Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทย

แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทย

Published by nfenk.nammong22, 2020-06-11 00:38:59

Description: แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทย

Search

Read the Text Version

แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ วชิ าภาษาไทย รายวชิ าบงั คบั ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ รหัสวชิ า พท21001 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอทา่ บอ่ สานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จงั หวดั หนองคาย สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธิการ

แผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ กกกกกกกแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ รายวชิ า พท21001 ภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เปน็ การนารายวิชาน้ีสกู่ ารปฏบิ ตั ิจริงของครูผูส้ อน ดว้ ยการวางแผนออกแบบการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ไวล้ ว่ งหนา้ ว่าครูผสู้ อนจะจัดกิจกรรมการเรยี นร้ใู หบ้ รรลุมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั และจุดประสงค์ ด้วยรปู แบบการจดั กิจกรรม การเรยี นรู้ ONIE MODEL อย่างไร ซง่ึ ครูผูส้ อนรายวิชาน้ีทกุ คนต้องศึกษา และจัดประสบการณ์การเรยี นรใู้ ห้เป็นไปกรอบ ของการจดั การศึกษาตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 จึงจะทาให้การจัด ประสบการณก์ ารเรียนรู้ในรายวชิ าน้ี มปี ระสทิ ธิภาพและเกิดประสทิ ธิผล กกกกกกกแผนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้รายวชิ า พท21001 ภาษาไทย ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ประกอบด้วย 6 แผน ดงั นี้ กกกกกกก1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เรอื่ งท่ี 1 การปฐมนเิ ทศ 2. แผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ เร่ืองที่ 2 การฟงั และการดู 3. แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ เรอ่ื งท่ี 3 การพดู 4. แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ เร่อื งท่ี 4 การอา่ น 5. แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ เร่ืองท่ี 5 การเขียน 6. แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ เรอื่ งท่ี 6 หลักการใชภ้ าษา โดยมรี ายละเอยี ดดังน้ี

แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ กลมุ่ สาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น แผนการจดั การเรียนรู้เรือ่ งที่ 1 การปฐมนิเทศ เวลา 6 ชัว่ โมง สอนวันที่ …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรียนที่ ………ปีการศึกษา……….. มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดับ ความรู้ ความเขา้ ใจในการเรียนวิชาภาษาไทย พท21001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เกยี่ วกับรายละเอยี ด คาอธบิ ายรายวิชา กจิ กรรมการเรยี นการสอน ขอ้ ตกลง และขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิกิจกรรมใหเ้ ปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ การเรยี นรู้ เพื่อใหผ้ ู้เรียนบรรลุผลตามท่ีคาดหวัง และชว่ ยใหก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนมีประสทิ ธิภาพ ตัวชี้วัด 1. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รียนมคี วามเขา้ ใจแนวทางการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในรายวิชา รายวิชา ภาษาไทย พท 21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 2. เพอื่ เตรยี มตัวล่วงหนา้ ในการเรยี น และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3. เพื่อทดสอบความรู้พ้ืนฐานเดิมของผเู้ รียน และเปน็ แนวทางในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ การปฐมนเิ ทศ 1. รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 2. หลกั เกณฑก์ ารวัดผล และการให้คะแนนรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 3. ขอ้ ตกลงเกีย่ วกบั หลกั การ ข้อปฏิบตั แิ ละกฎระเบียบในการเรียนการสอนในหอ้ งเรยี น กระบวนการจดั การเรียนรู้ 1. ขน้ั กาหนดสภาพปญั หาความต้องการในการเรยี นรู้ 1.1 ครกู ลา่ วทกั ทายผู้เรยี น และแนะนาตัวเอง โดยบอกช่ือ นามสกุล และช่องทางการติดต่อ 1.2 ครสู อบถามผู้เรียนถงึ กจิ กรรมท่ีทาในระหวา่ งปดิ ภาคเรยี นทผี่ ่านมา และนาเข้าสเู่ ร่ืองที่จะเรียน 1.3 ครูแจง้ ใหผ้ ู้เรยี นทราบวา่ ในภาคเรียนนีจ้ ะได้เรียน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 2. ขนั้ แสวงหาขอ้ มลู และจดั การเรียนรู้ 2.1 ครูชแ้ี จงรายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ท่ีจะเรียนในภาค เรยี นน้ี จานวน 6 เร่ือง คอื การฟัง การดู การพูด การอ่าน การเขยี น หลกั การใชภ้ าษา และวรรณคดี วรรณกรรม ครูแจ้งตวั ชว้ี ัด และอภปิ รายถงึ เนื้อหา ท่ีจะเรยี นรว่ มกันกับผู้เรียน 2.2 ครู และผเู้ รียนตกลงหลักเกณฑก์ ารวัดผล และการใหค้ ะแนนในส่วนต่าง ๆ รว่ มกนั จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อัตราสว่ นคะแนนระหวา่ งภาคตอ่ ต้นภาค = 60 : 40 เปน็ ดังน้ี 1. คะแนนระหว่างเรยี น 60 คะแนนแบ่งเกบ็ ดงั นี้ 1.1 คะแนนด้านความรู้ 30 คะแนน 1.2 คะแนนด้านทกั ษะ (โครงงาน/ชิน้ งาน) 20 คะแนน 1.3 คะแนนดา้ นคณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ 10 คะแนน

2. คะแนนตน้ ภาคเรียน 40 คะแนน ดังนี้ เกณฑก์ ารประเมนิ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นดา้ นความรู้ ของผูเ้ รียนท่ีศกึ ษา หลกั สูตรรายวิชา ภาษาไทย พท21001 มดี งั น้ี หมายถงึ ผู้เรียนมีคะแนนสอบต้นภาคเรยี น ตงั้ แต่ 12.00 – 40.00 หรือ รอ้ ยละ 30 ของคะแนนเต็มขึ้นไป ไม่ผา่ น หมายถึง ผเู้ รยี นมีคะแนนสอบต้นภาคเรียน ตัง้ แต่ 0.00 – 11.99 หรือ รอ้ ยละ 0.00 – 29.99 ของ คะแนนเต็มข้ึนไป การตดั สนิ ผลการเรยี น รายวิชา ภาษาไทย พท21001 จะนาคะแนนระหว่างภาคมารวมกับคะแนนต้นภาคเรยี น และจะตอ้ งได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 50 จึงจะถือวา่ ผา่ น ท้งั นี้ ผู้เรียนต้องเข้าสอบต้นภาคเรยี นดว้ ย แล้วนาคะแนนไปเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ท่กี าหนดใหค้ ่าระดบั ผลการ เรียนเป็น 8 ระดับ ดังนี้ ได้คะแนนร้อยละ 80 – 100 ให้ระดับ 4 หมายถึง ดเี ย่ยี ม ได้คะแนนรอ้ ยละ 75 – 79 ให้ระดับ 3.5 หมายถึง ดีมาก ได้คะแนนร้อยละ 70 – 74 ให้ระดบั 3 หมายถึง ดี คะแนนร้อยละ 65 – 69 ใหร้ ะดบั 2.5 หมายถงึ ค่อนข้างดี ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 60 – 64 ให้ระดบั 2 หมายถงึ ปานกลาง ได้คะแนนร้อยละ 55 – 59 ให้ระดับ 1.5 หมายถงึ พอใช้ ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 50 – 54 ให้ระดับ 1 หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่าท่กี าหนด ได้คะแนนร้อยละ 0 – 49 ให้ระดับ 0 หมายถึง ต่ากว่าเกณฑข์ นั้ ต่าทกี่ าหนด 2.3 ขอ้ ตกลง ข้อปฏิบัติ และกฎระเบยี บในการเรยี นการสอนในหอ้ งเรียน ดังน้ี 1. ผู้เรยี นตอ้ งเขา้ เรยี นไม่ตา่ กว่า 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ ของเวลาเรียนทงั้ หมด 2. ผู้เรียนไม่พดู คุยเสยี งดงั หรือสง่ เสยี งรบกวนเพอื่ นในเวลาเรยี น 3. ผเู้ รยี นตอ้ งเขา้ เรียนใหต้ รงเวลา 4. หากมีความจาเปน็ ตอ้ งหยดุ เรยี น ตอ้ งขออนุญาตครูผูส้ อนกอ่ นทกุ ครั้ง 5. ไม่นาอาหารมารบั ประทานในห้องเรยี นขณะครูสอน 6. หากมขี ้อสงสัยขณะเรยี น ให้สอบถามครไู ดท้ ันที 3 2.4 ครูช้ีแจงรายละเอียดการพบกลุ่ม วนั เวลา สถานท่ใี ห้ผู้เรยี นทราบ 3. ข้ันปฏบิ ตั ิ และนาไปประยกุ ต์ใช้ 3.1 ครใู หผ้ ู้เรียนแนะนาตัวใหค้ รู และเพอื่ น ๆ ทุกคนในหอ้ งเรียนได้รจู้ กั 3.2 ครแู จกแบบทดสอบกอ่ นเรยี น รายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ใหผ้ ู้เรยี นทาจากนนั้ ตรวจแบบทดสอบพร้อม บันทกึ คะแนนไว้ และรว่ มกนั สรปุ ถึงการทาแบบทดสอบ กอ่ นเรยี น รายวิชา ภาษาไทย พท21001 4. ข้ันประเมินผลการเรียนรู้ 4.1 ครถู ามผู้เรียนเกีย่ วกบั เรอ่ื งท่คี รกู ล่าวมาขา้ งต้น ว่ามีเรื่องอะไรบ้างมีรายละเอยี ดท่ีสาคัญอย่างไร (เร่อื งทจ่ี ะ เรียน หลกั เกณฑก์ ารให้คะแนน กฎระเบียบ ข้อตกลง ขอ้ ควรปฏิบตั ิ กติกาในการเรียนการสอน) 4.2 ครถู ามผู้เรยี นวา่ พบกลุ่มวันไหน เวลาไหน และทไี่ หน 4.3 ครูซักถามผู้เรียนวา่ มีขอ้ สงสยั หรือไม่ 4.4 ครมู อบหมายให้ผู้เรยี นศกึ ษาเรื่องทจ่ี ะเรยี นในครัง้ ตอ่ ไปลว่ งหนา้ (เรอ่ื ง การฟัง และการดู)

การวัดผลประเมนิ ผล วิธีการวัด ประเมนิ จากการสังเกต การซักถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบก่อนเรยี น เครือ่ งมอื ได้แก่ แบบประเมนิ และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เกณฑก์ ารวัด ผา่ น ตอ้ งทาแบบทดสอบก่อนเรียน ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม สอ่ื และแหล่งเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น รายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น 2. ใบความรู้ เอกสารประกอบการปฐมนิเทศ

บันทกึ หลังสอน 1. ปญั หาหรืออปุ สรรคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแก้ปัญหาหรืออุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรงุ แผนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ เร่อื ง การปฐมนเิ ทศ ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหนง่ …………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผนู้ เิ ทศที่ได้รับมอบหมายจากผู้บรหิ าร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหนง่ …………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง………………………………………………….

แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ กลุ่มสาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ แผนการจัดการเรยี นรเู้ ร่ืองท่ี 2 เรือ่ งการฟงั และการดู เวลา 6 ช่ัวโมง สอนวนั ท่ี …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรยี นท่ี ………ปกี ารศึกษา……….. มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั การฟัง การดู 1. สามารถสรปุ ความ จบั ประเดน็ สาคญั ของเรือ่ งทฟี่ ังและดู 2. วิเคราะห์ แยกแยะขอ้ เท็จจรงิ ข้อคิดเห็นและจุดประสงค์ของ เรอื่ งท่ีฟังและดู 3. สามารถแสดงทรรศนะและ ความคิดเห็นต่อผูพ้ ูด อย่างมเี หตุผล 4. มีมารยาทในการฟงั และดู ตวั ชวี้ ัด 1. เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนมีความเขา้ ใจแนวทางการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในรายวิชา รายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 2. เพอื่ เตรยี มตัวล่วงหนา้ ในการเรยี น และมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรยี นการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพื่อทดสอบความรู้พืน้ ฐานเดมิ ของผู้เรียน และเปน็ แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ 1. สรุปความ จบั ประเดน็ สาคญั ของเรื่องทฟ่ี ังและ ดู 2.หลกั การจบั ใจความสาคัญของเรอ่ื งท่ีฟงั และดู 3. การวเิ คราะหข์ อ้ เท็จจริง ขอ้ คิดเห็นและสรปุ ความ 4.การมมี ารยาทในการฟงั และดู กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 1. ข้นั กาหนดสภาพปัญหาความต้องการในการเรยี นรู้ สรปุ ความ จับประเดน็ สาคญั ของเร่ืองทฟี่ งั และ ดู - หลกั การจับใจความสาคัญของเรือ่ งทีฟ่ ังและดู - มารยาทในการฟงั และดู - ให้ผ้เู รียนทากิจกรรมตามใบงาน 2. ข้นั แสวงหาข้อมลู และจดั การเรียนรู้ ครผู ูเ้ รยี นรว่ มกันกาหนดกรอบเน้อื หาเกยี่ วกบั การเรียนร้ดู ้วยตนเอง การใชแ้ หล่งเรียนรู้ รวมทง้ั การจัดการ ความรู้ 3. ข้ันปฏบิ ัติ และนาไปประยกุ ตใ์ ช้ 3.1 ครแู ละผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั และนาความรู้ท่ีสอดคล้องกบั วิถชี ีวิตไปเป็นแนวทางในการดาเนินชีวติ 3.2 จัดทาเปน็ รปู เลม่ รายงานจดั นิทรรศการและอภปิ รายรว่ มกัน 4. ขั้นประเมินผลการเรียนรู้ 4.1 ครแู ละผ้เู รยี นสรปุ สาระสาคัญตามมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 ซกั ถาม 4.3 แบบประเมิน

การวัดผลประเมินผล วธิ ีการวดั ประเมินจากการสงั เกต การซักถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบก่อนเรยี น เครื่องมือ ไดแ้ ก่ แบบประเมิน และแบบทดสอบก่อนเรยี น เกณฑ์การวัด ผา่ น ตอ้ งทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม สอื่ และแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 2. สอ่ื อินเทอรเ์ น็ต

ใบความรู้ เรอ่ื งการฟังและดู การเลือกส่ือในการฟังและดู สังคมปัจจุบันช่องทางการนาเสนอข้อมูลให้ดูและฟังจะมีมากมาย ดงั นัน้ ผเู้ รยี นควรรูจ้ กั เลอื กทจี่ ะดแุ ละฟัง เมอ่ื ไดร้ ับรู้ขอ้ มลู แลว้ การรู้จกั วเิ คราะห์ วิจารณ์ เพอ่ื นาไปใชใ้ นทางสร้างสรรค์ เป็นส่งิ จาเป็นเพราะผลทต่ี ามมาจากการดู และฟังจะเป็นผลบวกหรอื ลบแก้สังคม ก็ข้ึนอยูก่ ับการนาไปใชน้ ีเ่ อง นัน่ คือผลดีจะเกดิ แก่สงั คมกเ็ มื่อผู้ดแู ละฟังนาผลท่ีได้ นัน้ ไปใช้อยา่ งสร้างสรรค์ หรอื ในปจั จุบนั จะมสี านวนท่ีใช้กันอยา่ งแพรห่ ลายว่าคดิ บวกนนั่ เอง เมื่อรู้จกั หลักในการดแู ละฟงั แลว้ ควรจะรจู้ กั ประเภทเพ่อื แยกแยะในการนาไปใช้ประโยชน์ ซงึ่ อาจสรุปประเภท ไดด้ ังนี้ 1. ส่อื โฆษณา สือ่ ประเภทนีผ้ ูฟ้ ังตอ้ งรจู้ ดุ มุง่ หมาย เพราะสว่ นใหญ่จะเป็นการสือ่ ใหค้ ลอ้ ยตาม อาจไม่ สมเหตุสมผล ผู้ฟังตอ้ งพิจารณาไตร่ตรองก่อนซอื้ หรือก่อนตัดสินใจ 2. สื่อเพอ่ื ความบันเทงิ เช่น เพลง, เร่ืองเล่า ซ่งึ อาจมีการแสดงประกอบด้วย เช่น นทิ าน นิยาย หรือสอื่ ประเภท ละคร ส่ือเหลา่ นีผ้ ู้รับสารต้องระมดั ระวัง ใชว้ จิ ารณญาณประกอบการตดั สนิ ใจกอ่ นที่จะซ้ือหรือทาตาม ปัจจุบนั รายการ โทรทัศน์จะมกี ารแนะนาว่าแตล่ ะรายการเหมาะกบั กลุ่มเป้าหมายใด เพราะเชอื่ กันว่าถา้ ผูใ้ ดขาดความคิดในเชิง สร้างสรรคแ์ ล้ว สอื่ บันเทงิ อาจส่งผลร้ายตอ่ สงั คมได้ เชน่ ผู้ดูเอาตัวอยา่ งการจ้ี, ปล้น, การขม่ ขืนกระทาชาเรา และ แม้แต่การฆ่าตวั ตาย โดยเอาอย่างจากละครท่ีดูกเ็ คยมีมาแลว้ 3. ข่าวสาร สือ่ ประเภทนีผ้ รู้ บั สารต้องมีความพร้อมพอสมควร เพราะควรต้องร้จู ักแหล่งข่าว ผนู้ าเสนอขา่ ว การจับประเด็น ความมเี หตมุ ีผล ร้จู ักเปรยี บเทียบเนอื้ หาจากทมี่ าของข่าวหลาย ๆ แห่ง เปน็ ต้น 4. ปาฐกฐา เน้อื หาประเภทนี้ผรู้ ับสารต้องฟังอยา่ งมสี มาธเิ พือ่ จับประเด็นสาคัญใหไ้ ด้ และกอ่ นตัดสินใจเชอื่ หรอื นาขอ้ มูลส่วนใดไปใชป้ ระโยชนต์ ้องมีความรพู้ ืน้ ฐานในเร่อื งนน้ั ๆอย่บู า้ ง 5. สนุ ทรพจน์ สอ่ื ประเภทน้สี ่วนใหญจ่ ะไมย่ าว และมีใจความทเี่ ขา้ ใจง่าย ชดั เจน แต่ผู้ฟงั จะต้องรู้จักกล่ันกรอง สง่ิ ที่ดีไปเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ สรปุ การฟงั อย่างสรา้ งสรรค์นีจ้ ะตอ้ ง รจู้ ดุ มุ่งหมายของสารทด่ี ูและฟงั น้ัน รับฟงั และดอู ย่างตั้งใจและทาความเข้าใจ รู้จกั สรปุ และเลอื กนาไปใชป้ ระโยชน์ หลักและแนวทางการฟงั และดอู ยา่ งสร้างสรรค์ 1. ต้องเขา้ ใจความหมาย หลักเบอ้ื งตน้ จองการจับใจความของสารทีฟ่ งั และดูนน้ั ตอ้ งเขา้ ใจความหมายของคา สานวนประโยคและข้อความที่บรรยายหรอื อธบิ าย 2. ตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะของขอ้ ความ ขอ้ ความแต่ละขอ้ ความต้องมใี จความสาคัญของเรือ่ งและใจความสาคญั ของ เรื่องจะอยทู่ ป่ี ระโยคสาคญั ซง่ึ เรียกวา่ ประโยคใจความ ประโยคใจความจะปรากฏอยูใ่ นตอนใดตอนหนงึ่ ของขอ้ ความ โดยปกตจิ ะปรากฏอยใู่ นตอนตน้ ตอนกลาง และตอนทา้ ย หรอื อยูต่ อนต้นและตอนท้ายของข้อความผู้รบั สารต้องร้จู ัก สงั เกต และเขา้ ใจการปรากฏของประโยคใจความในตอนต่าง ๆ ของขอ้ ความ จงึ จะชว่ ยใหจ้ บั ใจความได้ดยี ่งิ ขนึ้ 3. ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คอื ขอ้ ความที่เปน็ ความคิดหลัก ซ่งึ มักจะมีเนือ้ หา ตรงกับหวั ขอ้ เรื่อง เชน่ เรือ่ ง “สุนัข” ความคดิ หลักคอื สนุ ขั เปน็ สัตว์เล้ียงทร่ี ักเจ้าชอง แตก่ ารฟงั เรื่องราวจากการพดู บาง

