แผนการจัดการเรยี นรูมุงเนนสมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1 สอนครั้งที่ 1-3 ชอื่ หนวย ช่ัวโมงรวม 12 การออกแบบนิเทศศิลป์ จานวนชัว่ โมง 4 (Communication Art Design) 4.2.1. ความหมายของการออกแบบ (Brinkkemper,1996) การออกแบบ หมายถึง การสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ หรือปรับปรุงดัดแปลงสิ่งที่มี อยู่ให้ดีข้ึน และมีรูปแบบท่ีเปล่ียนไปจากเดิม การถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงาน ท่ีผู้อื่น สามารถมองเหน็ รับรู้ หรือสมั ผสั ได้ ซ่ึงการออกแบบครอบคลุมถึงการออกแบบวัตถุ ระบบ หรือ ปฏสิ ัมพันธ์ ของมนุษย์ และยงั รวมไปถงึ การคิดเชงิ ออกแบบ (design thinking) แบบทอ่ี อกมาอาจเป็นสง่ิ ท่ีเป็นไปไดจ้ ริง หรือแบบที่เป็นเพียงนามธรรมก็ได้ ผู้ท่ีออกแบบจะเรียกว่า นักออกแบบ ซึ่งหมายถึงคนท่ีทางานวิชาชีพใน สาขาการออกแบบที่แตกต่างกันไป เช่น นักออกแบบแฟชั่น, นักออกแบบแนวความคิด หรือนักออกแบบ เว็บไซต์ การออกแบบนั้นมีความจาเป็นที่ต้องพิจารณาด้าน สุนทรียศาสตร์ ประโยชน์ใช้สอย หลัก เศรษฐศาสตร์ และมุมมองสังคมการเมือง ทั้งในสิ่งที่ออกแบบและขั้นตอนการออกแบบ การออกแบบอาจ เก่ียวข้องกับการค้นหาข้อมูล ความคิด การทาแบบจาลอง การปรับแก้แบบแบบมีปฏิสัมพันธ์ และ การรื้อ แบบใหม่ (re-design) ขณะท่ีความหลายหลายของการออกแบบอาจรวมไปถึง เสื้อผ้า ส่วนต่อประสาน กราฟิกกับผู้ใช้ ตึกระฟ้า เอกลักษณ์องค์กร การจัดการกระบวนการทางธุรกิจ หรือแม้กระท่ังกระบวนการ ออกแบบเอง (ทรงพันธ์ นุชอนงค์,2549) ความหมายของการออกแบบ การออกแบบ คืออะไรซ่ึงความหมายของ คาว่า \"ออกแบบ\" น้ันถูกให้คานิยาม หรือคาจากัดความ ไว้หลายรูปแบบมากมาย ตามความเข้าใจ การ ตคี วามหมาย และการส่ือสารออกมาดว้ ยตัวอกั ษรของแต่ละคน ตวั อย่างความหมายของการออกแบบ เชน่ การออกแบบ หมายถึง การรู้จักวางแผนจัดต้ังขั้นตอน และรู้จักเลือกใช้วัสดุวิธีการเพื่อทาตามที่ ตอ้ งการน้ัน โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบ และคณุ สมบัตขิ องวัสดแุ ต่ละชนดิ ตามความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา เช่น การจะทาโต๊ะขึ้นมาซกั หนึ่งตัว เราจะต้องวางแผนไว้เป็นข้ันตอน โดย ต้องเร่ิมต้นจากการเลือกวัสดุที่จะใชใ้ นการทาโต๊ะนนั้ ว่าจะใชว้ ัสดอุ ะไรท่ีเหมาะสม ในการยดึ ต่อระหวา่ งจุด ต่างๆน้ันควรใช้ กาว ตะปู สกรู หรือใช้ข้อต่อแบบใด รู้ถงึ วัตถุประสงคข์ องการนาไปใชง้ าน ความแขง็ แรงและ การรองรบั นา้ หนักของโตะ๊ สามารถรองรบั ได้มากนอ้ ยเพียงใด สีสันควรใช้สอี ะไรจึงจะสวยงาม เปน็ ต้น การออกแบบ หมายถงึ การปรบั ปรุงแบบ ผลงานหรือส่ิงต่างๆ ท่มี ีอยู่แลว้ ให้เหมาะสม และดูมีความ แปลกใหม่ขึ้น เช่น โต๊ะที่เราทาขึ้นมาใช้ เมื่อใช้ไปนานๆก็เกิดความเบ่ือหน่ายในรูปทรง หรือสี เราก็จัดการ ปรับปรุงให้เป็น รูปแบบใหม่ให้สวยกว่าเดิม ทั้งความเหมาะสม ความสะดวกสบายในการใช้งานยังคง เหมือนเดิม หรือดีกวา่ เดมิ เป็นต้น การออกแบบ หมายถึง การรวบรวมหรือการจัดองคป์ ระกอบท้ังท่ีเป็น 2 มิติ และ 3 มิติ เขา้ ด้วยกัน อย่างมีหลักเกณฑ์ การนาองค์ประกอบของการออกแบบมาจัดรวมกันนั้น ผู้ออกแบบจะต้องคานึงถึง ประโยชน์ในการใช้สอยและความสวยงาม อันเป็นคุณลักษณะสาคญั ของการออกแบบ เป็นศิลปะของมนุษย์ เนอื่ งจากเปน็ การสรา้ งค่านิยมทางความงาม และสนองคุณประโยชน์ทางกายภาพให้แก่มนษุ ยด์ ้วย
การออกแบบ หมายถึง กระบวนการท่ีสนองความต้องการในสิ่งใหม่ๆของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เพ่ือ การดารงชีวติ ให้อยูร่ อด และสร้างความสะดวกสบายมากยิง่ ข้ึนงานออกแบบกราฟิกมีขอบข่ายกว้างขวาง นัก ออกแบบงานกราฟิก (Graphic Designer) ตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ งานด้านกราฟกิ เป็นอย่างดเี พื่อ จะได้มีแนวคิดจะจัดเสนอรูปแบบกราฟิกให้สอดคล้องกับสื่อลักษณะต่างๆ ต้องมีความเข้าใจถึงกระบวนการ สื่อสารและกระบวนการผลิตส่ือ เพอื่ การสอ่ื สารความหมายโดยแท้จริง งานกราฟิกไมใ่ ช่งานโฆษณาไมใ่ ช่งาน ตลาด ไม่ใช่งานประชาสัมพันธ์นักออกแบบงานกราฟิกต้องสามารถนาความรูพ้ ื้นฐานตา่ งๆ ในหลายๆ ดา้ นมา ประกอบกันเพอื่ สร้างสรรค์ผลงานให้สามารถบรรลุจุดประสงคไ์ ดแ้ ละสามารถส่อื ไปยังกลมุ่ เป้าหมายไดอ้ ย่าง มีประสทิ ธิภาพ ก่อให้เกิดการกระตุน้ กอ่ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลง สร้างจิตสา นกึ ท่ีดตี ่อสง่ิ นนั้ ๆ (รัษฎากร ชัยเรืองรัชต์,2554) นิยามการออกแบบการออกแบบคือกระบวนการจัดระบบความคิด อย่างมีระเบียบเพื่อแก้ปัญหาด้วยความสร้างสรรค์และเพื่อให้เกิดความเปล่ียนแปลงต่อการตอบสนองความ ตอ้ งการท้งั ของตนเองและผอู้ ืน่ โดยอา้ งอิงจากผูเ้ ชย่ี วชาญทม่ี ีความหมายของการออกแบบไวต้ ่างกันดงั น้ี (ปิยชาติแสงอรุณ,2544) การออกแบบเป็นความสามารถในเชิงแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ซ่ึงต้อง อาศัยความร้ใู นศาสตร์พน้ื ฐานทางสนุ ทรยี ะแห่งรสนิยมทักษะประสบการณแ์ ละความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี ต่างๆท่ีเก่ียวข้องเพ่ือประกอบเข้าในกระบวนการคิดการสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบการติดตามวิธีการ ออกแบบในแนวคิดใหมๆ่ การเช่ือมโยงความรู้ของสัตวต์ ่างๆสาขาการใช้เทคโนโลยีเพอื่ การสืบค้นการวเิ คราะห์ และการสร้างในมติ ิใหม่ๆตลอดจนการทดลองและการแลกเปลี่ยนความคิดร่วมเป็นการพัฒนาการออกแบบ ให้กว้างไกล (นวลนอ้ ยบุญวงษ์,2539) การออกแบบคือการใช้ความคดิ จนิ ตนาการจากความจริงในปัจจุบันไปยัง ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ไ ด้ ใ น อ น า ค ต Design is the imaginative jump from present facts to future possibilities. และไดส้ รปุ ความหมายของการออกแบบจากผู้รูใ้ นด้านตา่ งๆที่ใหน้ ิยามไว้ดังนี้ 1. การออกแบบหมายถงึ เฉพาะส่ิงที่มนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ เท่าน้ัน 2. การออกแบบเป็นความพยายามสรา้ งให้เกิดความเปลยี่ นแปลงโดยการจัดระเบยี บความ มุ่งหมายทจี่ ะแกป้ ญั หาและเพอ่ื สนองประโยชนท์ ้งั ของตนเองและคนในสังคม 3. คุณสมบัติของนกั ออกแบบควรเป็นผู้รผู้ ้มู คี วามรู้ความชานาญตลอดจนประสบการณ์และ ท่สี าคัญคอื เป็นผู้มีความคิดและจนิ ตนาการนอกจากน้ีนวลน้อยบญุ วงษ์ยังกล่าวถึงการใหค้ วามหมายของการ ออกแบบจากผู้รใู้ นดา้ นต่างๆคือ 3.1. design is the deliberate ordering or planning of space,element, or activity for a given purpose. (Holmes,1934)การออกแบบคือการจัดระเบียบหรือวางแผน ถังอย่าง ตั้งใจสาหรบั ทีว่ างเรอื่ งราวหรอื กิจกรรมตามจุดมงุ่ หมายทกี่ าหนด 3 . 2 . Design is to conceive the idea for some artefact or system amd/ or to express the idea in an embodiable from.(Archer,1971) การออกแบบคอื การสร้างความคิดขึ้น สาหรับชนิ้ งานหรอื ระบบและหรือการแสดงออกของความคิดใหเ้ ปน็ รปู ร่างรูปทรง 3 . 3 . Design is the initiation of chang in man-made things.(Jones,1962)การออกแบบคือการเสนอแนะเกีย่ วกบั ความเปล่ยี นแปลงในส่งิ ทมี่ นษุ ยส์ ร้างข้นึ 3 . 4 . Design is a highly innovative cross-desciplinary process through which man seeks to satisfy not only himself but also the needs of other (Gasson,1974)
การออกแบบคือกระบวนการคิดค้นข้ามสาขาวิชาซึ่งมนุษย์ค้นหานอกจากเพ่ือสร้างความพึงพอใจให้ตนเอง แล้วยังเพือ่ ความต้องการของคนอน่ื (นวลน้อย บุญวงษ์,2539,หนา้ 1-2X 3.5. De Bono,Edward (2005) ออกถึงการออกแบบว่าการออกแบบนั้นเหมอื นการค้นพบ ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งผลลัพธ์เกิดจากการลองผิดลองถูกมากกว่าสร้างความสอดคล้องต่อแนวทางดั้งเดิม ( Design, link scientific discovery, is result of trial and error rather than conforming to instructions (วริ ุณตัง้ เจรญิ ,2531) อา้ งถึงคาพูดของเชอร์เมเยฟฟ์ Chermayeff ว่าการออกแบบอาจจะไดร้ ับการ พิจารณา เหมือนกับเคร่ืองมือในการจัดระบบเป็นกระบวนการพัฒนาให้เกิดความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี และยงั กลา่ วถึงการออกแบบอีกวา่ 1. การออกแบบจะต้องตอบสนองความจาเป็นของมนุษย์การแสดงออกของงานออกแบบ จะต้องสรา้ งให้ปรากฏได้หรอื ตรวจสอบได้ 2. จะต้องมกี ารพสิ จู น์ได้เพื่อการตัดสินใจในทางคณุ ค่าของงานออกแบบ 3. การออกแบบเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการอยู่รอดหรือเป็นการวางแผนในเชิงทรัพยากร resource planning 4. การออกแบบที่มีคุณค่าสามารถสร้างให้เกิดการลดต้นทุนทางด้านแรงงานอุปกรณ์และ จานวนของงานออกแบบได้ 5. การออกแบบที่ดีช่วยประหยัดเวลาในการนาเสนอข้อมูลท่ีกระจ่างชัดเจนและมีความ เขา้ ใจตอ่ สือ่ ทีเ่ สนอ 6. การทาใหก้ ารผลิตการเตรียมงานง่ายและสะดวกสบายมากขน้ึ การออกแบบชว่ ยให้การใช้ เคร่อื งจักรกลหมอสมสอดคล้องกบั มนุษยท์ างดา้ นกายภาพมากขึน้ จากที่กล่าวมาข้างต้นการออกแบบ ตามพจนานุกรมคือ (n) การออกแบบ,แผนการ,โครงการ,แบบ แผน,ความต้ังใจ,จุดประสงค์, ประดิษฐ์แบบ, ประดิษฐ์รูปลักษณะ การออกแบบในท่ีน้ีอาจหมายถึง การนา ความคิด ความตั้งใจ ความรู้สึกตลอดจนความต้องการมาถ่ายทอดผ่านตัวกลางเช่น องค์ประกอบศิลป์และ อุปกรณต์ ่างๆอยา่ งมแี บบแผนและเปน็ ระบบเพือ่ ใหผ้ ้อู ืน่ รบั รูไ้ ดห้ ลากหลาย 4.2.1.1. ประเภทของการออกแบบ นิลาวรรณ์ ธิหลา้ ,2563 การออกแบบแบ่งได้เป็น 10 ประเภท คือ 1. การออกแบบสร้างสรรค์ เป็นการออกแบบเพ่ือนาเสนอความงามความพึงพอใจเน้นความคิด สร้างสรรค์ แปลกๆ ใหม่ๆ ให้เกิดความสะเทือนใจ เร้าใจ ซึง่ การสร้างสรรค์นอ้ี าจเป็นการพัฒนาจากส่ิงทม่ี อี ยู่ เดมิ หรอื สรา้ งข้นึ ใหมก่ ไ็ ด้ งานออกแบบสร้างสรรคน์ มี้ ี 5 ลักษณะ คือ 1.1. งานออกแบบจิตรกรรม (Painting) คืองานศิลปะด้านการวาดเสน้ ระบายสี เพ่ือแสดง อารมณแ์ ละความร้สู ึกในลกั ษณะสองมติ ิจาเปน็ ตอ้ งใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรค์ในผลงานแตล่ ะชน้ิ ของผสู้ ร้าง 1.2. งานออกแบบประติมากรรม (Sculpture) คืองานศลิ ปะดา้ นการปั้น แกะสลกั เชอ่ื มต่อ ในลกั ษณะสามมิติคอื มที งั้ ความกวา้ ง ยาว และหนา 1.3. งานออกแบบภาพพิมพ์ (Printmaking) คืองานศิลปะที่ใช้กระบวนการพิมพ์มา สรา้ งสรรค์รูปแบบด้วยเทคนิคการพิมพ์ตา่ งๆ เชน่ ภาพพมิ พไ์ ม้ โลหะ หิน และอนื่ ๆ
1.4. งานออกแบบสื่อประสม (Mixed Media) คืองานศิลปะท่ีใช้วัสดุหลากหลายชนิด เช่น กระดาษ ไม้ โลหะ พลาสติก เหล็ก หรือวัสดุอ่ืนๆ นามาสร้างความผสาน กลมกลืนให้เกิดผลงานท่ีแตกต่าง อยา่ งกวา้ งขวาง 1.5. งานออกแบบภาพถ่าย (Photography) ยุคน้ีเป็นยุคที่การถ่ายภาพกลายเป็นเรื่อง ง่ายๆ สาหรับผทู้ ี่สรา้ งสรรค์งานถ่ายภาพ เพราะเทคโนโลยกี ารถ่ายภาพ มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการ ลงทุนสร้างสรรค์ที่ไม่แพงมาก การถ่ายภาพอาจเป็นภาพ คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติท่ัวๆไปโดยมุ่งเน้นการ สรา้ งสรรค์เน้ือหาท่ีแปลกใหมเ่ พ่อื สนองความต้องการของผูถ้ า่ ยภาพ 2. การออกแบบสัญลักษณแ์ ละเคร่ืองหมาย (Symbol & Sign) เป็นการออกแบบเพ่ือสื่อความหมาย เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ทาความเข้าใจกับผู้พบเห็นโดยไม่จาเป็นต้องมีภาษากากับเช่น ไฟแดง เหลือง เขียว ตามสีแ่ ยกหรือเคร่อื งหมายจราจรอื่นๆ เครื่องหมาย (Symbo) คือส่ือความหมายที่แสดงความ นัยเพ่ือเป็นการช้ี เตือนหรือกาหนดให้สมาชิกในสังคมรู้ถึงข้อกาหนดอันตราย เช่น เคร่ืองหมายจราจร เคร่ืองหมายสถานที่ เครอ่ื งหมายท่ีใชก้ ับเครื่องกล เครอ่ื งหมายท่ีใชก้ ับเคร่ืองไฟฟ้า เครอ่ื งหมายตามลักษณะ ส่ิงของ เครื่องใช้ ฯลฯ สัญลักษณ์ คอื สื่อความหมายท่ีแสดงความนัยเพ่ือบอกใหท้ ราบถงึ ส่ิงใดสิ่งหนึ่งซึ่งไม่มี ผลในทางปฏิบัติเหมือนเครื่องหมายแต่มีผลทางด้านการรับรู้ ความคิดหรอื ทัศนคติที่พึงมีต่อสัญลักษณ์น้ันๆ เช่น สัญลักษณ์ของชาติ เช่น ธงชาติ ฯลฯ สัญลักษณ์ขององค์กรต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา กระทรวง สมาคม พรรคการเมือง ฯลฯ สัญลักษณ์ของบริษัทห้างร้านทางธุรกิจ เช่น ธนาคาร บริษัท ห้างร้านฯลฯ สัญลักษณ์ของสนิ ค้างและผลติ ภัณฑ์ต่างๆ เช่น ตราสินค้าหรือผลิตภณั ฑ์ ท่ีผลติ จาหน่าย ตามท้องตลาดฯลฯ สญั ลักษณ์ทีเ่ กย่ี วกับกิจกรรมตา่ งๆ ในสังคม เชน่ การกีฬา การรว่ มมือในสังคม การทางาน ฯลฯ 3. การออกแบบโครงสร้าง เป็นการออกแบบเพ่ือใช้เป็นโครงยึดเหนีย่ วใหอ้ าคารส่ิงก่อสร้างสามารถ ทรงตวั และรับน้าหนักอยู่ไดอ้ าจเรียกว่าการออกแบบสถาปัตยกรรมคือการออกแบบส่งิ ก่อสร้างประเภทต่าง ๆ ออกแบบอาคาร เช่น การออกแบบที่พัก อาศัย ออกแบบเขื่อน ออกแบบสะพาน ออกแบบอาราม โบสถ์ อื่น ๆ ท่ีคงทนและถาวร นักออกแบบเรียกว่าสถาปนิกผู้ให้ความสาคัญกับงานด้านน้ีเป็นอย่างมาก นอกจากน้ันการออกแบบโครงสร้างยังเป็นส่วนหน่ึงของงานประติมากรรมท่ีเน้นคุณภาพของการออกแบบ สามมิตแิ ละยังหมายถึงการออกแบบเคร่อื งเรือน ฉากและเวที อกี ด้วย 4. การออกแบบหุ่นจาลอง เป็นการออกแบบเพ่ือเป็นแบบสาหรับย่อ ขยาย ผลงานตัวจริงหรือเพื่อ ศกึ ษารายละเอียดของส่งิ นั้นๆ เช่น ห่นุ จาลองบา้ น หนุ่ จาลองผังเมือง หุ่นจาลองเครื่องจักรกล หุ่นจาลองทาง วิทยาศาสตร์ ฯลฯ หุ่นจาลองเหล่าน้ีอาจจะสร้างจากงานออกแบบหรือสรา้ งเลียนแบบจากสิ่งท่ีมีอย่แู ล้วเพ่ือ ศึกษารายละเอียด หรือข้อมูลต่างๆ ซึ่งอาจจาแนกได้ ดังน้ี หุ่นจาลองเพื่อขยาย หรือย่อแบบ เช่น อาคาร อนสุ าวรยี ์ เหรยี ญ ฯลฯ หนุ่ จาลองย่อสว่ นจากสิง่ แวดลอ้ ม เช่น ลกู โลก ภูมิประเทศ ฯลฯ หนุ่ จาลองเพอื่ ศึกษา รายละเอียด เช่น หุ่นจาลองภายในร่างกายคน เครื่องจักรกล ฯลฯ 5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ เป็นการออกแบบเพื่อการผลิตงานสิ่งพิมพ์ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือ ปก หนังสือ ปกรายงาน หนังสือพมิ พ์ โปสเตอร์ นามบัตร การ์ดอวยพร หัวกระดาษจดหมาย แผ่นพับ แผ่นปลิว ลายผา้ สญั ลักษณ์ เครอ่ื งหมายการคา้ เครื่องหมายหน่วยงาน ฯลฯ 6. การออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นการออกแบบเพื่อนามาใช้สอยในชีวิตประจาวันโดยเน้นการผลิต จานวนมาก ในรูปสินค้าเพ่ือให้ผ่านไปยังผู้ซื้อ ผู้บริโภคในวงกว้างคือการผลิต ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ซ่ึงมี ขอบเขตกวา้ งขวางมากดและแบ่งออกได้มากมาย หลายลกั ษณะ นักออกแบบรับผิดชอบเกยี่ วกับประโยชน์ใช้
สอยและความสวยงามของผลติ ภณั ฑ์ งานออกแบบ ประเภทนี้ได้แก่ งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ งานออกแบบ ครุภัณฑ์ งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์ งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ งานออกแบบเคร่ืองประดับอัญมณี งานออกแบบเครื่องแต่งกาย งานออกแบบภาชนะบรรจผุ ลติ ภัณฑ์ งานออกแบบผลิตเครื่องมือตา่ ง ๆ ฯลฯ 7. การออกแบบโฆษณา เป็นการออกแบบเพื่อช้ีแนะและชักชวนทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และ ความคิด จากความคิดของคน คนหนึ่ง ไปยังกลุ่มชนโดยส่วนรวม ซ่ึงการโฆษณาเป็นปัจจัยสาคัญที่จาเป็น สาหรับการดารงชีวิตของประชาชน และธุรกิจเพราะจะช่วยกระตุ้น หรือผลักดันอย่างหน่ึงในสังคม เพ่ือให้ ประชาชนเกิดความต้องการและเปรียบเทียบสิ่งท่ีโฆษณาแต่ละอย่างเพื่อเลือกซ้ือ เลือกใช้บริการหรือเลือก แนวคิดนามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันของเรา การโฆษณาผลิตภัณฑ์ เช่น โฆษณาขายอาหาร ขาย สิ่งกอ่ สร้าง ขายเคร่ืองไฟฟ้า ขายผลิตผลทาง เกษตรกรรม การโฆษณาบริการ เช่น โฆษณาบริการทอ่ งเที่ยว บริการซ่อมเคร่ืองจักรกล บริการหางานทา บริการของสายการบนิ การโฆษณาความคิด เช่น โฆษณาความ คิดเห็นทางวิชาการ ข้อเขียน ข้อคิดเห็นในสังคม ความดีงามในสังคม นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อท่ี เสนอความคดิ เหน็ เกล้ียกล่อม สรา้ งอิทธพิ ลทางความคดิ หรอื ทัศนคติ เช่น การโฆษณาทางศาสนา โฆษณาให้ รักษากฎจราจร โฆษณาใหร้ ักชาติ การโฆษณาเหล่านมี้ ี สอื่ ทจ่ี ะใช้กระจายส่ปู ระชาชน ไดแ้ ก่ สือ่ กระจายเสยี ง และภาพ เช่น วทิ ยุ ทีวี โรงภาพยนตร์ ส่ือสิ่งพมิ พ์ เช่น หนงั สือพมิ พ์ นติ ยสาร วารสาร สอื่ บคุ คล เช่นการแจก สนิ คา้ สง่ คนไปขายส่งสินคา้ ไปตามบ้าน 8. การออกแบบพาณิชย์ศิลป์ เปน็ การออกแบบเพือ่ ใช้ฝีมือแสดงความงามที่ใชใ้ นการตกแต่งอาจจะ เป็นสิ่งของเคร่ืองใช้เล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ส่วนใหญ่จะเน้นความสวยงาม ความน่ารัก ซึ่งเป็นความสวยงามที่มี ลกั ษณะเรา้ ใจตอ่ ผพู้ บเห็นในทนั ทที ันใดและแสดงความสวยงามหรือศิลปะเดน่ กว่าประโยชน์ใช้สอย เช่นการ ออกแบบทใี่ ส่ซองจดหมายแทนท่จี ะมเี พียงท่ีใส่ และทีแ่ ขวนซงึ่ เป็นหน้าท่ีหลกั ก็อาจจะออกแบบเป็นรูปนกฮูก หรือรูปสัตว์ตา่ งๆ แสดงสีสันและการออกแบบทีแ่ ปลกใหม่ เร้าใจ เป็นตน้ ลักษณะของการออกแบบพาณิชย์ ศิลป์ยงั มุ่งออกแบบในลักษณะของแฟชนั่ ที่มีการเปลย่ี นแปลงไปเรอ่ื ยๆ ตามสมยั นิยม 9. การออกแบบศิลปะประดิษฐ์ เป็นการออกแบบที่แสดงความวิจิตรบรรจงมีความสวยงามเพ่ือให้ เกดิ ความสขุ สบาย รนื่ รมย์ มากกว่าการแสดงออกซ่งึ ความรู้สึกนึกคิดอ่ืนใด ความวิจติ รบรรจงในที่นีห้ มายถึง การตกแต่งสร้างสรรคล์ วดลายหรือรปู แบบด้วยความพยายามเป็นงานฝมี ือท่ีละเอียดประณีต เช่น การจัดผัก ซ่ึงเป็นเครอ่ื งจ้ิมอาหารคาวของไทยแทนที่จะจัดพริก มะเขือ แตงกวา ต้นหอมลงในจานเท่าน้ัน แม่ครวั ระดับ ฝีมือบางคนจะประดิษฐ์ตกแต่งพืช ผักเหล่าน้ันอย่างสวยงามมาก เช่น ประดิษฐ์เป็นดอกไม้ รูปสัตว์หรือ ลวดลายต่างๆ งานศิลปะประดษิ ฐ์มีหลายประเภท เช่น งานแกะสลกั ของออ่ นเช่นผัก ผลไม้ สบู่ เทียน งานจัด ดอกไม้ใบตองเช่น ร้อยมาลัย จัดพวงระย้าดอกไม้ โคมดอกไม้ งานเย็บปักถักร้อยตกแต่งเช่น ปักลวดลาย ต่างๆถักโครเชท์ เครื่องตกแต่งร่างกายเช่น แหวน กาไล ต่างหู เข็มกลัด งานกระดาษ เช่น ฉลุกระดาษ ประดิษฐ์กระดาษเป็นดอกไม้ งานประดิษฐ์เศษวัสดุ เช่น ใบไม้ เปลือกหอย ดอกหญ้า หลอดกาแฟ งาน แกะสลกั ของแขง็ เช่น แกะสลกั หน้าบนั คันทวย บานประตู โลหะ 10. การออกแบบตกแต่ง เป็นการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ในชีวิตประจาวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ออกแบบเพื่อเสริมแต่งความงามให้กบั อาคารบา้ นเรอื นและบรเิ วณที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกิดความสวยงามน่าอยู่ อาศัย การออกแบบตกแตง่ ในที่น้ีหมายถงึ การออกแบบตกแต่งภายนอกและการออกแบบตกแต่งภายใน การ ออกแบบตกแต่งภายใน หมายถึง การออกแบบตกแต่งที่เสริมและจัดสภาพภายในอาคารให้สวยงาม น่าอยู่ อาศยั ซ่งึ หมายรวมถึงภายในอาคารบ้านเรือน ทีท่ างาน ร้านค้า โรงเรยี น การออกแบบตกแต่งภายนอกเป็น
การออกแบบตกแต่งนอกอาคารบ้านเรอื น ภายในร้วั ที่สัมพันธ์กับตัวอาคาร เช่น สนาม ทางเดิน เรือนต้นไม้ บรเิ วณพักผ่อน และสว่ นอ่นื ๆบรเิ วณบ้าน (Natapronmoo,2563) ได้นยิ ามการออกแบบเปน็ 5 รปู แบบดังน้ี 1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design) เป็นการออกแบบเพื่อ การก่อสร้าง ส่ิงก่อสร้างต่างๆนักออกแบบสาขานี้ เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซ่ึงโดยท่ัวไปจะต้องทางานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนิกรับผิดชอบเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและความงามของส่ิงก่อสร้าง งาน ทางสถาปัยตกรรมได้แก่ 1.1. สถาปตั ยกรรมท่วั ไป เป็นการออกแบบสิง่ ก่อสรา้ งท่ัวไป เช่น อาคาร บา้ นเรือน ร้านค้า โบสถ์ วหิ าร ฯลฯ 1.2. สถาปตั ยกรรมโครงสร้าง เป็นการออกแบบเฉพาะโครงสรา้ งหลกั ของอาคาร 1.3. สถาปัตยกรรมภายใน เป็นการออกแบบท่ีต่อเนื่องจากงานโครงสร้าง ที่เป็น สว่ นประกอบของอาคาร 1.3. งานออกแบบภูมทิ ัศน์ เป็นการออกแบบทม่ี ีบริเวณกว้างขวาง เป็นการจัดบริเวณพนื้ ท่ี ตา่ ง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม 1.4. งานออกแบบผังเมือง เป็นการออกแบบที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบซับซ้อน ซ่ึง ประกอบ ไปด้วยกลุ่มอาคารจานวนมาก ระบบภูมทิ ศั น์ ระบบสาธารณปู โภค ฯลฯ 2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) เป็นการออกแบบเพอ่ื การผลิต ผลติ ภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ งานออกแบบสาขานี้ มขี อบเขตกว้างขวางมากท่สี ุด และแบง่ ออกได้มากมาย หลาย ๆ ลักษณะ นักออกแบบ รบั ผดิ ชอบเกี่ยวกบั ประโยชน์ใชส้ อยและความสวยงามของผลิตภณั ฑ์ งานออกแบบประเภทนไี้ ด้แก่ 2.1. งานออกแบบเฟอรน์ เิ จอร์ 2.2. งานออกแบบครภุ ัณฑ์ 2.3. งานออกแบบเครื่องสขุ ภณั ฑ์ 2.4. งานออกแบบเครือ่ งใช้สอยต่างๆ 2.5. งานออกแบบเครอ่ื งประดับอัญมณี 2.6. งานออกแบบเครอื่ งแตง่ กาย 2.7. งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภณั ฑ์ 2.8. งานออกแบบผลติ เครือ่ งมอื ตา่ งๆ ฯลฯ 3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design) เป็นการออกแบบเพ่ือการผลิต ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซ่ึงมีความเกี่ยวข้องกันต้องใช้ความรู้ความสามารถและ เทคโนโลยีในการผลิตสูงผู้ออกแบบคือ วิศวกรซ่ึงจะรบั ผิดชอบในเร่ืองของประโยชน์ใช้สอย ความปลอดภัย และ กรรมวธิ ีในการผลิตบางอย่างต้องทางานร่วมกนั กบั นักออกแบบสาขาต่าง ๆ ดว้ ย งานอกแบบประเภทนี้ ไดแ้ ก่ 3.1. งานออกแบบเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้า 3.2. งานออกแบบเครอ่ื งยนต์ 3.3. งานออกแบบเครื่องจักรกล 3.4. งานออกแบบเครือ่ งมอื สอ่ื สาร
3.5. งานออกแบบอุปกณ์อเิ ลคทรอนคิ ส์ต่างๆ ฯลฯ 4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design) เป็นการออกแบบเพ่ือการตกแต่งส่ิงต่าง ๆ ให้ สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น นักออกแบบเรียนว่า มัณฑนากร (Decorator) ซึ่งมัก ทางานรว่ มกบั สถาปนิก งานออกแบบประเภทนีไ้ ด้แก่ 4.1. งานตกแตง่ ภายใน (Interior Design) 4.2. งานตกแตง่ ภายนอก (Exterior Design) 4.3. งานจดั สวนและบริเวณ ( Landscape Design) 4.4. งานตกแตง่ มมุ แสดงสินคา้ (Display) 4.5. การจัดนิทรรศการ (Exhibition) 4.6. การจดั บอร์ด 4.7. การตกแต่งบนผวิ หนา้ ของสงิ่ ต่าง ๆ เปน็ ตน้ ฯลฯ 5. การออกแบบสง่ิ พิมพ์ (Graphic Design) เปน็ การออกแบบเพอ่ื ทางผลิตงานสงิ่ พิมพช์ นิดต่างๆ ได้ แก่หนังสือหนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ นามบัตร บัตรต่างๆ งานพิมพ์ลวดลายผ้า งานพิมพ์ภาพลงบนส่ิงของ เคร่ืองใช้ตา่ งๆ งานออกแบบรูปสัญลักษณ์ เคร่ืองหมายการคา้ ฯลฯ (Natapronmoo,2563) อาจารย์ อารี สทุ ธิพันธุ์ (2527 : 18-19 ) การแบ่งประเภทของการออกแบบ มีการแบ่งไดห้ ลายแบบ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับความเช่ือ และความเข้าใจของผู้แบ่งนั้นๆ ได้ทาการแบ่งประเภทของการออกแบบไว้ 3 ประเภท คือ 1. การออกแบบผลิตผลเคร่ืองบริโภค (consumer product design) เป็นการออกแบบสิ่งของ เคร่อื งใช้ทกุ ชนิด เช่น การออกแบบเคร่อื งมอื ประกอบอาชพี เคร่ืองครวั เครอื่ งประดบั เคร่ืองเลน่ เคร่ืองกฬี า ตลอดจนเครื่องเฟอรน์ ิเจอร์ต่าง ๆ เป็นตน้ 2. การออกแบบกราฟฟิค (graphic design) เป็นการออกแบบท่ีเก่ยี วข้องกับการอา่ นและการดู นัก ออกแบบกราฟฟิคจะใช้ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพประกอบ และ ภาพถ่าย เพื่อสื่อสารทางตาเห็น งาน ออกแบบกราฟฟิคมีหลายอย่าง เช่น งานออกแบบหนังสือ นิตยสาร ป้ายฉลากสินค้า โปสเตอร์ แผ่นพับ ออกแบบภาพยนตร์ โทรทัศน์ สูจบิ ตั ร หนา้ ปกแผน่ เสียง หบี ห่อของขวญั เปน็ ตน้ 3. การออกแบบบริเวณว่าง (spatial design) เป็นการออกแบบท่ีว่างภายในและภายนอกอาคาร รวมท้ัง โครงสร้างน้ัน ๆ ด้วยเช่น การออกแบบจัดนิทรรศการ การออกแบบห้องประชุม ห้องนอน ห้องน้า ห้องครัวตลอดจนการออกแบบจดั สวนเป็นต้น สงั เขต นาคไพจิตร (2530) ไดแ้ บ่งประเภทของการออกแบบ ได้เป็น 4 ประเภท คือ 1.การออกแบบตกแต่ง (decorative design) เป็นการออกแบบตกแต่งภายในอาคาร (Interior design ) และการตกแต่งภายนอกอาคาร (Exterior design) 2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Products design) เป็นการออกแบบเเคร่ืองอุปโภค บริโภค เพ่ือใช้ใน ชีวิตประจาวัน เช่น การออกแบบเครื่องนุ่งห่ม เคร่ืองประดับ สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีส่วน ใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีการผลิตคราวละมาก ๆ ในการขายก็ต้องขายให้ได้มากเพ่ือให้สัมพันธ์กับ การผลิต ซ่ึงจุดประสงค์ในการผลิตจะต้องคานึงถึงคุณภาพเป็นหลัก ดังน้ันเพ่ือให้การออกแบบบรรลุตาม จดุ ประสงค์ นกั ออกแบบจะต้องคานงึ ถงึ ปัจจยั ตา่ ง ๆ ในการออกแบบ ดงั น้ี ความสมั พันธข์ องรปู แบบ วสั ดุ และวธิ กี ารผลติ
