของ ประชาชนไว้ กล่าวคือ ชุมชนใดทไ่ี คเ้ ปิดโอกาสใหป้ ระชาชนได้เข้ามามีส่วนรว่ มมาก เท่าใด ก็จะทาให้การพัฒนาชมุ ชน นั้นสามารถเปน็ ไปได้โดยสะดวกและสามารถดาเนนิ ไปสูเ่ ปาู หมายท่ีวางไวไ้ ด้ ท้งั นโ้ี ดยมคี วามเชอ่ื พน้ื ฐาน ท่วี า่ คนมีศักยภาพในการเปล่ยี นแปลงคุณคา่ ของความคิดและสมรรถภาพของคนเรานัน้ จะไมม่ ี ความหมาย ถ้าหากขาด การมีส่วนร่วมกบั บุคคลอน่ื 3.2.7 กระบวนการมีส่วนรว่ ม Szentendre (อ้างถงึ ใน สถาบนั พระปกเกล้า , 2545, หน้า 30-31) กล่าวถึงการแบง่ กระบวนการการมสี ่วนรว่ มออกเป็น 4 ขน้ั ตอน คือ 1. การมสี ว่ นร่วมคานการวางแผน 2. การมสี ว่ นร่วมในการปฏบิ ัติ 3. การมีสว่ นร่วมในการจัดสรรผลประโยชน์ 4. การมสี ว่ นร่วมในการตดิ ตามและประเมนิ ผล 3.2.8 แนวคิดและกระบวนการมีสว่ นรว่ ม ในทีป่ ระชุมเกีย่ วกบั การมีสว่ นรว่ มของประชาชน ณ องคก์ ารสหประชาชาติ เม่ือปี ค.ศ. 1975 กล่มุ ผู้เช่ยี วชาญทีใ่ ห้ข้อเสนอแนะไวว้ ่า การมสี ว่ นร่วมของประชาชนเป็น คาท่ีไมอ่ าจกาหนดนิยาม ความหมายเดียวท่คี รอบคลมุ ได้ เพราะความหมายของการมีสว่ นรว่ มอาจแตกต่างกันไปในแตล่ ะประเทศ หรอื แมแ้ ตใ่ นประเทศเดยี วกันกต็ าม ดังน้ัน การนยิ ามความหมายของการมสี ่วนร่วมของประชาชน ควรมี ลกั ษณะจากัดเฉพาะในระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื งหนึง่ ๆ เทา่ นั้น อยา่ งไรกด็ ี กลุ่มผ้เู ชยี่ วชาญดังกล่าวไดข้ ยายความการมีสว่ นร่วมของประชาชนว่า ครอบคลมุ ประเด็นดงั น้ี (กรมอนามยั , 2550) ประเด็นท่ี 1 การมีส่วนร่วมของประชาชนครอบคลุมการสร้างโอกาสทเ่ี อือ้ ให้สมาชิกทกุ คนของ ชุมชนและของสงั คมไดร้ ่วมกิจกรรมซึ่งนาไปสู่ และมอี ทิ ธิพลตอ่ กระบวนการ พัฒนา และเอ้อื ให้ได้รบั ประโยชนจ์ ากการพฒั นาโดยเทา่ เทียมกนั
ประเด็นท่ี 2 การมสี ่วนร่วมสะทอ้ นการเขา้ เก่ยี วข้องโดยสมคั รใจ และเปน็ ประชาธิปไตยใน กรณีดงั นค้ี ือ การเอ้อื ใหเ้ กิดการพยายามพฒั นา การแบง่ สรรผลประโยชนจ์ ากการพัฒนาโดยเทา่ เทียมกัน และการตัดสินใจเพ่ือกาหนดเปูาหมาย นโยบายและการวางแผนดาเนนิ การโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม ประเดน็ ที่ 3 การมีส่วนรว่ มเป็นตัวเช่อื มโยงระหว่างประชาชนและทรพั ยากรเพ่ือพฒั นากบั ประโยชนท์ ่ไี ด้รบั จากการลงทนุ ดงั กล่าว กลา่ วอกี นัยหนง่ึ ก็คอื การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ ไมว่ ่าระดับทอ้ งถน่ิ ภูมิภาค และระดับชาตจิ ะชว่ ยกอ่ ให้เกดิ ความเช่อื มโยงระหว่างสิ่งท่ปี ระชาชนลงทุนลง แรงกบั ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั 37 ประเดน็ ท่ี 4 การมีส่วนร่วมของประชาชนอาจแตกต่างกนั ไปตามสภาพเศรษฐกจิ ของประเทศ นโยบาย และโครงสร้างการบรหิ าร รวมทั้งลกั ษณะเศรษฐกจิ สงั คมของ ประชากร การมสี ว่ นรว่ มของ ประชาชนมิได้เปน็ เพียงเทคนคิ วิธกี าร แต่เป็นปัจจัยสาคญั ในการประกนั ใหเ้ กดิ กระบวนการพฒั นาทีม่ งุ่ เอ้อื ประโยชนต์ อ่ ประชาชน นอกจากน้ี ในกระบวนการพฒั นาแบบมสี ่วนร่วมจะต้องเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามสี ่วน ร่วมในการตดั สนิ ใจกาหนดความต้องการของตวั เอง การตดั สนิ ใจใช้ทรัพยากร โดย ทวที อง หงษ์วิวฒั น์ (2527, หนา้ 2) มคี วามเห็นท่ีสอดคล้องกันว่า การมีสว่ นรว่ ม หมายถงึ สิทธิของประชาชนตอ่ การตดั สนิ ใจ นโยบายที่เกย่ี วกบั การจดั สรร ( allocation) และการใชป้ ระโยชน์ ( utilization) ของทรัพยากรเพอ่ื การ ผลิต ซงึ่ เป็นความจาเป็นท่ปี ระชาชนต้องเขา้ รว่ มในการวางแผน เพอ่ื การกนิ ดอี ยู่ดี และสามารถตอบสนอง ตอ่ สง่ิ ที่เข้าถงึ ซึ่งการพฒั นาให้คนจนไดร้ ับประโยชน์เพอ่ื การผลิต การบริการ และส่ิงอานวยความสะดวก สาธารณะด้วย และการมีส่วนร่วมคือการทป่ี ระชาชนเข้าไปมีส่วนในการตดั สนิ ใจในระดับต่าง ๆ ทางการ จัดการบริการทางการเมอื ง เพือ่ กาหนดความตอ้ งการของชมุ ชนของตน การมีสว่ นร่วมของประชาชน ก่อให้เกดิ กระบวนการและโครงสรา้ งท่ีประชาชนสามารถทีจ่ ะแสดงออก ซึ่งความต้องการของตน การ จัดลาดบั ความสาคัญ การเข้ารว่ มในการพัฒนา และไดร้ บั ประโยชน์จากการพฒั นาน้นั โดยเน้นการให้ อานาจในการตดั สนิ ใจแกป่ ระชาชนในชนบท และเปน็ กระบวนการกระทาทป่ี ระชาชนมีความสมัครใจเขา้ มามีสว่ นในการกาหนดการเปล่ียนแปลง เพื่อประชาชนเอง โดยให้ประชาชนได้มสี ่วนในการตดั สนิ ใจเพอื่ ตนเอง ทงั้ นี้ โดยมใิ ช่การกาหนดกรอบความคดิ จากบุคคลภายนอกตามนิยามขา้ งต้น จะเหน็ ได้วา่ การมี สว่ นร่วมของประชาชน ในฐานะสมาชิกของสงั คม ไม่วา่ จะในบริบทของการพฒั นาสงั คม เศรษฐกจิ การเมืองหรอื วฒั นธรรม ย่อมเปน็ สิง่ ที่แสดงออกให้เหน็ ถึงพัฒนาการรบั รู้ และภูมปิ ัญญาในการกาหนด ชวี ติ ของตนอยา่ งเปน็ ตัวของตนเองในการจัดการควบคุมการใช้ และการกระจายทรัพยากรท่ีมีอย่เู พ่ือ ประโยชนต์ อ่ การดารงชวี ิตทางเศรษฐกจิ และสังคม ตามความจาเป็นอยา่ งสมศักดศิ์ รี นอกจากน้ี การที่ ประชาชนหรือชมุ ชนพัฒนาขีดความสามารถของตนในการจดั การควบคมุ การใชท้ รัพยากร ควบคุมการ
กระจายทรัพยากรทม่ี ีอยู่ เพือ่ ประโยชน์ต่อการดารงชพี ทางเศรษฐกจิ และสังคม ทาให้ประชาชนได้ พฒั นาการรับรู้และภูมิปญั ญา ซ่ึงแสดงออกในรปู ของการตัดสนิ ใจเพ่อื ตนเอง 3.3 ทฤษฎคี วามสาเร็จ ทฤษฎคี วามสาเร็จ ( Achievement Need (nAch)) เมคเคลแลนด์ (McClelland,1953) มีความเชอ่ื วา่ มนษุ ย์เรามุ่งจะกระทาสงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ให้สาเรจ็ ลลุ่ ่วงไป เมคเคลแลนด์ได้สร้างแบบทดสอบ เพ่อื แยกประเภทของมนุษย์ ออกเป็น พวกทีม่ คี วามตอ้ งการความสาเรจ็ สเรูงียตกา่ ว่าThematic Apprecption Test (TAT) TAT จะประกอบด้วย ภาพตา่ งๆ ภาพเหลา่ น้ี จะไม่มีคาบรรยายกากบั ไว้ ผู้ทดสอบจะเป็น ผู้บรรยายวา่ ภาพเหล่านัน้ เกี่ยวกบั สิ่งใด หรอื คนในภาพน้ันมีความร้สู กึ อย่างไร เชน่ ภาพวาดหน่ึงมเี ด็ก หน่มุ กาลังพรวนดนิ กลางทงุ่ นา ท่ปี ลายนามีพระอาทติ ย์กาลังจะลบั ขอบฟูาแสดงถึงเวลาเยน็ ผทู้ ดสอบ จะตอ้ งบรรยายว่า เดก็ หนมุ่ คนนน้ั มคี วามรูส้ ึกอยา่ งไร คาบอกเล่าของผ้ทู ดสอบจะไดร้ บั การตคี วามจาก ผูต้ ดั สินว่าเขามแี รงจงู ใจในความสาเรจ็ สูงหรอื ต่า โดยไดร้ ับการเปรยี บเทยี บคาตอบของผู้ทดสอบตา่ งๆ เช่น ถา้ ผ้ทู ดสอบเลา่ ว่าหนมุ่ ผู้นนั้ กาลังเสยี ใจว่าพระอาทติ ยก์ าลงั ตกดนิ ซ่ึงหมายความวา่ เขาไม่สามารถ ปลูกต้นไมใ้ หเ้ สรจ็ สนิ้ ในวันนไี้ ด้ในขณะเดียวกนั มผี ทู้ ดสอบอีกผหู้ นึ่งบรรยายว่า หนุม่ คนน้นั ดีใจวา่ พระ อาทติ ยต์ กและเขาจะไดพ้ ักผอ่ นเสียที จะได้ด่มื เหล้า สรวลเสเฮฮาบา้ ง จากขอ้ มูลดังกลา่ วผทู้ ดสอบคนหนึ่ง 38 จะได้รับการตคี วามวา่ เขามีแรงจงู ใจในความสาเร็จสูง และผู้ทดสอบคนทส่ี องจะได้รับการตคี วามวา่ เขามี แรงจงู ใจในความสาเรจ็ ต่า ลักษณะของบุคคลทมี่ แี รงจงู ใจในความสาเรจ็ สงู (McClelland,1947) ไดเ้ ก็บ รวบรวมลักษณะต่างๆ ดงั นี้ บคุ คลผ้มู ีแรงจูงใจในความสาเรจ็ สงู จะตอ้ งเปน็ คนที่ 1) ชอบทางาน ทม่ี ีระดับยากปานกลาง เปน็ งานทีไ่ มย่ าก หรอื ง่ายเกนิ ความสามารถของเขา ในการทดลองชน้ิ หนงึ่ ใหผ้ ้รู ับการทดลอง โยนเกอื กม้าใสห่ ว่ งปักกับดนิ ผลปรากฏวา่ บุคคลมมี แี รงจูงใจสอง ลักษณะ คอื แรงจงู ใจในความสาเร็จสงู และต่า มีการปฏิบตั ิทีแ่ ตกต่างกันพวกท่มี แี รงจงู ใจสงู จะเลือก ระยะห่าง จากหลักพอสมควรทเี่ ขาสามารถจะโยนเกือกม้าเข้าหลกั ได้ เขาจะไม่เปน็ ใกลห้ รือไกลเกินไป แต่ จะยนื ใหห้ ่างมากเทา่ ที่เขาจะพยายามโยน ใหเ้ ข้าได้ สว่ นพวกแรงจงู ใจดา้ นนต้ี ่ามกั เลือกยืนใกลๆ้ ใหใ้ ส่เกอื ก ม้าไดง้ ่ายๆ หรอื ยืนไกลๆจนไมส่ ามารถโยนเขา้ ได้ 2) ชอบไดร้ บั การตอบสนอง ตอ่ ผลงานทนั ทีทีผ่ ลสาเร็จเพ่ือจะไดว้ ัดประเมนิ ผลงาน ความกา้ วหน้าของเขา และจะวัดตามกฎเกณฑท์ ่บี ่งเฉพาะ 3) ชอบท่จี ะทาสิ่งใดแล้วทาใหส้ าเรจ็ ไปและเขามกั มีความสนใจในงานน้นั ๆ มีการตอบสนอง ความตอ้ งการใน (Intrinsic Reward) งานน้ันควรน่าสนใจและท้าทาย 4) เมอื่ เลอื กและมีจดุ มุง่ หมายแล้วจะต้องทาจนสาเร็จลลุ ว่ งไป เขาอาจจะมีลักษณะเงียบไมย่ งุ่ เกี่ยวกบั คนอ่นื มากนกั เขาร้ถู ึงวา่ ความสามารถของเขานั้นจรงิ ๆมีแคไ่ หน ไมใ่ ชค่ ิดเองว่าเขามคี วามสามารถ มีแค่นน้ั แคน่ ี้ เนอ่ื งด้วยลักษณะของผมู้ แี รงจงู ใจสูงในความสาเร็จมักจะเป็นประโยชนต์ อ่ องคก์ รและบคุ คล
