สถิติและระเบยี บวธิ วี จิ ยั ขัน้ สูงทางจิตวทิ ยา หัวข้อสำคญั พล.อ.ต.ดร.นภทั ร์ แกว้ นาค นักวจิ ัยแหง่ ชาติ ณ สภาวิจัยแห่งชาติ บทที่ 1 : กระบวนทศั น์และหลักการวิจัยฯ บทที่ 2 : หลักการทบทวนแนวคดิ และเอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง บทที่ 3 : การออกแบบและวิธดี าเนินการวจิ ยั บทท่ี 4 : เทคนคิ วิทยาการวเิ คราะหข์ ้อมลู บทท่ี 5 : การเขียนบทสรปุ และอภปิ รายผล บทท่ี 6 : การนาเสนองานวชิ าการและผลการวิจยั 1
หลักการเรียนรู้ข้นั สงู : การวจิ ยั ขนั้ สูง 1. สมองคดิ : จิตวา่ ง : ละอตั ตา : อารมณ์ดี 2. เป็นการเรยี นรู้อยา่ งลึกซง้ึ และเป็นระบบ 3. เปน็ การสร้างวุฒิภาวะความเป็น Ph.D 4. เป็นการสะสมวฒุ ภิ าวะทางวชิ าการใหเ้ ข้มแข็ง 5. เป็นวธิ ีวทิ ยาการบรู ณาการองค์ความรู้ทางโลกกบั ภูมิปัญญาทางธรรม 6. ต้องคดิ วิเคราะหด์ ว้ ยสมองเรียนรดู้ ้วยใจและ ประยุกตใ์ ชค้ วามร้ดู ว้ ยปญั ญา 7. เรียนร้เู พื่อสร้างปญั ญาท้ัง 3 ระดบั (สตุ ตะ+จินตะ+ภาวนามยปญั ญา) 2
บทท่ี 1 : กระบวนทศั น์และหลกั การ การวิจยั ข้นั สงู 1. แนวคิดหลกั : Main Idea 1.1 นยิ าม : Definition & Scope ❖ เปน็ วธิ วี ิทยาการแสวงหาความรู้ : การสร้างองค์ความรู้ ด้วยกระบวนการรอบรวมขอ้ มูลและวิเคราะห์ข้อมลู เชงิ องค์รวม ❖ วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหข์ อ้ มลู เชงิ ตรรกะดว้ ยหลกั การทฤษฎแี ละ ระบบขอ้ มลู 3
1.2 กระบวนทศั นก์ ารแสวงหาความรู้ 1. มุ่งเน้นการสมั ผสั ขอ้ มลู เชงิ ปรากฏการณ์วิทยา/ ความเป็นธรรมชาติวสิ ยั 2. รวบรวมและเรยี บเรียงข้อมลู ผ่านเคร่อื งมอื และ วิธกี ารหลากหลาย 3. วเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ข้อมลู แลว้ สรุปผลเป็น ข้อเสนอเชงิ ทฤษฎี (Proposition) 4. เปน็ วธิ วี ทิ ยาการสรา้ งองคค์ วามรู้ 4
4. ชดุ ความรทู้ ่สี รา้ งขึ้นมีคณุ ลักษณะ (1) (2) โครงสร้างหรอื องค์ วิธกี ารเขา้ ถึงและ ประกอบของชดุ ความรนู้ ั้น การไดม้ าซ่งึ ชุดความร้นู ัน้ (4) (3) คุณคา่ และความเชื่อถอื ได้ ความเปน็ ประโยชน์และ วิธกี ารประยกุ ต์ใชค้ วามรู้น้ัน ของความรู้นั้น 5
1.3 วิธีวทิ ยาการสรา้ งองคค์ วามรู้ ขอ้ เสนอเชิงทฤษฏี เกบ็ ข้อมลู วเิ คราะหข์ อ้ มูล /สรุปผลการวิจยั สมมติฐานและ การออกแบบการวิจัย วธิ กี ารเชิงอปุ นัย Fact ปรากฏการณ์ Fact Data ทสี่ นใจ Event 6
1.4 หลกั การวิจัยเชิงคณุ ภาพ 1. ศึกษาความเป็นองคร์ วมระหวา่ งขอ้ มูลกบั บรบิ ท ของข้อมูล 2. รวบรวมข้อมลู ตคี วาม สรุปความ และอธิบาย ความเชิงพนั ธภาพ 3. สร้างองค์ความรใู้ หม่จากการยืนยนั ขอ้ ค้นพบจาก ข้อมลู ย่อย + เหตุผลเชงิ อปุ นัย 4. ขอ้ มูลการวิจยั มาจากการสงั เกต การวิเคราะห์ การสนทนา การรวบรวมจากความเป็นธรรมชาติ 7