ความสัมพันธ์ของรูปแบบ ประโยชนใ์ ช้สอย กับความต้องการของผ้บู ริโภค ความสมั พันธข์ องรปู แบบ กบั คุณคา่ ทางความงาม ความสัมพันธ์ของรูปแบบ กับระยะเวลาในการผลิต 3. การออกแบบพานิชยศิลป์ ( commercial design) เป็นการออกแบบทีเ่ นน้ หนักไปในทางการค้า รูปแบบของงานประเภทน้ี จะต้องออกแบบใหม้ คี วามแปลกใหม่ เป็นท่ตี อ้ งการในสังคม มรี ปู แบบทีง่ ดงามเร้า ใจ ชี้ขวนให้เกิดความต้องการ เพ่ือให้มีผลทางด้านปริมาณการขายเป็นสาคัญ ผู้ออกแบบงานประเภทนี้ จะต้องมีความรู้และเข้าใจจติ วทิ ยาชมุ ชนเปน็ อยา่ งดีดว้ ย 4. การออกแบบสอ่ื สาร (massage design) เป็นการออกแบบโดยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะส่อื ความหมาย ใหเ้ ขา้ ใจร่วมกันได้ทกุ ๆ คนในสังคม การส่ือความหมายสามารถสื่อได้ด้วยภาพ สัญลักษณ์ หรือภาษา โดยใช้ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง หรืออาจใชร้ ว่ มกันกไ็ ด้ ซง่ึ ใชร้ ูปแบบท่ีปรับปรงุ มาจากธรรมชาติ หรือรปู แบบที่มนุษย์สร้าง ขน้ึ เช่น เครอื่ งหมายการคา้ ตราประจาหน่วยงาน ต่างๆ เช่น ตราประจาสถานศึกษา จังหวัด สมาคม เปน็ ต้น ตลอดจนเครอื่ งหมายและสญั ญาณเก่ยี วกับการจราจร ฯลฯ นอกจากน้ี ยงั มีการจัดประเภทของการออกแบบ โยขี้นอยูก่ บั ประเภทของงาน ทค่ี วรออกแบบใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของงานน้ัน ๆ ซ่งึ ไดแ้ ก่ 4.1. การออกแบบจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพมิ พ์ มุ่งสอ่ื สารความงามให้กับผดู้ เู ป็น หลัก นอกจาก ความงามแล้วยังมีเนอื้ หาหรือเร่อื งราวที่แสดงออกมาด้วย เน้อื หาสาระนั้นขนึ้ อยู่กับเจตนาของ ผู้ออกแบบ ว่าจะสร้างสรรค์ ไปแนวทางใด เช่น การถ่ายทอดส่ิงที่เหมือนจริง หรือการแสดงออกทางความ เชื่อ ความคิด จินตนาการต่าง ๆ ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับการสอ่ื สารเพ่ือให้เกิดการรับรูแ้ ละให้เกิดอารมณ์สะเทอื นใจ เป็นสาคัญ 4.2. การออกแบบสิ่งพิมพ์ ส่ิงพิมพ์ในที่น้ีหมายถึง ใบปลิว โปสเตอร์รวมทั้งหนังสือต่าง ๆ เช่น อนุสาร วารสาร ตลอดจนสูจิบัตร การออกแบบสิ่งพิมพ์ ควรออกแบบให้สัมพันธ์กับระบบการพิมพ์ ตวั หนังสอื ควรสัมพันธก์ ับภาพ งาน ออกแบบควรมคี วามประณีต ทนั สมัย และมคี ณุ คา่ ทางความงามดว้ ย 4.3. การออกแบบสญั ลกั ษณ์ และเครอ่ื งหมาย เปน็ งานออกแบบเพ่ือสื่อความหมาย ให้รบั รู้ และเข้าใจร่วมกันได้ ในสังคม อาจจะไม่ ใช่ภาพหรือภาษาท่ีไม่รู้ความหมายได้อย่างชัดเจนแต่มีนัยให้รู้ได้ ดังน้ัน ในการออกแบบสัญลักษณ์ เครื่องหมาย ควรคานึงถึงความเรียบง่าย และเด่นชัด กลุ่มบุคคลที่จะส่ือ ความหมาย การสอื่ ความหมายทีช่ ัดเจน รูปแบบที่มคี วามสมั พันธ์กับยุคสมัย หรือไม่ลา้ สมัย นอกจากนั้น ยัง ควรคานงึ ถึงรสนิยมและความงามดว้ ย การออกแบบเพอ่ื ส่ือความหมายมี 2 ประเภทคือ 4.3.1. สญั ลักษณ์ (symbol) คือ ส่ือความหมายชนิดหนึ่งท่ีแสดงนัยใหท้ ราบถึง ส่ิง ทีต่ ้องการ ซึ่งจะไม่มี ในการปฏบิ ัติ เช่น สญั ลักษณข์ องชาติ ขององค์กร ของบริษัท ห้างร้าน ของสินคา้ และ ผลิตภณั ฑต์ ลอดจนสญั ลกั ษณ์ของ กจิ กรรมตา่ ง ๆในสงั คม 4.3.2. เคร่ืองหมาย (sign) คือส่ือความหมายที่บ่งบอกให้ต้องปฏิบัติตาม ให้ระวัง หรือบอกให้ทราบ เพื่อให้ ผู้พบเห็นปฏิบติได้ถูกต้อง เช่น เคร่ืองหมายจราจร เคร่ืองหมายท่ีใช้กับ เครื่องจกั รกล และเคร่ืองไฟฟา้ เครอ่ื งหมายในการทอ่ งเที่ยว เป็นต้น 4.4. การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมายถึง การออกแบบส่ิงที่ช่วยอานวยความ สะดวกสบาย ในการ ดารงชีวิต ซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีด้านอุตสาหกรรม ผลิตจานวนมาก มที ้ังการผลิตส่ิงใหม่ หรือปรับปรุงสิง่ ท่มี ีอย่เู ดิมใหด้ ขี นึ้
4.5. การออกแบบโฆษณา เป็นการออกแบบเพ่ือสื่อสาร หรือเผยแพร่ข่าวสารท่ีต้องการ ออกไปยังสาธารณชน เช่น การออกแบบเพ่ือเผยแพร่สินค้า และการบริการต่าง ๆ การโฆษณาทาได้หลาย แบบเช่น โฆษณาด้วยสไลด์ วีดีโอเทป วิทยุ ตลอดจนโปสเตอร์หรือป้ายโฆษณาต่าง ๆ สไลด์นิยมใช้โฆษณา ทางภาพยนตร์ วีดีโอเทปจะใช้โฆษณาทางโทรทัศน์ สาหรับ ภาพโฆษณา นิยมโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และ วารสารต่าง ๆ ส่วนโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ ติดตั้งตามริมถนนจะใช้ส่ือสาร กบั ผู้คนท่สี ัญจรไปมาโดยตรง เพ่ือ ชว่ งชงิ ความสนใจจากประชาชนใหไ้ ด้ โดยการออกแบบให้เดน่ และชวนใหป้ ระทับใจ 4.6. การออกแบบตกแตง่ (decorative design) เป็นการออกแบบเพ่ือเสริมแต่งความงาม ให้กับที่อยู่อาศัย เพอ่ื ใหเ้ กิดความมีระเบยี บน่าร่ืนรมย์ ในการออกแบบตกแต่งทัง้ ภายใน และภายนอกอาคาร ควรคานึงถึงความงามประโยชน์ ใช้สอย รสนิยมของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนงบประมาณท่ีเหมาะสม การ ออกแบบตกแตง่ มี 2 ลกั ษณะ คือ 4.6.1. การตกแต่งภายใน (Interior design) เป็นการเสริมแต่งและจัดระเบียบ ภายในอาคารให้นา่ อยอู่ าศัย เช่น การเลอื กเครื่องเรยี นมาจดั ให้สัมพันธ์กับสว่ นรวมภายในอาคารการจดั ภาพ ติดผนงั การทาสี การปพู รม ฯลฯ 4.6.2 .การตกแต่งภายนอก ( exterior design ) เป็นการออกแบบเสริมแต่ง ภายนอกอาคาร ซ่ึงเป็นบริเวณ อาคารบา้ นเรอื น ทท่ี างาน โรงเรียน ตลอดจนสวนสาธารณะ เช่น การตกแต่ง สนามและการจัดสวน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้บริเวณบ้านหรือบริเวณสถานที่ต่าง ๆ สวยงามน่าอยู่ กอ่ ให้เกดิ ความสุขสดช่นื แก่ผู้ทอี่ าศัยและพบเห็นการแบง่ ประเภทของการออกแบบที่กล่าวมาทง้ั หมดนัน้ เป็น เพยี ง (wilawanart.blogspot,สืบค้นวนั ที่ 6/05/2563) แนวคิดหรือตัวอย่างเท่านั้น ยังมีการแบ่งตาม แนวคิดอ่ืนได้อกี คือ แบ่งออกตามแขนงวิชาชีพ เช่น การออกแบบเคร่ืองแต่งกาย การออกแบบทรงผม การออกแบบ ปกแผ่นเสียง การออกแบบเครื่องประดับ เป็นตน้ การแบ่งประเภทของการออกแบบจึงไม่สามารถหาขอ้ สรปุ ที่แน่นอน ตายตัวร่วมกันได้ เพราะผู้แบ่ง สามารถแบ่งได้ตามความเข้าใจในขอบข่ายต่างๆ กัน เช่น แบ่งตามการรับรู้แบง่ ตาม แขนงวชิ าชีพ แบ่งตาม ลักษณะของวสั ดุ แบง่ ตามประเภทของงาน ฯลฯ แต่ถึงอยา่ งไรกต็ อ้ งยอมรบั ว่าการแบ่งที่ แตกต่างกนั นั้น เป็น การสร้างสรรค์ทางความคิดอย่างหน่ึงของมนุษย์ด้วยเช่นกัน การแสดงออกทางด้านการออกแบบ เป็นการ สร้างสรรค์งานศลิ ปะในรูปแบบใหม่ๆ ข้ึนมานั้น มีความแตกต่างกันตามกระบวนการคิด และสติปัญญาของ แต่ละบุคคล ซ่ึงขึ้นอยู่กับความประทับใจที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจต่อผู้ออกแบบ โดยคานึงถึงความ ต้องการ ความสวยงาม ความกลมกลืนของรูปทรง สี รวมท้ังสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมอันทันสมัย และ ความก้าวหน้า ในเร่ืองนี้จะกลา่ วถึงการออกแบบทางประยุกต์ศลิ ป์ ซึง่ สาคัญท่ีจะเน้นหนา้ ทแี่ ละประโยชน์ใช้ สอยเป็นอันดับแรก ส่วนความงามจะตามมาเป็นอันดบั รอง หรือถ้าได้ท้ังประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม ได้ก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง ดังนั้นงานออกแบบจึงเป็นการนาเอาองค์ประกอบต่างๆ และหลักการออกมา พิจารณาออกแบบชนิ้ งานขน้ึ ตามประเภทของการใชส้ อยต่างๆ กนั ซึ่งพอจะแยกเป็นประเภทได้ดงั นี้ 1. การออกแบบตกแตง่ (Decorative designs) 2. การออกแบบพาณิชศลิ ป์ (Commercial designs) 3. การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ (Productive designs) 4. การออกแบบส่อื สาร (Communicative designs) 4.2.1.2. วิวัฒนาการจากอดตี ของการออกแบบ
เมอื่ กล่าวถงึ การเรม่ิ ต้นในการออกแบบเราจาเป็นตอ้ งมองย้อนไปในอดตี สมัยทีม่ นษุ ย์เรม่ิ กาเนิดมาใน โลก เปน็ เวลากว่าแสนปีมาแล้วท่ีมนุษย์ในยุคแรกๆดาเนินชีวิตด้วยการพ่ึงพาอาศยั ส่ิงแวดล้อมที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาตแิ ละต้องพยายามปรับตวั ให้ได้มากท่สี ุดเพื่อการอย่รู อดเรานาสงิ่ ทม่ี อี ยู่ในธรรมชาติแวดลอ้ มมาใช้ใน ปัจจยั พ้ืนฐานโดยเรมิ่ ตั้งแตก่ ารเก็บเกีย่ วผลท่ีงอกงามอยรู่ อบตัวและล่าสัตวเ์ ป็นอาหารอาศัยน้าอาศยั ในถา้ ที่มี ลักษณะเป็นเวิ้งเวา้ อยู่ภายในท่ีซ่ึงเหมาะสมต่อการกินอยู่หลับนอนนุ่งหม่ ผลผลิตท่ีเหลือจากการฆ่าสัตว์เป็น อาหารได้แก่หนังสัตว์บางชนิดและนาส่วนประกอบจากพืชท่ีมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรใช้ในการรักษาความ เจ็บป่วยนอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้วมนุษย์ยังใช้ประโยชน์จากธรรมชาติแวดล้อมในการสร้างสิ่งอานวยความ สะดวกการ์ตูนความปลอดภัยในชีวิตประจาวันการดาเนินชีวิตอยู่ในโลกมาเป็นเวลานานช่วยสอนให้มนุษย์ รู้จักการสร้างคุณสมบัติเฉพาะตัวท่ีเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาตนเองให้มีความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น ตลอดจนสร้างให้เกิดอารยธรรมความเจริญในด้านต่างๆคุณสมบัติเฉพาะตัวท่ีว่านี้คือการรู้จักสังเกตทดลอง และการดัดแปลงปรับปรุงเม่ือมนุษย์พบเห็นวัตถุสิ่งของตลอดจนปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติก็รู้จัก สังเกตุและจดจาเก็บเป็นความรู้ในสมองมีโอกาสอานวยก็นาความรู้นี้มาทดลองปฏิบัติตามแบบอย่างที่ได้ สังเกตและจดจาไว้ถ้าได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงตามความคาดหมายก็รู้จักดัดแปลงป รับปรุงแก้ไขจนเกิดผล สัมฤทธิ์ตามท่ีต้องการในภายหลังตัวอย่างที่ใช้อภิปรายในเรื่องน้ีได้เป็นอย่างดีก็ได้แก่การค้นพบวิธีการทา เครื่องป้ันดินเผาเร่ิมต้นจากการสังเกตเห็นว่าดนิ ท่ีอยู่รอบกองไฟเมื่อถูกความร้อนจะแข็งตัวไม่ละลายน้าอีก ตอ่ ไปเม่ือสังเกตพบว่ามนษุ ย์รจู้ ักทดลองนาดนิ เหนียวมายาหรอื มาพอกบนภาชนะเครื่องจักสานและนาไปเผา ไฟก็จะไดภ้ าชนะดินเผาที่มีรูปทรงตามเครื่องจักสานแต่ภาชนะดังกลา่ วอาจจะมีลักษณะไม่สะดวกต่อการใช้ ใส่อาหารจึงปรับปรุงวิธีการด้วยการนาเอาดินเหนียวมาป้ันข้ึนรูปภาชนะให้มี รูปทรงท่ีเหมาะสมต่อการ นาไปใช้หงุ ตม้ อาหารโดยไม่ต้องอาศยั เครื่องหรืออาศัยโคลงจักสานในท่ีสดุ ด้วยคุณลักษณะเฉพาะตวั ดังกล่าว เม่ือมนุษย์พบว่าสิ่งท่ีธรรมชาติสร้างให้มีความไม่เหมาะสมสอดคล้องต่อการนาไปใช้งานมนุษย์จึงเริ่มต้น ปรั บปรุ งเปลี่ ย น แปลง ลั ก ษณะ รู ปทร ง ขอ ง ส่ิง ต่ าง ๆ รอ บตั ว และ ก าร ท่ีม นุ ษ ย์ เร่ิม ต้ น ดั ดแปลง รู ปทร ง ขอ ง ส่ิงแวดล้อมนะว่ามนุษย์ได้เริ่มต้นการออกแบบหรืออาจจะกล่าวได้ว่าการออกแบบเป็นการแสดงออกอย่าง หน่ึง ของมนุษย์เมื่อมีความไม่พอใจในลักษณะรูปทรงของสิ่งของส่ิงที่เป็นอยู่เมื่อมนุษย์เริ่มต้นรู้จักการ ออกแบบเพ่ือปรับปรุงสิ่งต่างๆรอบตัวก็จะต้องเกิดคาถามข้ึนมนุษย์รู้จักวิธีการที่จะใช้ในการออกแบบได้ อย่างไรและใช้วิธีการใดในการออกแบบสิ่งทีจ่ ะช่วยอธิบายเปน็ อย่างดกี ็คงหนีไปไม่พ้นธรรมชาตอิ ีกน่ันแหละ เน่ืองจากธร รมชาติท่ีอยู่รอบตัวของ มนุษย์ยังมีอิทธิพลครอบคลุมตั้งแต่ความรู้สึ กนึกคิดตลอดจน วิธีการ แสดงออกของมนษุ ยอ์ ย่างหลกี เล่ยี งไม่ได้การรู้จักสังเกตใหม้ นษุ ย์ไดร้ ับกระบวนการทเ่ี กิดขนึ้ ตามธรรมชาติคือ การเร่ิมเกิดข้ึนของสิ่งต่างๆแล้วจึงค่อยเปล่ียนแปลงเป็นขน้ั ตอนอย่างมีระบบแบบแผนก่อนทจี่ ะดับสนิ้ ไปเพื่อ รอการเกิดใหม่ขึน้ ใหม่หมนุ เวียนอยู่ตลอดเวลามนุษยแ์ ม้ไมเ่ หน็ กาเนิดของโลกแต่ก็ทราบถึงการจัดเรียงตัวของ ดาวในสุริยุสุริยะจักรวาลซ่ึงมีวงโคจรเปน็ ชั้นๆเรียงกันอย่างเป็นระบบเห็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติต้ังแต่ พระอาทิตย์ข้ึนในเวลาเช้าและค่อยๆลอยลับขอบฟ้าไปในเวลาเย็นฤดูกาลท่ีหมุนเวียนเปล่ียนไปอย่า ง สม่าเสมอกระแสน้ามีการไหลข้ึนลงและเมือ่ พจิ ารณาใหล้ ะเอียดในด้านรปู ทรงของส่ิงมีชวี ิตจะพบว่าการเรียง ไร่อย่างเป็นระเบียบแบบแผนต้นไม้จะเร่ิมงอกรากลาต้นใบดอกผลและเมล็ดตามลาดับโคนต้นจะ เช่นเดียวกับก่ิงและกา้ นไปจนถึงใบไม้แต่ละใบจะประกอบด้วยก้านใบขนาดใหญ่แล้วจึงแตกแขนงและขนาด ไปจนถึงเส้นใบที่กระจายเป็นร่างแหขนาดฝอยนอกจากนี้เราได้เรียนรู้ธรรมชาติมีระบบการคัดเลือกให้ สง่ิ มีชวี ิตที่แข็งแรงกว่าเท่าน้นั จึงจะสามารถอยู่รอดสืบพันธุ์และวิวัฒนาการเพื่อปรับปรุงให้มีความเหมาะสม
ต่อการดารงชีวิตมากข้ึนตัวอย่างท่ีปรากฏให้เห็นได้เหล่าน้ีช่วยสอนให้มนุษย์เกิดความเข้าใจและนาไปเรียน แบบในการจัดการสงิ่ ตา่ งๆดงั น้ันจะเห็นไดจ้ ากเรอื่ งราวในตานานความเชอื่ ที่บรรพบรุ ุษของชาติตา่ งๆสร้างขึ้น เช่นกรีดได้สร้างตานานเก่ียวกับเทพเจ้าซึ่งมีการจัดแบ่งแยกหน้าที่ตามลาดับความสาคัญมีเทพเจ้าซีอุสเป็น ใหญ่สงู สุดบนพื้นโลกเทพเจา้ โพไซดอนเป็นใหญ่ในท้องทะเลเทพเจา้ ฮาเดสเป็นใหญ่ในปรโลกนอกจากน้ียังมี เทพเจ้าระดบั รองลดหลน่ั ลงมาเพ่ือทาหน้าท่ีแตกตา่ งกันหรือในแถบตะวนั ออกชาวอินเดียท่ีนบั ถือศาสนาฮินดู กม็ คี วามเชื่อในพระเจา้ ผูย้ ิ่งใหญ่ไดแ้ ก่พระพรหมพระวิษณุพระนารายณ์ซ่ึงต่างทาหนา้ ท่ีแบง่ แยกกันอย่างเป็น ระบบตานานและความเช่ือดังกล่าวแสดงใหเ้ ห็นว่าเม่ือมกี ารจัดเรียงระเบียบเกิดข้ึนได้ช่วยแกไ้ ขความสับสน ยุ่งเหยิงทาให้การอยู่ร่วมกันมีความกลมกลืนและหลักการเดียวกันน้ีเองยังถกู นามาใช้การปกครองชุมชนคน หมู่มากโดยการแบ่งแยกหน้าท่ีการตามความชานาญหรือพระตะกวดกษัตริย์หรือนักรบและผู้ผลิตหรือผู้ทา อาชีพผลิตข้าวของเคร่ืองใช้ท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิตการจัดแบ่งหน้าท่ีช่วยให้เกิดความสงบสุขและความ เจริญเกิดการรวมกลุ่มเป็นเมืองประเทศและอาณาจักรในการออกแบบก็เช่นการมนุษย์ได้นาหลักการจัด ระเบียบมาใช้โดยการขัดเกลาและจัดเรียงรูปทรงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติอย่างเหมาะสมช่วยให้มันสามารถ ทางานตามหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายท่ีดีเกิดขึ้นดังตัวอย่างการออกแบบเคร่ืองมือหรือเคร่ืองอาวุธที่ทาจากหิน เครื่องมือหินเกิดจากการใช้หินที่แข็งแกร่งกว่ากระเพาะสกัดตามขอบของก้อนหินท่ีจะนามาใช้ทาเคร่ืองมือ อย่างสม่าเสมอจนเกิดเป็นคนโดยรอบของรูปทรงท่ีจัดให้เหมาะกบั การยึดติดกบั ด้ามผลที่ได้รับคือเคร่ืองมือท่ี ใช้ในการทางานได้ดกี ว่าก้อนหินธรรมชาติหรอื ในตัวอย่างงานที่มีความซับซ้อนเช่นการจัดผงั เมอื งของชมุ ชน โบร าณจะ มองเห็น อย่าง ชัดเจน ถึง การว าง แน วของอาคาร อย่าง เป็นร ะบบแบบแผน มีก าร แบ่งพ้ืนที่ตาม ความสาคญั ของผูอ้ าศยั โดยคานงึ ทศิ ทางและชยั ภูมทิ ีต่ ัง้ ท่ีมีการจัดระบบเป็นอยา่ งดีชว่ ยให้เกดิ ความม่นั คงและ สะดวกสบายสาหรบั ผอู้ ย่อู าศัย นอกเหนอื จากความยิง่ ใหญข่ องธรรมชาตซิ งึ่ เปน็ แหลง่ ทม่ี าของท้ังความคิดและรูปตรงอันหลากหลาย แล้วประวัติศาสตร์ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มาของแนวความคิดในการออกแบบและจะมีคากล่าวกันว่า ประวัติศาสตร์คอื เร่ืองราวของส่ิงท่ีตายแล้วแตใ่ นหลักฐานที่เหลือเก็บรักษาไว้น้ันเรายังสามารถใช้คุณค่าที่มี อยใู่ นเนอ้ื หาข้อมลู และความร้ทู างวิชาการด้านต่างๆทีไ่ ด้ผ่านการทดลองและเหลอื หลักฐานไว้ใหค้ นร่นุ หลงั ได้ ศึกษาเพือ่ ก้าวต่อไปโดยไมย่ ้อนมาลองผิดลองถูกซ้ากับบรรพบุรุษที่เคยทาไว้การศกึ ษาประวัตศิ าสตร์ของงาน ออกแบบซง่ึ มักอยู่ในรูปของงานสถาปตั ยกรรมและข้าวของเคร่ืองใชท้ ั้งในและนอกอาคารเป็นการศึกษาไมใ่ ช่ เพียงเพ่ือให้เกิดความสนใจซาบซึ้งในผลงานของการแบบเท่านั้นแต่ควรเป็นการศึกษาเพ่ือทาความเข้าใจ หลักเกณฑ์ที่มีมาในอดีตว่ามีผลกระทบต่อลักษณะรูปทรงการใช้สอยวัสดุและกรรมวิธีการผลิตของงาน ออกแบบนั้นๆอย่างไรหรือการเรียนรู้เพ่ือทาให้เกิดความเข้าใจวิธีการที่นักออกแบบใช้ในการแก้ปัญหา ตัวอย่างผลงานการออกแบบดังกล่าวจะพบว่ารูปแบบของใช้พ้ืนบ้านของใช้ในชีวิตประจาวันเหล่าน้ีเป็น ผลงานท่ีมองดเู รียบง่ายซ่ึงได้ผา่ นการปรับปรุงขัดเกลาโดยนักออกแบบรุ่นแล้วร่นุ เล่าลักษณะเฉพาะทสี่ าคัญ ในงานคือผู้สนองตามหน้าที่ใช้สอยและการสร้างคุณค่าทางการมองเห็นด้วยการเลือกใช้รูปทรงที่หมดจด ประหยัดปราศจากการพอกสิ่งประดับประดากระบวนการที่ใช้ในการปรับปรุงงานออกแบบของพ้ืนบ้านใน อดีตอาจเปรียบได้กบั กระบวนการทีธ่ รรมชาติใชเ้ พ่อื คัดเลือกและปรับปรงุ ส่ิงมีชีวิตจนเกดิ ความเหมาะสมต่อ การอยู่รอดของมันวิธีการที่ตั้งแต่รุ่นจะทาการขัดเกลาพัฒนาและทดลองใช้งานมาตลอดชั่วอายุถ้ามีความ เหมาะสมหลงเหลืออยู่ก็จะมีช่างรุ่นต่อไปให้ความพยายามปรับปรุงแก้ไขความผิดพลาดจนเหลือปัญหาอยู่ เล็กนอ้ ยเต็มทีลกั ษณะรูปทรงของผลงานพื้นบ้านซึง่ สว่ นใหญ่เปน็ ของใช้เพ่ือความสะดวกสบายในชีวิตประจา
วันตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ในประกอบวิชาชีพสาขาต่างๆหากได้ทาการศึกษาอย่างจริงจังย่อมเห็น แหล่งข้อมูลสาคัญแสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบงาน ออกแบบเป็นผลงานของมนษุ ย์ที่อาจกลา่ วได้ว่าเปน็ ปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมมนุษย์มคี วามไม่พอใจกับสงิ่ ท่ี มีหรือเป็นอยู่เราได้รับแรงบันดาลใจตลอดจนวิธีการใช้ในการแก้ปัญหาในการเรียนรู้กระบวนการทาง ธรรมชาติเป็นการออกแบบของมนุษย์จึงเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการซ่ึงเป็นแรงผลักดันให้เร า พยายามคดิ ค้นสรา้ งสรรค์ผลงานออกแบบเพอ่ื การใชส้ อยครบถ้วนและแผนท่ีการออกแบบนัน้ จะถูกใช้งานไป ตลอดกลบั พบว่ามีการออกแบบใหมๆ่ เกิดข้ึนอย่างไมห่ ยดุ ย้งั ปัจจัยสาคัญทท่ี าใหเ้ กดิ ผลงานออกแบบประเภท มาอย่างสม่าเสมอนะเน่ืองจากผลงานการออกแบบต่างๆที่ใช้งานอยู่เม่ือผ่านไปร ะยะหนึ่งจะค่อยๆปรากฏ ปัญหาข้อบกพร่องข้ึนมาข้อบกพรอ่ งเหลา่ นี้มีระดับความร้ายแรงได้แตกตา่ งกนั และสาเหตุของขอ้ บกพร่องถ้า พบได้วา่ เวลาอนั สัน้ มกั จะเปน็ ผลการออกแบบท่ยี ังไม่สมบูรณร์ อบคอบหรอื ดว้ ยเหตุผลความจากัดด้านต่างๆท่ี อยูใ่ นขณะนัน้ แต่ถ้าผ่านไปเป็นเวลานานเอาแบบประเภทใหมจ่ ะเกิดขึ้นเนอื่ งจากวถิ ีชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องผคู้ น เร่ิมมีความเปล่ียนแปลงไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมสภาพสังคมและเศรษฐกิจ กอ่ ใหเ้ กดิ ความต้องการอย่างใหม่ซึ่งงานออกแบบเดิมท่เี ป็นอยู่มีความเหมาะสมจงึ เป็นแรงกระตุ้นจากการให้ เกิดการพยายามคิดค้นปรับปรุงตัวอย่างที่ช่วยในการอธิบายในเรอ่ื งน้ีได้แก่เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบ้านนานาชนิด เช่นเคร่ืองซักผ้าเครื่องล้างชามตลอดจนถึงเป่าและหม้อหุงต้มประเภทต่างๆซึ่งเป็นผลงานการออกแบบที่ เกิดข้ึนเพือ่ อานวยความสะดวกความต้องการของสังคมปัจจุบันที่มวี ิธกี ารดารงชีวิตจึงต้องพึ่งพาอาศัยตนเอง มากขึน้ โดยเฉพาะวิถชี วี ติ ในเมอื ง นอกจากปัจจัยจากการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมท่ีมีผลจากการออกแบบใหม่ๆแล้ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็เป็นอีกปัจจัยหน่ึงที่ช่วยเร่งให้เกิดการพยายามประดิษฐ์คิดค้นการออกแบบ ชนดิ ใหม่ขึน้ มามากมายพัฒนาทางดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยมี าเป็นลาดบั ชว่ ยให้มนุษยส์ ามารถเอาชนะ ธรรมชาติท่ีเป็นอุปสรรคหรือเป็นอันตรายต่อตนเองตลอดจน ในการดารงชีวิตผลจากการค้นพบทาง วิทยาศาสตร์ซง่ึ ได้แก่ทฤษฎีหรือหลักการจะถูกนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นงานประดิษฐ์และการออกแบบตามลาดับ สุดทา้ ยแตจ่ ะมีผ้พู บเห็นหรือมองเหน็ ความเกี่ยวข้องเปน็ ประโยชน์ในดา้ นต่างๆตรงกับความตอ้ งการของสงั คม ในช่วงเวลาขณะนัน้ ความต้องการหรอื ความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยสี ่งผลต่อการออกแบบได้ 3 แนวทางแนวทางแรกเปน็ ด้านการคิดค้นวัสดุชนิดใหมท่ ี่มคี ุณสมบัตเิ ฉพาะตัวเช่นจาพวกพลาสติกโลหะและ เซรามิคชนิดใหม่เป็นต้นวัสดุใหม่เหล่าน้ีเกิดข้ึนจากการสกัดหรือผสมข้ึนมาใหม่เป็นครั้งแรกในห้องทดลอง เพอื่ ให้คุณสมบตั ิดีเช่นความแข็งแกร่งทนทานความตรงความร้อนไดส้ ูงและมีน้าหนักเบาเป็นตน้ จากสนุกไหม จะถูกนาไปใช้ทดแทนวัสดุเดิมและด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันจึงเป็นผลงานการออกแบบใหม่ในลักษณะท่ี เปลี่ยนแปลงไปนอกจากการคิดค้นดา้ นวสั ดุชนิดใหม่แล้วความกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีผล ในแนวทางที่ 2 คือการคดิ ค้นเครือ่ งยนต์กลไกที่มีประสทิ ธิภาพสูงและสาขาต่างๆเคร่อื งกลชนดิ ใหม่น้ีช่วยให้ อปุ กรณ์มีขนาดเล็กและนา้ หนักเบาจึงทาให้เกิดแนวทางการออกแบบใหม่ทีม่ ุ่งเน้นดา้ นความสะดวกสบายใน การพกพาความมีประสทิ ธภิ าพสูงและความเปน็ อสิ ระส่วนตวั มากข้นึ สาหรับแนวทางสุดท้ายเป็นแนวทางด้าน พัฒนาทางด้านผลิตเน่ืองจากกรรมวิธีการผลิตมีผลต่อการออกแบบอย่างไม่อาจหลีกเล่ียงได้คร้ังหนึ่งในงาน ออกแบบท่ีเป็นประเทศอตุ สาหกรรมถกู กาหนดโดยกรรมวธิ ีการผลิตให้เปน็ ระบบมาตรฐานดว้ ยการใช้ช้นิ สว่ น อะไหลท่ มี่ ีอยูท่ ่วั ไปแตใ่ นปจั จุบันการนาเอาระบบควบคุมการผลิตดว้ ยเครือ่ งคอมพิวเตอร์ช่วยไม่ใหจ้ าเป็นต้อง
ผลิตจานวนมากๆหรือต้องใช้ช้ินส่วนมาตรฐานเช่นแต่ก่อนจึงเป็นผลทาให้เกิดการออกแบบใหม่ๆข้ึนอย่าง รวดเร็วอย่างที่ไมเ่ คยเห็นมาก่อน 4.2.1.3. องค์ประกอบเบอื้ งต้นของการออกแบบ นอกเหนือจากการเกิดงานออกแบบประเภทใหม่ๆข้ึนมาอย่างไม่หยุดย้ังแล้วเราจะพบอีกในว่างาน ออกแบบแตล่ ะประเภทมีความแตกต่างหลากหลายรูปแบบตั้งแต่อดีตเมือ่ พันปีมาแล้วที่มนุษย์ในแหล่งตา่ งๆ สร้างเคร่ืองปั้นดินเผาโดยรับวัตถุดิบจากธรรมชาติเช่นเดียวกับการมจี ุดมุ่งหมายในการใช้งานเช่นเดียวกนั แต่ เราจะพบลักษณะรูปทรงลวดลายตกแต่งพื้นผิวของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งต่างๆมีความหลากหลายการ อย่างชัดเจนปัจจัยสาคัญท่ีทาให้งานออกแบบมีความแตกต่างกันนั้นเน่ืองจากการออกแบบเป็นกระบวนการ ใช้ความคดิ อย่างสร้างสรรค์เพอ่ื แก้ปัญหานักออกแบบแต่ละคนจะมวี ิธีการและเหน็ ความสาคัญของปญั หาใน มุมมองท่ีตา่ งกันประกอบกบั ตา่ งคนต่างมปี ระสบการณ์ตลอดจนภมู ิหลงั ทางดา้ นขนบธรรมเนยี มประเพณีและ ความเช่ือของตนเองปัจจัยเหลา่ นส้ี ่งผลต่อการใชค้ วามคดิ และการแสดงออกในงานไปดว้ ยถ้าเขาทดลองให้คน สองคนจึงสังเกตในสถานท่ีเดียวกันเวลาเดียวกันและภายหลังให้ท้ังสองคนบรรยายส่ิงท่ีพบเห็นเราจะได้รับ ข้อมูลท่ีแตกต่างกันไปนอกจากแต่ละคนจะมีประสบการณค์ วามคดิ ตลอดจนการเลือกใช้ประสาทสัมผัสแล้ว การรับรู้ข้อมูลหรือการได้ยินการดมกลิ่นรวมถึงบรรยากาศน้ันผสมประสานเข้าไปด้วย ซ่ึงมีผลให้ลักษณะ รูปแบบของงานท่ีมีความหลากหลายด้าน นอกจากนี้ในปัจจุบันเป็นยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าตามข้อมูล ข่าวสารซ่ึงช่วยทาให้การรับข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับความเป็นไปในวงการต่างๆที่มีความเก่ียวข้องกับการ ออกแบบมีความรวดเร็วและแมน่ ยาประกอบกับมีผู้ทาธุรกจิ การคา้ ขายสินคา้ เพอื่ ใหเ้ กิดสินค้าจานวนมากมาย จนนับไม่ถ้วนจึงสร้างให้เกิดสภาพการแข่งขันทางการตลาดอย่างรุนแรงเหล่า นี้นับเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิด บรรยากาศของการแข่งขันทางด้านการออกแบบเพื่อกระตุ้นให้นักออกแบบต้องเร่งสร้างความแตกต่างและ ความหลากหลายให้เกิดชิ้นงานใหม่ๆเปน็ ของตนเมื่อโลกและสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยผลงานที่เกิดขึ้นจาก ฝีมือมนุษย์ด้วยกันการเปลี่ยนแปลงรูปร่างรูปทรงของธรรมชาติให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับความต้องการ ดา้ นการใชง้ านและความต้องการทแ่ี สดงออกถึงความรสู้ กึ นึกคดิ เปน็ จดุ มุ่งหมายประการแรกแตค่ วามต้องการ ของมนุษย์ที่ไม่เคยมีขีดจากัดความต้องการในใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันให้มีการสร้างสรรค์ผลิตผลอย่าง ตอ่ เนื่องหากพิจารณาสิง่ ตา่ งๆรอบตัวเรามีท้ังสงิ่ ที่มีความจาเป็นตอ่ การดารงชีวิตและทพ่ี ักอาศยั เคร่ืองนุง่ ห่ม และสิง่ ท่ีเกินความจาเป็นเช่นเคร่ืองสารวจและการเก็บตัวอย่างหินบนดวงจนั ทร์มที ั้งสิง่ ท่ีม่งุ หวังในการสร้าง เช่นอุปกรณ์เคร่ืองมือและสิง่ ทช่ี ่วยอานวยความสะดวกต่างๆจนอาจกล่าวไดว้ ่าเราอยู่ในโลกท่ีมีความซับซ้อน และมีความเฉพาะบางอย่างมวี ิถชี ีวติ ทไ่ี ด้รบั ความสะดวกสบายในขณะเดียวกนั ก็มีอนั ตรายเกดิ ขน้ึ ในบรรดาส่ิง ท่ีมนุษย์ออกแบบคิดค้นนานาชนิดประกอบด้วยว่ามีลักษณะร่วมกันคือการแก้ปัญหาและการใช้ความคิด สรา้ งสรรคเ์ นื่องจากตามปกตขิ องการออกแบบจะเริ่มจากการเกิดของปญั หาในการทางานเพ่อื แกไ้ ขปัญหา นอกจากจะใช้ข้อมูลความเป็นเหตุผลแล้วยังจาเป็นต้องเสนอแนะวิธีการรูปแบบต่างๆสาหรับการ แก้ไขปัญหาตามความเหมาะสมการที่จะได้มาซึ่งทางเลือกที่ใช้แก้ปัญหาเป็นสิ่งท่ีต้องใช้กระบวนการการ สร้างสรรค์ทักษะเฉพาะสาหรับการทางานของแต่ละสาขาและนักออกแบบจาเป็นต้องได้รับการศึกษาและ ฝึกฝนเฉพาะทางอากาศได้ว่าในบรรดาส่ิงที่มนุษย์ออกแบบข้ึนนี้หากนามาจัดจาพวกเข้าด้วยกันสามารถแบ่ง ได้เปน็ 3 กลุ่มดงั นี้คือ 1 การออกแบบระบบหมายถึงการออกแบบในลักษณะการจัดวางระบบระเบียบแบบแผน เพื่อให้การทางานต่างๆราบรื่นและมีประสิทธิภาพตัวอย่างงานระดับน้ีทม่ี ีรูปธรรมชาติรูปประธรรมเช่นการ