McClelland ไดส้ รา้ งกลุม่ ฝึกบคุ คลเพอ่ื เปน็ พวกท่ีมีแรงจูงใจสูงขน้ึ ในหมูน่ กั บรหิ าร ซึ่งเขามีจดุ มงุ่ หมาย ดังน้ี 4.1) สอนใหผ้ ูร้ ่วมงานร้วู ิธีการคดิ พดู และการกระทา คล้ายกับพวกท่ีมแี รงจูงใจสูงดา้ น ความสาเร็จ 4.2) ให้ผู้รว่ มงานรู้จกั ตวั เองมากขึ้น ตามความเปน็ จรอง ร้จู ักความสามารถท่แี ทจ้ รงิ ของตน 4.3) สรา้ งสรรค์ให้ผรู้ ว่ มงานไดเ้ รยี นรู้ เก่ยี วกับความหวงั ของผูอ้ ืน่ ความสามารถ ความ กลวั ความผิดพลาด ล้มเหลว และความสาเรจ็ ของผอู้ นื่ และตนเอง โดยใหบ้ คุ คลเหล่านี้มีประสบการณ์ทาง อารมณร์ ว่ มกัน เมคเคลแลนด์ ไดร้ บั ความสาเรจ็ ในการสรา้ งกลมุ่ ฝกึ ฝนความสาเร็จใหผ้ จู้ ัดการ แตผ่ ลของการฝึกนี้ ยังสามารถยนื ยันได้ว่าผจู้ ดั การเหลา่ นม้ี แี รงจูงใจในความสาเรจ็ จรงิ หรือไม่ หรืออาจเพราะตาแหน่งในงาน ของเขาเปน็ ตวั กาหนด ขอ้ ผดิ พลาดของทฤษฎีนคี้ อื การตีความขอ้ มลู จากการเล่าบรรยายภาพของผู้ ทดสอบ การตีความขอ้ มลู เหลา่ น้ีขน้ึ อยูก่ ับความเชือ่ ของผตู้ ีความ ฉะน้นั ผูท้ ดสอบจะมีแรงจงู ใจสงู หรือต่า ขึ้นอยกู่ บั คาบรรยายของตนสอดคล้องกับความคดิ ความเช่อื ของผู้ตีความทางใด 3.4 ทฤษฎีความตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslor’s Hierarchy of Needs Theory) อับราแฮม มาสโลว์ (Maslow,1954) ไดเ้ สนอคติฐาน 2 ประการก่อนจะกล่าวถงึ ทฤษฎวี ่า ประการแรก มนุษยม์ คี วามตอ้ งการเกิดขึ้นเสมอ และประการทสี่ องความต้องการของมนุษยม์ ีลักษณะเปน็ สากล คือ คลา้ ยกันไปทุกวัฒนธรรมและความตอ้ งการของมนุษยม์ ลี ักษณะเปน็ ไปตามลาดับขั้นตอนน่ันคอื เมือ่ ความต้องการในระดบั ลา่ งไดร้ บั การตอบสนองเพยี งพอแล้ว บคุ คลจงึ จะเล่อื นขึน้ ไปหาทางตอบสนอง โดยระบวุ ่าบคุ คลจะมีความต้องการทีเ่ รยี งลาดับจากระดบั พ้นื ฐานมากทส่ี ุดไปยังระดับสงู สดุ ในทัศนะของ 39 มาสโลว์ มนษุ ย์มีความต้องการตลอดเวลา ความต้องการกระตุม้ ใหค้ นแสดงพฤตกิ รรมเพื่อตอบสนองความ ตอ้ งการของตน ความต้องการทัง้ หมดของมนุษย์สามารถเรยี งลาดับได้ 5 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 1. ความตอ้ งการทางสรรี ะ ได้แก่ ความต้องการทางรา่ งกาย ความต้องกายทางกายจะอยู่ในลาดบั ท่ีตา่ ทสี่ ดุ พ้นื ฐานมากท่สี ดุ เป็นความตอ้ งการในเรือ่ งการกนิ การอยู่ ความสขุ สบายทางกายทง้ั ปวง เช่น อาหาร นา้ และทีอ่ ยอู่ าศยั 2. ความตอ้ งการสวสั ดภิ าพ ไดแ้ ก่ ความต้องการความปลอดภยั เป็นความตอ้ งการอันดับสองของ มาสโลว์ จะถูกกระตุน้ ภายหลงั ความต้องการทางรา่ งการถูกตอบสนองแล้วความต้องการความปลอดภัยจะ หมายถงึ ความตอ้ งการสภาพแวดล้อมท่ปี ลอดภัย ปราศจากอนั ตรายทางรา่ งการและจติ ใจ เชน่ ความ ต้องการสิง่ ยึดเหน่ยี วจิตใจ ความกลวั การสูญเสยี ภัยอันตรายต่างๆ ความมนั่ คง และหลกั ประกนั การ ทางาน
3. ความตอ้ งการทางสงั คม คือ ความต้องการความรักและความสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลทจ่ี ะ เกี่ยวพันและการยอมรบั โดยบุคคลอืน่ เพือ่ การตอบสนองทางสงั คม เชน่ ต้องการมคี วามสัมพันธท์ ี่ดกี บั เพอ่ื น คนรัก พอ่ แม่ ลกู 4. ความต้องการการได้รับการยกย่องและการนบั ถือตนเอง คือ ความตอ้ งการของบุคคลท่ี ต้องการจะสร้างการเคารพตัวเองและการชมเชย จากบุคคลอ่ืน เช่น ต้องการการยอมรับและภมู ใิ จใน ตนเองว่าเป็นคนท่มี ีคุณค่าแก่สงั คม 5. ความตอ้ งการพฒั นาศักยภาพของตนเอง เป็นความต้องการขัน้ สูงสดุ ของมนุษย์ผู้ซ่งึ ไม่ต้อง กงั วลเรอ่ื งปากทอ้ ง ความปลอดภัย ความรัก และความยอมรบั ในตนเองหรือศกั ดศ์ิ รีอีกต่อไป มนุษย์จะ พัฒนาศกั ยภาพของตนเองเพราะอยากรู้ อยากสรา้ งสรรค์เพราะใจรัก ทางานเพราะอยากจะทามีความ ตอ้ งการทีจ่ ะพัฒนาตนเองให้ไปถึงขดี สุดของศักยภาพทต่ี นเองมีอยอู่ ย่างแทจ้ รงิ (Maslow, 1954 , อา้ ง ใน สิทธิโชค วรานสุ ันติกูลม 2545, 162) 4. กฎหมายที่เก่ียวขอ้ ง การศึกษาเรือ่ ง “ความสาเร็จในการบริหารจัดการการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอทุ กภัย กรณีศึกษา : ศูนยป์ อู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 1 ปทมุ ธานี ” มกี ฎหมายที่เกีย่ วขอ้ ง คอื พระราชบัญญตั ปิ ูองกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ได้กาหนดขอบเขตและหนา้ ที่ของผู้ที่เก่ียวข้อง กับการดาเนินการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย ไวด้ ังน้ี มาตรา 11 ใหก้ รมปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานกลางของรัฐ ในการดาเนนิ การ เกยี่ วกับการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ของประเทศ โดยมีอานาจหนา้ ท่ี ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) จัดทาแผนการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาตเิ สนอ กปภ.ช. เพ่อื ขออนุมตั ิตอ่ คณะรฐั มนตรี 2) จดั ใหม้ ีการศกึ ษาวิจยั เพอ่ื หามาตรการในการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยใหม้ ี ประสิทธภิ าพ 3) ปฏบิ ัตกิ าร ประสานการปฏิบัติ ใหก้ ารสนบั สนนุ และช่วยเหลือหน่วยงานของรฐั องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่นิ และหนว่ ยงานภาคเอกชน ในการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัย และใหก้ าร สงเคราะหเ์ บ้ืองต้นแก่ผปู้ ระสบภัย ผไู้ ดร้ ับภยนั ตราย หรอื ผู้ได้รับความเสยี หายจากสาธารณภัย 40 4) แนะนา ใหค้ าปรึกษา และอบรมเกี่ยวกบั การปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั แกห่ น่วยงาน ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และหนว่ ยงานภาคเอกชน 5) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดาเนินการตามแผนการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย ในแตล่ ะระดบั
6) ปฏบิ ตั กิ ารอืน่ ใดตามท่ีบัญญัติไวใ้ นพระราชบญั ญตั นิ ี้หรอื กฎหมายอ่ืนหรอื ตามท่ี ผบู้ ัญชาการ นายกรฐั มนตรี กปภ.ช. หรือคณะรฐั มนตรมี อบหมาย เมือ่ คณะรัฐมนตรอี นมุ ัติแผนการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตาม (1) แลว้ ให้ หน่วยงานของรฐั และองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ทีเ่ กีย่ วข้องปฏิบตั ิการใหเ้ ป็นไปตามแผนดงั กล่าว ในการจัดทาแผนการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตาม (1) ให้กรมปูองกนั และบรรเทา สาธารณภัยรว่ มกับหน่วยงานของรัฐทเ่ี ก่ยี วขอ้ งและตัวแทนองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินแต่ละประเภทมา ปรกึ ษาหารอื และจดั ทา ทง้ั น้ี จะจัดใหห้ น่วยงานภาคเอกชนเสนอขอ้ มูลหรือความเหน็ เพอื่ ประกอบการ พิจารณาในการจัดทาแผนดว้ ยกไ็ ด้ เพ่ือประโยชน์ในการปฏบิ ัตหิ น้าทตี่ าม (3) (4) (5) และ (6) กรมปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั จะจดั ให้มีศูนย์ปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั ขึน้ ในบางจงั หวัดเพือ่ ปฏิบัตงิ านใน จงั หวัดนั้นและจังหวัดอ่ืนทอี่ ยใู่ กลเ้ คียงกันได้ตามความจาเป็น และจะให้มสี านักงานปอู งกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัดขึ้น เพอื่ กากับดูแลและสนบั สนุนการปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั ในจงั หวดั หรือ ตามที่ผูอ้ านวยการจังหวัดมอบหมายด้วยก็ได้ มาตรา 12 แผนการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาตติ ามมาตรา 11 (1) อยา่ งน้อยต้องมี สาระสาคญั ดังต่อไปน้ี 1) แนวทาง มาตรการ และงบประมาณท่ีจาเป็นตอ้ งใช้ในการปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั อยา่ งเปน็ ระบบและต่อเน่ือง 2) แนวทางและวิธกี ารในการให้ความชว่ ยเหลือและบรรเทาความเดือดรอ้ นท่เี กดิ ข้ึนเฉพาะ หนา้ และระยะยาวเม่ือเกดิ สาธารณภยั รวมถงึ การอพยพประชาชน หนว่ ยงานของรัฐ และองค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถิ่น การสงเคราะห์ผูป้ ระสบภยั การดูแลเกย่ี วกบั สาธารณสุข และการแก้ไขปญั หาเก่ียวกับการ ส่ือสารและการสาธารณูปโภค 3) หนว่ ยงานของรฐั และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินทร่ี ับผิดชอบในการดาเนนิ การตาม (1) และ (2) และวิธีการให้ไดม้ าซงึ่ งบประมาณเพอ่ื การดาเนินการดังกลา่ ว 4) แนวทางในการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชแ้ ละจัดระบบการ ปฏบิ ัติการในการดาเนินการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถงึ การฝกึ บคุ ลากรและประชาชน การกาหนดเรื่องตามวรรคหนง่ึ จะตอ้ งกาหนดใหส้ อดคล้องและครอบคลุมถงึ สาธารณภัยต่างๆ โดยอาจกาหนดตามความจาเป็นแหง่ ความรนุ แรงและความเส่ยี งในสาธารณภัยด้านน้ัน และในกรณที ่ีมี ความจาเป็นตอ้ งมกี ารแกไ้ ขหรือปรบั ปรงุ กฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั หรือมตขิ องคณะรัฐมนตรที เี่ กยี่ วข้อง ให้ระบุไวใ้ นแผนการปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติดว้ ย มาตรา 13 ให้รฐั มนตรีเป็นผู้บญั ชาการมีอานาจควบคมุ และกากบั การปอู งกันและบรรเทา สาธารณภัยทวั่ ราชอาณาจกั รให้เป็นไปตามแผนการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและ พระราชบัญญัตนิ ้ี ในการน้ี ใหม้ ีอานาจบงั คับบัญชาและสั่งการผอู้ านวยการ รองผ้อู านวยการ ผชู้ ่วย ผู้อานวยการ เจา้ พนักงาน และอาสาสมคั รไดท้ ั่วราชอาณาจักร