ทีไม่มีหัวขอ้ แต่จะพดู ตามลาดับของเน้ือหา ดังน้นั การจับใจความสาคญั ต้องฟงั ใหต้ ลอดเรอ่ื งแลว้ จับใจความว่า พดุ ถงึ เร่อื งอะไร คอื จับประเดน็ หัวเรอ่ื ง และเรอ่ื งเป็นอย่างไรคอื สาระสาคัญหรือใจความสาคญั ของเร่อื งนัน่ เอง 4. ตอ้ งรู้จักประเภทของสาร สารทีฟ่ ังและดมู ีหลายประเภท ต้องรจู้ กั และแยกประเภทสรปุ ของสารไดว้ ่า เปน็ สารประเภทขอ้ เท็จจรงิ ข้อคิดเหน็ หรือเป็นคาทกั ทายปราศรัย ข่าว ละคร สารคดี จะไดป้ ระเดน็ หรอื ใจความสาคัญได้งา่ ย 5. ตอ้ งตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้สง่ สารมีเจตนาทจ่ี ะส่งสารต่าง ๆ กบั บางคนต้องการให้ ความรู้ บางคนตอ้ งการโน้มน้าวใจ และบางคนอาจจะต้องการสง่ สารเพ่ือสือ่ ความหมายอ่นื ๆ ผฟู้ ังและดูต้องจับเจตนาให้ ได้ เพอื่ จะได้จับสารและใจความสาคัญได้ 6. ต้งั ใจฟังและดูให้ตลอดเร่ือง พยายามทาความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง ย่ิงเรอื่ งยาวสลับซบั ซ้อนย่งิ ต้องต้งั ใจเป็น พเิ ศษและพยายามจับประเดน็ หัวเรือ่ ง กรยิ าอาการ ภาพและเครื่องหมายอื่น ๆ ดว้ นความตั้งใจ 7. สรุปใจความสาคัญ ขัน้ สดุ ท้ายของการฟงั และดูเพื่อจบั ใจความสาคญั ก็คือสรุปใหไ้ ดว้ ่า เรื่องอะไร ใคร ทา อะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไรและทาไม หรือบางเร่อื งอาจจะสรปุ ได้ไม่ครบทง้ั หมดทั้งน้ยี ่อมข้ึนกับสารท่ีฟังจะมใี จความ สาคัญครบถว้ นมากน้อยเพียงใด วิจารณญาณในการฟังและดู พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานได้ให้ความหมายของ วิจารณญาณไว้ว่าปญั ญาทสี่ ามารถรหู้ รอื ให้เหตผุ ลที่ ถูกต้อง คานม้ี าจากคาว่า วจิ ารณ์ หรือวจิ ารณ์ คาหนึ่ง ซ่งึ แปลว่า การคดิ ใครค่ รวญโดยใช้เหตุผลและคาวา่ ญาณ คาหนึง่ ซึ่งแปลว่าปญั หาหรือ ความรูใ้ นชั้นสงู วิจารณญาณในการฟงั และดู คือการรบั สารให้เขา้ ใจเนือ้ หาสาระใชป้ ัญญาคิดใครค่ รวญโดยอาศัยความรู้ ความคดิ เหตุผล และประสบการณ์ประกอบแล้วสามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม การฟงั และดูใหเ้ กดิ วิจารณญาณน้นั มขี นั้ ตอนในการพัฒนาเป็นลาดบั บางทีก็อาจเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว บางทกี ็ต้อง อาศยั เวลา ท้ังนยี้ อ่ มขนึ้ อยกู่ ับพนื้ ฐานความรู้ ประสบการณข์ องบคุ คลและความยุง่ ยากซบั ซ้อนของเรือ่ งหรอื สารทฟี่ งั ข้ันตอนการฟงั และดอู ย่างมวี ิจารณญาณมดี งั น้ี 1. ฟังและดูใหเ้ ข้าใจเร่อื ง เม่ือฟังเรอื่ งใดกต็ ามผู้ฟังจะตอ้ งตั้งใจฟงั เรอ่ื งนน้ั ใหเ้ ข้าใจตลอดเรอ่ื ง ให้ร้วู า่ เนือ้ เรื่อง เป็นอย่างไร มีสาระสาคญั อะไรบ้าง พยายามทาความเข้าใจรายละเอยี ดท้งั หมด 2. วิเคราะหเ์ รือ่ ง จะตอ้ งพจิ ารณาว่าเร่อื งเปน็ เรอ่ื งประเภทใดเป็นขา่ ว บทความ เร่ืองส้ัน นทิ าน นิยาย บท สนทนา สารคดี ละคร และเป็นรอ้ ยแก้วหรือร้อยกรอง เป็นเร่อื งจรงิ หรอื แต่งขนึ้ ต้องวิเคราะห์ลกั ษณะของตังละคร และ กลวิธีในการเสนอสารของผู้ส่งสารใหเ้ ข้าใจ 3. วินิจฉัยเรื่อง คอื การพิจารณาเร่ืองท่ฟี งั วา่ เป็นข้อเท็จจรงิ ความรู้สกึ ความคดิ เห็นและผู้ส่งสารหรอื ผู้พูดผู้ แสดงมีเจตนาอยา่ งไรในการพดู การแสดง อาจจะมีเจตนาที่จะโน้มน้าวในจรรโลงหรอื แสดงความคดิ เห็น เป็นเรื่องทม่ี ี เหตุมผี ลมหี ลกั ฐานน่าเชื่อถือหรือไม่และมีคุณคา่ มีประโยชนเ์ พียงใด สารทใ่ี ห้ความรู้ สารทใี่ ห้ความร้บู างครั้งก็เข้าใจงา่ ย แต่งบางครง้ั ท่เี ป็นเร่ืองสลบั ซับซ้อนกจ็ ะเขา้ ใจยาก ตอ้ งใชก้ ารพนิ ิจ พิเคราะหอ์ ยา่ งลกึ ซึง้ ท้งั นีย้ ่อมขึ้นกบั เร่อื งที่เขา้ ใจงา่ ยหรือเขา้ ใจยาก ผูร้ บั มพี นื้ ฐานในเร่ืองท่ฟี ังเพยี งใด ถ้าเป็นขา่ วหรอื บทความเกีย่ วหับเกษตรกรผู้มอี าชพี เกษตรยอ่ มเข้าใจงา่ ย ถ้าเปน็ เร่ืองเกีย่ วกับธรุ กิจนักธรุ กจิ กจ็ ะไดเ้ ขา้ ใจงา่ ยกวา่ ผ้มู ี อาชีพเกษตร และผพู้ ูดหรือผู้สง่ สารกม็ ีส่วนสาคัญ ถ้ามีความรูใ้ นเร่ืองนน้ั เป็นอย่างดีรู้วธิ ีเสนอ ก็จะเข้าใจไดง้ า่ ย ขอ้ แนะนาในการรับสารท่ใี หค้ วามรูโ้ ดยใชว้ จิ ารณญาณมีดังนี้ 1. เม่ือไดร้ ับสารท่ีให้ความรู้เรอ่ื งใดตอ้ งพิจารณาว่าเร่อื งนั้นมีคุณคา่ หรอื มปี ระโยชน?ควรแกก่ ารใชว้ ิจารณญาณ มากนอ้ ยเพียงใด

2. ถ้าเรอ่ื งทต่ี อ้ งใช้วิจารณญาณไมว่ า่ จะเปน็ ขา่ ว บทความ สารคดี ข่าว หรือความร้เู ร่อื งใดก็ตาม ต้องฟงั ด้วย ความต้ังใจจับประเด็นสาคัญให้ได้ ตอ้ งตคี วามหรอื พินจิ พิจารณาวา่ ผู้ส่งสารตอ้ งการส่งสารถงึ ผูร้ บั คืออะไร และ ตรวจสอบหรอื เปรยี บเทยี บกับเพ่ือน ๆ ท่ีฟังร่วมกนั มาว่าพจิ ารณาได้ตรงกันหรือไมอ่ ยา่ งไร หากเห็นวา่ การฟงั และดูของ เราต่างจากเพือ่ นดอ้ ยกว่าเพอ่ื นจะไดป้ รับปรุงแกไ้ ขให้มีปะสิทธภิ าพการฟังพัฒนาขึน้ 3. ฝกึ การแยกแยะข้อเท็จจรงิ ขอ้ คิดเหน็ เจตคติของผู้พดู หรอื แสดงที่มีตอ่ เร่อื งที่พุดหรอื แสดงและฝึกพจิ ารณา ตดั สนิ ใจวา่ สารที่ฟงั และดูนนั้ เชื่อถอื ไดห้ รือไม่ และเชื่อถือได้มากนอ้ ยเพยี งใด 4. ขณะทีฟ่ งั ควรบันทึกสาระสาคัญของเรื่องไว้ ตลอดท้ังประเดน็ การอภปิ รายไว้เพื่อนาไปใช้ 5. ประเมนิ สารท่ใี ห้ความรวู้ า่ มีความสาคัญมคี ุณคา่ และประโยชนม์ ากนอ้ ยเพยี งใด มีแงค่ ดิ อะไรบา้ ง และผ้สู ง่ สารมีกลวธิ ใี นการถา่ ยทอดท่ดี นี ่าสนใจอย่างไร 6. นาคณุ ค่าประโยชน์ขอ้ คดิ ความรู้และกลวิธีตา่ ง ๆ ท่ีไดจ้ ากการฟังไปใช้ในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน การ ประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชวี ิต พฒั นาชุมชนและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม สารที่โน้มนา้ วใจ สารทโ่ี น้มน้าวใจเป็นสารที่เราพบเห็นประจาจากสื่อมวลชน จากการบอกเลา่ จากปากหน่งึ ไปส่ปู ากหนึง่ ซ่งึ ผ้สู ่ง สารอาจจะมีจุดมุง่ หมายหลายอยา่ งท้งั ท่ีดี และไมด่ ี มีประโยชนห์ รอื ใหโ้ ทษจุดมงุ่ หมายที่ให้ประโยชนก์ ค็ อื โน้มนา้ วใจให้ รักชาติบา้ นเมอื ง ใหใ้ ช้จา่ ยอย่างประหยัด ให้รกั ษาสิง่ แวดลอ้ ม ใหร้ ักษาสาธารณสมบัตแิ ละประพฤตแิ ตส่ ง่ิ ทด่ี ีงาม ในทาง ตรงขา้ มผสู้ ่งสารอาจจะมจี ุดมงุ่ หมายให้เกดิ ความเสียหาย มงุ่ หมายท่ีจะโฆษณาชวนเช่ือหรอื ปลุกปั่น ยุยงให้เกิดการ แตกแยก ดังนัน้ จึงต้องมวี จิ ารณญาณ คิดพิจารณาให้ดีกว่าสารนั้นเปน็ ไปในทางใด การใช้วจิ ารณญาณสารโนม้ น้าวใจควรปฏิบัติดงั น้ี 1. สารนั้นเรยี กร้องความสนใจมากน้อยเพียงมด หรือสรา้ งความเชอ่ื ถือของผูพ้ ูดมากนอ้ ยเพียงใด 2. สารทีน่ ามาเสนอน้ัน สนองความตอ้ งการพ้นื ฐานของผ้ฟู ังและดุอย่างไรทาใหเ้ กิดความปรารถนาหรือความ วา้ วนุ่ ขนึ้ ในใจมากน้อยเพียงใด 3. สารไดเ้ สนอแนวทางทส่ี นองความต้องการของผู้ฟังและดูหรอื มีส่ิงใดแสดงความเห็นวา่ หากผูฟ้ ังและดยู อมรบั ข้อเสนอน้ันแลว้ จะไดร้ บั ประโยชนอ์ ะไร 4. สารท่ีนามาเสนอน้นั เร้าใจให้เชื่อถือเก่ียวกับส่งิ ใด และตอ้ งการให้คดิ หรอื ปฏบิ ัตอิ ยา่ งไรต่อไป 5. ภาษาท่ีใช้ในการโนม้ น้าวใจนน้ั มลี กั ษณะทาให้ผู้ฟงั เกิดอารมณอ์ ย่างไรบ้าง สารท่ีจรรโลงใจ ความจรรโลงใจ อาจได้จากเพลง ละคร ภาพยนตร์ คาประพนั ธ์ สนุ ทรพจน์ บทความบางชนิด คาปราศรยั พระ ธรรมเทศนา โอวาท ฯลฯ เมื่อได้รับสารดังกลา่ วแลว้ จะเกิดความรู้สึกสบายใจ สุขใจ คลายเครียด เกิดจินตนาการ มองเห็นภาพและเกิดความซาบซง้ึ สารจรรโลงใจจะช่วยยกระดับจิตใจมนษุ ยใ์ ห้สูงขน้ึ ประณตี ขนึ้ ในการฝกึ ใหม้ ี วจิ ารณญาณในสารประเภทนค้ี วรปฏบิ ตั ิดังน้ี 1. ฟังและดดู ว้ ยความตัง้ ใจ แตไ่ ม่เครง่ เครยี ดทาใจใหส้ บาย 2. ทาความเขา้ ใจในเน้ือหาทส่ี าคัญ ใช้จินตนาการไปตามจุดประสงคข์ องสารนั้น 3. ต้องพจิ ารณาวา่ สิ่งฟงั และดูให้ความจรรโลงในด้านใด อยา่ งไรและมากนอ้ ยเพยี งใด หากเร่อื งน้ันต้องอาศัย เหตุผล ต้องพจิ ารณาวา่ สมเหตสุ มผลหรือไม่ 4. พจิ ารณาภาษาและการแสดง เหมาะสมกับรูปแบบเนือ้ หาและผู้รับสารหรอื ไม่เพียงใด หลกั การฟังและดูท่ดี ี หลกั การฟังและดูทด่ี มี แี นวท่ตี ้องปฏิบตั ิหลายประการดว้ ยกัน ซึ่งผฟู้ งั และดจู ะตอ้ งปฏบิ ัตติ ามการฟงั และดจู ึงจะ ประสบความสาเรจ็ หลกั การฟงั และดูทีด่ มี ีดงั น้ี

1. ฟงั และดูใหต้ รงตามความมงุ่ หมาย การฟงั แต่ละครงั้ จะต้องมจี ดุ ม่งุ หมายในการฟงั และดู ซง่ึ อาจจะมี จดุ มุ่งหมายอย่างใดอยา่ งหน่งึ โดยเฉพาะหรือมีจุดม่งุ หมายหลายอยา่ งพรอ้ มกนั ก็ได้ จะต้องเลอื กฟังและดูใหต้ รงกบั จุดมุง่ หมายทไ่ี ดต้ ั้งไวแ้ ละพยายามท่จี ะใหก้ ารฟังและดแู ต่ละครง้ั ได้รบั ผลตามจดุ มุ่งหมายที่กาหนด 2. มคี วามพรอ้ มในการฟงั และดู การฟงั และดูจะไดผ้ ลจะต้องมีความพรอ้ มทง้ั ร่างกายจิตใจและสติปัญญาคือต้อง มีสขุ ภาพดีทัง้ ร่างกาย และจติ ใจไม่เหนด็ เหนอื่ ยไม่เจบ็ ป่วยและไมม่ ีจิตใจเศร้าหมอง กระวนกระวาย การฟังและดูจึงจะ ไดผ้ ลดี และตอ้ งมพี ืน้ ฐานความรูใ้ นเรอื่ งนนั้ ดพี อสมควร หากไม่มีพื้นฐานทางความรู้ สติปัญญากย็ ่อมจะฟังและดไู ม่ร้เู รอื่ ง และไม่เขา้ ใจ 3. มสี มาธใิ นการฟังและดู ถา้ หากไมม่ ีสมาธิขาดความตง้ั ใจย่อมจะฟังและดไู ม่รู้เรอ่ื ง การรับรแู้ ละเขา้ ใจจะไม่เกดิ ดังน้นั จะต้องมีความสนใจ มีความตงั้ ใจและมสี มาธใิ นการฟังและดู 4. มคี วามกระตอื รอื ร้นในการฟงั และดู ผทู้ ีม่ ีจุดมุ่งหมายในการฟงั และดูมองเหน็ คณุ คา่ และประโยชน์ของการฟงั และดู ย่อมจะมีความกระตือรอื รน้ มีความพร้อมท่ีจะรบั รแู้ ละทาความเขา้ ใจเพ่อื จะใหไ้ ด้ประโยชน์สูงสุดจากการฟงั และดู น้ัน ผ้มู คี วามกระตอื รอื ร้นใฝใ่ จใครร่ ู้ย่อมมีประสทิ ธิภาพในการฟงั และดูสงู 5. ฟังและดโู ดยไม่มอี คติ ในการฟงั จะต้องทาใจเปน็ กลางไม่มอี คติตอ่ ผพู้ ดู ไมม่ ีอคติต่อเร่ืองทีพ่ ดู หากมอี คติ เพราะไมช่ อบเร่ืองไม่ศรทั ธาผพู้ ดู กจ็ ะทาใหไ้ มพ่ รอ้ มทจ่ี ะรับรแู้ ละเขา้ ใจในเรอ่ื งนัน้ จะทาใหก้ ารฟงั และดูไม่ประสบ ผลสาเร็จ 6. รู้จกั สรปุ และจดบนั ทึกสาระสาคัญ ในการฟังและดเู พื่อความรู้และเพอื่ การนาไปใช้นาไปปฏิบตั ิ บางครง้ั มี ความจาเป็นทตี่ อ้ งสรปุ สาระสาคญั ท่จี ะนาไปใช้และนาไปปฏิบัติ พร้อมท้งั จดบนั ทกึ เพ่อื จะได้ไมล่ มื หรือเมอ่ื ตอ้ งการใช้จะ ได้นามาใชไ้ ด้ คณุ สมบัติของผู้ฟงั และดูท่ีดี ผูฟ้ งั และดทู ด่ี คี วรปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1. สามารถปฏิบัติตามหลักการฟงั และดูที่ดีได้ ผู้ฟังและดทู ่ีดจี ะต้องสามารถทจี่ ะปฏิบัติตามหลกั การฟังและดทู ่ีดี คือ ฟังและดใู ห้ตรงจุดมุ่งหมาย เตรยี มความพรอ้ มในการฟงั และดตู ั้งใจและกระตอื รือร้น ไมม่ ีอคตแิ ละรจู้ ักสรปุ สาระสาคญั ของเรอ่ื งที่ฟังและดนู ัน้ ได้ 2. มีมารยาทในการฟงั และดู มารยาทในการฟงั และเป็นสง่ิ ทจี่ ะชว่ ยสรา้ งบรรยากาศทดี่ ีในการฟงั และดู เป็น มารยาทของการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมอย่างหนึง่ หากผู้ฟงั และดไู ม่มมี ารยาท การอยู่รว่ มกันในขณะทฟี่ ังและดู ย่อมไม่ปกติ สขุ มีบรรยากาศที่ไม่เหมาะสมและไมเ่ อือ้ ตอ่ ความสาเร็จ ตัวอย่างเชน่ ขณะที่ฟังและดกู ารบรรยายถ้ามีใครพดู คยุ กัน เสียงดงั หรอื กระทาการท่ีสรา้ งความไม่สงบรบกวนผอู้ ื่น บรรยากาศในการฟงั และดนู ้นั ยอ่ มไมด่ ี เกดิ ความราคาญตอ่ เพอื่ นท่นี ง่ั อยู่ใกลจ้ ะได้รบั การตาหนิวา่ ไมม่ ีมารยาท ขาดสมบัติผ้ดู ี แตถ่ ้าเป็นผู้มมี ารยาท ยอ่ มได้รบั การยกย่องจากบคุ คล อ่ืนทาให้การรบั สารดว้ ยการฟงั และดปู ระสบความสาเรจ็ โดยงา่ ย 3. รจู้ กั เลอื กฟังและดใู นสง่ิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ ผูฟ้ งั และดทู ีด่ ีจะตอ้ งรู้จักเลอื ก ฟังและดใู นส่ิงท่ีจะเป็นประโยชนต์ ่อ ตนเอง ครอบครวั ชุมชนและสังคม โดยเลอื กฟงั และดจู ากบุคคลและส่อื ในเร่อื งที่จะเป็นประโยชน์ต่ออาชพี ชีวิตความ เป็นอยู่และความรับผิดชอบในสงั คม เม่อื ฟังและดูสง่ิ ใดแลว้ ต้องนาไปใช้ได้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาอาชพี พฒั นา คณุ ภาพชวี ิตและพฒั นาสงั คม มารยาทในการฟงั และการดู การฟงั และดจู ะสมั ฤทธ์ผิ ลนั้น ผูฟ้ ังตอ้ งคานงึ ถึงมารยาทในสังคมดว้ ย ยงิ่ เปน็ การฟงั และดใู นท่ีสาธารณะย่ิงตอ้ ง รกั ษามารยาทอย่างเครง่ ครดั เพราะมารยาทเป็นเครอ่ื งกากบั พฤติกรรมของคนในสงั คม ควบคุมใหค้ นในสังคมประพฤติ ตนให้เรียบร้อยงดงาม อันแสดงถึงความเป็นผู้ดีและเป็นคนท่ีพฒั นาแลว้