จัดการด้านบริหารองค์กรหรอื หน่วยงานและหน่วยงานที่มรี ูปประธรรมได้แก่การจัดระบบวงจรไฟฟ้าอาคาร และอุปกรณ์เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าตา่ งๆ 2 การออกแบบสภาพแวดล้อมหมายถึงการออกแบบลักษณะการสร้างส่ิงต่างๆใน สภาพแวดล้อมของมนุษยต์ ัง้ แต่การวางแผนผงั ซ่งึ นับเปน็ สภาพแวดล้อมขนาดใหญก่ ารวางผงั ชุมชนท่ีมีขนาด เล็กลงจนถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในส่วนประกอบท้ังภายนอกและภายในอาคารมีลักษณะเฉพาะเป็น งานออกแบบทมี่ ีความเกย่ี วข้องทงั้ ทางด้านระบบและรูปทรงเขา้ ด้วยกัน 3 การออกแบบสิ่งของหมายถึงการออกแบบข้าวของเครอื่ งใช้ที่สมั ผัสโดยตรงกับมนุษยแ์ ละ เป็นส่วนหน่ึงของสภาพแวดล้อมด้วยถ้าเปรียบกับการออกแบบระบบและสภาพแวดล้อมจะพบว่าการ ออกแบบส่ิงของที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่ามีขนาดเล็กและเป็นงานท่ีมีความละเอียดลึกซ้ึง การใช้ สอยและการผลิตซึง่ ทาได้ท้งั รูปแบบงานหัตถกรรมและอุตสาหกรรมการออกแบบในกลุ่มนมี้ ีความหลากหลาย กันมากขึ้นจึงจาแนกใหค้ รอบคลุมผลงานไดค้ รบถ้วนโดยจาแนกเป็น 2 สว่ นดังนี้ 3.1. การจาแนกตามลกั ษณะทปี่ รากฏมี 2 ประเภท 3.1.1. การออกแบบ 2 มิติได้แก่งานออกแบบท่ีมีความสาคัญเฉพาะกับ ลวดลายและสีสันบนพ้ืนผิวซึ่งรบั รไู้ ด้ด้วยประสาทตาเป็นงานท่ีเนน้ ความงามจากการมองเห็นและการสอ่ื สาร ตามความหมายในเนื้อหาตามการรับรู้จากภาพน้ันงานออกแบบประเภทนี้แม้จะมีการใช้สื่อได้จากัดเฉพาะ ลวดลายพ้ืนผิวแต่ในขณะเดียวกันต้องทาหน้าท่ีแก้ปัญหาให้ได้ครอบคลุมครบถ้วนตามจุดมุ่งหมายของการ ออกแบบตัวอย่างเช่นการออกแบบกราฟิกลวดลายบนผนื ผา้ ลายบนพน้ื ผิวผลติ ภัณฑแ์ ละบรรจภุ ัณฑเ์ ป็นตน้ 3.1.2. งานออกแบบ 3 มิติได้แก่งานออกแบบผลิตภัณฑ์นานาชนิดที่มี ความหลากหลายในด้านขนาดต้ังแตข่ นาดเล็กเช่นเคร่ืองประดับไปจนถึงยานยนต์ขนาดใหญ่มีหน้าท่ีใช้สอย ตง้ั แต่การใช้งานท่ีเล็กลงเช่นที่ทับ กระดาษไปจนถึงอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนเช่นเครื่องมือเฉพาะของแพทย์ มใี ชส้ ่วนตวั เคร่ืองแตง่ กายไปจนถงึ ของเครื่องใช้ในสาธารณะงานออกแบบประเภทน้ีจึงเป็นงานท่ีมีเน้ือหา รายละเอยี ดเพิ่มมากข้ึนนอกจากการสนองการรับรู้ทางประสาทตาและยังเพิ่มประสาทสัมผัสที่เกย่ี วข้องกับ รูปรา่ งรปู ทรงพ้นื ผิวอีกดว้ ย ตวั อย่างเชน่ การออกแบบเสอื้ ผ้าเคร่อื งปน้ั ดินเผาเครอื่ งเรอื น เ ค ร่ื อ ง ใ ช้ ไ ฟ ฟ้ า อปุ กรณ์ตา่ งๆเปน็ ต้น 3.2. การจาแนกตามเนอื้ หาในงานออกแบบแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทกค็ ือ 3.2.1. การออกแบบโครงสร้างทางเทคโนโลยีเป็นงานออกแบบโดย ธรรมชาตขิ องงานนั้นมีลักษณะสาคัญทางดา้ นโครงสร้างตลอดจนกลไกการทางานเช่นเคร่ืองซักผ้ารถเขน็ คน พิการเนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆสามารถใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพจาเป็นต้องแก้ปัญหาทางด้านกลไกการ ทางานอย่างเป็นอย่างดีซึ่งหน้าท่ีในการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบตั้งโครงสร้างตลอดจนเทคนิคของ อุปกรณ์นี้วิศวกรจะมีบทบาทอย่างมากในการให้ข้อมูลเพ่ือเสนอแนะให้ผู้ออกแบบและ พิจารณาการตัดสิน เลือกใชแ้ นวทางทเ่ี หมาะสมใหส้ อดคลอ้ งกับรปู ทรงและการใชง้ าน 3.2.2. งานออกแบบเป็นการตกแต่งความงามเป็นงานออกแบบท่ีไม่มี กลไกภายในเนื้อหาความสาคัญของการออกแบบกลุ่มนี้ต้องสร้างให้เกิดความงามรู้สึกชื่นชมต่อลักษณะ รูปทรงที่ปรากฏเช่นลวดลายผ้าโดยหน้าท่ีใช้สอยของงานออกแบบมักจะใช้ตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศให้ จุดมุ่งหมายในการออกแบบงานเล็กน้อยและไม่ซับซ้อนแม้จะเป็นการจาแนกประเภทออกอย่างชัดเจนแยก ออกจากการทางด้านเนื้อหาดังกล่าวก็ตามแต่ในทางปฏิบัติงานออกแบบทุกชนิดไม่สามารถแยก 2 แนวทาง
คือโครงสร้างและการตกแต่งออกจากกันได้เลยได้งานออกแบบท่ีดีคืองานที่สามารถผสมผสานได้อย่าง เหมาะสมพอดีลงตัวและตดั มาโครงสร้างรปู ทรงก่อนแต่ในขณะเดียวกนั โครงสร้างที่วางไว้ที่มเี น้ือลกั ษณะเอื้อ ต่อการตกแต่งให้เกิดความงามด้วยตัวอย่างการออกแบบเครื่องพิมพ์ดีดคณะพิจารณากลไกการทางานตาม หน้าท่ีของอุปกรณ์นี้ควรคานึงถึงรูปทรงและขนาดสัดส่วนโดยรวมไปด้วยกลไกภายในมีผลต่อลักษณะของ รูปทรงหอ่ หุม้ กลไกนนั้ ๆตลอดจนถงึ รายละเอียดของส่วนประกอบอน่ื ๆ ความสาคญั ของการออกแบบมนษุ ย์เร่ิมสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหมข่ ้ึนมา เพ่ือสนองความต้องทางด้าน ประโยชน์ใช้สอยและความงามควบคู่กันไป อันเป็นปัจจัยสาคัญที่พัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อการดารงอยู่ของ มนษุ ยท์ ดี่ ีขึ้นดงั นี้ 1. การออกแบบเพื่อเสริมสร้างพัฒนาวถิ ีชีวติ ให้ดขี ้ึน เปน็ การออกแบบโครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา สิ่งเหล่าน้ีมนุษย์จะต้องเป็นผู้กาหนดหรือออกแบบให้ เหมาะสม ตามสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ เพอื่ สนองความต้องการของมนุษยท์ างด้านจติ ใจ 2. การออกแบบเพื่อสนองความต้องการในเรื่องของความสะดวกสบายในการดารงชีวิต ทางด้านวัตถุ มนุษย์รู้จักคิดประดิษฐ์ดัดแปลงธรรมชาติ หรือสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ มีการปรับปรุงพัฒนา เครื่องมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต ทาให้ชีวิตสะดวกสบายย่ิงข้ึน และเป็นการตอบสนอง ทางด้านรา่ งกายของมนุษย์ งานออกแบบ เป็นศลิ ปะท่ีให้คุณค่าทางด้านประโยชนใ์ ช้สอยเป็นสาคญั โดยมคี วามงามเปน็ สว่ นรอง การออกแบบจึงมีความสาคัญ มคี วามเปน็ ต่อชีวิตและความเป็นอยูใ่ นสังคมมนุษยเ์ ป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเห็น วา่ ได้วา่ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ท่ีมนษุ ย์ประดิษฐ์และสร้างสรรค์ขึ้นมาต้ังแต่สิ่งที่มขี นาดเล็กจนถึงขนาด ใหญ่ล้วน ต้นใช้กระบวนการออกแบบเปน็ จุดเร่ิมต้นท้ังส้ิน ความสาคัญของการออกแบบต้องมคี วามคานึงถึงหลักการ ต่างเพ่อื ใหเ้ กิดคุณคา่ หรอื คณุ ภาพตา่ งดงั น้ี 1. ความสาคัญ ในด้านคุณคา่ ทาง ศิลปะ งานออกแบบทดี่ ีทาให้ผลิตภัณฑ์ มคี วามงามดึงดูด ใจ สามารถตอบสนอง รสนิยมของผู้บริโภคได้ 2. มีประสิทธิภาพทางอุตสาหกรรม มีการเลือกวัสดุท่ีดีเพ่ือนาเข้าสู่ กระบวน การผลิตที่มี ประสิทธภิ าพลงทนุ น้อย แตม่ ีปรมิ าณผลผลติ ทเ่ี พิ่มขึ้น 3. มีคุณภาพทางการบริโภค ผลิตภัณฑท์ ี่มีการออกแบบทดี่ ี มกี ารใช้วัสดุท่ีดีมีกระบวนการ ผลิตอย่างมปี ระสิทธภิ าพจะทาให้ผลติ ภัณฑม์ คี วามคงทนและ มีความปลอดภยั ในการใช้สอย 4. มีศักยภาพในการแข่งขันทางพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ที่มีความงาม ความ คงทนและความ ปลอดภัยจะเป็นท่ตี ้องการของตลาดทาให้มียอดขายสงู สามารถแข่งขัน ทางการค้ากับผลิตภัณฑช์ นิดเดียวกัน ของบรษิ ัทอื่น 5. มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เม่ือบริษัทมีกาไรจากการขายผลิตภัณฑ์ ที่มีการออกแบบทด่ี ี บริษัทจะนาผลกาไรมาลงทุนเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยการ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ ใหม่ทค่ี ล้ายคลึงกบั ผลติ ภัณฑ์เดิม 6. มีศักยภาพในการรกั ษาลูกคา้ เดิม การปรบั ปรงุ ผลติ ภณั ฑเ์ ดิมหรือการสร้างผลติ ภัณฑ์ใหม่ ทีเ่ ก่ียวพันกันขึน้ ดว้ ยการออกแบบท่ีดจี ะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้ ในขณะเดียวกันบริษัทยัง สามารถดงึ ดดู ลูกค้าใหมท่ ม่ี ีรสนยิ มอยา่ งเดยี วกันได้ดว้ ย
7. มกี ารพยากรณ์ทด่ี ี เป็นท่คี าดหมายกันวา่ สนิ ค้าท่ีมีการออกแบบไม่ดี จะไม่ค่อยไดร้ บั การ ยอมรับของประชาชนในทางตรงกันข้ามสินค้าที่มีการออกแบบ ท่ีดีจะได้รับการยอมรับ ทาให้การพยากรณ์ เปน็ ไปในทางที่พึงประสงค์ 8. มีการรับรองคุณภาพตามระบบ ISO 9000 ผลิตภัณฑข์ องบรษิ ัทที่ได้รบั ประกนั คณุ ภาพ มีการควบคุมการออกแบบกระบวนการผลิตการตรวจและการทดสอบลักษณะและคุณลักษณะโดยรวมของ ผลติ ภณั ฑ์และแสดงให้เห็นได้ ทาให้ผูบ้ ริโภคเกดิ ความพงึ พอใจ 9. มกี ารคิดค้นสิ่งใหม่ เม่อื มคี วามต้องการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ใหม่ หรือ ต้องการผลติ ภณั ฑ์ที่มี ความแปลกและแตกต่างไปจากเดิมตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับมาก เป็นต้นว่า บริษัทผลิตรถยนต์จะมี การเปลยี่ นแปลงเล็กน้อยกบั รถยนตร์ ุน่ เดมิ อยู่เสมอ เพ่ือให้กลายเปน็ รถยนตร์ นุ่ ใหม่พรอ้ มกับราคาทีเ่ พ่มิ สูงข้ึน 10. มีการพัฒนาทีมงานในการออกแบบ เป็นการทางานร่วมกันระหว่าง นักออกแบบ ด้วยกัน และทางานรว่ มกบั บุคลากรฝ่ายการตลาด วิศวกร ฝ่ายผลติ คนงานรวมทงั้ ผู้บริหารองค์การ ซึ่งทาให้ มี หลักการออกแบบควรนึกถึงปัจจัยที่มีอทิ ธพิ ลตอ่ การกาหนดองค์ประกอบของงานออกแบบแต่ในที่น้ี มีปัจจัยพ้ืนฐาน 10 ประการ ที่นิยมใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสร้างสรรค์ผลงานเชิงอุตสาหกรรม ซึ่ง ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และเป็นตัวกาหนดองค์ประกอบของงานออกแบบที่สาคัญ ได้แก่ 1. หน้าที่ใช้สอย (Function) ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจะต้องมีหน้าที่ใช้สอยถูกต้องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ สามารถตอบสนองประโยชน์ใชส้ อยตามที่ผ้บู ริโภคต้องการได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ในหนึ่งผลิตภัณฑ์นัน้ อาจมี หน้าที่ใช้สอยอย่างเดยี วหรือกลายหน้าที่ก็ได้ แต่หนา้ ท่ีใช้สอยจะดีหรือไม่น้ัน ต้องใช้งานไประยะหนง่ึ ถึงจะ ทราบขอ้ บกพรอ่ ง ตัวอยา่ งเช่น การออกแบบโตะ๊ อาหารกบั โตะ๊ ทางาน โตะ๊ ทางานมหี น้าทใ่ี ช้สอยยงุ่ ยากกว่า มลี น้ิ ชักสาหรบั เก็บเอกสาร เคร่ืองเขียน ส่วนโต๊ะอาหารไมจ่ าเปน็ ต้องมลี ้ินชกั เก็บของ ระยะเวลาของการใช้ งานสน้ั กว่า แตต่ ้องสะดวกในการทาความสะอาด การออกแบบเก้าอี้ หน้าท่ีใช้สอยเบอ้ื งตน้ ของเก้าอค้ี อื ใช้น่ัง ด้วยกิจกรรมต่างกัน เช่น เก้าอ้ีรับประทานอาหารลักษณะและขนาดต้องเหมาะสมกับโต๊ะอาหาร เก้าอี้ เขียนแบบลักษณะและขนาดต้องเหมาะสมกับโต๊ะเขียนแบบ ถ้าจะเอาเก้าอี้รบั แขกมาใชน้ ่ังเขยี นก็คงจะเกิด การเมื่อยล้า ปวดหลงั ปวดคอ และนั่งทางานได้ไมน่ าน การออกแบบมีดท่ีในครัวนั้นมีอยู่มากกมายหลาย ชนดิ ตามการใช้งานเฉพาะเช่น มดี ปอกผลไม้ มดี แล่เน้ือสตั ว์ มีดสับกระดูก มีดห่ันผัก เป็นต้น ถา้ หากมีการ ใช้มีดอยู่ชนิดเดียวตั้งแต่แล่เน้ือ สับกระดูก ห่ันผัก ก็อาจจะใช้ได้แต่จะไม่ได้ความสะดวกเท่าที่ควร หรือ อาจจะได้รับอุบตั ิเหตขุ ณะใชไ้ ด้ เพราะไม่ได้รบั การออกแบบมาให้ใช้งานเปน็ การเฉพาะอย่าง 2. ความสวยงามน่าใช้ (Aesthetics or sales appeal) ผลิตภัณฑ์ท่ีออกแบบมาน้ันจะต้องมีรูปทรง ขนาด สีสันสวยงาม น่าใช้ ตรงตามรสนิยมของกล่มุ ผ้บู ริโภคเป้าหมาย เป็นวิธีการเพิ่มมูลค่าผลิตภณั ฑ์ที่ได้รับ ความนยิ มและได้ผลดี เพราะความสวยงามเป็นความพงึ พอใจแรกทีค่ นเราสัมผัสได้ก่อนมักเกิดมาจากรูปร่าง และสีเป็นหลัก การกาหนดรปู ร่างและสีในงานออกแบบผลิตภัณฑน์ ั้น ไม่เหมือนกับการกาหนดรูปร่างและสี ในงานจิตรกรรม ซ่ึงสามารถที่จะแสดงหรือกาหนดรูปร่างและสีได้ตามความนึกคิดของจิตกร แต่ในงาน ออกแบบผลิตภัณฑน์ ั้น จาเป็นต้องยึดข้อมลู และกฎเกณฑ์ผสมผสานของรูปร่างและสีสัน ระหวา่ งทฤษฎที าง ศิลปะและความพงึ พอใจของผบู้ ริโภคเข้าดว้ ยกนั ถึงแม้ว่ามนษุ ย์แต่ละคนมกี ารรับร้แู ละพงึ พอใจในเรอื่ งของ ความงามได้ไม่เท่ากัน และไมม่ กี ฎเกณฑก์ ารตัดสนิ ใจใดๆ ที่เป็นตวั ชขี้ าดความถกู ความผดิ แต่คนเราสว่ นใหญ่
ก็มีแนวโนม้ ท่ีจะมองเห็นความงามไปในทิศทางเดียวกันตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑเ์ ครอ่ื งประดับ ของที่ระลึก และของตกแต่งบ้านต่างๆ ความสวยงามก็คือหน้าท่ีใช้สอยน้ันเอง และความสวยงามจะสร้าง ความประทับใจแก่ผู้บริโภคใหเ้ กิดการตดั สินใจซ้ือได้ 3. ความสะดวกสบายในการใช้ (Ergonomics) การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดีน้ันต้องเข้าใจกายวิภาคเชิงกล เก่ียวกับขนาด สัดส่วน ความสามารถและขีดจากัดที่เหมาะสมสาหรับอวัยวะต่างๆ ของผู้ใช้ การเกิด ความรู้สึกท่ีดีและสะดวกสบายในการใช้ผลิตภัณฑ์ ท้ังทางด้านจิตวิทยา (Psychology) และสรีระวิทยา (Physiology) ซ่ึงแตกต่างกันไปตามลักษณะเพศ เผ่าพันธ์ุ ภูมิลาเนา และสังคมแวดล้อมท่ีใช้ผลิตภัณฑ์น้ัน เป็นข้อบังคับในการออกแบบ การวัดคณุ ภาพทางด้าน กายวิภาคเชิงกล (ergonomics) พิจารณาได้จากการ ใช้งานได้อย่างกลมกลืนต่อการสัมผัส ตวั อย่างเชน่ การออกแบบเก้าอี้ต้องมคี วามนุม่ นวล มขี นาดสัดส่วนที่ นั่งแล้วสบาย โดยอิงกับมาตรฐานผู้ใช้ของชาวตะวันตกมาออกแบบเก้าอี้สาหรับชาวเอเชีย เพราะอาจเกิด ความไม่พอดีหรือไม่สะดวกในการใช้งาน ออกแบบปุ่มบังคับ ด้ามจับของเคร่ืองมือและอปุ กรณ์ต่างๆ ที่ผู้ใช้ ต้องใช้ร่างกายไปสัมผัสเป็นเวลานาน จะต้องกาหนดขนาด (dimensions) ส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนตรง สว่ นแคบของผลติ ภัณฑต์ ่างๆ ได้อย่างพอเหมาะกับร่างกายหรืออวัยวะของผใู้ ชผ้ ลิตภัณฑ์นน้ั ๆ เพื่อทาใหเ้ กิด ความถนัดและความสะดวกสบายในการใช้ รวมท้งั ลดอาการเมอ่ื ยล้าเมือ่ ใช้ไป นานๆ 4. ความปลอดภัย (Safety) ผลิตภัณฑ์ที่เกิดข้ึนเพ่ืออานวยความสะดวกในการดารงชีพของมนุษย์ มีท้ัง ประโยชน์และโทษในตวั การออกแบบจึงต้องคานึงถึงความปลอดภัยของชวี ิตและทรพั ย์สินของผู้บริโภคเป็น สาคัญ ไม่เลือกใช้วัสดุ สี กรรมวิธีการผลิตฯลฯ ที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้หรือทาลายสิ่งแวดล้อม ถ้าหลีกเลี่ยง ไม่ได้ต้องแสดงเครื่องหมายเตือนไว้ให้ชัดเจนและมีคาอธิบายการใช้แนบมากับผลิตภัณฑ์ด้วย ตัวอย่างเช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรมีส่วนป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากความเมื่อยล้าหรือ พลั้งเผลอ เช่น จากการสัมผัสกับส่วนกลไกทางาน จากความร้อน จากไฟฟ้าดูด ฯลฯ จากการสัมผัสกับส่วน กลไกทางาน จากความร้อน จากไฟฟ้าดูด ฯลฯ หลีกเล่ียงการใช้วัสดุท่ีง่ายต่อการเกิดอัคคีภัยหรือเป็น อันตรายต่อสุขภาพ และควรมีสัญลักษณ์หรือคาอธิบายติดเตือนบนผลิตภัณฑ์ไว้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ สาหรับเด็ก ตอ้ งเลือกใช้วัสดุที่ไม่มีสารพิษเจอื ปน เผ่ือป้องกันเวลาเด็กเอาเข้าปากกัดหรอื ออม ช้ินสว่ นตอ้ ง ไม่มีสว่ นแหลมคมใหเ้ กิดการบาดเจบ็ มีข้อความหรอื สญั ลักษณบ์ อกเตอื น เป็นตน้ 5. ความแข็งแรง (Construction) ผลิตภณั ฑท์ ่อี อกแบบมานัน้ จะต้องมคี วามแข็งแรงในตัว ทนทานตอ่ การ ใช้งานตามหน้าท่ีและวัตถุประสงค์ที่กาหนดโครงสร้างมีความเหมาะสมตามคุณสมบัติของวัสดุ ขนาด แรง กระทาในรูปแบบต่างๆ จากการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ดีต้องมีความมั่นคงแข็งแรง ต้องเข้าใจหลักโครงสร้างและการรับน้าหนัก ต้องสามารถควบคุมพฤติกรรมการใช้งานให้กับผู้ใช้ด้วย เช่น การจัดท่าทางในการใช้งานให้กับผู้ใช้ด้วย เช่น การจัดท่าทางในการใช้งานให้เหมาะสม สะดวกสบาย ถูก สขุ ลักษณะ และต้องรู้จักผสมความงามเข้ากบั ช้ินงานได้อยา่ งกลมกลืน เพราะโครงสร้างบางรูปแบบมีความ แข็งแรงดีมากแต่ขาดความสวยงาม จึงเป็นหน้าท่ีของนักออกแบบท่ีจะต้องเป็นผู้ผสานสองสิ่งเข้ามาอยู่ใน ความพอดีให้ได้ นอกจากการเลือกใช้ประเภทของวัสดุ โครงสร้างที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องคานึงถึงความ ประหยัดควบคู่กนั ไปด้วย 6. ราคา (Cost) ก่อนการออกแบบผลิตภัณฑ์ควรมีการกาหนดกลุ่มเป้าหมายท่ีจะใช้ว่าเป็นกลุ่มใด อาชีพ อะไร ฐานะเป็นอย่างไร ซ่ึงจะช่วยให้นักออกแบบสามารถกาหนดแบบผลิตภัณฑ์และประมาณราคาขายให้ เหมาะสมกับกลมุ่ เป้าหมายได้ใกล้เคยี งมากขึ้น การจะได้มาซึ่งผลติ ภณั ฑ์ทม่ี ีราคาเหมาะสมนนั้ ส่วนหนง่ึ อยู่ที่
การเลอื กใช้ชนดิ หรอื เกรดของวัสดุ และวธิ ีการผลิตท่ีเหมาะสม ผลิตได้งา่ ยและรวดเร็ว แต่ในกรณที ่ีประมาณ ราคาจากแบบสูงกวา่ ที่กาหนดก็อาจต้องมีการเปลีย่ นแปลงหรือพัฒนาองคป์ ระกอบด้านตา่ งๆ กันใหม่เพอื่ ลด ตน้ ทุน แต่ทั้งน้ตี ้องคงไว้ซงึ่ คณุ คา่ ของผลิตภณั ฑ์นน้ั 7. วสั ดุ (Materials) การออกแบบควรเลอื กวัสดทุ ม่ี ีคุณสมบัตดิ า้ นต่างๆ ไดแ้ ก่ ความใส ผิวมนั วาว ทนความ รอ้ น ทนกรดดา่ งไม่ล่ืน ฯลฯ ใหเ้ หมาะสมกบั หนา้ ที่ใชส้ อยของผลิตภัณฑ์นั้นๆ นอกจากน้นั ยังตอ้ งพิจารณาถึง ความง่ายในการดูแลรักษา ความสะดวกรวดเร็วในการผลติ สั่งซือ้ และคงคลัง รวมถึงจิตสานึกในการรณรงค์ ช่วยกันพิทักษ์ส่ิงแวดล้อมดว้ ยการเลือกใชว้ ัสดุท่ีหมุนเวียนกลับมาใช้ใหมไ่ ด้ (recycle) ก็เป็นสิ่งท่ีนักอกแบบ ตอ้ งตระหนักถงึ ในการออกแบบร่วมด้วย เพ่อื ชว่ ยลดกนั ลดปรมิ าณขยะของโลก 8.กรรมวิธกี ารผลิต (Production) ผลติ ภัณฑ์ทกุ ชนิดควรออกแบบให้สามารถผลิตไดง้ ่าย รวดเรว็ ประหยัด วัสดุ ค่าแรงและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่ในบางกรณีอาจต้องออกแบบให้สอดคล้องกบั กรรมวิธีของเคร่ืองจักรและ อุปกรณ์ที่มีอยู่เดิม และควรตระหนักอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรท่ีจะลดต้นทุนได้รวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าการประหยัดเพราะการผลติ ทีละมากๆ 9 .การบารุงรักษาและซ่อมแซม (Maintenance) ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดควรออกแบบให้สามารถบารุงรักษา และแก้ไขซ่อมแซมได้ง่าย ไมย่ งุ่ ยากเม่ือมกี ารชารดุ เสียหายเกดิ ข้ึน งา่ ยและสะดวกต่อการทาความสะอาดเพ่ือ ช่วยยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ รวมท้ังควรมีค่าบารุงรักษาและการสึกหรอต่า ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ ประเภทเคร่อื งมือ เครอื่ งจักรกล เครื่องยนต์และเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ตา่ งๆ ท่ีมีกลไกภายในซบั ซอ้ น อะไหลบ่ างชิ้น ยอ่ มมีการเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งานหรือจากการใช้งานที่ผิดวิธี การออกแบบทดี่ ีน้ันจะต้องศึกษาถึง ตาแหน่งในการจัดวางกลไกแตล่ ะชิ้น เพ่ือที่จะได้ออกแบบสว่ นของฝาครอบบริเวณต่างๆ ให้สะดวกในการ ถอดซ่อมแซมหรือเปลยี่ นอะไหล่ได้โดยง่าย นอกจากนน้ั การออกแบบยังต้องคานึงถึงองคป์ ระกอบอ่ืนๆร่วม ดว้ ย เชน่ การใช้ชิ้นสว่ นร่วมกันให้มากทส่ี ุด โดยเฉพาะอุปกรณย์ ดึ ต่อการเลือกใช้ชิ้นสว่ นขนาดมาตรฐานทีห่ า ได้ง่าย การถอดเปล่ียนได้เป็นชุดๆ การออกแบบให้บางส่วนสามารถใช้เก็บอะไหล่ หรือใช้เปน็ อปุ กรณส์ ารับ การซ่อมบารุงรกั ษาได้ในตวั เปน็ ต้น 10.การขนส่ง (Transportation) ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบควรคานงึ ถึงการประหยัดค่าขนสง่ ความสะดวกใน การขนส่ง ระยะทาง เส้นทางการขนสง่ (ทางบก ทางน้าหรอื ทางอากาศ) การกินเนอ้ื ท่ีในการขนส่ง (มติ ิความ จุ กว้าง ยาว สูง ของรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุกทั่วไป ตู้บรรทุกสินค้า ฯลฯ) ส่วนการบรรจุหีบห่อต้อง สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการชารุดเสียหายของผลิตภัณฑ์ได้ง่าย กรณีท่ีผลิตภัณฑ์ที่ทาการออกแบบน้ันมี ขนาดใหญ่ อาจต้องออกแบบให้ชิ้นส่วนสามารถถอดประกอบได้ง่าย เพ่ือทาให้หีบห่อมีขนาดเล็กลง ตวั อย่างเช่น การออกแบบเครื่องเรือนชนิดถอดประกอบได้ ต้องสามารถบรรจุผลติ ภัณฑ์ลงในตู้สินค้าทเ่ี ป็น ขนาดมาตรฐานเพื่อประหยัดค่าขนส่งรวมทั้งผู้ซื้อสามารถทาการขนส่งและประกอบชิ้นส่วนให้เข้ารูปเป็น ผลิตภัณฑ์ได้โดยสะดวกด้วยตวั เอง งานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดีจะต้องผสมผสานปัจจัยต่างๆ ท้ังรูปแบบ (form) ประโยชน์ใช้สอย (function) กายวิภาคเชิงกล (ergonomics) และอ่ืนๆ ให้เข้ากบั วถิ ีการดาเนินชวี ิต แฟชน่ั หรอื แนวโนม้ ทีจ่ ะ เกิดขน้ึ กับผู้บรโิ ภคเป้าหมายได้อย่างกลมกลืนลงตัวมีความสวยงามโดดเด่น มีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัว ต้ังอยู่บน พื้นฐานทางการตลาด และความเป็นไปได้ในการผลิตจานวนมาก ส่วนการให้ลาดับความสาคัญของปัจจัย ตา่ งๆ ขึ้นอยู่กบั จุดประสงค์และความซับซ้อนของผลิตภัณฑน์ ้ันๆ เชน่ การออกแบบเส้ือผา้ กระเป๋า รองเท้า ตามแฟช่ัน อาจพิจารณาท่ีประโยชน์ใช้สอย ความสะดวกสบายในการใช้ และความสวยงาม เป็นหลัก แต่
สาหรับการออกแบบยานพาหนะ เช่น จักรยาน รถยนต์ หรือเคร่ืองบิน อาจต้องคานึงถึงปัจจัยดังกล่าว ครบทกุ ขอ้ หรอื มากกว่าน้นั การออกแบบ คอื กิจกรรมการแกป้ ัญหาเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายหรือจดุ ประสงค์ท่ตี งั้ ไว้ (Design is a goal-directed problem-solving) เป็นการกระทาของมนษุ ย์ ด้วยจดุ ประสงค์ทต่ี ้องการแจ้งผลเป็น สิ่งใหมๆ่ มที ้ังที่ออกแบบเพ่อื สร้างขน้ึ ใหม่ใหแ้ ตกต่างจากของเดิมหรอื ปรับปรุงตกแต่งของเดมิ ความสาคัญ ของออกแบบเปน็ ขั้นตอนเบ้อื งต้นท่ีจะทาให้กระบวนการในการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ประสบผลสาเรจ็ ใน ตลาดและตรงตามเป้าหมาย งานออกแบบ คอื สง่ิ ท่มี นษุ ย์สร้างข้นึ โดยการเลือกนาเอาองค์ประกอบมาจัดเรยี งให้เกิดรปู ทรงใหม่ ทีส่ ามารถสนองความต้องการตามจุดประสงคข์ องผ้สู รา้ ง และสามารถผลิตได้ดว้ ยวัสดแุ ละกรรมวธิ กี ารผลติ ที่ มีอยใู่ นขณะนนั้ (แหล่งข้อมูล..http://netra.lpru.ac.th/~weta) (สวนศรี ศรีแพงพงษ์, 2563) งานออกแบบยังขาดหลักขององคป์ ระกอบศิลป์ไมไ่ ดเ้ พราะอาจเป็น หัวใจสาคัญของศิลปินนักออกแบบงานต่าง คาว่าองค์ประกอบ ตามความหมายพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน คือ ส่วนต่างๆที่ประกอบกันทาให้เกิดรูปร่างใหม่ขึ้นโดยเฉพาะ องค์ประกอบศิลป์ หมายถึง ส่ิงทศี่ ลิ ปินและนักออกแบบใชเ้ ปน็ ส่ือในการแสดงออกและสรา้ งความหมาย โดยนามาจดั เขา้ ดว้ ยกัน และเกิดรูปร่างอันเด่นชัด องค์ประกอบศิลป์หมายถึง เคร่ืองหมายหรือรูปแบบที่นามาจัดรวมกันแล้วเกิด รูปร่างตา่ งๆ ท่แี สดงออกในการสอ่ื (สิทธศิ กั ด์ิ ธญั ศรีสวัสดิ์กุล,2556) ความหมายและความคดิ สรา้ งสรรค์ องค์ประกอบศลิ ป์ หมายถึง ศลิ ปะท่ีมนษุ ย์สรา้ งขึน้ เพ่ือแสดงออกทางอารมณ์ ความรูส้ กึ ความคดิ หรือความงาม (ชลดู น่ิมเสมอ,2556) องคป์ ระกอบศลิ ป์ ซึง่ ประกอบดว้ ย ส่วนท่ีมนษุ ยส์ รา้ งข้นึ และสว่ นทเี่ ปน็ การ แสดงออกอันเป็นผลท่ีเกิดจากโครงสร้างทางวัตถุ องค์ประกอบศิลป์หมายถึง สว่ นประกอบตา่ งๆของศิลปะ เช่น จดุ เส้น รูปร่าง ขนาด สัดส่วน นา้ หนัก แสง เงาลกั ษณะพื้นผวิ ทว่ี า่ งและสี (มานิต กรินพงศ์,2551) องค์ประกอบศิลป์คือความงาม ความพอดี ลงตวั อันเป็นรากฐานเนื้อหา ของศิลปะ อกี ทง้ั ยังเปน็ เครือ่ งมอื ทีส่ าคัญทางศิลปะให้ผสู้ ร้างสรรค์ได้สอ่ื สารความคิดของตนเองไปสบู่ ุคคลอื่น (สุชาติ เถาทอง,สังคม ทองมี,ธารงศกั ดิ์ ธารงเลศิ ฤทธิ์,รอง ทองดาดาษ: 3) องคป์ ระกอบศลิ ป์ จาก ความหมายต่างๆข้างตน้ พอสรุปได้ว่า องค์ประกอบศิลป์ หมายถงึ สิ่งท่ีมนษุ ยใ์ ช้เป็นสื่อในการแสดงออกอยา่ ง สร้างสรรค์ โดยนาส่วนประกอบของศิลปะมาจัดวางรวมกันอย่างสอดคล้องกลมกลืนและมีความหมายเกิด รูปร่างหรือรูปแบบต่างๆอันเด่นชัดซ่ึงจากความหมายข้างตน้ จะเห็นได้วา่ การที่จะเกดิ ผลงานศิลปะดีๆสักช้ิน นั้นผู้สร้างสรรค์จะต้องใช้กระบวนการท่ีหลากหลายมาประกอบกันได้แก่ องค์ประกอบพ้ืนฐานทางศิลปะ องค์ประกอบของศิลปะ และการจัดองค์ประกอบของศิลปะ มาถา่ ยทอดลงในช้ินงานหรือผลงานนน้ั ๆเพ่ือให้ ไดผ้ ลงานท่ีมคี ุณค่าท้ังด้านความงามและมคี ุณคา่ ทางจิตใจอันเปน็ จุดหมายสาคญั ท่ีศลิ ปนิ ทุกคนม่งุ หวังให้เกิด แกผ่ ู้ชมทั้งหลาย ความสาคัญขององคป์ ระกอบศิลป์ ในการสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะในสาขาต่างๆไมว่ ่าจะเป็น สาขาวิจิตรศิลป์หรือประยุกต์ศิลป์ ผู้สร้างสรรค์นั้นต้องมีความรู้เบ้ืองต้นด้านศิลปะมาก่อน และศึกษาถึง หลกั การองคป์ ระกอบพ้ืนฐานองคป์ ระกอบทส่ี าคัญ การจัดวางองค์ประกอบเหล่านั้น รวมถงึ การกาหนดสี ใน ลกั ษณะต่างๆเพ่ิมเติมใหเ้ กิดความเขา้ ใจเพื่อเวลาทส่ี ร้างผลงานศลิ ปะ จะไดผ้ ลงานทีม่ คี ุณค่า ความหมายและ ความงามเป็นทนี่ า่ สนใจแก่ผู้พบเห็นหากสร้างสรรค์ผลงานโดยขาดองคป์ ระกอบศิลป์ ผลงานน้ันอาจดดู ้อยค่า หมดความหมายหรือไม่นา่ สนใจไปเลย