41 ให้ปลดั กระทรวงมหาดไทยเป็นรองผบู้ ญั ชาการมีหนา้ ท่ีช่วยเหลือผบู้ ัญชาการในการปอู งกนั และ บรรเทาสาธารณภยั และปฏิบัตหิ น้าท่ตี ามทผ่ี ูบ้ ญั ชาการมอบหมายโดยให้มอี านาจบงั คับบัญชาและส่ังการ ตามวรรคหนึ่งรองจากผู้บญั ชาการ มาตรา 14 ใหอ้ ธิบดเี ปน็ ผอู้ านวยการกลางมหี นา้ ทป่ี ูองกันและบรรเทาสาธารณภัยทวั่ ราชอาณาจักร และมี อานาจควบคุมและกากบั การปฏบิ ัติหน้าท่ีของผอู้ านวยการ รองผูอ้ านวยการ ผู้ชว่ ย ผู้อานวยการ เจ้าพนักงานและอาสาสมคั รไดท้ ว่ั ราชอาณาจกั ร มาตรา 15 ให้ผวู้ า่ ราชการจงั หวัดเป็นผู้อานวยการจงั หวดั รบั ผดิ ชอบในการปอู งกันและบรรเทา สาธารณภยั ในเขตจังหวัด โดยมีอานาจหน้าท่ดี งั ตอ่ ไปนี้ 1) จดั ทาแผนการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั จังหวัด ซึง่ ตอ้ งสอดคลอ้ งกับแผนการ ปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ 2) กากบั ดูแลการฝกึ อบรมอาสาสมคั รขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ 3) กากบั ดแู ลองคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ใหจ้ ัดให้มีวสั ดุ อปุ กรณ์ เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ ยานพาหนะ และส่ิงอ่ืน เพอ่ื ใช้ในการปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยตามท่กี าหนดในแผนการปูองกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัด 4) ดาเนนิ การใหห้ น่วยงานของรัฐและองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นใหก้ ารสงเคราะหเ์ บือ้ งต้นแก่ ผู้ประสบภยั หรอื ไดร้ บั ภยันตรายหรือเสียหายจากสาธารณภยั รวมตลอดท้งั การรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย และการปฏิบตั กิ ารใดๆ ในการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย 5) สนบั สนนุ และใหค้ วามช่วยเหลือแก่องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ในการปูองกนั และบรรเทา สาธารณภยั 6) ปฏบิ ัติหนา้ ท่ีอ่นื ตามที่ผ้บู ญั ชาการและผ้อู านวยการกลางมอบหมาย มาตรา16 แผนการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตามมาตรา 15(1) อยา่ งน้อยต้องมี สาระสาคัญตามมาตรา 12 และสาระสาคญั อ่ืนดงั ตอ่ ไปน้ี 1) การตงั้ ศนู ยอ์ านวยการเฉพาะกิจเม่อื เกดิ สาธารณภัยขน้ึ โครงสรา้ ง และผมู้ อี านาจ สงั่ การ ด้านตา่ งๆ ในการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย 2) แผนและขน้ั ตอนขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ในการจัดหาวัสดุ อปุ กรณ์ เคร่อื งมือ เคร่อื งใช้ และยานพาหนะ เพอื่ ใช้ในการปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัย 3) แผนและขน้ั ตอนขององค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในการจัดให้มเี ครื่องหมายสัญญาณ หรือ สิ่งอ่ืนใด ในการแจง้ ให้ประชาชนได้ทราบถึงการเกดิ หรือจะเกดิ สาธารณภัย 4) แผนปฏิบตั ิการในการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น 5) แผนการประสานงานกับองค์กรสาธารณกศุ ล 5. งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วข้อง
ผลงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้องกับการศึกษา ความสาเรจ็ ในการบรหิ ารจัดการการใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภัย กรณศี กึ ษา : สานกั ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจงั หวดั อุดรธานี ได้แบง่ ผลงานวจิ ัย ดงั นี้ 42 5.1 ความหมายและความสาคญั ของการวางแผน สามารถแบง่ ผลงานวจิ ยั ออกเปน็ ขอ้ ๆ ดังนี้ สมบัติ ธารงธญั วงศ์ ไดใ้ หค้ วามหมายว่า การวางแผน มาจากคาในภาษาละตนิ ว่า “แพลนมั ” (Planum) หมายถงึ พ้นื ท่รี าบหรือพมิ พ์เขียว คาภาษาองั กฤษใช้ “ Planning” ซง่ึ หมายถึง กระบวนการ วเิ คราะห์และการตัดสนิ ใจของผูบ้ ริหารทจ่ี ะกาหนดวิธีการไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งเปน็ ระบบเพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง ปฏิบตั ใิ ห้บรรลุผลตามเปาู หมายและวัตถุประสงคท์ ก่ี าหนดไว้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ โดยนาเอาขอ้ มลู ข่าวสาร (Information) ในอดตี มากาหนดหรอื พยากรณอ์ นาคต ดงั นน้ั แนวคดิ ของการวางแผนจึงมลี กั ษณะเป็น “ศาสตร์” ทีต่ ้องใช้ขอ้ มลู เชิงประจักษ์ E(mpirical Information) ท่มี ีความแม่นตรงและเชอ่ื ถือได้ และจะตอ้ ง ประกอบด้วยองค์ประกอบท่ชี ัดเจน และมีความตอ่ เนอื่ งกนั ตามลาดบั ทง้ั นี้ เพอื่ ให้ผู้ใชแ้ ผน มีความรู้ และ ความเขา้ ใจท่จี ะสามารถนาแผนไปปฏิบัตใิ หบ้ รรลุผลสาเรจ็ ได้ (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2540, 48) อนันต์ เกตวุ งศ์ ไดใ้ ห้ความหมายวา่ การวางแผนคอื การตัดสินใจล่วงหนา้ ในการเลือกทางเลอื ก เกย่ี วกบั สิ่งตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเป็นวัตถุประสงคห์ รอื วิธีการกระทา โดยทัว่ ไปจะเปน็ การตอบคาถามตอ่ ไปน้ี คือ จะทาอะไร ทาไมตอ้ งทา ใครบ้างท่จี ะเป็นผ้กู ระทา จะกระทาเมอ่ื ใด จะกระทาที่ไหนบ้าง และจะ กระทากันอยา่ งไร (อนนั ต์ เกตุวงศ์, 2541, 3-4) ธงชยั สนั ตวิ งษ์ ไดใ้ ห้ความหมายวา่ การวางแผนหมายถึง 1) ความหมายในแง่งานทตี่ อ้ งปฏิบัติ ของผ้บู รหิ ารแต่ละคน คือ การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ การจงู ใจและสอ่ื ความ การวัดผลและการพัฒนา บคุ ลากร 2) ความหมายทม่ี ขี อบเขตกว้างกว่าที่ครอบคลุมถงึ การบรหิ ารทั้งหมด คือ กระบวนการบรหิ าร ที่ตอ่ เน่อื ง ครอบคลุมถงึ ทุกกิจกรรมของงานและมงุ่ สอู่ นาคต (ธงชัย สันติวงษ์, 2540, 138) จากความหมายของการวางแผน สรปุ ได้ว่า การวางแผน หมายถึง กระบวนการในการกาหนด ทศิ ทาง เปูาหมาย วตั ถปุ ระสงค์ทตี่ ้องการให้เกิดข้ึนในอนาคตขององค์การหรือหน่วยงานโดยเลอื กวธิ ี ทางานท่ดี ที ่ีสดุ มีประสทิ ธิภาพมากทีส่ ุดให้บรรลผุ ลตามที่ต้องการภายในเวลาที่กาหนด 5.2 ความสาคัญของการวางแผน การวางแผนเป็นงานหลักและสาคญั ในการบรหิ ารของหนว่ ยงานในทุกระดับ เน่อื งจากเป็น ตวั กาหนดทิศทาง เปาู หมาย วธิ ดี าเนนิ การ ท่จี ะทาให้หน่วยงานดาเนนิ งานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ บรรลุ ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ต้องการภายในเวลาท่ีกาหนด การดาเนนิ งานจะประสบผลสาเรจ็ มากหรือน้อยขน้ึ อยู่ กับการวางแผน หากวางแผนดีก็เทา่ กับดาเนนิ งานสาเรจ็ ไปแล้วกวา่ ครึง่ ดงั น้นั การวางแผนจงึ มี ความสาคัญต่อการดาเนนิ งานดังที่ จรสั อติวทิ ยาภรณ์ (จรสั อตอวิทยาภรณ์, 2553, 220-221) กล่าววา่ 2.1) การวางแผนเป็นหน้าที่อันดบั แรกของผบู้ รหิ าร
2.2) การวางแผนเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิท่สี าคัญ นาไปสู่ความสาเร็จของงาน 2.3) แผนและการวางแผนเปน็ ตวั กาหนดทศิ ทางขององคก์ รและเปรยี บเสมือนหางเสือของเรือ 2.4) การวางแผนทาให้ทกุ คนในองคก์ รทราบความมงุ่ หมายขององค์กรอย่างชัดเจน 2.5) การวางแผนและแผนจะช่วยให้ผูบ้ ริหารและผู้ปฏบิ ัตงิ านมองไปในอนาคต 2.6) การวางแผนทาให้ผูบ้ ริหารตัดสนิ ใจอยา่ งมีเหตุผล 2.7) การวางแผนเปน็ เรอื งทีเ่ ตรยี มการไวล้ ว่ งหนา้ 2.8) การวางแผนใหท้ ุกคนในองค์การเปลย่ี นแปลงเพอื่ รองรับสิง่ ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต 2.9) การวางแผนทาใหผ้ ู้บรหิ ารตระหนักถงึ ความรบั ผดิ ชอบต่อหน้าที่ 2.10) การวางแผนช่วยใหค้ วบคมุ ทาไดโ้ ดยอาศยั การวัดผลสาเร็จตามแผนงาน 43 5.3 ประโยชน์ของการวางแผน การวางแผนมปี ระโยชน์สาคญั หลายประการทง้ั ตอ่ ผบู้ รหิ าร ผปู้ ฎบิ ัติ รวมท้งั ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งซ่ึง จรสั อตวิ ิทยาภรณ์ ( 2553, 221) ไดส้ รปุ ไวด้ งั น้ี 1) ปูองกันมิให้เกิดปญั หาและความผดิ พลาด หรอื ลดความเส่ยี งที่อาจจะเกิดขน้ึ ในการปฏบิ ตั งิ าน ในอนาคต 2) ทาใหห้ น่วยงานมกี รอบหรอื ทศิ ทางในการปฏิบัติงานที่ชดั เจนวา่ จะทาอะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไร และใครทา ทาให้นกั บรหิ ารมีความมนั่ ใจในการปฏบิ ัติงานใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ไดง้ า่ ย 3) ชว่ ยให้เกดิ การประหยดั ทรพั ยากรทางการบรหิ าร เชน่ คน เงิน วัสดุ อปุ กรณ์ เวลา ฯลฯ 4) ชว่ ยใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านรวดเรว็ มีประสทิ ธภิ าพ เพราะมีแผนเป็นแนวทาง “เปรียบเสมือนเรอื ท่มี ี หางเสอื ” 5) ชว่ ยใหก้ ารปฏบิ ตั ิงานเป็นระบบ นกั บรหิ ารสามารถควบคมุ ติดตามการปฏบิ ตั งิ าน ได้ง่าย 5.4 องค์ประกอบของแผน องค์ประกอบของการวางแผนทสี่ าคัญ คือ 1.การกาหนดจุดหมายปลายทาง ( Ends) ท่ตี ้องการบรรลุ ซึง่ มีหลายระดับ คอื 1.1) จดุ มุ่งหมายหรอื เปาู ประสงค์ ( Goals) เป็นการแสดงถงึ ความคาดหวังทีต่ อ้ งการให้เกดิ ขนึ้ ในช่วงระยะเวลาขา้ งหน้า ซ่ึงมกั จะมองในรูปของผลลพั ธ์ (Outcome) ในอนาคตกาหนดอย่างกว้างๆ 1.2) วัตถุประสงค์ ( Objective) เป็นองค์ประกอบทเี่ ปน็ ผลมาจากการแปลงจดุ มงุ่ หมาย ( Goal) ให้เปน็ รปู ธรรมมากขึ้นเพ่ืองา่ ยในการนาไปปฏบิ ตั ิ วัตถปุ ระสงค์จึงเปน็ การกาหนดผลผลติ (Out Put) ท่ี คาดหวังให้เกดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งๆ แต่ชัดเจน และสามารถปฏิบตั ิได้ 1.3) เปูาหมาย ( Targets) เปน็ องค์ประกอบทเ่ี ปน็ ผลมาจากการแปลงวัตถุประสงค์ให้เปน็ รูปธรรมในการปฏบิ ตั มิ ากข้ึน เปาู หมายจงึ เปน็ การกาหนดผลลัพธ์สุดทา้ ยที่เกดิ ขึ้นจากการปฏิบัติตามแผน โดยจะกาหนดเป็นหน่วยนบั ท่ีวดั ผลไดเ้ ชิงปรมิ าณ และกาหนดระยะเวลาที่จะบรรลผุ ลสาเรจ็ น้นั ด้วย