การฟังและดูในโอกาสตา่ ง ๆ เป็นพฤตกิ รรมทางสังคม ยกเว้นการฟังและดจู ากสือ่ ซึ่งอาจฟังและดอู ยตู่ ามลาพงั แตใ่ นบางครัง้ การฟังและดบู ทเรียนจากสอื่ ทางไกลก็มกี ารฟังและดูกนั เปน็ กลุ่มร่วมกับบุคคลอืน่ ด้วย จาเปน็ ต้องรกั ษา มารยาท เพ่อื มใิ ห้เป็นการรบกวนสมาธิของผทู้ ี่คนในกลุ่ม และสมาธขิ องผ้ทู ่กี าลังพูดหรือแสดงใหเ้ ราดว้ ย การรักษา มารยาทในขณะที่ฟงั และดูเปน็ การแสดงถึงการมสี ัมมาคารวะต่อผู้พูดหรือผแู้ สดง หรอื ตอ่ เพื่อนผ้ฟู งั ด้วยกนั แบะต่อ สถานท่ีผูม้ มี ารยาทยงั จะไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นผู้มวี ฒั นธรรมดงี ามอีกดว้ ย มารยาทมนการฟงั และดูในโอกาสตา่ ง ๆ มีดงน้ี 1. การฟังและดเู ฉพาะหน้าผู้ใหญ่ เม่ือฟงั และดูเฉพาะหนา้ ผใู้ หญไ่ มว่ ่าจะอยแู่ ตล่ าพงั หรอื มผี อู้ ่ืนรว่ มอย่ดู ว้ ยก็ตาม จะตอ้ งสารวมกริ ิยาอาการให้ ความวนใจด้วยการสบตากบั ผู้พูด ผู้ทีส่ อ่ื สารให้กันทราบ ถ้าเป็นการสนทนาไมค่ วรชงิ พูดกอ่ นทีค่ ่สู นทนาจะพูดจบ หรือ ถ้ามีปญั หาขอ้ สงสยั จะถามควรให้ผู้พูดจบกระแสความกอ่ นแลว้ จึงถาม หากมเี พอ่ื นรว่ มฟังและดูอย่ดู ้วยต้องไม่กราการใด อนั จะเป็นการรบกวนผู้อ่ืน 2. การฟงั และดใู นทีป่ ระชุม การประชมุ จะมปี ระธานในทป่ี ระชมุ เปน็ ผนู้ าและควบคุมให้การประชุมดาเนนิ ไปด้วยดี ผู้เขา้ รว่ มประชุมต้องให้ ความเคารพตอ่ ประชาชน ในขณะทีป่ รานหรอื ผู้ร่วมประชมุ คนอนื่ พูด เราตอ้ งตัง้ ใจฟังและดู หากมีสาระสาคัญก็อาจจด บันทึกไวเ้ พ่อื จะได้นาไปปฏิบตั ิ หรือเปน็ ข้อมูลในการอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ ไมค่ วรพูดกระซบิ กับคนข้างเคียง ไม่ ควรพดู แซงขึ้น หรอื แสดงความไมพ่ อใจให้เหน็ ควรฟังและดูจนจบแล้วจงึ ใหส้ ญั ญาณขออนญุ าตพูดด้วยการยกมือ หรือ ขออนญุ าต ไม่ควรทากจิ ธรุ ะส่วนตัวในทป่ี ระชุมหรือดกู ารสาธิต และไม่ทาสง่ิ อ่ืนใดท่ีจะเปน็ การรบกวนทีป่ ระชมุ 3. การฟังและดใู นท่สี าธารณะ การฟังและดใู นทีส่ าธารณะเปน็ การฟังและดทู ่ีมีคนจานวนมากในสถานที่ที่เป็นหอ้ งโถงกวา้ งไม่มมี ้าน่งั เชน่ โรง ภาพยนตร์ โรงละคร และในสถานทท่ี ่ีเปน็ ลานกวา้ ง อาจจะมหี ลงั คาหรอื ไม่มกี ็ได้ เช่น สนามโรงเรียน สนามกีฬา ลาน ตา่ ง ๆ ในชุมชน ขณะท่ฟี ังและดูไม่ควรกระทาการใด ๆ ท่ีจะก่อความราคาญ สรา้ งความวุ่นวายให้แกบ่ ุคคลท่ีชมหรือฟงั รว่ มอยดู่ ้วย ข้อควรระวงั มีดังนี้ การฟังและดูในโรงภาพยนตร์หรือโรงละคร 1. รกั ษาความสงบ ไม่ใช้เสยี งพูดคยุ และกระทาการใด ๆ ท่ีจะทาให้เรื่องรบกวนผอู้ ่ืนและไม่ควรนาเด็กเล็ก ๆ ทไี่ ร้ เดียงสาเข้าไปดูหรือฟงั ด้วยเพราะอาจจะร้องหรือทาเสยี งรบกวนผอู้ ่นื ได้ 2. ไมค่ วรนาอาหารของขบเคี้ยว ของทีม่ ีกลิน่ แรงเขา้ ไปในสถานท่ีน้ัน เพราะเวลาแกห้ อ่ อาหาร รบั ประทานของขบ เคีย้ วก็จะเกิดเสยี งดงั รบกวนผู้อนื่ และของทม่ี กี ล่นิ แรงก็จะทาให้กลิน่ รบกวนผอู้ น่ื ด้วย เพราะโรงภาพยนตร์หรือโรงละคร การถ่ายเทของอากาศไม่สะดวก 3. ไม่เดนิ เขา้ ออกบ่อย เพราะในสถานทีน่ ้นั จะมืด เวลาเดินอาจจะเหยยี บหรอื เบียดผูร้ ว่ มฟงั ดว้ ย หากจาเปน็ ควร เลอื กที่นั่งท่สี ะดวกตอ่ การเดินเข้าออก เชน่ นงั่ ใกลท้ างเดิน เป็นตน้ 4. ไม่ควรแสดงกริ ิยาอาการทไ่ี มเ่ หมาะไมค่ วรระหวา่ งเพ่อื นต่างเพศในโรงมหรสพ เพราะเป็นเรือ่ งสว่ นบคุ คลขดั ต่อ วัฒนธรรมประเพณไี ทย ไม่ควรแสดงกริ ยิ า อาการดังกล่าวในทส่ี าธารณะ 5. ไมค่ วรส่งเสยี งดงั เกินไปเมือ่ ชอบใจเป็นพิเศษในเรื่องทดี่ หู รอื ฟงั เชน่ ถึงตอนทช่ี อบใจเปน็ พิเศษก็จะหวั เราะเสยี ง ดัง ปรบมอื หรอื เปา่ ปาก ซ่ึงจะเป็นการสรา้ งความราคาญและรบกวนผู้อนื่ การฟงั ในลานกวา้ ง ส่วนใหญ่จะเป็นการชมดนตรแี ละการแสดงทเ่ี ปน็ ลกั ษณะมหกรรมบนั เทงิ ควรปฏิบตั ิดังน้ี 1. อยา่ สง่ เสียงดังจนเกินไป จะทาใหเ้ ปน็ ทรี่ บกวนผ้รู ่วมชม หากถกู ใจเป็นพเิ ศษก็ควรดจู งั หวะอันควรไมท่ าเกนิ พอดี 2. ไม่แสดงอาการกริ ิยาท่ไี ม่สมควร เช่น การโยกตวั การเต้นและแสดงทา่ ทางต่าง ๆ เกนิ พอดี 3. ไม่ด่ืมของมึนเมาเข้าไปชมการแสดงหรอื ไม่นาไปดืม่ ขณะชม

4. ไมค่ วรแสดงกริ ิยาทไี่ มเ่ หมาะสมกับเพื่อนต่างเพศหรือเพศตรงขา้ มเพราะขดั ต่อวัฒนธรรมไทย และอาจผดิ กฎหมายดว้ ย 5. ควรยนื หรือนั่งใหเ้ รยี บร้อยไม่ควรเดินไปเดนิ มาโดยไม่จาเปน็ เพราะจะทาความวุ่นวายให้บุคคลอนื่

1. คาสงั่ ใบงาน เรือ่ งการฟงั และดู ใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกล่มุ ละ 3-4 คน จงสรุปมารยาทในการฟงั และดวู า่ มอี ะไรบา้ ง .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

บันทกึ หลังสอน 1. ปัญหาหรอื อุปสรรคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแก้ปญั หาหรอื อปุ สรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรับปรุงแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เรื่อง การฟงั และการดู ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผู้นิเทศทไ่ี ด้รบั มอบหมายจากผบู้ ริหาร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหนง่ ………………………………………………….

แผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ กลุ่มสาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น แผนการจดั การเรียนรเู้ รอ่ื งที่ 3 เรื่องการพดู เวลา 6 ชั่วโมง สอนวันที่ …….……เดอื น …………………พ.ศ.………......... ภาคเรยี นท่ี ………ปีการศึกษา……….. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ 1. สามารถพดู นาเสนอความรู้ แสดงความคดิ เห็น สรา้ งความเข้าใจ โนม้ น้าวใจ ปฏิเสธเจรจาต่อรอง ดว้ ยภาษากริ ยิ าท่าทางท่ีสภุ าพ ในโอกาสต่างๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. มมี ารยาทในการพูด ตัวชี้วัด 1. พูดนาเสนอความรู้ ความคดิ เหน็ สร้างความเข้าใจ โน้มน้าวใจ ปฏเิ สธ เจรจาตอ่ รอง ดว้ ยภาษา กิริยาทา่ ทาง ท่ีสุภาพ 2. ปฏบิ ตั ติ นเป็นผูม้ มี ารยาท ในการพูด สาระการเรียนรู้ 1. สรปุ ความ จับประเด็นสาคัญของเร่อื งท่ีพดู ได้ 2. การพูดนาเสนอความรู้ ความคดิ เหน็ และ การพดู ในโอกาสตา่ งๆ เชน่ - พดู แนะนาตนเอง - พูดกลา่ วตอ้ นรับ - พดู กล่าวขอบคุณ - พูดโน้มนา้ วใจ - พดู ปฏเิ สธ - พดู เจรจาตอ่ รอง - พดู แสดงความคดิ เห็น 3. การมีมารยาทในการพดู กระบวนการจดั การเรียนรู้ 1. ขนั้ กาหนดสภาพปญั หาความต้องการในการเรยี นรู้ ครูและผู้เรียนรว่ มกนั กาหนดการเรยี นรู้ในเรอื่ งตอ่ ไปน้ี - สรุปความ จบั ประเด็นสาคัญของเรอื่ งทพ่ี ดู - วิธกี ารพูดนาเสนอความรู้ ความคิดเห็น - ให้ผู้เรยี นทากจิ กรรมตามใบงาน

2. ข้นั แสวงหาข้อมูล และจัดการเรียนรู้ ครผู เู้ รยี นร่วมกนั กาหนดกรอบเนอื้ หาเก่ียวกับการเรยี นรู้ด้วยตนเอง การใชแ้ หลง่ เรียนรู้ รวมท้งั การจดั การความรู้ 3. ขน้ั ปฏิบัติ และนาไปประยกุ ต์ใช้ 3.1ครูและผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั และนาความรู้ที่สอดคล้องกับวถิ ชี วี ิตไปเป็นแนวทางในการดาเนินชวี ิต 3.2จัดทาเป็นรปู เล่มรายงานจัดนิทรรศการและอภปิ รายร่วมกัน 4. ข้ันประเมินผลการเรียนรู้ 4.1 ครูและผเู้ รยี นสรุปสาระสาคัญตามมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 ซกั ถาม 4.3 แบบประเมนิ การวดั ผลประเมนิ ผล วิธกี ารวดั ประเมนิ จากการสังเกต การซกั ถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบก่อนเรยี น เครื่องมือ ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ และแบบทดสอบกอ่ นเรียน เกณฑ์การวัด ผ่าน ตอ้ งทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเตม็ ส่ือ และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 2. สอื่ อินเทอร์เน็ต

ใบความรู้ เรือ่ งการพดู การพูด เป็นวธิ ีหนึ่งของการสอื่ สาร การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจความรสู้ กึ หรอื ความตอ้ งการ ด้วยเสียง ภาษา และกิรยิ าทา่ ทางเพือ่ ให้ผ้รู ับฟงั รับรู้ เขา้ ใจได้ตรงตามจุดประสงคข์ องผ้พู ดู การสอื่ สารจึงจะบรรลุผลไดห้ ลกั การพดู ความหมายของการพูด ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 พดู คือ การเปล่งเสียงออกเปน็ ถอ้ ยคา, พูดจาการพดู เปน็ การสื่อสารดว้ ยภาษาจากตัวผพู้ ดู ไปยังผู้ฟังเพื่อส่อื ความหมายให้ผู้อ่ืนทราบความรู้สึกนึกคิดและความตอ้ งการของตน รวมท้ังเปน็ การแลกเปลีย่ นขา่ วสาร ความรู้ ความคดิ เหน็ กอ่ ให้เกิดความเข้าใจซ่ึงกันและกันช่วยให้กิจการต่างๆ ดาเนนิ ไป ด้วยความเรียบร้อย องคป์ ระกอบของการพดู การพูดมอี งค์ประกอบสาคญั อยู่ 3 ประการ ดังนี้ ผพู้ ดู ผพู้ ดู เป็นผู้ทจ่ี ะต้องถ่ายทอดความร้สู กึ ความคิดเห็น ข้อเท็จจรงิ ตลอดจนทัศนคตขิ องตนสู่ผ้ฟู งั โดยใช้ภาษา เสยี ง อากับกริ ยิ าและบคุ ลกิ ภาพของตนใหม้ ีประสิทธิภาพมากท่ีสดุ ผพู้ ดู จะต้องคานึงถงึ มารยาทและคุณธรรมในการพดู ด้วย สงิ่ สาคญั ทผี่ ูพ้ ูดจะตอ้ งยดึ ไว้เปน็ แนวปฏิบตั ิคือผพู้ ูดจะต้องรู้จกั สะสมความรู้ ความคิดและประสบการณ์ท่ีมีคุณค่า มปี ระโยชน์แลว้ รวบรวม เรยี บเรียงความรู้ ความคิดเหล่านี้ ให้มีระเบียบเพ่ือท่ีจะไดถ้ ่ายทอดให้ผูฟ้ งั เข้าใจได้โดยง่าย แจม่ แจ้งการสะสมความรู้ ความคิดและประสบการณ์ ผู้พูดสามารถทาได้หลายทาง เช่นจากการอา่ น การฟัง การสังเกต การ กระทาหรือปฏิบัติด้วยตนเองการสนทนากับผู้อื่นนอกจากน้ีแล้ว ผู้พูดจะต้องมีทักษะ ในการพูด การคิด การฟังและมี ความสนใจทจ่ี ะพฒั นาบุคลิกภาพอยเู่ สมอซ่งึ จะชว่ ยให้ผ้พู ดู เกิดความมน่ั ใจในตนเอง สาระหรอื เร่ืองราวทีพ่ ูด คือ เน้ือหาสาระที่ผู้พูดพูดออกไป ซ่ึงผู้พูดจะต้องคานึงอยู่เสมอวา่ สาระท่ีตนพดู น้ันจะต้องมีประโยชน์ตอ่ ผู้ฟัง อีกท้ังควรเป็นเร่ืองท่ีใหม่ ทันสมัยเน้ือหาจะต้องมีความชัดเจน ผู้พูดต้องขยายความคือความรู้ที่นาเสนอสู่ผู้ฟังให้มี ความกระจ่างซึ่งอาจขยายความด้วยการยกตัวอย่างแสดงด้วยตัวเลขสถิติหรือยกหลักฐานต่าง ๆ มาอ้างอิง การเตรียม เนือ้ หาในการพดู มีขนั้ ตอน ดงั น้ี 2.1) การเลือกหัวขอ้ เร่อื งถ้าผู้พดู มีโอกาสเลือกเรื่องที่จะพูดเอง ควรยดึ หลักทีว่ ่าตอ้ ง เหมาะสมกับผูพ้ ดู คอื เป็น เรื่องที่ผู้พูดมีความรอบรู้ในเร่ืองน้ันและเหมาะสมกับผู้ฟังเป็นเรื่องท่ีผู้ฟังมีความสนใจ นอกจากนี้จะต้องคานึงถึงโอกาส สถานการณ์ สถานท่ี และเวลา ท่ีกาหนดใหพ้ ูดดว้ ย 2.2) การกาหนดจดุ มุ่งหมายและขอบเขตของเรื่องทีจ่ ะพูดผูพ้ ูดจะต้องกาหนด จุดมงุ่ หมายในการพดู แตล่ ะครัง้ ให้ ชัดเจนวา่ ตอ้ งการให้ความรโู้ น้มนา้ วใจหรือเพ่อื ความบนั เทงิ เพือ่ จะได้เตรียมเร่อื งให้สอดคลอ้ งกบั จดุ มงุ่ หมายนอกจากน้ีผู้ พูดจะตอ้ งกาหนดขอบเขตเรื่องที่จะพดู ดว้ ยวา่ จะครอบคลุมเนอ้ื หาลกึ ซึ้งมากนอ้ ยเพียงใด 2.3) การค้นคว้าและรวบรวมความรู้ผพู้ ูดต้องประมวลความรู้ความคดิ ทง้ั หมดไว้แลว้ แยกแยะใหไ้ ด้ว่าอะไรคอื ความคิดหลัก อะไรคือความคดิ รองส่งิ ใดทจี่ ะนามาใช้เปน็ เหตผุ ลสนบั สนุนความคดิ นน้ั ๆ และท่ีสาคัญผู้พูดจะตอ้ งบนั ทึกไว้

ให้ชัดเจนว่าข้อมลู ทไ่ี ดม้ านนั้ มีที่มาจากแหล่งใดใครเป็นผพู้ ูด หรือผู้เขยี น ทง้ั นผ้ี พู้ ูดจะได้อา้ งองิ ที่มาของขอ้ มลู ไดถ้ กู ตอ้ ง ในขณะทพี่ ดู 2.4) การจัดระเบยี บเรอ่ื งคือ การวางโครงเรอ่ื งซงึ่ จะช่วยให้การพูดไม่วกวนสบั สนเพราะผพู้ ดู ได้จัดลาดับข้ันตอน การพดู ไว้อยา่ งเป็นระเบียบ มคี วามต่อเนื่องครอบคลุมเน้อื หาทง้ั หมดช่วยให้ผูฟ้ ังจับประเด็นได้งา่ ยการจัดลาดับเนือ้ เรื่อง จะแบ่งเปน็ สามตอน คอื คานาเน้อื เรอื่ งและการสรปุ ผฟู้ งั ผูพ้ ูดกับผู้ฟังมีความสัมพันธก์ ันโดยผ้พู ูดต้องเร้าความสนใจผู้ฟงั ด้วยการใช้ภาษา เสยี ง กิรยิ าทา่ ทางบุคลิกภาพของ ตนในขณะเดียวกันผฟู้ งั กม็ ีส่วนชว่ ยให้การพดู ของผพู้ ูดบรรลจุ ุดหมายไดโ้ ดยการตั้งใจฟังและคิดตามอย่างมเี หตุผล ก่อนจะ พดู ทกุ ครงั้ ผู้พดู ต้องพยายามศึกษารายละเอียดทีเ่ กย่ี วกับผู้ฟงั ให้มากที่สดุ เช่น จานวนผ้ฟู ัง เพศ ระดบั การศกึ ษาความเช่อื และคา่ นิยม ความสนใจของผูฟ้ งั เป็นตน้ การวเิ คราะหผ์ ฟู้ งั ล่วงหนา้ นอกจากจะไดน้ าข้อมูล มาเตรียมการพูดให้เหมาะสม แลว้ ผู้พูดยังสามารถนาข้อมูลนัน้ มาใช้ในการแกป้ ญั หาเฉพาะหน้าทีอ่ าจจะเกิดข้ึนได้เหมาะสมกับสถานการณด์ ้วย จุดมุ่งหมายของการพดู โดยท่วั ไปแล้ว การพูดจะมจี ุดมุง่ หมายทสี่ าคญั ๆ อยู่ 3 ประการ 1. การพดู เพือ่ ให้ความรคู้ วามเขา้ ใจ การพูดเพือ่ จุดมุ่งหมายนี้เราได้ฟังอยเู่ ปน็ ประจาไมว่ ่าจะเปน็ ขา่ วสารจากวทิ ยโุ ทรทศั นห์ รอื จากวงสนทนาใน ชีวิตประจาวันมีจุดมงุ่ หมายท่จี ะให้ผู้ฟังเกดิ ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองท่ไี มเ่ คยร้ไู ม่เคยมีประสบการณ์หรอื มีความรู้ ประสบการณบ์ า้ ง แตก่ ็ยังไม่กระจ่างชดั การพูดประเภทน้ี ไดแ้ ก่ การรายงาน การพูดแนะนา การบรรยายการอธบิ ายการช้ีแจง ดังตวั อย่างหวั ข้อเร่อื งท่พี ดู เพอื่ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเชน่  ทาอยา่ งไรจึงจะเรียนเกง่ และประสบความสาเร็จ  ภยั แลง้  ทาไมราคาพืชผลทางการเกษตรจึงตกต่า  งามอย่างไทย  สิ่งแวดลอ้ มเป็นพิษ 2. การพูดเพ่ือโนม้ น้าวใจ การพดู เพื่อโนม้ นา้ วใจเปน็ การพูดท่ีมีจดุ มุง่ หมายให้ผฟู้ ังเช่ือและมีความคิดคล้อยตามทาหรอื ไมท่ าตามท่ีผู้พูด ตอ้ งการหรอื มเี จตนา ฉะน้ัน ผพู้ ูดจะตอ้ งช้ีแจงให้ผ้ฟู งั เหน็ ว่า ถา้ ไม่เชอื่ หรอื ปฏิบัติตาม ท่ผี ้พู ูดเสนอแล้วจะเกดิ โทษ หรือ ผลเสียอย่างไร การพดู ชนิดนี้จะประสบความสาเรจ็ ได้ดมี ากน้อยเพยี งไรนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั ตัวผ้พู ูดเองวา่ มบี คุ ลิกภาพดีไหมมีการใช้ ถ้อยคาภาษาท่ีงา่ ยแก่การเขา้ ใจของกลุม่ ผูฟ้ ังไหม และท่สี าคัญคือผู้พูดจะต้องมีศลิ ปะและจติ วิทยาในการจงู ใจผ้ฟู ังไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การพดู เพอ่ื โนม้ นา้ วใจจะเหน็ ตัวอยา่ งไดจ้ ากการพดู เพอ่ื หาเสยี งในการเลอื กตง้ั ไม่ว่าจะเพ่ือเป็นหวั หนา้ ชนั้ ผแู้ ทน กลุ่ม หรอื องคก์ ารตา่ งๆสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร (สส.) หรือการพดู เพื่อรณรงค์ให้ผู้ฟงั เลิกบุหรี่หรือไม่กระทาสิง่ ใดส่ิงหนง่ึ เช่น การพดู เพือ่ ให้ช่วยกนั ประหยดั การใช้นา้ มนั ไฟฟ้านอกจากนีก้ ารพูด เพื่อโน้มน้าวใจจะนาไปใช้มากในด้านธรุ กิจการ ขาย การโฆษณาเพอ่ื ให้ผ้คู นหนั มานยิ มใช้หรอื ซื้อสินค้าตนุ