(ชลูด นิ่มเสมอ) องคป์ ระกอบศิลป์ ดังน้นั จะเห็นได้ว่าองคป์ ระกอบศิลป์นัน้ มคี วามสาคัญอย่างมาก ในการสร้างงานศลิ ปะมนี ักการศกึ ษาด้านศิลปะหลายท่านไดใ้ หท้ รรศนะในด้านความสาคัญขององค์ประกอบ ศลิ ป์ทีม่ ตี ่อการสรา้ งงานศิลปะไว้ พอจะสรปุ ได้ดังนี้การสร้างสรรคง์ านศลิ ปะใหไ้ ด้ดนี ้ัน ผ้สู ร้างสรรค์จะตอ้ งทา ความเข้าใจกับองคป์ ระกอบศลิ ป์เปน็ พน้ื ฐานเสียก่อนไมเ่ ช่นน้ันแลว้ ผลงานทอ่ี อกมามักไมส่ มบูรณเ์ ทา่ ไรนักซึ่ง องค์ประกอบหลักของศลิ ปะก็คอื รปู ทรงกับเนื้อหา (อนันต์ ประภาโส) องคป์ ระกอบศิลป์ เปน็ เสมอื นหัวใจดวงหน่ึงของการทางานศิลปะ เพราะในงาน องค์ประกอบศิลป์หนึ่งช้ินจะประกอบไปด้วย การร่างภาพ(วาดเส้น) การจัดวางให้เกิดความงาม (จัดภาพ) และการใช้สี(ทฤษฎีสี)ซงึ่ แต่ละอย่างจะตอ้ งเรยี นรู้สู่รายละเอยี ดลึกลงไปอีก องคป์ ระกอบศิลป์จงึ เป็นพ้ืนฐาน สาคญั ท่ีรวบรวมความรหู้ ลายๆอยา่ งไวด้ ้วยกนั จึงตอ้ งเรียนรู้กอ่ นทีจ่ ะศึกษาในเรือ่ งอืน่ ๆ หลกั การจัดองค์ประกอบพ้นื ฐาน 1. เอกภาพ (Unity) หมายถงึ ความเปน็ อันหนง่ึ อันเดียวกัน ความสอดคล้องกลมกลืน เปน็ หนว่ ย เดียวกัน ด้วยการจัดองค์ประกอบให้มีความสัมพนั ธเ์ ก่ียวขอ้ งกนั เป็นกลุ่มก้อนไมก่ ระจดั กระจาย โดยการจัด ระเบียบของรูปทรง จังหวะ เน้ือหาให้เกิดดุลยภาพจะได้ส่ืออารมณ์ ความรู้สึก ความหมายได้ง่ายและ รวดเรว็ เอกภาพ (Unity) หมายถงึ ความเป็นอันหนึง่ อันเดียวกันขององค์ประกอบศิลป์ทงั้ ด้านรูปลกั ษณะ และด้านเนื้อหาเร่ืองราว เป็นการประสานหรือจัดระเบียบของส่วนต่าง ๆให้เกิดความเป็น หนึ่งเดียว เพ่ือ ผลรวมอันไม่อาจแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป การสร้างงานศิลปะ คือ การสร้างเอกภาพขึ้นจากความ สบั สน ความยุ่งเหยิง เปน็ การจัดระเบียบ และดุลยภาพ ให้แก่ส่ิงที่ขัดแย้งกันเพื่อให้รวมตัวกันได้ โดยการ เชอื่ มโยงสว่ นต่าง ๆให้สัมพันธ์กันเอกภาพของงานศิลปะ มีอยู่ 2 ประการ คอื 1. เอกภาพของรปู ทรง คอื การรวมตัวกันอยา่ งมีดุลยภาพ และมีระเบียบขององคป์ ระกอบ ทางศิลปะ เพื่อให้เกิดเป็นรูปทรงหน่ึง ที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรืออารมณ์ของศิลปิน ออกได้อย่าง ชัดเจน เอกภาพของรูปทรง เป็นสิ่งท่ีสาคัญที่สุดต่อความงามของผลงานศิลปะ เพราะเป็นส่ิงท่ีศิลปินใช้เป็น สอื่ ในการแสดงออกถึงเร่ืองราว ความคิด และอารมณ์ ดังน้นั กฎเกณฑ์ในการสร้างเอกภาพในงานศิลปะเป็น กฎเกณฑเ์ ดียวกนั กบั ธรรมชาติ 2. เอกภาพของการแสดงออก หมายถงึ การแสดงออกทมี ีจุดมุ่งหมายเดียว แน่นอน และมี ความเรียบง่าย งานช้ินเดียวจะแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณ์ไม่ได้ จะทาให้สับสน ขาดเอกภาพ และการแสดงออกดว้ ยลักษณะเฉพาตวั ของศิลปินแตล่ ะคน กส็ ามารถทาให้ เกิดเอกภาพแก่ผลงานได้ 2. ดุลยภาพ (Balance) ความสมดุลหรือดุลยภาพ หมายถึง ความเท่ากันเสมอกัน มีน้าหนัก หรือ ความกลมกลืนพอเหมาะพอดี โดยมีแกนสมมติทาหน้าท่แี บ่งภาพให้ซ้ายขวา บน ลา่ ง ให้เทา่ กัน การเท่ากัน อาจไมเ่ ท่ากันจริง ๆ ก็ได้ แตจ่ ะเทา่ กันในความร้สู กึ ตามทตี่ ามองเห็นความสมดลุ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 2.1. ความสมดุล 2 ข้างเท่ากั น (Symmetrical Balance) หมายถึง การจัดวาง องค์ประกอบต่าง ๆ ของศิลปะให้ทั้ง 2 ข้างแกนสมมติมีขนาด สัดส่วน และน้าหนักเท่ากัน หรือมีรูปแบบ เหมือนกันคล้ายกัน หรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาเหมือนกัน คือ การวางรปู ท้ังสองข้างของแกนสมดุล เป็น การสมดุลแบบธรรมชาติลักษณะแบบน้ีใน ทางศิลปะมีใช้น้อย ส่วนมากจะใช้ในลวดลายตกแต่ง ในงาน สถาปัตยกรรมบางแบบ หรือ ในงานทต่ี ้องการดลุ ยภาพท่นี ง่ิ และมัน่ คงจรงิ ๆ
2.2. ความสมดุล 2 ข้างไม่เท่ากัน (Asymmetrical Balance) หมายถึง การจัด องค์ประกอบของศิลปะ ทั้ง 2 ขา้ งแกนสมมติมีขนาดสัดส่วนน้าหนกั ไมเ่ ท่ากนั ไมเ่ หมือนกัน ไม่เสมอกัน แต่ สมดุลกันในความรู้สึกความสมดุล 2 ข้างไม่เท่ากัน คือภาพมีความสมดุลย์ของเนื้อหาและเร่ืองราวแต่ไม่ เท่ากันในเรื่องขนาด น้าหนักหรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาไม่เหมือน กัน มักเป็นการสมดุลที่เกิดจาการจัด ใหม่ของมนุษย์ ซ่ึงมีลักษณะท่ีทางซ้ายและขวาจะไม่ เหมือนกัน ใช้องค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน แต่มีความ สมดุลกัน อาจเป็นความสมดุลด้วย น้าหนักขององค์ประกอบ หรือสมดุลด้วยความรู้สึกก็ได้ การจัด องค์ประกอบให้เกิดความ สมดุลแบบอสมมาตรอาจทาได้โดย เล่ือนแกนสมดุลไปทางด้านท่ีมีน้าหนักมากว่า หรือ เล่ือนรูปท่ีมีน้าหนักมากว่าเข้าหาแกน จะทาให้เกิดความสมดุลขึ้น หรือใช้หน่วยท่ีมีขนาดเล็กแต่มี รปู ลักษณะท่นี ่าสนใจถ่วงดุลกับรูปลกั ษณะทมี่ ีขนาดใหญ่แตม่ รี ูปแบบธรรมดา 3. ความกลมกลืน (Harmony) คือลักษณะของความสัมพันธ์กันขององค์ประกอบต่างๆ ท่ีนามา ประกอบเข้าด้วยกันแลว้ มีความสนับสนนุ กนั เข้ากันได้ ไม่ขัดแยง้ กัน ให้ความรู้สึกต่อเนื่อง ลื่นไหล ไม่สะดุด ไปดว้ ยกนั ไดท้ าให้เกิดเปน็ การประสานเข้ากันไดโ้ ดยไม่เกิดความขัดแย้ง ส่งผลถงึ ความเปน็ อันหนึง่ อนั เดียวกัน (เอกภาพ) ประโยชนอ์ ีกลักษณะหนงึ่ ของความกลมกลืน ก็คอื การใชค้ วามกลมกลนื เปน็ ตวั กลางหรือตวั เช่ือม (Transition) ทาส่ิงทม่ี ีความขดั แย้งกนั หรือสิง่ ที่มีความแตกต่างกัน ให้เกดิ ความสมั พนั ธ์กนั ได้ เช่นสดี า กบั สี ขาว เป็นสีทต่ี ดั กัน มคี วามขัดแยง้ กนั ถ้ามีสีเทา หรอื น้าหนักออ่ นแก่ระหวา่ งขาวไปจนถงึ ดามาเป็นตวั เช่อื มให้ สดี าและสีขาวนั้นมคี วามกลมกลืนกันมากข้ึนได้ความกลมกลนื ด้านเร่ืองราวท่สี อดคลอ้ งเป็นเรื่องราวเกยี่ วกับ ธรรมชาติ และเป็นความกลมกลืนในเรื่องสีวรรณะเดยี วกนั ความกลมกลนื มี 2 แบบ คือ 3.1 ความกลมกลืนแบบคล้อยตามกัน หมายถึง การนารูปร่าง รูปทรง เส้น หรือสี ท่ีมี ลักษณะเดียวกันมาจัด เช่น วงกลมทั้งหมด สี่เหลี่ยมท้ังหมด ซึ่งแม้ว่าอาจจะมีขนาดที่แตกต่างกัน แต่เมื่อ นามาจดั เปน็ ภาพข้นึ มาแลว้ กจ็ ะทาใหค้ วามร้สู กึ กลมกลนื กนั 3.2 ความกลมกลืนแบบขัดแย้ง หมายถึง การนาเอาองค์ประกอบต่างชนิด ต่างรูปร่าง รปู ทรง ต่างสี มาจัดวางในภาพเดยี วกนั เช่น รูปวงกลมกบั รูปสามเหลี่ยม เส้นตรงกับเส้นโค้ง ซ่ึงจะทาให้เกิด ความขดั แย้งกันขน้ึ แตก่ ย็ ังใหค้ วามรสู้ กึ กลมกลืนกนั 4. ความขัดแย้ง (Contrast) ขัดแย้งดว้ ยรูปทรงขัดแยง้ ดว้ ยขนาดขัดแย้งด้วยเส้นขัดแยง้ ดว้ ยผิวขัดแยง้ ด้วยสี ความขัดแยง้ ท่ีกล่าวมาถูกจดั วางเพอ่ื ใหเ้ กิดความงามทางศลิ ปะ กฎเกณฑข์ องการขดั แย้ง (Opposition) มอี ยู่ 4 ลักษณะ คือ การขัดแยง้ ขององค์ประกอบทางศิลปะแตล่ ะชนิด และรวมถึงการขดั แยง้ กันของ องคป์ ระกอบ ต่างชนดิ กันด้วย การขดั แย้งของขนาด การขดั แย้งของทิศทาง การขัดแยง้ ของท่วี ่างหรอื จงั หวะ 5. การซ้า (Repetition) นับเป็นอีกวิธีหนึ่งในการจัดองค์ประกอบ ซึ่งโดยส่วนมากศิลปินมักจะนามาใช้ ประโยชน์ในงานศิลปะบอ่ ยครง้ั ไม่เวน้ แม้แตศ่ ิลปะภาพถ่าย ทจ่ี ัดเป็นทัศนศิลป์ (Visual Art) แขนงหนึ่งเองก็ หนีไม่พน้ ท่ีจะต้องได้รับอิทธิพลของการซ้าน้ีไปด้วย ภาพวตั ถุท่ีมี รูปทรง สี เส้น ต่างๆ ท่ีเหมือนกันมากกว่า หนึ่ง ผ่านการจัดวางด้วยมุมมอง การให้น้าหนักแสงเงา สมดุล เหล่าน้ีคือท่ีมาของการซ้าที่สวยงาม ในทาง ศลิ ปะเราแบ่งการซ้าไว้ด้วยกันถึง 3 ลกั ษณะครับ นั่นก็คือ การซ้าในเรื่องของเสน้ การซ้าในเร่ืองของสี และ การซ้าในเรื่องของรปู ทรง ลักษณะการซ้าในเร่ืองของเสน้ นนั้ จะเกดิ ขนึ้ จากพน้ื ทีข่ องสว่ นทเี่ ป็นแสงและเงาตัด กัน มีคา่ น้าหนักของแสงที่แตกต่างกัน หรือไล่ระดับกันไป สว่ นลักษณะการซ้าของสีนั้นกจ็ ะเปน็ ในเรื่องของ โทนสีต่างๆ ซ่งึ ผมเคยกลา่ วไปแล้วในบทความเรอ่ื งสี คงจะไมน่ ามาฉายซ้าเด๋ียวจะถูกมองว่าเอาของเก่ามาเล่า ใหม่ สรุปง่ายๆ คือการใช้โทนสที ใี่ กล้เคียงกันนั่นแหละ สาหรบั การซ้าในลกั ษณะของรปู ทรง อันนแ้ี หละครบั ท่ี
น่าสนใจ ทาไมหรือครับก็เพราะว่าการซ้าในเร่ืองของรูปทรงนี้สามารถส่ือออกมาได้ชัดเจนกว่าการซ้าใน ลักษณะของเส้น และสี และสามารถทาความเขา้ ใจได้งา่ ยกวา่ ด้วย การซา้ ทง้ั 3 ลกั ษณะ ท่ีกล่าวมาน้ีเมื่อแยก รูปแบบออกมาแล้วจะมีรูปแบบอยดู่ ้วยกันเพียงแค่ 2 รูปแบบของการซ้าเท่าน้ัน รูปแบบแรก เปน็ การซ้าของ วัตถุแบบเดยี วกัน ชนดิ เดียวกัน วางซา้ กนั โดยมีจังหวะท่ีสม่าเสมอกันอย่างเป็นระเบยี บ เราเรียกรูปแบบนว้ี ่า Pattern สาหรับรูปแบบที่ 2 เป็นการซ้าของวัตถุแบบเดียวกัน ชนิดเดียวกัน แต่วางซ้ากันโดยมีจังหวะที่ไม่ สม่าเสมอกัน ไม่เป็นระเบียบ รูปแบบนี้เราเรียกว่า (Repetition) ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็คือ (Repetition) นั้น เป็นการซ้าแบบไม่เป็นระเบียบ สว่ น (Pattern) เป็นการซา้ แบบมรี ะเบียบน่ันเอง ทาใหใ้ นบางครั้งก็เรียกการ ซ้าแบบ (Pattern) ว่า ลวดลาย เพราะด้วยจังหวะท่ีเป็นระเบียบสม่าเสมอนั่นเองการซ้านั้น จะว่าไปแล้วดู เหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างท่ีคิด ทาไมเหรอครับก็คุณเคยได้ยินคาว่า ภาพดูซ้าซากน่าเบ่ือ นั่นก็เป็น เพราะว่าในภาพผู้ถ่ายไม่ได้นาความงามจากการซ้ามาใชป้ ระโยชน์แต่อย่างใด ทาใหภ้ าพการซ้าของเราดูแล้ว นา่ เบื่อแทนทจ่ี ะชวนให้นา่ มอง 5.1 ลวดลาย (Pattern) ลวดลาย คือลักษณะรูปร่างรูปทรง เส้น รวมถึงส่ิงที่ปรากฏซ้าซ้อน เหมือนกันมาก ๆ ในพ้ืนที่ใกล้เคียงต่อเน่ืองกันหรือเรียงกันไปตามลาดับซึ่งจะพบเห็นเป็นประจาใน ชวี ิตประจาวนั ทง้ั ทม่ี นุษยส์ ร้างขึน้ และมีขึน้ เองตามธรรมชาติ เชน่ ลวดลายอิฐบนกาแพงรวั้ ทีเ่ รยี งซอ้ นกนั รถ ท่ีจอดเรียงรายกันหลาย ๆ คัน รถจักยานยนต์ท่ีเรียงกันเป็นแถว บางทีเรียกการจัดภาพถ่ายแบบน้ีว่าแบบ ซ้าซ้อนนิยมใช้ประกอบเป็นโครงสร้างหลักของภาพ ช่วยเน้นองค์ประกอบสาคัญที่ต่างกัน ข้อควรระวังคือ อย่าจัดภาพให้เกิดความสับสนควรสอดแทรกจุดเด่นของภาพเอาไว้ด้วย เช่น รูปทรงของเจดีย์มีลักษณะ คลา้ ยๆกัน และมีเณรเปฯ็ จุดเด่นของภาพ 6. จังหวะ (Rhythm) หมายถึง การเคล่ือนไหวท่ีเกิดจาการซ้ากันขององค์ประกอบ เป็นการซ้าที่เป็น ระเบียบ จากระเบียบธรรมดาที่มีช่วงห่างเท่าๆ กัน มาเป็นระเบียบที่สูงข้ึน ซับซ้อนขึ้นจนถึงขั้นเกิดเป็น รูปลักษณะของศิลปะ โดยเกิดจาก การซ้าของหน่วย หรือการสลับกนั ของหน่วยกับช่องไฟหรือเกิดจาก การ เลื่อนไหลต่อเนื่องกันของเส้น สี รูปทรง หรือ น้าหนัก รูปแบบๆ หน่ึง อาจเรียกว่าแม่ลาย การนาแม่ลายมา จดั วางซ้า ๆ กันทาใหเ้ กิดจงั หวะ และถ้าจดั จังหวะให้แตกต่างกันออกไป ด้วยการเว้นช่วง หรือสลบั ช่วง กจ็ ะ เกิดลวดลาย ที่แตกตา่ งกันออกไป ได้อยา่ งมากมาย แต่จังหวะของลายเป็นจังหวะอย่างง่าย ๆ ให้ความรู้สึก เพยี งผวิ เผิน และเบอื่ ง่าย เนอ่ื งจากขาดความหมาย เปน็ การรวมตัวของส่งิ ที่เหมือนกัน แต่ไมม่ คี วามหมายใน ตัวเอง จงั หวะท่ีน่าสนใจและมชี ีวิต ได้แก่ การเคลอื่ นไหวของ คน สตั ว์ การเติบโตของพืช การเต้นรา เปน็ การ เคลือ่ นไหวของโครงสร้างที่ให้ความบนั ดาล ใจในการสร้างรปู ทรงทมี่ คี วามหมาย เนื่องจากจังหวะของลายนั้น ซ้าตัวเองอยู่ตลอดไปไม่มีวันจบ และมีแบบรูปของการซ้า ที่ตายตัว แต่งานศิลปะแตล่ ะชิ้นจะตอ้ งจบลงอย่าง สมบูรณ์ และมีความหมายในตัว งาน ศิลปะทุกช้ินมีกฎเกณฑ์และระเบียบท่ีซ่อนลึกอยู่ภายใน ไม่สามารถ มองเห็นได้ชัดเจน งานชิ้นใดที่แสดงระเบียบกฎเกณฑ์ท่ีชัดเจนเกินไป งานช้ินนั้นก็จะจากัดตัวเอง ไม่ต่าง อะไรกบั ลวดลายทม่ี องเหน็ ได้งา่ ย ไม่มคี วามหมาย ใหผ้ ลเพียงความเพลิดเพลนิ สบายตาแก่ผู้ชม 7. จุดเด่น (Dominance) หมายถึงส่วนสาคัญท่ีปรากฏชัดสะดุดตาท่ีสุดในงานศิลปะ จุดเด่นจะช่วยสร้าง ความน่าสนใจในผลงานให้ภาพเขียนมีความสวยงาม มีชีวิตชีวาย่ิงข้ึน จุดเด่นเกิดจากการจัดวางท่ีเหมาะสม และรู้จักการเน้นภาพ (Emphasis) ที่ดจี ุดเด่นมี 2 แบบคอื 7.1. จุดเด่นหลกั เป็นภาพท่ีมีความสาคัญมากที่สดุ ในเรื่องทจ่ี ะเขียน แสดงออกถึงเร่อื งราวที่ชัดเจน เด่นชดั ทีส่ ดุ ในภาพ
7.2. จุดเด่นรอง เป็นภาพประกอบของจุดเด่นหลัก ทาหน้าท่ีสนับสนุนจุดเด่นหลัก ให้ภาพมีความ สวยงามยงิ่ ข้นึ เช่น ในภาพจดุ เด่นรองได้แก่ รปู เรือ 7.3. การเน้น (Emphasis) หมายถึง การกระทาให้เดน่ เป็นพเิ ศษกว่าธรรมดา ในงานศิลปะจะต้องมี ส่วนใดส่วนหน่ึง หรอื จดุ ใดจุดหนึ่ง ท่ีมีความสาคัญกว่าส่วนอื่น ๆ เป็นประธานอยู่ ถา้ ส่วนนัน้ ๆ อยู่ปะปนกับ ส่วนอ่ืน ๆ และมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ก็อาจถูกกลืน หรือ ถูกส่วนอื่นๆท่ีมีความสาคญั น้อยกว่าบดบงั หรือ แย่งความสาคญั ความน่าสนใจไปเสยี งานทไี่ ม่มจี ุดสนใจ หรือประธาน จะทาให้ดนู ่าเบือ่ เหมือนกับลวดลาย ท่ถี ูกจดั วางซ้ากันโดยปราศจากความหมาย หรือเรอ่ื งราวท่นี า่ สนใจดงั น้ัน สว่ นนั้นจึงต้องถกู เนน้ ให้เห็น เด่นชัดขึ้นมา เป็นพิเศษกว่าส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะทาให้ผลงานมีความงาม สมบูรณ์ ลงตัว และน่าสนใจมากข้ึน การเนน้ จดุ สนใจสามารถทาได้ 3 วธิ ี คอื 7.3.1. การเน้นด้วยการใชอ้ งค์ประกอบท่ีตัดกัน (Emphasis by Contrast) ส่ิงท่ีแปลกแตก ต่างไปจากส่วนอื่นๆ ของงาน จะเป็นจุดสนใจ ดังน้ัน การใช้องค์ประกอบที่มีลักษณะ แตกต่าง หรือขัดแย้ง กบั ส่วนอ่ืน กจ็ ะทาใหเ้ กิดจุดสนใจขึ้นในผลงานได้ แต่ท้ังนีต้ ้อง พิจารณาลักษณะความแตกต่างทีน่ ามาใช้ด้วย ว่า ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในส่วนรวม และทาให้เนื้อหาของงานเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยต้องคานึงว่า แม้มี ความขดั แย้ง แตก ตา่ งกันในบางสว่ น และในส่วนรวมยงั มีความกลมกลืนเปน็ เอกภาพเดียวกัน 7.3.2. การเน้นดว้ ยการด้วยการอยู่โดดเด่ียว (Emphasis by Isolation) เม่ือส่ิงหนงึ่ ถกู แยก ออกไปจากสว่ นอน่ื ๆ ของภาพ หรอื กลมุ่ ของมัน สิง่ น้นั ก็จะเป็นจุดสนใจ เพราะเมื่อ แยกออกไปแลว้ กจ็ ะเกิด ความสาคญั ข้ึนมา ซ่ึงเป็นผลจากความแตกต่าง ที่ไม่ใช่แตก ตา่ งด้วยรูปลักษณะ แต่เป็นเร่ืองของตาแหน่งที่ จัดวาง ซ่ึงในกรณนี ้ี รูปลักษณะนั้นไม่ จาเป็นต้องแตกต่างจากรูปอื่น แตต่ าแหนง่ ของมนั ได้ดึงสายตาออกไป จึงกลายเป็น จดุ สนใจข้นึ มา 7.3.3. การเน้นด้วยการจัดวางตาแหน่ง (Emphasis by Placement) เมื่อองค์ประกอบอ่ืน ๆ ช้ีนามายังจุดใด ๆ จุดน้ันก็จะเป็นจุดสนใจที่ถูกเน้นขึ้นมา และการจัดวางตาแหนง่ ที่ เหมาะสม กส็ ามารถ ทาให้จุดนัน้ เป็นจดุ สาคัญข้นึ มาได้เช่นกัน พึงเข้าใจว่า การเนน้ ไมจ่ าเป็นจะต้องช้แี นะให้เหน็ เด่นชัดจนเกินไป สิ่งที่จะต้อง ระลึกถึงอยู่เสมอ คือ เม่ือจัดวางจุดสนใจแล้ว จะต้องพยายามหลีกเล่ียงไม่ให้สิ่งอ่ืนมา ดึงความ สนใจออกไป จนทาให้เกิดความสับสน การเนน้ สามารถกระทาได้ด้วยองค์ ประกอบต่าง ๆ ของศิลปะ ไม่ว่า จะเป็น เส้น สี แสง-เงา รูปร่าง รูปทรง หรือ พื้นผิว ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความต้องการในการนาเสนอของศิลปินผู้ สร้างสรรค์ 8. ทศิ ทาง (Direction) การเคลื่อนไหวทีเ่ กิดข้ึนในงานทัศนศลิ ป์ ไมว่ ่าจะเป็นสาขาจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะ ภาพพิมพ์ หรืองานออกแบบใด ๆ ก็ตาม เป็นอารมณ์ความรู้สึกแก่ผู้ดูได้โดย รับรู้จากสิ่งท่ีอยู่น่ิง (Static) ได้ด้วย การเห็นหรือด้วยประสาท สัมผัสทางตา ว่าส่ิงนั้น มีการเคลื่อนไหว ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ เกิดข้ึนจริง เพราะงานทัศนศิลป์โดยทั่วไป จะไม่มีการเคล่ือนไหว แต่ลักษณะของทัศนธาตุ รวมท้ัง องคป์ ระกอบ ทางศิลปะ ทาให้รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหว ผ่านจักษสุ ัมผัส และความรู้สึกของการเคลอ่ื นไหวน้ัน ส่วนหน่ึง กเ็ กดิ จาก ประสบการจากการรบั รู้ ของมนุษย์จากธรรมชาติ เช่นเดยี วกัน การเคลอ่ื นไหว ที่เกดิ จาก ลกั ษณะของทัศนธาตุ รวมทง้ั องค์ประกอบทางศิลปะ อาจจะแบง่ ออกได้เป็น 3 ลักษณะคือ 8.1. การเคลื่อนไหวท่ีถ่วงดุลซึ่งกันและกันเป็นการเคลื่อนไหวมีการผลักและต้านพร้อม ๆ กัน เหมือนเรือกาลัง โต้กับคลื่นลม ในมหาสมุทร หรือคนกาลังต่อสู้ดึงดันกัน โดยที่ยัง ไม่มีผู้ใดเพล่ียงพล้า เป็น
การถ่วงดุลไม่ลม้ ไปขา้ งใดข้างหนึ่ง ให้ความรสู้ ึก ตงึ เครียด การเคล่ือนไหวลักษณะนี้ ให้ความรสู้ ึกเคลี่อนไหว ทร่ี นุ แรง กดดัน แตห่ ยุดนิง่ อยกู่ บั ที่ 8.2. การเคลื่อนไหวท่ีไม่มีแรงต้านทานเป็นการเคล่ือนไหวที่ไม่มีการต้านทาน ทาใมีการเคล่ือนไหว ผ่านไป ได้โดยตลอด เช่นเดียวกับการว่ิงของรถ ท่ีผ่านไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวลักษณะน้ี ให้ ความรสู้ ึกเคล่อี นไหวทีร่ วดเรว็ รนุ แรง ไม่หยุดนงิ่ มกี ารเคลอ่ื นไหวตลอดเวลา 8.3. การเคล่ือนไหวท่ีซ้าและผอ่ นคลายเปน็ การเคลื่อนไหวท่ีมพี ลังน้อย เฉ่ือย ผ่อนคลาย มืลักษณะ เป็นการซ้า เป็นลาดับ อย่างต่อเน่ือง เหมือนเม่ือทานบหรือเขื่อนพัง ในช่วงแรกพลังน้า จะไหลบ่าอย่าง รวดเร็วลงไปสู่ระดับน้าที่ต่ากว่า แต่เมื่อระดับนา้ สองข้างอยู่ใน ระดับท่ีใกล้เคียงกันแล้ว จังหวะการไหลของ นา้ กเ็ ฉือ่ ยลง จงั หวะของคลน่ื กม็ ีการซ้า อยา่ งเปน็ ระเบยี บ 9. การลดหลั่นหรือการแปรเปลี่ยน (Gradation) คือการเปลี่ยนแปลง การกระจาย หรือการ ลดหล่ันของ ส่วนประกอบ มูลฐานของทัศนศิลป์ ได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง พ้ืนผิว ขนาด น้าหนักอ่อนแก่ สี จากสภาพ หน่ึง ไปสู่อีกสภาพ หน่ึง และระหว่างสภาพท้ังสองนี้ มีการแปรเปลี่ยนท่ีต่อเนื่อง สัมพันธ์กัน โครงสร้างมูล ฐานของการแปรเปลย่ี นเกดิ จากจังหวะการซ้า (Repetition) แต่การซา้ น้ี มกี ารแปรเปลย่ี นแตกตา่ งกนั ออกไป มากมาย เป็นการคล่ีคลาย จากสภาพหนึ่ง ไปสู่อีกสภาพหนึ่ง แต่ถึงจะมีการแปรเปล่ียนอย่างไร สภาพเดิม เช่นรูปร่าง รูปทรง หรือโครงสร้าง ยังคงมีเคา้ ของเดิมอยู่ ยังมองออกว่ามกี ารคลี่คลายมาจากอะไร เปรยี บกับ เสียงทานองดนตรี จะทีท่อนซ้า ท่อนแยกที่ซ้าและแปรเปล่ียนไปตลอดเวลา แต่ยังคงสภาพทานองหลัก (Theme) ไว้เสมอในงานทัศนศิลป์การแปรเปลี่ยนน้ี ให้ความรู้สึกและปฎิกริยา (Effect) ทางจิตวิทยาและ การมองเห็นหลายประการ ซ่ึงจะมีความเกีย่ วข้อง สัมพันธ์กับทัศนธาตุ และ องคป์ ระกอบทัศนศิลป์ในข้ออ่ืน ๆ อีกด้วย เช่น การแปรเปลี่ยนของขนาด และทิศทาง ทาให้เกิดระยะความลึก เป็นทัศนียภาพ (Linear Perspective) การลดหล่ันของสี จากสีโทนร้อนมาโทนเย็น และจากสีเข้ม มายังสีอ่อน สร้างระยะความลึก ของบรรยากาศ (Arial Perspective) การแปรเปลี่ยน ยังสามารถ สร้างจุดเด่น หรือจุดสนใจ และสร้าง ความรู้สึกของการเคล่ือนไหวได้ เช่น การลดหล่ัน หรือการไล่น้าหนักแก่ มายังน้าหนักอ่อน ทาให้สายตา เคลื่อนไหว ไล่ตามน้าหนักนั้น การแปรเปลี่ยน เป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็นองค์ประกอบหน่ึง ของจังหวะ (Rythmn) ทัศนศิลป์ คือ กระบวนการถ่ายทอดผลงานทางศิลปะ การทางานศิลปะอย่างมีจิตนาการความคิด สร้างสรรคม์ ีระบบระเบียบเป็นข้ันเปน็ ตอนการสร้างสรรค์งานอย่างมีประสิทธิภาพสวยงาม มีการปฏบิ ัตงิ าน ตามแผนและมีการพัฒนาผลงานให้ดีข้ึนต่อเนื่อง ทัศนศิลป์คือการรับรู้ทางจักษุประสาท โดยการมองเห็น สสาร วตั ถุ และสรรพสิ่งต่างๆ ทีเ่ ข้ามากระทบ รวมถึงมนุษย์ และสัตว์ จะด้วยการหยุดน่ิง หรือเคล่ือนไหวก็ ตาม หรือจะด้วยการปรุงแต่ง หรือไม่ปรุงแต่งก็ตาม ก่อให้เกิดปัจจัยสมมุติต่อจิตใจ และอารมณ์ของมนุษย์ อาจจะเปน็ ไปในทางเดียวกันหรือไม่กต็ าม ทัศนศิลป์เป็นการแปลความหมายทางศิลปะ ที่แตกต่างกันไปแต่ ละมุมมอง ของแต่ละบุคคล ในงานศิลปะชิ้นเดียวกัน ซ่ึงไร้ขอบเขตทางจินตนาการ ไม่มีกรอบท่ีแน่นอน ขน้ึ กับอารมณข์ องบุคคลในขณะทัศน์ศลิ ป์นั้น แนวคิดทัศนศิลป์เป็นศิลปะทรี่ ับรไู้ ด้ด้วยการมอง ไดแ้ ก่รปู ภาพ วิวทวิ ทศั น์ทวั่ ไปเปน็ สาคญั อันดับตน้ ๆ รูปภาพคนเหมือน ภาพลอ้ ภาพส่งิ ของตา่ งๆก็ล้วนแลว้ แต่เป็นเรอื่ งของ ทัศนศลิ ปด์ ้วยกันท้ังสนิ้ ซง่ึ ถ้ากลา่ ววา่ ทศั นศลิ ป์เป็นความงามทางศิลปะท่ไี ด้จากการมอง หรอื ทศั นา นน่ั เอง 1. จุด (Dot) หมายถึง รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลมๆ ปรากฏที่ผิวพื้น ไม่มีขนาด ความกว้าง ความยาว ความหนา เป็นส่ิงท่ีเล็กที่สุดและเป็นธาตุเร่ิมแรกที่ทาให้เกิดธาตุอ่ืนๆ ข้ึนซ่ึงไม่มี มิติ ยกเว้นแต่กว่าถ้าจุดมี
ขนาดใหญ่ก็จะสามารถหาขนาดได้ จดุ เมื่อนามาเรยี งตอ่ เนอ่ื งกันก็สามารถก่อให้เกิดเส้นได้ ถ้านามาเรยี งตอ่ ๆ กันหลายๆ เส้นก็สามารถเป็นรูปทรง ลักษณะพ้ืนผิว และนอกจากน้ียังสามารถทาให้เกิดความอ่อนแก่ของ โทนสไี ดเ้ มอื่ เรากาหนดจุด 1 จุดในพืน้ ที่วา่ งๆ เราก็จะได้จดุ รวมสายตา (Centralized) เน่อื งจากจดุ ทาให้เกิด ความหยดุ นงิ่ ไม่มกี ารเคล่ือนไหว (Static) ไม่มีทศิ ทางจุดทเ่ี กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ คอื จุดทเี่ กิดขึ้นจากลวย ลายของสัตว์ พืชผักผลไม้ จุดท่ีมนุษย์สร้างข้ึน คือ จุดท่ีได้จากการสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ เช่นการจุด การวาง การกระแทก ทาให้เกิดจุดในภาพถ่ายน้ันเจุดน้ันได้หลายแบบ เช่นความไกลของวตั ถุจากตวั กล้อง ทาให้เรา มองเห็นวตั ถุเปน็ จุดไกลออกไป จุดทีเ่ กิดจากโบเก (Bokeh) ทเ่ี กดิ จากแสงท่สี อ่ งเขา้ มาจากด้านหลังนอกระยะ โพกัส จนทาใหเ้ กดิ วงกลมที่สวยงาม รวมทั้งวัตถุท่ีอยู่ระหว่างจดุ โพกสั กบั กล้อง ด้วยนะยะห่างทาให้วตั ถุท่อี ยู่ ด้านหน้าเป็นวงกลมทสี่ วยงามเชน่ กนั 2. เส้น (Line) คือ จุดหลายๆ จุดต่อกันเปน็ สาย เป็นแถวแนวไปในทิศทางใดทิศทางหนึง่ เป็นทางยาวหรอื จุด ท่ีเคลื่อนท่ีไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งด้วยแรงผลักดัน หรือรอยขูดขีดเขียนของวัตถุเป็นรอยยาว ร่องรอยท่ี เกดิ จากเคล่อื นทข่ี องจุด หรอื ถ้าเรานาจุดมาวางเรยี งตอ่ ๆ กันไป ก็จะเกิดเป็นเส้นข้ึนเสน้ มมี ิตเิ ดียว คอื ความ ยาว ไมม่ ีความกว้าง ทาหน้าที่เป็นขอบเขต ของที่วา่ ง รูปร่าง รูปทรง นา้ หนัก สี ตลอดจนกลุม่ รูปทรงต่าง ๆ รวมท้งั เปน็ แกนหรือ โครงสร้างของรูปรา่ งรูปทรง เสน้ เป็นพนื้ ฐานทีส่ าคัญของงานศิลปะทกุ ชนิด เส้นสามารถ ให้ความหมาย แสดง ความรู้สึก และอารมณ์ได้ด้วยตัวเองและด้วยการสร้างเป็นรูปทรงต่าง ๆ ข้ึน เส้นมี 2 ลักษณะคือ เส้นตรง (Straight Line) และ เส้นโค้ง (Curve Line) เส้นทั้งสองชนิดน้ี เมื่อนามาจัดวางใน ลกั ษณะต่าง ๆ กนั จะมีชอ่ื เรยี กต่าง ๆ และให้ความหมาย ความรูส้ ึก ที่แตกตา่ งกนั อกี ด้วยลกั ษณะของเสน้ 2.1. เสน้ ตงั้ หรือ เส้นดิง่ ให้ความรูส้ กึ ทางความสงู สงา่ มนั่ คง แข็งแรง หนกั แน่น เป็นสัญลักษณข์ อง ความซื่อตรง 2.2. เสน้ นอน ให้ความรูส้ กึ ทางความกว้าง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผ่อนคลาย 2.3. เส้นเฉยี ง หรือ เส้นทะแยงมมุ ใหค้ วามร้สู กึ เคลือ่ นไหว รวดเร็ว ไม่มั่นคง 2.4. เส้นหยัก หรือ เส้นซิกแซก แบบฟันปลา ใหค้ วามรู้สกึ คลื่อนไหว อย่างเป็น จังหวะ มรี ะเบียบ ไมร่ าบเรยี บ นา่ กลัวอันตราย ขัดแย้ง ความรนุ แรง 2.5. เส้นโค้ง แบบคลนื่ ให้ความรูส้ กึ เคลอ่ื นไหวอยา่ งช้า ๆ ลน่ื ไหล ต่อเน่อื ง สุภาพ อ่อนโยน นมุ่ นวล 2.6. เส้นโค้งแบบกน้ หอย ให้ความรสู้ ึกเคล่ือนไหว คล่ีคลาย หรือเติบโตในทิศทางที่ หมุนวนออกมา ถา้ มองเขา้ ไปจะเห็นพลงั ความเคล่อื นไหวที่ไมส่ ้ินสุด 2.7. เส้นโค้งวงแคบ ให้ความรู้สึกถึงพลังความเคลื่อนไหวท่ีรุนแรง การเปล่ียนทิศทาง ท่ีรวดเร็ว ไม่ หยดุ น่ิง 2.8. เสน้ ประ ให้ความรสู้ กึ ที่ไม่ต่อเนื่อง ขาด หาย ไม่ชดั เจน ทาใหเ้ กดิ ความเครียด ความสาคัญของเส้น ใช้ในการแบ่งท่ีว่างออกเป็นสว่ นๆ กาหนดขอบเขตของท่ีว่าง หมายถึง ทาให้ เกิดเป็นรูปร่าง (Shape) ขึ้นมากาหนดเส้นรอบนอกของรูปทรง ทาให้มองเห็นรูปทรง (Form) ชัดข้ึน ทา หน้าที่เป็นน้าหนักออ่ นแก่ ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาด้วยเส้น ให้ความรู้สึกด้วยการเปน็ แกนหรือ โครงสร้างของรูป และโครงสร้างของภาพ 3.รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกทางกายภาพของวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้ คน สัตว์ และ พืช มี ลักษณะเปน็ 2 มิติ มีความกว้างและความยาวรปู รา่ ง แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื
3.1. รูปร่างธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถึง รูปร่างท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น คน สตั ว์ และพืช เป็นตน้ 3.2.รูปร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถงึ รูปร่างท่มี นษุ ยส์ รา้ งข้นึ มโี ครงสร้างแน่นอน เชน่ รปู สามเหลี่ยม รปู ส่เี หล่ยี ม และรูปวงกลม เปน็ ต้น 3.3. รูปร่างอสิ ระ (Free Shape) หมายถึง รูปร่างทเ่ี กิดขน้ึ ตามความตอ้ งการของผู้สร้างสรรค์ ให้ ความรู้สึกท่เี ป็นเสรี ไม่มีโครงสรา้ งท่ีแน่นอนของตัวเอง เป็นไปตามอทิ ธิพลของสง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ รูปร่างของ หยดน้า เมฆ และควัน เป็นตน้ 4. รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฎแก่สายตาในลักษณะ 3 มิติ คือมีท้ัง ส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนหนาหรือลึก คือ จะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง มีเน้ือท่ีภายใน มีปริมาตร และมี น้าหนัก 5. แสงและเงา (Light and Shade) แสง หมายถึง แสงเป็นส่วนทส่ี าคญั ท่สี ุดเพราะเป็นต้นกาเนิดท่ีทาให้ เกิดภาพที่ตาของเราสามารถมองเห็น แสงท่ีเราเห็นเป็นสีขาวประกอบด้วยคล่ืนแสงของสีหลาย ๆ สีมา รวมกัน เม่ือแสงเดินทางไปกระทบวัตถุหน่ึง ๆ คล่ืนแสงของสบี างสีถูกวัตถดุ ูดกลืนไปและสะท้อนคล่นื แสงสี อื่นเข้าสู่ตาเราทาให้เรามองเห็นวัตถุเป็นสีน้ัน การท่ีตาของเราเห็นความเข้มของแสงที่บริเวณต่าง ๆ บนผิว ของวัตถุไม่เทา่ กันเนอื่ งมาจากระยะหา่ งระหว่างแหล่งกาเนิดแสงกับผิวของวัตถทุ ี่บรเิ วณต่าง ๆ ยาวไม่เท่ากัน และระนาบของผิวของวัตถุทามุมกับแหล่งกาเนิดแสงไม่เท่ากัน บริเวณที่สว่างท่ีสุดบนผิววัตถุเรียกว่า Highlight ส่วนบริเวณของวัตถุท่ีไม่ถูกแสงกระทบจะพบกับความมืด ความมืดบนผิวของวัตถุจะมีมากหรือ น้อยขึ้นอยู่กับว่ามีแสงจากที่ใดท่ีหนึ่งมากระทบน้อยหรือมาก บริเวณท่ีมืดท่ีสุดบนผิววัตถุเรียกว่า (High Shade) การท่ีแสงส่องมายังวัตถุ จะถูกตัววัตถุบังไว้ทาให้เกิดเงาของวัตถุไปปรากฏบนพ้ืนท่ีที่วางวัตถุนั้น บริเวณของเงาจะแบ่งได้เป็น 3 ส่วน ส่วนที่มดื ที่สุดเรียกว่า Umbra ส่วนท่ีมืดปานกลางเรียกว่า Penumbra ส่วนที่มืดน้อย เป็นวงจางๆ ถัดจาก Penumbra เรียกว่า Antumbra ซ่ึงบางคร้ังจะไม่ปรากฏชั้นของ Antumbra ให้เหน็ สิง่ ทีป่ รากฏอยทู่ วั่ ไปรอบๆ ตัวเรา ไมว่ ่าจะเป็นสีทเี่ กดิ ขน้ึ เองในธรรมชาติ หรือ ส่งิ ที่มนุษย์ สร้างขึ้น สีทาให้เกดิ ความรู้สึกแตกต่างมากมาย เช่น ทาให้รู้สึกสดใส รา่ เริง ตื่นเต้น หม่นหมอง หรือเศร้า ซึมได้ เป็นต้น สีและการนาไปใช้ แสงและเงา (Light & Shade) เป็นองค์ประกอบของศิลป์ที่อยู่คกู่ ันแสงเม่ือ ส่องกระทบกับวัตถุจะทาให้เกิดเงา แสงและเงาเปน็ ตวั กาหนดระดบั ของคา่ นา้ หนัก ความเขม้ ของเงาจะขนึ้ อยู่ กับความเข้มของแสง ในทีท่ ม่ี ีแสงสวา่ งมาก เงาจะเขม้ ขึน้ และในที่ท่ีมีแสงสวา่ งนอ้ ยเงาจะไม่ชดั เจนในทท่ี ีไ่ ม่มี แสงสว่างจะไม่มเี งาและเงาจะอยใู่ นทางตรงข้ามกับแสงเสมอ คา่ นา้ หนักของแสงและเงาที่เกิดบนวัตถุสามารถ จาแนกเปน็ ลกั ษณะที่ ต่าง ๆ ได้ดังนี้ 5.1. บริเวณแสงสว่างจัด (Hi-light) เป็นบริเวณท่ีอยู่ใกล้แหล่งกาเนิดแสงมากท่ีสุดจะมีความสว่าง มากทีส่ ุดในวัตถทุ ี่มผี ิวมันวาวจะสะทอ้ นแหล่งกาเนดิ แสงออกมาใหเ้ ห็นได้ชดั 5.2. บริเวณแสงสว่าง (Light) เป็นบริเวณที่ได้รับแสงสว่างรองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจัด เนื่องจากอยหู่ ่างจากแหล่งกาเนดิ แสงออกมาและเริ่มมคี ่านา้ หนกั ออ่ น ๆ 5.3. บริเวณเงา (Shade/Dark/Shadow) เป็นบริเวณท่ีไม่ได้รบั แสงสว่าง หรอื เปน็ บริเวณท่ีถูกบดบัง จาก แสงสวา่ ง ซ่ึงจะมคี า่ น้าหนกั เขม้ มากขึน้ กวา่ บรเิ วณแสงสว่าง
5.4. บริเวณเงานเข้มจัด (Hi-Shade/Darkest/core of shadow) เป็นบริเวณที่อยู่ห่างจาก แหล่งกาเนดิ แสงมากที่สดุ หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบังมาก ๆ หลาย ๆ ช้นั จะมคี า่ น้าหนกั ท่ีเขม้ มากไปจนถงึ เข้ม ทสี่ ดุ 5.5. แสงสะท้อน (Reflected Light) เป็นบริเวณของวัตถุที่ไม่ได้กระทบแสงโดยตรง หากอยู่ใน ตาแหนง่ ทีเ่ ป็นเงาแต่ถูกแสงสะทอ้ นจากวตั ถทุ ีอ่ ยใู่ กลๆ้ กันมากระทบ นา้ หนกั ของบรเิ วณนจ้ี ะออ่ นกว่าบรเิ วณ ที่เป็นเงา คา่ ของแสงสะท้อนจะให้ความรู้สึกในภาพมมี ิติ มมี วลสาร มีชวี ิตชีวา ดูเหมอื นมีอากาศอยรู่ อบๆ 5.6. บริเวณเงาตกทอด (Cast Shadow) เป็นบรเิ วณของพนื้ หลงั ทีเ่ งาของวตั ถทุ าบลงไปเป็นบริเวณ เงาทอ่ี ย่ภู ายนอกวตั ถุ และจะมคี วามเขม้ ของคา่ น้าหนักขนึ้ อยูก่ ับความเข้มของเงานา้ หนักของพ้ืนหลงั ทศิ ทาง และระยะของเงาความสาคัญของค่าน้าหนักให้ความแตกตา่ งระหวา่ งจุดเด่นและพืน้ ผิว(Texture) หรอื รูปทรง กับทีว่ ่าง ให้ความรูส้ กึ เคล่อื นไหว ให้ความรู้สึกเป็น 2 มิติ แกร่ ปู ร่าง และความเป็น 3 มติ ิแก่รูปทรง ทาให้เกิด ระยะความต้ืน – ลึก และระยะใกล้ – ไกล ทาให้เกิดความกลมกลืนประสานกันของภาพ ดังน้ันในการ ออกแบบเรามัก จาลองแสงออกมาเป็นสีเพ่อื สร้างมิติและความหมายท่ีต้องการส่ือให้เกิดความรับรู้, และอา รมต่างๆ 6. สี (Color) เป็นส่วนประกอบที่สาคัญในการทางานศิลปะ สีจะชว่ ยให้เกดิ ความน่าสนใจ และมีชีวติ ชีวาแก่ ผู้ท่ีได้พบเห็น อีกท้ังยังให้ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ด้วย สีจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์เราเป็นอันมาก สี คือ ลักษณะความเข้มของแสงที่ปรากฏแก่สายตาให้เห็นเป็นสี โดยผ่านกระบวนการรับรูด้ ้วยตามองจะรับข้อมูล จากตาโดยท่ีตาได้ผ่านกระบวนการวิเคราะหข์ ้อมูลพลังงานแสงมาแล้ว ผ่านประสาทสัมผสั การมองเห็น ผา่ น ศูนย์สับเปลี่ยนในสมองไปสู่ศูนย์การมองเห็นภาพ การสร้างภาพหรือการมองเห็นก็คือื การที่ข้อมูลได้ผ่าน การวิเคราะห์แยกแยะให้เรารับรูถ้ ึงสรรพสง่ิ รอบตัวการตรวจวัดคล่ืนแสงเริม่ ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี 1928 ไรท์ (W.D.Wright) และกิลด์(J.Guild) ประสบความสาเร็จในการตรวจวัดคลื่นแสงคร้ังสาคัญ และได้รับการรับรองจาก (Commission Internationale de l ‘Eclairage) หรือ CIE ในปี 1931 โดยถือว่า เป็นการตรวจวัดมาตรฐานสามเหล่ียมสี CIE เป็นภาพแสดง รูปสามเหลี่ยม เกือกม้า นาเสนอไว้ในปี 1931 โดยการวิเคราะห์สีจากแสงสเปคตรัม สัมพันธ์กับความยาวคลื่นแสง แสดงถึงแสงสีขาวท่ามกลางแสง สเปคตรัมรอบรูปเกือกม้าโค้งรูปเกือกม้าแสดงความยาวคลื่นจาก 400- 700 mu สามเหล่ียมสี CIEสร้างขึ้น ตามระบบความสัมพันธ์พิกัด X และ Y คาร์เตเชียน ในทางคณิตศาสตร์จากมุมตรงข้าม 3 มุม ของรูปเกือก ม้า คือสีน้าเงินม่วงเข้มประมาณ 400 mu สเี ขียวประมาณ 520 mu และสแี ดงประมาณ 700 mu คือสีจาก แสง ที่จะนามาผสมกันและก่อให้เกิดสีต่างๆ ขึ้นแสงสีแดง มีความยาวคล่ืนสูงสดุ แต่มคี วามถคี่ ล่ืนต่าสุด จะ หักเหได้น้อยที่สุดและแสงสีม่วงจะมีความยาวคลื่นน้อยสุด แต่มีความถี่คล่ืนสูงสุด และหักเหได้มากท่ีสุด โครงสร้างของสามเหลี่ยมสี CIE นี้ มิได้ข้ึนอยู่กับทฤษฎีใดทฤษฎีหน่ึง แต่เกิดจากการทดลอง ค้นคว้าทาง วทิ ยาศาสตร์ ระบบการพิมพอ์ ุตสาหกรรม การถ่ายภาพ ภาพยนตร์โทรทัศน์ ได้ใช้โครงสรา้ งสีนี้เปน็ หลัก ใน ระบบการพมิ พ์ได้ใชส้ ีจากดา้ น 3 ด้านของรปู เกือกมา้ คือ สเี หลอื ง ฟ้า สีมว่ งแดงและสดี าเปน็ หลักส่วน ในการ ถา่ ยภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ ใชส้ จี ากมุมท้ังสาม คอื แดง เขียว น้าเงิน เปน็ หลัก ในราวปี ค.ศ. 1666 เซอร์ ไอแซค นิวตันได้แสดงให้เห็นว่า สีคือส่วนหนึ่งในธรรมชาติของ แสงอาทิตย์ โดยให้ลาแสงส่องผ่านแท่งแก้วปริซึม แสงจะหักเห เพราะแท่งแก้วปริซึมความหนาแน่น มากกว่าอากาศ เมื่อลาแสงหักเหผ่านปริซึมจะปรากฏแถบสีสเปคตรัม( Spectrum) หรือท่ีเรียกว่า สีรุ้ง (Rainbow) คอื สีม่วง คราม นา้ เงนิ เขียว เหลือง แสด แดง เมือ่ แสงตกกระทบโมเลกลุ ของสสาร พลงั งาน
บางส่วนจะดูดกลืนสี จากแสงบางส่วน และสะท้อนสีบางสีให้ปรากฏเห็นได้ พ้ืนผิววัตถุท่ีเราเห็นเป็นสีแดง เพราะวัตถุดดู กลืนแสงสี อ่ืนไว้ สะท้อนเฉพาะแสงสีแดงออกมา วัตถุสีขาวจะสะท้อนแสงสีทุกสี และวัตถุสี ดา จะดูดกลืนทุกสี จากทฤษฎีการการหักเหของแสงของ ของนิวตัน และจากสามเหล่ียมสี CIE พบว่า แสงสี เป็นพลังงานเพียง ชนิดเดียวที่ปรากฏสี จากด้านทั้ง 3 ด้านของรูปสามเหลี่ยมสี CIE นักวิทยาศาสตร์ได้ กาหนดแม่สีของแสงไว้ 3 สี คือ สีแดง ( Red ) สีเขียว (Green) และสีน้าเงิน ( Blue ) แสงทั้งสามสี เม่ือ นามาฉายส่องรวมกัน จะทาให้เกดิ สีต่าง ๆ ข้ึนมา คือ แสงสีแดง + แสงสเี ขยี ว = แสงสีเหลอื ง ( Yellow ) แสงสแี ดง + แสงสนี า้ เงนิ = แสงสแี ดงมาเจนตา ( Magenta) แสงสนี ้าเงนิ + แสงสเี ขียว = แสงสฟี า้ ไซแอน ( Cyan ) ถา้ แสงสที ั้งสามสีฉายรวมกัน จะได้แสงสีขาว หรือ ไม่มสี ี เราสามารถสังเกตแม่สีของแสง ได้จาก โทรทัศน์สี หรือจอคอมพิวเตอร์สี โดยใช้แว่นขยายส่องดูหน้าจอจะเห็นเป็นแถบสีแสงสว่าง 3 สี คือ แดง เขยี ว และนา้ เงิน นอกจากนีเ้ ราจะสงั เกตเห็นวา่ เคร่ืองหมายของสถานโี ทรทัศนส์ ี หลาย ๆ ช่อง จะใชแ้ ม่ สขี องแสง ด้วยเช่นกนั ทฤษฎีของแสงสนี ้ี เป็นระบบสที ีเ่ รียกว่า RGB ( Red – Green – Blue ) เราสามารถ นาไปใช้ในการ ถ่ายทาภาพยนตร์ บนั ทึกภาพวิดีโอ การสร้างภาพ เพอื่ แสดงทางคอมพิวเตอร์ การจัดไฟ แสงสใี นการแสดง การจดั ฉากเวที เป็นต้น แสงสที เ่ี ปน็ แมส่ ี คอื สแี ดง นา้ เงนิ เขยี ว จะเรียกวา่ สีพื้นฐานบวก ( Additive primary colors ) คือ เกิดจากการหักเหของแสงสีขาว ส่วนสีใหม่ท่ีเกิดจากการผสมกันของแม่สีของแสงท้ังสามสี จะเรียกว่า สี พ้ืนฐานลบ (Subtractive primary colors) คือ สีฟ้าไซแอน (Cyan) สีแดงมาเจนต้า (Magenta) และสี เหลือง (Yellow) ท้ังสามสีเปน็ แม่สีแมใ่ ช้ในระบบการพิมพ์ออฟเซท หรอื ทเี่ รียกว่า ระบบสี CMYK โดยท่ีมีสี ดา (Black) เพ่ิมเข้ามา แสงสีกับการมองเห็นสีต่างๆ จะเปล่ียนไปตามสภาพแวดล้อมของสี และยังข้ึนอยู่ สภาพของแสงด้วย โดยท่ีในที่มีแสงว่างจัดๆ สีจะดูอ่อนลง ในที่ท่ีมีแสงสว่างน้อยลงสีก็จะเข้มข้ึนด้วย และในท่ีไม่มีแสงสว่างเลยเราจะมองเห็นสีต่างๆ เป็นสีดา ถึงแม้จะมีความเข้มของแสงเหมือนกัน แต่ถ้ามี สภาพแวดล้อมของสแี ตกต่างกนั เช่น สีแสดทีอ่ ย่บู นพื้นสีดา จะดอู ่อนกว่า สีแสดทอ่ี ยบู่ นพน้ื สขี าวและสีทอ่ี ยู่ บนพ้ืนสีต่างๆ กันก็จะดูมีความเข้มต่างกัน สีที่บนพื้นสีเข้มจะมองเห็นเด่นชัดกว่าสี ที่อยู่บนพื้นสีสว่าง เนื่องจากสีดาไม่สะทอ้ นแสงสีตา่ ง ๆ ทาให้ไม่รบกวนการมองเห็นการมองเหน็ ของสตี รงข้าม การใชส้ ีตรงข้าม กันมาใช้ร่วมกันโดยนามาวางอยู่เคียงคู่กัน ท้ังสองสีจะส่งผลต่อคู่สีอีกสีหนึ่ง เราจะเห็นว่า สีเขียวที่อยู่บนสี แดงจะดูมขี นาดใหญ่กว่าสีแดง ทอ่ี ยู่บนสเี ขยี ว ทั้งสองสีตา่ งหกั ลา้ งค่าความเข้มของสีซึ่งกันและกัน จะทาให้ไม่ ดสู ดใสเท่าท่ีควรปรากฏการณ์อกี อย่างหนึ่งของสีตรงข้าม คือ ภาพติดตา (After Image) โดยการจ้องมองสี ใด สีหนึ่งท่สี ดจดั ในท่ีมีแสงสว่างจา้ สักครู่ จากนัน้ ไปจ้องมองท่กี ระดาษสีขาว จะปรากฏสีตรงขา้ ม ของสนี ัน้ ๆ ข้ึนที่กระดาษสีขาวซ่ึงเกิดจากอิทธิพลความแรงของสี ภาพติดตาอีกลกั ษณะหนง่ึ ก็คอื สีขาวกับสีดาจากภาพ เส้นตารางสีขาวบนพื้นสีดา จะมองเห็นจุดตัดแนวตั้งกับแนวนอน ของเส้นตารางสีขาว มีสีเทาๆ ลักษณะ เชน่ นี้เกดิ จากอิทธพิ ลของสี ตรงข้ามที่อยูข่ ้างเคียงคอื สดี าและรูปสขี าวบนพื้นดา จะดูใหญก่ ว่ารปู สดี าที่อยพู่ ื้น ขาว ระบบสี ระบบสี RGB เป็นระบบสีของแสง ซ่ึงเกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม จะเกิด แถบสีทเี่ รยี กว่า สีรงุ้ (Spectrum) ซึ่งแยกสีตามที่สายตามองเห็นได้ 7 สี คือ แดง แสด เหลือง เขียว น้าเงิน คราม ม่วง ซึ่งเป็นพลงั งานอยใู่ นรปู ของรังสี ท่ีมชี ว่ งคลน่ื ท่สี ายตา สามารถมองเหน็ ได้ แสงสีมว่ งมีความถีค่ ลื่น สงู ที่สุด คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วง เรียกว่า อุลตราไวโอเลต (Ultra Violet) และคลื่นแสงสีแดง มี
ความถี่คลนื่ ต่าที่สุด คล่นื แสง ทตี่ ่ากวา่ แสงสีแดงเรยี กว่า อินฟราเรด( Infrared) คล่ืนแสงท่ีมีความถ่ีสูงกวา่ สี มว่ ง และตา่ กว่าสีแดงนั้น สายตาของมนษุ ยไ์ ม่สามารถรับได้ และเมื่อศึกษาดแู ล้วแสงสีท้ังหมดเกดิ จาก แสงสี 3 สี คือ สีแดง (Red) สีน้าเงิน (Blue) และสีเขียว (Green)ทั้งสามสีถือเป็นแม่สีของแสง เมื่อนามาฉาย รวมกันจะทาให้เกิดสีใหม่ อีก 3 สี คือ สแี ดงมาเจนต้า สีฟา้ ไซแอน และสีเหลือง และถ้าฉายแสงสีทั้งหมด รวมกันจะได้แสงสีขาว จากคุณสมบัติของแสงน้ีเรา ได้นามาใช้ ประโยชน์ทั่วไป ในการฉายภาพยนตร์ การ บันทึกภาพวิดีโอ ภาพโทรทัศน์ การสร้างภาพเพื่อการนาเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจดั แสงสีในการ แสดง เป็นต้น ระบบสี CMYK เป็นระบบสีชนิดท่ีเป็นวัตถุ คอื สแี ดง เหลือง น้าเงิน แต่ไม่ใช่สนี ้าเงิน ท่ีเป็นแม่ สวี ัตถธุ าตุ แม่สีในระบบ CMYK เกิดจากการผสมกันของแมส่ ีของแสง หรือ ระบบสี RGB คอื แสงสีน้าเงนิ + แสงสีเขียว = สีฟ้า (Cyan) แสงสีน้าเงนิ + แสงสีแดง = สแี ดง (Magenta) แสงสีแดง + แสงสเี ขยี ว = สีเหลือง (Yellow) สฟี า้ (Cyan) สีแดง (Magenta) สีเหลือง (Yellow) นนี้ ามาใช้ในระบบการพิมพ์และ มีการเพ่ิมเติม สดี าเข้า ไป เพือ่ ใหม้ นี า้ หนักเขม้ ขึน้ อกี เม่ือรวมสีดา (Black = K) เขา้ ไปจึงมีสสี่ ี โดยท่วั ไปจงึ เรยี กระบบการพมิ พน์ ้ี ว่ า ระบบการพมิ พ์สี่สี (CMYK) ระบบการพิมพส์ ี่สี (CMYK) เป็นการพมิ พ์ภาพในระบบทที่ ันสมัยที่สดุ และได้ภาพ ใกล้เคียงกับภาพถ่ายมากท่ีสุด โดยทาการพิมพ์ทีละสีจากสีเหลือง สีแดง สีน้าเงินและสีดา ถ้าลองใช้แว่น ขยายส่องดู ผลงานพิมพ์ชนิดน้ี จะพบว่า จะเกิดจากจุดสีเล็กๆ ส่ีสีอยู่เต็มไปหมด การที่เรามองเห็นภาพมีสี ต่างๆ นอกเหนือจากส่สี ีน้ีเกดิ จากการผสมของเมด็ สีเหลา่ น้ใี น ปรมิ าณต่างๆ คิดเปน็ % ของปริมาณเม็ดสี ซึ่ ง กาหนดเป็น 10-20-30-40-50-60-70-80-90 จนถึง100 % แม่สแี ละวงจรสี แม่สีคือสีที่นามาผสมกันแลว้ ทา ใหเ้ กดิ สีใหม่ ท่ีมลี ักษณะแตกต่างไปจากสีเดิมแมส่ ี มีอยู่ 2 ชนดิ คือ แม่สีของแสง เกิดจากการหกั เหของแสง ผ่านแท่งแก้วปริซึม มี 3 สี คอื สีแดง สีเหลอื ง และสีน้าเงิน อยูใ่ นรูปของแสง รงั สี ซึ่งเป็นพลงั งานชนิดเดยี วท่ี มสี ี คุณสมบัติของแสงสามารถนามาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็น ตน้ สีวตั ถุธาตุ เปน็ สีท่ีไดม้ าจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้าเงิน แม่สีวัตถุธาตุเป็นแม่สีท่ีนามาใช้ งานกันอย่างกว้างขวาง ในวงการศิลปะวงการ อตุ สาหกรรม ฯลฯ แม่สีวัตถธุ าตุ เม่ือนามาผสมกันตามหลักเกณฑ์ จะทาใหเ้ กดิ วงจรสี ซึ่งเป็นวงสีธรรมชาติ เกิดจากการผสมกันของแม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีหลักท่ีใช้งานกันทั่วไป ในวงจรสี จะแสดงสิ่งต่างๆวงจรสี ( Colour Circle) สขี ้ันท่ี 1 คือ แม่สี ได้แก่ สแี ดง สเี หลอื ง สนี า้ เงิน สขี ั้นท่ี 2 คอื สที ่ีเกิดจากสขี นั้ ที่ 1 หรือแม่สผี สมกันในอัตราส่วนท่เี ท่ากัน จะทาใหเ้ กิดสีใหม่ 3 สี ไดแ้ ก่ สีแดง ผสมกบั สีเหลอื ง ไดส้ ี สม้ สแี ดง ผสมกบั สีน้าเงนิ ไดส้ มี ว่ งสี เหลือง ผสมกับสีนา้ เงนิ ไดส้ เี ขยี ว สขี ั้นที่ 3 คอื สีที่เกดิ จากสขี ั้นท่ี 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะได้สอี ืน่ ๆ อีก 6 สี คือ สแี ดง ผสมกับสีสม้ ไดส้ ี ส้มแดง
สีแดง ผสมกบั สมี ่วง ไดส้ ีม่วงแดง สีเหลอื ง ผสมกับสเี ขียว ไดส้ ีเขยี วเหลอื ง สนี ้าเงิน ผสมกบั สีเขยี ว ไดส้ ีเขียวนา้ เงนิ สีน้าเงิน ผสมกับสมี ่วง ได้สีมว่ งน้าเงิน สเี หลอื ง ผสมกับสสี ม้ ไดส้ สี ม้ เหลอื ง 6.1. วรรณะของสี (Tone) จากวงจรสีธรรมชาติ ในทางศิลปะได้มกี ารแบ่งวรรณะของสีออกเปน็ 2 วรรณะคือ สีวรรณะรอ้ น ได้แก่สีท่ใี ห้ความรู้สกึ อบอุ่นหรือรอ้ น เชน่ สีเหลอื ง ส้มเหลอื ง ส้ม ส้มแดง แดง ม่วง แดง เป็นต้น ส่วนสีวรรณะเย็น ได้แก่ สีท่ีให้ความรูส้ ึกเย็น สงบ สบาย เช่น สีเขียว เขียวเหลือง เขยี วน้าเงิน น้าเงิน มว่ งน้าเงิน มว่ ง เปน็ ต้น 6.2. ค่าของสี (Value of color) หมายถึง สีใดสีหน่ึงทาให้ค่อย ๆ จางลงจนขาวหรือสว่างและทา ใหค้ อ่ ย ๆ เขม้ ขึน้ จนมืด 6.3. สีเอกรงค์ (Monochrome) หมายถึง สีท่ีแสดงอิทธิพลเด่นชัดออกมาเพียงสีเดียว หรือใช้ เพียงสีเดียวในการเขยี นภาพโดยใหค้ า่ ของสีออ่ น กลาง แก่ คลา้ ยกับภาพถา่ ย ขาว ดา 6.4. สีส่วนรวม (Tonality) หมายถึง สใี ดสีหนึ่งทใ่ี หอ้ ิทธิพลเหนือสอี น่ื ทง้ั หมด เชน่ การเขียนภาพ ทิวทัศน์ ปรากฏสสี ่วนรวมเปน็ สเี ขยี ว สนี า้ เงิน เป็นตน้ 6.5. สที ี่ปรากฏเดน่ (Intensity) หมายถึง 6.6. สีตรงข้ามกันหรือสีตัดกัน (Contrast) หมายถึง สีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงจรสีธรรมชาติ เช่นสี แดงกบั สีเขยี ว สนี ้าเงินกับสีส้ม สมี ว่ งกบั สเี หลอื ง 7. บริเวณว่าง (Space) หมายถึง บริเวณที่เป็นความว่างไม่ใช่ส่วนที่เป็นรูปทรง หรือเนื้อหา ในการจัด องค์ประกอบใดกต็ ามถ้าปล่อยให้มีพ้ืนที่วา่ งมากและใหม้ ีรูปทรงน้อย การจดั นั้นจะให้ความร้สู กึ อา้ งว้าง โดด เดีย่ ว ในทางตรงกนั ข้าม ถ้าให้มรี ูปทรงมากหรอื เน้อื หามาก โดยไมป่ ลอ่ ยให้มพี น้ื ที่ว่างเลยก็จะให้ความรูส้ กึ อึด อัด คับแคบดังนัน้ การจัดวางในอัตราส่วนที่พอเหมาะก็จะใหค้ วามรู้สึกท่พี อดีทาให้ได้ภาพที่ได้สัดส่วนงดงาม หมายถึงบริเวณที่เป็นความว่างไม่ใชส่ ่วนท่ีเป็นรูปทรงหรือเนอื้ หาในการจัดองคป์ ระกอบใดก็ตามถ้าปล่อยให้ มพี ื้นที่ว่างมากและให้มีรูปทรงน้อย การจัดนั้นจะให้ความรู้สึกอ้างอ้าง โดดเด่ียวความหมายของบริเวณว่าง ในทางทัศนศิลป์ คนเราอาศัยอยู่ในบริเวณว่างในโลกที่เปน็ 3 มิติ ท่ีแสดงความกว้าง ความยาว และความลึก ท่วี ่างตามปกติจะจะเป็นบรเิ วณทห่ี าขอบเขตไม่ได้ เปน็ ส่ิงทม่ี องไมเ่ หน็ เชน่ เดยี วกับความเวง้ิ ว้างในอวกาศ แต่ เมื่อมีสิ่งใด สิ่งหนง่ึ ปรากฎขึ้น ก็จะเกิดปฎิกริยากบั ท่ีว่างนั้นทันที เช่นเดียวกับบริเวณว่าง บนพน้ื โลก เม่ือเรา อยู่บนท่ีสูงมองไปรอบๆ ตัวเราจะเห็นบางสิ่งใกล้ตัว บางส่ิงไกลออกไปเกิดระยะทางใกล้ ไกล บริเวณว่าง ลักษณะน้ีเรียกว่า บริเวณว่างจริง (Physical Space) หรือ บริเวณว่าง 3 มิติ(Three Dimension Space) บริเวณว่างในทางทัศนศลิ ป์ เปน็ บริเวณวา่ งท่ีได้มีการควบคุมและกาหนด ขอบเขตสาหรบั การสร้างสรรค์งาน ทศั นศิลป์ โดย บริเวณว่าง เป็นเหมอื นสนาม หรือเวที สาหรบั จัดวางทศั นธาตุ หรือส่วนประกอบมูลฐานของ ทัศนศิลป์ (Elements of Visual Art) ลงไปเพ่ือแสดงบทบาท ให้บรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ งานทัศนศิลปแ์ ต่ละ ประเภท ก็ใช้ท่ีวา่ งแตกตา่ งกันไป เช่นประตมิ ากรรม และสถาปตั ยกรรม ก็ใชม้ ี่ว่างแบบ 3 มิติ จิตรกรรม ก็ใช้ มว่ี ่างแบบ 2 มติ ิ คือเปน็ ท่วี า่ งทก่ี าหนดด้วยความกว้าง และความยาว เทา่ นน้ั แต่บางครัง้ จติ รกรรมกส็ ามารถ สร้างมิติที่ 3 ให้เกิดข้ึน บนพื้นผิวราบ 2 มีติได้ บริเวณว่างที่เกิดขึ้นลักษณะนี้ เรียกว่าบริเวณว่างลวงตา (Illusion Space) หรือ บริเวณว่าง 2 มติ ิ (Two Dimension Space) บรเิ วณวา่ ง 3 มิติ (Three Dimension
Space) บริเวณว่าง 3 มิติ คอื บริเวณว่าง ที่มีทั้ง ความกว้าง ความยาว ความลกึ เป็นบริเวณว่างที่มีปริมาตร (Volume) ท่ีสามารถสัมผัสได้ด้วยความเป็นจริง ทางกายภาพ (Physical or Actual Space)หรือสามารถ สัมผัสไดท้ งั้ ทางกาย และทางการมองเห็นพรอ้ ม ๆ กัน 8. พื้นผิว (Texture) หมายถึง พ้ืนผิวของวัตถุต่าง ๆ ท่ีเกิดจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน พื้นผิว ของวัตถุที่แตกต่างกัน ย่อมใหค้ วามรสู้ ึกท่แี ตกต่างกันด้วยในงานทัศนศิลป์ประเภทสถาปัตยกรรม บริเวณว่าง 3 มิติ ก็จะประกอบด้วย บริเวณวา่ ง ภายนอก (Outer Space) ระหว่างตัวอาคาร กบั บรรยากาศโดยรอบท้ัง ปวง กับบริเวณว่างภายในอาคาร (Inner Space) ท่ีกาหนดโดยหลังคา ผนัง พืน้ มีปริมาตรภายใน ทีส่ ามาถ เข้าไปใช้สอยได้ ซ่ึง บริเวณว่างทงั้ ภายนอก และภายใน ของสถาปัตยกรรม จะมคี วาม สมั พันธ์ กันตลอดเวลา คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมวล และปริมาตร (Mass and Volume) บริเวณว่าง 3 มิติ ในงานทัศนศิลป์ ประเภทประติมากรรม ก็มีบริเวณว่างทางกายภาพ ( Physical or Actual Space) เช่นเดียวกับ สถาปัตยกรรม คอื มีบรเิ วณวา่ งภายนอก รอบ ๆ งานประติมากรรม เปน็ มติ ิทีส่ ามารถสมั ผสั ได้ทัง้ ทางกายและ ทางการมองเห็น กบั บริเวณวา่ ภายใน ซ่ึงอาจจะเปน็ ที่วา่ งกลวง หรอื ทึบตันเป็นมวล(Mass) แตป่ ระตมิ ากรรม ไมม่ งุ่ ประโยชนใ์ ชส้ อยบริเวณวา่ งภายใน เหมือนกบั สถาปตั ยกรรม 9. ขนาดและสัดส่วน ( Size and Proportion ) ขนาด ( Size) คือ ลักษณะของรูปทรงที่กาหนดความ ใหญ่ เล็ก กว้าง ยาว สงู และต่าท่ีเรารับรูด้ ว้ ยสายตา ส่ิงของขนาดเดยี วกนั ถา้ วางอยู่ในตาแหน่งท่ีตา่ งกัน ยอ่ มมองเห็นเป็น ขนาด แตกตา่ งกนั ฉะนั้นจงึ ทาให้เราสามารถกะ หรอื วัดใหเ้ ป็นหน่วยระยะทางได้ สัดส่วน ( Proportion ) คือความพอเหมาะของสีแดงสองสิ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน การหาสัดส่วนในงาน สถาปัตยกรรม จะใช้มนุษย์เป็นสัดส่วนหลกั ในการ ออกแบบงานทั่วไปน้ันขนาดและสดั ส่วนนอกจากจะเกิด จากสดั สว่ นของมนุษย์แลว้ ยงั ถกู กาหนดข้ึนเพ่ือความเหมาะสมหลายอยา่ ง ตามลาดับความสาคัญดงั นี้ 9.1. สัดส่วนท่ีเป็นมาตรฐาน จากรูปลักษณะตามธรรมชาต ของ คน สัตว์ พืช ซึ่งโดยท่ัวไปถือว่า สดั สว่ นตามธรรมชาติ จะมคี วามงามทีเ่ หมาะสมท่สี ดุ หรอื จากรปู ลักษณะทเ่ี ปน็ การสร้างสรรคข์ องมนุษย์ เช่น Gold section เป็นกฎในการสร้างสรรค์รูปทรงของกรีก ซึ่งถือว่า\"ส่วนเล็กสัมพันธ์กับส่วนที่ใหญ่กว่า ส่วนที่ ใหญก่ วา่ สมั พนั ธก์ ับสว่ นรวม\" ทาให้สงิ่ ต่างๆ ทสี่ รา้ งขน้ึ มสี ดั ส่วนทส่ี ัมพันธก์ บั ทุกส่ิงอยา่ งลงตวั 9.2. สดั ส่วนจากความรู้สกึ โดยที่ศลิ ปะนัน้ ไมไ่ ด้สรา้ งขึน้ เพือ่ ความงามของรูปทรงเพียงอย่างเดยี ว แต่ ยงั สร้างขึน้ เพอ่ื แสดงออกถึง เนื้อหา เร่ืองราว ความรู้สกึ ด้วย สัดสว่ นจะช่วยเน้นอารมณ์ ความรู้สึก ให้เป็นไป ตามเจตนารมณ์ และเร่ืองราวที่ศิลปินต้องการ ลักษณะเช่นน้ี ทาให้งานศิลปะของชนชาติต่างๆ มีลักษณะ แตกต่างกัน เนื่องจากมีเร่ืองราว อารมณ์ และความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกต่างๆ กันไปเช่น กรีก นิยมใน ความงามตามธรรมชาติเป็นอุดมคติเน้นความงามท่ีเกิดจากการประสานกลมกลืนของรูปทรง จึงแสดงถึง ความเหมือนจริงตามธรรมชาติ ส่วนศิลปะแอฟริกันด้ังเดิม เน้นที่ความรู้สึกทางวิญญานที่น่ากลัว ดังน้ัน รูปลกั ษณะจงึ มีสดั สว่ นท่ผี ิดแผกแตกตา่ งไปจากธรรมชาติท่ัวไป ความสมั พันธข์ องขนาดและบริเวณวา่ งแนวทางอ่ืนท่เี ราจะเหน็ หรอื รับรใู้ นเรอ่ื งขนาดหรอื สัดส่วนได้ก็ คอื การเปรยี บเทยี บตัววัตถุนัน้ กับบริเวณวา่ งทีม่ ันยดึ ครองอยู่ แอปเป้ิลจะมีขนาดใหญ่หากมันไม่สามารถบรรจุ ลงในกล่องใส่อาหารได้ แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กกว่าแอป็ เป้ิลลกู อ่ืนๆท่ีวางอยู่ดว้ ยกันกต็ าม ทารกอาจจะไดร้ ับ การพจิ ารณาวา่ มขี นาดใหญเ่ มอ่ื เขาโตกวา่ เปลเด็กแม้วา่ จริงๆแลว้ เขาจะรูปร่างเล็กกวา่ เมอื่ เปรยี บเทยี บกับเด็ก ทารกคนอืน่ ๆในวัยเดียวกันก็ตาม หนงั สือจะขนาดใหญ่เม่ือเปรียบเทียบกบั ขนาดชั้นวางที่ไม่สามารถใส่มนั ได้
ดังน้ันเมื่อเราบรรยายถึงวัตถุในเร่ืองของสัดส่วนโดยการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของขนาด(relative size) เราสามารถอภิปรายถงึ มันได้ 2 ทาง 1. โดยการเปรียบเทยี บกับวัตถชุ ิ้นอนื่ ๆทีล่ กั ษณะเหมอื นกนั 2. โดยการเปรยี บเทียบกบั บริเวณว่างที่มันตั้งอยู่ สัดส่วนและการลวงตาในบางคร้ังเราอาศัยหลักการลวงตาเร่ืองขนาดและสัดส่วนมาใช้ในงาน ออกแบบ/งานศลิ ปะของเราได้ เช่นรูปรา่ งสีเขม้ อาจทาให้ขนาดของรปู รา่ งเล็กลงกว่ารปู สอี ่อน (ภาพประกอบ) รูปร่างใหญ่ๆถูกจัดอยู่ในกรอบแคบๆจะทาให้มันดมู ขี นาดเล็กลง คนอ้วนใส่เสื้อลายต้ังจะดผุ อมลง คนผอมใส่ เสื้อลายขวางจะดูสงู ขน้ึ ลวดลายใหญ่ๆเมื่ออยู่ร่วมกับลวดลายเล็กๆจะทาให้มันดูใกล้ตามากขน้ึ พ้ืนผิวหยาบ และละเอียดมผี ลต่อการรับรู้ด้านมิติและสัดสว่ นท้ังสน้ิ ภาพประกอบเร่ืองสดั ส่วนกบั การลวงตา 1. มุมแหลมท่ีมีขนาดองศาเท่ากันแต่ดูต่างกันเน่ืองจากการลวงตาอันเกิดจากกรอบท่ีอยุ่ ดา้ นนอกของทางซา้ ยมีขนาดท่ีว่างและองศาน้อยกว่าทาให้มมุ ดุกว้างในขณะท่ีทางขวามีขนาดของที่วา่ งและ องศาทกี่ ว้างวา่ ทาใหเ้ กดิ การลวงตาดแู ล้วแคบกว่ามมุ ทางซา้ ย 2. วงกลมตรงกลางมีขนาดเท่ากนั ทัง้ 2 วงแตเ่ นอื่ งจากวงทางซา้ ยถูกล้อมรอบดว้ ยวงกลมท่ี มีขนาดใหญ่กว่าจึงทาใหด้ ูเลก็ กวา่ วงทางขวาซ่ึงถกู ลอ้ มรอบดว้ ยวงกลมทมี่ ขี นาดเลก็ กว่าทาให้ดูใหญ่ 3. เส้นตรง 2 เส้นมีขนาดเท่ากันแต่เส้นตรงทางด้านซ้ายดูส้ันกว่าเน่ืองจากส่วนปลายคล้าย ถูกบบี ด้วยมุมแหลมในขณะท่เี ส้นตรงทางขวาจะดูยาวกว่าเนือ่ งจากดแู ล้วเหมือนเหยียดตัวแผ่ออก 4. วตั ถทุ ุกชิ้นมขี นาดเท่ากนั แต่อาศัยหลักการลวงตาของ perspective ทาให้ดูแล้วมีขนาด ต่างกนั 4.2.2. ความหมายของการออกแบบนเิ ทศศิลป์ 4.2.2.1. นิเทศ คือ ตามพจนานุกรม (คานาม) คาแสดง คาจาแนกออก (คากริยา) ชี้แจง, แสดง, จาแนก ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ การบรรยายหรือพรรณนา คุณลักษณะ ความผิดแปลก (description, attribute, distinction) การอธิบายเชิงพรรณนาโวหาร การอธิบายแบบวิเคราะห์โดยใชค้ าถามและคาตอบ การแปลความหมาย การอธิบายความหมาย (descriptive exposition, analytic explanation by way of question & answer, interpretation, exegesis) : นิ + ทฺ + ทิส = นิทฺทิสฺ + ณ = นิทฺทิสณ > นิทฺทิส > นิทเฺ ทส แปลตามศพั ทว์ ่า “การแสดงออก” 4.2.2.2. ศิลป์ คือ ตามพจนานุกรม [สนิ ] (กลอน) น. ศร เชน่ งามเนตรดงั เนตรมฤคมาศ งามขนงวง วาดดงั คนั ศิลป์. (อเิ หนา) พศิ พักตรผ์ ่องพักตรด์ ั่งจันทร พศิ ขนงกง่ งอนดงั่ คนั ศิลป์. (รามเกยี รต์ิ ร. 1).[สนิ ละปะ สิน สินละปะ] น. ฝีมือ ฝีมือทางการช่าง การทาให้วิจิตรพิศดาร เช่น เขาทาดอกไม้ประดิดประดอยอย่างมี ศิลปะผู้หญิงสมัยนี้มีศิลปะในการแต่งตัว รูปสลักวีนัสเป็นรูปศิลป์ การแสดงออกซ่ึงอารมณ์สะเทือนใจให้ ประจักษ์ด้วยส่อื ต่าง ๆอย่างเสยี ง เส้น สี ผิว รูปทรง เปน็ ต้น เช่น ศลิ ปะการดนตรี ศลิ ปะการวาดภาพ ศิลปะ การละคร วิจิตรศลิ ป.์ (ส. ศิลฺป ป. สปิ ฺป ว่ามฝี ีมืออยา่ งยอดเยีย่ ม) 4.2.2.3. นิเทศศิลป์ คือ (Visual Communication Art) มาจากคา ในภาษาสันสกฤต จานวนสอง คามาสมาสกนั คือ นิเทศ+ศลิ ป์ หากจะแปลตามศพั ท์ จากพจนานกุ รม เมื่อนามารวมกันก็อาจได้ความหมาย ดงั น้ี นเิ ทศศิล์ป์ หมายถึง งานศิลปะเพ่อื การช้ีแจงแสดง การนาเสนอใหป้ รากฎ ในรูปแบบต่างๆ ผ่านการ มองเห็นเป็นสาคัญ เพ่ือให้เข้าใจชัดเจนข้ึนควรพิจารณาจากรากศพท์เดิมมาจาก ภาษาอังกฤษ คือ