2. วธิ ีการและกระบวนการ ( Means and Process) เปน็ องคป์ ระกอบทเ่ี กิดจากการนาข้อมูล ต่าง ๆ มาวิเคราะห์และกาหนดเป็นทางเลือก ( Alternative) สาหรับเป็นแนวทางปฏบิ ัติ หรือกลวธิ ี (Strategy) ใหบ้ รรลจุ ุดหมายที่กาหนดไว้ จากนั้น จะถา่ ยทอดออกมาเป็นแผนงาน ( Programs) และ โครงการ (Projects) ท่ีเชื่อมโยงกัน โดยทวั่ ไปจะประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก คือ 2.1) กลวธิ ีการปฏบิ ัติ หรือมาตรการ ( Strategy) เปน็ การกาหนดแนวทางปฏบิ ตั ิใหบ้ รรลุ จดุ หมาย (Ends) ทก่ี าหนดไว้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 2.2) แผนงาน ( Programs) และโครงการ (Projects) เปน็ การกาหนดแนวทางการกระทาที่เปน็ รูปธรรมในการปฏิบัตมิ ากขน้ึ ซึง่ โดยทว่ั ไปจะมีประเด็นในการเขียนทช่ี ดั เจน ครอบคลุม และ เชอื่ มโยง อยา่ งเปน็ ระบบ 3. ทรพั ยากร ( Resources) และคา่ ใช้จ่าย ( Cost) เป็นองคป์ ระกอบทีส่ าคัญอยา่ งหนึ่งในการ วางแผนและการนาแผนไปปฏิบตั ิ ซงึ่ ไดแ้ ก่ คน เงิน วสั ดุ อปุ กรณ์ ซ่ึงผวู้ างแผนจะตอ้ งระบใุ ห้ชัดเจนและมี ความเป็นไปได้ในการปฏิบตั ิ “มิใช่เขยี นแบบวาดวิมานในอากาศ” หรือ “เขียนแผนแบบเพ้อฝนั ” 44 4. การนาแผนไปปฏิบตั ิ ( Implementation) เป็นองคป์ ระกอบทแี่ สดงถึงกรรมวธิ ใี นการตดั สินใจ เลอื กแผนงานและโครงการไปปฏิบัติให้เกดิ ผลสาเรจ็ ตามจุดหมาย (Ends) ทีก่ าหนดไว้ ซงึ่ ข้นั ตอนนี้จะต้อง อาศยั กลยุทธห์ ลายอย่างทั้งกลยทุ ธภ์ ายในองคก์ รและกลยุทธภ์ ายนอกองค์กร 5. การประเมินผลแผน ( Evaluation) เปน็ องคป์ ระกอบท่ีแสดงถึงการตรวจสอบการควบคุมและ การวัดผลการปฏบิ ัตติ ามแผนเพอื่ ใหท้ ราบถงึ ความก้าวหน้าหรือขอ้ บกพร่องหรอื ข้อจากดั ของแผนนัน้ เพ่อื จะได้ปรบั ปรุงแผนให้สามารถนาไปปฏบิ ัติไดบ้ รรลุตามเปูาหมายและวตั ถุประสงคท์ ก่ี าหนดไว้ 5.5 การชว่ ยเหลือผูป้ ระสบอทุ กภยั ผลงานวิจัยที่เกย่ี วข้องกับการให้ความชว่ ยเหลือผู้ประสบ อทุ กภยั มผี ลงานวจิ ัย ดงั นี้ 1 . ศรสี กลุ เฉยี บแหลม ( 2550 :บทคดั ย่อ ) ไดศ้ กึ ษาผลกระทบอทุ กภัยและแนวทางในการให้ ความช่วยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภัยและแนวทางการให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภยั ในเขตภูมภิ าค ตะวนั ออก : กรณีศกึ ษาจงั หวดั จนั ทบุรี พบว่า ผูป้ ระสบภยั นา้ ทว่ มส่วนใหญร่ อ้ ยละ 92.7 เคยไดร้ บั ความ เสยี หายเม่ือปี 2542 ระยะเวลาน้าทว่ มนาน 4-6 วนั ระดบั นา้ สงู กวา่ 100 เซนติเมตรคิดเปน็ รอ้ ยละ 55.7 เวลาทเ่ี กิดภาวะน้าท่วมมกั เกดิ ในชว่ งเดอื นตลุ าคม-พฤศจกิ ายน ผลกระทบที่เกดิ ขึ้นกับประชาชนจังหวัด จันทบุรี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คอื ระหว่างนา้ ทว่ ม และหลังนา้ ท่วม ในช่วงระหว่างนา้ ทว่ มผลกระทบท่ี เกิดขน้ึ ทางด้านร่างกายคือประชาชนมกี ารเจบ็ ปวุ ยดว้ ยโรคต่างๆ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยได้ดงั นี้ คอื ไขห้ วัด โรคผน่ื คันนา้ กัดเทา้ ทอ้ งรว่ ง ตาแดงและ สตั วม์ ีพษิ กัด โรคท่เี กิดข้นึ น้อยทสี่ ดุ แตท่ าให้ประชาชน
เสยี ชวี ติ ถึง 3 ราย คือโรคฉ่ีหนู ผลกระทบท่ีเกิดขึ้นทางด้านจิตใจ คอื มีอาการปวดศรี ษะ นอนไมห่ ลับ หวาดผวา ผลกระทบท่เี กิดขึ้นหลังนา้ ทว่ มทางดา้ นรา่ งกาย ได้แก่ โรคปวดหลงั จากการขนย้ายของและทา ความสะอาดทีอ่ ยูอ่ าศัย โรคประจาตัวกาเริบ ไดแ้ ก่ โรคตับ โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ผลกระทบ ทางดา้ นจติ ใจจากการสารวจกลุ่มตวั อย่าง 737 ราย พบผูท้ ่ีมีปญั หาทางด้านสุขภาพจิตจานวน 26 ราย คิด เปน็ ร้อยละ 3.53 คือมอี าการเครียด ปวดศรี ษะนอนไมห่ ลับ เนือ่ งจากการไมม่ รี ายได้ สญู เสยี ทรพั ยส์ ินท่ีใช้ ในการประกอบอาชพี การต้องการความชว่ ยเหลือของผปู้ ระสบภยั นา้ ท่วม แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะกอ่ นน้าท่วม ทางจงั หวดั ควรมีการประชาสมั พันธ์ท่ีรวดเร็วทันการณ์ 2) ขณะนา้ ทว่ ม ผ้ปู ระสบภัย สว่ นใหญร่ อ้ ยละ 84.6 ตอ้ งการใหห้ น่วยราชการ เช่น เทศบาล โรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณสขุ มาให้ ความช่วยเหลอื ในเรื่องอาหาร นา้ ดืม่ และยารักษาโรคใหท้ ันทว่ งทแี ละทวั่ ถึงทุกบา้ น 3) หลงั น้าทว่ ม ตอ้ งการเงนิ ทนุ ช่วยเหลือในการซือ้ อุปกรณ์ประกอบอาชีพ เงนิ ทดแทนพน้ื ที่สวน นา ไร่ ทเ่ี สยี หาย และ ควรมีการขุดลอกท่อ ทางระบายน้า เปน็ ตน้ ประโยชน์ที่ผูว้ ิจัยได้รบั จากการทาวจิ ยั ครงั้ น้ี คอื แนวทางใน การสรา้ งบทเรียนเร่อื ง “การชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภยั นา้ ทว่ ม ” ซง่ึ แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ระยะ คอื 1) บทเรียนการ ช่วยเหลอื ก่อนประสบภยั นา้ ทว่ ม 2) บทเรยี นการช่วยเหลอื ขณะประสบภัยน้าทว่ ม และ 3) บทเรียนการ ชว่ ยเหลอื หลงั ประสบภัยนา้ ทว่ ม โดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนตอ้ งรว่ มมือกนั ซง่ึ จะช่วยลดปญั หา และผลกระทบท่ีเกิดจากภัยพิบัตนิ า้ ท่วมของจังหวัดจนั ทบรุ ีได้ในอนาคต 2. สุกญั ญา วฒั นะโชติ (2542: บทคดั ยอ่ ) ศึกษาวจิ ยั การช่วยเหลือผปู้ ระสบภยั จากอุบตั ิเหตุ จราจรของเจา้ หนา้ ที่ในจงั หวดั อุทยั ธานี ผลการศึกษาพบวา่ เจา้ หนา้ ท่ีตรวจส่วนใหญม่ ีความรู้สึกที่ดีตอ่ การช่วยเหลือผปู้ ระสบภยั แตข่ าดความพร้อมดา้ นความรู้ความสามารถ ขาดอุปกรณ์เคร่ืองมือที่จาเป็น ไม่ไดร้ ับความช่วยเหลือจากหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง ขาดการประสานงานที่ดี ระบบการติดตอ่ ส่ือสารไม่ สะดวก และประชาชนทว่ั ไปท่ีพบเห็นเหตุการณ์ไม่ช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือไมเ่ ป็น 45 3. ดร.นฤกมล จนั ทร์จริ าวฒุ ิกุล (2555 : บทคดั ย่อ) ได้สรุปประเด็นสาคญั ของการบริหารจัดการ อทุ กภัยของประเทศไทยไว้ ดังนี้ 3.1) ในอดีตประเทศไทยมีการจัดการทางธรรมชาติในลกั ษณะตงั้ รับ คือเปน็ การช่วยเหลอื ผู้ประสบภัยหลังการเกดิ ภัยพบิ ตั ิ (Rwactive Approach) การช่วยเหลอื ฟ้นื ฟูบรู ณะ การเขา้ มาปฏิบัตกิ าร ดา้ นสาธารณภยั ของหน่วยงานต่างๆ ทาเฉพาะในภาวะฉุกเฉนิ แบบเฉพาะกิจซงึ่ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะ หนา้ เทา่ นนั้ 3.2) เพื่อลดความรุนแรงและลดผลกระทบจากอทุ กภัยทจี่ ะเกิดขน้ึ ครงั้ ต่อไปให้ได้มากทส่ี ุด จึงจาเป็นตอ้ งมกี ารปรับแนวความคิดให้เปน็ การบรหิ ารจัดการสาธารณภยั ในเชิงรุกโดยเพิม่ การปูองกนั และลดผลกระทบและเตรียมความพร้อมรับมอื จากภัยจากการปฏิบตั ิการในเชิงรบั 3.3) หนว่ ยงานท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การบริหารจัดการอทุ กภัยมีหลายหน่วยงาน แต่ขาด ประสทิ ธภิ าพในการทางานร่วมกนั ส่วนใหญเ่ ป็นไปอย่างไมม่ รี ะบบ ไมม่ กี ารเตรยี มแผนการจัดการ สาธารณภัยและแบ่งหน้าทคี่ วามรับผดิ ชอบในการช่วยเหลือใหช้ ัดเจน ทาให้ผ้ปู ระสบภัยได้รบั การ
ช่วยเหลืออย่างล่าช้าไมท่ วั่ ถึง เกิดความสญู เสยี ชีวติ และทรพั ย์สินจานวนมาก จงึ ควรมกี ารจัดตั้งองค์กร กลางในการบรหิ ารจัดการสาธารณภยั เพื่อใหก้ ารทางานเปน็ ไปในลกั ษณะของการรวมแผนแบบบูรณาการ ทง้ั ในยามปกตแิ ละยามเกดิ เหตุภัย 3.4) มปี ระเด็นปญั หาที่ควรพิจารณา คือ ปัญหาด้านการไม่สามารถปฏิบตั ติ ามแผนและ นโยบาย เนือ่ งจากขาดความชัดเจนในดา้ นนโยบายและแผนหลัก ปัญหาดา้ นกฎหมาย กฎระเบยี บ ขอ้ บังคบั และปญั หาดา้ นองค์กร บคุ คล และการจัดการ ควรมกี ารปรบั ปรุงกฎระเบยี บ พรบ.และกฎหมาย ทเ่ี กยี่ วข้อง 5. มัฎฐวรรณ ลี้ยุทธานนท์ (2553 : บทคดั ยอ่ ) ศกึ ษาการพัฒนาบทเรียนในการดูแลช่วยเหลอื ด้านจติ ใจและดา้ นสังคมสาหรบั ผู้ประสบภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาตสิ าหรับนักศกึ ษาของ วิทยาลยั พยาบาล สาธารณสขุ สังกัดสถาบันพระบรมชนก กระทรวงสาธารณสขุ โดยดาเนนิ การในการพฒั นา 3 ระยะ ระยะ ที่ 1 วิเคราะห์บรบิ ทและวัตถปุ ระสงค์การออกแบบการชว่ ยเหลือจากประสบการณ์จรงิ และพัฒนา เครือ่ งมอื สาหรบั การประเมนิ การดาเนนิ กจิ การช่วยเหลอื จากผู้ประสบภยั ระยะที่ 2 นักศึกษาอาสาสมคั ร 520 คน ให้ดูแลชว่ ยเหลือผปู้ ระสบภยั สึนามิ จานวน 1,321 คน จานวนตามโปรแกรมท่ีออกแบบในพนื้ ท่ี จงั หวัดระนอง เนน้ การดแู ลให้ชมุ ชนมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆ และไดป้ ระเมินความพงึ พอใจจากการ ได้รบั การดแู ลจากอาสาสมคั ร วเิ คราะห์ความถแี่ ละรอ้ ยละ ระยะที่ 3 วิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ผลทไ่ี ดจ้ าก กจิ กรรมการดแู ลชว่ ยเหลอื กาหนดรูปแบบการสอนและการพยาบาล จดั ทาคู่มือนักศกึ ษา การดูแล ช่วยเหลอื ด้านจิตใจและดา้ นสังคม สาหรับผูป้ ระสบภัยพิบัตทิ างธรรมชาติ โดยการดาเนนิ การไดผ้ า่ นการ พทิ ักษ์สิทธกิ ลมุ่ ตวั อยา่ ง ผลการประเมิน นกั ศกึ ษามคี วามพงึ พอใจตอ่ กิจกรรมการดแู ลชว่ ยเหลอื ร้อยละ 100 ผ้ปู ระสบภัย พบิ ตั ทิ ี่เขา้ รว่ มกจิ การมคี วามพึงพอใจ รอ้ ยละ 94 และได้มีการพัฒนาเป็นบทเรียนการดูแลชว่ ยเหลือด้าน จติ ใจและดา้ นสงั คม ผ้ปู ระสบภัยทางธรรมชาติสาหรับนกั ศึกษาพยาบาล ดั้งนน้ั จะเหน็ ได้ว่าผลการวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับท่ีนามากลา่ วไวข้ า้ งต้นน้นั ไม่ได้ตอบคาถามใหท้ ราบ ว่า ความสาเรจ็ ในการบรหิ ารจดั การการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผ้ปู ระสบอุทกภัย กรณศี ึกษา : สานกั งาน ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั จังหวัดอุดรธานี ประกอบดว้ ยปัจจัยดา้ นใดบา้ งและมีปัญหาอุปสรรคดา้ น ใดบ้าง ที่ส่งผลใหก้ ารปฏิบตั ิงานไมเ่ ปน็ ไปตามแผนฯ ทีก่ าหนดไว้ ด้วยเหตนุ ้ผี วู้ จิ ยั จงึ มคี วามตอ้ งการท่จี ะ 46 ศึกษาว่า มีแนวทางในการบรหิ ารจดั การดา้ นใดบา้ งทจี่ ะนาไปสูค่ วามสาเร็จในการให้ความชว่ ยเหลือผู้ ประสบอุทกภยั ของสานกั งานปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั จังหวดั อดุ รธานี เพ่อื นาขอ้ มลู ที่ไดไ้ ป ปรับปรงุ การปฏบิ ตั ิงานใหเ้ กดิ ผลสาเร็จตามเปาู หมายตอ่ ไป กรอบแนวคิดในการศกึ ษา