ตวั อย่างหวั ขอ้ เร่ืองทพี่ ูดโนม้ นา้ วใจ  บริจาคโลหติ ช่วยชีวติ มนษุ ย์  มาเล้ยี งลกู ดว้ ยนมมารดากันเถอะ  ฟังดนตรเี ถอะช่นื ใจ  ช่วยทาเมืองไทยใหเ้ ป็นสีเขยี วดีกวา่  ออกกาลังกายวนั ละนดิ ชีวติ แจม่ ใส 3. การพดู เพ่ือความบันเทิง การพูดเพอ่ื จุดมุ่งหมายนเี้ ป็นการพดู ทม่ี ่งุ ให้ผฟู้ ังเกดิ ความเพลิดเพลิน ร่ืนเรงิ สนกุ สนานผ่อนคลายความตงึ เครยี ดใน ขณะเดยี วกนั ก็แทรกเน้ือหาสาระ ท่ีเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ู้ฟังดว้ ยผพู้ ดู จะตอ้ งเป็นบคุ คลที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณข์ ัน หนา้ ตายิ้มแยม้ แจม่ ใสไมเ่ ปน็ คนเคร่งเครยี ดเอาจริงเอาจังเกินไปเพราะสง่ิ เหลา่ นจ้ี ะมผี ลต่อการสรา้ งบรรยากาศความ เปน็ กนั เองให้เกดิ ขึ้นได้ดังจะเห็นได้จากรายการต่างๆ ทางสื่อมวลชนไมว่ ่าจะเปน็ วิทยุโทรทัศน์ ตวั อย่างหวั ขอ้ เรื่องทีพ่ ูดเพอื่ ความบันเทงิ  เราจะไดอ้ ะไรจากการฟงั เพลงลกู ท่งุ  ทาอะไรตามใจคอื ไทยแท้  พดู ใครคดิ ว่าไมส่ าคัญ  ทวี่ ่ารัก รกั นัน้ เป็นฉันใด หลกั การพดู ทดี่ ี ผู้พูดที่ต้องการส่อื ความเขา้ ใจกบั ผ้ฟู งั ให้เกิดความสาเร็จในการส่งสารไดด้ นี ั้นตอ้ งคานงึ ถึงหลกั การพดู ดงั ตอ่ ไปน้ี การออกเสยี งใหถ้ ูกต้องตามหลักภาษาได้แก่ 1.1 การออกเสยี งส้ัน – ยาวต่างกัน ความหมายกต็ ่างกันไปดว้ ย เช่น เก้า – กา้ ว,เข้า – ขา้ ว,เท้า – ท้าว ตวั อย่าง กา้ วเทา้ ไปเกา้ ครง้ั เขาเดินเข้าไปรบั ประทานข้าว เขาบาดเจ็บทเี่ ท้า 1.2 การออกเสยี งคาหลายพยางค์ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การออกเสยี งคาบางคาออกเสยี งแบบอกั ษรนา เชน่ ดาริ อา่ นว่า ดา – หริ กนก อา่ นว่า กะ – หนก ดารัส อา่ นวา่ ดา – หรัด ปรอท อ่านวา่ ปะ – หรอด ผลิต อา่ นวา่ ผะ – หลดิ บางคาไม่ใช่คาสมาสแตอ่ ่านออกเสียงต่อเนอ่ื งแบบคาสมาส เชน่ ผลไม้ อา่ นว่า ผน – ละ – ไม้

พลเมือง อา่ นวา่ พน – ละ – เมอื ง เทพเจา้ อา่ นว่า เทบ – พะ – เจ้า ดาษดา อา่ นวา่ ดาด – สะ – ดา คาบางคาไม่นยิ มออกเสียงใหม้ ีเสียงต่อเนอื่ ง เช่น ทิวทัศน์ อา่ นว่า ทวิ – ทัด สัปดาห์ อา่ นว่า สบั – ดา ดาษดนื่ อ่านว่า ดาด – ดนื่ วิตถาร อ่านว่า วดิ – ถาน รสนยิ ม อา่ นว่า รด – นิ – ยม คุณค่า อา่ นว่า คุน – คา่ 1.3 ออกเสียงให้ถกู ต้องตามความนิยม เชน่ กาเนดิ อ่านวา่ กา – เหนิด ยมบาล อา่ นวา่ ยม – มะ – บาน ชกั เย่อ อ่านว่า ชัก – กะ – เย่อ เทศบาล อ่านว่า เทด – สะ – บาน 1.4 ออกเสียงคาควบกลา้ ร, ล, ว หรอื เป็นอักษรนาใหช้ ดั เจนถกู ต้อง เช่น ตราด อ่านว่า ตราดเปน็ อกั ษรควบ ตลาด อ่านว่า ตะ – หลาดเปน็ อักษรนา จรงิ อ่านว่า จงิ เปน็ อักษรควบไม่แท้ ปรักหกั พงั อา่ นว่า ปะ – หรกั – หกั – พงั เปน็ อักษรนา คาต่อไปน้อี อกเสยี งแบบควบแท้ทัง้ หมด เชน่ ปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลง ปลาบปลม้ื ปลอดโปรง่ พรอ้ มเพรียง เพราะพริ้ง แพรวพราว เพลดิ เพลิน พลกุ พลา่ น แกว่งไกว กวา้ งขวาง ไขวค่ วา้ คลุกเคลา้ คลาดเคล่อื น คลอนแคลน คาบางคาเป็นคาเรยี งพยางคก์ ันไมอ่ อกเสียงแบบควบกลา้ เชน่ ปรญิ ญา ออกเสียงว่า ปะ – ริน – ยา ปราชัย ออกเสยี งว่า ปะ – รา – ไช ปรมั ปราออกเสยี งวา่ ปะ – รา – ปะ – รา ปรนิ พิ พาน ออกเสยี งวา่ ปะ – ริ – นบิ – พาน

1.5 ไม่ควรออกเสยี งให้ห้วนสนั้ ตัดคา หรือรัวลิ้นจนฟังไมช่ ดั เจน โดยเฉพาะคาหลายพยางค์ เช่น มหาวิทยาลยั ไมค่ วรออกเสยี งว่า หมา – ลยั วิทยาลัย ไมค่ วรออกเสยี งว่า วิด – ลัย ประกาศนียบัตร ไม่ควรออกเสยี งวา่ ปะ – กาด – บัด กิโลเมตร ไมค่ วรออกเสียงว่า กิโล หรือ โล กโิ ลกรมั ไมค่ วรออกเสยี งวา่ กโิ ล หรอื โล สวสั ดี ไมค่ วรออกเสียงวา่ หวัด – ดี ประธานาธิบดี ไม่ควรออกเสียงว่า ปะ – ธา – นา – ดี เฉลมิ พระชนมพรรษา ไม่ควรออกเสยี งวา่ ฉะ – เหลมิ – ชน – สา 1.6 ไม่ควรใชภ้ าษาพูด ภาษาตลาด ภาษาสือ่ มวลชนหรอื ภาษาโฆษณาในการพดู กบั คนทัว่ ไป ซงึ่ จะทาให้ผู้ฟงั เขา้ ใจ ยากและไม่เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลเชน่  สาวคนนัน้ จัดอยู่ในวัยเอา๊ ะ ๆ  รฐั ธรรมนูญฉบบั น้ีอยู่ในวยั ดกึ  นายตารวจถูกเตะโด่งออกจากพนื้ ท่ี  เขาว่ิงเตน้ เพ่อื ขอย้ายไปในท่เี จริญ  นายตารวจเต้น ถูก นสพ. คุ้ยเบอื้ งหลงั  เจ้าหนา้ ท่ีบกุ คุกลาปางหาข้อมูลปรบั ปรุงเรือนจา 1.7 การออกเสยี งคาแผลง ควรออกเสียงให้ถกู ต้องตามหลกั ภาษาและความนยิ ม เชน่ บาราศ ออกเสยี งว่า บา – ราด บาราบ ออกเสียงวา่ บา – หราบ ตารวจ ออกเสยี งว่า ตา – หรวด ผนวช ออกเสยี งวา่ ผะ – หนวด สาเรจ็ ออกเสยี งว่า สา – เหร็ด จาหนา่ ย ออกเสยี งวา่ จา – หน่าย แสดง ออกเสยี งว่า สะ – แดง ถลก ออกเสยี งว่า ถะ – หลก จรวด ออกเสยี งว่า จะ – หรวด

หลกั การพดู ที่ดีต้องคานึงถึง 1. การใชภ้ าษา ต้องเลือกใช้ถ้อยคาท่เี ข้าใจงา่ ยเหมาะสมกบั วัยของผู้ฟงั 2. ผู้พดู และผฟู้ ังมจี ุดมงุ่ หมายตรงกนั ผพู้ ูดมีจดุ มุง่ หมายที่ต้องการส่อื ความหมายไปยงั ผู้ฟงั เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งราวตา่ งๆ ผฟู้ ังกม็ คี วามตัง้ ใจฟังสง่ิ ที่ผูพ้ ูดส่อื ความหมายให้ 3. ออกเสียงพูดใหช้ ดั เจน ดังพอประมาณ อย่าตะโกนหรอื พูดคอ่ ยเกินไป 4. สหี น้า ทา่ ทางย้มิ แย้มแจ่มใส เปน็ กันเอง ไม่เครง่ เครียด 5. ท่าทางในการยืน นัง่ ควรสงา่ ผา่ เผย การใช้ทา่ ทางประกอบการพูดก็มีความสาคัญ เชน่ การใชม้ ือ นว้ิ จะชว่ ยให้ ผฟู้ งั เข้าใจเรื่องราวไดง้ า่ ยยงิ่ ขน้ึ 6. ต้องรกั ษามารยาทการพูดใหเ้ คร่งครัดในเรอ่ื งเวลาในการพูด พูดตรงเวลาและจบทนั เวลา 7. พูดเรือ่ งใกลต้ ัวใหท้ ุกคนรเู้ รื่อง เปน็ เรอ่ื งสนุกสนานแต่มสี าระและพูดดว้ ยท่าทางและกริ ิยานมุ่ นวล เวลาพูดตอ้ ง สบตาผู้ฟังด้วย 8. ไม่ควรพูดเรือ่ งเชอ้ื ชาติ ศาสนา การเมือง โดยไมจ่ าเปน็ และไม่ควรพูดแตเ่ รอ่ื งของตัวเอง 9. ไม่พูดคาหยาบ นินทาผูอ้ ื่น ไม่พดู แซงขณะผอู้ นื่ พูดอยู่ และไมช่ ้ีหนา้ คสู่ นทนา มารยาทในการพดู การพดู ที่ดไี มว่ า่ จะเป็นการพูดในโอกาสใด หรอื ประเภทใดผู้พดู ตอ้ งคานงึ ถงึ มารยาทในการพดู ซ่งึ จะมีสว่ น สง่ เสรมิ ให้ผพู้ ูดได้รบั การชืน่ ชมจากผฟู้ ังซึ่งจะชว่ ยใหป้ ระสบผลสาเร็จในการพูด มารยาททส่ี าคัญของการพูดสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. พูดด้วยวาจาสภุ าพ แสดงหนา้ ตาที่ยม้ิ แยม้ แจม่ ใส 2. ไมพ่ ูดอวดตนข่มผอู้ ืน่ และยอมรบั ฟังความคิดของผูอ้ น่ื เป็นสาคญั 3. ไมก่ ล่าววาจาเสียดแทง กา้ วร้าวหรอื พดู ขัดคอบุคคลอ่นื ควรใชว้ ิธที ่ีสภุ าพเมื่อตอ้ งการแสดงความคดิ เหน็ 4. รักษาอารมณ์ในขณะพดู ให้เปน็ ปกติ 5. ไมน่ าเรอ่ื งส่วนตวั ของผู้อ่นื มาพูด 6. หากนาคากล่าวของบคุ คลอน่ื มากลา่ วตอ้ งระบนุ ามหรือแหล่งทม่ี าเป็นการให้เกยี รติบคุ คลที่กล่าวถึง 7. หากพูดในขณะทผ่ี ้อู ื่นยังพูดไม่จบ ควรกล่าวคาขอโทษ 8. ไมพ่ ูดคุยกนั ข้ามศีรษะผอู้ นื่

ใบงาน การพดู ใหผ้ ู้เรยี นศึกษาความร้จู ากส่ือเรื่องการพดู ประเภทตา่ ง ๆ และมารยาทในการพูด จากนนั้ ใหผ้ ูเ้ รยี นจับคู่ เพ่อื แสดงบทบาทสมมตหิ น้าช้นั เรยี นพร้อมให้ผู้เรียนในกลุม่ ท่ีเรียนด้วยกันเปน็ ผู้ประเมินตามหัวข้อตอ่ ไปนี้ ๑. การพดู แนะนาตนเอง ๒. การกล่าวตอ้ นรบั ๓. การกลา่ วขอบคณุ ๔. การพดู โนม้ น้าวใจคน ๕. การพูดปฏเิ สธ ๖. การตอ่ รอง ๗. การพูดแสดงความคดิ เห็น

บนั ทกึ หลงั สอน 1. ปัญหาหรืออปุ สรรคในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแกป้ ญั หาหรืออปุ สรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรุงแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เร่ือง การพูด ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหนง่ …………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผนู้ ิเทศที่ไดร้ ับมอบหมายจากผู้บริหาร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหนง่ ………………………………………………….

แผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ กลมุ่ สาระความรพู้ ้นื ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น แผนการจัดการเรียนร้เู รอื่ งท่ี 4 เร่อื งการอ่าน เวลา 6 ช่ัวโมง สอนวนั ที่ …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรยี นท่ี ………ปีการศึกษา……….. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ 1. สามารถอ่านไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 2. จบั ใจความสาคญั แยกขอ้ เท็จจรงิ และข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อา่ น 3. สามารถอา่ นหนังสอื และส่อื สารสนเทศไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง เพื่อพัฒนาตนเอง 4. มีมารยาทในการอา่ นและนิสยั รักการอ่าน ตัวชี้วัด 1. อ่านในใจไดค้ ล่องและเรว็ 2. อา่ นออกเสยี งและอ่านทานองเสนาะได้อยา่ ง ถกู ตอ้ งตามลกั ษณะคาประพันธ์ 3. วิเคราะห์ แยกแยะขอ้ เท็จจรงิ ขอ้ คิดเหน็ และจดุ มุ่งหมายของเร่อื งที่อา่ น 4. เลอื กอ่านหนังสอื และส่ือสารสนเทศ เพ่ือพฒั นาตนเอง 5. ปฏิบตั ติ นเป็นผ้มู ีมารยาทในการอา่ นและมนี สิ ัยรกั การอา่ น สาระการเรยี นรู้ 1. หลักการอ่านในใจจากสือ่ ประเภทต่างๆ 2. หลกั อา่ นออกเสียงที่เปน็ ทง้ั รอ้ ยแก้ว ร้อยกรอง และคาวัน เดอื น ปี ไทย 3. หลกั การเลอื กอา่ นหนังสือและสอ่ื สารสนเทศ 4. หลักการอา่ นจับใจความสาคญั 5. หลกั การวิเคราะห์ วิจารณ์ 6. มารยาทในการอ่านและนสิ ยั รกั การอ่าน กระบวนการจดั การเรยี นรู้ 1. ข้ันกาหนดสภาพปญั หาความตอ้ งการในการเรยี นรู้ ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกนั กาหนดการเรียนร้ใู นเร่ืองตอ่ ไปน้ี -การอา่ น -หลกั การเลือกอ่านหนงั สือและสอ่ื -มารยาทในการอ่าน - ให้ผเู้ รยี นทากิจกรรมตามใบงาน

2. ข้นั แสวงหาข้อมลู และจดั การเรียนรู้ ครูผูเ้ รยี นรว่ มกนั กาหนดกรอบเนื้อหาเกี่ยวกับการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การใชแ้ หล่งเรียนรู้ รวมทงั้ การจดั การความรู้ 3. ขน้ั ปฏิบตั ิ และนาไปประยุกต์ใช้ 3.1 ครแู ละผู้เรยี นสรุปสาระสาคัญและนาความรู้ทสี่ อดคลอ้ งกบั วิถชี ีวิตไปเปน็ แนวทางในการดาเนินชวี ิต 3.2 จดั ทาเป็นรปู เล่มรายงานจัดนิทรรศการและอภิปรายรว่ มกัน 4. ข้ันประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 4.1 ครูและผู้เรียนสรปุ สาระสาคญั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 ซกั ถาม 4.3 แบบประเมนิ การวดั ผลประเมินผล วิธกี ารวดั ประเมินจากการสงั เกต การซักถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบก่อนเรียน เคร่ืองมอื ไดแ้ ก่ แบบประเมิน และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เกณฑก์ ารวัด ผา่ น ต้องทาแบบทดสอบก่อนเรียน ได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม ส่ือ และแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 2. สื่ออินเทอรเ์ น็ต

ใบความรู้ หลกั การอ่านในใจ การอ่านเป็นพฤตกิ รรมการับสารอยา่ งหนง่ึ กล่าวคอื เปน็ การรบั รเู้ ร่ืองราวโดยใชส้ ายตามองดูตวั อักษร เเล้วสมองกจ็ ะ ลาดบั เปน็ ถอ้ ยคา ประโยค เเละ ข้อความตา่ งๆเกิดเป็นเร่อื งราวตามความรปู้ ระสบการณข์ องผู้อ่านเเตล่ ะคน การอา่ น ช่วยให้เราสามารถติดตามความเคล่ือนไหว ความก้าวหน้า เเละความเปลี่ยนเเปลงทัง้ หลายได้ทนั ต่อเหตกุ ารณ์ ฉะนัน้ การอ่านจงึ เปน็ สงิ่ จาเปน็ ต่อชีวติ ของทุกคนในปัจจุบนั การอา่ นในใจ คอื การอา่ นไมอ่ อกเสยี ง วิธีการอา่ นในใจประกอบดว้ ย ๑. ตง้ั สมาธใิ ห้เเนว่ เเน่ ๒. กะชว่ งสายตาให้ยาว ๓. ไม่อ่านยอ้ นไปยอ้ นมา ๔. ไม่ออกเสยี งเวลาอ่าน การอา่ นในใจเพื่อทาใหต้ ัวผอู้ ่านมคี วามรู้ ความคิดวจิ ารณญานเเล้วนาส่ิงเหลา่ นีไ้ ปให้ประโยชน์เพ่อื ก่อให้เกดิ ความเจริญ ข้ึนทางดา้ นรา่ งกายสติปญั ญา อารมณ์เเละความคดิ ในชีวติ ประจาวนั เราต้องไดร้ ับขอ้ มลู ข่าวสารอย่างมากมาย เเละ ทักษะหน่ึงท่ีเก่ียวข้องกบั การอ่านในใจท่ีจะสามารถช่วยนักเรียนใหใ้ ชเ้ วลาอย่างคุ้มค่าเเละสามารถรับขอ้ มูลขา่ วสารตา่ งๆ ในปริมาณมากกค็ ือ ทกั ษะการอา่ นเร็ว… การอ่านเร็ว คอื การกวาดสายตาอย่างรวดเรว็ ตามตัวอกั ษร เพอ่ื พจิ ารณาเนื้อเรื่องอย่างคราวๆ ว่ากล่าวถงึ อะไร หรอื ดู ชือ่ เร่ือง ชื่อหนงั สอื สารบัญหวั ข้อในเล่มเเละขอ้ ความบางตอนเป็นการอา่ นทใ่ี ช้เวลาไม่มากนกั การฝกึ ทกั ษะในการอ่านเรว็ มีดงั ต่อไปนี้ ๑. ต้งั คาถามว่าต้องอา่ นเพือ่ อะไร เช่น เพอ่ื การศกึ ษาค้นคว้า สารวจข้อมลู เนื้อเร่ือง เปน็ ต้น ๒. มสี มาธใิ นการอา่ น ควรกาหนดจติ ใจให้เเนวเเน่อยู่กับเรือ่ งทีอ่ ่านเทา่ นัน้ ๓. ฝึกวาดสายตาไปตามตัวอกั ษรอยา่ งรวดเรว็ เเละพยายามกาหนดช่วงสายตาใหอ้ ย่ใู นชว่ งสองบรรทัด สารวจช่อื เร่ือง สารบญั คานา บทนา ก่อนอา่ นตวั เลม่ อา่ นเเบบๆคราวๆเพอื่ เนน้ ความเขา้ ใจเบื้องตน้ ด้วยความรวดเร็ว อ่านเเบบคน้ หาเฉพาะสิง่ ท่ตี ้องการ การอ่านทงั้ ยอ่ หนา้ อ่านเปน็ บทๆ เป็นตน้ ๔. ฝึกจับเวลาในการอา่ น เเล้วพยายามใช้เวลาให้การอ่านให้น้อยลงตามลาดบั ๕. เม่อื อา่ นข้อความหรือเนอ้ื เรอื่ งทตี่ นอ่านจบให้ตรวจสอบวา่ ตนเองรเู้ ร่ืองทอ่ี ่านมากนอ้ ยเพยี งใด โดยคิดทบทวนเร่ืองท่ี อ่าน หรือตอบคาถามเกยี่ วกบั เรือ่ งท่ีอ่าน