(VisualCommunicationArt / Visual) แปลว่า การมองเห็น (Communication) แปลว่า การส่ือสาร มา จากคาวา่ (communis) หรือ (commones) ซึง่ แปลวา่ รว่ มกัน หรือเหมอื นกนั นั่นคอื การส่อื สาร มุ่งท่ีจะให้ ความคิด ความเขา้ ใจของผู้อื่น ให้เหมือนกับ ความคิด ความเข้าใจของเรา หรอื ทาอยา่ งไรจงึ จะ เอาความรู้สึก นึกคิด ของผู้อ่ืน ได้โดยให้มีความรู้สึกนึกคิด เช่นเดียวกับเราได้เพราะ ธรรมชาติมนุษยไ์ ด้รับ ข่าวสาร อย่าง เดียวกันมา แต่จะมีความเข้าใจ และความรสู้ ึกนึกคิด แตกต่างกันออกไป การส่อื สาร ท่ดี ีก็ต้องมกี ารวางแผน ในท่นี (Communication Art) ก็อาจแปลได้ว่า ศลิ ปะ ที่ใช้ในการส่ือสารร่วมกัน ระหว่างบคุ คลในสงั คมโดย ผ่านการมองเห็น เป็นสาคัญ บคุ คลที่รวมกันอยู่ ในสงั คมย่อมต้องมีการตดิ ต่อสื่อสาร กนั ตลอดเวลา ทาให้ทุก วนั น้ี งานนิเทศศิลป์ ไดเ้ ข้ามามีบทบาท ต่อชีวิตประจาวนั ในสังคมมากข้ึนและ หากดขู อบข่าย และโครงสรา้ ง ของงานนิเทศศิลป์แล้ว ก็จะเห็นชัดเจนว่า นิเทศศิลป์มีความสาคัญ ต่อการดาเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ปจั จุบัน นอกเหนอื จากปจั จยั อ่ืนของชวี ติ ทีม่ อี ยเู่ ดมิ 4.2.2.4. รูปแบบของงานนิเทศศิลป์ งานออกแบบนิเทศศิลป์ (Visual Communication Art) นอกจาก จะเก่ียวข้องกับการส่ือสารแล้ว ยังต้องเก่ียวข้อง กับวิชาการสาขาต่าง ๆ อีกก็คือ จิตวิทยา ธุรกิจ เทคโนโลยี กระบวนการสรา้ งสรรค์ และศลิ ปะ ดงั โครงสร้างตอ่ ไปนี้ องค์ประกอบของการออกแบบนิเทศศิลป์ จากโครงสร้างจะเห็นว่า ศิลปะ เเป็นวิชาการสาขาหนึ่ง ของงาน ออกแบบนิเทศศิลป์ เป็นสาขาท่ีสาคัญท่ีจะ ขาดเสียมิได้ และศิลปะในท่ีนี้ คือ ทัศนศิลป์ เพราะ นิเทศศิลป์เป็น การคิด และการสอ่ื สารด้วยภาพ จากจนิ ตนาการ หรือจากภาพภายในความคิด ออกมาสู่การ รับรู้ของบุคคล ผู้รับสาร โดยผ่านทางจักษุประสาทเป็นสาคัญ และการสร้างงานศิลปะ จะเป็นการรวม เอา ความคิดรวบยอดจาก สาขาดังกล่าวแล้วว่า นิเทศศิลป์ เป็นศลิ ปะท่ีเก่ียวข้องกับการส่ือสาร ทางการมองเห็น (Visual Communication) เพราะเป็นการส่ือสาร ไปยังผู้รับสารด้วยภาพเป็นสาคัญ (Visual Image) แม้จะ มี บางองค์ประกอบจะมกี ารส่ือสารทางเสยี ง มาประกอบก็ตาม แตส่ ่ือหลัก ก็ยงั เปน็ การ สอื่ สารด้วยภาพ โดย เสียงเป็นตัวเสริมให้ภาพนั้นสมบูรณ์ขึ้น ท้ังน้ีเพราะการรับรู้ของ มนุษย์เราน้ัน รับรู้จาก จักษุประสาทมาก ทส่ี ุด (รบั รทู้ างตา 83% ห1ู 1%) งานออกแบบนเิ ทศศิลป์สามารถจาแนกออก ตามส่ือทป่ี รากฎได้ 3 ด้าน ดงั น้ี งานออกแบบนิเทศศิลป์ปรากฎตามสื่อการพิมพ์์ หมายถึงงานข้ันสุดท้าย ท่ีเป็น ตัวสื่อสาร ถึงผู้รับ ผ่าน กระบวนการพิมพ์ ออกมา เช่น หนังสือพิมพ์ (Newspaper) นิตยสาร (Magazine) วารสาร (Periodical) หนังสือ (Book) ภาพโฆษณา (Poster) เครื่องหมายและการค้า (Trademark & Logo) ตราสัญลักษณ์ (Logo) บรรจภุ ัณฑ์ (Packaging) สงิ่ พมิ พ์ทว่ั ไป (General printed matter) สรุปคือ การออกแบบการสื่อสารคือการผสมผสานระหว่างการออกแบบและการพัฒนาข้อมูลซึ่ง เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงสื่อเช่นส่ือส่ิงพิมพ์สื่อดิจิทัลหรืองานนาเสนอส่ือสารกบั ผู้คน วิธีการออกแบบการ ส่อื สารไม่ไดเ้ กี่ยวข้องเฉพาะกับการพัฒนาข้อความนอกเหนอื จากสุนทรียศาสตร์ในส่ือ แต่ยงั รวมถึงการสร้าง ช่องสือ่ ใหม่ ๆ 4.2.3. การใชเ้ ทคโนโลยีและผลกระทบของการออกแบบ ( เอซิโอ มานซินี่,2561 ) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อชีวิต เป็นแนวทางการใช้เทคโนโลยีให้เกิด ประโยชน์ตอ่ การดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ ดงั นนั้ สิ่งของเคร่อื งใช้ต่างๆ จงึ มกี ารออกแบบเพือ่ อานวยความสะดวก รวดเร็วในการใช้ชีวิตประจาวัน การออกแบบเทคโนโลยีเพ่ือแก้ปัญหาความจาเป็นพื้นฐานของชีวิต มนุษย์ ต้องอาศยั ปัจจัย 4 ในการดารงชวี ิต ได้แก่ อาหาร ทอี่ ยูอ่ าศยั เครื่องนุ่งหม่ และยารกั ษาโรค ดังนัน้ จึงมกี ารนา เทคโนโลยเขา้ มาตอบสนองความจาเป็นพืน้ ฐานของชีวิต เช่น การสร้างเครื่องจักรสาหรบั ทาการเกษตร เพื่อ
สร้างอาหาร ทาให้ประหยัดแรงงานและได้ผลผลิตท่ีมากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ชีวิตประจาวันของเรา สะดวกสบายเพ่ิมมากข้ึน เช่น การติดต่อสื่อสารกันโดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ทาให้การติดต่อสื่อสารได้เร็ว ทันใจ การออกแบบน้ันเป็นสว่ นสาคัญในการกอ่ ร่างสร้างสิ่งต่างๆ ในวิถชี ีวิตมนุษย์ ไมว่ ่าจะเป็นการออกแบบ เทคโนโลยี ทัง้ น้ีการออกแบบยงั เป็นตัวสร้างคุณค่าและความหมายให้แก่สังคมด้วย ในช่วงเวลาทผ่ี ่านมาของ ศตวรรษที่ 20 สังคมโลกเปลี่ยนแปลงจากชุมชนการเกษตรมาสู่ความเป็นเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ ค่านิยม เกี่ยวกับชีวิตที่ดีกว่าถูกยึดโยงเข้ากับความศิวิไลซ์ หลักการทุนนิยมและการบริโภคในปริมาณมาก ทว่า วฒั นธรรมและคุณลักษณะชวี ิตแบบนไ้ี ม่ได้เกิดขึ้นมาเองและไม่ใช่ธรรมชาติของชีวิต ความสบายในเมืองแลก กบั คุณภาพชีวิตท่ีแย่ หรือ ปฏสิ ัมพันธ์ท่ีดขี องคนในชุมชนแลกกับการขาดทรัพยากรในชนบท ไม่ใช่สัจธรรม ของโลกแต่เป็นสิ่งที่ถูก “ออกแบบ” ผ่านผลกระทบจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีท่ีเร่ิมต้นก่อตัวมาตั้งแต่ยุค ปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรม เมอื่ เวลาผ่านไป ทรัพยากรมีแนวโน้มว่าจะถึงขดี จากดั ประเด็นด้านความย่ังยืนจึงถูกพูด ถงึ ในหลายมติ ขิ องสงั คมไม่เพยี งแต่แค่การบริโภคเท่านนั้ แตร่ วมถงึ การตงั้ คาถามถึงรปู แบบปฏิบตั ิที่เราทากัน อยวู่ า่ เป็นสิง่ ที่เหมาะทส่ี ุดหรือไมแ่ ละจะเปน็ ไปในรูปแบบใดในยคุ ของชนร่นุ หลงั นวัตกรรมทางสังคมเป็นสิ่งท่ีถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อมาถึงเร่ืองวิธีการไปสู่ความยั่งยืน ด้วยเป็นส่ิงท่ี สามารถแกป้ ัญหาและตอบสนองเป้าหมายทางสังคมได้อยา่ งที่กลไกจากรฐั หรืออานาจจากภาคส่วนอ่ืนไมเ่ คย ทาได้ หน่งึ ในหลกั การสาคัญของนวัตกรรมทางสังคมคือการรว่ มมือกนั ในทุกภาคส่วนเพ่ือแกป้ ญั หาในประเด็น ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมน้ันๆ เป็นหลักการที่สร้างความเลือนรางระหว่างข้ัวตรงข้ามที่ถูกแบ่งมาตลอดในวิถี ชวี ิตแบบเกา่ เช่น รัฐกับเอกชน ผผู้ ลิตกับผบู้ ริโภค เป็นตน้ ผ่านการสรา้ งเครื่อขา่ ยเชื่อมโยงท่ีทาให้ผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น หนว่ ยงานภาครัฐ เอกชน ผู้เชี่ยวชาญและประชาชน เข้ามาพดู คุยถกเถียงและหาวิธสี ร้างสรรค์ กลไกใหม่ๆ วิถีปฏิบัตแิ บบใหม่เพอื่ ตอบสนองประเด็นท่ีอาจเปน็ ปญั หาหรือเป็นความต้องการท่ีจะขบั เคลื่อน รว่ มกนั ส่งิ หนง่ึ ที่สาคัญทสี่ ุดทที่ าให้ยุคสมัยปจั จุบนั ของเราสามารถเกดิ นวัตกรรมทางสังคมเชน่ น้ีข้ึนมาได้ คือ เทคโนโลยีการส่ือสารสมัยใหม่ หรืออินเตอร์เน็ต ท่ีเช่ือมโลกเข้าด้วยกัน เอ้ือประโยชน์ต่อการพูดคุยและ แลกเปล่ียนข้อมลู ข่าวสารใหแ้ ก่ผคู้ น กลายเปน็ วัฒนธรรมการใชช้ วี ิตแบบใหมท่ ี่เทคโนโลยีสือ่ สารเป็นสว่ นหนึ่ง ของชีวิตประจาวันและถูกมองว่าเป็นส่ิงปรกติ ผู้คนที่อยู่ต่างที่ ต่างวัฒนธรรมสามารถติดต่อส่ืสารกันได้ โดยตรงเม่ือถึงจุดน้ี นวัตกรรมทางสังคมจึงเป็นตัวขับเคล่ือนและสร้างการเปล่ียนแปลงแทนนวัตกรรมทาง เทคโนโลยี เพราะผคู้ นในสังคมสามารถพูดคุยเรียกร้องหรือมปี ากมีเสยี งเพ่ือชีวิตและผลประโยชน์ของตนเอง ได้ และกลับกันนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมีแนวโน้มว่าจะต้องพ่ึงพากระแสสังคมเพ่ือสร้างสรรค์หรือ เปลี่ยนแปลงตนเอง ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนส่วนใหญ่มากกว่าจะออกมาเพื่อเปล่ียนวิถีชีวิต ของคนแบบในสมัยกอ่ น การออกแบบในศตวรรษท่ี 21 นวัตกรรมทางสังคมมีศักยภาพท่ีจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่มันไม่ สามารถดารงอยหู่ รอื แพรก่ ระจายออกไปได้หากวฒั นธรรมในสงั คมท่ีมนั อยูไ่ ม่เอ้ือให้มนั เดินหน้าตอ่ ไป ในการ สร้างสังคมใหม่จึงจาเป็นต้องมีวัฒนธรรมและปฏิบัติการทางสังคมใหม่ๆ เพ่ือเล้ียงดูนวัตกรรมทางสงั คมท่ีจะ ถือกาเนิดข้ึนมา “การออกแบบ” สามารถเป็นวัฒนธรรมใหม่และปฏิบัติการทางสังคมใหม่นี้ได้ และการ ออกแบบมศี ักยภาพที่จะเป็นบทบาทหลกั ในการกระตุ้นและสนบั สนุนการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมดว้ ย แต่มัน ต้องเปล่ียนตัวเองให้เป็น กิจกรรมท่ีแพร่หลาย กระจายไปทั่วทุกจุดเช่ือมต่อของเครือข่ายสังคม กลายเป็น ส่วนหนง่ึ ของการดารงชีวติ และการทางานของพวกเราทกุ คน โดยอาศัยเทคโนโลยกี ารสอื่ สาร
ในยุคสมัยต่อจากน้ีการออกแบบมีแนวโน้มว่าจะเปล่ียนแปลงกระบวนการไปจากเดิม จากที่ ผู้เช่ยี วชาญหรือนักออกแบบมืออาชีพเป็นคนกลุม่ หลักในการออกแบบส่งิ ต่างๆ เพื่อป้อนเข้าสู่สังคม ไม่ว่าจะ เป็นการออกแบบเทคโนโลยี โครงสร้างองค์กร/สงั คม หรือออกแบบเมือง เปลี่ยนมาเป็น “กระบวนการร่วม ออกแบบ” ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและร่วมทา ร่วมปฏิบัติให้เกิดข้ึนจริง โดยนกั ออกแบบมืออาชีพลดบทบาทลงไปเปน็ ผกู้ ระตุน้ หรือผสู้ นบั สนุนการออกแบบแบบปลายเปดิ น้ี และใช้ ความรคู้ วามเชี่ยวชาญที่พวกเขามีเพอ่ื ช้แี นะมอื สมคั รเลน่ ท้ังหลายให้สามารถรว่ มคิดร่วมทางานออกแบบน้ันๆ ใหเ้ ข้าเกณฑ์เข้ากรอบความเปน็ ไปได้ อันจะนาไปสู่เป้าประสงคข์ องโครงการท่ีพวกเขามีภาพใหญร่ ่วมกนั ซึ่ง โดยธรรมชาติแล้วการออกแบบเป็นสิ่งท่ีมีอยู่ในมนษุ ย์ทกุ คน เราใช้ความคิดสร้างสรรค์คดิ ค้นและแกป้ ัญหาที่ เกิดข้ึนในชีวิตประจาวัน แต่ในยุคสมัยท่ีสังคมขยายมากข้ึนและมีความซับซ้อนในหลายระดับ ปัญหาหลาย ประการในโลกปัจจุบันผลักดันให้ผู้คนต้องร่วมมือกันใช้ศักยภาพในการออกแบบที่มีมาร่วมหาทางออก ที่ สาคญั คือเป็นกิจกรรมรว่ มทางสังคมท่พี บเห็นได้บ่อยขึ้น เชน่ ผลิตภัณฑ์บางประเภทที่ออกรุน่ ทดลองมาให้ผู้ ใช้ได้ทดลองและแสดงความคิดเห็นเพ่ือนาไปปรับปรุงตอ่ ไป เป็นตน้ ซึ่งหากกจิ กรรมเช่นน้ีถูกนาไปใช้ในการ ออกแบบเพ่ือแก้ปัญหาทางสงั คมหรือออกแบบนวตั กรรมทางสังคมอืน่ ๆ และกลายเป็นปฏิบตั ิการทางสังคมที่ แพร่หลายเป็นปรกติ การท่ี “การออกแบบ” หรือ “การร่วมออกแบบ” จะกลายเป็นวัฒนธรรม ในแบบท่ี ผู้คนมีวิถีชีวิตเคยชินอยู่กับการออกความคิดเห็นและสร้างความร่วมมือก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทั้งน้ีบุคคลและ กลุ่มบุคคลหลากหลายประเภทซึ่งพัฒนาทักษะการออกแบบแนวใหม่กาลังเคล่ือนย้ายจากพ้ืนที่ของการ ออกแบบอย่างมือสมัครเล่นไปสู่พื้นที่ของการออกแบบอยา่ งมอื อาชีพ ด้วยองค์ความรู้เกย่ี วกบั การออกแบบ รวมท้ังผลสมั ฤทธิ์ทางการออกแบบหรอื นวัตกรรมทางสงั คมต่างๆ เป็นสิ่งที่เข้าถึงไดแ้ ละศึกษาทาความเข้าใจ ได้ด้วยข้อมูลท่ีเผยแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ต ทาให้จานวนผู้ทาการออกแบบซ่ึงไม่ใช่นักออกแบบมืออาชีพแต่มี ทักษะและประสบการณ์กาลังเพมิ่ มากขึ้น ผู้คนเหลา่ นี้กลายเป็น “นกั ออกแบบมือสมคั รเลน่ อยา่ งมีฝมี ือ” ซ่ึง พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กบั นักออกแบบมืออาชพี ด้วย ผลคือพวกเขากาลังร่วมสร้างกระบวนการร่วมออกแบบ ซึ่งกระบวนการน้ีมีลักษณะเฉพาะบางประการ ประการท่ีหน่ึง“กระบวนการร่วมออกแบบเป็นการสนทนา เชิงสังคม”คือการที่ผู้คนมีปฏิสัมพันธก์ ันในลักษณะท่ีแตกต่างกัน ไม่ว่าจะประสานความรว่ มมือหรือขัดแย้ง และมีปฏิสัมพันธ์กันในเวลาที่แตกตา่ งกัน ไม่ว่าจะตอบโต้กันทนั ทีในอนิ เตอร์เน็ตหรือนอกเหนือจากน้ัน โดย เหลา่ นี้เปน็ กระบวนการท่มี ีพลวตั รสูง เปน็ กิจกรรมสรา้ งสรรค์เชิงรกุ และแนน่ อนวา่ เป็นกจิ กรรมการออกแบบ ที่มีความซับซ้อน ประการที่สอง“ต้องมีเครือข่ายและพันธมิตร”ซ่ึงจะมี 2 รูปแบบคือ พันธมิตรด้านการ ออกแบบ เป็นเครือข่ายที่แน่นแฟ้น สมาชิกประสานความร่วมมือกันเพ่ือบรรลุผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน อีกรูปแบบ คือ เครือข่ายการออกแบบ สมาชิกอาจมาจากหลายกลุ่มซึ่งมีการดาเนินการสร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง และมาแบ่งปันองค์ความรู้แก่กันแต่ไม่ได้ร่วมกันทางานในโครงการเดียวกัน ประการท่ีสาม“แผนงานการ ออกแบบ”ต้องมกี ารผลติ ชุดกจิ กรรมทมี่ กี ารประสานงานกันซง่ึ ประกอบกนั เป็น แผนงาน เป็นความต่อเนื่อง ของกระบวนการออกแบบ ท้ังนี้ตัววิสัยทัศน์เองจะเป็นตัวกาหนดชุดการเคลื่อนไหวย่อยๆเหล่าน้ี ประการ สุดท้าย“โครงการริเริ่มด้านการออกแบบ”นักออกแบบต้องคิดค้นโครงการให้ออกมามีลักษณะท่ีส่งเสริมให้ เกิดการเชื่อมต่อจุดต่างๆ ของเครือข่ายการออกแบบ โครงการเหล่าน้ีต้องมีความต่อเนอ่ื งของการออกแบบ มุ่งกระตุ้นและสนับสนุนกระบวนการร่วมออกแบบ กล่าวโดยง่ายคือการออกแบบน้ีไม่เพียงแต่มาออกแบบ นวตั กรรมเท่าน้ัน แต่ยงั ต้องมีกระบวนการออกแบบทีม่ าช่วยออกแบบการประสานความรว่ มมือของกลุ่มคนท่ี ทางานให้เชอ่ื ไดว้ า่ มกี ารร่วมมอื กนั อยา่ งแท้จรงิ ดว้ ย
อย่างไรก็ดีในการเริ่มต้นนวัตกรรมทางสังคมต้องมีการกระตุ้นและริเริ่มจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ี อาจเปน็ นกั ออกแบบ (เป็นมืออาชีพหรือไม่ก็ได)้ นกั ปฏบิ ัตกิ าร ขนึ้ มาเสยี ก่อน นวัตกรรมทางสงั คมมักเริ่มต้น จากประดิษฐกรรมทางสังคมท่ีเกิดข้ึนในกลุ่มเล็กๆ มีความเปน็ ชุมชนสูง (ทากันเอง) แล้วกลายเป็นตน้ แบบที่ สามารถพัฒนาขยายไปสู่กลุ่มสังคมอื่นและเมื่อการปฏิสัมพันธ์ในทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ (รวม ภาครฐั และองคก์ รอืน่ ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง) มันอาจกลายเป็นส่วนหน่ึงของนโยบาย เปน็ วสิ าหกิจเพื่อสังคมทีม่ กี ารจัด โครงสร้างอย่างเป็นระบบมากข้ึนไดแ้ ละสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ สร้างความหมายและค่านยิ มใหม่ขึ้นมาได้ ในระดบั ประเทศหรอื ระดับโลกอย่างแทจ้ ริงตัวอย่างเช่น โครงการจติ เวชศาสตรป์ ระชาธิปไตย (Democratic Psychiatry) ที่อิตาลี ของนายแพทย์ฟรางโก บาซาเลีย (Franco Basaglia) ซ่งึ เร่ิมต้นเมื่อ 40 ปีก่อนและถือ เป็นการปฏิวัติวงการจติ วิทยาอิตาลีในช่วงเวลานั้น โดยแนวคิดคอื การมองเห็นผู้พิการทางจิตไม่ได้เป็นเพียง แคผ่ ู้ป่วย แต่เปน็ ผู้มีความสามารถท่ีหากเราสนับสนนุ พวกเขาให้เอาชนะปัญหาเหลา่ นไ้ี ด้ พวกเขาก็สามารถมี ความสขุ กับกิจกรรมเชิงบวกบางอย่าง นาไปส่กู ารกาหนดรูปแบบการช่วยเหลือผปู้ ่วยจติ เวชในแนวทางใหม่ สง่ เสริมให้พวกเขากลับสู่สังคมและทางาน จึงได้มีกจิ การจานวนมาก ทั้งภตั ตาคาร โรงแรม และรา้ นช่างไม้ที่ บรหิ ารโดย “คนบา้ ” บางกิจกรรมกลายเปน็ วิสาหกิจการค้าทีป่ ระสบผลสาเรจ็ อย่างจรงิ จงั กระทัง่ ในปี 1978 มกี ารประกาศใช้กฎหมายระดับประเทศทาใหโ้ รงพยาบาลจติ เวชท้งั หมดเปิดกว้างข้นึ และรับเอาแนวทางใหม่ นไ้ี ปใช้ วัฒนธรรมการออกแบบท่ีกาลังอุบัติข้ึน บ่งช้ีว่าลักษณะการทางานการออกแบบสมัยใหม่หรือการ รว่ มออกแบบน้ีมคี วามเปน็ นวัตกรรมในตัวมันเอง ด้วยแนวความคิดใหม่เก่ียวกับการแกป้ ัญหา และเกี่ยวกับ การสร้างความหมาย ที่ไม่แยก 2 ส่ิงนี้ออกจากกันกล่าวคือ การออกแบบแบบเดิมจะเน้นไปที่การแก้ปัญหา เป็นหลัก เช่น การผลิตเคร่ืองกรองน้าสาหรับหมู่บ้านในแอฟริกา ซึ่งช่วยแก้ปัญหาในเชิงกายภาพแต่ไม่ได้ สร้างความหมายใหม่ในมติ ทิ างสังคม ตา่ งจากในกรณขี องนายแพทย์บาซาเลียทย่ี กตัวอยา่ งมาข้างต้นน้ัน เป็น การออกแบบท่ี “แกป้ ัญหา” ทางกายภาพ คือผปู้ ่วยจิตเวชไดร้ ับการรกั ษา ชมุ ชนได้บุคลากรเพ่ิม และในสว่ น มิติทางสังคมก็ได้สร้างความหมายใหม่เกี่ยวกับมุมมองของคนท่ัวไปท่ีมีต่อผู้ป่วย ด้วยเหตุน้ีการออกแบบ สมัยใหม่จึงเรียกร้องความร่วมมือจากชุมชนหรือคนหมู่มากเพื่อพูดคุยและสร้างความหมายใหม่ในบาง ประเด็นให้เป็นที่ยอมรบั สาหรับทุกฝ่ายและนาพาความยัง่ ยืนมาสวู่ ถิ ปี ฏิบตั ใิ หมน่ ัน้ อารยธรรมใหม่ ในศตรรษท่ี 21 ควรมีหน้าตาแบบไหนเม่ือการออกแบบสามารถกรอบรูปร่างของ สังคมได้ แล้วการออกแบบใหม่จะทาให้สังคมใหมม่ ลี ักษณะเป็นอยา่ งไร? อันท่จี รงิ แลว้ ลกั ษณะของสังคมใหม่ ทีว่ ่าน้ี มีความล้อกนั อยู่กับลักษณะของการร่วมออกแบบและลักษณะของนวัตกรรมทางสังคม คือเน้นความ ร่วมมอื การสร้างเครือข่ายและแน่นอนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเป็นตัวแปรสาคัญ ดังท่ไี ด้กล่าวไปข้างตน้ นวัต กรรทางสังคมเปน็ ส่ิงที่สร้างความเลอื นรางระหวา่ งขั้วตรงขา้ ม เพราะการประสานความรว่ มมอื ทาให้รปู แบบ ปฏิบัติการเป็นแบบร่วมแรงร่วมใจมากกว่าตา่ งคนต่างทา ลักษณะท่ีเชื่อว่าเหมาะสมของสังคมในอนาคตก็มี ความเลือนรางระหว่างเมืองและชนบทด้วย กล่าวคือ ความเป็นเมืองที่เรารู้จักมักเป็นส่ิงตรงข้ามกับชนบท เสมอ (ไม่ว่าจะเป็นข้อเทจ็ หรือมายาคติ) และต่างก็มีขอ้ ดีและขอ้ เสยี ในแบบของตนเอง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่าน ไปประชากรของผู้คนส่วนใหญ่ในโลกมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นชาวเมืองและมีทีท่าว่าทุกเมืองจะมีขนาดท่ี ใหญ่ข้ึน รวมท้ังจะมีเมืองเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แนวคิดของสังคมในอนาคตได้ผนวกเอาข้อดีหลายประการ ของทั้งเมืองและชนบทไว้ด้วยกัน โดยถึงแม้เราจะอาศัยอยู่ในเมืองแต่เราก็มีความเป็นชุมชนที่แบ่งปัน ชว่ ยเหลือ สร้างเครือขา่ ยและปฏิสัมพันธก์ ันได้ โดยการสร้างเครือขา่ ยในอนิ เตอรเ์ นต็ คนๆ หนง่ึ สามารถอยู่ได้
หลายชุมชน นอกเหนือไปจากละแวกบ้านท่ีตนเองอยู่แล้ว ในโลกอินเตอร์เน็ตเขาอาจมีชมุ ชนหรอื กล่มุ ความ ร่วมมอื ที่ร่วมกับเพอ่ื นทีอ่ ยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เม่ือมีเครอื ขา่ ยท่กี ว้างไกลและผ้คู นมีปฏิสัมพนั ธก์ ัน เปน็ เรื่องปกติ ทกุ สงิ่ ทกุ อย่างกไ็ มจ่ าเป็นต้องมารวมศูนยอ์ ย่างเดียว ดังนน้ั แนวคดิ เก่ยี วกับระบบกระจายตัวจึง เปน็ ตวั เลือกที่ถกู เสนอขึน้ มา เศรษฐกิจจะเป็นในรูปแบบ “เศรษฐกิจเชิงสังคม” ซึ่งผลประโยชน์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมา บรรจบกัน ตลาด รัฐ และเศรษฐกิจแบบพ่ึงพาเงินอุดหนุนของรัฐ (grant economy) อยู่ร่วมกับการพึ่งพา ตนเอง การช่วยเหลือกันและกัน การแลกเปล่ียนสิ่งของ การบริจาค และกิจกรรมทางสังคมอ่ืนๆ มีลักษณะ ต่างออกไปอย่างมากจากเศรษฐกิจท่ีอิงกับการผลิตและการบริโภคสินค้า เป็นต้นว่า การใช้เครือข่ายการ กระจายสินค้าอย่างครอบคลุม เน้นความร่วมมืออย่างสม่าเสมอ รวมท้ังการปฏิสัมพันธ์ การดูแล และการ บารุงรักษามากกว่าการบริโภคคร้ังเดียว ท้ังน้ีก็เป็นไปเพื่อความย่ังยืนและเพ่ือรองรับความเปล่ียนแปลง ได้ มากข้ึน ระบบการกระจายถูกนามาใช้ภายใต้แนวคิดน้ี โดยมันหมายถึงระบบที่สังคมและเทคโนโลยี ตอบสนองซ่ึงกันและกัน และกระจายตวั อยใู่ นพน้ื ที่ ท่ีแตกต่างกันแต่มีความเช่ือมโยงกันเป็นตัวของตวั เอง ไม่ มรี ะบบแบบกระจายตวั ใดจะถกู นาไปใช้ไดโ้ ดยปราศจากนวตั กรรมทางสังคม อกี ทั้งยังตอ้ งมีพัฒนาการไปตาม ข้ันลาดับ ค่อยๆ เร่ิมต้นด้วยคลน่ื ลูกแรกของการเปลี่ยนแปลงคือการสื่อสารแบบกระจายตัว (พวกเราอยู่ใน ขน้ เรม่ิ ต้นตรงจุดนี้) ถัดจากนนั้ ก็จะเป็นส่วนอื่นๆ ท่ีเปล่ียนไปเป็นแบบกระจายตัว ทั้งนลี้ ักษณะของสังคมใน ระบบกระจายตัวมักมีองค์ประกอบเหล่านี้ โครงสร้างพ้ืนฐานแบบกระจายตัว หมายถึงพลังงาน น้าไฟ ทงั้ หลาย มีการผลติ ไฟฟา้ ด้วยโรงไฟฟ้าขนาดย่อมกระจายไปในแต่ละท้องท่ี พลังงานทดแทน พลงั งานสเี ขียว โรงไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขนาดย่อม รวมทั้งมีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นต้น ด้านทรัพยากรน้า มีการ กระจายแจกจ่ายน้าในกรณีที่ต้องใช้น้าคุณภาพสูง ส่วนความต้องการใช้น้าในลักษณะอ่ืนๆ จะต้องใช้น้าใน ทอ้ งถ่ิน เช่น น้าฝนหรอื น้าท่กี กั เก็บไวแ้ ละบาบัดอย่างเหมาะสม ระบบน้าแบบกระจายตวั แนวใหมจ่ าเป็นตอ้ ง มกี ารวางแผนโดยเฉพาะเจาะจง เรยี กว่าการออกแบบเมืองที่ให้ความสาคัญกบั นา้ (water-sensitive urban design) รวมท้ังทัศนคติและพฤติกรรมใหม่ของชาวเมืองเครือข่ายอาหารแบบกระจายตัว เป็นแนวคิดที่ถูก กระตนุ้ โดยความกังวลเก่ียวกับเกษตรกรรมท่ีต้องพ่งึ พาสารเคมีและนา้ มัน กระแสนวตั กรรมนี้สง่ เสริมอาหาร ท้องถ่ินเพ่ือทาให้ระบบอาหารมีความม่ันคง เน้นเพิ่มความสามารถของท้องถิ่นให้พ่ึงพาตัวเองได้ เป็นการ แกป้ ญั หาที่มงุ่ เช่ือมโยงเกษตรกรรมกับการบริโภคอาหาร น้ีรวมถึงการกระจายอาหารในละแวกใกล้เคยี ง เช่น ความสมั พันธเ์ ชิงเครือขา่ ยระหว่างคนในเมืองที่มีพื้นท่ใี นการผลิตต่ากับกลุ่มเกษตรกรในพ้ืนท่ีรอบนอกเมือง เป็นต้น การผลิตแบบกระจายตัว เกิดจากการบรรจบกันระหว่างนวัตกรรมในสาขาการผลิตที่เล็กลงมี ประสิทธิภาพมากขึ้นและเครือข่ายสังคมที่มาพร้อมโอกาสในการรวมผู้เชี่ยวชาญท้ังหลายไว้ด้วยกัน ทาให้ ติดตอ่ กันสะดวกมากขึ้นทัง้ นักออกแบบ ผ้ผู ลิต หรือรวมไปถึงผ้ใู ช้ใหส้ ามารถพูดคุย และรว่ มกันออกแบบวา่ ส่ิง ท่ีจะผลิตควรเป็นอย่างไรตอบโจย์คนในแต่ละพ้ืนที่อย่างไร และคนกลุ่มเดียวกันอาจไปช่วยคนอีกกลุ่มท่ีมี ความต้องการเฉพาะต่างจากท้องถ่ินของตัวเอง วิธีน้ีทาให้เกิดการผลิตแบบกระจายตัวคือมีอยู่ในทุกพ้ืนที่ หลักการสาคัญคือการทาสิ่งของใกล้สถานท่ีที่มันจะถูกใช้มากที่สุด เป็นการกระจายความเส่ียงและสร้าง ความย่ังยืน ผู้คนรบั รูไ้ ดว้ ่าสิ่งที่พวกเขาบริโภคหรอื แม้กระทงั่ ผลิตเองมีความเป็นมาอย่างไร จึงไว้ใจได้ในดา้ น คุณภาพ เศรษฐกิจแบบกระจายตัว คือการท่ีกระบวนทัศน์เชิงเครือข่ายมีศักยภาพในการแปรสภาพ ความสัมพันธ์และชายขอบ ทาให้ในระดบั ท้องถ่ินเศรษฐกจิ ดาเนินไปอย่างอิสระและปรบั ตัวได้ทงั้ เช่อื มโยงกน ภายในเครือข่ายของการแลกเปลี่ยนที่ขยายกว้างข้ึนตลอดเวลา ทั้งในระดับท้องถ่ินเอง ไปสู่ระดับภูมิภาค
หรือไประดับโลกก็เป็นไปได้โดยไม่จาเป็นต้องพ่ึงพาส่วนกลางมากเท่าแต่ก่อน หลายส่วนของสังคมสามารถ หยัดยืนได้ด้วยตัวเองระบบที่รับมือกับการเปล่ียนแปลง โดยธรรมชาติแล้วระบบแบบกระจายตัวสามารถ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าระบบแบบแนวตั้งท่ีเป็นกระแสหลัก (ส่ังการมาจากเบื้องบน) เพราะมัน สามารถสร้างระบบที่ผสานสังคมและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถรับมือกับการเปล่ียนแปลงที่เกิดจาก ปญั หาตา่ งๆ ทคี่ าดการณ์ล่วงหนา้ ไม่ได้ซึง่ อาจเกดิ ข้ึนและเรยี นรู้จากปัญหาเหล่าน้ัน วัฒนธรรมของความสามารถในการรับมือกับความเปลย่ี นแปลง สังคมทร่ี ับมือกับความเปล่ยี นแปลง ได้ต้องเป็นสังคมท่ีหลากหลายและสร้างสรรค์ ด้วยเพราะผู้คนท่ีแตกต่างมีพ้ืนฐาน ทัศนคติและความรู้อัน หลากหลายเมื่อมาร่วมมือกันกส็ ามารถสร้างทางออกทมี่ แี ง่มุมหลากมิตคิ รอบคลมุ เหตปุ ัจจัยของปัญหาได้มาก ข้นึ วัฒนธรรมแบบนี้สามารถรับมือกับความเปล่ียนแปลงได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดูห่างไกล และนวัตกรรมทางสังคมยังไม่ใช่ความคิดกระแสหลักแต่ทว่ามันก็เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับและได้รับ ความสนใจจากหลายประเทศท่ัวโลก โดยเฉพาะอย่างย่ิงประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในปัจจุบัน ใน ความเปล่ียนแปลงหลายอย่างทั้งเรื่องทรัพยากรและจานวนประชากร นาพามาซ่ึงการเร่งความเร็วเข้าสู่จุด วิกฤตในหลายมิติ สงั คมตา่ งๆ จาเป็นต้องหาวธิ ีรับมอื และแกป้ ญั หาไปในขณะเดยี วกัน พวกเราถกู กดกดั ให้เร่ง ทดสอบและทดลองวิธีการใดใดก็ตามที่มีความเช่ือว่าจะมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดยใช้เงิน น้อยกว่าและลดความเสียหายร้ายแรงจากภาวะถดถอยได้อย่างจริงจัง นวัตกรรมทางสังคมและแนวคิดการ ร่วมออกแบบเปน็ หน่ึงในตัวเลอื กท่ีได้รับการพิสจู น์มาแล้วในหลายพื้นที่ แม้จะไมไ่ ด้ย่ิงใหญจ่ นพลกิ วฒั นธรรม ของสังคมโลกได้ขณะนี้แต่ก็จับต้องได้และเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเองอย่างที่สุด ท่ีสาคัญแนวคิดเหล่านี้ใช้ องค์ประกอบหลักท่ีมีพลังท่ีสุดและหาได้ง่ายที่สุด คือ มนุษย์และเทคโนโลยีเครือข่าย โดยท้ังสองอย่างใน ปัจจบุ นั ได้ผสานกนั จนแทบเปน็ เนื้อเดียวกันไปแลว้ นั้น ส่ิงที่ดูเหมอื นเป็นอารยธรรมใหม่ท่ีหา่ งไกลจงึ อาจไมไ่ ด้ ไกลอย่างท่ีเราคิด เพียงแคเ่ ราสามารถเริ่มต้นไดจ้ ากพ้นื ฐานทเ่ี รามใี นปัจจุบัน 4.2.4. การออกแบบสร้างสรรค์ เปน็ การออกแบบเพือ่ นาเสนอความงามความพงึ พอใจเนน้ ความคิดสร้างสรรค์ แปลกๆ ใหม่ๆ ให้เกิด ความสะเทือนใจ เร้าใจ ซึ่งการสร้างสรรค์น้ีอาจเป็นการพัฒนาจากส่ิงท่ีมีอยู่เดิมหรือสร้างข้ึนใหม่ก็ได้ งาน ออกแบบสร้างสรรค์ มีหลากหลายลักษณะ ความคิดสร้างสรรค์ คือกระบวนการคิดของสมองซ่ึงมี ความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหมจ่ ากเดมิ โดยสามารถนาไปประยุกตท์ ฤษฎี หรือหลกั การ ได้อย่างรอบคอบและมีความถูกต้อง จนนาไปสู่การคิดค้นและสร้างส่ิงประดิษฐ์ท่ีแปลกใหม่หรือรูปแบบ ความคิดใหม่ นอกจากลักษณะการคิดสร้างสรรคด์ ังกล่าวนีแ้ ล้ว ยังมีสามารถมองความคิดสร้างสรรค์ในหลาย ซ่ึง อาจจะมองในแง่ท่ีเป็นกระบวนการคิดมากกว่าเน้อื หาการคิด โดยท่ีสามารถใช้ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ใน มิติท่ีกว้างขึ้น เช่นการมีความคิดสร้างสรรค์ในการทางาน การเรียน หรือกิจกรรมที่ต้องอาศัยความคิด สร้างสรรค์ด้วย อย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือการเล่นกีฬาที่ต้องสร้างสรรค์รูปแบบเกมให้ หลากหลายไม่ซา้ แบบเดมิ เพ่อื ไม่ให้คตู่ อ่ สู่รทู้ ัน เป็นต้น ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ ่าเป็นลกั ษณะการคิดสรา้ งสรรคใ์ นเชิง วิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ท่ีกล่าวนั้นต่างก็อยู่บนพื้นฐานของความคิด สร้างสรรค์ โดยที่บุคคลสามารถเช่ือมโยงนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ดี (สุพัตรา ทาวงศ์, 2563) เพื่อพัฒนา ความคิดสรา้ งสรรค์ ควรจดั การเรยี นการสอนทใ่ี ช้วธิ ีการทเ่ี หมาะสม ดงั นี้
1. การสอน (Paradox) หมายถึง การสอนเก่ยี วกับการคดิ เหน็ ในลักษณะความคิดเหน็ ที่ขัดแย้ง ใ น ตัวมันเอง ความคิดเห็นซ่ึงค้านกับสามัญสานึก ความจริงที่สามารถเชื่อถือหรืออธิบายได้ ความเห็นหรือ ความเช่ือท่ีฝังใจมานาน ซึง่ การคดิ ในลักษณะดงั กล่าว นอกจากจะเป็นวิธกี ารฝึกประเมินค่าระหว่างข้อมูลที่ แท้จริงแล้ว ยังช่วยใหค้ ิดในสิ่งท่ีแตกตา่ งไปจากรูปแบบเดิมท่ีเคยมี เปน็ การฝึกมองในรูปแบบเดิมให้แตกต่าง ออกไป และเป็นส่งเสริมความคิดเห็นไม่ให้คล้อยตามกัน (Non – Conformity) โดยปราศจากเหตุผล ดงั น้ัน ในการสอนอาจารย์จงึ ควรกาหนดให้นกั ศึกษารวบรวมข้อคิดเห็นหรอื คาถาม แล้วให้นักศึกษาแสดงทกั ษะดว้ ย การอภปิ รายโตว้ าที หรอื แสดงความคดิ เหน็ ในกลมุ่ ย่อยก็ได้ 2. การพิจารณาลักษณะ (Attribute) หมายถึง การสอนให้นักศึกษา คิดพิจารณาลักษณะต่าง ๆ ที่ ปรากฏอยู่ ทั้งของมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ในลักษณะท่ีแปลกแตกตา่ งไปกว่าที่เคยคิด รวมทัง้ ในลักษณะที่คาดไม่ ถงึ 3. การเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย (Analogies) หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งของหรือสถานการณ์ การณท์ ่ีคล้ายคลึงกัน แตกตา่ งกันหรอื ตรงกันข้ามกนั อาจเป็นคาเปรียบเทียบ คาพงั เพย สุภาษติ 4. การบอกสิ่งทค่ี ลาดเคลอื่ นไปจากความเป็นจรงิ (Discrepancies) หมายถงึ การแสดงความคิดเห็น บง่ ชถี้ งึ สิ่งทีค่ ลาดเคล่ือนจากความจรงิ ผดิ ปกตไิ ปจากธรรมดาทว่ั ไป หรอื สิง่ ที่ยงั ไมส่ มบูรณ์ 5. การใช้คาถามย่ัวยุและกระตุ้นให้ตอบ (Provocative Question) หมายถึงการต้ังคาถาม แบบปลายเปิดและใชค้ าถามที่ยวั่ ยุ เรา้ ความร้สู กึ ให้ชวนคิดค้นคว้า เพื่อความหมายที่ลึกซ้งึ สมบูรณ์ทสี่ ุดเทา่ ที่ จะเปน็ ได้ 6. การเปล่ียนแปลง (Example of change) หมายถึง การฝึกให้คิดถึงการเปล่ียนแปลง ดัดแปลง การปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ที่คงสภาพมาเป็นเวลานานให้เป็นไปในรูปอื่น และเปิดโอกาสให้เปลี่ยนแปลงด้วย วิธีการตา่ ง ๆ อย่างอิสระ 7. การเปล่ียนแปลงความเช่ือ (Exchange of habit) หมายถึง การฝึกให้นักศึกษาเป็นคนมีความ ยดื หยนุ่ ยอมรับความเปลยี่ นแปลง คลายความยดึ มั่นต่าง ๆ เพอ่ื ปรับตนเข้ากบั สภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ดี 8. การสร้างส่ิงใหม่จากโครงสร้างเดิม (An organized random search) หมายถึง การฝึกให้ นกั ศึกษารู้จักสร้างส่ิงใหม่ กฎเกณฑใ์ หม่ ความคิดใหม่ โดยอาศัยโครงสร้างเดิมหรือกฎเกณฑ์เดิมที่เคยมี แต่ พยายามคิดพลิกแพลงให้ตา่ งไปจากเดิม 9. ทักษะการคน้ ควา้ หาข้อมลู (The skill of search) หมายถึง การฝึกเพอ่ื ใหน้ ักศกึ ษาร้จู กั หาข้อมูล 10. การค้นหาคาตอบคาถามที่กากวมไม่ชัดเจน (Tolerance for ambiguity) เป็นการฝึกให้ นกั ศึกษามีความอดทนและพยายามท่ีจะค้นคว้าหาคาตอบต่อปัญหาที่กากวม สามารถตีความไดเ้ ป็นสองนัย ลกึ ลับ รวมทง้ั ทา้ ทายความคดิ 11. การแสดงออกจากการหยั่งรู้ (invite expression) เป็นการฝึกให้รู้จักการแสดงความรู้สึก และ ความคิด ท่เี กดิ จากสิ่งทเี่ ร้าอวยั วะรบั สัมผัสทงั้ ห้า 12. การพัฒนาตน (adjustment for development) หมายถึง การฝึกให้รู้จักพิจารณาศึกษาดู ความ ล้มเหลว ซ่ึงอาจเกิดข้ึนโดยต้ังใจหรือไมต่ ั้งใจ แล้วหาประโยชนจ์ ากความผิดพลาดนั้นหรอื ข้อบกพร่อง ของตนเองและผอู้ ่นื ทั้งน้ใี ชค้ วามผดิ พลาดเป็นบทเรียนนาไปสคู่ วาม-สาเรจ็
13. ลักษณะบุคคลและกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (creative person and creative) หมายถึง การศึกษาประวัติบุคคลสาคัญทั้งในแง่ลักษณะพฤติกรรมและกระบวนการคิดตลอดจนวิธีการ และ ประสบการณ์ของบคุ คลน้ัน 14. การประเมินสถานการณ์ (a creative reading skill) หมายถงึ การฝึกให้หาคาตอบโดยคานึงถึง ผลท่ีเกดิ ขนึ้ และความหมายเกีย่ วเน่ืองกัน ดว้ ยการต้งั คาถามว่าถ้าส่ิงเกดิ ขน้ึ แล้วจะเกดิ ผลอยา่ งไร 15. พัฒนาทักษะการอ่านอย่างสร้างสรรค์ (a creative reading skill) หมายถึง การฝึกให้รู้จักคิด แสดงความคดิ เห็น ควรส่งเสรมิ และให้โอกาสเด็กได้แสดงความคดิ เห็นและความรสู้ กึ ต่อเร่อื งทอ่ี า่ นมากกวา่ จะ มุ่งทบทวนขอ้ ตา่ งๆ ท่จี าไดห้ รอื เข้าใจ 16. การพัฒนาการฟังอย่างสร้างสรรค์ (a creative listening skill ) หมายถึง การฝึกให้ เกิด ความรู้สึกนึกคิดในขณะท่ีฟัง อาจเป็นการฟังบทความ เร่ืองราวหรือดนตรี เพื่อเป็นการศึกษาข้อมูล ความรู้ ซ่ึงโยงไปหาสง่ิ อน่ื ๆ ต่อไป 17. พัฒนาการเขยี นอย่างสรา้ งสรรค์ ( a creative writing skill ) หมายถงึ การฝกึ ให้ แสดงความคดิ ความรู้สึก การจนิ ตนาการผา่ นการเขียนบรรยายหรอื พรรณนาให้เห็นภาพชัดเจน 18. ทักษะการมองภาพในมิติตา่ งๆ (Visualization skill) หมายถึง การฝึกให้แสดงความรู้สึกนึกคิด จากภาพในแงม่ ุม แปลกใหม่ ไม่ซา้ เดมิ 4.2.4.1. รูปแบบการคิด ความคิด (Thinking) เป็นพฤติกรรมที่เกิดข้ึนในจิตใจมนุษย์ซ่ึงไม่สามารถพัฒนาให้ดีได้จากชาติ กาเนิดจาเป็นต้องอาศัยสิ่งเร้าจากส่ิงแวดล้อมประสบการณ์ต่างๆเป็นตัวกระตุ้นโดยเกิดข้ึนทุกขณะจิตอย่าง หลากหลายยากแก่การควบคุมบงั คบั ให้อยใู่ นกรอบหรือทศิ ทางทีพ่ ึงประสงคก์ ารศกึ ษาการเรียนร้รู ายละเอียด เช่นลักษณะวิธีการคิดสไตล์การคิดและกระบวนการคิดตลอดจนวิธีการปรับปรุงคุณภาพการคิดให้มี ประสิทธิภาพจนเกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์จึงเป็นเร่ืองดีท่ีน่าสนใจควรกระทาอย่ างย่ิงจะสังเกตพบว่า ความคิดของคนมีลักษณะวิธีการคิดกระบวนการคิดไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับปัจจัยอ่ืนๆท่ีมีอิทธิพลเร่งเร้า แตกต่างกันเช่นประสบการณ์จริงที่น่าสนใจลักษณะอาชีพท่ีเกี่ยวกับประโยชน์สภาพแวดล้อมและอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นเม่ือคน 3 คนที่มีอาชีพแตกต่างกันพบมีดเล่มหนึ่งก็จะเกิดความคิดไปคนละแบบอย่างบน พ้ืนฐานของการต้ังวัตถุประสงค์ด้านประโยชน์ใช้สอยสนองอาชีพหรือความสนใจของตนเองเป็นหลักเช่น บคุ คลท่ี 1 มีอาชีพเป็นเกษตรกรก็จะคิดว่าจุดประสงค์เพ่ือนาไปใชป้ ระโยชน์ในการใช้ตัดแต่งกิ่งไมต้ ามอาชีพ ของเกษตรกรท่ีตัวเองมีความสนใจบคุ คลที่ 2 มีอาชพี เป็นคนทาครัวประกอบอาหารจึงคิดว่าจดุ มุ่งหมายทจ่ี ะ นามดี ที่พบไปเป็นเครอ่ื งมอื ในการทาอาหารห่ันผักสบั เนื้อวัวในหอ้ งครัวส่วนบุคคลที่ 3 เป็นนักเลงหัวไม้ก็จะ คดิ ว่าจุดประสงคท์ ี่นามีดที่พบไปใช้เป็นอาวุธทาร้ายผู้อ่ืนเหล่าน้ีเปน็ ต้นซ่ึงแสดงให้เห็นว่าความคิดของมนุษย์ น้ันเกิดขึ้นได้หลากหลายตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ข้างในแง่บวกและแง่ลบกันไปพ้ืนฐานการศึกษาที่ดีจะเป็น ปัจจยั สาคัญท่จี ะสนับสนุนผลักดันให้บุคคลสามารถจัดระบบกระบวนการคิดท่ีถูกตอ้ งมคี ุณธรรมรู้จักคิดสิ่งท่ี เปน็ ประโยชน์ร้จู ักละเว้นการคดิ ทกี่ อ่ ใหเ้ กิดผลเสียท้งั ปวง วิธคี ิดตามทศั นคติของนกั จติ วิทยากลมุ่ นกั จิตวิทยาโดยเฉพาะนักจิตวทิ ยาเชิงประจักษ์ (Empirieism) เชื่อว่ามวลความรู้เกิดจากประสบการณ์ต่างๆโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือตาหูจมูกล้ินและผิวกายได้รับ รูส้ ึกจากระบบประสาทสัมผัสและบูรณาการเช่ือมสมั พันธ์การต่อตัวเปน็ ความคิดนกั จิตวิทยาเชือ่ ว่าความคิด ความรูด้ ้านต่างๆเกดิ จากประสบการณ์สิง่ แวดล้อมการศกึ ษาเรียนรู้ซึ่งเกิดข้ึนภายหลังมีได้มีติดตวั มาตั้งแต่เกิด
ความคิดของคนจึงเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาและจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมกาลเวลาและ สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้บางคนเข้าใจผิดคิดวา่ ความรู้สกึ นกึ คิดของคนเป็นพฤตกิ รรมของจติ ใจทม่ี ีติดตัว มาต้ังแต่เกิดในรูปแบบของสัญชาตญาณถ้าหากเป็นเชน่ น้ันทุกคนท่ีมคี วามคิดเช่นนั้นอยู่เหมือนเดิมและเท่า เดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอดอายขุ ัยจอห์นล็อคซ่ึงเปน็ ผหู้ นงึ่ ท่ีได้ขยายแนวคิดของลทั ธิจิตวิทยาประจักษ์ นิยมโดยเสนอแนวคิดเกี่ยวกบั เรือ่ งนี้ไว้วา่ คนเราเกดิ มาดว้ ยจติ ท่ีว่างเปล่าเหมือนกระดาษขาวท่ียงั ไมม่ ีรอยขีด ข่วนใดๆจิตจะเกิดข้ึนมาก็เพราะกระทบกบั สิ่งเร้าคือประสบการณ์จากการไดส้ ัมผัสเรียนรู้และประสบการณ์ เชื่อมโยงความคิดในจิตโดยวิธีอุปมาน induction คือเริ่มรับรู้สภาพข้อเท็จจริงจากประสบการณ์แล้วคิดหา เหตุผลจากข้อเทจ็ จริง ฌอง เพียเจ นักจติ วิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์แม่แบ่งโครงสร้างความรู้ความคิดออกเปน็ 2 ประการ ด้วยกันคือประการแรกเป็นโครงสร้างความคิดในรูปแบบของการกระทาหรือพฤติกรรม (Operative Knowledge) การหน่ึงเป็นโครงสร้างความคิดรูปแบบของข้อเท็จจริงหรือภาพลักษณ์ (Fact or Figurative Knowledge) โครงสร้างความคิดจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามข้ันพัฒนาทางปัญญาคือเร่ิมจากขั้นรับรู้ทาง ประสาทสมั ผสั ไปส่ขู นั้ การก่อการคิดหาเหตุผลขน้ั การคิดแบบเหตุผลเชิงรูปประธรรมและสขู่ ั้นการคดิ แบบเชิง นามธรรมในทสี่ ุด กลิ ฟอร์ด ผู้คดิ ทฤษฎีโครงสร้างเชาว์ปัญญาซ่งึ เป็นทฤษฎที ีเ่ ดน่ ท่ีสุดในปัจจุบันได้อธิบายองค์ประกอบ โครงสร้างความคดิ เพ่อื พัฒนาเชาวป์ ญั ญาของมนุษยใ์ นรปู แบบของมติ ิ 3 มติ ิคือ 1. มติ วิ ิธกี ารคดิ (Operation) 2. มติ ิเน้อื หาของการคดิ (Content) 3. มติ ิผลการคิด (Product) 1. มิตวิ ธิ ีคิดหมายถึงกระบวนการปฏบิ ัตใิ นการคิดหรือวธิ คี ดิ แบบต่างๆซ่งึ แบง่ ได้ 6 วถิ คี ือ 1.1 การคิดเพ่อื ร้จู ักและเข้าใจเป็นการรับร้ทู างตามทม่ี องเห็นในส่ิงที่ประสบการณ์ หรือสัญลักษณม์ องแลว้ เขา้ ใจเช่นห้ามจอดรถหา้ มสูบบุหรี่เป็นตน้ 1.2 การคิดเพ่ือจาชั่วขณะเป็นการคิดแล้วจดจาสิ่งที่ประสบเพื่อใช้งานในขณะนั้น และจะไม่เก็บสาระขอ้ มลู ไว้เป็นเวลานานเช่นจาเลขที่บ้านเพื่อตดิ ต่อค้นหาบ้านเมอ่ื พบคน้ พบแลว้ วา่ ก็จะไม่ใส่ ใจและจดจาอกี 1.3 การคิดเพื่อจาแบบถาวรลกั ษณะความจาหรือความคดิ ประกอบกับความเข้าใจ ในสง่ิ ที่ประสบสูงเพ่ือบันทกึ ไว้ในความทรงจาเปน็ เวลานานอาจเปน็ เดือนเปน็ ปีหรอื ตลอดชีวติ เช่นเหตุการณ์ท่ี ประทบั ใจเกยี่ วกบั ตนเองและผ้ใู กล้ชดิ เพอ่ื นสนิทเป็นตน้ 1.4 การคิดแบบเอกนยั เปน็ วธิ ีการคิดแบบหาคาตอบหลายๆทางให้มากทสี่ ุดในการ คิดในลักษณะกว้างออกซึ่งจะทาได้และให้ความแปลกใหม่เช่นการคิดเพื่อต่อคาศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้มาก ทสี่ ดุ หรือคดิ คาท่ขี น้ึ ตน้ ด้วยคาวา่ ประให้ไดม้ ากทีส่ ดุ 1.5 การคิดเอกนัยเป็นวิธีคิดเพื่อตัดสินใจเลือกหรือสรุปเพื่อเลือกส่ิงท่ีดีท่ีสุดไม่ ถูกต้องมากท่ีสุดจากส่ิงที่กาหนดให้หลายๆสิ่งหรือหลายๆชนิดเช่นการหาข้อสรุปเพ่ือตัดสินใจเลือกซื้อสบู่ถู ตัวเครอื่ ง 1 ก้อนจากยห่ี ้อในจานวนใหเ้ ลอื กอกี 10 ยีห่ อ้
1.6 การคิดแบบประเมินคือวิธีการคิดแบบพิจารณาคุณค่าความเหมาะสมในสิ่งที่ ความรู้ความเข้าใจความจาทักษะความสามารถเพื่อการตัดสินใจอย่างดีท่ีสุดเช่นการคิดประเมินตนเองเพื่อ การตดั สินใจในการศึกษาตอ่ เพอื่ เลอื กสาขาวชิ าทีเ่ หมาะสมกับตนเองใหม้ ากท่ีสดุ เป็นตน้ 2. มิติเนื้อหาของการคิดหมายถึงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติส่ิงเรา้ รปู แบบตา่ งๆมีลักษณะ คอื 2.1. ภาพ (Visual) เป็นสิ่งเร้ากระตุ้นความรู้สึกประเภทท่ีสามารถรับรู้ทางตาเช่น รูปทรงรปู รา่ ง Shape from ของส่งิ ที่ประสบท้ังทีม่ ีชวี ิตและไมม่ ีชีวิต 2.2. เสยี ง (auditory) เปน็ สิง่ เรา้ ทส่ี ามารถรับรูด้ ้วยการได้ยนิ 2.3. ภาษา (Semantie) เปน็ ภาษาหรอื ถอ้ ยความทม่ี ีความหมาย 2.4. สัญลักษณ์ (symbolic) คือรูปร่างสัญลักษณ์ต่างๆเช่นอักษรตัวเลขตัวโน้ต ดนตรีหรือรหัสต่างๆ 2.5. พฤติกรรม (Behavioral) คือส่ิงปลุกเร้าแบบเจตคติความตอ้ งการทางอารมณ์ ความใสใ่ จความนกึ คิดเป็นผลมาจากปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการเกีย่ วพนั ทางสังคมกบั ผอู้ ่นื 3. มติ ิผลของการคิดหมายถงึ ผลจากการปฏิบัตคิ วามคิดของสมองจะปรากฏผลออกมาโดยมี รูปแบบแตกตา่ งกนั จานวน 6 แบบดงั น้ี 3.1. จุดหน่วย (Unity) คือองค์ประกอบย่อยท่ีสมบูรณ์ในตัวเองมีคุณลักษณะและ คุณสมบัตเิ ฉพาะตวั ซงึ่ แตกตา่ งจากสง่ิ อื่นเช่นแมวแตล่ ะตวั ตัวอักษรหรือตัวเลขแต่ละตัวเปน็ ต้น 3.2. กลุ่ม (Group) คือกลุ่มหรือหมู่ของส่ิงต่างๆที่มีลักษณะร่วมกันเช่นสัตว์ปีก ประกอบดว้ ยนกไก่ชนดิ ตา่ งๆเกษตรกรประกอบด้วยชาวนาชาวไรช่ าวสวน 3.3. ความสัมพันธ์ (relation) เป็นการประสานเช่ือมโยงระหว่างหน่วยหรือกลุ่ม ของส่งิ ตา่ งๆโดยอาศัยหลกั เกณฑบ์ างอยา่ งเชน่ คาที่มีความหมายตรงกันข้ามคาทม่ี ีความหมายอย่างเดียวกนั 3.4. ระบบ (systerms) คือความสมั พนั ธ์ท่ีเชื่อมโยงของผลการคิดหลายๆค่หู ลายๆ กลมุ่ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนอย่างใดอยา่ งหน่ึง 3.5. การเปล่ยี นรูป (Transformers) ช่ันคอื การเปล่ยี นแปลงโยกย้ายสลับตาแหน่ง ขอ้ มูลให้อยูใ่ นรปู แบบใหม่ 3.6. การประยุกต์ (implication) เป็นวิธกี ารปรับปรุงพัฒนาสง่ิ ที่ปรากฏอยู่เดมิ ให้ เป็นรูปแบบใหม่ที่แตกต่างกันไปจากเดิมซ่ึงผลที่ปรากฏจากผลของการคิดวิธีนี้เป็นพื้นฐานของการคิด สร้างสรรค์ กระบวนการคิดหมายถึงกระบวนการทางปัญญาซ่ึงเกิดจากพฤติกรรมของจิตใจและสมองซ่ึงเป็น พนื้ ฐานสาคัญในการวเิ คราะห์หาทางแกป้ ัญหาที่ประสบวทิ ยาได้แบง่ กระบวนการของความคิดไว้ 3 ส่วนดงั น้ี 1. ส่วนท่ีทาหน้าที่ในการจัดการได้แก่หน้าที่ด้านการวางแผนออกแบบเลือกกลวิธีในการ ตรวจสอบประสทิ ธิภาพสิง่ ตา่ งๆกระบวนการคดิ ดงั กลา่ วของทา่ นน้สี ่วนนี้ถอื ไดว้ ่าเป็นภารกจิ หรอื กระบวนการ ทางปัญญาระดับสูงต้องอาศัยความรู้เชิงวิชาการด้านพุทธิปัญญาเป็นพ้ืนฐานสาคัญผสมผสานกับ การมี ประสบการณ์ด้านตา่ งๆทัง้ ทางตรงและทางอ้อมเปน็ ปจั จยั สนับสนุน 2. สว่ นที่ทาหน้าที่ดาเนินการปฏบิ ัติการส่วนหรือกระบวนการที่เกิดขนึ้ สืบต่อมาจากส่วนท่ี 1 ซึ่งจะทาหน้าท่ีรับข้อมูลข่าวสารการเก็บบันทึกข้อมูลข่าวสารต่างๆและส่วนของความจาโดยการสร้าง
กาหนดรหัส (Encoding) การวิเคราะห์ (analysis) การปฏิบัติภารกิจการแก้ปัญหาตามแผนหรือตามกลวิธีที่ กระบวนการในส่วนของการจดั การกาหนดไว้ 3. ท่ที าได้ จุดส่วนทีท่ าหน้าทส่ี ห จดุ สว่ นท่ีทาหน้าท่ีตามหาความรเู้ ป็นสว่ นหรอื กระบวนการ จดุ ส่วนที่ทาหน้าท่ีตามหาความรู้เป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้าข้อ จุดส่วนที่ทาหน้าที่ตาม หาความรู้เป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้าข้อความรู้ต่างๆท่ีจะใช้เป็นแนวทางเพ่ือจาแนก แยกแยะข้อมูลว่าข้อ จุดส่วนท่ีทาหน้าที่ตามหาความรู้เป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้า ข้อความรู้ต่างๆท่ีจะใช้เป็นแนวทางเพ่ือจาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเก่ียวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการ แก้ปัญหาถา้ พบ จุดส่วนท่ีทาหน้าท่ีตามหาความรู้เป็นสว่ นหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้าขอ้ ความรู้ ตา่ งๆที่จะใชเ้ ป็นแนวทางเพ่ือจาแนกแยกแยะข้อมูลวา่ ข้อมลู ใดเกี่ยวข้องหรอื ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาถ้า พบว่าขอ้ มูลใดมีส่วนสาคัญ จุดส่วนทท่ี าหน้าที่ตามหาความรูเ้ ป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้า ข้อความรู้ต่างๆท่ีจะใช้เป็นแนวทางเพื่อจาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเกี่ยวข้องหรือไม่เก่ียวข้องกับการ แก้ปัญหาถ้าพบว่าข้อมูลใดมีส่วนสัมพนั ธ์กับปัญหาที่ประสบหรอื รู้ จุดสว่ นทท่ี าหน้าที่ตามหาความรูเ้ ป็นส่วน หรอื กระบวนการแสวงหาศกึ ษาคน้ คว้าข้อความร้ตู ่างๆทจี่ ะใชเ้ ปน็ แนวทางเพอื่ จาแนกแยกแยะข้อมูลวา่ ข้อมูล ใดเก่ียวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาถ้าพบว่าข้อมูลใดมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาท่ีประสบหรือรู้สึกมี คณุ ค่าก็ จดุ สว่ นทีท่ าหน้าที่ตามหาความรู้เปน็ ส่วนหรอื กระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้าขอ้ ความรูต้ ่างๆทีจ่ ะ ใช้เป็นแนวทางเพ่ือจาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาถ้าพบว่า ข้อมูลใดมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาที่ประสบหรือรู้สึกมีคุณค่าก็จะจดบันทึกไว้เพ่ือบูรณาการการ จุดส่วนท่ีทา หน้าท่ีตามหาความรู้เป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นควา้ ข้อความรู้ตา่ งๆที่จะใชเ้ ป็นแนวทางเพื่อ จาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเกีย่ วข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการแกป้ ัญหาถ้าพบว่าข้อมูลใดมีส่วนสัมพันธ์ กับปัญหาที่ประสบหรือรู้สึกมีคุณค่าก็จะจดบันทึกไว้เพ่ือบูรณาการการเก็บข้อมูลใหม่ๆเพื่อ จุดส่วนท่ีทา หน้าที่ตามหาความรู้เป็นสว่ นหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นควา้ ข้อความรู้ตา่ งๆที่จะใช้เป็นแนวทางเพ่ือ จาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเกย่ี วข้องหรือไม่เก่ยี วข้องกับการแก้ปัญหาถ้าพบว่าข้อมูลใดมีส่วนสัมพันธ์ กบั ปญั หาทปี่ ระสบหรือรู้สึกมีคณุ ค่าก็จะจดบนั ทกึ ไว้เพอื่ บูรณาการการเกบ็ ขอ้ มูลใหม่ๆเพ่อื จะนาไป จุดสว่ นท่ี ทาหน้าท่ีตามหาความรู้เป็นส่วนหรือกระบวนการแสวงหาศึกษาค้นคว้าข้อความรู้ต่างๆที่จะใช้เป็น แนวทาง เพ่ือจาแนกแยกแยะข้อมูลว่าข้อมูลใดเกี่ยวข้องหรือไม่เก่ียวข้องกับการแก้ปัญหาถ้าพบว่าข้อมูลใดมีส่วน สมั พนั ธ์กับปญั หาที่ประสบหรอื รู้สกึ มคี ุณค่ากจ็ ะจดบนั ทึกไวเ้ พือ่ บูรณาการการเกบ็ ขอ้ มูลใหมๆ่ เพ่อื จะนาไปใช้ เป็นองค์ประกอบจนก่อตัวกระบวนการทัง้ 3 ส่วนนีท้ ี่กลา่ วมาต้องปฏิบัตกิ ารประสานสัมพันธ์กันจึงจะทาให้ การคิดของบุคคลมีประสิทธิภาพแต่ถ้าจะถามว่าในส่วนที่มีความสาคัญที่สุดในสามตัวน้ี stermberg หน้า แสดงความเห็นและมีความเชื่อว่าส่วนที่ถือว่าเป็นหัวใจสาคัญท่ีสุดคือส่วนการจัดการมากกว่าส่วนอื่นเพราะ เป็นส่วนรเิ ร่ิมสั่งการและตรวจสอบประเมินผลการทางานของสว่ นอื่นๆ สไตล์การคิด cognitive style เป็นตวั แปรสาคัญทีท่ าใหป้ ระสิทธิภาพคุณภาพและความสามารถ ในการคิดของแต่ละบุคคลแตกต่างกันตามปกติสไตล์คิดจะสัมพันธ์กับสไตล์การเรียน ซึ่งจะเป็นข้อบ่งชี้ถึง ความแตกต่างของการปฏิบัติการทางปัญญาและคุณลักษณะทางบุคลิกของบุคคล จากผลการวิจัยเกี่ยวกับ สไตล์การคิดได้ให้ข้อสรุปท่ีสอดคล้องกันว่า แต่ละคนจะมีวิธีของตนเองในการรับสารข้อมูลการจัดระเบียบ สารขอ้ มูลและกระบวนการประมวลสารข้อมูล ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตวั ท่ีแต่ละบุคคลมี พฤติกรรมความสามารถมากนอ้ ยไม่เทา่ เทยี มกันบางคนมีปฏกิ ิริยาตอบสนองต่อส่ิงรอบกายอย่างรวดเรว็ บาง
คนจะต้องใช้เวลาไต่ตรองก่อนมีปฏิกิริยาตอบสนองลักษณะที่เป็นแบบเฉพาะตัวแต่ละบุคคลเช่นนี้เรียกว่า สไตล์การคดิ ซง่ึ สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 2 สไตลด์ ังน้ี 1 รูปแบบการคิดท่ีพิจารณาความเร็วและความผดิ พลาดของการตอบสนองเป็นหลักแหล่ง ประเภท ดงั นค้ี ือ 1.1. รายการ การคดิ แบบคุณหนั ฉบั พลัน (impulsive) 1.2. การคิดประเภทไตร่ตรอง (reflective) นักจิตวิทยาให้ข้อสังเกตไว้ว่าคนบางคนมกั จะคดิ โดยใช้เวลานานก่อนที่จะตอบคาถามหรือแก้ปัญหา ใดๆในขณะท่ีคนบางคนจะตอบทันทีทันใดที่เห็นคาถามหรอื ปัญหาซึ่งจากการสังเกตจะพบว่าบางคนใชเ้ วลา ในการคิดเพียงเลก็ น้อยคือคิดอยา่ งรวดเร็วมากจะผิดพลาดมากกว่าบคุ คลอีกประเภทหนง่ึ ท่ใี ช้เวลาในการคิด โดยผ่านการไตร่ตรองก่อนตอบคาถามหรือตอบปัญหาเม่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนรู้ระหว่าง บุคคลทีม่ ีรายการคิดค้นหาภรรยากับประเภทไตร่ตรองก็จะพบว่าคนทมี่ ีรายการคิดประเภทไตร่ตรองจะมีผล การเรียนรู้ดีกว่าซึ่งไม่ใช่เร่ืองแปลกเพราะคนท่ีชอบคดิ แบบใบตองย่อมสามารถจาแนกความแตกต่างของส่ิง เรา้ ไดด้ ีกวา่ สรุปได้ว่าสไตล์การคิดแบบประเภทหุนหันพลันแล่นและประเภทไตร่ตรองต่างก็เกิดขึ้นจากการ เรียนรู้ในสงั คมซงึ่ อาจอยู่ในรูปแบบของการเรียนแบบ (Imitation) จากแม่แบบหรือเกิดจากการอบรมสัง่ สอน ทัง้ จากท่ีบ้านและท่โี รงเรียนเชน่ เด็กชายทอี่ ยู่กบั ครซู ่ึงมรี ายการคิดประเภทไตร่ตรองจะมลี ักษณะการคิดแบบ สุขุมรอบคอบแบบไต่ตรองเช่นเดียวกันดังนั้นในการปรับพฤติกรรมการคิดแบบคุณหันไปสู่แบบไตร่ตรอง นกั จติ วทิ ยาและนักศึกษาจงึ มกั จะเนน้ การเสนอแมแ่ บบที่ดคี ือครแู ละวธิ กี ารอบรมสง่ั สอนที่ดีควบค่กู ันไป 2. รปู แบบการคดิ ทีเ่ นน้ การจาแนกอิทธพิ ลของสิ่งรอบขา้ งซึ่ง เอาเป็น 2 ประเภทดังนี้ 2.1 สไตลก์ ารคดิ ประเภทขึ้นอยกู่ ับสิง่ รอบข้าง (Field dependence) 2.2 จัดรายการคดิ ประเภทอสิ ระจากสง่ิ แวดล้อม (Field Independence) ผู้มีสิทธิ์รายการคิดประเภทท่ีข้ึนอยู่กับส่ิงรอบข้างมักจะรับรู้สิ่งต่างๆในภาพรวมไม่แยกแยะหรือ จาแนกรายละเอียดของสิ่งที่ประสบการตัดสินใจเพ่ือปฏิบัติการต่างๆมักจะขึ้นอยู่กับคนอื่นๆหรือกลุ่มคนท่ี ตนเองมีสว่ นร่วมอยู่เช่นสนใจในความรู้สึกของผูอ้ ื่นชอบมีปฏิสัมพนั ธท์ ั่วๆไปมนุษย์สัมพันธ์ท่ดี ีสาหรับผู้มสี ิทธ์ิ รายการคิดอีกประเภทหนึ่งคือประเภทคิดอย่างอิสระจากสิ่งรอบข้างมัก จะรับรู้สิ่งต่างๆในรูปแบบการคิด วเิ คราะห์รายละเอยี ดหรือสว่ นย่อยเป็นหลักยดึ ถือประกอบการตัดสินใจในการแก้ปญั หาต่างๆจะไมค่ อ่ ยสนใจ ผู้อ่ืนแต่จะคานึงถึงเหตุผลในการวางจุดหมายและเป้าหมายในการปฏิบัติการดาเนินการและมักจะกาหนด ด้วยตัวเองไมส่ ามารถสนใจกลุม่ หรือคนอื่นๆผู้ท่ีมสี ไตลก์ ารคิดแบบนี้จะไม่ชอบสมาคมกับผู้อ่ืนมากนกั บางคร้ัง ทาใหเ้ กดิ ภาพลักษณแ์ บบคนที่ขาดน้าใจ ค่าความร้สู ึกไม่ดไี มย่ ินดียินรา้ ยต่อคนรอบข้างนักการศึกษาจึงได้นา หลักการเก่ียวกับสไตล์การคดิ 2 ประเภท มาประยกุ ต์ใชก้ ับวธิ ีการปรับปรุงพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน และได้ให้ความเห็นว่ารายการคิดสร้างสรรค์ประเภทน้ีกล่าวได้วา่ มีส่วนดีและสวยไม่ดีจากผลการวิจัยพบว่า พวกท่มี กี ารคดิ ประเภทขน้ึ อยกู่ ับสิง่ รอบข้างชอบทางานหรือเรียนเป็นกลุ่มๆชอบปฏสิ มั พันธ์กบั เพือ่ นๆและครู ชอบการเสริมสร้างเสริมแรงจากภายนอกเช่นการยกยอชมเชยจากครูพอใจในการสอนของครูที่ใช้วิธีการ กาหนดกิจกรรมมากกว่าให้คิดกันเองวิชาท่ีชอบของนักเรียนท่ีมีแนวคิดรายนี้คือกลุ่มวิชาด้านสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ แล้วชอบทา มปี ฏิสมั พนั ธ์กับผอู้ นื่ ส่วนผู้ทม่ี ีสไตลก์ ารคิดประเภทอิสระจากส่ิงรอบข้างจะไม่ ชอบทางานเป็นกลุ่มแต่ชอบกจิ กรรมท่ีศึกษาด้วยตนเองเช่นทาโครงการอิสสระหรือคน้ คว้าวจิ ัยบุคคลกลุ่มนี้
กาหนดจดุ มงุ่ หมายและเป้าหมายดว้ ยตนเองโดยยึดหลักและเหตุผลในเชิงวชิ าการอยู่ในใจเป็นหลกั วิชาทชี่ อบ เรยี นจะเปน็ กลมุ่ ด้านวิทยาศาสตร์คณติ ศาสตรแ์ พทยศ์ าสตรแ์ ละจติ วทิ ยาอาชีพท่ชี อบจะเป็นอาชีพที่ไมจ่ าเป็น ต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนมากนักเช่นนักเรียนสามารถปฏิบัติงานในห้องทดลองผู้บริหารงานผลิตจิตกรนัก ออกแบบเปน็ ต้นในแตล่ ะบคุ คลหนงึ่ จะไม่ปรากฏสไตล์การคิดประเภทใดประเภทหนงึ่ ทีถ่ าวรตลอดกาลแตจ่ ะ เปล่ียนแปลงรายการคิดของตนเองไปตามสภาพหรือสถานการณ์ท่ีผ่านเข้ามาเพ่ือช่วยให้ตายการคิดมี ประสิทธิภาพสามารถนาไปปฏิบัตเิ พื่อแก้ปัญหาต่างๆให้บรรลุผลสัมฤทธ์ิที่ดีตามเป้าหมายความว่าสไตล์การ คิดมอี ิทธิพลต่อพฤตกิ รรมของนักเรยี นและการเรียนการสอนโดยตรงเพราะครูที่มีรายการคิดแตกตา่ งไปจาก นักเรียนมักจะดาเนินการสอนไมส่ อดคลอ้ งกับลักษณะของนักเรียนดังนนั้ จึงคานวณหรือคานงึ ถงึ ผลสไตลก์ าร คดิ ของนักเรียนเปน็ หลักในการวางแผนการสอนของครูนน้ั เอง (เอมอร กฤษณะรังสรรค์,2553) ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทาง ความคดิ ของมนุษย์ท่ีสาคญั นั้น นอกจากความเช่ือและทัศนคตแิ ล้ว ปัจจุบันนี้ในบริบทของ การจัดการศกึ ษา นักจิตวิทยา นักการศึกษา และนักวิจัยกาลังให้ความสนใจและให้ความสาคัญมากข้ึนทุกที ต่อสิ่งท่ีเรียกว่า รูปแบบการคิด (cognitive style) และ รูปแบบการเรียนรู้ (learning style) ในฐานะที่เป็นปัจจัยทาง จิตวทิ ยาสาคัญ ที่จะชว่ ยส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสทิ ธภิ าพ และเพมิ่ สัมฤทธิผลทางการเรียนของผู้เรียนได้ ทัง้ ในการจัดการศึกษาในระดับโรงเรียน ระดับอุดมศึกษา และในการฝึกอบรมเพ่ือพัฒนาวิชาชพี ขององค์กร ตา่ งๆ ความหมายของคาว่า “รูปแบบ (style)” ในทางจติ วทิ ยา หมายถงึ ลักษณะท่ีบุคคลมีอยู่หรอื เปน็ อยู่ หรอื ใช้ในตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ มอยา่ งคอ่ นข้างคงที่ ดังทีเ่ รามกั จะใช้ทับศพั ท์ว่า “สไตล์” เช่น สไตลก์ าร พูด สไตล์การทางาน และสไตลก์ ารแตง่ ตวั เป็นต้น ซ่ึงก็หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตัวของเราเป็นอยู่ หรือเราทา อยเู่ ป็นประจา หรอื ค่อนข้างประจา ความหมายของ รปู แบบการคิด (cognitive style) หมายถึง หนทางหรือวิธีการทบ่ี ุคคลชอบใช้ใน การรับรู้เก็บรวบรวมประมวลทาความเข้าใจจดจาข่าวสารข้อมูลที่ได้รับและใช้ในการแก้ปัญหา โดย รปู แบบการคดิ ของแตล่ ะบคุ คลมีลักษณะคอ่ นข้างคงที่ ความหมายของ รูปแบบการเรียนรู้ (Learning style) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพ ความคดิ และ ความรู้สึกที่บุคคลใช้ในการรับรู้ ตอบสนองและมีปฎิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางการเรียนอย่างค่อนข้าง คงท่ี (Keefe,1979 อา้ งใน Hong & Suh, 1995) ดงั นั้นรูปแบบการคิดและรปู แบบการเรียนรู้ จึงเป็นลักษณะของการคิด และลกั ษณะของการเรียนที่ บุคคลหน่ึงๆ ใช้หรือทาเป็นประจา อย่างไรก็ตามรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ไม่ได้หมายถึง ตัว ความสามารถโดยตรง แต่เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ความสามารถของตนท่ีมีอยู่ในการคิดและการเรียนรู้ ด้วย ลกั ษณะใดลักษณะหนึง่ มากกวา่ อกี ลักษณะหนึง่ หรือลักษณะอนื่ ๆที่ตนมอี ยู่ ความเก่ียวข้องระหว่างรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ แนวคิดเก่ียวกับรูปแบบการคิด (Cognitive Style) พัฒนามาจากความสนใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งในช่วงแรกของการศึกษา เกี่ยวกับรูปแบบการคิดนักจิตวิทยาได้เน้นศึกษาเฉพาะความแตกต่างระหว่างบุคคลในแง่ของการประมวล ขา่ วสารข้อมลู ยังไม่ไดป้ ระยุกตเ์ ข้ามาสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียน ตอ่ มานักจิตวทิ ยากลุม่ ท่ีสนใจการพฒั นา ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนในช้ันเรียน ได้นาแนวคิดของรูปแบบการคิดมาประยุกต์ใช้ให้เกิด
ประโยชน์โดยเน้นสู่บริบทของการเรียนรู้ในช้ันเรียนและพัฒนาเป็นแนวคิดใหม่ เรยี กว่า รูปแบบการเรียนรู้ (learning style) Riding และ Rayner (1998) กล่าวว่า รูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วยรูปแบบการคิด (cognitive style) และกลยุทธ์การเรียนรู้ (learning strategy) ซง่ึ หมายถึงวิธีการท่ีผู้เรียนใช้การจัดการหรือตอบสนอง ในการทากจิ กรรมการเรยี นเพ่อื ใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์และงานในขณะนั้นๆ ความสาคญั ของรปู แบบการ คิดและรูปแบบการเรียนรู้ การศึกษาวิจัยเก่ียวกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ได้เป็นไปอย่าง กว้างขวางและตอ่ เน่อื งมาเปน็ เวลากว่า 20 ปี ผลการวิจัยได้ช้ีชัดว่ารปู แบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของ ผู้เรียนมีผลต่อความสาเร็จทางการเรียน โดยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนจะเพิ่มข้ึนและผู้เรียนจะ สามารถจดจาข้อมูลท่ีได้เรียนนานข้ึน เมื่อวิธีสอน วัสดุ/สื่อการสอน และ สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้มี ความสอดคล้องกบั รปู แบบการคดิ และรูปแบบการเรียนรู้ของผเู้ รียน (Davis, 1991; Jonassen & Grabowski, 1993; Caldwell & Ginthier ,1996 ; Dunn, et al., 1995 ) เช่น ผู้เรียนท่ีมีรูปแบบการคิดเป็นรูปภาพ จะเรียนรู้ได้ดีเม่ือผู้สอนใช้ส่ือการสอนที่มีภาพประกอบ หรือผู้เรียนที่มีรูปแบบการคิดแบบอิสระ จะเรียนรู้ได้ดีในกิจกรรมการเรียนท่ีมีการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือ ผู้เรียนท่ีมีรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ก็จะเรียนรู้ได้ดีในกิจกรรมการเรียนที่มีส่วนร่วม มีการร่วมมือกัน ทางานเป็นกลมุ่ เป็นต้น นอกจากน้ีการวิจัยยังพบประเดน็ ท่ีน่าสนใจอีกว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ต้อง ออกจากโรงเรียนกลางคัน จากผลการเรียนไม่ถึงเกณฑ์จานวนมาก มีรูปแบบการเรียนรู้ท่ีไม่สอดคล้องกับ รปู แบบการสอน ท่คี รูส่วนใหญ่ใชส้ อนกนั (Caldwell & Gintheir, 1996; Rayner & Riding,1996) อีกทง้ั ยงั พบว่านกั เรียนท่ีมีปญั หาการเรยี น ส่วนใหญ่ มีรูปแบบการเรียนรู้ท่ีแตกต่างไปจากนักเรียนผสู้ นใจเรียนและเรยี นดี (Shaughnessy, 1998) จึง อาจเป็นไปได้ว่า ปัญหาการเรียนของนักเรียนเหล่านี้ มีสาเหตุมาจากการทีม่ ีรูปแบบการเรยี นรทู้ ่ีแตกต่างกับ นกั เรยี นท่วั ไป และไมส่ อดคลอ้ งกบั รูปแบบการสอนท่ัวไปของครู จึงกล่าวได้ว่าความรูค้ วามเข้าใจในเรื่องรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ มีความสาคัญต่อการ ส่งเสริมประสิทธภิ าพของการเรียนการสอน และพฒั นาผู้เรยี นให้สามารถเรียนรู้ได้เต็มศกั ยภาพ และอาจช่วย ลดปญั หาผลการเรยี นตา่ ปัญหาการหนีเรยี น และไม่สนใจเรยี นของผ้เู รียนได้ดว้ ย การจาแนกประเภทของรูปแบบการคิด (The categorization of cognitive style) ได้มีการเสนอ แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการคิด (cognitive style) อย่างหลากหลาย ซ่ึง ไรดิงก์ และชีมา (Riding & Cheema,1991) ได้จัดกลุ่มแนวคิดรูปแบบการคิดต่างๆเหล่านั้น เพื่อง่ายแก่การเข้าใจและเห็นภาพชัดข้ึน โดยจาแนกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มรูปแบบการคิดแบบภาพรวม-วิเคราะห์ (wholist – analytic dimension) กลมุ่ รปู แบบการคิดแบบถอ้ ยคา-ภาพ ( verbal – imagery dimension) 1. รูปแบบการคดิ ในกลมุ่ การคดิ แบบภาพรวมและแบบวเิ คราะห์ (wholist – analytic dimension) ในกลมุ่ ของแนวคดิ ท่จี าแนกรปู แบบการคดิ ในลักษณะของการคิดภาพรวมและการคดิ วิเคราะห์ ได้แก่ 1.1 รปู แบบการคิดแบบพ่ึงพาและแบบอสิ ระ(Field-dependent / field-independent cognitive style) ของ วิทคนิ และคณะ (Witkin, et al., 1971) รปู แบบการคิดแบบพึ่งพาและแบบอสิ ระเป็น รปู แบบการคิด 2 ขั้ว ซ่ึงแต่ละข้ัวต่างมีประโยชน์ มีคณุ ค่า และมีความเหมาะสมกบั สภาพการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นแต่ละรูปแบบการคิดจะมีคุณค่าต่อเม่ือรูปแบบการคิดถูกใช้ได้เหมาะสมกับสภาพการณ์นั้นๆ (Witkin et al., 1977; Witkin and Goodenough, 1981)
1.1.1 บุคคลที่มีรูปแบบการคดิ แบบพึ่งพา (Field Dependence) ลกั ษณะเด่นของ บคุ คลทีม่ ีรูปแบบการคดิ แบบพึง่ พา คือ มีการรับรู้และจดจาขอ้ มลู ข่าวสาร ในลักษณะภาพรวมและคงสภาพ ของข้อมูลไว้เหมือนเดมิ ตามท่ีขอ้ มูลปรากฏ โดยไมม่ ีการปรับเปลย่ี นหรอื จดั ระบบข้อมูลใหม่ มีความสามารถ และทักษะทางสังคมดี เป็นบคุ คลท่ีชอบทางานร่วมกับผู้อื่น มีความสามารถในการอยู่ร่วมกบั ผ้อู ่ืนไดด้ ี มคี วาม เขา้ ใจผู้อื่น ต้องการมิตรภาพ ต้องการความคิดเห็นของผู้อืน่ ร่วมในการตัดสินใจและแก้ปญั หา ชอบท่ีจะเรยี น เป็นกลุ่มและชอบการเรียนท่ีมีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือนในช้ันเรียน รวมท้ังกับผู้สอนด้วย ต้องการการเสริมแรง ภายนอก(extrinsic Reinforcement) เช่น คาชมเชยของผู้อื่น มากกว่าการเสริมแรงภายใน สามารถเรียนรู้ ได้ดีเมื่อผู้สอนมีการจัดลาดับ ระบบระเบียบ และโครงสร้างของเนื้อหาท่ีสอนแล้วอย่างดี เรียนรู้เนื้อหาที่ เกย่ี วข้องกบั สังคมได้ดี 1.1.2 บุคคลท่ีมีรูปแบบการคิดแบบอิสระ (Field Independence) ลักษณะเด่น ของบุคคลท่ีมีรูปแบบการคิดแบบนี้ คือ มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และจดจาในลักษณะวิเคราะห์แยกแยะ ข้อมูล และมีการเปรยี บเทยี บความแตกต่างและความเหมือนระหวา่ งข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ กับขอ้ มูลเก่าท่มี อี ยู่ เดมิ มกี ารปรบั เปลี่ยนโครงสร้างและจัดระเบียบขา่ วสารข้อมลู ที่ได้รับใหม่ตามความเข้าใจของตนเอง มักจะมี ความสามารถและทักษะทางสังคมน้อย มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีการตัดสินใจโดยอาศัยความคิดของ ตนเองเปน็ หลกั สามารถเรยี นรู้ได้ดีในสภาพการเรยี นรทู้ ่ีมีลกั ษณะเป็นรายบุคคลและให้อสิ ระแกผ่ ู้เรียน ชอบ การเรียนท่ีให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายของงานด้วยตนเอง และตอบสนองต่อการเสริมแรงภายใน(เช่น ความ ต้องการ มาตรฐาน และค่านิยมของตนเอง)มากกว่าการเสริมแรงภายนอก ชอบท่ีจะพัฒนากลวิธีการเรียน ด้วยตนเอง ชอบที่จะจัดระบบโครงสร้างของเนื้อหาที่เรียนด้วยตัวเอง จึงไม่มีปัญหาแม้เอกสาร/วัสดุ ประกอบการเรยี นจะอย่ใู นรปู แบบที่ขาดการจัดระบบโครงสร้างของเนือ้ หา 1.2 รปู แบบการคิดแบบปรบั ใหเ้ รยี บและแบบลับให้คม (levelling/sharpening) ของการ์ด เนอร์ และคณะ (Gardner et al.,1959) การ์ดเนอร์ และคณะ อธิบายความแตกต่างของบุคคลในแง่ของการ รบั รูแ้ ละการเกบ็ จาข่าวสารข้อมูล โดยจาแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.2.1 รูปแบบการคิดแบบปรับให้เรียบ (levelling) หมายถึง การที่บุคคลมี แนวโน้มท่ีจะรบั ร้สู ิ่งเร้าหรือเหตุการณใ์ หม่ในลักษณะเดมิ ๆเหมือนท่ีเคยเก็บจาไว้แล้ว จึงมักจะรับรู้ว่าสิ่งใหม่ เหมือนคล้ายของเดมิ ชอบการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม ภาพในความจามักไมค่ งที่ พร่ามวั และ ไม่แมน่ ยา 1.2.2 รูปแบบการคิดแบบลับให้คม (sharpening) หมายถึง ลักษณะที่บุคคลมี แนวโน้มที่จะรับรู้ส่ิงเร้าเหตุการณ์ใหม่ในลักษณะท่ีแยกแยะเพ่งความสนใจเพื่อพิจารณา ให้เห็นชัดเจนใน ความแตกต่างระหว่างส่ิงใหม่กับกับสงิ่ ท่ีเคยเก็บจาไว้แล้ว ชอบการใช้เหตุผลเชงิ รูปธรรม มีการรับรูเ้ กี่ยวกับ เวลาทชี่ ัดเจน ภาพในความจาจะคงอยนู่ าน ความทรงจาหลกั จะอยใู่ นลักษณะของภาพ 1.3 รูปแบบการคิดแบบหุนหันและแบบไตร่ตรอง (impulsive / reflectiveness) ของ คา แกน และคณะ (Kagan et al.,1964) คาแกน และคณะ แบง่ รปู แบบการคดิ เป็น 4 ลักษณะ คือ 1.3.1. คิดแบบหุนหัน (cognitively impulsive) มีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ขอ้ มูลทางเลอื กเพยี งยอ่ ๆ และมกั เปน็ การตดั สนิ ใจท่ีมคี วามผิดพลาดบอ่ ยๆ 1.3.2. คิดแบบไตร่ตรอง (cognitively reflective) มกี ารใครค่ รวญ พิจารณาอย่าง รอบคอบระมัดระวังเกี่ยวกับทางเลือกทุกทางก่อนทจี่ ะตัดสินใจ และมักมีความผิดพลาดในการตดั สินใจเพยี ง เล็กนอ้ ย
1.3.3. คิดเร็ว (quick) มีการโต้ตอบต่อส่ิงที่เร้าหรือส่ิงที่รับรู้ได้อย่างรวดเร็วแต่ ผิดพลาดน้อย 1.3.4. คดิ ช้า (slow) มีการตอบสนองต่อสง่ิ ทีไ่ ด้รับรชู้ า้ และผิดพลาดมาก 1.4 รูปแบบการคิดแบบดัดแปลงและแบบสร้างใหม่ (adaption/innovation) ของ เคอร์ ตัน (Kirton,1987) เคอรต์ นั แบง่ ลักษณะรูปแบบการคดิ ตามลักษณะการแกป้ ญั หาเปน็ 2 ลักษณะ คอื 1.4.1 นักดัดแปลง (adaptor) เป็นผู้ที่ชอบ “ทาส่ิงท่ีดีกว่า/ดีข้ึนกว่าเดิม” โดยมี แนวทางในการทางานที่มีระเบียบและแม่นยา เป็นนักคิดหาคาตอบสรุป (convergence) แสวงหามติเอก ฉนั ท์โดยอิงวธิ ีการท่ีกาหนดข้ึน สามารถจดั การบรหิ ารได้ดใี นขอบเขตของระบบท่วี างไว้แลว้ 1.4.2 นักสร้างใหม่ (innovator) เป็นผู้ที่ชอบ “ทาสิ่งท่ีแตกต่าง” มีแนวทาง การ ทางานในลักษณะที่ไม่มีลาดับข้ันตอน ตัดสินใจโดยอิสระ เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงความคิดได้ตลอดเวลา มี อดุ มการณ์ และสามารถบรหิ ารจดั การในภาวะวิกฤติได้ดี 2. รูปแบบการคิดในกลุ่มมิติของถ้อยคา-ภาพ ( verbal – imagery dimension) แนวคิดน้ีแบ่ง บุคคลออกเป็นประเภท ตามกระบวนการประมวลสารสนเทศและการเก็บจา ซึ่งในกระบวนการของการ ประมวลข่าวสารข้อมูลนั้น เมื่อบุคคลรับข่าวสารข้อมูลมาแล้ว จะมีการแปลงรูปข่าวสารและเก็บจาไว้ใน 2 ลักษณะ คือ เป็นรูปภาพและเป็นคาพูด และจะดึงสิ่งที่เก็บจาน้ีออกมาใช้ในการคิดตามลักษณะท่ีเก็บจาไว้ เช่น ถ้าเราเก็บจาขอ้ มูลนั้นไว้ในลักษณะท่ีเป็นรูปภาพ เม่ือเวลาที่เราคิดถึงส่ิงน้นั หรือเรยี กข้อมูลน้นั ออกมาใช้ งาน ข้อมูลนั้นก็จะออกมาในลักษณะของรูปภาพ แต่ถ้าเราเก็บจาไว้ในลักษณะของถ้อยคา เวลาท่ีเราเรียก ข้อมูลออกมาใช้ในการคิด ข้อมูลท่ีเรานึกก็จะออกมาเป็นถ้อยคา โดยปรกติบุคคลจะมีการแปลงรูปข้อมูล ขา่ วสารได้ในทั้งสองลักษณะ แต่อย่างไรก็ตามการวจิ ัยพบวา่ บุคคลหนง่ึ ๆมีแนวโน้มที่จะใช้การแปลงข่าวสาร ข้อมูลในรูปแบบหนึ่งมากกว่าอีกรูปแบบหน่งึ ซึง่ เรียกว่า เป็นสไตล์ของผู้นั้น (Riding & Rayner, 1998) และ ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นท่ีสามารถปรบั เปลย่ี นรูปแบบการคิด ให้มีท้ังการคิดท่ีเป็นคาพดู และการคดิ ทเ่ี ป็นภาพ ได้เท่าๆกัน โดยยืดหยุ่นไปตามสภาพการณ์ที่เหมาะสม แนวคิดน้ีจึงแบ่งบุคคลตามรูปแบบการคิด ได้เป็น 2 ประเภท คอื ผู้ทคี่ ิดเป็นคาพูด (Verbaliser) หมายถึงผู้ที่เม่ือรับรู้ข่าวสารข้อมูลแล้ว มแี นวโน้มท่ีจะการแปลง รปู ข่าวสารข้อมูลน้ัน แล้วเกบ็ จา และดงึ ออกมาใช้ในการคิดในรปู ของคาพูดมากกวา่ ในลักษณะของรปู ภาพ ผู้ ท่ีคิดเป็นภาพ (Visualiser) หมายถึงผู้ท่ีเมื่อรับรู้ข่าวสารข้อมูลแล้ว มีแนวโน้มท่ีจะการแปลงรูปและเก็บจา และดึงออกมาใช้ในการคิดในลักษณะของรูปภาพมากกว่าในลักษณะของคาพูด การจาแนกประเภทของ รูปแบบการเรียนรู้ (The categorization of learning style) ได้มีการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการ เรียนรู้ ไม่ต่ากว่า 21 แนวคิด (Moran, 1991) ซง่ึ ในทีน่ จี้ ะกล่าวถึงเพียง 4 แนวคิดซงึ่ เป็นแนวคิดทเี่ ป็นท่ีรจู้ ัก กันโดยทัว่ ไป 1. รูปแบบการเรียนรตู้ ามแนวคดิ ของโคล์บ (Kolb’s Learning Style Model, 1976) แนวคิดนี้ไดจ้ าแนกผเู้ รียนออกเป็น 4 ประเภท ตามความชอบในการรบั รแู้ ละประมวลข่าวสารขอ้ มลู ดังน้ี 1.1 นักคิดหลายหลากมุมมอง (diverger) เป็นผู้ท่ีสามารถเรียนรู้ได้ดีในงานท่ีใช้ การจินตนาการ การหย่ังรู้ การมองหลากหลายแง่มุม สามารถสร้างความคิดในแง่มมุ ต่างๆกนั และรวบรวม ข่าวสารข้อมูลจากแหล่งต่างๆหรือท่ีตา่ งแงม่ ุมเขา้ ด้วยกันไดด้ ี และมีความเข้าใจผู้อนื่ แต่มีจุดออ่ นที่ตดั สินใจ ยาก ไม่คอ่ ยใช้หลักทฤษฎีและระบบทางวิทยาศาสตร์ในการคิดและตัดสินใจ มีความสามารถในการประยุกต์ นอ้ ย
1.2 นักคิดสรุปรวม (converger) เป็นผู้ทีม่ ีความสามารถในการใช้เหตุผลแบบสรุป เลือกคาตอบท่ีดีที่สุดเพียงหน่ึงคาตอบ มีความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ไม่ใช้อารมณ์ ประยุกต์แนวความคิดไปสู่การปฏิบัติได้ดี และมีความสามารถในการสร้างแนวคิดใหม่และทาในเชิงการ ทดลอง แตม่ จี ุดออ่ นทม่ี ีขอบเขตความสนใจแคบ และขาดการจินตนาการ 1.3 นกั ซึมซับ (assimilator) เป็นนักจัดระบบขา่ วสารข้อมลู มคี วามสามารถในการ ใชห้ ลกั เหตุผล วิเคราะห์ขา่ วสารข้อมูล ชอบทางานที่มีลักษณะเปน็ นามธรรมและเชิงปรมิ าณ งานที่มีลักษณะ เป็นระบบและเชิงวทิ ยาศาสตร์ และการออกแบบการทดลอง มกี ารวางแผนอย่างมีระบบ มีจดุ อ่อนท่ี ไม่คอ่ ย สนใจทีจ่ ะเกย่ี วข้องกับผคู้ นและความรูส้ กึ ของผอู้ ื่น 1.4 นักปรับตัว (accomodator) เป็นผู้ท่ีสามารถเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดโดยผ่าน ประสบการณ์จริง มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆได้ดี มีการหย่ังรู้ (intuition) ชอบแสวงหา ประสบการณใ์ หม่ๆ ชอบงานศิลปะ ชอบงานที่เกย่ี วข้องกบั ผ้คู น มีความสามารถในการปฏิบตั ิงานใหบ้ รรลุผล ตามแผน ชอบการเสี่ยง ใช้ข้อเท็จจริงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน จุดอ่อนของผู้ที่มีรูปแบบการเรียนแบบน้ีคือ วางใจในข้อมูลจากผู้อ่ืน ไม่ใช้ความสามารถในเชิงวเิ คราะหข์ องตนเอง ไม่ค่อยมรี ะบบ และชอบแกป้ ญั หาโดย วธิ กี ารลองผิดลองถูก 2. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Myers-Briggs (Myers, 1978) แนวคิดน้ีแบ่งผู้เรียน ตามความชอบของการเรียนรู้โดยมีพื้นฐานความคิดมาจากทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ล ยุง (Carl Jung) โดย แบง่ ผ้เู รยี นออกเปน็ ประเภทดังน้ี (Felder, 1996 ; Griggs, 1991) 2.1 ผู้สนใจสิง่ นอกตัวและผ้สู นใจสง่ิ ในตวั ( extroversion / introversion) ผู้สนใจ สิ่งนอกตัว (extroversion) หมายถึงผู้เรียนท่ีมุ่งเน้นข่าวสารข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกของตน และ ชอบการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม และมีการปฏิสัมพันธ์กัน ผู้สนใจสิ่งในตัว (introversion) หรือ ผู้เรยี นทมี่ งุ่ เน้นความคิดเกีย่ วกบั โลกภายใน ของตนและชอบงานรายบคุ คลท่เี น้นการใชก้ ารคิดแบบไตร่ตรอง 2.2 การสัมผัส และ การหย่ังรู้ (Sensing / intuition) เป็นการจาแนกผู้เรียนตาม วิธีการให้ได้มาซ่ึงความรู้ การสัมผัส (sensing) หมายถึงผู้เรียนที่มุ่งเน้นความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎ และ กระบวนการ โดยผ่านการปฏิบัติด้วยประสาทสัมผัส 5 การหยั่งรู้ (intuition) ผู้เรียนท่ีมุ่งเน้นความรู้ท่ีมี ลักษณะของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ปญั หาที่ไมม่ ีรูปแบบทีแ่ นน่ อน และอาศยั การจินตนาการในการให้ได้มาซ่ึง ความรเู้ หลา่ น้ี 2.3 การคิดและการรู้สึก (thinking / feeling) เป็นการจาแนกผูเ้ รียนตามลักษณะ ของกระบวนหาทางเลือกในการตัดสินใจ การคิด (thinking) หมายถึงผู้เรียนที่รับข้อมูลแล้วคิดตัดสินใจบน ฐานของการใช้กฏเกณฑ์และหลกั เหตผุ ล สามารถทางานไดด้ ีในงานที่เก่ยี วข้องกบั การตัดสนิ และแกป้ ัญหาท่ีมี คาตอบท่ีถูกต้องเพียงคาตอบเดียว การรู้สึก (feeling) เป็นผู้ท่ีตัดสินใจบนฐานของความความรู้สึก ค่านิยม สว่ นตวั ค่านยิ มของกลุ่ม และสนใจในประเด็นปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับผู้คน เป็นผ้ทู มี่ ีความสามารถในการสือ่ สาร ระหว่างบคุ คล และมักประสบความสาเร็จในการทางานเป็นทมี 2.4 การตัดสิน และ การรับรู้ (judging VS perception) เป็นการจาแนกผู้เรียน ตามกระบวนการประมวลข่าวสารข้อมูล การตัดสิน (judging) หมายถงึ ผู้เรียนท่ีเม่ือไดร้ ับข่าวสารข้อมูลใดๆ แล้ว มักจะประมวลข่าวสารด้วยการตัดสินและสรุปลงความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลนนั้ ๆ การรับรู้ (perception)
หมายถึงผู้เรียนท่ีมีแนวโน้มท่ีจะพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากกว่าท่ีมีอยู่และมักจะยืดเวลาการตัดสินใจ ออกไปเร่อื ยๆ 3. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Dunn และ Dunn และ Price (1991) Dunn และ คณะ ( Dunn et al.,1995) ได้เสนอแนวคิดรูปแบบการเรียนรู้ว่า ตัวแปรท่ีมีผลทาให้ความสามารถในการ รับรู้และการตอบสนอง ในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลแตกต่างกันน้ัน มีทั้งตัวแปรท่ีเป็นสภาพแวดล้อม ภายนอกของบุคคล และสภาพภายในตัวบุคคล ซ่ึงมี 5 ด้าน ได้แก่ 3.1 ตัวแปรสภาพแวดล้อมภายนอก (environmental variable) แต่ละบุคคลมี ความชอบและสามารถเรียนรูไ้ ดด้ ใี นสภาพแวดล้อมทางการเรยี นทีแ่ ตกต่างกนั ดงั นี้ ระดับเสยี ง บางคนเรยี นรู้ ได้ดีในท่ีเงียบๆ แต่บางคนเรียนรู้ได้ดีในที่ท่ีมีเสียงอื่นประกอบบ้าง เช่น เสียงดนตรี หรือเสียงสนทนา แสง บางคนเรียนรู้ได้ดีในท่ีมีแสงสว่างมากๆ แต่บางคนเรียนรู้ไดด้ ีในท่ีมีแสงสลัว อุณหภูมิ บางคนเรียนชอบและ เรียนรู้ได้ดีกว่าในสภาพแวดล้อมท่ีมี อุณหภูมิอุ่น ในขณะท่ีบางคนชอบเรียนในทม่ี ีอากาศค่อนข้างเย็น ท่ีนั่ง บางคนเรียนรไู้ ด้ดีในสถานทีม่ ีการจัดทน่ี ่ังไวอ้ ย่างเป็นระเบยี บ แต่บางคนชอบเรยี นในท่ีจดั ทน่ี ั่งตามสบาย 3.2 สภาพทางอารมณ์ (emotional variable) เป็นคุณลักษณะของบุคคลทม่ี ีมาก น้อย ต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ ได้แก่ แรงจูงใจในการเรียนให้สาเร็จ ความเพียร/ความมุ่งม่ันทางานท่ีได้รบั มอบหมายในการเรียนให้เสร็จ ความรบั ผิดชอบในตนเองเก่ียวกับการ เรยี น ความต้องการการบังคบั จากสิ่งภายนอกหรอื มีการกาหนดทิศทางท่ีแน่นอน เช่น เวลาทผ่ี ู้สอนกาหนดให้ สง่ งาน การหักคะแนนถา้ ส่งงานล่าชา้ หรอื การทาสญั ญา เปน็ ตน้ 3.3 ความต้องการทางสงั คม (sociological variable) แต่ละบคุ คลมคี วามต้องการ ทางสังคมในสภาพของการเรยี นรู้แตกต่างกันได้แก่ ขนาดกลมุ่ เรียน บางคนชอบเรยี นคนเดียว จับคกู่ ับเพ่อื น เรียนเป็นกลุ่มเล็ก หรือเรียนกลุ่มใหญ่ ลักษณะผู้ร่วมงาน บางคนชอบทางานร่วมกับผู้ที่มีลักษณะมีอานาจ ในขณะท่ีบางคนชอบทางานร่วมกับผู้ที่มีลักษณะเป็นเพื่อนร่วมคิด ร่วมทา ลักษณะกลุ่มเรียน บางคนชอบ เรียนร้จู ากกล่มุ ที่แตกต่างหลายๆกล่มุ และมีกจิ กรรมท่ีหลากหลาย แตบ่ างคนชอบเรียนกบั กล่มุ ประจาและมีลี กษณะกจิ กรรมทแี่ น่นอน 3.4 ความต้องการทางกายภาพ (physical variable) ได้แก่ ช่องทางการรับรู้ แต่ ละบุคคลชอบและสามารถเรียนรู้ได้ดีโดยผ่านประสาทสัมผสั ต่างช่องทางกัน เช่น ผ่านทางการได้ยิน/ฟัง การ เห็น การสัมผัส และการเคล่อื นไหว(kinesthetic) ช่วงเวลาของวัน บางคนเรียนรู้ไดด้ ีในช่วงเช้าหรือสาย แต่ บางคนเรียนรู้ได้ดีในชว่ งบ่ายหรอื เย็น การกินระหว่างเรียนหรืออ่านหนังสือ บางคนเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีการกิน การเคีย้ ว ระหว่างท่ีมสี มาธิ แตบ่ างคนจะเรียนรไู้ ด้ดีตอ้ งหยดุ กจิ กรรมการกนิ ทกุ ชนดิ 3.5 กระบวนการทางจิตวิทยา (psychological processing) บุคคลมีความ แตกต่างกันกระบวนการท่ีใช้ในการประมวลข่าวสารข้อมูล ได้แก่ การคิดเชิงวิเคราะห์หรือแบบภาพรวม (analytic/global) บางคนเม่ือรับร้ขู ่าวสารข้อมลู แล้ว มักจะใช้กระบวนการวิเคราะห์ในการแยกแยะ เพื่อทา ความเข้าใจ ในขณะท่ีบางคนใช้กระบวนการคิดแบบภาพรวม ความเด่นของซีกสมอง (hemisphericity) บุคคลมแี นวโน้มที่จะใช้สมองซีกใดซีกหนึง่ ในการประมวลข่าวสารมากกว่าอีกซกี หน่งึ โดยบางคนมีแนวโน้มท่ี จะใช้สมองซีกซ้ายมากว่าซีกขวา ในขณะที่บางคนมีแนวโน้มที่จะใช้สมองซกี ขวามากว่าซีกซ้าย การคิดแบบ หุนหันหรือแบบไตร่ตรอง (impulsivity/reflectivity) บางคนมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็วหลังจากได้ข้อมูล เพียงย่อๆ แต่บางคนจะมกี ารใคร่ครวญ พจิ ารณาอย่างรอบคอบก่อนทีจ่ ะตัดสนิ ใจ
Search