กรอบแนวคดิ ในการศึกษาครั้งน้ี อาศยั หลักการบรหิ ารจัดการชว่ ยเหลือผ้ปู ระสบอุทกภยั ตามแผน ปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย และแผนปฏิบัติการฉกุ เฉินปูองกนั และแกไ้ ขปญั หาอุทกภัย ของศนู ย์ ปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 4 อดุ รธานี และสานักงานปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยจงั หวดั อุดรธานี โดยสอดคลอ้ งกบั แผนปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ ร่วมกับแนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ ง ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ปัจจยั สว่ นบคุ คล ได้แก่ ความสาเร็จในการบริหารจดั การการให้ ๑. เพศ ๒. อายุ ความช่วยเหลอื ผปู้ ระสบอุทกภัย ของ ๓. ระดับการศกึ ษา สานกั งานปอู งกันและบรรเทาสาธารณ ๔. สถานภาพสมรส ภยั จังหวัดอุดรธานี ๕. รายได้ ปัจจยั จากการได้รบั การ สนับสนนุ ดา้ นตา่ งๆ ดังนี้ - ดา้ นบคุ ลากร - งบประมาณ - อุปกรณ์ เครือ่ งมอื เคร่อื งจกั รกล ยานพาหนะ บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การวจิ ัย
ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ เปน็ การศึกษาความสาเรจ็ ด้านการบรหิ ารจัดการการใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้ประสบ อทุ กภยั กรณศี กึ ษา: สานักงานปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั จงั หวัดอุดรธานี โดยใชร้ ปู แบบการวจิ ัย เชงิ ปรมิ าณ ( Quantity Research) และใชแ้ บบสอบถามจากกล่มุ ตวั อย่างและวเิ คราะหท์ างสถติ ิ มีรายละเอยี ดดังนี้ 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวิจยั 3. การสรา้ งเคร่ืองมือและการทดสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 4. การจัดกระทาขอ้ มลู 5. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 6. สถติ ิที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากรท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ได้แก่ 1) เป็นข้าราชการท่ปี ฏบิ ัตงิ านในศูนย์ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั เขต 1 4 อุดรธานี จานวน 10 คน และเจ้าหนา้ ที่ท่ีเกี่ยวขอ้ ง จานวน 20 คน 2) เปน็ ขา้ ราชการทป่ี ฏิบัติงานในสานกั ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวดั อดุ รธานี จานวน 10 คน และเจ้าหน้าท่ที ี่เกี่ยวขอ้ ง จานวน 20 คน 3) เป็นขา้ ราชการทป่ี ฏบิ ตั ิงานในทท่ี าการอาเภอนายงู จงั หวัดอดุ รธานี จานวน 3 คน และ เจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี ก่ยี วข้อง จานวน 7 คน 4) เป็นขา้ ราชการทปี่ ฏิบัติงานในทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลโนนทอง อาเภอนายูง จงั หวัด อุดรธานี จานวน 3 คน และเจ้าหน้าทท่ี เ่ี กี่ยวข้อง จานวน 7 คน รวม 60 คน ระยะเวลาในการศึกษา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม – มนี าคม 2557 2. ขอบเขตและพนื้ ท่ีการศึกษา ได้แก่ หัวหน้ากลมุ่ งาน/หัวหนา้ ฝาุ ย ข้าราชการและเจา้ หนา้ ที่ของศนู ยป์ ูองกนั และบรรเทา สาธารณภยั เขต 14 อดุ รธานี และสานักงานปอู งกันและบรรเทาสาธารณจงั หวัดอดุ รธานี จานวน 108 คน โดยทาการคัดเลือกข้าราชการและเจ้าหนา้ ทข่ี องศนู ย์ปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั สานักงานปูองกัน และบรรเทาสาธารณภยั จังหวดั ท่ีทาการอาเภอนายงู และองค์การบริหารสว่ นตาบลโนนทอง จงั หวดั อดุ รธานี เป็นกลุม่ ตัวอยา่ ง 3. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการสร้างเครื่องมือทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผศู้ กึ ษาไดศ้ กึ ษาแนวคิด ทฤษฎี กรอบแนวคดิ ในการศึกษา และตัวแปรทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาเพื่อเปน็ แนวทางในการสร้างเครอ่ื งมือ ดงั น้ี
3.1) ความคดิ เห็นเก่ียวกับการใชง้ านระบบวเิ คราะหร์ ะดับความสาเรจ็ ในการดาเนิน งานด้านการ บรหิ ารจัดการการให้ความช่วยเหลือผ้ปู ระสบอทุ กภยั โดยใช้แบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประเมินคา่ (Rating Scale) ตามแบบของ Likert Scale มี 5 ระดบั ให้เลอื กคาตอบทีต่ รงกับความคิดเหน็ ของกลมุ่ 48 ตัวอยา่ งตามความต้องการในช่องจากมากไปหานอ้ ย เกณฑก์ ารแปลความหมายในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ เกณฑ์การแบง่ ช่วงคะแนนจากจานวนระดับชนั้ เทา่ กับ 5 ชน้ั (จาก1-5) คานวณสูตรไดด้ งั นี้ คา่ คะแนนสงู สุด-คะแนนตา่ สุด = 5-1 = 0.8 จานวนระดบั ชัน้ 5 ผศู้ ึกษาใชว้ ิธีการวจิ ยั เชิงสารวจ ( Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเคร่ืองมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากกล่มุ ตวั อยา่ งโดยประชากร (Population) ของการศกึ ษา คือ ขา้ ราชการ เจา้ หน้าทีข่ องศูนย์ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 4 อุดรธานี และสานกั งานปอู งกัน และบรรเทาสาธารณภัย ที่ทาการอาเภอนายงู และองค์การบริหารสว่ นตาบลโนนทอง จงั หวัดอุดรธานี โดยเจาะจงเฉพาะผู้ท่ีปฏบิ ัตงิ านด้านการปอู งกนั และช่วยเหลือผ้ปู ระสบอทุ กภัย จานวน 60 คน เปน็ การศึกษาถึงปจั จัยส่วนบคุ คล เช่น เพศ อายุ ตาแหนง่ ระยะเวลาท่ปี ฏิบัตงิ านด้านการปูองกนั และบรรเทา สาธารณภัย ประสบการณเ์ กยี่ วกบั การบรรเทาสาธารณภยั ขนาดของอทุ กภยั ทเ่ี คยมีประสบการณ์ มผี ล ต่อความพร้อมในการปูองกันและแก้ไขปัญหาจากอทุ กภัย เปน็ การออกแบบสอบถาม ประกอบด้วย เน้อื หา 3 ส่วน ดงั นี้ สว่ นท่ี 1. เป็นคาถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา เปน็ คาถามเลอื กตอบ จานวน 4 ข้อ สว่ นท่ี 2 เป็นความคิดเหน็ ที่เก่ยี วขอ้ งกบั ความสาเร็จในการช่วยเหลอื ผู้ประสบอุทกภยั แยกเป็น 4 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ความสาเร็จด้านงบประมาณ มีจานวน 5 ข้อ 2. ความสาเร็จดา้ นบุคลากร มจี านวน 5 ข้อ 3. ความสาเรจ็ ด้านด้านเคร่ืองมือ เคร่อื งจักร มจี านวน 5 ข้อ ส่วนที่ 3 ปญั หาอุปสรรคและขอ้ เสนอแนะเพือ่ ปรับปรุงการบริหารจดั การการให้ความ ช่วยเหลือผูป้ ระสบอุทกภยั ของสานกั งานปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุดรธานี เปน็ คาถาม ปลายเปิดทใ่ี หผ้ ู้ตอบแบบสอบถามระบุปัญหาอปุ สรรค และข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขต่อความสาเรจ็ ใน การใหค้ วามช่วยเหลือผูป้ ระสบอทุ กภยั และด้านอนื่ ๆ ตามความคดิ เหน็ ของผู้ตอบแบบสอบถาม 4. การสร้างเคร่อื งมือและการทดสอบคณุ ภาพเครอื่ งมือ
มีขั้นตอนดงั นี้ 1. ศกึ ษาเน้อื หา แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง 2. กาหนดขอบเขตและโครงสรา้ งของเน้ือหาของแบบสอบถามท่ใี ชใ้ นการศึกษาวจิ ัย เพ่อื ใหค้ รอบคลมุ ตามวตั ถุประสงค์การวิจัย 3. ดาเนนิ การสรา้ งข้อคาถามของแบบสอบถาม รวมทงั้ กาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน 4. นาแบบสอบถามที่ผู้วจิ ัยสร้างขึ้น หลงั จากนัน้ นาไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ทา่ น ตรวจสอบและแกไ้ ขเพื่อให้มีความชัดเจน ในเร่ืองภาษาและการสื่อความหมาย และความตรงในเนอ้ื หา (Content Validity) และวัตถุประสงค์ของการวดั และนาไปใหค้ ณะกรรมการควบคมุ งานวจิ ัยทาการ 49 ตรวจสอบความถูกตอ้ งของการใช้ภาษา และความตรงในเนอ้ื หา แล้วนามาปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนา ของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ทา่ น 5. การจดั กระทาขอ้ มลู ในการจดั กระทาขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยดาเนนิ การดงั นี้ 1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถาม 2. ตรวจการกรอกแบบสอบถามสว่ นท่ี 1,2,3 ปจั จยั สว่ นบคุ คล ความสาเร็จเก่ียวกับ การบริหาร จดั การการใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภัย โดยวเิ คราะหข์ อ้ มูลแจกแจงความถ่ีรอ้ ยละ และสว่ น เบย่ี งเบนมาตรฐาน(ด้านลกั ษณะประชากร) และการวดั เป็นมาตราสว่ นประมาณค่า ( Rating Scale) อา้ งองิ มาตราวัดของลเิ คริ ท์ ( LiKert) ตามมาตรวดั 5 ระดบั คือ เห็นดว้ ยอย่างย่งิ เห็นด้วย ไม่แนใ่ จ ไม่ เหน็ ด้วย ไมเ่ ห็นด้วยด้วยอยา่ งย่ิง จานวน 15 ข้อ เกณฑก์ ารให้คะแนน ดังนี้ 5 หมายถึง เหน็ ด้วยอย่างยิง่ 4 หมายถงึ เห็นดว้ ย 3 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจ 2 หมายถงึ ไมเ่ ห็นดว้ ย 1 หมายถงึ ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่ง 6. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวจิ ัยคร้ังน้ี ผู้วิจยั ได้เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามตามขั้นตอนตอ่ ไปน้ี 1. เตรียมทีมงานในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2. การกาหนดวัน เวลา ในการจัดส่งและตอบแบบสอบถาม ผู้วิจัยไดจ้ ดั ทมี งานและทาการนดั หมายกบั ผตู้ อบแบบสอบถามลว่ งหน้า 3. การจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ทตี่ อ้ งใช้เพื่อการตอบแบบสอบถามและการเดนิ ทาง เชน่ ดนิ สอ ปากกา กระดาษจดบนั ทึก แบบสอบถามและยานพาหนะ