ใบความรู้ การอา่ นในใจและการอา่ นออกเสยี ง การอ่านในใจ การอ่านในใจเป็นบทบาทเฉพาะตัวของบคุ คล ทม่ี ีจุดมงุ่ หมายจะจบั ใจความอย่างรวดเร็ว คอื รเู้ รื่องเร็วและ ถกู ต้องโดยไม่ใช้อวัยวะที่ชว่ ยในการออกเสียงเคลื่อนไหวเลย การอ่านในใจจะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเนอ้ื ความได้เรว็ กว่าการอา่ น ออกเสยี ง และผ้อู า่ นจะรบั รู้เรอ่ื งราวเเตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว วธิ กี ารอา่ นในใจ ๑. การอา่ นอยา่ งละเอยี ด เป็นการอ่านเพ่อื ศกึ ษาหาความรู้ ผู้อ่านจะตอ้ งมพี ื้นฐานความร้ใู นเร่ืองที่อา่ น พอสมควร ควรอา่ นรายละเอียดของเรื่องต้งั เเตต่ น้ จนจบ จะทาใหม้ องเหน็ การเชื่อมโยงระหวา่ งในความสาคัญได้ ๒. ผูอ้ า่ นตอ้ งมจี ุดมงุ่ หมายในการอ่าน และตอ้ งมีพ้ืนฐานความรใู้ นเร่ืองที่จะอา่ น ในการอา่ นผูอ้ ่าน จะต้องจับใจความสว่ นรวมให้ไดว้ า่ เปน็ เรอ่ื งอะไร เมื่ออา่ น จบควรเรียบเรยี งใจความสาคัญเปน็ ภาษาของตนเอง ๓. อ่านอยา่ งรวดเร็ว เป็นการอ่านทไี่ ม่ต้องเกบ็ รายละเอียด แต่อา่ นเพ่อื ให้ทราบเรื่องราวเท่าน้นั นยิ มใช้ อา่ นหนงั สือประเภทบันเทงิ คดเี พอื่ ผ่อนคลายอารมณ์ เชน่ อ่านนวนิยาย เรือ่ งสั้น นติ ยสาร หนังสอื พมิ พ์ ๔. อา่ นอย่างคร่าวๆ เป็นการอา่ นอยา่ งรวดเรว็ เพ่ือตอ้ งการคน้ หาคาตอบจากขอ้ ความบางตอน การ อา่ นวธิ นี เี้ หมาะสาหรับผทู้ ม่ี ีพนิ้ ฐานการอ่านทด่ี พี อ ๕. อา่ นเพอ่ื วจิ ารณ์ ผูอ้ า่ นตอ้ งใชป้ ระสบการณ์เดิมของตนให้เป็นประโยชน์ เพือ่ ทาความเข้าใจ จดุ มงุ่ หมายของผู้เขยี น การเสนอขอ้ เท็จจริง และข้อคิดเหน็ หรอื การใช้ ความหมายตรง และโดยนยั แนวปฏบิ ตั ิในการอ่านในใจ การอ่านในใจตอ้ งอาศยั ความเเมน่ ยาในการจบั ตามองดูตัวหนังสือการเคลอื่ นไหวสายตาการเเบ่งชว่ งวรรคตอน ซ่ึงต้องฝึกให้เกิดความเเมน่ ยาและรวดเรว็ จงึ จะสามารถเก็บไดค้ รบทุกคา การอา่ นในใจมเี เนวปฏบิ ตั ิ ดังน้ี ๑. กวาดสายตามองตัวอกั ษรให้ได้ชว่ งประมาณ ๕-๖ คา เปน็ อย่างนอ้ ย ๒. ไมค่ วรทาปากขมุบขมิบในขณะอา่ น ต้องฝึกเรอ่ื งอัตราความเร็วของตาและสมอง ๓. ไม่ควรอา่ นย้อนหลงั จากอ่านจบ อ่านจากซ้ายไปขวาโดยตลอด ๔. ทดสอบความเข้าใจหลงั จากอา่ นจบ โดยใชว้ ธิ ีต้ังคาถามสรุปเรื่องราวท่ีอ่าน การพัฒนาการอา่ นในใจ การอา่ นในใจเปน็ ทักษะทส่ี ามารถพฒั นาไดเ้ ชน่ เดียวกบั การอา่ นออกเสียง ซง่ึ นกั เรียนทกุ คนควรฝกึ ฝนใหช้ านาญ เพราะการอ่านหนงั สอื ไดม้ าก เปน็ วธิ ีการฝกึ ฝนตนเองใหอ้ ่านได้รวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ วิธีฝึกการอา่ นในใจ มดี งั นี้ ๑. อ่านข้อความง่ายๆ ไม่มีคาศัพท์มาก ไม่ ซบั ซ้อน ยาวประมาณ ๑ หน้า ๒. จับเวลาที่ใช้ในการอา่ นขอ้ ความน้ัน ๓. ต้งั คาถามเพอื่ ถามตนเองเกยี่ วกับเร่ืองราวหรือข้อความทอี่ า่ น ๔. สารวจตนเองวา่ ตอบคาถามเกี่ยวกบั สิง่ ท่ี อ่านไดม้ ากเพยี งใด ๕. อ่านข้อความน้นั ซา้ อกี คร้งั หนึ่ง พยายามทาเวลาในการอา่ นใหน้ ้อยลง

๖. ตอบคาถามเกย่ี วกับสิง่ ทีอ่ า่ นอกี ครั้งวา่ ตอบได้ดีกว่าคร้งั เเรกหรือไม่ การอา่ นออกเสียงร้อยแกว้ การอา่ นออกเสยี งรอ้ ยแกว้ หมายถึง การอ่านถ้อยคาทมี่ ีผ้เู รียบเรียงหรอื ประพนั ธไ์ ว้ โดยการเปลง่ เสียง และวางจังหวะเสียงให้เป็นไปตามความนิยม และเหมาะสมกับเรื่องท่อี ่าน เพ่ือถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ผู้ฟงั ซึ่งจะทาให้ผูฟ้ งั เกิดอารมณร์ ว่ มคลอ้ ยตามไปกับเรอ่ื งราว หรอื รสประพันธ์ทอ่ี า่ น หลกั เกณฑใ์ นการอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ๑. กอ่ นอา่ นควรศกึ ษาเรอ่ื งทอ่ี า่ นใหเ้ ข้าใจ เพอ่ื เเบง่ วรรคตอน ๒. อ่านให้คล่อง และเสียงดังพอเหมาะกบั สถานทแ่ี ละจานวนผ้ฟู งั ๓. อ่านให้คลอ่ งและถูกต้องตามอกั ขรวิธี โดยเฉพาะ ร ล คาควบกล้าตอ้ งออกเสียงใหช้ ัดเจน ๔. เนน้ เสียงและถอ้ ยคา ตามน้าหนักความสาคญั ของใจความ ใช้เสยี งและจังหวะใหเ้ ปน็ ไปตามเนื้อเร่ือง เชน่ ดุ ออ้ นวอน จรงิ จงั ฯลฯ ๕. อ่านออกเสยี งใหเ้ หมาะสมกบั ประเภทของ เร่ือง เชน่ ถ้าอา่ นเรือ่ งทใ่ี ห้ข้อเทจ็ จริงทวั่ ไป จะอ่านออก เสยี งธรรมดาใหช้ ดั เจน ๖. ในระหวา่ งทอี่ ่าน ควรกวาดสายตามองตัวอักษร สลับกบั การเงยหนา้ ข้ึนมาสบตาผฟู้ ัง ในลักษณะท่ี เหมาะสม และดเู ปน็ ธรรมชาติ ๗. ถา้ อ่านในท่ปี ระชุม ต้องยนื ทรงตวั ในทา่ ทางที่สง่า มอื ที่จับกระดาษอยู่ในท่าทางทเี หมาะ ไม่เกรง็ ไม่ ยกกระดาษ หรือเอกสารบังหน้า หรอื ไม่ถอื ไวต้ ่าเกินไปจนต้องก้มลงอ่านจนตัวงอ วธิ กี ารอา่ นออกเสียงขอ้ ความท่ีเป็นร้อยแกว้ สร้างวัฒนธรรมคนรุน่ ใหม่ใหเ้ ป็นนักอ่าน ในปัจจุบันกล่าวกันวา่ / เรากาลงั อยู่ในยคุ โลกาภวิ ฒั น์ หรอื เรียกอกี อย่างว่าโลกไรพ้ รมแดน// แต่จะเรยี ก อย่างไรก็ตามเถดิ / การอา่ น/ กเ็ ป็นกระบวนการสาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนในทศวรรษน้/ี เพราะโลกของการศึกษา/ มไิ ดจ้ ากดั อยภู่ ายในหอ้ งเรียน/ ที่มีลกั ษณะรูปทรงส่ีเหลย่ี มเเคบๆ เท่าน้ัน/ เเต่ข้อมูลข้าวสารสารสนเทศตา่ งๆ /ไดย้ ่อโลก ให้เล็กลงเท่าท่ีเราอยากรูไ้ ดร้ วดเรว็ / ในช่วั ลัดนิว้ มอื เดียวอยา่ งที่คนโบราณกล่าวไว/้ จะมีสือ่ ให้อ่านอยา่ งหลากหลายให้ เลือก/ ท้ังส่ือส่งิ พิมพท์ เ่ี ราค้นุ เคย/ ไปจนสอ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ทเี่ รยี กวา่ \"อินเทอร์เน็ต\" เพราะการตอ่ สู้รกุ รานกันของมนษุ ยย์ คุ ใหม/่ จะใชข้ ้อมูล/ สต/ิ ปัญญา/ และคุณภาพของคนในชาต/ิ มากกว่าการใช้กาลังอาวธุ เข้า ประหัตประหารกนั // หาก คนในชาติดอ้ ยคณุ ภาพ/ ขาดการ เรยี นร้/ู จะถกู ครอบงาทางปัญญาได้งา่ ยๆ / จากส่ือตา่ งๆ จากชาติทพี่ ฒั นาเเลว้ หากคนไม่อ่านหนงั สือ/ กย็ ากที่จะพัฒนาสติปญั ญา และความรู้ได้/ โดยเฉพาะประเทศทีก่ าลังพัฒนา/ จะตอ้ งทุ่มเทให้คนมนี ิสัยรกั การอ่าน/ มที กั ษะในการอา่ น/ และพฒั นาวธิ ีการอ่านใหเ้ ป็นนกั อา่ นที่ดี// นกั อ่านท่ดี ีจะมี ภมู คิ ุ้มกนั การครอบงาทางปัญญาไดเ้ ปน็ อย่าง/ รู้เท่ากันคน และสามารถแกป้ ญั หาได้ดี ชาตกิ า้ วไกลดว้ ยคนไทยรกั การอ่าน : มานพ ศรีเทียม *เครื่องหมาย / หมายถึง การหยดุ เว้นช่วงจังหวะส้ันๆ เคร่อื งหมาย // หมายถงึ การหยุดเว้นช่วงจังหวะทยี่ าวกวา่ เครอ่ื งหมาย / เคร่ืองหมาย ____ หมายถึง การเน้น การเพิ่มน้าหนกั ของเสียง

ใบความรู้ การอา่ นจบั ใจความ ความหมายของการอ่านจบั ใจความสาคัญ คือ การอา่ นเพอ่ื จบั ใจความหรือข้อคดิ ความคดิ สาคัญหลักของขอ้ ความ หรอื เรอื่ งทอ่ี า่ นเปน็ ขอ้ ความท่ีคลุม ขอ้ ความอนื่ ๆ ในย่อหนา้ หนึง่ ๆ ไวท้ ัง้ หมด ใจความสาคัญ หมายถงึ ใจความท่ีสาคัญและเด่นที่สุดในยอ่ หนา้ เปน็ แก่นของย่อหน้าทีส่ ามารถครอบคลมุ เน้อื ความในประโยคอื่นๆในยอ่ หนา้ นัน้ หรือประโยคทสี่ ามารถเปน็ หัวเรอ่ื งของย่อหน้านนั้ ไดถ้ ้าตัดเนอ้ื ความของประโยค อืน่ ออกหมด หรอื สามารถเปน็ ใจความหรอื ประโยคเด่ียวๆได้ โดยไมต่ อ้ งมีประโยคอ่ืนประกอบซ่งึ ในแต่ละยอ่ หน้าจะมี ประโยคในความสาคญั เพยี งประโยคเดยี วหรอื อย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค ใจความรองหรือพลความ(พน-ละ-ความ ) หมายถงึ ใจความ หรือประโยคทข่ี ยายความประโยคใจความสาคัญเป็น ใจความสนับสนุนใจความสาคัญให้ชดั เจนขน้ึ อาจเปน็ การอธิบายให้รายละเอยี ด ใหค้ าจากดั ความ ยกตัวอยา่ ง เปรยี บเทยี บหรือแสดงเหตุผลอย่างถ่ีถ้วน เพื่อสนบั สนนุ ความคดิ สว่ นทีม่ ใิ ช่ใจความสาคัญและมใิ ช่ใจความรอง แต่ช่วย ขยายความใหม้ ากข้นึ คอื รายละเอยี ด หลกั การจบั ใจความสาคัญ ๑. ต้ังจดุ มุ่งหมายในการอ่านใหช้ ดั เจน ๒. อา่ นเรือ่ งราวอยา่ งครา่ วๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสาคัญของแตล่ ะยอ่ หน้า ๓. เมอื่ อา่ นจบให้ต้งั คาถามตนเองวา่ เรือ่ งท่ีอา่ น มีใคร ทาอะไร ท่ไี หน เมอ่ื ไหร่ อยา่ งไร ๔. นาสง่ิ ที่สรปุ ได้มาเรียบเรียงใจความสาคญั ใหมด่ ว้ ยสานวนของตนเองเพือ่ ให้เกดิ ความสละสลวย วิธจี บั ใจความสาคัญ วิธีการจับใจความมีหลายอย่างขน้ึ อย่กู ับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขดี เส้นใต้ การใช้สีตา่ งๆ กนั แสดง ความสาคัญมากน้อยของขอ้ ความการบันทกึ ย่อเป็นส่วนหน่ึงของการอา่ นจับใจความสาคัญที่ดีแตผ่ ู้ท่ีย่อควรยอ่ ด้วยสานวน ภาษาและสานวนของตนเองไมค่ วรยอ่ ด้วยการตดั เอาขอ้ ความสาคัญมาเรยี งต่อกนั เพราะอาจทาให้ผู้อ่านพลาดสาระสาคัญ บางตอนไปอนั เป็นเหตุใหก้ ารตีความผดิ พลาดคลาดเคลือ่ นได้ วธิ ีจับใจความสาคัญมีหลกั ดังนี้ ๑. พิจารณาทีละยอ่ หน้า หาประโยคใจความสาคัญของแต่ละยอ่ หนา้ ๒. ตัดส่วนทีเ่ ป็นรายละเอยี ดออกได้ เช่น ตวั อย่าง สานวนโวหารอุปมาอปุ ไมย(การเปรยี บเทียบ) ตวั เลข สถิติ ตลอดจนคาถามหรือคาพูดของผู้เขยี นซ่ึงเป็นสว่ นขยายใจความสาคญั ๓. สรปุ ใจความสาคัญด้วยสานวนภาษาของตนเอง การพิจารณาตาแหนง่ ใจความสาคัญ ใจความสาคญั ของข้อความในแต่ละย่อหนา้ จะปรากฏดงั น้ี ๑. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนตน้ ของย่อหนา้ ๒. ประโยคใจความสาคัญอยตู่ อนกลางของย่อหน้า ๓. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนท้ายของยอ่ หน้า ๔. ประโยคใจความสาคญั อยตู่ อนตน้ และตอนท้ายของยอ่ หนา้ ๕. ผูอ้ ่านสรุปขน้ึ เองจากการอา่ นทั้งย่อหนา้ (ในกรณใี จความสาคัญหรอื ความคดิ สาคัญอาจอยู่รวมใน ความคดิ ยอ่ ย ๆ โดยไมม่ คี วามคิดท่เี ป็นประโยคหลกั )

ใบความรู้ ช่อื การวิเคราะห์ วิจารณแ์ ละประเมินคา่ จากการอ่าน เนอื้ หา ถ้าเปิดหนังสอื พิมพจ์ ะพบข่าวสารหลากหลายรูปแบบ เชน่ ข่าวสารดงั นี้ \"ลดราคา พิเศษ ๗ วันเท่านัน้ ซอ้ื ๓ แถม ๑\" \"ช่วงล่างไมม่ ีปญั หา ความสขุ ก็ตามมา คายาบา โชค้ อัพมาตรฐาน ที่ผผู้ ลติ รถเลอื กใช้ ผ้ใู ชร้ ถม่นั ใจ\" \"เก็บสสี ันวนั ร้อนกบั โกดกั ซัมเมอรเ์ ซล ลดสุด ๆ ท้ังกล้องทงั้ ฟิลม์ \" สาหรับข่าวแรกอาจเป็นท่ีถูกใจผู้หญิงทั้งหลาย เพราะชอบจับจ่ายซื้อของ เม่ือเห็นโฆษณาท่ีมีทั้งลดท้ังแถม ก็ อาจจะรบี ไปซ้อื โดยท่ไี ม่ไดค้ ิดวิเคราะหว์ ่าส่ิงของทีท่ ้ังลดทั้งแถมนั้นเป็นของเก่าหรอื ของใหม่ ดหี รือมีตาหนิอย่างไร ส่วนข่าวท่ีสอง อาจจูงใจผู้ชายท่ีชอบเร่ืองเคร่ืองยนต์กลไก เพราะใช้คาพูดท่ีคมคายนาหน้าตามด้วยการโฆษณา สนิ คา้ ที่ระบวุ า่ ผ้ผู ลติ เลอื กใช้ และผใู้ ช้ม่ันใจ ซึง่ ข้อความน้ไี ม่มีข้อมูลหรือหลกั ฐานยนื ยนั ท่แี น่นอน สาหรับข่าวสุดท้าย อาจต้องตาต้องใจวัยรุ่น เพราะเข้ากับบรรยากาศในหนา้ ร้อน และรู้ใจวัยรุ่น ว่าการถ่ายภาพ เปน็ กจิ กรรมยอดนิยมของวยั รนุ่ ทั้งชายและหญงิ ยงิ่ ไมต่ อ้ งจบั จ่ายซ้อื ของเท่ากับราคาทอ้ งตลาด ย่ิงกระตนุ้ ความต้องการ การเป็นเจ้าของของวัยรุ่นไดอ้ ย่างดี โดยไมต่ ้องย้งั คดิ อะไร จะเหน็ วา่ ขา่ วสารเหลา่ นถ้ี า้ ผอู้ ่านไมค่ ดิ พจิ ารณาหรอื วิเคราะหใ์ หด้ ี เราอาจตกเปน็ เครื่องมือ หรือได้ของทไี่ ร้ คุณภาพ หรอื เสียเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ดังนน้ั การรู้จักวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมนิ คา่ สารท่ีไดฟ้ ัง ได้ดู หรือได้อา่ น จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์กับผ้รู บั สารเปน็ อยา่ งยิ่ง ๑. ความหมายของการวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ คา่ ๑.๑ ความหมายของการวิเคราะหส์ าร วเิ คราะห์ หมายความว่าใคร่ครวญ แยกออกเป็นสว่ น ๆ สาร แปลวา่ สว่ นสาคัญ ข้อใหญ่ ใจความ ถ้อยคา หนังสอื ดงั น้นั การวิเคราะห์สาร หมายถงึ การแยกแยะเน้อื ความ ถอ้ ยคาที่ได้จากการฟัง การดู และการอา่ น ออกเปน็ ส่วน ๆ โดยพจิ ารณาอย่างละเอยี ด การวิเคราะหส์ าร จดั วา่ เป็นการแยกแยะความรู้ ความคิดทไ่ี ดจ้ ากการฟงั การดู และการอ่านสารนั้น ๆ อนั จะสง่ ผลให้ผูว้ เิ คราะห์มีความรอบรู้ มเี หตมุ ผี ล สามารถนาประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับไปใช้ในชีวิตประจาวันและหน้าที่การงานได้ ๑.๒ ความหมายของการวจิ ารณ์สาร วจิ ารณ์ หมายความว่าให้คาตัดสินสิ่งทเี่ ป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม โดยผู้มีความรูค้ วรเชื่อถือ ได้ว่ามีคา่ ความงาม ความไพเราะดีอยา่ งไร หรอื มีขอ้ ขาดตกบกพรอ่ งอย่างไรบ้าง, ติชม