1.5 คณุ ภาพหรอื ความเชอ่ื ถอื ได้ของการวจิ ัย Creditability Consistency ความคงเสน้ คงวา ความเชอ่ื ถอื ได้ Generalization Transferability เป็นความร้ทู วั่ ไป การถา่ ยโยงผลการวิจยั 8
1.6 อาณาจักร/ประเภทการวิจัย Quantitative Res. Qualitative Res. วจิ ยั เชิงปรมิ าณ วิจยั เชงิ คณุ ภาพ Mixed Method วิจยั แบบผสานวิธี 9
1.7 ตวั อยา่ งเทคนิคการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ 10 1. ศกึ ษาปรากฏการณ์ (Phenomenology) 2. Field Research 3. Empirical Research 4. Participation Action Research 5. Document Research 6. Historical Research 7. EDFR / EFR / Delphi Technic 8. Discourse Analysis 9. Care study 10. Future Research
1.8 เทคนคิ วิธีการวจิ ัยเชิงคุณภาพ Triangulation Scenario Focus group Technic Technic Technic Critical Technic Qualitative Dialectic Process Technic Technic Snowball Technic Workshop Research Discourse Analysis Technic Technic 11
1.9 เครอ่ื งมือการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ เช่น การวิเคราะหเ์ อกสาร Document Analysis การประชุมผู้เช่ียวชาญ การสมั ภาษณ์ Expert Meeting Interview ตัวอย่ำงเคร่ืองมือ การสมั มนาเชิงปฏิบัติการ การสนทนากล่มุ ย่อย Workshop Focus group การสงั เกต Observation 12
1.10 คุณลกั ษณะสาคญั ของ Ph. D Topic New Concept Deeply study Systematic Generalized คณุ ลักษณะสาคัญ New Design Usefully Mixed Method New Finding 13
1.11 คุณลกั ษณะของข้อมลู เชิงคณุ ภาพ เช่น Value Belief ค่านยิ ม ความเชือ่ Evidence รอ่ งรอย Way of life ตวั อยา่ ง Behavior วิธีชีวติ พฤตกิ รรม Wisdom Culture Attitude ปัญญา วฒั นธรรม ทศั นคติ 14
1.12 คุณลักษณะของขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ 1. เป็นตวั เลขจากแบบทดสอบ 2. เป็นสถิติขอ้ มูลที่นบั ได้ 3.เป็นขอ้ มูลที่สงั เกตและมีจานวน 4. เป็นทศั นคติที่มีระดบั ความมากนอ้ ย 5. เป็นชุดขอ้ มูลจากการวิเคราะห์ 6. เป็นระดบั ขอ้ มูล เชิงอนั ตรภาคและอตั ราส่วน 15
สรุปหลกั การเขยี นหวั ขอ้ การวจิ ัย 1. มี Concept ที่จะวจิ ยั ชดั เจน 2. มที ิศทางการหาคาตอบการวิจยั 3. มีความกวาง/ความลึก/ความเป็นระบบ 4. มนี า้ หนักเหมาะสมต่อความเป็น Ph.D Thesis 5. สรา้ งองค์ความร้ใู หม่ได้จริง 16
3 หลักการเขียนโครงรา่ งการวจิ ัย 1. ชอ่ื เรอ่ื งการวิจยั 2. ความเปน็ มาและความสาคญั ของศกึ ษา 3. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัย 4. ปัญหาการวจิ ยั 5. ขอบเขตของการวจิ ยั 5.1 ขอบเขตดา้ นเนื้อหา 5.2 ขอบเขตเชิงตวั แปร 5.3 ขอบเขตดา้ นพน้ื ที่ศึกษา/สถานท่ี 5.4 ขอบเขตด้านระยะเวลา 5.5 ขอบเขตด้านประชากร/กลุ่มตัวอย่าง 17
6. นิยามศพั ท์/นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ 7. เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง 8. วธิ ีการวิจัย 8.1 รปู แบบการวจิ ยั 8.2 เครือ่ งมอื การวจิ ัย 8.3 การเกบ็ ข้อมลู 8.4 การวิเคราะหข์ ้อมูล 9. กรอบแนวคิดการวจิ ยั 10. ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั 18
ตวั อย่างหัวข้อโครงรา่ งวิทยานพิ นธ์ เรอื่ ง : แบบจาลองดุลยภาพ ความเป็นอมั พวาโมเดล : กรณศี ึกษา การจัดการชุมชนเชิงบูรณาการ The Umpava Case Study : The Eqerilibrium Of Integration Community Management โดย นอ.ดร.นภทั ร์ แก้วนาค 19
1. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา กวา้ ง วกิ ฤตนิ เิ วศวิทยา อัมพวา. สมทุ รสงคราม... 3 - 5 หน้า ผลกระทบต่อสังคมชมุ ชน... สิ่งแวดล้อมและสิง่ มชี วี ติ จากหงิ่ หอ้ ยนับแสน สู่หงิ่ หอ้ ยตวั สุดทา้ ย...ที่อัมพวา จะพัฒนาและรักษาดุลยภาพชุมชน ใหค้ งความเปน็ อมั พาวา อยา่ งไร ? แคบ 20
2. วัตถุประสงคก์ ารวิจยั : เพ่ือ 2.1 วเิ คราะห์สถานการณ์วกิ ฤตินิเวศวิทยา ของความเป็นอัมพวา ดงั้ เดิมและปัจจบุ ัน 2.2 สังเคราะหค์ วามตอ้ งการของคน - ชุมชน และ ระบบการจดั การของสังคมอมั พวา 2.3 พฒั นาแบบจาลองดลุ ยภาพความเป็น “อมั พวา โมเดล” : การจดั การชุมชนเชิงบูรณาการ 21
3. ปญั หาการวิจัยที่ตอ้ งการทราบ 3.1 วิกฤตินิเวศวิทยา ความเปน็ ชุมชนอมั พวาเป็น อย่างไร ? 3.2 อะไรคือความตอ้ งการของชมุ ชน และสงั คม เพื่อการจัดการอัมพวา ? 3.3 แบบจาลอง ดุลยภาพความเป็น “อัมพวา โมเดล” เพอ่ื การจดั การชุมชนเชงิ บรู ณาการ เป็นอย่างไร ? 22
4. ขอบเขตของการวิจยั 4.1 ขอบเขตดา้ นเน้ือหา (1) วิเคราะหส์ ถานการณ์วกิ ฤตขิ องอมั พวา นเิ วศวิทยาเชิง ชมุ ชนศึกษา (2) สงั เคราะห์รูแ้ บบองคป์ ระกอบและกลไก การจัดการ ความมดี ุลยภาพของชุมชน อมั พวา 23
4.2 ขอบเขตด้านตวั แปร เชงิ ปริมา 1. เพศ ณ 2. กลุ่มอายุ ตวั แปรต้น 3. อาชพี (ตัวแปรตาม) 4. คณุ ลกั ษณะดลุ ยภาพอัมพวาโมเดล 24
เชงิ คณุ ภาพ (1) วเิ คราะหค์ วามเปน็ ชุมชนอัมพวา เชิงชุมชนศกึ ษา เช่น- สิทธชิ มุ ชน... - จติ วิญญาณชุมชน .... - วัฒนธรรมชุมชน... - เศรษฐกจิ ชมุ ชน... - ผู้นาและการจัดการชมุ ชน - โครงสร้างความเป็นชมุ ชน ฯลฯ (2) พฒั นาแบบจาลอง ความเปน็ อมั พวาโมเดล : การจดั การชมุ ชนเชงิ บูรณาการ 25
4.3 ขอบเขตด้านประชากร/ผู้ให้ข้อมลู สาคญั เชิงปรมิ าณ (1) กล่มุ ประชากรชุมชนอัมพวา 15,700 คน (สมมุติ ) (ฐานข้อมลู ประชากรเทศบาลเมืองอมั พวา) (2) ศกึ ษากลุม่ คน 3 กลมุ่ อายุ คอื - อายนุ อ้ ยกวา่ 3 ปี - อายุ 36-50 ปี - อายมุ ากกวา่ 50 ปี 26
(3) ศึกษากลมุ่ คน 4 อาชพี คือ - อาชีพเกษตรกร - อาชพี ข้าราชการ - อาชีพธุรกิจ/ค้าขาย - อาชีพท่ัวไป (อ่นื )...... 27
4.4 เชงิ คณุ ภาพ (1) กลมุ่ ผใู้ หส้ ัมภาษณ์ (1.1) เปน็ ผูส้ งู วัยในชมุ ชนอมั พวาท่ี อายมุ ากกวา่ 60 ปี (1.2) เป็นเยาวชนคนอมั พวาอายุไม่ เกนิ 25 ปี (1.3) เป็นผูม้ บี ทบาทการจดั การชุมชน อมั พวา 28
(2) กลุ่มทา Focus group (2.1) ปราชญ์ชาวบ้าน (2.2) ผูน้ าชุมชน (2.3) นกั วิชาการชุมชนศึกษา (2.4) NGO (2.5) ผู้บรหิ ารท้องถิ่น (2.6) ชาวเรือ/แม่ค้า/ชุมชนริมคลอง อัมพวา 29
(3) กลมุ่ ผู้เชี่ยวชาญ(Expertise) ตรวจสอบ Model (3.1) ปราชญช์ าวบา้ น (3.2) นกั วชิ าการชุมชนศกึ ษา (3.3) ผู้นาชุมชน / ผู้นาทอ้ งถิ่น (3.4) ผู้แทนเยาวชนคนอัมพวา (3.5) นักทอ่ งเทีย่ ว/คนนอกถ่นิ อัมพวา 30
4.5 ขอบเขตด้านพ้ืนท่ี - เชิงปรมิ าณ (1) ชาวชุมชนคนอมั พวา จ.สมทุ รสงคราม (2) สถานศกึ ษา/หนว่ ยงานราชการใน จ.สมุทรสงคราม (3) สถานประกอบการธุรกิจร้านคา้ ของอมั พ วา - เชิงคุณภาพ (1) ชาวชุมชนคนอมั พวา (2) สถานศึกษา/หนว่ ยงานราชการ (3) ตลาดนา้ อัมพวา/ชมุ ชนคนรมิ คลอง 31
4.6 ขอบเขตดา้ นระยะเวลา - เชิงปรมิ าณ ศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู ตั้งแต่ ตุลาคม 2555 - ธนั วาคม 2555 - เชงิ คุณภาพ ศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู ตั้งแต่ พฤศจกิ ายน 2555 - พฤษภาคม 2556 รวมช่วงเวลา ศกึ ษาข้อมูล 8 เดือน 32
5 สมมติฐานการวจิ ยั 5.1 เชงิ ปรมิ าณ (ไม่มี) 5.2 เชิงคณุ ภาพ สมมุตฐิ าน (ร่าง) 1. “อมั พวา” จะอยู่รอดถ้าชุมชนเขม้ แข็ง 2. หยุดอนาคตอัมพวาเพ่ือรกั ษาอดตี ในสภาพ ปัจจบุ นั 3. อัมพวา จะอยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื ถ้าไมม่ ี สง่ิ แปลกปลอม เชิงนิเวศวิทยา 4. การจัดการชุมชนเชงิ บูรณาการดว้ ยธรรมาภบิ าล ของชมุ ชน จะทาใหเ้ กดิ ดลุ ยภาพความเปน็ 33
6 นิยามศพั ท์เฉพาะในการวิจัย 6.1 แบบจาลอง หมายถึง รปู แบบที่เป็น คณุ ลักษณะโครงสร้างระบบการจัดการ หนว่ ยงาน/องค์กรหรอื ชุมชน/สังคม 6.2 ดุลยภาพ หมายถึง คุณลกั ษณะความ สมดุลย์ ความเป็นองคร์ วมของมิติ การ จดั การระบบเชงิ บรู ณาการ 34
6.3 การจัดการชมุ ชน หมายถึง ระบบการบรหิ าร การดาเนนิ งานเพ่ือการอนุรกั ษ์ และสง่ เสริม คุณลกั ษณะความเปน็ ชมุ ชนที่มีความเข้มแขง็ ย่งั ยนื 6.4 เชงิ บูรณาการ หมายถึง การจัดการให้ องค์ประกอบของระบบการบริหาร หรือปัจจัย การจัดการ มคี วามสัมพันธก์ นั และส่งผลให้ เกดิ ความสาเร็จ 35
7. เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง 7.1 เอกสารแนวคิดทฤษฎี (1) หลกั การศกึ ษาวเิ คราะห์ นิเวศวทิ ยา (2) หลกั และกระบวนการชมุ ชนศึกษา (3) แนวคิดการจัดการ เช่น สมดลุ หรอื ดลุ ยภาพการจัดการ (4) วัฒนธรรมชุมชนและความเปน็ ประชาสงั คม (5) The Participation Model of Community Development (6) The Civil Society & Participation Methodology 36
7.2 งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง (1) สมทรง แสงตะวัน (2542) ศกึ ษา ทิศทางการพัฒนาคนและชมุ ชนอยา่ ง ย่งั ยนื 1. คนตอ้ งเปน็ ศนู ยก์ ลางการพัฒนา..... 2. ชุมชนต้องมีความเปน็ นเิ วศวิทยา... 3. การจดั การชุมชนตอ้ งเป็นระบบการ มีสว่ นรว่ ม.... 37
(2) วสนั ต์ ทองคา (2551) ศกึ ษา แบบจาลองระบบการมสี ว่ นร่วมภาค สงั คม ความเปน็ ประชาธปิ ไตย 1. การจดั การภาคประชาสงั คม มีผล ตอ่ คุณภาพภาพประชาธปิ ไตย 2. หัวใจของการมสี ว่ นร่วม คอื การมี จิตสานกึ ของประชาชน ทุกภาค ส่วน 38
(3) สุนทรี ชมชืน่ (2551) ศึกษา องคป์ ระกอบระบบการมสี ว่ นร่วมภาค ชมุ ชนต่อพทุ ธธรรมาภบิ าลของสถานศกึ ษา 1. การจดั การภาคชมุ ชน มผี ลต่อคณุ ภาพ ธรรมภิบาลสถานศกึ ษา 2. คณุ ค่าการมสี ว่ นร่วม คือการมีจิตสานึก ของประชาชนในชุมชน 39
(4) Jonh ‘s Smith ; 1989 The Model of Equilibriums Community Development and Sustainable Administration in ASEAN 1. The Model FactorSsociety 1.1 The Leadership of Community 1.2 The Group of civil society 1.3 The Mechanism of Management 2. The Sustainable Administration 2.1 The Continuous Growth of Goodness 2.2 The Participation of Community people 2.3 The Community Mind & Spiritual of Population 40
8. วธิ ดี าเนินการวจิ ยั 8.1 รปู แบบการวิจยั : Mixed - Method ทง้ั การวจิ ัยเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพ ในรปู แบบการ วิจัย R & D (Research & Development) มีข้นั ตอนการวิจยั ดงั น้ี 41
ข้ัน R (Research) 1 ศึกษาวเิ คราะห์เอกสารและงานวรรณกรรมท่ี เกีย่ วขอ้ ง 2. ลงพนื้ ทส่ี นาม การวิจยั (Field Research Area) 3. สมั ภาษณเ์ ชิงลึก (เบ้อื งต้น) เพือ่ จัดทา แบบสอบถาม 4. แจกแบบสอบถาม กลมุ่ ตัวอยา่ งการวจิ ยั 5. เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และสรปุ ผลข้นั การวิจยั 42
ขัน้ D (Development) 1. สมั ภาษณ์เชงิ ลึก กลมุ่ Key informant 2. สรปุ ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ คณุ ลกั ษณะ แบบจาลอง “อมั พวาโมเดล” 3. จดั ทา Focus group เพอ่ื พฒั นาแบบจาลอง คุณภาพอัมพวาโมเดล 4. จดั ประชุมกลมุ่ ผเู้ ชียวชาญเพ่ือประเมนิ คณุ ภาพ แบบจาลองและการจดั การชมุ ชน 5. สรปุ ผลการวิจัย ขั้นพฒั นา (D) 43
8.2 ประชากร/กลุ่มตวั อย่างการการวจิ ัย เชิงปรมิ าณ กลุ่มตวั อยา่ งจากการสมุ่ อยา่ งง่าย (Simple Random Sampling จานวน 280 คน ) (Taroyamane Table) เชิงคณุ ภาพ 1. กลุ่ม Focus group จานวน 15 ท่าน จากการเลอื ก สุ่มผ้มู คี ณุ สมบัตติ ามท่กี าหนดไว้ 2. กลุ่ม Expertise จานวน 7 ท่าน จากการเลอื กสุ่ม ผ้มู ีคุณสมบัติตามทีก่ าหนดไว้ 44
8.3 เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย (1) เชงิ ปริมาณ ใช้แบบสอบถามซึง่ ผูว้ จิ ัยสรา้ งจาก กระบวนการ Community Study Process (2) เชงิ คณุ ภาพ 1. การวเิ คราะหเ์ อกสาร... 2. Field Note... 3. Observation Note..... 4. In depth Interview 5. Focus group & Dialectic Process 6. Expertise meeting Method 45
(3) การหาคณุ ภาพเครื่องมอื 1. Face Validity (ความตรงเชงิ พินิจ) 2. IOC 3. ∞ Cranbach 8.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล (1) เชิงธรุ การ 1.1 สร้างเครอื่ งมอื หรือระบุวิธกี ารเก็บข้อมูลการวิจยั 1.2 ทาหนังสือถึง ผอ.หลกั สตู รขออนมุ ตั เิ กบ็ ข้อมูลการวจิ ยั 1.3 ส่งหนังสอื ถงึ หนว่ ยงานหรือองคก์ รการเกบ็ ขอ้ มูล การวจิ ัย 46
(2) เชงิ วชิ าการ 2.1 วางแผนการเกบ็ ขอ้ มูลด้วยเครื่องมอื แต่ละแบบ พรอ้ ม การประสานบุคคลท่เี กี่ยวขอ้ ง 2.2 เข้าพนื้ ที่การวจิ ัย เพือ่ ประสานการปฏิบตั กิ ารเก็บ ขอ้ มูลเชงิ วิชาการ - การแจกแบบสอบถาม 280 ชุด - การสัมภาษณ์เชิงลกึ - การประชุมกลมุ่ Focus group - การประชุมกลุม่ ผเู้ ช่ยี วชาญ (เฉพาะ) 2.3 รวบรวมข้อมูลจากเคร่อื งมอื และวธิ กี ารต่างๆ 2.4 จัดระบบขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ ้อมูลทง้ั เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ 2.5 สรุปผลการวเิ คราะห์และผลการสังเคราะหข์ ้อมลู การวจิ ัย 47
8.5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ ใช้สถติ ิวเิ คราะห์ ดังนี้ 1. เปอรเ์ ซ็นต์ (%) 2. คา่ เฉลย่ี (X) 3. คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (SD) เชิงคุณภาพ ใช้เทคนิคการวเิ คราะหด์ ังนี้ 1. เทคนคิ 6’ C : QDAT (Qualitative Data Analysis Technnic) 48
6’ C Technic : QDAT Concept สมจติ ร แกว้ นาค.2542 มโนทศั น์การวิเคราะห์ Communication Contents การส่ือความหมาย สาระสาคญั แตล่ ะประเด็น Conceptualization Category Classification การจดั ระบบความคิด การจัดหมวดหมู่ขอ้ มลู การวิเคราะห์ จาแนกเนอ้ื หา
2. หลกั Contents Analysis (การวิเคราะหเ์ นื้อหา) 3. หลัก Dialectic Process (วิภาษวธิ ี) 4. หลกั Triangulation Technic (การวเิ คราะห์ 3 เสา้ ) เพอ่ื วิเคราะห์ขอ้ มูล 1. วิเคราะหเ์ อกสาร 2. วิเคราะห์ observation Note 3. วิเคราะหผ์ ลการสัมภาษณ์ 4. วิเคราะหผ์ ล Focus group 5. วเิ คราะห์ผล Expertise Meting Method 50
Search