4. ข้นั ตอนการรวบรวมขอ้ มลู แบบสอบถาม และตรวจความสมบรู ณ์ของแบบสอบถาม หลังจาก น้ันนาขอ้ มูลจากแบบสอบถามแตล่ ะชุดไปลงรหสั เพอื่ คานวณคา่ สถิตโิ ดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูปทางสถิติ 7. การวิเคราะหข์ ้อมูล ข้อมูลที่ไดจ้ ากแบบสอบถาม ผวู้ ิจยั ไดน้ ามาวเิ คราะห์ ประมวลผลด้วยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปทาง สถิติ และรวบรวมคะแนนทงั้ หมดเพ่ือหาค่าเฉลยี่ ( Mean) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation) ของกลุ่มตวั อย่าง โดยใช้การองิ เกณฑ์ทั้งในกรณีการแปลความข้อมูลตามรายขอ้ และใน ภาพรวมโดยแบง่ เกณฑ์ในการวดั คร้งั นี้ออกเป็น 5 ระดับ ดงั นี้ 4.50-5.00 ความสาเรจ็ ในระดบั มากทีส่ ดุ 3.50-4.49 มคี วามสาเร็จในระดับมาก 2.50-3.49 มีความสาเรจ็ ในระดับปานกลาง 1.50-2.29 มคี วามสาเร็จในระดับน้อย 0.50-1.29 มีความสาเรจ็ ในระดับน้อยมาก 50 รวมทั้งวเิ คราะหข์ ้อมลู เก่ยี วกบั ปจั จยั ส่วนบุคคลกับตวั แปร ความสาเร็จในการช่วยเหลอื ผู้ประสบ อทุ กภัย โดยใช้สถติ เิ ชงิ พรรณณา ไดแ้ ก่ ค่าเฉลย่ี สว่ นค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน จาแนกเสนอเปน็ ตารางของ ตัวแปรแต่ละด้าน พร้อมวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบการบริหารจัดการในแต่ละด้าน ในการปอู งกันและแกไ้ ข ปัญหาภยั จากอุทกภยั ในพ้นื ที่ 4 จงั หวัด ความรบั ผดิ ชอบของ สานกั งานปูองกนั และบรรเทา สาธารณภยั จงั หวดั อดุ รธานี ข้อมลู ทไี่ ด้จากส่วนท่ี 3 ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ซึง่ เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ ใช้การ วเิ คราะหเ์ นื้อหา ( Content Analysis) นาเสนอในรูปความเรียง และหาคา่ ความถีข่ องแตล่ ะประเดน็ แลว้ จัดลาดบั ความสาคัญ
บทท่ี 4 ผลของการศกึ ษาวเิ คราะห์ บทนจ้ี ะเป็นการวเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการวจิ ัยท่จี ะแยกการอธิบายออกเป็นสองส่วน สว่ นที่ 1 จะเปน็ การบรรยายเพื่อวิเคราะห์ผลการวจิ ยั ทจี่ ะตอบวัตถปุ ระสงค์ข้อท่ี 1 ว่าระดับความรู้ ความเข้าใจของขา้ ราชการและเจา้ หน้าที่ของสานกั งานปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจงั หวัด อุดรธานี ให้การช่วยเหลอื ผปู้ ระสบอุทกภยั มีมากน้อยเพยี งใด ส่วนที่ 2 จะเป็นการวเิ คราะห์ ผลการวิจยั ที่ตอบวัตถุประสงค์ขอ้ ที่ 2 ว่า แนวทางการบรหิ ารจัดการการให้ความชว่ ยเหลือผูป้ ระสบ อุทกภยั ในพนื้ ท่จี งั หวดั อดุ รธานี ในด้านงบประมาณ ด้านบคุ ลากร และด้านการอพยพผูป้ ระสบ อุทกภยั ประสบความสาเร็จตามเปาู หมายทกี่ าหนดไวม้ ากนอ้ ยเพียงใด ซ่งึ ผ้วู ิจยั ได้ทาการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ด้วยแบบสอบถาม จากกลุม่ ตัวอยา่ งจานวน 60 คน แลว้ นามาวเิ คราะห์และ ประมวลผลขอ้ มลู เพ่อื คานวณหาคา่ สถิติตา่ งๆ สาหรบั ตอบปัญหาการวจิ ยั และวัตถุประสงค์การวจิ ัย พรอ้ มท้งั นาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยมรี ายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี 1 ปัจจัยสว่ นบคุ คลของผ้ตู อบแบบสอบถาม
ในการวจิ ยั คร้งั นผี้ ู้วจิ ยั กาหนดเกบ็ ขอ้ มลู ด้วยแบบสอบถามจากกลุม่ ตวั อย่างทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั งิ านดา้ นการ ให้ความช่วยเหลอื ผูป้ ระสบอุทกภยั ในพืน้ ท่ีหมู่ท่ี 1 บ้านวังเลา ตาบลโนนทอง อาเภอนายูง จังหวดั อดุ รธานี ตาราง 4.1 แสดงคา่ รอ้ ยละจานวนของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามเพศ เพศ จานวน ร้อยละ ชาย 26 43.34 หญงิ 34 56.66 รวม 60 100.00 จากตารางท่ี 4.1 พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถาม เป็นเพศชาย จานวน 26 คน คดิ เป็นร้อยละ43.34 และเพศ หญิง จานวน 34 คน คิดเปน็ ร้อยละ 56.66 52 ตารางที่ 4.2 แสดงคา่ รอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามอายุ อายุ (ปี) จานวน (คน) ร้อยละ 20 – 29 10 16.66 30 – 39 34 56.67 40 -49 13 21.67 50 – 59 3 5.00 60 100 รวม
จากตารางท่ี 4.2 พบว่าผ้ตู อบแบบสอบถาม มีอายุ 20 – 29 ปี จานวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 16.66 อายุ 30 – 39 ปี จานวน 34 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 56.67 อายุ 40 – 49 ปี จานวน 13 คน และ อายุ 50 – 59 ปี จานวน 3 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.00 ตารางที่ 4.3 แสดงคา่ ร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามตาแหน่ง จานวน ร้อยละ หวั หน้ากลมุ่ งาน/ฝาุ ย 2 3.34 ขา้ ราชการ 23 38.33 ลูกจา้ งประจา 14 23.33 พนักงานราชการ 21 35.00 รวม 60 100 จากตารางท่ี 4.3 พบว่า ผตู้ อบแบบสอบถาม ตาแหน่ง หวั หน้ากลมุ่ งาน/ฝาุ ย จานวน 2 คน คิด เป็นร้อยละ 3.34 ขา้ ราชการ จานวน 23 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 38.33 ลูกจา้ งประจา จานวน 14 คน คิด เป็นร้อยละ 23.33 และพนกั งานราชการ 21 คนคิดเป็นรอ้ ยละ 35.00 ตารางที่ 4.4 แสดงคา่ ร้อยละของผูต้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามประสบการณ์เกย่ี วกับการ ปอู งกันและชว่ ยเหลือผปู้ ระสบอทุ กภยั ตาแหน่ง จานวน (คน) ร้อยละ เคย 40 66.66 ไม่เคย 20 33.34 รวม 60 100 จากตารางท่ี 4.4 พบว่า ผ้ตู อบแบบสอบถาม เคยมปี ระสบการณเ์ ก่ียวกบั การปอู งกนั และชว่ ยเหลือผู้ ประสบอทุ กภัย จานวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 66.66 ไมเ่ คยมปี ระสบการณเ์ กีย่ วกับการปูองกันและ ช่วยเหลือผูป้ ระสบอุทกภัย จานวน 40 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 33.34 53 ตารางที่ 4.5 แสดงค่ารอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามระยะเวลาทปี่ ฏิบัตงิ าน
ระยะเวลา (ปี) จานวน (คน) ร้อยละ 1 – 3 15 25.00 4 – 6 23 38.33 7 – 9 7 1.67 10 ปขี ้ึนไป 15 25.00 รวม 60 100 จากตารางท่ี 4.5 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถาม มีระยะเวลาการทางาน 1 – 3 ปี จานวน 15 คน คิด เปน็ รอ้ ยละ 25.00 4 – 6 ปี จานวน 23 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 38.33 7 – 9 ปี จานวน 7 คนคิดเป็นรอ้ ยละ 1.67 และ 10 ปขี น้ึ ไป จานวน 15 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 25.00 ตารางท่ี 4.6 แสดงคา่ ร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามระดบั การศึกษา ระดบั การศกึ ษา จานวน ร้อยละ 1.ต่ากวา่ ปริญญาตรี 11 18.33 2.ปรญิ ญาตรี 46 76.66 3.ปริญญาโท 1 1.67 4.ปริญญาเอก 2 3.34 รวม 60 100 จากตารางที่ 4.6 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามระดบั การศกึ ษา ตา่ กว่าปรญิ ญาตรี 11 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 18.33 ปรญิ ญาตรี 46 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 76.66 ปริญญาโท 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 1.67 และปรญิ ญาเอก 2 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 3.34 ตอนท่ี 2 ความคิดเหน็ เกยี่ วกบั ความสาเร็จในการใหค้ วามช่วยเหลือผูป้ ระสบอทุ กภัยของ ผปู้ ฏบิ ตั ิงานด้านการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภยั ในพนื้ ท่ีจังหวดั ความรับผดิ ชอบของ ของจงั หวัด อดุ รธานี ตารางที่ 4.7 แสดงคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความสาเร็จในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้ ประสบอทุ กภยั รวมทกุ ดา้ น ความสาเร็จ S.D แปรผล ดา้ นงบประมาณ 3.69 0.77 มาก ด้านบุคลากร 4.10 0.64 มาก ด้านการอพยพ 4.25 0.63 มาก
รวม 4.01 0.68 มาก 54 จากตารางท่ี 4.7 พบว่าประชากรกลุ่มตวั อยา่ งมีความคิดเหน็ เก่ียวกบั ความสาเร็จในการให้ความ ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอุทกภัย ของจังหวัดอุดรธานี โดยรวมทงั้ 3 ดา้ น อยู่ในระดบั มาก เม่อื พจิ ารณาจาก ค่าเฉลย่ี ไดแ้ ก่ บคุ ลากร ด้านงบประมาณ และดา้ นการอพยพ ตามลาดบั ตารางที่ 4.8 แสดงค่าเฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความสาเรจ็ ในการให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภัย ของจังหวดั อุดรธานี ดา้ นงบประมาณ ความสาเรจ็ ดา้ นงบประมาณ 4.15 S.D. แปรผล 3.73 1. งบประมาณในการช่วยเหลอื ผู้ประสบ 3.43 0.61 มาก อทุ กภัยมีเพียงพอ (เงนิ ทดรองราชการ) 3.35 0.86 มาก 2. ขน้ั ตอนและวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณ 3.80 เกี่ยวกับการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอทุ กภัย 0.79 ปานกลาง มีความรวดเร็ว ทันเวลา 3.69 3. ค่าตอบแทนของเจ้าหน้าท่ีท่ปี ฏบิ ตั งิ านใน 0.92 ปานกลาง การให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภัย เหมาะสมและเพียงพอตอ่ สถานการณ์ปจั จุบัน 0.66 มาก 4. หนว่ ยงานไดร้ บั การสนับสนนุ งบประมาณ การใหค้ วามช่วยเหลือผปู้ ระสบอทุ กภยั ได้ 0.77 มาก เพยี งพอ 5. กรณเี กดิ อทุ กภยั ขนาดใหญ่ หน่วยงานของ ทา่ นสามารถจัดการไดอ้ ยา่ งทันทว่ งที มี ประสิทธิภาพ รวม จากตารางที่ 4.8 พบวา่ ประชากรกลุม่ ตวั อยา่ งมีความคดิ เห็นเกีย่ วกบั ความสาเร็จในการบริหาร จดั การการใหค้ วามช่วยเหลือผู้ประอทุ กภัย จังหวัดอุดรธานี โดยรวมเฉลย่ี อยใู่ นระดบั มาก เรยี งลาดบั จาก คา่ เฉลี่ยสงู สดุ คอื ดา้ นงบประมาณ กรณเี กิดอุทกภัยขนาดใหญห่ นว่ ยงานของทา่ นสามารถจัดการสาธารณ ภยั ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ขนั้ ตอนการเบิกจา่ ยงบประมาณเกย่ี วกบั การให้ความช่วยเหลอื ผู้ประสบ อุทกภัยมคี วามรวดเร็วทนั เวลาคา่ ตอบแทนของเจา้ หน้าทีท่ ี่ปฏิบตั ิงานในการใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้ประสบ อุทกภยั เหมาะสมและเพียงพอตอ่ สถานการณป์ ัจจุบนั และหนว่ ยงานได้รบั การสนับสนนุ งบประมาณการ
ใหค้ วามช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบอทุ กภยั เพยี งพอ งบประมาณในการชว่ ยเหลือผปู้ ระสบอทุ กภัยมีเพยี งพอ ตามลาดบั 55 ตารางที่ 4.9 แสดงค่าเฉลี่ย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ความสาเร็จในการให้ความช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบอุทกภัย ของจงั หวัด ดา้ นบุคลากร ความสาเรจ็ ดา้ นบคุ ลากร 3.60 S.D แปรผล 4.33 1. จานวนเจ้าหน้าทที่ ่ีปฏบิ ตั ิงานให้ความ 4.50 0.72 มาก ชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภัย มจี านวนเพยี งพอ 0.54 มาก 2. ขา้ ราชการและเจ้าหนา้ ท่ี มคี วามรู้ ความ 4.27 เข้าใจแผนปฏบิ ตั กิ ารปอู งกนั และแก้ไขปญั หา 0.57 มาก อุทกภัยประจาปี ของสานักงานปูองกันและ 3.82 บรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั อุดรธานี 0.66 มาก 3. ข้าราชการเจา้ หนา้ ท่ีมคี วามรู้ ความเข้าใจ แผนปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั ระดับ 0.72 มาก กลุม่ จังหวดั ของสานกั งานปูองกันและบรรเทา สาธารณภยั จังหวดั อดุ รธานี (พ.ศ. 2553 – 2557) 4. มกี ารจัดฝกึ ซอ้ มแผนปอู งกันและแกไ้ ข ปัญหาอทุ กภยั ของสานักงานปูองกันและ บรรเทาสาธารณภยั จังหวดั อุดรธานี ให้แก้ เจา้ หนา้ ทใ่ี นหน่วยงานร่วมกบั หนว่ ยงานอื่น ทม่ี ี สว่ นเกย่ี วข้องตามแผนฯ 5. มกี ารประสานความร่วมมือท่ีดใี นการ ปฏบิ ัตงิ านของเจ้าหน้าทใ่ี นหนว่ ยงาน และ หนว่ ยงานอ่นื ทีเ่ กย่ี วข้องตามแผนฯ
รวม 4.10 0.64 มาก จากตารางท่ี 4.9 พบว่า ประชากรกลุ่มตวั อย่างมีความคดิ เห็นเก่ยี วกบั ความสาเรจ็ ในการให้ความ ชว่ ยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของจังหวดั อดุ รธานี ด้านบคุ ลากร โดยรวมมคี า่ เฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากคา่ เฉลีย่ มากทส่ี ดุ คือ ข้าราชการเจ้าหน้าทม่ี คี วามรู้ ความเข้าใจ แผนปอู งกันและบรรเทาสา ธารณภยั ระดับกลุ่มจังหวัด ของสานักงานปอู งกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั อุดรธานี (พ.ศ. 2553 – 2557) ขา้ ราชการและเจ้าหน้าที่ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจแผนปฏิบตั ิการปอู งกนั และแก้ไขปัญหาอุทกภยั ประจาปี ของสานักงานปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยจงั หวดั อดุ รธานี มีการจัดฝกึ ซอ้ มแผนปอู งกนั และ แก้ไขปญั หาอทุ กภยั ของสานกั งานปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวดั อดุ รธานี ใหแ้ กเ้ จ้าหนา้ ทีใ่ น หน่วยงานรว่ มกับหนว่ ยงานอื่น ท่มี ีสว่ นเกยี่ วข้องตามแผนฯ มกี ารประสานความร่วมมือท่ดี ใี นการ ปฏิบัติงานของเจา้ หน้าทีใ่ นหนว่ ยงาน และหน่วยงานอนื่ ทีเ่ กย่ี วข้องตามแผนฯ และจานวนเจ้าหน้าทที่ ี่ ปฏบิ ตั ิงานใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอทุ กภัย มีจานวนเพยี งพอ ตามลาดับ 56 ตารางที่ 4.10 แสดงคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความสาเรจ็ ในการให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ ประสบอทุ กภยั ของจังหวัดอุดรธานี ดา้ นการอพยพผ้ปู ระสบอุทกภัย ความสาเรจ็ ด้านการอพยพผปู้ ระสบภยั S.D แปรผล 1. ระยะเวลาในการอพยพผู้ประสบภยั ทนั ท่วงที 4.10 0.51 มาก 2. สถานทใี่ นการอพยพเหมาะสม (ปลอดภัย/ 4.35 0.61 มาก สาธารณปู โภคเพียงพอ ถูกสขุ ลักษณะ เปน็ ต้น) 3. การประสานงานความร่วมมอื กบั หน่วยงานที่ 4.42 0.56 มาก เกยี่ วข้องเปน็ ไปด้วยความเรียบรอ้ ย 4. วสั ดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมอื เคร่อื งใช้ในการ 4.32 0.68 มาก ปฏิบัตงิ านมคี ณุ ภาพและมปี ระสิทธิภาพ เชน่ รถบรรทกุ เรือ เครื่องสบู น้า ฯลฯ 5. การแจกจ่ายถงุ ยงั ชีพมีความเพียงพอและมี 4.08 0.81 มาก คณุ ภาพ รวม 4.25 0.63 มาก จากตารางท่ี 4.10 พบว่า ประชากรกล่มุ ตวั อย่างมีความคิดเหน็ เกย่ี วกบั ความสาเร็จในการให้ ความชว่ ยเหลือผปู้ ระสบอทุ กภัย ของจงั หวัดอดุ รธานี ดา้ นการอพยพผู้ประสบอุทกภัย โดยรวมมคี า่ เฉล่ีย
อย่ใู นระดบั มาก เรยี งลาดบั จากคา่ เฉลีย่ มากที่สดุ คือ การประสานงานความรว่ มมอื กบั หน่วยงานที่ เกย่ี วข้องเปน็ ไปด้วยความเรียบรอ้ ย สถานทใี่ นการอพยพเหมาะสม (ปลอดภัย/สาธารณูปโภคเพียงพอ ถูกสุขลกั ษณะ เป็นตน้ ) วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมอื เครอื่ งใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านมีคณุ ภาพและมปี ระสทิ ธภิ าพ เชน่ รถบรรทุก เรอื เคร่ืองสบู น้า ฯลฯ ระยะเวลาในการอพยพผูประสบภยั ทนั ท่วงที การแจกจ่ายถงุ ยงั ชพี มคี วามเพียงพอและมคี ณุ ภาพ ตามลาดบั บทท่ี 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 1. บทสรุปผลการศกึ ษาวิจยั ในการศกึ ษาวิจยั เร่ือง “ความสาเรจ็ ในการใหค้ วามช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบอทุ กภัย กรณีศึกษา :ใน พ้นื ท่ีหมทู่ ี่ 1 บ้านวังเลา ตาบลโนนทอง อาเภอนายูง จังหวัดอดุ รธานี มีวตั ถุประสงค์เพื่อวเิ คราะหแ์ ละ ศึกษาความสาเร็จในการช่วยเหลอื ผปู้ ระสบอุทกภยั ทจ่ี ะปฏิบัติตามบทบาทหนา้ ทีข่ อง สานกั งานปอู งกัน และบรรเทาสาธารณภัยจังหวดั อดุ รธานี โดยมีแผนปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยจงั หวัดอุดรธานี พ.ศ. 2553-2557 และแผนปฏิบตั งิ านปูองกันและแก้ไขปญั หาอทุ กภัย พ.ศ. 2554 เป็นเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการ ปฏิบตั งิ าน ด้ังนั้น การศกึ ษาครงั้ น้จี งึ เปน็ การศกึ ษาวิเคราะห์และหาแนวทางในการปฏิบัตงิ าน ดา้ นบรหิ าร จัดการการใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทเี่ ปน็ รปู ธรรม ของสานักงานปอู งกันและบรรเทาสาธารณ ภัยจงั หวัดอดุ รธานี ประกอบด้วย ด้านงบประมาณ ด้านบคุ ลากร และดา้ นการอพยพผปู้ ระสบภยั ที่จะ สามารถสนบั สนนุ การปฏิบัตงิ าน ดา้ นการช่วยเหลอื ผปู้ ระสบอทุ กภยั จงั หวดั อดุ รธานีได้ สรุปผลการ วเิ คราะห์ขอ้ มูล ดังนี้
จากการเกบ็ ขอ้ มูลจากกลุม่ ตวั อยา่ ง ผ้ทู ี่ปฏบิ ตั ิงานดา้ นการชว่ ยเหลอื ผูป้ ระสบอทุ กภัย ของข้าราชการ เจ้าหนา้ ท่ี สานักงานปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอดุ รธานี ศูนย์ปูองกนั และ บรรเทาสาธารณภัย เขต 1 4 อุดรธานี ข้าราชการทีป่ ฏบิ ตั งิ านในทีท่ าการอาเภอนายงู และข้าราชการท่ี ปฏิบตั งิ านในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลโนนทอง อาเภอนายงู จงั หวดั อุดรธานี ท้ังหมดจานวน 60 คน พบว่า สว่ นใหญเ่ ปน็ เพศชาย จานวน 26 คน และเพศหญงิ จานวน 34 คน มีอายุ 20 – 29 ปี จานวน 10 คน อายุ 30 – 39 ปี จานวน 34 คน อายุ 40 – 49 ปี จานวน 13 คน และอายุ 50 – 59 ปี จานวน 3 คน เป็นตาแหน่ง หวั หน้ากลมุ่ งาน/ฝุาย จานวน 2 คน ขา้ ราชการ จานวน 23 คน ลูกจา้ งประจา จานวน 14 คน และพนกั งานราชการ 21 คน มีระยะเวลาการทางาน 1 – 3 ปี จานวน 15 คน 4 – 6 ปี จานวน 23 คน 7 – 9 ปี จานวน 7 คน และ 10 ปขี ้นึ ไป จานวน 15 คน เคยมปี ระสบการณ์ เก่ียวกับการปูองกันและชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภยั จานวน 40 คน ไมเ่ คยมีประสบการณเ์ ก่ียวกบั การ ปอู งกนั และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จานวน 20 คน ระดบั การศึกษา ต่ากวา่ ปรญิ ญาตรี 11 คน ปรญิ ญาตรี 46 คน ปริญญาโท 1 คน และปริญญาเอก 2 คน จากการศกึ ษาความสาเรจ็ ในการให้ความช่วยเหลอื ผูป้ ระสบอุทกภยั กรณศี กึ ษา :ในพ้นื ทห่ี มูท่ ี่ 1 บา้ นวงั เลา ตาบลโนนทอง อาเภอนายูง จงั หวดั อุดรธานี ตามแผนฯ ทัง้ 3 ด้าน พบว่า โดยสภาพรวมมี คา่ เฉลยี่ อยใู่ นระดับมาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ ด้านการอพยพผปู้ ระสบภยั มคี า่ เฉล่ียสงู สุด ( = 4.25) เน่อื งจาก ผบู้ รหิ ารใหค้ วามสาคัญในการชว่ ยเหลือผู้ประสบอทุ กภยั จงึ ส่งเสรมิ ให้มคี วามพร้อมดา้ นการอพยพ ผู้ประสบภัยตลอดจนการสง่ เสริมให้มกี ารฝกึ ซ้อมแผนปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัดและ ระดับอาเภออยา่ งตอ่ เนอื่ งเป็นประจาทกุ ปี รองลงมาคือ ดา้ นบุคลากร มคี า่ เฉลย่ี ( = 4.10) ซึ่งการพัฒนา บุคลากรของกรมปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั มกี ารดาเนนิ การอยู่ตลอดเวลาทงั้ บุคลากรภายใต้กรม หรอื บุคลากรเครอื ขา่ ยโดยเฉพาะองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ มีการจดั หลักสูตรตา่ งๆ ท้ังในระดับ ผูป้ ฏิบตั ิการฉกุ เฉนิ หรือระดบั ผบู้ ริหาร เป็นต้น และด้านงบประมาณ มีคา่ เฉล่ีย ( = 3.69) ในการจดั สรร งบประมาณเกยี่ วกบั การช่วยเหลอื ผู้ประสบภยั นั้นมีจานวนมาก และมีการจากัดวงเงินตามระดับความ 58 รนุ แรงของภยั โดยเฉพาะเงินทดรองราชการภายใต้การดาเนนิ การของ คณะกรรมการ กชภจ. ซ่งึ มผี ้วู ่า ราชการจงั หวดั เปน็ ประธาน วงเงิน 20 ล้านบาท แตย่ งั คงขอ้ ตดิ ขดั ในเรอ่ื งของระเบียบการเบิกจ่ายเงนิ (เงินทดรองราชการ)อย่บู า้ ง อยู่ในระดบั ตา่ สดุ 2. ข้อเสนอแนะในเชงิ นโยบาย ระดบั กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั 1. จากผลการศกึ ษาทไ่ี ด้รับในดา้ นงบประมาณ การเบิกจา่ ยงบประมาณในการให้ความ ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอทุ กภัย ไม่วา่ จะเปน็ การช่วยเหลือดา้ นการเงนิ หรือส่งิ ของใหแ้ กผ่ ปู้ ระสบภยั ควรมีขอ้ ปรบั ปรุงแก้ไขระเบยี บกฎหมาย หรอื ระเบยี บของการเบกิ จ่ายเงนิ ชว่ ยเหลอื ผ้ปู ระสบภัยให้เปน็ ไปด้วย ความรวดเรว็ ถกู ต้อง และเปน็ ธรรม งา่ ยตอ่ การปฏบิ ตั ิ โดยทบทวนแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลงั ว่าดว้ ย
เงินทดรองราชการฯ กาหนดให้ มกี ารใชเ้ งนิ ทดรองราชการในเชิงปูองกันภัยอันใกล้จะถึงเพมิ่ มากยิ่งข้ึน เพอ่ื สนบั สนุนชว่ ยเหลือผูป้ ระสบอทุ กภยั ได้ทันทว่ งทีและสามารถลดความเสียหายที่อาจเกดิ ขึน้ 2. ดา้ นบคุ ลากร ควรพัฒนาอบรมให้ความรู้และพัฒนาศกั ยภาพเกยี่ วกบั แนวทางและหลกั เกณฑ์ การให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภยั ตามระเบียบเงินทดรองราชการ ด้านการบริหารจัดการสาธารณ ภัย ด้านระบบบญั ชาการ ด้านการเผชญิ เหตุสถานการณฉ์ กุ เฉิน ด้านศูนย์พกั พิงตามหลกั สากล ดา้ นการ เตรยี มความพรอ้ มสู่อาเซียน ดา้ นการประชาสมั พนั ธ์เชิงรุก เป็นต้น อย่างต่อเนือ่ งเพือ่ ช่วยเหลือ ผปู้ ระสบภยั พิบตั กิ รณฉี ุกเฉินฯ ให้แก่เจา้ หนา้ ที่ทป่ี ฏิบตั ิงานด้านการใหค้ วามชว่ ยเหลือผูป้ ระสบภัยทัง้ ของ สานักงานปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั จังหวัด ศูนย์ปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต และองค์กร ปกครองสว่ นท้องถิ่นเพอื่ ใหเ้ กิดทักษะและสามารถให้คาแนะนา ช่วยเหลอื ผูป้ ระสบภัยไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง รวดเร็ว เป็นธรรมและทัว่ ถงึ อีกทั้งเพอื่ เป็นการประชาสมั พันธ์ให้ประชาชนรับทราบโดยเฉพาะในเร่อื งการ ช่วยเหลอื ดา้ นการเงนิ เฉพาะหนา้ มิใชเ่ ป็นการชดใช้คา่ เสียหายแตอ่ ยา่ งใด เพื่อใหเ้ กิดภาพลักษณ์ทีดตี อ่ องค์กร และสรา้ งความเข้าใจในการทางานรว่ มกบั ประชาชน และผูน้ าชุมชน 3. ด้านการอพยพผู้ประสบภยั กรมปอู งกันและบรรเทาสาธารณภัยไดม้ กี ารจดั สรรงบประมาณ และประชาสมั พันธใ์ หภ้ าครฐั ภาคประชาชน ตระหนักถงึ การจดั ทาแผนชุมชน จดุ อพยพของชุมชน การ ฝึกซ้อมแผน โดยเฉพาะในพนื้ ทเี่ สีย่ งอทุ กภัยและดินโคลนถลม่ ซงึ่ เปน็ ภยั ประจาถิ่น เปน็ ประจาทุกปีอยู่ แล้วและขอให้ดาเนินการอย่างต่อเนือ่ งเพอ่ื ขยายวงกวา้ งเก่ยี วกับองค์ความรูใ้ หก้ ับประชาชน รบั ทราบถงึ ต้นตอของปัญหา การบั มือภยั ท่ีอาจเกิดข้ึนเพ่อื ความยงั่ ยนื ในการแกป้ ัญหาและลดผลกระทบทย่ี ัง่ ยนื จน เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภยั รวมถึงประสทิ ธภิ าพการแจกจา่ ยถุงยงั ชีพอย่างเพยี งพอตอ้ งอาศัยการ บรหิ ารจดั การโลจิสติกส์ ปัจจบุ ันหน่วยงานเรายงั ไม่สามาถนาหลกั การดงั กล่าวมาใช้ได้จรงิ 4. ด้านระเบยี บกฎหมาย 4.1 แผนปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยระดับจงั หวัด พ.ศ. 2553-2557 เป็นเพยี ง หลกั การกวา้ งๆ แตใ่ นทางปฏบิ ตั จิ รงิ น้นั มรี ายละเอียดแตล่ ะขัน้ ตอนท่ซี ับซอ้ น มปี จั จยั เง่ือนไขตา่ งๆ มากมาย ถึงแมจ้ ะมขี อ้ ส่งั การให้องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ จัดทาแผนปูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั ของ ทอ้ งถ่นิ ขึน้ แต่เมอื่ เกิดเหตไุ มส่ ามารถหยิบแผนดงั กล่าวมาใชไ้ ด้ 4.2 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายในระยะยาว 1) ปรบั เปลี่ยนแนวคดิ การบริหารจดั การสาธารณภัยในเชิงรุก โดยเพม่ิ การปูองกนั และลด ผลกระทบและเตรยี มความพรอ้ มรับภยั จากการปฏิบัติในเชิงรับ 59 2) ผลักดนั ให้เกดิ การบูรณาการ ในการบรหิ ารจัดการสาธารณภยั โดยเหน็ ควรใหม้ กี าร จดั ต้ังองค์กรกลางในการบริหารจัดการสาธารณภยั เพ่อื ให้การทางานเปน็ ไปในลกั ษณะของการรวมแผน แบบบูรณาการ ท้ังในยามปกตแิ ละยามเกิดเหตภุ ัย
3) ความมกี ารปรบั ปรงุ ระเบียบ กฏหมาย พรบ. และกฏหมายท่เี ก่ยี วข้อง เพ่อื แก้ไข ปัญหา อปุ สรรค การปฏิบัติงานตามแผนและนโยบายท่ไี ม่ชัดเจน และให้การปฏบิ ตั ิงานสอดคล้องกับ สถานการณป์ จั จบุ นั 5. ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครงั้ ต่อไป 5.1 เนือ่ งจากการศกึ ษาครงั้ น้ี เปน็ การวิเคราะหข์ ้อมลู กลมุ่ ตวั อยา่ งที่เปน็ ข้าราชการ เจ้าหน้าทีท่ ่ีปฏิบตั งิ านดา้ นการให้ความช่วยเหลือผูป้ ระสบอุทกภยั สานกั งานปอู งกันและบรรเทาสาธารณ ภยั จังหวดั อดุ รธานเี ท่านัน้ ดังนัน้ เพือ่ เปน็ การยนื ยนั ถงึ อิทธพิ ลของตวั แปรท่ีใช้ในการศึกษาครง้ั นี้ ควรมี การศึกษาในลกั ษณะเดียวกนั โดยใช้กลุ่มตวั อยา่ ง กลุม่ เปาู หมายเครอื ขา่ ยด้านการปูองกนั และบรรเทา สาธารณภยั อื่นๆท่เี กี่ยวขอ้ ง ทงั้ หนว่ ยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือขา่ ยอาสาสมคั รทีเ่ ก่ียวข้อง ซงึ่ มี บทบาทให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภยั ในพื้นท่ีเดยี วกนั เพือ่ ใหท้ ราบถงึ แนวทางและวิธกี ารบริหารจดั การ การให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นท่ดี ังกล่าว ทาใหร้ ายละเอยี ดชัดเจนและสมบรู ณม์ ากข้ึน 5.2 ควรศึกษาการประเมนิ ผลการชว่ ยเหลอื ผ้ปู ระสบอทุ กภยั ของเจ้าหนา้ ที่ที่ปฏบิ ตั ิงาน ด้านการให้ความช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบอุทกภยั ของสานักงานปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั จังหวดั อดุ รธานี โดยใช้วิธกี ารเกบ็ ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ ดว้ ยการสมั ภาษณ์ผู้ประสบภยั และประชาชนท่ีได้รบั ผลกระทบ เพอื่ ให้ ได้มาซึ่งข้อมลู ทีจ่ ะเปน็ ประโยชนต์ ่อการปรบั ปรุง และพัฒนาการชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบภยั ตอ่ ไป
บรรณานกุ รม กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย.2549.หลักการบริหารจัดการสาธารณภัย กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย (2550) , พระราชบญั ญัติปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย. กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย (2553) กระทรวงมหาดไทย, แผนการปอ้ งกันและบรรเทา สาธารณภยั พ.ศ.2553-2557 สานกั งานปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอดุ รธานี (2556),แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ระดบั จังหวัด พ.ศ.2553-2557 ของสานกั งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจงั หวัดอุดรธานี. ศนู ยป์ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 14 อุดรธานี (2556), แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ระดับ กลุ่มจงั หวดั พ.ศ.2553-2557 ของศนู ยป์ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 14 อดุ รธานี. มฎั ฐวรรณ ลีย้ ุทธานนท์.(2555)การพฒั นารปู แบบการดแู ลช่วยเหลอื ด้านจติ ใจและดา้ นสงั คมสาหรับ ผู้ประสบภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ.วทิ ยานพิ นธ์,วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎรธ์ านี. ดร.นฤกมล จันทรจ์ ิราวฒุ ิกุล(2555) การพฒั นาแผนหลกั การจดั การภัยพิบัติธรรมชาตทิ ี่เกย่ี วขอ้ งกบั น้า: น้าท่วม นา้ แลง้ และแผ่นดนิ ถลม่ .กรณศี กึ ษา,กรมพฒั นาทีด่ ิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. ดร.ศรสี กุล เฉยี บแหลม.(2551) ผลกระทบอทุ กภัยและแนวทางในการใหค้ วามช่วยเหลือผูป้ ระสบอุทกภัย ในเขตภมู ิภาคตะวนั ออก:กรณีศกึ ษาจงั หวัดจันทบรุ ี.
ประวตั ิผู้ศึกษาวจิ ัย ช่อื – นามสกลุ นายสมพร สีดา วนั เดอื น ปี เกดิ 2 5 มถิ นุ ายน 2507 สถานท่เี กดิ จังหวดั ขอนแก่น วุฒิการศึกษา -ปรญิ ญาตรี นติ ิศาสตร์บณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เนตบิ ัณฑิต สานกั อบรมศกึ ษากฎหมายแห่งเนติบณั ฑิตยสภา ประสบการณร์ ับราชการ ปี 2530 รบั ราชการ ในตาแหน่ง นายชา่ งโยธา 1 สานกั งานเรง่ รัดพฒั นาชนบทจังหวดั อดุ รธานี ปัจจบุ ัน ดารงตาแหน่ง นายชา่ งโยธาอาวุโส 1 สังกดั สานักงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยจงั หวัดอดุ รธานี กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150