สาร แปลว่า สว่ นสาคญั ข้อใหญ่ ใจความ ถอ้ ยคา หนงั สอื ดังนนั้ การวิจารณส์ าร หมายถึง การคน้ หาสิ่งดี สง่ิ ไม่ดี และตดั สินเนอื้ ความ ถ้อยคาท่ีได้จากการฟัง การดู และการอา่ น การวจิ ารณส์ าร เป็นเคร่อื งช้ใี ห้เห็นขอ้ บกพรอ่ ง และเสนอแนะแนวทางแกไ้ ข ปรับปรุงให้ดีข้นึ การวจิ ารณ์ที่ ดีจึงควรเปน็ การวิจารณเ์ พื่อก่อ มใิ ชก่ ารวจิ ารณเ์ พื่อทาลาย ๑.๓ ความหมายของการประเมินค่าสาร ประเมนิ หมายความว่า กะประมาณค่าหรือราคาเท่าที่ควรจะเป็น สาร แปลวา่ สว่ นสาคัญ ขอ้ ใหญ่ ใจความ ถอ้ ยคา หนังสือ ดังน้ัน การประเมนิ ค่าสาร หมายถงึ การตีความหรือประมาณคา่ ของสารที่ได้จากการฟัง การดู และการอา่ น วา่ มีคณุ ค่าเพียงใด โดยอาศยั หลกั เกณฑ์ที่ถูกตอ้ ง การประเมนิ ค่าสาร จาเปน็ ต้องอาศยั พนื้ ความรูจ้ ากการวิเคราะห์และการวิจารณ์สารเขา้ ประกอบ เพอ่ื ให้ การตีความสารท่เี หมาะสม ถกู ตอ้ ง และมคี วามเป็นไปได้ ๒. วธิ กี ารวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินค่าสาร โดยปกตกิ ารวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ ค่าสารจะกระทาต่อเน่อื งกันไป เพราะจะทาให้เข้าใจสารนนั้ ได้อย่าง ลกึ ซ้งึ และสามารถตัดสินใจเกยี่ วกับสารนนั้ ได้ วธิ กี ารวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินคา่ สารจงึ มีหลักดงั นี้ ๒.๑ พิจารณาสารอย่างละเอยี ด แล้วแยกแยะสารเพ่ือใหม้ องเห็นรูปแบบ ประเภท เนอ้ื เรอ่ื ง สาระสาคัญ แง่คดิ และรายละเอียดอืน่ ๆ ที่เกีย่ วกบั สารนน้ั ๒.๒ วนิ ิจฉัยลักษณะ คณุ คา่ ประโยชน์ ส่วนดี ส่วนบกพร่อง และองคป์ ระกอบอืน่ ๆ ตามลกั ษณะของสารนั้น ๆ โดยใช้หลกั เกณฑ์ที่ถกู ตอ้ งตามลกั ษณะของสารมาประกอบการวินิจฉยั เชน่ การเปรียบเทียบ การยกตัวอย่าง การกล่าวถงึ สิง่ ท่เี คยเกดิ มาแล้ว เปน็ ตน้ ๒.๓ ตคี วามและประเมินคา่ สารในหัวขอ้ ดี มีความสาคัญ มีประโยชน์ เกิดความงดงาม มีความเที่ยงธรรม เปน็ สิ่งจาเปน็ มีค่านิยมสงู หรือไมอ่ ย่างไร ในการวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และประเมินคา่ สารเปน็ เร่อื งทตี่ ้องใชค้ วามรู้ ความเข้าใจเฉพาะบคุ คล รวมทั้งความรู้สึก นกึ คดิ ของแตล่ ะบุคคลประกอบด้วยเหตุผลท่ถี กู ต้องมาพนิ จิ พิจารณา ดังนน้ั มในการวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินค่าสาร จงึ ควรระมัดระวงั เพื่อมิให้เกิดความขดั แยง้ กับความรสู้ ึกนึกคิดของคนสว่ นใหญ่ในสงั คมท่มี ีทงั้ ความถูกตอ้ งและความไม่ ถกู ตอ้ ง การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมนิ คา่ สารจากการอ่าน สารทีไ่ ด้จากการอา่ นมหี ลายประเภท เชน่ บทความ บทวิจารณ์ ข่าว เพลง บทร้อยกรอง เร่ืองสนั้ นวนยิ าย นทิ าน ฯลฯ การพิจารณาสารจึงต้องพิจารณาตามแนวทางการเขียนสารนน้ั ๆ เชน่ บทความ มีลักษณะการเขยี นเปน็ คา นา เน้อื เร่อื ง สรปุ สว่ นข่าวมลี กั ษณะการเขยี นเป็น พาดหวั ข่าวหลกั หัวข่าวรอง สรุปขา่ ว และรายละเอยี ดของขา่ ว และท่ี สาคญั ท่ีสดุ คือตอ้ งพจิ ารณาภาษาหรอื ถ้อยคาที่ใช้ดว้ ย เพราะงานเขยี นแต่ละประเภทจะใชภ้ าษาท่ีแตกตา่ งกนั ไป การ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ ค่าสารจึงควรยดึ หลกั ดงั น้ี

๑. อา่ นสารนั้นอย่างคร่าวคร้ังหน่งึ กอ่ น ในคร้งั ตอ่ ไปค่ วรอ่านสารอยา่ งละเอียด ๒. วเิ คราะห์ให้ไดว้ า่ สารทอี่ ่านเปน็ สารประเภทใด เช่น ขา่ ว บทวจิ ารณ์ คานา เพลง บทความ ๓. วจิ ารณ์แนวความคดิ และการนาเสนอของผูเ้ ขียนสารนน้ั ตามลกั ษณะการเขียนทัง้ รูปแบบ เนอื้ หา และการใชภ้ าษา ๔. ตีความและประเมนิ คา่ สารอยา่ งมีเหตุผลตามลักษณะของสารแต่ละประเภทวา่ ดี มีคุณค่า มี ประโยชน์ เหมาะสมหรอื ไม่เพียงใด ตวั อย่างการวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมนิ คา่ สาร เร่อื งท่ี 1 รบั สมคั รพนกั งานประจาเรอื หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ชอบงานทา้ ทาย รายไดด้ ี ได้เดินทางไปต่างประเทศ เราขอเชิญชวนให้ทา่ นสมคั รเป็น พนักงานประจาเรือของเรา บริษัท โทรเี ซน (กรุงเทพ) จากัด เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกลุม่ บริษัท โทรเี ซน ซึง่ จัดเป็นกล่มุ บริษัทเดินเรอื ช้ันนาของ ไทยทีด่ าเนนิ ธรุ กจิ เดินเรอื แบบครบวงจร โดยปัจจุบนั มเี รือสินคา้ เดินทะเลระหวา่ งประเทศท่ัวโลก จานวน ๔๑ ลา และมี พนักงานประจาเรืออย่ใู นความควบคุมดูแลกว่า ๑,๒๐๐ คน เพ่อื รองรับการขยายตวั ยของธุรกจิ เราจึงมีความต้องการรับ สมคั รพนักงานประจาเรอื เปน็ จานวนมาก ฝา่ ยปากเรอื กัปตัน ตน้ เรอื ผูช้ ว่ ยตน้ เรอื สรั่งปากเรอื ชา่ งเชื่อมไฟฟา้ นายทา้ ย กลาสี กุ๊ก และบริกร ฝา่ ยห้องเคร่อื ง ตน้ กล รองตน้ กล ผู้ช่วยตน้ กล ช่างไฟฟา้ ผู้ชว่ ยช่างไฟฟา้ สร่ังห้องเครื่อง และชา่ งนา้ มนั เราต้องการเพศชายทม่ี ีร่างกายสมบูรณ์ ขยนั มวี ินัย และเม่อื ผา่ นการคัดเลือกเบ้ืองต้น ทา่ นจะตอ้ งบผา่ น หลักสตู รท่กี าหนดโดยกรมเจ้าทา่ ผ้สู นใจกรณุ าส่งจดหมายสมัครงานพรอ้ มหลกั ฐานและรูปถา่ ยมาท่ีบริษัท โทรเี ซน (กรงุ เทพ) จากัด (ฝา่ ยพนักงานประจาเรอื ) เลขที่ ๒๖/๒๖-๒๗ อาคารอรกานต์ ชนั้ ๑๐ ถนนชดิ ลม ลมุ พินี ปทมุ วัน กรงุ เทพฯ ๑๐๓๓๐ โทรศัพท์......โทรสาร.....E-mail:….. การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินคา่ สาร เรือ่ งที่ ๑ เรื่องน้ีถ้าคนไม่คุ้นเคยอ่านครั้งแรกจะรู้สึกว่าเป็นเร่ืองแปลกท่ีนาน ๆ เราจะพบสักครั้งหนึ่ง เมื่ออ่านคร้ังท่ีสอง อย่างละเอียดจึงเข้าใจว่าธุรกิจการเดินเรอื สินค้ามีอยูท่ ่ัวโลก และเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและท้าทายความสามารถประเภท หนึง่ เร่ืองน้ีเป็นการโฆษณาสินค้าท่ีใช้ภาษาจูงใจคนพร้อมกับมีภาพพนักงานใส่เครื่องแบบหรู ใบหน้าเปี่ยมไปด้วย รอยยิม้ ทมี่ ีความสขุ ประกอบดว้ ย ในการนาเสนอเรื่อง ได้ใช้หลักจติ วิทยาเกี่ยวกับความสนใจของวยั รนุ่ ว่ามกั สนใจเร่อื งของตนเองก่อนเร่ืองของคน อ่ืน รวมท้ังสนใจงานท่ีท้าทาย มีรายได้ดี ได้เดินทางไปต่างประเทศ หลังจากน้ันจึงเปิดตัวธุรกิจการเดินเรือว่ามีความ จาเปน็ มคี วามสาคัญ และเป็นอยา่ งไร เมอื่ ผอู้ า่ นเร่ิมสนใจมากขนึ้ แล้ว จงึ บอกตาแหน่งท่ีจะรับว่ามีอะไรบ้าง หลังจากนั้น จงึ ระบคุ ุณสมบตั ทิ ีต่ อ้ งการ และปิดท้ายดว้ ยวธิ ีการตดิ ตอ่ ท่ลี ะเอียด โฆษณาช้นิ นน้ี ับว่าเป็นโฆษณาท่ีดชี ้ินหน่ึง ทงั้ น้ีเพราะคานึงถงึ บความรู้สกึ ของผู้อ่านก่อนเปน็ อนั ดบั แรก ภาษาท่ใี ช้ สุภาพ ชวนอา่ น น่าตดิ ตาม ไม่หว้ นและส้นั เหมอื นโฆษณาทวั่ ๆ ไป ทจ่ี ากัดถ้อยคาเฉพาะท่เี จ้าของต้องการเทา่ น้นั

แบบทดสอบภาษาไทย คาช้ีแจง เลือกคาตอบที่ถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดยี ว ๑. คาทข่ี ีดเส้นใต้ในขอ้ ใดออกเสียงตา่ งจากข้ออื่น ก. ขรขุ ระ ข. ขรัวตา ค. เสียงขรม ง. เงียบขรมึ ๒. ขอ้ ใดมคี าพอ้ งเสยี ง ก. โคลงเรอื ทาเรอื โคลง ข. พอ่ วา่ จะซอ่ มเพลาในเพลาบา่ ย ค. ลงุ ชอ้ นแหนไปเลย้ี งเป็ดทปี่ ้าหวงแหน ง. วันสงกรานต์ฉนั ไปเทย่ี วเมืองกาญจน์กบั พกี่ านต์ ๓. คาในข้อใดมีลกั ษณะนามเหมือนกันทุกคา ก. เขม็ เทียน หนงั สือ ข. ตะปู ธูป สวิ่ ค. งาช้าง เรือ ชอ้ น ง. จาน ไข่ แกว้ อา่ นคาประพันธต์ อ่ ไปนีแ้ ลว้ ตอบคาถามขอ้ ๔ – ๕ “เสียงโหยหวนพรา่ เพรยี กรอ้ งเรยี กหา สดุ ไขว่คว้าอกใจให้ไหวหวน่ั ลูกแนบอกคลน่ื กระชากตอ้ งพรากพลัน เพอ่ื นพ่ีน้องพลดั ผันในพรบิ ตา ” ๔. คาประพันธข์ า้ งต้นไม่มวี รรณศิลปใ์ ด ก. คาสัมผัส ข. อปุ มาโวหาร ค. สรา้ งจนิ ตภาพ ง. สร้างความสะเทอื นใจ ๕. จากคาประพนั ธข์ า้ งตน้ ขอ้ ใดดเี ดน่ ดา้ นสมั ผสั อักษร ก. วรรคสดับ ข. วรรครับ ค. วรรครอง ง. วรรคส่ง ๖. การสือ่ สารชนิดใดเสียค่าใช้จ่ายนอ้ ยท่สี ดุ ก. จดหมายดว่ น ข. จดหมายลงทะเบยี น ค. พัสดภุ ณั ฑ์ ง. ไปรษณยี บตั ร ๗. การสือ่ สารใดที่ผู้ส่งไม่จาเป็นตอ้ งไปท่ีทาการไปรษณยี ์ ก. จดหมายดว่ น ข. จดหมายส่วนตัว ค. จดหมายลงทะเบียนง. ไปรษณียธ์ นาณตั ิ ๘. ถ้าต้องการให้จดหมายถึงผู้รบั เร็วขึ้นควรทาอย่างไร ก. ส่งแบบดว่ นพิเศษ (EMS) ข. ติดแสตมป์ราคาสูงกว่าปกติ ค. เขยี นจ่าหนา้ ซองตวั โต ๆ ให้ชัดเจน ง. ส่งแบบลงทะเบยี น ๙. หนง่ึ หทัย เขียนจดหมายถงึ คณุ ยาย ควรใช้คาข้นึ ต้นตามขอ้ ใด ก. เรยี น....... ข. สวัสด.ี ......... ค. กราบเท้า.......... ง. นมสั การ............

๑๐. การเขียนจดหมายตามขอ้ ใดจดั ว่าไม่สภุ าพมากท่ีสดุ ก. ใช้ปากกาหมกึ แดง ข. ใชด้ นิ สอ ค. ใช้กระดาษมีลวดลาย ง. ใช้ซองสีชมพู ๑๑. ข้อใดคอื การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ ก. การเขยี นจดหมายลาป่วยคุณครู ข. การเขียนจดหมายถึงคณุ ลงุ ท่อี ยู่ต่างจงั หวัด ค. การเขียนจดหมายถึงเพือ่ นทอี่ ย่ตู า่ งโรงเรียน ง. การเขียนจดหมายจากกระทรวงศกึ ษาธิการถึงโรงเรียน ๑๒. สง่ิ ทจ่ี าเปน็ ในการเขียนจดหมายคอื ก. เขียนด้วยสานวนโวหารทไ่ี พเราะ ข. เขยี นข้อความถกู ตอ้ งและสุภาพ ค. เขยี นตวั อักษรน่ารัก สวยงาม ง. เขยี นดว้ ยคาหวานชวนใหอ้ า่ น ๑๓. การเขยี นจดหมายเพ่ือการสมัครงาน เป็นการเขียนจดหมายประเภทใด ก. จดหมายส่วนตวั ข. จดหมายกจิ ธุระ ค. จดหมายธุรกจิ ง. จดหมายทางราชการ ๑๔. การเขยี นวันเดือนปใี นจดหมายนยิ มเขยี นอย่างไร ก. ๒๙ / ๙ / ๒๕๕๑ ข. ๒๙ ก.ย. ๒๕๕๑ ค. ๒๙ กนั ยายน ๕๑ ง. ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๑ ๑๕. ข้อใดเขียนคาขึ้นต้นและคาลงท้ายไมถ่ กู ต้อง ก. กราบเทา้ - คดิ ถึงเสมอ ข. กราบเรยี น - โดยความเคารพอย่างสูง ค. เรียน.........ท่เี คารพ - ด้วยความเคารพอยา่ งสงู ง. นมสั การ – ขอนมัสการดว้ ยความเคารพอย่างสงู ๑๖. หากต้องการเขยี นแนะนาสถานที่ทอ่ งเที่ยวควรเขยี นในรปู แบบใด ก จดหมาย ข. บทความ ค. สารคดี ง. นยิ าย ๑๗. การเขียนนาเสนอข้อเท็จจรงิ โดยเนน้ ความเพลดิ เพลินคือการเขียนแบบใด ก. จดหมาย ข. บทความ 1 ค. สารคดี ง. นิยาย ๑๘. การเขยี นทม่ี ีเหตุผลประกอบมกี ารอ้างองิ แหล่งค้นควา้ คือการเขยี นแบบใด ก จดหมาย ข. บทความ 1 ค. สารคดี ง. นิยาย ๑๙. การเขียนเพอื่ ช้ีปญั หาและแนวทางแก้ไข มักปรากฏอยใู่ น ก บทความ ข. สารคดี ค. เรือ่ งทว่ั ไป ง. ข่าว ๒๐. ขอ้ ใดหมายถงึ การเขยี นจดหมายทนี่ อกจากจะเลา่ ทกุ ข์สขุ สกู่ ันและกนั แลว้ ยงั เล่าเรอื่ งความร้ตู ่าง ๆ ท่นี า่ สนใจดว้ ย ก จดหมายเชิงบทความ ข. สารคดเี ชงิ จดหมาย ค. จดหมายเชิงสารคดี ง. บทความเชงิ จดหมาย

๑. ค ๒. ง ๓. ก เฉลย ๕. ข ๖. ง ๗. ข ๘. ก ๔. ข ๑๐. ก ๑๑. ง ๑๒. ข ๑๓. ข ๑๕. ก ๑๖. ค ๑๗. ข ๑๘. ข ๙. ค ๒๐. ค ๑๔. ง ๑๙. ก

ใบงาน ให้นกั ศึกษาอ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้แี ลว้ วิเคราะห์ วิจารณ์ว่านา่ เช่อื ถือหรือไม่ อย่างไร 1. ม้านา้ ควรเร่งอนรุ ักษก์ อ่ นจะสญู พนั ธ์ 2. ระวังสารพัดโรคเขา้ ห้องนา้ สาธารณะ 3. เตมิ เงินท่นี ่ี แฮปปเ้ี ทา่ ตัว เฉพาะทด่ี เี ทคชอ็ ปเทา่ น้นั 4. เมาไมข่ บั หลับไมไ่ ป ไม่แน่ใจใหจ้ อด 5. ทัง้ ประเทศตอบรับความกลัว หวาดผวาแรงถึงขดี สดุ \"คนเห็นผี\" วันนที้ กุ โรงภาพยนตร์ 6. เกดิ ปงี ู จฮู้ กุ กรู ร้องเพลง ดงั่ ตาลเฉาะ เสียงหวาน กงั วานใสแตข่ ้อเสยี หน่ึงข้อ พอขนุ่ แสนเสยี ดาย หน้าไมห่ ล่อ ตอ้ งจาทน\"เปา้ มะเสง็ เสียงทอง เรว็ ๆ นี้ในรูปแบบ VCD และ DVD ๗. ถามจริง ! ถา้ หุ่นข้นึ ...คุณจะซอื้ หรอื ขาย ? แล้ว ...ถา้ หุ้นตก...คุณจะขายหรือซื้อ ? ตลาดห้นุ ไมใ่ ช้สนาม ทดสอบการใชเ้ งนิ ปลอ่ ยให้มืออาชีพจัดการดกี วา่ ... เพยี งโทรหาเรา... ๘. นกั วจิ ยั พบโต๊ะทางานมีเชื้อโรคชมุ ย่ิงกวา่ สว้ ม รวมทง้ั เปอื้ นแปน้ พิมพ์เมาสค์ อมพิวเตอร์ ๙. โดนเค้าหลอกอีกแลว้ กม็ วั แต่หลงฟงั หลงเช่ือคารมหวานหู สดุ ท้ายก็โดยทิ้ง คราวหน้าเลือกมอื ถือจาก Mobile from Advance ดีกว่า ทีน่ ี่คนจรงิ ใจ เหมือนญาติสนทิ มติ รสหายอยู่ดูแลคุณทว่ั ประเทศ... ๑๐. ดร.ณรงค์ ชนิ บตุ ร ผ้อู านวยการสานกั วิทยาศาสตรเ์ พ่ือการพฒั นาที่ดิน เปิดเผยวา่ พน้ื ทีเ่ กษตรทว่ั ประเทศ ดินเสอ่ื ม รอ้ ยละ ๙๐

เฉลย ขอ้ 1. นา่ เช่ือถือ เพราะมา้ น้าเปน็ สตั ว์ทะเลทีร่ ูปรา่ งหน้าตาคล้ายมา้ และไมส่ ามารถพบไดบ้ ่อย ๆ เราจึงควร ร่วมกนั อนรุ ักษ์ไวใ้ ห้ลูกหลานได้รจู้ ัก ขอ้ 2. น่าเชอ่ื ถือ เพราะหอ้ งน้าเปน็ สงิ่ จาเป็นสาหรับทุกคน การเตือนให้ไม่ประมาทเกยี่ วกบั โรคภัยทีอาจ เกิดข้นึ ได้ ทาให้เราหลกี เล่ียงหรือระมดั ระวงั เพิม่ มากขึน้ ขอ้ 3. ไม่นา่ เชอ่ื ถือ เพราะเปน็ การโฆษณาท่ีเกินจรงิ ผ้ทู ่เี สยี เงนิ เพอ่ื ซอ้ื บัตรโทรศพั ท์และสามารถโทร.ได้ยอ่ มมี ความสุขทุกคน ไมใ่ ช่เฉพาะทด่ี ีเทคแห่งเดยี ว ข้อ 4. นา่ เชื่อถอื เพราะเป็นคาขวญั ทีเ่ ตอื นใจคนขับรถให้รูว้ า่ ถา้ เมา หรืออยากหลับ หรอื ไม่แน่ใจตวั เองกค็ วร จอดรถดกี ว่า เพื่อความปลอดภยั ของทุกคน ข้อ 5. ไมน่ ่าเชอ่ื ถือ เพราะเป็นการโฆษณาภาพยนตร์ทีเ่ กินจรงิ ใชค้ าว่า \"ทั้งประเทศ\" ซึ่งเป็นการคดิ เอาเอง โดย ไมไ่ ด้สอบถามคนทง้ั ประเทศว่าจะกลัว และหวาดผวาจรงิ หรอื ไม่ ขอ้ ๖. น่าเชอ่ื ถือ เพราะเป็นโฆษณาท่เี ขียนในรูปกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ท่ีแปลกใหมแ่ ละน่าสนใจ รวมทัง้ ผ้สู ่งสารกลา้ ยอมรบั ข้อเสยี ของนักรอ้ ง แสดงวา่ มคี วามจริงใจกับผู้รับสาร ขอ้ ๗. น่าเช่ือถือ ในส่วนท่พี ดู ความจรงิ เร่ืองหุ้นขึ้น หุ้นตก ไม่นา่ เช่ือถอื ในสว่ นท่ีคิดว่าผูส้ ่งสารเปน็ มืออาชพี ซึ่งผู้อ่านไม่ แน่ใจวา่ จรงิ หรือเทจ็ จงึ ตอ้ งพิจารณาให้ ถ้วนถก่ี อ่ นเชอื่ ถือ ข้อ ๘. นา่ เชอ่ื ถอื เพราะนกั วิจยั ได้ทาการวจิ ัยมาแล้ว และในความเปน็ จรงิ กน็ ่าเป็นไปได้ เนอ่ื งจากโตะ๊ ทางาน แปน้ พมิ พ์ เมาส์คอมพวิ เตอร์ เป็นสิง่ ท่หี ลายคนสมั ผสั จึงอาจเป็นศูนยร์ วมของเชอ้ื โรคได้ ขอ้ ๙. ไม่น่าเชื่อถือ เพราะถึงงบแม้เราจะถกู หลอกมาแล้ว อาจถูกหลอกอกี ได้ เพราะไม่มขี อ้ มลู ระบวุ า่ มือถอื รุ่น นจี้ ะจรงิ ใจ หรอื ดแู ลเราทว่ั ประเทศจริง ๆ ข้อ ๑๐. น่าเช่ือถือ เพราะนักวจิ ัยได้ทาการวิจัยมาแลว้ และในความเป็นจรงิ ก็น่าเป็นไปได้ เน่ืองจากการพ้ืนดิน ผ่านการทาเกษตรมาโดยตลอด จึงน่าทจี่ ะเสอ่ื มได้

ใบงาน คาช้แี จง เขยี นเรยี งความ 1 เรอ่ื งโดยนาแนวคิดทีไ่ ดจ้ ากการอ่านเร่ือง “ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” มา ประกอบการเขียนและตงั้ ชื่อเรอ่ื งให้เหมาะสมโดยให้มคี าว่า “ชวี ติ พอเพียง” อยูด่ ว้ ย ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................................................

บนั ทกึ หลังสอน 1. ปญั หาหรอื อุปสรรคในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแก้ปญั หาหรอื อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรงุ แผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ เร่ือง การอา่ น ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผู้นเิ ทศทไี่ ด้รบั มอบหมายจากผบู้ ริหาร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง………………………………………………….

แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ กลมุ่ สาระความรพู้ ้นื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น แผนการจัดการเรียนรู้เร่อื งที่ 5 เร่อื งการเขียน เวลา 6 ช่ัวโมง สอนวนั ท่ี …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรียนที่ ………ปีการศกึ ษา……….. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดบั 1. สามารถเลือกใชภ้ าษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขยี นประเภทตา่ งๆ ไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ 2. สามารถใช้แผนภาพความคิด จัดลาดบั ความคิด เพ่ือพัฒนา งานเขียน 3. สามารถแต่งบทร้อยกรองตามความสนใจไดถ้ ูกต้องตามหลักไวยากรณ์และลกั ษณะคาประพนั ธ์ 4. สามารถเขยี นส่อื สารเรอื่ งราวต่างๆ ได้ 5. มีมารยาทในการเขียนและนสิ ัยรักการเขียน ตวั ช้ีวัด 1. เลอื กใช้ภาษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทร้อยแกว้ และรอ้ ยกรองได้อยา่ ง สรา้ งสรรค์ 2. ใช้แผนภาพความคิด จดั ลาดับความคิดก่อนการเขยี น 3. แต่งบทรอ้ ยกรอง ประเภทกลอนส่ี กลอนสุภาพ 4. เขยี นบทรอ้ ยแกว้ ประเภทประวัติ ตนเอง อธบิ ายความ ย่อความ ขา่ ว 5. เขยี นรายงานการคน้ ควา้ สามารถอ้างอิงแหลง่ ความรู้ ได้ถูกตอ้ ง 6. กรอกแบบรายการตา่ งๆ 7. ปฏิบัติตนเป็นผ้มู มี ารยาทในการเขยี น และมีการจดบนั ทึกอยา่ งสมา่ เสมอ สาระการเรยี นรู้ 1. หลักการเขยี น การใช้ภาษาในการเขียน 2. หลกั การเขียนเพ่อื การสื่อสารประเภทต่าง ๆ เชน่ การเขียนเรียงความ ยอ่ ความ เขยี นชแ้ี จง เขียนแสดงความคิดเหน็ คาขวัญ คาคม คาโฆษณา เขียนรายงานการค้นควา้ การกรอกแบบพมิ พแ์ ละใบสมัครงาน และ เขยี นคา วัน เดอื น ปี ไทย 3. หลกั การเขยี นแผนภาพความคิด 4. หลักการเขียนเพื่อการส่ือสารประเภทต่าง ๆ เชน่ การเขียนเรยี งความ ยอ่ ความ เขยี นชแ้ี จง เขียนแสดงความคิดเห็น คาขวญั คาคม คาโฆษณา เขียนรายงานการค้นควา้ การกรอกแบบพมิ พแ์ ละใบสมัครงาน และ เขียนคา วัน เดอื น ปี ไทย 5. หลักการเขียนแผนภาพความคิด 6. การปฏบิ ัติตนเป็นผูม้ ีมารยาทในการเขยี น และมนี ิสยั รกั การเขยี น

กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 1. ข้นั กาหนดสภาพปญั หาความตอ้ งการในการเรยี นรู้ ครูและผู้เรียนร่วมกนั กาหนดการเรียนร้ใู นเรอื่ งตอ่ ไปนี้ -การใช้ภาษาในการเขยี น -การเขียนเรียงความ - ย่อความ เขียนชีแ้ จง - หลักการเขียนแผนภาพความคิด -หลกั การเขยี นเพือ่ การส่ือสาร -มารยาทในการอา่ น - ให้ผเู้ รยี นทากจิ กรรมตามใบงาน 2. ขน้ั แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ ครูผ้เู รียนรว่ มกันกาหนดกรอบเนือ้ หาเก่ียวกบั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การใช้แหล่งเรยี นรู้ รวมทง้ั การจดั การความรู้ 3. ข้ันปฏบิ ัติ และนาไปประยุกต์ใช้ 1.ครแู ละผ้เู รียนสรุปสาระสาคัญและนาความร้ทู ่ีสอดคล้องกับวถิ ชี ีวิตไปเป็นแนวทางในการดาเนนิ ชีวิต 2.จัดทาเป็นรปู เลม่ รายงานจดั นทิ รรศการและอภปิ รายร่วมกัน 4. ข้ันประเมินผลการเรยี นรู้ 4.1 ครแู ละผเู้ รียนสรปุ สาระสาคัญตามมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 ซักถาม 4.3 แบบประเมนิ การวดั ผลประเมนิ ผล วิธกี ารวดั ประเมินจากการสังเกต การซกั ถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบกอ่ นเรียน เครอ่ื งมอื ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ และแบบทดสอบก่อนเรียน เกณฑก์ ารวัด ผา่ น ต้องทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 50 ของคะแนนเต็ม สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรยี นรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2. สื่ออินเทอรเ์ น็ต

ใบความรู้ หลกั การเขยี น ความหมายและความสาคญั ของการเขยี น การเขยี น หมายถึง การถา่ ยทอดความรู้ ความรูส้ ึกนกึ คดิ เรอ่ื งราวตลอดจนประสบการณ์ตา่ งๆไปส้ผู อู้ ่ืนโดยใช้ ตวั อกั ษรเปน็ เครื่องมือในการถา่ ยทอด การเขยี นเปน็ วธิ กี ารสอ่ื สารที่สาคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิดและประสบการณ์ เพอื่ ส่อื ไปยังผู้รบั ไดอ้ ย่างกว้างไกล นอกจากนัน้ การเขยี นยงั มีคุณคา่ ในการบันทึกเปน็ ขอ้ มูลหลกั ฐานให้ศกึ ษาได้ยาวนาน จุดประสงค์ของการเขยี น การเขียนทวั่ ไปมจี ุดประสงคด์ ังน้ี 1. เพื่อบอกเล่าเร่ืองราว เช่น เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวตั ิ ฯลฯ 2. เพื่ออธิบายความหรือคา เชน่ การออกกาลงั กาย การทาอาหาร คานิยามต่างๆ ฯลฯ 3. เพ่อื โฆษณาจงู ใจ เชน่ โฆษณาสินคา้ ภาพยนตร์ รายการโทรทศั น์ ฯลฯ 4. เพอื่ ปลุกใจ เชน่ บทความ สารคดี เพลงปลกุ ใจ ฯลฯ 5. เพอ่ื แสดงความคดิ เห็น 6. เพื่อสร้างจนิ ตนาการ เชน่ เร่อื งสนั้ นิยาย นวนิยาย ฯลฯ 7. เพื่อลอ้ เลยี น เช่น บทความการเมอื ง เศรษฐกิจ ฯลฯ 8. เพอื่ ประกาศแจง้ ใหท้ ราบ เชน่ ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมคั รงาน ฯลฯ 9. เพ่ือวเิ คราะห์ เช่น การเขียนวเิ คราะหส์ ถานการณ์บา้ นเมือง วเิ คราะห์วรรณกรรม ฯลฯ 10. เพอ่ื วจิ ารณ์ เช่น วิจารณก์ ารทางานของรัฐบาล วจิ ารณ์ภาพยนตร์ วิจารณห์ นงั สอื ฯลฯ 11. เพ่อื เสนอขา่ วสารและเหตุการณ์ท่ีนา่ สนใจ 12. เพอื่ กิจธรุ ะต่างๆ เช่น จดหมาย ธนาณัติ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ จดุ ประสงคข์ องการเขยี นคอื ส่ิงท่ีผู้เขยี นตอ้ งคานงึ วา่ ในการเขยี นงานเขยี นแตล่ ะครั้งนั้นตอ้ งการเขียนเพือ่ สอ่ื เร่อื ง ใดโดยผู้เขียนต้องใชค้ วามรู้และประสบการณ์ รวมท้งั หลักการเขียนประกอบการเขยี นเพื่อใหก้ ารเขียนเพือ่ การสือ่ สารนนั้ ๆ บรรลจุ ดุ ประสงค์ท่ีต้งั ไว้ หลกั การเขยี น เนื่องจากหลักการเขียนเป็นทกั ษะท่ีตอ้ งเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจังเพ่ือให้เกิดความรคู้ วามชานาญ และปอ้ งกัน ความผดิ พลาด ดังนนั้ ผูเ้ ขียนจงึ จาเป็นต้องใช้หลักในการเขียน ดงั ต่อไปนี้ 1. มีความถูกตอ้ ง คอื ข้อมูลถูกตอ้ ง ใช้ภาษาไดถ้ ูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. มคี วามชัดเจน คือ ใช้คาท่มี ีความหมายชดั เจน รวมถึงประโยคและถ้อยคาสานวน เพอื่ ใหผ้ ู้อ่านเข้าใจได้ตรง ตามจดุ ประสงค์ 3. มคี วามกระชบั และเรยี บง่าย คอื รจู้ ักเลือกใชถ้ ้อยคาธรรมดาเข้าใจงา่ ยไมฟ่ ุ่มเฟอื ย เพ่ือให้ไดใ้ จความชัดเจน กระชับไมท่ าให้ผอู้ ่านเกดิ ความเบอื่ หนา่ ย 4. มคี วามประทบั ใจ โดยการใชค้ าใหเ้ กดิ ภาพพจน์ อารมณแ์ ละความรูส้ กึ ประทับใจ มีความหมายลึกซ้งึ กนิ ใจ ชวนตดิ ตามใหอ้ ่าน

กระบวนการคดิ กับกระบวนการเขยี น กระบวนการคดิ กับกระบวนการเขยี นนั้นมีความสัมพันธ์กนั เนื่องจากการเขียนงานเขียนทกุ ประเภทต้องใช้ ความคิด ตอ้ งสรา้ งสรรคว์ เิ คราะห์ กลนั่ กรอง เรยี บเรียงใหด้ เี สยี ก่อน แลว้ จึงลงมอื เขียนอนั จะทาให้การเขียนนนั้ ๆสาเรจ็ ลง ดว้ ยดี กระบวนการคดิ 1. คิดให้ตรงจดุ หมายถงึ คิดถึงจดุ ประสงคท์ ีส่ าคัญเพียงจดุ เดยี ว โดยการคิดให้อยู่ในวงจากัด การคิดให้ตรงจุดมี ดงั น้ี ..........1) คิดในหวั ข้อที่จากดั ไมก่ วา้ งเกนิ ไป จากัดขอบเขตของเนอ้ื หาให้ชัดเจน ..........2) คดิ เฉพาะส่งิ ทีร่ ู้ เพราะจะทาใหค้ ิดได้ดี คิดอย่างชานาญ มีประสิทธภิ าพ 2. คดิ ให้เป็นระเบียบ หมายถงึ การจัดลาดบั ความคดิ มีดังนี้ ..........1) จดั ลาดบั เร่อื งราว คอื การจัดลาดบั วา่ เหตุการณ์ใดเกดิ ก่อนเกดิ หลัง ..........2) จัดลาดบั สถานท่ี คอื เขยี นรายละเอยี ดของสถานท่ใี หต้ รงตามความเปน็ จรงิ ไม่วกไปวนมา ..........3) จัดลาดบั ตามเหตุผล คือ มีเหตุแลว้ ตอ้ งมีผลตามมา หรือการกล่าวว่าผลทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจากสาเหตุใด 3. คิดใหก้ ระชับและชดั เจน คือ ต้องมคี วามคิดหลักเพยี งอยา่ งเดียวเพื่อให้ผ้อู า่ นสามารถจบั ประเด็นได้และ ความคิดนน้ั ตอ้ งสามารถทาให้ผ้อู า่ นสื่อไดต้ รงกบั ความคดิ ของผูเ้ ขยี นโดยไม่สับสน เช่น ผูเ้ ขียนตอ้ งการเสนอความคิด เก่ียวกับคุณค่าของการประหยัดตอ้ งทาให้ผู้อ่านอ่านแลว้ เหน็ คุณคา่ ของการประหยัดอยา่ งแท้จริงโดยไมเ่ ห็นแตกตา่ ง ออกไป นอกจากนี้ สง่ิ ท่ีผเู้ ขยี นตอ้ งคานงึ ถึงเสมอก่อนจะลงมอื เขยี นเรอื่ งใดกค็ อื มารยาทในการเขยี น เนอ่ื งจากงานเขยี น บางประเภทหรือบางเรือ่ งอาจก่อใหเ้ กิดความเสยี หายในอนาคตได้ ฉะนั้นเพอ่ื ปอ้ งกันความเสยี หายท่จี ะเกดิ ข้นึ ผู้เขียนจึง จาเปน็ ตอ้ งเขียนอยา่ งมีมารยาท ดังน้ี มารยาทในการเขยี น 1. ไมค่ วรเขียนโดยปราศจากความรูเ้ กีย่ วกับเร่ืองนนั้ ๆ เพราะอาจเกดิ ความผดิ พลาด หากจะเขยี นก็ควรศึกษาค้นคว้าให้ เกดิ ความพร้อมเสยี กอ่ น 2. ไมเ่ ขียนเรอื่ งที่สง่ ผลกระทบต่อความม่นั คงของชาติหรอื สถาบนั เบ้อื งสงู 3. ไมเ่ ขียนเพ่อื มุ่งเน้นทาลายผ้อู ่นื หรอื เพือ่ สรา้ งผลประโยชน์ให้แก่ตน พวกพ้องตน 4. ไมเ่ ขียนโดยใชอ้ ารมณ์สว่ นตัวเปน็ บรรทัดฐาน 5. ต้องบอกแหลง่ ท่ีมาของขอ้ มูลเดิมเสมอ เพอ่ื ให้เกียรตเิ จ้าของข้อมูลน้ันๆ 6. ไมค่ ดั ลอกบทความหรือเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่งมาโดยเจ้าของเร่อื งไม่อนญุ าต

การเขยี นสะกดคา ความหมายของการเขยี นสะกดคา นักการศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายของการเขียนสะกดคาไวด้ งั นเี้ วบ็ สเตอร์(Webster) กล่าวว่า การเขยี นสะกดคาคือศิลปะ หรือเทคนคิ ในการสร้างคาโดยใชอ้ กั ษรตามแบบท่ีสังคมยอมรบั อดลุ ยไ์ ทรเล็กพิม (2528 : 63) ได้ให้ความหมายของการสะกดคาว่าเปน็ การเขียนโดยเรียงลาดบั พยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ รวมท้ังตัวสะกดการนั ต์ภายในคาหน่ึง ๆ ได้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรพรรณภญิ โญภาพ (2529 : 14) ไดอ้ ธบิ ายวา่ การเขียนสะกดคาเปน็ การฝกึ ทักษะการเขียนให้ถูกต้องตามพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตสถานแกผ่ เู้ รยี น และจะตอ้ งใหผ้ ูเ้ รียนเข้าใจขบวนการประสมคาร้หู ลักเกณฑ์ท่ีจะเรยี บเรยี งลาดับตัวอกั ษร ในคาหนงึ่ ๆใหไ้ ดค้ วามหมายท่ตี ้องการ เพื่อจะนาประโยชนไ์ ปใช้ในการสอ่ื สาร จากความหมายของการเขยี นสะกดคาที่กล่าวมาข้างต้น สรปุ ไดว้ ่า การเขียนสะกดคา หมายถงึ การเขียนโดยเรียงลาดบั พยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์และตัวสะกดเปน็ คาไดอ้ ย่างถูกหลักเกณฑแ์ ละถูกตอ้ งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ สถาน เพอ่ื ใหส้ ามารถสือ่ ความหมายได้ถูกต้อง ความสาคญั ของการเขยี นสะกดคา การเขียนสะกดคาให้ถกู ต้องมคี วามสาคญั ในเรอื่ งการสอื่ ความหมายหากเขียนสะกดผิดพลาดจาทาใหก้ ารสอื่ ความหมาย ผดิ เพย้ี นไป เข้าใจไมต่ รงกนั ความสาคญั ของการสะกดคาไดม้ นี ักการศึกษาใหค้ วามหมายสาคัญดังต่อไปน้ี วัฒนาบุรกสกิ รได้กลา่ วถึงความสาคญั ของการสะกดคาไวใ้ นเอกสารประกอบคาบรรยายการใช้ภาษาไทยเร่ือง วิธีใช้ ภาษาไทยว่า “เรือ่ งของการเขยี น ตวั สะกดเป็นเร่ืองสาคัญมากต้องระมัดระวังเปน็ ท่สี ุด เพราะการเขยี นสะกดผิดนอกจาก จะผิดหลกั อกั ขรวธิ แี ลว้ ยังทาให้สอ่ื ความหมายทเี่ ข้าใจกนั ไม่ได้อกี ดว้ ย” บุปผา บุญทพิ ยก์ ลา่ วถึงความสัมพันธข์ องการเรยี นการสอนสะกดคาในเร่อื งความรู้ทวั่ ไปทางภาษาไทยตอน 2 การใช้ ภาษาไทยว่า “การเขียนสะกดคาถือวา่ เปน็ การส่ือสารด้วยการเขยี น ถา้ เขยี นสะกดคาผดิ พลาดการส่ือสารจะไมช่ ดั เจน ผรู้ บั สารจะไมเ่ ขา้ ใจ หรอื ทาให้เขา้ ใจผดิ การเขยี นคาให้ถูกตอ้ งตามอักขรวิธีจงึ ตอ้ งฝึกฝนและระมัดระวังอยา่ ละเลย” นติ ยา กาญจนะวรรณ, เสาวลักษณ์ อนันตศานตแ์ ละ ทิพยส์ เุ นตร อนมั บตุ รกล่าวถงึ ความสาคญั ของการเขียนสะกดคาใน เร่ืองลักษณะและการใช้ภาษาไทยวา่ “การเขนี สะกดคาเปน็ เร่อื งสาคัญในการส่ือภาษาเขียนถ้าเขยี นผดิ ยอ่ มทาให้ ความหมายเปลยี่ นแปลงไป การเขยี นสะกดคาเปน็ เรอ่ื งสาคญั ดังที่นักการศกึ ษาได้กลา่ วไว้ข้างตน้ ครจู งึ ควรฝกึ ใหน้ ักเรยี นเขียนสะกดคาให้ถูกต้อง เพือ่ ใหน้ กั เรียนมที ักษะในการเขียน สาเหตทุ ี่ทาใหเ้ ขียนสะกดคาผิด หนว่ ยศึกษานิเทศก์กรมการฝกึ หดั ครู กระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถงึ สาเหตุของการเขียนสะกดคาผดิ ไวใ้ นคู่มือครู ภาษาไทยว่าเขยี นสะกดคาผิดเปน็ เพราะดังนี้ 1) ใช้แนวเทยี บผิด 2) ไมส่ นใจในการเขยี นว่าจะผิดหรือถูก 3) ไม่ได้ศึกษาวา่ คาใดเขียนอย่างไรจึงถูก เวลาสงสยั ก็ไม่เคยใชพ้ จนานุกรม จึงไม่มโี อกาส ได้จดจาคาที่ถกู ตาม พจนานกุ รมไว้ใช้ 4) มกี ารแกไ้ ขภาษาและพจนานุกรมทท่ี าให้นักเรยี นกาหนดแบบอย่างทถี่ กู ตอ้ งได้ยาก 5) ขาดการฝึกโดยเฉพาะในการเขยี นตามคาบอก 6) เหน็ แต่แบบแผนทไ่ี มถ่ ูกต้องตลอดเวลา 7) ขาดความรู้ในเร่อื งรปู ศัพทเ์ ดมิ สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบูลย์ กลา่ วถงึ สาเหตุท่ีทาให้นักเรียนเขยี นสะกดคาไวใ้ นหลกั ภาษาไทยว่า 1) เขียนผิดเพราะไม่ทราบความหมายของคา เชน่ ครภุ ัณฑ์ เขียนเป็น ครพุ ัน บิณฑบาต เขยี นเป็นบณิ ฑบาตร์ เป็นตน้ 2) เขยี นผดิ เพราะใช้แนวเทียบผิด เช่น จานง เขยี นเปน็ จานงค์เพราะเทยี บกบั คาวา่ องค์ ดอกจนั เขียนเปน็ ดอกจนั ทร์ เพราะเทยี บกบั คาว่าดวงจันทร์ 3) เขยี นผิดเพราะออกเสียงผิด เช่น กรวดนา้ เป็นตรวจน้า เพราะออกเสยี งอยา่ งนน้ั หยบิ หยง่ เป็น หยิบโหยง่ 4) เขยี นผดิ เราะมปี ระสบการณ์มาผิด เชน่ คาว่าประณีต เขียนเปน็ ปราณีต เพราะจามาจากหนงั สือพมิ พ์

5) เขยี นผิดเพราะไมร่ ูห้ ลกั ภาษา เช่น เขยี นคาสมาสคาว่าธรุ กจิ เป็นธุระกิจ วธิ สี อนการเขยี นสะกดคา การเขยี นสะกดคา เปน็ ทักษะท่ตี ้องอาศยั การสังเกต การจดจาอย่างสมา่ เสมอ ดังน้ันในการจดั การเรียนการสอนจงึ จาเป็น อยา่ งยิ่งทีผ่ ูส้ อนจะต้องคานงึ ถงึ การจดั กจิ กรรมการสอนใหก้ ับนกั เรียนในลกั ษณะแตกต่างกนั ตามความเหมาะสมกับวัย และความสามารถของนกั เรียนแตล่ ะคนเพอื่ ให้นักเรยี นมคี วามสนใจและต้ังใจพยายามฝึกฝนทักษะการเขียนใหด้ ยี ิ่งขน้ึ ใน การสรา้ งแบบฝกึ การเขยี นสะกดคายากจงึ ตอ้ งอาศยั แนวทางวธิ สี อนมาจากเอกสารตา่ ง ๆ ดังน้ี อจั ฉรา ชวี พันธ์ ได้เสนอแนะวีสอนการเขยี นสะกดคาในระดบั ประถมศึกษา ในเรื่อง ศาสตร์ของการสอนภาษาไทยวา่ 1) ตอ้ งจดั อยา่ งมลี าดับขัน้ ตอนเพื่อชว่ ยให้นักเรยี นเกิดการเรยี นรทู้ ีต่ อ่ เน่ืองเพราะภาษาไทยเปน็ ทกั ษะที่จะต้องมี การฝกึ ฝนให้เกิดความชานาญสามารถใช้ไดอ้ ยา่ งถูกต้องคลอ่ งแคลว่ ดงั นน้ั กิจกรรมทจ่ี ัดขึ้น จดั ใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกทักษะจาก สิ่งงา่ ยไปหายาก 2) ควรจดั ให้สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั วัย ความสามารถและความตอ้ งการของนักเรียนนกั เรียนในระดับ ประถมศึกษามีความตอ้ งการความสาเร็จครผู ู้สอนควรคานงึ ถึงการจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นประสบความสาเรจ็ มากกวา่ ล้มเหลว เชน่ การจดั แข่งขันเขียนคาศัพท์ ควรจัดกจิ กรรมแขง่ ขันเขียนเปน็ หม่รู ู้จกั ใหค้ วามช่วยเหลือกนั 3) การจดั กจิ กรรมการสอนจะต้องใหน้ กั เรยี นไดม้ ีส่วนรว่ มในการแสดงออกอย่างทว่ั ถึง เชน่ ให้นักเรยี นออกมา แขง่ ขนั เขยี นคาศพั ท์ในกระดานผ้สู อนควรเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนไดผ้ ลัดเปลยี่ นหมุนเวยี นกนั ออกมารว่ มกิจกรรมการไดร้ บั โอกาสโดยเท่าเทยี มกันจะทาใหเ้ ขาไดเ้ สนอแนะวธิ ีแก้ไขขอ้ บกพร่องในการเขยี นไวใ้ นคู่มอื ครูภาษาไทยวา่ (1) แกท้ ีต่ ัวเด็ก ก. ให้มีโอกาสฝึกทักษะให้มากขึ้น และสมา่ เสมอท้ังในการเขยี นตัวสะกด และครูควรจะได้ตรวจตรวจแก้ใหท้ ุกครั้ง ข. ใหน้ กั เรยี นท่เี รยี นออ่ นได้รับการชว่ ยเหลือเปน็ พเิ ศษ สว่ นเด็กทม่ี ีความสามารถกค็ วรไดร้ บั การส่งเสรมิ (2) แกท้ ่ีสิ่งแวดลอ้ ม ก. ครภู าษาไทยซ่งึ ต้องรับผดิ ชอบโดยตรง ควรมีทัศนคติทีด่ ีตอ่ ภาษาไทย และเป็นผู้ใฝ่หาความร้อู ยูเ่ สมอ และมวี ธิ สี ง่ เสรมิ ให้นักเรยี นสนใจ ข. ครทู ุกวิชาใหค้ วามชว่ ยเหลืออย่างจริงจัง ไมป่ ลอ่ ยให้ข้อบกพรอ่ งอนั เก่ียวกบั ภาษาไทยของนักเรียนผา่ นไปโดยไม่ ทักท้วง ค. ครทู ุกคนควรเป็นตัวอยา่ งในการใชภ้ าษาไทยที่ถกู ตอ้ ง ง. การใชห้ ลักสูตร ควรสร้างความสัมพันธร์ ะหวา่ งวชิ าภาษาไทยกบั วิชาอน่ื ทง้ั น้ีเพอื่ ให้ใชภ้ าษาเปน็ ประโยชน์ในการเรียน ทกุ วชิ า ปัจจยั ทช่ี ว่ ยใหเ้ ขยี นสะกดคาถกู ตอ้ ง ๑. รคู้ วามหมายของคา คาในภาษาไทยมีคาที่ออกเสียงตรงกนั แต่เขียนสะกดตา่ งกนั จึงทาให้มีคาที่เรยี กว่า “คาพ้อง เสยี ง” ถ้ารูค้ วามหมายของคาจะสามารถเขยี นสะกดคาได้ถกู ตอ้ ง เช่น พัน(ผูก) พนั ธ์(เก่ยี วข้อง) พันธ์ุ (สืบทอด) ภณั ฑ์(สิ่งของ) พรรณ(ชนดิ , ผวิ ,ส)ี โจทก(์ ผู้ฟอ้ ง, ผกู้ ล่าวหา) โจทย(์ คาถามในวิชาเลข) โจท (โพนทะนาความผิด) โจษ(ล่าลอื , พูด เซง็ แซ่) ๒. ไม่ใชแ้ นวเทยี บผดิ คาบางคาแม้จะเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายหรือรูปศพั ท์ ตลอดจนทีม่ าแตกตา่ งกัน จะใช้ แนวเทียบเดียวกนั ไม่ได้ เชน่ อานสิ งส์ มกั เขยี นผดิ เป็น อานสิ งฆ์ เพราะไปเทียบกบั คา พระสงฆ์ ผาสุก มกั เขยี นผดิ เปน็ ผาสขุ เพราะไปเทียบกับคา ความสขุ แกงบวด มกั เขยี นผดิ เป็น แกงบวช เพราะไปเทียบกับคา บวชพระ

๓. ตอ้ งออกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ ง การออกเสียงไม่ถกู ต้องเป็นปัจจยั หนงึ่ ท่ีทาให้เขยี นสะกดคาผดิ เช่น ผมหยักศก ออกเสยี งเป็น ผมหยกั ศก พรรณนา ออกเสียงเปน็ พรรณา บังสกุ ลุ ออกเสียงเปน็ บงั สกุล ลา่ ลา ออกเสยี งเปน็ รา่ ลา กรวดน้า ออกเสียงเปน็ ตรวจนา้ ประณตี ออกเสียงเปน็ ประณีต ๔. แกไ้ ขประสบการณท์ ผ่ี ดิ ๆ ใหถ้ กู ตอ้ ง การเหน็ คาท่ีเขียนผิดบอ่ ยๆ จากสอื่ สงิ่ พมิ พ์ ปา้ ยโฆษณา ปา้ ยประกาศ เป็นต้น อาจทาใหเ้ กิด ประสบการณ์ทีท่ าใหเ้ ขียนสะกดคาผดิ ไปดว้ ย กอ่ นเขียนคาจึงควรศกึ ษาให้ถกู ตอ้ งเสยี ก่อน เชน่ ทีฆายุโก มักเขยี นผิดเป็น ฑฆี ายโุ ก อนญุ าต มกั เขียนผิดเปน็ อนุญาติ โอกาส มักเขยี นผิดเปน็ โอกาศ เกรด็ ความรู้ มักเขียนผดิ เป็น เกล็ดความรู้ เกสร มกั เขยี นผิดเป็น เกษร ๕. ตอ้ งมคี วามรเู้ รอื่ งหลกั ภาษา การเขียนสะกดคาไดถ้ กู ตอ้ งนัน้ ผเู้ ขียนตอ้ งมคี วามจาเปน็ ต้องมคี วามร้เู รือ่ งหลกั ภาษาเพอ่ื เปน็ แนวทางในการใชภ้ าษาท่ีถูกตอ้ ง เช่นถา้ ผู้เขียนมคี วามร้เู กยี่ วกับหลักการใช้ตัวละกด และตวั ตาม ในภาษาไทย และหลกั การของคาสมาส กจ็ ะช่วยให้เขยี นคาไดถ้ ูกต้องเชน่ ส + ฐาน = สัณฐาน ส + ถาร = สนั ถาร ส + ชาต = สัญชาติ ตัวอย่างข้างตน้ เกดิ จากหลักการของคาสมาส แบบมีสนธิ ทีเ่ รยี กวา่ นคิ หิตสนธิ นคิ หิต ส + พยัญชนะในวรรคใด ใหเ้ ปลี่ยนนิคหิต (อัง) เปน็ พยัญชนะตัวสดุ ท้ายของวรรค (แถวที่ ๕) เปน็ ตน้ ๖. ต้องศกึ ษาและติดตามเรื่องการเขียนสะกดคาที่เปน็ ประกาศของราชการ การศกึ ษาและตดิ ตามเรื่องการเขียนสะกดคาท่เี ป็นประกาศของราชการ เช่นสานกั นายกรฐั มนตรี หนังสอื และเอกสารของราชบณั ฑิตสถาน เช่น พจนานกุ รม สารานกุ รม การใช้ เครือ่ งหมายวรรคตอน การเขยี นขื่อเมอื ง ประเทศ ตลอดจนศัพท์บญั ญตั ิต่างๆ และตดิ ตามการเขียน และการอ่านจากประกาศของทางราชการอย่างสม่าเสมอ จากท้งั หมดท่กี ลา่ วมาข้างตน้ จะชว่ ยให้เขยี นสะกดคาได้ถกู ต้อง เรยี บเรยี งจาก ศกึ ษาธกิ าร, กระทรวง. บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๑: ระบบเสยี ง อกั ษรไทย การอา่ นและการเขยี นสะกดคา; กาญจนา นาคสกลุ และคณะ. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๕. ๗๗ – ๑๔๐.

ใบความรู้ เทคนคิ การเขยี นจาก อ.ชมยั ภร 1. มใี จรกั ในการอา่ นและการเขียน ถ้าไมร่ ักจรงิ ทาไม่ได้ 2. มี จินตนาการในการเขยี น อ.เล่าวา่ มนี วนิยายเรือ่ งหนงึ่ นางเอกเป็นสาวอกั ษร ผวิ เหลืองๆพอ อาจารย์เรยี นอักษรก็เจอเพ่ือนทม่ี ลี ักษณะคล้ายๆกบั นางเอกในนยิ ายเลยเรยี กชื่อเพอ่ื นด้วยช่ือนางเอกคนน้ันซะเลย น่นั คอื อาการ \"อิน\"กบั เนอ้ื เร่อื งอย่างหนง่ึ การเขยี นนนั้ ต้องมจี นิ ตนาการด้วย 3.ชา่ งสงั เกตจา ไดว้ ่าเราเคยอ่าน สวสั ดีขา้ งถนนทีอ่ าจารย์เขยี นเรอ่ื งหมา อาจารย์บอกว่าสังเกตว่าหมามกั จะ ผูกพนั กบั ตัว ง งู (ฮง่ โบง๋ อะไรกว็ ่าไป เสยี งร้องอะ) เลยใหห้ มาในเร่อื งรอ้ งว่า \"เง่ย\"เวลาไมพ่ อใจ (เป็นคาที่เราสะดุดตาจน ทกุ วนั น)้ี อาจารยบ์ อกวา่ เป็น\"ฉิบหาย\"ในภาษาหมาไปโนน่ (ฮา) การใหร้ ายละเอยี ดในงานเขียนกส็ าคญั สังเกตแลว้ เอามาเขียน เขยี นโดยใช้สัมผัสทง้ั 5 ให้ละเอียดที่สุด (ตาดู ดูอะไรหไู ด้ ยนิ อะไร ฯลฯ เอาใหค้ นอ่านได้ดู ไดย้ นิ ด้วยนะ) ต้องเขยี นใหเ้ หมอื นจรงิ ท่สี ดุ ผู้อ่านจะไดค้ ลอ้ ยตามไดอ้ าจารย์ ยกตัวอย่าง การบรรยายของ กนกพงศ์ สงสมพนั ธเ์ุ หตุการณไ์ ม่เท่าไหร่ แตก่ ็ผลาญพน้ื ท่ีไปหลายหนา้ เราจะรู้อากัปกิริยาของตัวละคร อยา่ งละเอยี ดทีเดยี ว 4.มคี วามรู้และประสบการณ์ในการเขยี นถ้าเปน็ สิ่งทีเ่ รารจู้ ริง จะเกดิ แรงบันดาลใจในการเขยี น อาจารย์เขยี นเร่ืองจากเพ่อื นลูกๆ เปน็ บันทึกจากลกู ผู้ชายเขียนทุกสิ่งทอ่ี าจารย์พบเหน็ รอบๆตัวเป็นนยิ าย (แล้วเราก็ ติดกนั หนบุ หนบั )นกั เขียนวยั ร่นุ นา่ จะหาเรอ่ื งใกลต้ วั มาเขียนบา้ งนะกะ๊ 5. มคี วามร้พู ืน้ ฐานด้านวรรณกรรม ในที่นห้ี มายถึงกลวิธกี ารเขยี นตา่ งๆเขียนเรอ่ื งสน้ั เขยี นยังไง เขยี นนวนยิ าย เขียนยังไง เขียนบทความเขยี นยังไง เปน็ ต้นเทา่ กับเป็นใบเบิกทางส่ปู ระตนู ักเขียนเลยล่ะ 6. ฝึกฝนอยู่ เสมออาจารย์เคยเลา่ วา่ สมัยเรียนอักษร มกี ารฝึกฝนโดยนง่ั มองคนเดินผ่านไปมาแล้วเขียนกลอน บรรยายลักษณะของคนเหลา่ นนั้ ให้เพอ่ื นอ่าน อาจารยเ์ ขยี นมาก เขยี นเยอะ 7. มคี วามอดทน ในที่นค้ี ืออดทนรอคอย อดทนฟังคาวพิ ากษว์ จิ ารณ์อาจารย์ฝากไวว้ ่า อย่ากา้ วข้ามขน้ั ในการเขียนนน้ั ควรเริม่ จากเรอ่ื งสน้ั กอ่ นแลว้ คอ่ ยเขียนนวนิยายยาวๆทีหลงั เหมือนกบั การขึ้นบนั ได ถ้าไม่ไปทลี ะขั้นก็จะตกบนั ไดคนที่ ขา้ มขั้น ตกบนั ไดมานกั ตอ่ นักแล้ว (เหมอื นหลายๆคนในเด็กดี ที่เขียนนยิ ายทนั ทไี มม่ เี รือ่ งสน้ั อยากบอกวา่ เรื่องสัน้ จะทรง พลงั กว่านิยายมาก เพราะมันสนั้ เลยหกั มมุ ได้ ทาอะไรกับมนั ก็ได้ นยิ ายเขียนๆไปกอ็ าจซ้าๆกนั ไดอ้ ยู)่ กวา่ ทจ่ี ะไดล้ งเรอื่ งสั้น สักเรอ่ื งหน่ึง อาจารย์บอกว่าในสมยั ก่อนเปน็ เรอ่ื งยากมากสมยั น้เี ราวา่ ส่งไปกค็ งไดล้ งงา่ ยๆแล้วละ่ การสง่ นิยายให้ สานักพิมพพ์ จิ ารณาดว้ ยมันงา่ ยกันเหลอื เกิน ไมเ่ หมอื นสมยั อาจารย์ ท่ีเขียนแทบตายกวา่ จะไดล้ งหนังสือก็ขอฝากนกั เขยี น รุ่นใหมไ่ วด้ ว้ ยนะคะ ทีพ่ ิมพๆ์ หนังสอื กนั ออกเกร่อนั้นมีคณุ คา่ ทางวรรณศิลป์ มีคณุ คา่ ต่อสังคมดว้ ยหรือเปลา่ ? ตามกระแส อยากดังหรือวา่ ใจรักกัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook