Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยชั้นเรียน stem

วิจัยชั้นเรียน stem

Published by Janyaporn Sirikarn, 2022-09-01 06:01:42

Description: วิจัยชั้นเรียน stem

Search

Read the Text Version

28

29 การพฒั นากิจกรรมการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา สาหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 จรรยาภรณ์ ศิริกาญจน์ โรงเรียนวดั ท่าไทร(ดิตถานุเคราะห)์ สงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎรธ์ านีเขต 1

ก กิตติกรรมประกาศ การพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 สาเรจ็ ลุล่วงลงไดด้ ว้ ยความอนุเคราะหจ์ ากหลาย ๆ ฝ่ าย ท่ี กรณุ าใหค้ าแนะนา ตรวจสอบและแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งต่าง ๆ ดว้ ยความเอาใจใสอ่ ย่างดยี ง่ิ ตลอดมา ขอขอบพระคุณ ผู้อานวยการโรงเรียนวัดท่าไทร(ดิตถานุเคราะห์) ตลอดจนคณะครู ผปู้ กครองและกรณศี กึ ษา ทก่ี รณุ าอานวยความสะดวกและใหค้ วามรว่ มมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาครงั้ น้เี ป็นอยา่ งดี สุดท้ายน้ี ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ ท่ีให้ความช่วยเหลือเสมอมา ตลอดจน ส่งเสรมิ สนับสนุนทางการศกึ ษาในดา้ นต่าง ๆ และเป็นกาลงั ใจให้แก่ผู้ศกึ ษามาโดยตลอด และอกี หลาย ๆ ท่านท่ไี ม่ได้กล่าวนามในทน่ี ้ีทไ่ี ดก้ รุณาให้คาแนะนา และให้ความช่วยเหลอื มาโดยตลอด ผวู้ จิ ยั จงึ ขอขอบพระคณุ ทกุ ทา่ นทกุ ฝ่ายอย่างสงู มา ณ โอกาสน้ี ผวู้ จิ ยั หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ ว่างานวจิ ยั เรอ่ื งน้จี ะเป็นประโยชน์ในทางวชิ าการแก่ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งและ ผสู้ นใจต่อไป จรรยาภรณ์ ศริ กิ าญจน์ 31 มนี าคม 2564

ข ชื่อเร่ืองวิจยั การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงโน้มถ่วง ผดู้ าเนินการวิจยั ตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 จรรยาภรณ์ ศริ กิ าญจน์ บทคดั ย่อ การศึกษาครงั้ น้ีมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื พฒั นาแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเต็มศึกษา เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 และศกึ ษาผลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 หลงั จากไดใ้ ชแ้ ผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยเคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา คอื แผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา จานวน 5 แผน โดยแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 - 3 และ 5 แผนละ 1 ชวั่ โมง และแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 จานวน 2 ชวั่ โมง รวมทงั้ หมด 6 ชวั่ โมง และแบบทดสอบจานวน 20 ขอ้ และดาเนินการวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดย การหาคา่ รอ้ ยละ แลว้ นาไปเปรยี บเทยี บกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 60 ผลการศกึ ษาพบว่า 1. ไดแ้ ผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาทงั้ 5 แผน โดยแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 2 3 และ 5 แผนละ 1 ชวั่ โมง และแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 จานวน 2 ชวั่ โมง จากการวเิ คราะห์ ถอื ไดว้ ่าแผนการจดั การเรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมต่อการนาไปใชใ้ นการจดั การเรยี นรสู้ าหรบั นักเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 2. ผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา พบว่าคา่ รอ้ ยละของคะแนนของนักเรยี นทุกคน มคี ่ารอ้ ยละเทา่ กบั 65 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑ์ ทต่ี งั้ ไวค้ อื รอ้ ยละ 60

ค หน้า สารบญั ก ข กติ ตกิ รรมประกาศ บทคดั ยอ่ ค สารบญั สารบญั ภาพ จ สารบญั ตาราง บทท่ี 1 บทนา ฉ ความเป็นมาและความสาคญั 1 วตั ถุประสงค์ 1 ขอบเขตการศกึ ษา 2 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 3 ประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั 3 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 4 หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 5 6 วสิ ยั ทศั น์ 6 สมรรถนะของผเู้ รยี น 6 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 7 มาตรฐานการเรยี นรู้ 8 หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 9 หลกั การและแนวคดิ ของสะเตม็ ศกึ ษา 12

ง 16 18 สะเตม็ ศกึ ษากบั การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 19 ประโยชน์จากการจดั การเรยี นรตู้ ามแบบสะเตม็ ศกึ ษา 24 งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 24 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการวจิ ยั 24 กลุม่ เป้าหมายทศ่ี กึ ษา 26 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา 27 ขนั้ ตอนการดาเนนิ การ 27 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 28 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 32 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 32 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ 33 สรปุ ผลการศกึ ษา 35 อภปิ รายผล 36 ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม 39 ภาคผนวก 44 ภาคผนวก ก แผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ภาคผนวก ข ตวั อยา่ งแบบทดสอบหลงั เรยี น ประวตั ผิ เู้ ขยี น

จ สารบญั ภาพ ภาพ หน้า 1 กระบวนการออกแบบทางวศิ วกรรม (Engineering design process) 14

ฉ สารบญั ตาราง ตาราง หน้า 1 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลางวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 11 2 แผนการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง 24 โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา 31 3 ผลการศกึ ษาผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ จานวน 30 คน

1 บทท่ี 1 บทนา ความเป็ นมาและความสาคญั การเรยี นรูด้ ้านวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นกระบวนการท่ตี ้องค้นคว้าหาความรูเ้ พ่อื นาไปใช้ในการ แก้ปัญหาและการพฒั นาคุณภาพชวี ติ การค้นหาความรดู้ ้านต่างๆ นามาสรา้ งเทคโนโลยเี ช่อื มโยง กบั การพฒั นาการเรยี นการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ การจดั การดา้ นกระบวนการเรยี นรู้ ทกั ษะ กระบวนการคดิ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะการส่อื สาร การพฒั นาทางเทคโนโลยใี ชท้ รพั ยากรอย่าง อนุรกั ษ์และคุม้ ค่า จดั สง่ิ แวดลอ้ มใหส้ อดคล้องกบั การพฒั นาดา้ นต่างๆ จดั ไดว้ ่าเป็นการพฒั นาการ เรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งยงั่ ยนื (สมจติ สวธนไพบลู , 2545) ภาพสะทอ้ นของเดก็ ทงั้ ประเทศวา่ ยงั ขาดความสามารถดา้ นการคดิ ขนั้ พน้ื ฐาน ดว้ ยเหตุน้จี ดุ ด้อยท่ีควรปรบั ปรุงและพฒั นาให้ดีขน้ึ คือทกั ษะการคิด และผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นโดยเฉพาะ วทิ ยาศาสตร์ การคดิ ขนั้ พน้ื ฐาน คดิ แก้ปัญหา คดิ หาเหตุผลทางวทิ ยาศาสตรข์ องนกั ศกึ ษายงั มนี ้อย ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคอ่ นขา้ งต่า นอกจากน้คี ณะกรรมการยงั ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะว่าครคู วร พฒั นาวธิ กี ารสอน โดยใช้เทคนิคการสอนท่กี ระตุ้นให้ผู้เรยี นรู้จกั คดิ เป็น และคดิ อย่างเป็นระบบ (สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา) จากการเรยี นการสอนในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรใ์ นภาคเรียนท่ี 1 พบว่า ผูเ้ รยี นมกั เกดิ ความ สบั สนในเน้ือหาท่ีค่อนข้างซับซ้อนและมีปัญหาในการเช่อื มโยงความรู้ในชีวติ ประจาวนั อีกทัง้ นักเรยี นยงั ขาดทกั ษะกระบวนการคดิ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่สนใจการเรยี นและไม่เข้าใจใน เน้ือหา จงึ สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความทอ้ แทใ้ นการเรยี น และส่งผลต่อเน่ืองถงึ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น อย่ใู นระดบั ต่า ในฐานะครผู ู้สอนควรหาวธิ กี ารจดั การเรยี นรทู้ ่สี ามารถพฒั นานักเรยี นให้เกดิ ความ สนใจ ให้เกดิ ความรตู้ ามจุดประสงค์การเรยี นรทู้ ่ตี งั้ กาหนดไว้ และพัฒนากระบวนการคดิ ซ่งึ การ จดั การเรยี นรสู้ ่วนใหญ่เป็นการบรรยายหน้าชัน้ เรยี น ทาให้ผเู้ รยี นเกดิ ความเบ่อื หน่ายในการเรยี นรู้ ขาดความรแู้ ละทกั ษะการทางานดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อทรพั ยากรบุคคล

2 ทางผูว้ จิ ยั จงึ ไดท้ าการศกึ ษาค้นควา้ วธิ กี ารท่หี ลากหลาย และพบว่า วธิ กี ารท่จี ะช่วยให้การจดั การ เรยี นการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ในภาคเรยี นท่ี 2 มปี ระสทิ ธภิ าพท่สี ูงขน้ึ คอื แผนการจดั การเรยี นรู้ ตามแนวคดิ สะเต็มศึกษา เป็นเคร่อื งมอื ท่ีทาให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วมในชนั้ เรยี นมากยง่ิ ข้นึ รู้จกั การ คน้ ควา้ หาคาตอบในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอย่างมคี วามสุข อกี ทงั้ ยงั ฝึกใหผ้ เู้ รยี นเกดิ กระบวนการคดิ อยา่ งเป็นระบบพฒั นาศกั ยภาพดา้ นปัญญา ความคดิ และคุณลกั ษณะทด่ี ขี องผู้เรยี น สะเต็มศกึ ษา (STEM Education) เป็นวทิ ยาการจดั การเรยี นรู้ แบบบูรณาการ ท่มี กี ารนา วิทยาศาสตร์ (Science) , เทคโนโลยี (Technology), วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) เขา้ ด้วยกนั โดยผ่านวทิ ยาการจดั การเรยี นรทู้ ่มี กี ารออกแบบกจิ กรรม การเรยี นการสอน โดยเน้นการแก้ปัญหาทเ่ี ช่อื มโยงกบั ประสบการณ์ในชวี ติ ประจาวนั มกี ารพฒั นา ทกั ษะทจ่ี าเป็นในศตวรรษท่ี21 โดยการบูรณาการนัน้ เน้นใชก้ ารบูรณาการแบบ Transdisciplinary ซ่งึ เป็นการเรยี นรทู้ ่ใี หน้ ักเรยี นแก้ปัญหาหรอื ทาโครงงานซ่งึ ต้องประยุกต์ใช้ ความรแู้ ละทกั ษะจาก ศาสตร์ทัง้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม (Engineering design process ) (อภสิ ทิ ธิ ์ธงไชย, 2556) จากเหตุผลดงั กล่าวผู้วจิ ยั จงึ มคี วามประสงค์ท่จี ะพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรแู้ บบสะเต็ม ศกึ ษา (STEM Education) เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นการสอน เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ซ่งึ เป็นสาระการเรยี นรทู้ ส่ี าคญั เรอ่ื งหน่ึงในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ผวู้ จิ ยั จงึ ไดน้ าเน้ือหาเก่ยี วกบั แรงโน้มถ่วงในระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 รว่ มกบั การจดั การเรยี นการสอน โดยใช้รูปแบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) เพ่ือแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้นึ พัฒนาศักยภาพการ เรยี นรขู้ องผู้เรยี น และฝึกทกั ษะการคดิ แก้ไขปัญหาโดยให้ผู้เรยี นมสี ่วนร่วมในชนั้ เรยี นมากยง่ิ ข้นึ ตลอดจนสามารถนา ไปปรบั ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั เพ่อื พฒั นาตนเองต่อไป วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื พฒั นาแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเต็มศึกษา เร่อื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ทา่ ไทร(ดติ ถานุเคราะห)์

3 2. เพ่อื ศกึ ษาผลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุ เคราะห)์ หลงั จากไดใ้ ชแ้ ผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง ขอบเขตการศึกษา 1. ขอบเขตด้านประชากร นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) ต.ท่าทอง ใหม่ อ.กาญจนดษิ ฐ์ จ.สรุ าษฎรธ์ านี จานวน 30 คน ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา 1. แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง 2. ผลการเรยี นรู้ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 หลงั จากการใช้แผนการ จดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงมี องค์ประกอบสาคญั ได้แก่ การบูรณาการตามแนวคดิ สะเต็มศึกษา มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สมรรถนะท่สี าคญั ของผู้เรยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ สาระสาคญั จุดประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้ และการวดั และ ประเมนิ ผล 2. ผลการเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถในการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 สาระท่ี 4 แรงและการเคล่อื นท่ี เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยพจิ ารณาจากคะแนนทไ่ี ด้ จากการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เทยี บเกณฑผ์ า่ นรอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป 3. การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิ ดสะเต็มศึกษา (STEM Education) หมายถึง วิธี วิทยาการจดั การเรยี นรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญโดยการบูรณาการ ด้วยการนา วิทยาศาสตร์

4 (Science), เท คโน โล ยี (Technology), วิศ วกรรม ศ าสต ร์ (Engineering) แล ะค ณิ ต ศ าสต ร์ (Mathematics) เขา้ ดว้ ยกนั ผ่านการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอน ซง่ึ มกี ารประยกุ ต์นาความรแู้ ละทกั ษะจาก ศาสตร์ทัง้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยผี ่านกระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรม (Engineering design process) โดยผู้สอนทาหน้าท่ีคอยให้ความช่วยเหลือเป็นผู้อานวยความ สะดวก ให้คาแนะนา และทาหน้าท่อี อกแบบกระบวนการเรยี นรู้ ให้ผู้เรยี นทางานเป็นทมี เพ่อื ให้ ผเู้ รยี นบรรลเุ ป้าหมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ประโยชน์ที่ได้รบั 1. ไดแ้ ผนการจดั การเรยี นรเู้ พ่อื ใช้ในการจดั การเรยี นการสอนตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาใน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร (ดติ ถานุเคราะห)์ จานวน 6 ชวั่ โมง 2. ได้แนวทางพฒั นาผลการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ทา่ ไทร(ดติ ถานุเคราะห)์

5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง ในการวจิ ยั ครงั้ น้ี ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และไดน้ าเสนอตามหวั ขอ้ ต่อไปน้ี 1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2561) 1.1 วสิ ยั ทศั น์ 1.2 จดุ หมาย 1.3 สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 1.4 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1.5 มาตรฐานการเรยี นรู้ 1.6 มาตรฐานคุณภาพดา้ นผเู้ รยี น 2. หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. เอกสารเกย่ี วกบั การเรยี นการสอนแบบสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education) 3.1 หลกั การและแนวคดิ ของสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education) 3.2 สะเตม็ ศกึ ษากบั การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 3.3 ประโยชน์จากการจดั การเรยี นรตู้ ามแบบสะเตม็ ศกึ ษา 4. งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2561) 1.1 วิสยั ทศั น์ มงุ่ พฒั นาผูเ้ รยี นทุกคน ซง่ึ เป็นกาลงั ของชาตใิ ห้เป็นมนุษยท์ ่มี คี วามสมดุล ทงั้ ดา้ นรา่ งกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ติ สานึกในความเป็นพลเมอื งไทยและเป็นพลเมอื งโลก ยดึ มนั่ ใน การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข มคี วามรู้และทกั ษะ พน้ื ฐาน รวมทงั้ เจตคตทิ จ่ี าเป็นต่อการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชพี และการศกึ ษาตลอดชวี ติ โดย

6 มงุ่ เน้นผูเ้ รยี นเป็นสาคญั บนพน้ื ฐานความเช่อื ว่า ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้เต็มตาม ศกั ยภาพ 1.2 จดุ หมาย 1. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมทพ่ี งึ ประสงค์ เหน็ คุณค่าของตนเอง มวี นิ ัยและปฏบิ ตั ิ ตนตามหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาท่ีตนนับถือ ยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง 2. มคี วามรอู้ นั เป็นสากลและมคี วามสามารถในการส่อื สาร การคดิ การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยแี ละมที กั ษะชวี ติ 3. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจติ ทด่ี ี มสี ุขนิสยั และรกั การออกกาลงั กาย 4. มคี วามรกั ชาติ มจี ติ สานกึ ในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยดึ มนั่ ในวถิ ชี วี ติ และการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ 5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปั ญญาไทย การอนุรักษ์ และพัฒนา สงิ่ แวดลอ้ มมจี ติ สาธารณะทม่ี ่งุ ทาประโยชน์และสรา้ งสงิ่ ทด่ี งี ามในสงั คม และอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมอยา่ ง มคี วามสุข หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ ม่งุ พฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ ป็นคนดี มี ปัญญา มคี วามสุข มศี ักยภาพ ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกาหนดเป็นจุดหมาย เพ่อื ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น เมอ่ื จบการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน 1.3 สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7 1.4 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซ่อื สตั ย์ สจุ รติ 3. มวี นิ ยั 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มงุ่ มนั่ ในการทางาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มจี ติ สาธารณะ 1.5 มาตรฐานการเรียนรู้ การพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ความสมดุลต้องคานึงถงึ หลกั พฒั นาการทางสมองและพหุปัญญา หลกั สตู ร แกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานจงึ กาหนดใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ดงั น้ี 1. ภาษาไทย 2. คณติ ศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์ 4. สงั คมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม 5. สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา 6. ศลิ ปะ 7. การงานอาชพี 8. ภาษาต่างประเทศ สรปุ ไดว้ ่า หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กาหนดใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรู้ 8 กล่มุ สาระการ เรยี นรู้ ซง่ึ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จดั อยใู่ นกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ ผ่ี เู้ รยี นจาเป็นตอ้ งไดเ้ รยี นรู้ 1.6 มาตรฐานคณุ ภาพด้านผเู้ รียน มาตรฐานที่ 1 ผเู้ รยี นมสี ขุ ภาวะทด่ี แี ละมสี นุ ทรยี ภาพ มาตรฐานท่ี 2 ผเู้ รยี นมคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านยิ มทพ่ี งึ ประสงค์

8 มาตรฐานที่ 3 ผู้เรยี นมที กั ษะในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง รกั การเรยี นรแู้ ละพฒั นา ตนเองอยา่ งต่อเน่อื ง มาตรฐานท่ี 4 ผู้เรยี นมคี วามสามารถในการคดิ อย่างเป็นระบบ คดิ สรา้ งสรรค์ ตดั สนิ ใจ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมสี ติ สมเหตุสมผล มาตรฐานท่ี 5 ผเู้ รยี นมคี วามรแู้ ละทกั ษะทจ่ี าเป็นตามหลกั สตู ร มาตรฐานท่ี 6 ผู้เรยี นมที กั ษะในการทางาน รกั การอ่าน สามารถทางานร่วมกับผู้อ่นื ได้ และมเี จตคตติ ่ออาชพี สจุ รติ 2. หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสงิ่ ไม่มชี วี ติ กับส่งิ มีชีวติ และความสมั พนั ธ์ระหว่างสงิ่ มีชีวติ กับส่ิงมชี วี ิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอด พลงั งานการเปล่ยี นแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่มี ี ต่อทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรกั ษ์ธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สงิ่ แวดลอ้ มทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสง่ิ มชี วี ติ หน่วยพ้นื ฐานของสงิ่ มชี วี ติ การลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าท่ขี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนุษยท์ ่ี ทางานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ทท่ี างานสมั พนั ธ์ กนั รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พนั ธุกรรม สารพนั ธุกรรมการเปล่ยี นแปลงทางพนั ธุกรรมท่มี ผี ลต่อสงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลายทาง ชวี ภาพและววิ ฒั นาการของสงิ่ มชี วี ติ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

9 หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 1.1 – ว 1.3 สาหรบั ผู้เรยี นในระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึง ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิ ของสสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจาวนั ผลของแรงท่ีกระทาต่อวตั ถุ ลกั ษณะการเคล่อื นท่ี แบบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลย่ี นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาตขิ องคล่นื ปรากฏการณ์ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 2.1 – ว 2.3 สาหรบั ผู้เรยี นในระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์และระบบสุรยิ ะ รวมทงั้ ปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสุรยิ ะทส่ี ่งผลต่อสง่ิ มชี วี ติ และการ ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลย่ี นแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ภิ ยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศและ ภมู อิ ากาศโลก รวมทงั้ ผลต่อสง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 3.1 – ว 3.2 สาหรบั ผู้เรยี นในระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึง ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

10 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิตในสังคมท่ีมกี าร เปลย่ี นแปลงอย่างรวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละทกั ษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ ่นื ๆ เพ่อื แก้ปัญหา หรอื พฒั นางานอย่างมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคานึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คานวณในการแก้ปัญหาทพ่ี บในชวี ติ จรงิ อยา่ งเป็น ขนั้ ตอนและเป็นระบบใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.3 1. ทดลองและอธิบายผลของการ - การออกแรงกระทาต่อวตั ถุแลว้ ทาใหว้ ตั ถุ ออกแรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุ เปล่ยี นแปลงการเคล่อื นท่ี โดยวตั ถุท่หี ยุด น่ิงจะเคล่อื นท่ีและวตั ถุท่กี าลงั เคล่อื นท่ีจะ เคล่อื นทเ่ี รว็ ขน้ึ หรอื เคล่อื นทช่ี า้ ลง หรอื หยดุ เคล่อื นทห่ี รอื เปลย่ี นทศิ ทาง 2. ทดลองการตกของวตั ถุส่พู น้ื โลก - วตั ถุตกสู่พ้นื โลกเสมอ เน่ืองจากแรงโน้ม และอธบิ ายแรงทโ่ี ลกดงึ ดดู วตั ถุ ถ่วงหรอื แรงดึงดูดของโลกกระทาต่อวตั ถุ และแรงน้คี อื น้าหนกั ของวตั ถุ ตารางที่ 1 : ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลางวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษา ปีท่ี 3 โดยมเี น้อื หาพอสงั เขป ดงั น้ี

11 แรงโน้มถ่วงของโลก วตั ถุทุกชนิดไม่ว่าจะมขี นาดเลก็ หรอื ขนาดใหญ่ มนี ้าหนักมากหรอื น้อยจะตกลงสู่พ้นื เสมอ การท่วี ตั ถุตกลงสู่พ้นื แสดงว่ามแี รงชนิดหน่ึงมากระทาต่อวตั ถุ แรงชนิดนัน้ คอื แรงดงึ ดูดของโลก หรอื แรงโน้มถ่วงของโลก แรงดงึ ดูดของโลกหรอื แรงโน้มถ่วงของโลก คอื แรงดงึ ดูดของโลกทม่ี ตี ่อ วตั ถุต่างๆ ในลกั ษณะเขา้ สู่ศูนยก์ ลางของโลก แรงดงึ ดดู ของโลกทาให้วตั ถุสง่ิ ของต่างๆ มนี ้าหนัก เช่น เวลาท่เี ราออกแรงยกสงิ่ ของต่างๆ จะรู้สึกว่าสิ่งของนัน้ มนี ้าหนัก ซ่งึ เป็นเพราะมีแรงดงึ ดูด สง่ิ ของเหล่านนั้ ไวน้ นั่ เอง สรปุ ไดว้ ่า แรงโน้มถ่วง จดั อย่ใู นสาระท่ี 4 แรงและการเคล่อื นท่ี มาตรฐาน ว 4.1 ตวั ชว้ี ดั ป.3/2 ทดลองการตกของวตั ถุส่พู น้ื โลกและอธบิ ายแรงทโ่ี ลกดงึ ดดู วตั ถุ 3. เอกสารเก่ียวกบั การเรียนการสอนแบบสะเตม็ ศึกษา (STEM Education) 3.1 หลกั การและแนวคิดของสะเตม็ ศึกษา (STEM Education) สถาบนั การสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) อธบิ ายวา่ “สะเตม็ ศกึ ษา” (STEM Education) คอื แนวทางจดั การศกึ ษาท่บี ูรณาการใน 4 สหวทิ ยาการ ไดแ้ ก่ วทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนาความรูไ้ ปใช้แก้ปัญหาในชวี ติ จรงิ รวมทงั้ พฒั นากระบวนการหรอื ผลผลติ ใหมๆ่ ทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อการดารงชวี ติ และการทางาน มนตรี จุฬาวฒั นทล. (2556, หน้า3) อธิบายว่า “สะเต็มศึกษา” (STEM Education) เป็น แนวทางใหม่ในการจดั การศกึ ษาสายวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ ่เี น้นการบูรณาการ การเรยี นวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยโี ดยเรม่ิ ตงั้ แต่การศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานจนถงึ อุดมศกึ ษา อาชวี ศกึ ษา และ การศกึ ษาตลอดชวี ติ เพ่อื ให้คนไทยมคี วามรแู้ ละทกั ษะสาหรบั สรา้ งสรรคส์ งิ่ ใหม่ สามารถประกอบ วชิ าชพี วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละมคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ใี นยคุ ประชาคมอาเซยี น พรทพิ ย์ ศริ ภิ ทั รชยั . (2556, หน้า50) อธบิ ายว่า “สะเตม็ ศกึ ษา” (STEM Education) คอื การ สอนแบบบูรณาการขา้ มกลุ่มสาระวชิ า (Interdisciplinary Intergration) ระหว่างสาขาวชิ าต่างๆไดแ้ ก่

12 วชิ าวทิ ยาศาสตร์ (Science : S ) , เทคโนโลยี (Technology : T ), วศิ วกรรมศาสตร์ (Engineering : E) และ คณติ ศาสตร์ (Mathematics : M) โดยนาจดุ เด่นของธรรมชาตติ ลอดจนวธิ กี ารสอนของแต่ละ สาขาวชิ ามาผสมผสานกนั อย่างลงตวั เพ่อื ให้ผู้เรยี นนาความรทู้ ุกแขนงมาใช้ในการแก้ปัญหา การ ค้นคว้า และการพฒั นาสง่ิ ต่าง ๆ ในสถานการณ์โลกปัจจุบนั ซง่ึ อาศยั การจดั การเรยี นรทู้ ่คี รูผู้สอน หลายสาขารว่ มมอื กนั เพราะในการทางานจรงิ หรอื ในชวี ติ ประจาวนั นนั้ ตอ้ งใชค้ วามรใู้ นหลายดา้ นใน การทางานทงั้ สน้ิ ไมไ่ ดแ้ ยกใชค้ วามรเู้ ป็นสว่ น ๆ อภสิ ทิ ธิ ์ธงไชย. (2556, หน้า15-18) อธบิ ายวา่ การจดั การศกึ ษาแบบ “สะเตม็ ศกึ ษา” STEM Education เป็ นวิทยาการจัดการเรียนรู้แบบบูรณ าการท่ีมีการนาวิทยาศาสตร์( Science), เทคโนโลย(ี Technology), วศิ วกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์(Mathematics) เข้า ดว้ ยกนั โดยผา่ นการแกป้ ัญหาทเ่ี ช่อื มโยงกบั ชวี ติ จรงิ และกลา่ วไว้อกี วา่ วศิ วกรรมศาสตรใ์ น STEM Education หมายถึง การออกแบบ (Design) การวางแผน (Planning) การแก้ปัญหา (Problem Solving ) การใช้องค์ความรูจ้ ากศาสตร์ต่าง ๆ มาสรา้ งสรรค์ผลงานภายใต้ข้อจากดั หรอื เง่อื นไข (Constraints and criteria ) ท่กี าหนด กระบวนการออกแบบทางวศิ วกรรม (Engineering design process) เป็นการนาองคค์ วามรโู้ ดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยมี าประยุกตใ์ ช้ เพอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลงานและเช่อื มโยงกบั โลกความเป็นจรงิ การวางแผนการจดั กระบวนการเรียนร้แู บบ STEM Education 1. กาหนดเน้ือหาการเรยี นรู้ โดยมกี ารวางแผนร่วมกนั ระหว่างครแู ละนักเรยี นในการจดั การ เรยี นรู้ 2. วางแผนการจดั กจิ กรรม โดยมกี ารบรู ณาการดงั น้ี S - เก่ยี วกบั ความเขา้ ใจในธรรมชาติ สามารถใช้วธิ กี ารสอนแบบสบื เสาะ (Inquiry based Science Teaching) กจิ กรรมแบบแกป้ ัญหา (Scientific Problem – based Activities) T - เก่ยี วกบั กระบวนการแก้ปัญหา ปรบั ปรุง พฒั นาสงิ่ ต่าง ๆ หรอื กระบวนการต่าง ๆ เพ่อื สนองความตอ้ งการของคนเราโดยผ่านกระบวนการทางานทางเทคโนโลยี

13 E - เป็นวชิ าท่ีเก่ียวกับการสร้างสรรค์นวตั กรรมหรอื สร้างส่งิ ต่างๆ เพ่ือมาอานวยความ สะดวกของมนุษย์ โดยอาศยั ความรดู้ า้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยกุ ตใ์ ชส้ รา้ งสรรคช์ น้ิ งานนัน้ ๆ M - เป็นกระบวนการคดิ คณิตศาสตร์ อาทิ การจาแนก จดั กลุ่ม จดั แบบรปู บอกรปู รา่ งและ คุณสมบตั ิ ภาพท่ี 1 : กระบวนการออกแบบทางวศิ วกรรม (Engineering design process) การจดั การเรยี นรแู้ บบ STEM Education คอื จะตอ้ งใชบ้ รบิ ทของกจิ กรรมทน่ี กั เรยี นคุน้ เคย เพ่อื เช่อื มโยงกบั ชวี ติ จรงิ และมองว่าเป็นสง่ิ ใกล้ตวั มกี ารใช้คาถามปลายเปิดเพ่อื ให้ผู้เรยี นได้ฝึก แก้ปั ญหา(Problem Solving) ฝึกการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) และการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) มุ่งเน้นการทางานเป็นทมี และใหผ้ ู้เรยี นฝึกใช้อุปกรณ์ ส่อื เทคโนโลยตี ่าง ๆ ท่ี

14 พบเหน็ ในชวี ติ จรงิ เพ่อื เป็นเคร่อื งมอื ในการเรยี นรู้ รวมถงึ ฝึกการนาเสนอผลงานท่นี กั เรยี นไดจ้ ดั ทา ช่วยใหผ้ เู้ รยี นตระหนกั ถงึ จดุ มงุ่ หมาย เหตุผลและกระบวนการในการเรยี นรู้ จุดเด่นท่ชี ดั เจนขอ้ หน่ึงของการจดั การเรยี นการเรยี นรูแ้ บบสะเต็ม คอื การผนวกแนวคดิ การออกแบบเชงิ วศิ วกรรมเขา้ กบั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของผู้เรยี น กล่าวคือ ในขณะท่ีนักเรียนทากิจกรรมเพ่ือพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และฝึกทักษะด้าน วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ผู้เรยี นต้องมโี อกาสนาความรู้มาออกแบบวธิ กี ารหรอื กระบวนการเพ่อื ตอบสนองความต้องการหรอื แก้ปัญหาท่เี ก่ียวข้องกับชวี ิตประจาวนั เพ่อื ให้ได้ เทคโนโลยซี ่ึงเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม (NRC, 2012) กระบวนการ ออกแบบเชงิ วศิ วกรรมประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 5 ขนั้ ตอน ดงั ต่อไปน้ี 1) การระบุปัญหา (Identify a challenge) เป็ นขัน้ ตอนท่ีผู้แก้ปัญหาทาความเข้าใจสิ่งท่ีเป็ นปัญหาในชีวิตประจาวัน และ จาเป็นตอ้ งหาวธิ กี ารหรอื สรา้ งสงิ่ ประดษิ ฐ์ (Innovation) เพอ่ื แกป้ ัญหาดงั กล่าว 2) การคน้ หาแนวคดิ ท่เี ก่ียวข้อง (Explore Ideas) คอื การรวบรวมข้อมูลและแนวคดิ ท่เี ก่ียวข้องกบั การแก้ปัญหาและ ประเมนิ ความเป็นไปได้ ความคุ้มทุน ขอ้ ดี และขอ้ ด้อยและความเหมาะสมเพ่อื เลอื กแนวคดิ หรอื วธิ กี ารท่ีเหมาะสมท่ีสุด 3)การวางแผนและพฒั นา (Plan and Develop) ผู้แก้ปัญหาต้องกาหนด ขนั้ ตอนย่อยในการทางานรวมทงั้ กาหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดาเนินการใหช้ ดั เจนรวมถงึ ออกแบบและพัฒนาต้นแบบ (Proto type) ของผลผลิตเพ่ือใช้ในการทดสอบแนวคิดท่ีใช้ในการ แกป้ ัญหา 4) การทดสอบและประเมนิ ผล (Test and Evaluate) เป็นขนั้ ตอนทดสอบและประเมนิ การ ใช้งานต้นแบบเพ่ือแก้ปัญหาโดยผลท่ีได้อาจถูกนามาใช้ในการปรบั ปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มี ประสทิ ธภิ าพในการแกป้ ัญหามากขน้ึ 5) การนาเสนอผลลพั ธ์ (Present the Solution) หลงั จากการ พฒั นาปรบั ปรุงทดสอบและประเมนิ วธิ กี ารแก้ปัญหาหรอื ผลลพั ธจ์ นมปี ระสทิ ธภิ าพตามทต่ี ้องการ แลว้ ผแู้ ก้ปัญหาต้องนาเสนอผลลพั ธต์ ่อสาธารณชนโดยต้องออกแบบวธิ กี ารนาเสนอขอ้ มลู ท่เี ข้าใจ ง่ า ย แ ล ะ น่ า ส น ใ จ ( ส ส ว ท . , 2558, ห น้ า . 38) เพ่อื ให้เห็นรายละเอียดท่ชี ดั เจนข้นึ ของแต่ละองค์ประกอบของกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรมลองพิจารณาตัวอย่างกระบวนการออกแบบห้องทาความเย็นดงั น้ี 1) การระบุปัญหา (Identify a challenge) ในสภาพอากาศทร่ี อ้ นอบอา้ ว มคี วามจาเป็นต้องเกบ็ ผกั ผลไมใ้ นท่อี ุณหภูมิ

15 ต่าเพ่อื คงความสดใหม่ จงึ เกดิ คาถามว่าทาอยา่ งไรจงึ จะสรา้ งตู้หรอื ห้องทค่ี งอุณหภมู ใิ ห้ต่าอย่เู สมอ แมอ้ ุณหภูมภิ ายนอกจะสูงกต็ าม 2) การคน้ หาแนวคดิ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง (Explore Ideas) การค้นพบทาง วทิ ยาศาสตร์ได้อธิบายว่า 2.1) สสารโดยทัว่ ไปมกี ารคลายความรอ้ นเม่อื เปล่ียนสถานะจากไอ กลายเป็นของเหลว และมกี ารดูดความรอ้ นเมอ่ื เปล่ยี นสถานะจากของเหลวเป็นไอ และ 2.2) สสาร ในสถานะไอสามารถเปลย่ี นเป็นของเหลวได้เม่ือได้รบั ความดนั ท่สี ูงข้นึ และเปล่ยี นกลบั เป็นไอได้ เม่อื ลดความดนั ลง จงึ ได้แนวคดิ ว่าหากนาสารท่เี ปล่ยี นสถานะได้ง่ายและมคี ุณสมบตั กิ ารถ่ายเท ความร้อนได้ดมี าทาให้เปล่ยี นสถานะจากของเหลวเป็นไอภายในตู้และเปล่ยี นสถานะกลบั เป็น ของเหลวภายนอกตู้ก็จะเกดิ การถ่ายเทอุณหภูมจิ ากภายในตู้ออกไปนอกตู้ก็ได้ ในท่นี ้ีเทคโนโลยี ด้านเคร่อื งจกั รกลทางไฟฟ้า (หรอื มอเตอร)์ สามารถนามาประยุกต์เป็นเคร่อื งอัดแรงดนั ให้สาร เปล่ยี นสภาพจากไอเป็นของเหลวได้ และเพ่อื ให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพสูงท่สี ุดในการถ่ายเทพลงั งาน ความรอ้ น ควรมกี ารนาเอาสารหลายๆชนิดมาทดลองเปรียบเทยี บอตั ราการดดู และคลายความรอ้ น และพลงั งานท่ตี ้องใชใ้ นการทาให้สารนัน้ ๆเปล่ยี นสถานะมา 3) การทดสอบและประเมนิ ผล (Test and Evaluate) ออกแบบอุปกรณ์ต้นแบบทก่ี กั เกบ็ สารทาความเยน็ ไวใ้ นระบบปิดโดยทาใหเ้ กดิ การ ระเหยกลายเป็นไอภายในหอ้ งทต่ี อ้ งการทาความเยน็ และควบแน่นกลบั เป็นของเหลวภายนอกหอ้ ง เพ่ือประเมนิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลในการใช้งานก่อนนาไปพฒั นาเป็นผลติ ภณั ฑ์ 4) การ วางแผนและพฒั นา (Plan and Develop) ออกแบบกระบวนการสรา้ งผลติ ภณั ฑท์ ใ่ี ชต้ ้นทุนต่าแต่ได้ สมรรถภาพทต่ี อ้ งการ โดยการเลอื กสรรวตั ถุดบิ และชน้ิ สว่ นทเ่ี หมาะสม คานวณปรมิ าณสารทต่ี อ้ งใช้ รวมถึงขนาดของมอเตอร์ท่ใี ช้ทาอุปกรณ์อัดแรงดนั ด้วยแบบจาลองทางคณิตศาสตรเ์ พ่ือให้การ ถ่ายเทความรอ้ นเหมาะสมกบั ขนาดของหอ้ งทต่ี อ้ งการทาความเยน็ 5) การนาเสนอผลลพั ธ(์ Present the Solution) นา กระบวนการออกแบบทไ่ี ดน้ าเสนอต่อผู้ทส่ี นใจหรอื ผู้ให้ทุนสนับสนุน เพ่อื ใหเ้ กดิ การผลติ ในปรมิ าณมากและใชง้ านในวงกวา้ งต่อไป (ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาแห่งชาต,ิ 2557, หน้า2-4) จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมไม่จาเป็ นต้องเกิดข้ึน ตามลาดบั โดยการทดสอบและประเมนิ ผลสามารถทาไดใ้ นระหว่างการวางแผนและพฒั นาเช่นกนั หรอื ถ้าหากผลลพั ธ์ไม่อย่ใู นเกณฑท์ ย่ี อมรบั ไดไ้ ม่ว่าจะเป็นเร่อื งต้นทุนหรอื ประสทิ ธภิ าพอุปกรณ์ก็ อาจจาเป็นตอ้ งยอ้ นกลบั ไปคน้ หาแนวคดิ อ่นื ขน้ึ มาใหม่

16 ดงั นัน้ “สะเต็มศกึ ษา” STEM Education คอื รูปแบบวทิ ยาการเรยี นรู้แบบหน่ึงท่มี ุ่งเน้นให้ เกิดการบูรณ าการในกลุ่มสาระวิชาวิทยาศาสตร์ (Science) , เทคโนโลยี (Technology), วศิ วกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) มาผสมผสานกนั อย่างลงตวั เพ่อื พฒั นาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทกั ษะทจ่ี าเป็นในศตวรรษท่ี 21 ทเ่ี น้นใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเช่อื มโยงความรขู้ องตน ไปส่แู นวทางในการแกป้ ัญหาโดยมกี ระบวนการคดิ อยา่ งเป็นระบบ 3.2 สะเตม็ ศึกษากบั การจดั การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 พรทพิ ย์ ศริ ภิ ทั ราชยั . (2556, หน้า49-56) อธบิ ายว่า เน่ืองจากว่าประเทศสหรฐั อเมรกิ าได้ ประสบปัญหาเรอ่ื ง ผลการทดสอบ PISA ของสหรฐั อเมรกิ า ทต่ี ่ากว่าหลายประเทศ และส่งผลต่อขดี ความสามารถด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และวศิ วกรรม ดงั นัน้ รฐั บาลจึงมนี โยบาย ส่งเสรมิ การศึกษาโดยพัฒนา STEM Education ขน้ึ มา เพ่ือหวงั ว่าจะช่วยยกระดบั ผลการทดสอบ PISA (Program for International Student Assessment) แ ล ะ TIMSS ก า ร ท ด ส อ บ ด้ า น ค ณิ ต วิทยาศาสตร์ระดับสากล (Trends in International Mathematics and Science Study) ให้สูงข้ึน และจะเป็นแนวทางหน่ึงในการส่งเสรมิ ทกั ษะทจ่ี าเป็นสาหรบั ผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 (21st Century skills) เชน่ 1. ดา้ นปัญญา ผเู้ รยี นสามารถเขา้ ใจเน้อื หา 2. ด้านทกั ษะการคดิ ผู้เรยี นสามารถพฒั นาทกั ษะการคดิ โดยเฉพาะการคดิ ขนั้ สูง เช่น การคดิ วเิ คราะห์ การคดิ สรา้ งสรรค์ ฯลฯ 3. ด้านคุณลักษณะ ผู้เรียนสามารถมีทักษะการทางานกลุ่มทักษะการส่ือสารท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ การนานโยบายลงสู่การปฏบิ ตั ินัน้ พบว่า รฐั บาลสหรฐั อเมรกิ า ได้ทุ่มเทงบประมาณให้กบั การจดั การศึกษาแบบ STEM Education เป็นจานวนมาก มีโรงเรยี นเกือบ 40 รฐั ท่ีใช้การจัด การศกึ ษาแบบ STEM Education มาเป็นระยะเวลาหน่ึงแลว้ (National Research Council of the

17 NationalAcademes, 2011) นอกจากน้ียงั มกี ารประกาศใช้แผนการศึกษา Education to Innovate เพ่อื เร่งกระตุ้นให้ STEM Education เป็นรปู ธรรมและประสบผลสาเรจ็ มกี ารใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การประกาศแผนการสร้างครูต้นแบบในการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยแี ละ วศิ วกรรมศาสตรโ์ ดยเรยี กว่า STEM Master Teaching Corps ซ่งึ นักการศกึ ษาเหล่าน้ีจะเป็นผู้นา ในการศกึ ษาดา้ น STEM Education จะเป็นผทู้ ร่ี เิ รมิ่ จดุ ประกายความคดิ ใหน้ กั เรยี น และชว่ ยใหก้ ลุ่ม สังคมของพวกเขาเจริญเติบโตมากข้ึน (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาน เอกอคั รราชทตู ไทย ประจากรงุ วอชงิ ตนั ด.ี ซ.ี , 2555) นอกจากประเทศสหรฐั อเมรกิ าแล้ว ในประเทศอ่นื ๆ ต่างก็ต่นื ตวั และให้ความสนใจการจดั การศกึ ษาแบบ STEM Education เช่นกนั เช่น ประเทศจนี อนิ เดียฯลฯ โดย ปีพ.ศ. 2558 ประเทศ จนี จะผลติ บณั ฑติ ท่สี าเรจ็ การศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรที ่เี ก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยหี รอื STEM Degree ประมาณ 3.5 ลา้ นคน ซง่ึ ไม่รวมในระดบั ปรญิ ญาโท และปรญิ ญาเอก จากการศกึ ษา พบว่า ปรมิ าณบณั ฑติ ท่ปี ระเทศจนี จะผลติ ได้นัน้ มจี านวนเกนิ ครง่ึ ของท่ที ุกประเทศรวมกันผลติ แสดงถงึ ความสาคญั ของสถานการณ์ STEM Educationในอนาคต ส่วนในประเทศไทยขณะน้ีภาค ส่วนท่เี ก่ยี วขอ้ ง ทงั้ สถาบนั การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย(ี สสวท.) กระทรวงศกึ ษาธกิ ารและ สถานศึกษาในสงั กดั ก็ได้ให้ความสาคญั และศึกษาแนวทางเพ่ือจะได้ใช้การจดั การศึกษาแบบ STEM Education ในการเรยี นการสอน(เอเอส ทวี ผี จู้ ดั การออนไลน์, 2556) การมุ่งเน้นทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยเน้นจดั กิจกรรมการเรยี นรูต้ ามแนวทางสะเต็ม ศกึ ษาจะช่วยพฒั นาทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ไดเ้ ป็นอย่างดี ยกตวั อย่างทกั ษะการเรยี นรตู้ ามกรอบ แนวคิดของมาตรฐานในการเรยี นรู้ (21st Century Standards) ประกอบด้วย ทักษะในการหา ความรดู้ ้วยตนเอง ทกั ษะการทางานร่วมกนั ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์/แก้ปัญหา ทกั ษะการพฒั นา นวตั กรรม ทกั ษะการใชช้ วี ติ ท่มี คี ่า จะเหน็ ไดว้ ่ากจิ กรรมการเรยี นรู้แบบบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษา ใน รปู แบบโครงงาน หรอื การพฒั นานวตั กรรมทก่ี ล่าวถงึ ขา้ งตน้ นนั้ สามารถสรา้ งเสรมิ ทกั ษะเหล่าน้ีได้ มาก อย่างไรก็ตามในบรบิ ทของโรงเรยี นทวั่ ไป ครูอาจไม่สามารถให้นักเรยี นเรยี นรู้ด้วยการทา โครงงาน หรอื การพฒั นานวตั กรรมเท่านนั้ ดงั นนั้ ในบทเรยี นอ่นื ๆ ถา้ ครมู งุ่ เน้นทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี

18 21 ในทุกโอกาสทเ่ี ออ้ื อานวย เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ทางานรว่ มกนั เรยี นรกู้ าร หาท่ตี ิ ฝึกคดิ วเิ คราะห์ หาท่ชี มหรอื เสนอวธิ กี ารใหม่ ฝึกคดิ เชงิ สรา้ งสรรค์ กน็ ับว่าครจู ดั การเรยี น การสอนเขา้ ใกลแ้ นวคดิ สะเตม็ ศกึ ษามากขน้ึ ซง่ึ เป็นการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั (สสวท., 2558, หน้า3) 3.3 ประโยชน์จากการจดั การเรยี นร้ตู ามแบบสะเตม็ ศึกษา เป็นการส่งเสรมิ การเรยี นรผู้ ่านกจิ กรรมหรอื โครงงานท่มี ุง่ แก้ไขปัญหาทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ จรงิ เพ่อื สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ ทกั ษะชวี ติ ความคดิ สรา้ งสรรค์ นาไปสู่การสรา้ งนวตั กรรม ผูเ้ รยี นท่มี ี ประสบการณ์ในการทากจิ กรรมหรอื โครงงานสะเตม็ ศกึ ษาจะมคี วามพรอ้ มท่จี ะไปปฏบิ ตั งิ านท่ตี ้อง ใช้องค์ความรู้ และทกั ษะด้านวทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยใี นภาคการผลติ และการ บรกิ ารทส่ี าคญั ต่ออนาคตของประเทศ ซง่ึ ประโยชน์ท่ีไดจ้ ากการการจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการสะ เตม็ ศกึ ษา (ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ 2558, หน้า5) มดี งั ต่อไปน้ี 1. ผเู้ รยี นมที กั ษะการคดิ วเิ คราะห์ และสรา้ งนวตั กรรมใหมๆ่ ทใ่ี ชว้ ทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทางวศิ วกรรมเป็นฐาน 2. ผเู้ รยี นเขา้ ใจและสนใจการประกอบอาชพี ดา้ นสะเตม็ ศกึ ษามากขน้ึ 3. ผเู้ รยี นเขา้ ใจสาระวชิ า และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตรม์ ากขน้ึ 4. หน่วยงานภาครฐั และเอกชนมสี ่วนร่วมสนับสนุนการจดั กิจกรรมของครูและบุคลากร ทางการศกึ ษา 5. สง่ เสรมิ การจดั การเรยี นรแู้ ละเช่อื มโยงระหวา่ ง 8 กลุ่มสาระวชิ า 6. สรา้ งกาลงั คนดา้ นสะเตม็ ศกึ ษาของประเทศไทย เพ่อื เพม่ิ ศกั ยภาพทางเศรษฐกจิ

19 4. งานวิจยั ที่เก่ียวข้อง จารพี ร ผลมลู และคณะ (2557) ดาเนินการวจิ ยั การพฒั นาหน่วยการเรยี นรบู้ รู ณาการแบบ STEAM สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 : กรณีศึกษา ชุมชนวงั ตะกอ จงั หวัดชุมพรว่า มี วตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1) พฒั นาหน่วยการเรยี นรบู้ ูรณาการแบบ STEAM 2) ศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการ เรยี นจติ สานึกอนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ ม และความพงึ พอใจของนักเรยี น 3) ศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของหน่วย การเรยี นรแู้ บบแผนการวจิ ยั คอื One-Group Pre-test Post-test Design กลุ่มเป้าหมายคอื นักเรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ปีการศกึ ษา 2557 โรงเรยี นเมอื งหลงั สวน จานวน 33 คน เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้คอื 1) แบบทดสอบผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น 2) แบบวดั จติ สานึกอนุรกั ษ์สงิ่ แวดลอ้ ม 3) แบบสอบถามความ พงึ พอใจของนกั เรยี น ผลการวจิ ยั พบว่า 1) ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี น และผ่านเกณฑ์ท่ี กาหนด(รอ้ ยละ 65) อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 2) จติ สานึกอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อมหลงั เรยี น สูงกว่าก่อนเรยี น และนักเรยี นมคี วามพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นรผู้ ่านเกณฑร์ ะดบั ด(ี เฉลย่ี 3.51) อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 3) หน่วยการเรยี นรมู้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 81.65/78.33 ตามเกณฑ์ 80/80 ธญั ลกั ษณ์ เจรญิ พงศ์ธนกุล (2557) ดาเนินการวจิ ยั การจดั การเรยี นการสอนโดยใชร้ ปู แบบ STEM Education รว่ มกบั การใชช้ ุดสอ่ื โมเดล CHROMOSOME GAME เรอ่ื ง การถ่ายทอดลกั ษณะ ทางพนั ธุกรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ประยุกต์สาหรบั นักศกึ ษาระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชนั้ ปีท่ี 2 วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาดุสิตพณิชยการ ว่า มวี ตั ถุประสงค์เพ่ือพฒั นาบทเรยี นเร่อื ง การถ่ายทอด ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม วชิ า วทิ ยาศาสตรป์ ระยุกต์สาหรบั นกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชนั้ ปีท่ี 2 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 80/80 เพ่อื ศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นและความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาท่ี มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ STEM Education ร่วมกับการใช้ชุดส่ือโมเดล CHROMOSOME GAME เร่อื ง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม กลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษาใน งานวจิ ยั ครงั้ น้ีเป็นนักศกึ ษาระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชนั้ ปีท่ี 2 ห้อง 3 จานวน 45 คน วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาดุสติ พณชิ ยการ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2557 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ย

20 (1) ชุดส่ือโมเดล CHROMOSOME GAME เร่ือง การถ่ายทอดลักษณ ะทางพันธุกรรม (2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น (3) แบบทดสอบความพึงพอใจของนักศึกษาท่มี ตี ่อการ จัด ก ารเรีย น ก า รส อ น โด ย ใช้ รูป แ บ บ STEM Education ร่ว ม กับ ก า รใช้ ชุ ด ส่ือ โม เด ล CHROMOSOME GAME เร่อื ง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การเก็บรวบรวมข้อมูลและ สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ไดแ้ ก่ค่าเฉลย่ี ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ค่าความยากง่าย ค่าอานาจ จาแนก ผลการวจิ ยั พบว่า การจดั การเรยี นการสอนโดยใชร้ ปู แบบ STEM Education ร่วมกบั การใช้ ชดุ ส่อื โมเดล CHROMOSOME GAME เรอ่ื ง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ทพ่ี ฒั นาขน้ึ ครงั้ น้ี มปี ระสทิ ธภิ าพสูงกว่าเกณฑ์ท่กี าหนดท่ี 84.50 / 87.76 นักศกึ ษา มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 ซง่ึ เป็นไปตามสมมตฐิ านงานวจิ ยั ทต่ี งั้ ไวแ้ ละผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาอยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด พลศกั ดิ ์ แสงพรมศรี และคณะ (2558) ดาเนินการวจิ ยั การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการ เรยี นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ สูง และเจตคติต่อการเรยี นเคมีของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษา กบั การจดั การเรยี นรแู้ บบปกตวิ ่า มคี วาม มุ่งหมาย เพ่อื 1)เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สูง และ เจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าเคมขี องนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาระหว่างก่อนเรยี น และหลงั เรยี น 2) เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สูง และ เจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าเคมขี องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 หลงั จากทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรู้ สะเต็มศึกษากับการจดั การเรยี นรู้แบบปกติกลุ่มตัวอย่างในการวิจยั ในครงั้ น้ีคือ นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2557 โรงเรยี นพยคั ฆภูมวิ ทิ ยาคาร อาเภอพยคั ฆภูมิ พิสยั จงั หวดั มหาสารคาม จานวน 2 ห้องเรยี น 100 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มตวั อย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั การเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษา เรอ่ื ง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี านวน 7 แผน 2) แบบทดสอบผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น เรอ่ื ง อตั รา การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม3ี ) แบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สูงและ 4) แบบวดั

21 เจตคตติ ่อการเรยี นเคมสี ถติ พิ น้ื ฐานทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบน มาตรฐาน และสถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ าน คอื Hotelling’s T2 ผลการวจิ ยั ปรากฏดงั น้ี 1. นักเรยี นทจ่ี ดั การเรยี นรแู้ บบสะเตม็ ศกึ ษา มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สงู และเจตคตติ ่อการเรยี นเคมหี ลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น อย่างมนี ัยสาคญั ทาง สถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 2. นกั เรยี นทจ่ี ดั การเรยี นรแู้ บบสะเตม็ ศกึ ษา มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สงู และเจตคตติ ่อการเรยี นเคมสี งู กวา่ นกั เรยี นทจ่ี ดั การเรยี นรแู้ บบปกตอิ ยา่ งมี นยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 โดยสรุป นักเรยี นท่ไี ด้รบั การจดั การเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษา มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ สูง และเจตคตติ ่อการเรยี นเคมสี ูงกว่าการเรยี นรแู้ บบปกตดิ งั นัน้ ควรสนับสนุนใหค้ รผู สู้ อนไดน้ าแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนในกลุ่ม สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละวชิ าทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สะเตม็ ศกึ ษาต่อไป จารสั อนิ ทลาภาพร (2558) ดาเนินการวจิ ยั แนวทางการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวสะเตม็ ศกึ ษา สาหรบั ผเู้ รยี น ระดบั ประถมศกึ ษา วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนในการวจิ ยั 2 ขนั้ ตอน คอื 1.ศกึ ษาแนวคดิ และทฤษฎี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สะเตม็ ศกึ ษาจากการสงั เคราะหเ์ อกสารและงานวจิ ยั 2.จดั ประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เพ่อื สงั เคราะห์แนวทางการจดั การเรยี นรแู้ ละการ ประเมนิ ผลตามแนวสะเตม็ ศกึ ษา ประกอบดว้ ย ผเู้ ชย่ี วชาญ จานวน 5 คน ไดแ้ ก่ ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นสะ เต็มศกึ ษา จานวน 2 คน ผู้เช่ยี วชาญดา้ นหลกั สูตร จานวน 1 คน และผู้เช่ยี วชาญด้านการจดั การ เรยี นรู้และการวดั และประเมนิ ผลตามแนวสะเต็มศึกษา จานวน 2 คน ผลการวจิ ยั พบว่าในการ จดั การเรยี นรู้และการประเมินผลตามแนวสะเต็มศึกษา ผู้สอนควรปฏิบัติดังน้ี คือ 1) ศึกษา สาระสาคญั ของสาระวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ การงานอาชีพและเทคโนโลยแี ละกระบวนการ ออกแบบทางวศิ วกรรมในลกั ษณะของการบรู ณาการ 2) จดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวสะเตม็ ศกึ ษา

22 ด้วยตนเองก่อนท่ีจะจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ให้แก่ผู้เรยี น 3) จดั การเรยี นรู้ท่ีเน้นปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) 4) จดั การเรยี นรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning) 5) จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่เี น้นใหผ้ ู้เรยี นทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่ม มกี ารแลกเปล่ยี นเรยี นรแู้ ละให้ขอ้ มูล ยอ้ นกลบั แก่ผเู้ รยี นเพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจของผเู้ รยี น 6) วดั และประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ าม สภาพจรงิ (Authentic Assessment) ซง่ึ แนวทางในการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวสะเต็มศกึ ษาดงั กล่าว เป็นการจดั การเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ (Authentic learning) นรนิ ทร์ ศริ นิ ุวฒั น์ (2559) ดาเนินการวจิ ยั การพฒั นาการจดั การเรยี นรู้แบบ STEM เพ่อื เพม่ิ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น วชิ า IPST- Micro BOX ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2558 ว่ามจี ุดมุ่งหมายเพ่อื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ก่อนและหลงั ทไ่ี ดร้ บั การสอนโดยใชท้ ไ่ี ดร้ บั การ จดั การเรยี นรู้แบบ STEM Education วธิ ดี าเนินการ วจิ ยั แบ่งเป็น 1) ศกึ ษาขอ้ มลู และแนวคดิ ทฤษฏจี ากเอกสาร และงานวจิ ยั เพ่อื นามาเป็นขอ้ มลู ในการ จดั การเรยี นรูแ้ บบ STEM Education 2) พฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบ STEM Education และนาไปทดลองใช้ 3) นารปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบ STEM Education ไปใชโ้ ดยทาการศกึ ษา กบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นผดุงนารภี าคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2558 จานวน 60 คน โดยใชแ้ บบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดยี ววดั สองครงั้ ( One Group Pretest – Post-test Design) ใชเ้ วลาในการทดลอง 20 ชวั่ โมง เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บ รวบ รวมขอ้ มลู 1. แผนการจดั การเรยี น รู้ แบบ STEM วชิ า IPST- Micro BOX 2.แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ า IPST-Micro box

23 ผลการวิจยั สรปุ ได้ดงั นี้ 1. รูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบ STEM Education สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษา ประกอบดว้ ยการ จดั การเรยี นการสอนทบ่ี ูรณาการใน 4 กลุ่มสาระไดแ้ ก่กลุ่มสาระวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (Science) , เท ค โน โลยี(Technology), วิศ วกรรม ศ าสต ร์ (Engineering) แล ะค ณิ ต ศ าสต ร์ (Mathematics) มาผสมผสานกนั อย่างลงตวั เพ่อื พฒั นาให้ผู้เรยี นเกิดทกั ษะท่จี าเป็นในศตวรรษท่ี 21 ทเ่ี น้นใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเช่อื มโยงความรขู้ องตนไปสู่ แนวทางในการแก้ปัญหาโดยมกี ระบวนการ คดิ อยา่ งเป็นระบบ 2. ประสทิ ธผิ ลของรูปแบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบ STEM Education สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 วชิ า IPST-Micro BOX พบว่าคะแนนเฉล่ยี ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นของนกั เรยี น หลงั เรยี นแบบการจดั การเรยี นรูE้ ducation แบบ STEM Education มคี ะแนนสูงกว่าคะแนนเฉล่ยี ของนกั เรยี นก่อนเรยี นแบบการจดั การเรยี นรแู้ บบ STEM Education ชยั พร มติ รพทิ กั ษ์ และบุญนาค สุขุมเมฆ (2559) ดาเนินการวจิ ยั การพฒั นาความสามารถ ในการคดิ วเิ คราะหแ์ ละเจตคตติ ่อสะเตม็ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ดว้ ยกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร(์ STEM) เรอ่ื ง “สมบตั ขิ องธาตุและสารประกอบ” ว่ามี วตั ถุประสงค์เพ่ือพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และเจตคติต่อสะเต็มของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ผ่านการจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยวี ศิ วกรรมศาสตรแ์ ละ คณิตศาสตร(์ STEM) ร่วมกบั การใชป้ ัญหาเป็นฐาน ในเน้ือหาเรอ่ื ง สมบตั ขิ องธาตุและสารประกอบ กลุ่มตวั อยา่ งในการวจิ ยั ใน ครงั้ น้ีคอื นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2558 โรงเรยี นหอวงั กรงุ เทพมหานคร จานวน 1 หอ้ งเรยี น 49 คน โดยเครอ่ื งมอื ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย แบบทดสอบวดั ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ แบบประเมนิ เจตคตติ ่อ การเรยี นการสอนแบบสะ เตม็ ศกึ ษา แบบวดั ผลสมั ฤทธบิ ์ นั ทกึ หลงั การสอน และอนุทนิ สะทอ้ นการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น ผลการวจิ ยั พบว่า การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้STEM แบบใช้ปัญหาเป็นฐานสามารถช่วย พฒั นาความสามารถในการคดิ วเิ คราะหแ์ ละเจตคตติ ่อสะเตม็ ของนักเรยี น สถติ พิ ้นื ฐานท่ใี ช้ในการ วเิ คราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ค่าเฉล่ยี รอ้ ยละ และ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดย

24 ใชO้ ne Sample t-test ทาใหผ้ เู้ รยี นตระหนักถงึ ความสาคญั ของการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละสามารถ นาความรจู้ ากศาสตรต์ ่างๆ มาบูรณาการเพ่อื แก้ไขปัญหาและสร้างนวตั กรรมในการแก้ปัญหาท่ี เกดิ ขน้ึ ในชวี ติ จรงิ ไดน้ ักเรยี นรอ้ ยละ 82 ของจานวนนกั เรยี นทงั้ หมด มคี ะแนนความสามารถในการ คดิ วเิ คราะหส์ งู กว่ารอ้ ยละ 70 ของคะแนนเต็ม นอกจากนนั้ นักเรยี นมคี ะแนนผลสมั ฤทธแิ ์ ละคะแนน เจตคติต่อสะเต็มภายหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสาคญั ท่ีระดบั 0.01 การจดั กิจกรรม STEM เรม่ิ ด้วยการใหค้ วามรแู้ ก่ผูเ้ รยี นผ่านกระบวนการสบื เสาะหาความรจู้ นผู้เรยี นสามารถสรา้ ง องคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง หลงั จากนนั้ ครสู รา้ งสถานการณ์ปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ จรงิ ในชวี ติ ประจาวนั และ ให้นักเรยี นทาการแก้ปัญหา และสรา้ งนวตั กรรมช้นิ งานเพ่อื นาไปใช้ประโยชน์จากการบูรณาการ ความรู้ STEM

25 บทที่ 3 วิธีดาเนิ นการวิจยั การพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคิดสะเต็มศกึ ษา สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 มรี ายละเอยี ดการดาเนินการวจิ ยั ดงั น้ี 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา 3. ขนั้ ตอนการดาเนินการ 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 5. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 1. กล่มุ เป้าหมาย นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ อาเภอกาญจนดษิ ฐ์ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จานวน 30 คน 2. เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการศึกษา 1. แผนการจดั การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้การจดั การเรยี นรู้ตาม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา จานวน 5 แผน รวมเวลาทงั้ หมด 6 ชวั่ โมง

26 ลาดบั ช่ือแผน จานวน จดุ เน้น STEM แผน (ชวั่ โมง) 1 ชวั่ โมง S = แรงโน้มถ่วง 1 ปัญหาน่ารู้ T=- E = การตรวจสอบและพจิ ารณา 2 สรา้ งสรรคใ์ นกรอบ ขอ้ มลู M = การใชเ้ หตุผลประกอบการ 3 นกั ออกแบบผสู้ รา้ งสรรค์ ตดั สนิ ใจและสรุปผลไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม 4 กา้ วแรกของนกั วทิ ยาศาสตร์ น้อย 1 ชวั่ โมง S = แรงโน้มถ่วง 1 ชวั่ โมง T = การสบื คน้ ขอ้ มลู 2 ชวั่ โมง E = การตรวจสอบและพจิ ารณา ขอ้ มลู M = การใชเ้ หตุผลประกอบการ ตดั สนิ ใจและสรปุ ผลไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม S = แรงโน้มถ่วง T = การสบื คน้ ขอ้ มลู E = การออกแบบและประดษิ ฐ์ ชน้ิ งาน M = การวดั ความยาว , การเลอื ก เครอ่ื งมอื วดั ความยาว , รปู เรขาคณติ S = แรงโน้มถ่วง T = เลอื กใชส้ งิ่ ของเครอ่ื งใชเ้ พอ่ื ปรบั ปรงุ แกไ้ ขชน้ิ งาน E = การแกไ้ ขปัญหาและปรบั ปรงุ เพ่อื พฒั นาชน้ิ งาน

27 ลาดบั ช่ือแผน จานวน จดุ เน้น STEM แผน (ชวั่ โมง) M = อ่านและบนั ทกึ การทดลองดว้ ย การจบั เวลา 5 นิทรรศการของหนู 1 ชวั่ โมง S = แรงโน้มถ่วง T = การใชเ้ ครอ่ื งมอื ทท่ี นั สมยั E = การออกแบบและจดั บอรด์ นทิ รรศการ M = รปู รา่ งเรขาคณติ ตารางท่ี 2 : แผนการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้การจดั การเรยี นรู้ตาม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา 2. แบบทดสอบ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จานวน 20 ขอ้ 3. ขนั้ ตอนการดาเนินการ 1. สร้างแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยอ้างอิงเน้ือหาจากหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เป็นแนวทางในการสร้างแผนการ จดั การเรยี นรู้ ซง่ึ สอดแทรกเน้ือหาเขา้ ไปในกจิ กรรมการเรยี นรู้ สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) จานวน 30 คน ซ่งึ มขี นั้ ตอนในการสรา้ งแผนการจดั การ เรยี นรู้ ดงั น้ี 1.1 ศกึ ษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระ วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 1.2 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ งตามแนวคดิ สะเตม็ ศึกษา เพ่อื พฒั นาผล การเรยี นรรู้ ายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 1.3 วิเคราะห์เน้ือหา เร่ือง แรงโน้มถ่วง โดยอ้างอิงจากหนังสือเรียนวิชา วทิ ยาศาสตร์ สถาบนั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3

28 1.4 วเิ คราะหเ์ น้ือหาและจดั เรยี งลาดบั เน้ือหาใหเ้ หมาะสมต่อการจดั การเรยี นรตู้ าม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา โดยวเิ คราะหเ์ น้ือหาและออกแบบการจดั การเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ สะ เต็มศึกษา เพ่ือให้ผู้เรยี นสามารถเรยี นรู้ได้อย่างกว้างขวางในการบูรณาการและสามารถบรรลุ วตั ถุประสงคท์ ก่ี าหนดไวไ้ ด้ โดยกาหนดใหท้ ุกแผนการจดั การเรยี นรู้มกี ารสอดแทรกการบูรณาการ ศาสตรท์ งั้ สต่ี ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาตามความเหมาะสม เพ่อื เสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจ ประกอบกบั การ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคจ์ ากการทากจิ กรรมการเรยี นรู้ ซง่ึ ในแต่ละแผนการจดั การเรยี นรจู้ ะมกี าร ออกแบบกิจกรรมท่แี ตกต่างกนั ออกไปจากง่ายไปยาก เพ่อื พฒั นาความคดิ ของผู้เรยี นเป็นลาดบั ขนั้ ตอน ดงั ตารางขา้ งตน้ 1.5 สรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้การจดั การเรยี นรตู้ าม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา จานวน 5 แผน และแบบทดสอบ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จานวน 20 ขอ้ 1.6 นาแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้การจัดการเรยี นรู้ตาม แนวคดิ สะเต็มศกึ ษา ใหฝ้ ่ ายวชิ าการ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละ ผู้อานวยการโรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) ตรวจสอบ เพ่อื พจิ ารณาความเหมาะสมและให้ ขอ้ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ แกไ้ ข 1.7 นาแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้การจัดการเรยี นรู้ตาม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา มาปรบั ปรงุ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ตามขอ้ เสนอแนะ 2. ดาเนินการสอนด้วยแผนการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 จานวน 5 แผน รวมเวลาทงั้ หมด 6 ชวั่ โมง 3. ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น โดยให้นักเรยี นทาแบบทดสอบ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง จานวน 20 ขอ้ 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวจิ ยั ครงั้ น้ีผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยใช้ การจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเต็มศึกษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุ เคราะห)์ โดยไดด้ าเนินการตามรายละเอยี ด ดงั น้ี

29 1. ดาเนินการสอนด้วยแผนการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 จานวน 5 แผน รวมเวลาทงั้ หมด 6 ชวั่ โมง 2. เมอ่ื ดาเนินการสอนดว้ ยแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาแลว้ ใหน้ กั เรยี น ทาแบบทดสอบ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จานวน 20 ขอ้ 3. นาผลคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบไปวเิ คราะหข์ อ้ มลู 5. การวิเคราะหข์ ้อมลู 1. วเิ คราะหค์ ะแนนทไ่ี ดจ้ ากแบบทดสอบ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ จานวน 30 คน 2. การประเมินผลการเรียนรู้จากแบบทดสอบ เร่ือง แรงโน้มถ่วง ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ จานวน 30 คน ซง่ึ ใชก้ ารวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการหาค่ารอ้ ยละของคะแนนของนักเรยี นแต่ละคน โดยนาไปเทยี บกบั เกณฑท์ ่กี าหนดไว้ นัน่ ก็ คอื นกั เรยี นแต่ละคนจะตอ้ งไดค้ ะแนนตงั้ แต่ 12 คะแนนขน้ึ ไป หรอื การหาค่ารอ้ ยละของคะแนนของ นกั เรยี นแต่ละคน ซง่ึ จะตอ้ งมคี ่ารอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป

30 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู การพฒั นากิจกรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคดิ สะเต็มศึกษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 มวี ตั ถุประสงค์เพ่อื พฒั นาแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุ เคราะห)์ และเพ่อื ศกึ ษาผลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถา นุเคราะห)์ หลงั จากไดใ้ ชแ้ ผนการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ซง่ึ มผี ล การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 1. ผลของการสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคดิ สะ เต็มศึกษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 ซ่งึ จากการสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้ ทงั้ 5 แผน ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 เรอ่ื ง ปัญหาน่ารู้ ,แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง สรา้ งสรรค์ ในกรอบ,แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง นกั ออกแบบผสู้ รา้ งสรรค์ ,แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง กา้ วแรกของนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย และแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5 เรอ่ื ง นิทรรศการของหนู หลงั จาก นนั้ ไดด้ าเนนิ การใหอ้ าจารยป์ ระจาสาขาวชิ าประถมศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ตรวจสอบ สามารถวเิ คราะหผ์ ลการสรา้ งแผนได้ ดงั น้ี ผลจากการวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากการประเมินแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตาม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 ทส่ี รา้ งขน้ึ โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุ เคราะห์) พจิ ารณาและตรวจสอบความสอดคล้องของจุดประสงค์ เน้ือหา ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรแู้ ละการวดั และกจิ กรรมการเรยี นรทู้ อ่ี อกแบบตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ผลปรากฏ วา่ แผนการจดั การเรยี นรไู้ ดร้ บั การตรวจสอบและนากลบั มาปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามคาแนะนา

31 ถอื ไดว้ า่ แผนการจดั การเรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการจดั การเรยี นรสู้ าหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 2. ผลการศกึ ษาผลการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้ ตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 ผู้วิจยั ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบทดสอบของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) จานวน 30 คน ซ่งึ แบบทดสอบเน้ือหาเร่อื ง แรงโน้มถ่วง ทงั้ หมด 20 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวมคะแนนทัง้ หมดเป็น 20 คะแนน เพ่ือวดั ผลการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถา นุเคราะห)์ จานวน 30 คน โดยหลงั จากทผ่ี วู้ จิ ยั ไดท้ าการสอนและใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดิตถานุเคราะห์) จานวน 30 คน จากนัน้ ผู้วิจยั จงึ นาคะแนนท่ีนักเรยี นได้จากแบบทดสอบมาวิเคราะห์เพ่ือหาค่ารอ้ ยละ และ เปรยี บเทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ นนั่ กค็ อื นกั เรยี นแต่ละคนจะตอ้ งไดค้ ะแนนตงั้ แต่ 12 คะแนน ขน้ึ ไป หรอื การหาค่ารอ้ ยละของคะแนนของนักเรยี นทุกคน ซง่ึ จะต้องมคี ่ารอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไปจาก คะแนนเตม็ ซง่ึ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู แสดง ดงั ตารางท่ี 3 นกั เรยี นคนท่ี คะแนน คา่ รอ้ ยละ เกณฑก์ ารผ่าน แบบทดสอบ (X) รอ้ ยละ 60 1 2 (20) 75 ผา่ น 3 15 60 ผา่ น 4 12 80 ผ่าน 5 16 70 ผา่ น 6 14 55 ไมผ่ ่าน 7 11 65 ผา่ น 8 13 65 ผ่าน 13 70 ผ่าน 14

32 นกั เรยี นคนท่ี คะแนน ค่ารอ้ ยละ เกณฑก์ ารผ่าน แบบทดสอบ (X) รอ้ ยละ 60 (20) 9 14 70 ผา่ น 10 10 50 ไมผ่ า่ น 11 6 30 ไมผ่ า่ น 12 12 60 ผ่าน 13 16 80 ผ่าน 14 7 35 ไมผ่ า่ น 15 12 60 ผ่าน 16 12 60 ผา่ น 17 14 70 ผ่าน 18 16 80 ผ่าน 19 8 40 ไมผ่ า่ น 20 15 75 ผา่ น 21 17 85 ผา่ น 22 15 75 ผ่าน 23 6 30 ไมผ่ ่าน 24 16 80 ผ่าน 25 18 80 ผา่ น 26 16 80 ผา่ น 27 18 90 ผ่าน 28 12 60 ผา่ น 29 14 70 ผา่ น 30 8 40 ไมผ่ า่ น คา่ รอ้ ยละของ นกั เรยี นทกุ คน 13.00 65 ผ่าน * เกณฑก์ ารผา่ นของแบบทดสอบตอ้ งไดค้ ะแนนตงั้ แต่ 12 คะแนนขน้ึ ไป

33 ตารางที่ 3 : ผลการศกึ ษาผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยใชก้ ารจดั การ เรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถา นุเคราะห)์ จานวน 30 คน จากตารางท่ี 3 และผลการคานวณหาค่ารอ้ ยละจากนักเรยี นแต่ละคน ผลการวเิ คราะห์ ขอ้ มลู คะแนนแบบทดสอบ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุ เคราะห์) จานวน 30 คน พบว่านักเรยี นกลุ่มเป้าหมายจานวน 23 คนได้คะแนนแบบทดสอบ ตงั้ แต่ 12 คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน จงึ ผ่านเกณฑ์ และนกั เรยี นกลุ่มเป้าหมาย จานวน 7 คนได้คะแนนแบบทดสอบต่ากว่า 12 คะแนน จงึ ไม่ผ่านเกณฑ์ โดยเม่อื นาคะแนน แบบทดสอบของนักเรยี นทุกคนมาหาค่ารอ้ ยละของคะแนน ได้คะแนนดงั ตารางรายละเอียด คะแนนและการคานวณหาค่ารอ้ ยละ ซง่ึ ค่ารอ้ ยละของนักเรยี นทุกคน คอื 65.00 ถงึ ถอื ว่าผ่าน เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้

34 บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการศกึ ษาวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคดิ สะเต็มศึกษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 มวี ตั ถุประสงค์เพ่อื พฒั นา แผนการจัดการเรยี นรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เร่ือง แรงโน้มถ่วง สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ และศกึ ษาผลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) หลงั จากได้ใช้แผนการจดั การ เรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จากผลการศกึ ษาสามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี สรปุ ผลการศึกษา จากผลของการสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคดิ สะเต็มศกึ ษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 ซ่งึ จากการสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้ ทงั้ 5 แผน ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง ปัญหาน่ารู,้ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง สรา้ งสรรคใ์ นกรอบ, แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง นักออกแบบผสู้ รา้ งสรรค์, แผนการจดั การ เรียนรู้ท่ี 4 เร่อื ง ก้าวแรกของนักวิทยาศาสตร์น้อย และแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 เร่อื ง นิทรรศการของหนู มคี วามสอดคล้องของจุดประสงค์ เน้ือหา ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้ การ จดั การเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผล และกจิ กรรมการเรยี นรทู้ อ่ี อกแบบตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา มคี วามเหมาะสมสาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 การศึกษาผลการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง แรงโน้มถ่วง ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สาหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห์) ภาคเรยี นท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2565 จานวน 30 คน พบว่านักเรยี นมผี ลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง จากการคานวณค่ารอ้ ยละคะแนนของนกั เรยี นทุกคน มคี ่ารอ้ ยละเท่ากบั 65.00 ซง่ึ สูงกว่าเกณฑ์ ทต่ี งั้ ไวค้ อื รอ้ ยละ 60

35 อภิปรายผล จากการศกึ ษาผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะ เต็มศกึ ษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/2 โรงเรยี นวดั ท่าไทร(ดติ ถานุเคราะห)์ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จานวน 30 คน ทพ่ี บว่านักเรยี นกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มกี ารผลการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง เป็นไปในทศิ ทางทด่ี ี โดยมคี ะแนนแบบทดสอบอย่ใู นระดบั ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ อาจเน่ืองมาจากเหตุผล ดงั ต่อไปน้ี 1. แผนการจดั การเรยี นรมู้ กี ารเรยี งลาดบั ขนั้ ตอนในการเรยี นรู้ จากการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาเขา้ มาช่วยในการจดั การเรยี นการสอน วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แรงโน้มถ่วง ช่วยใหผ้ เู้ รยี นไดม้ สี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ และไดเ้ รยี นรเู้ ป็นลาดบั ขนั้ ตอน จากทฤษฎนี าไปสกู่ ารปฏบิ ตั เิ พ่อื ทดสอบความเป็นจรงิ ของทฤษฎี อกี ทงั้ ยงั สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นรจู้ กั การคดิ วเิ คราะหแ์ ละสรา้ งสรรค์ และฝึกการทางานเป็นทมี ซง่ึ ในแต่ละแผนการจดั การเรยี นรทู้ งั้ 5 แผน มกี าร เรยี งลาดบั ขนั้ ตอนในการเรยี นรู้ ดงั น้ี 1.1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง ปัญหาน่ารู้ โดยให้นักเรยี นได้ระดมสมองร่วมกนั ใน กลุ่มเพ่อื คดิ หาคาตอบของความหมายของแรงโน้มถ่วง ลงในใบกิจกรรมท่ี 1 จากปัญหาท่คี รกู าหนดให้ พรอ้ มรปู ภาพประกอบ จากนนั้ สรปุ รว่ มกนั เป็นองคค์ วามรเู้ รอ่ื ง แรงโน้มถ่วง 1.2 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง สรา้ งสรรค์ในกรอบ โดยให้นักเรยี นสบื ค้นขอ้ มูลจาก อินเทอร์เน็ตและหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 เป็นรายบุคคลเพ่ือใช้ประกอบเป็น แนวทางในการทางาน จากนนั้ นาขอ้ มลู ทไ่ี ดส้ บื คน้ มารวมกนั ในกลุ่มเพ่อื สงั เคราะหข์ อ้ มลู และรวบรวมขอ้ มลู สรา้ งสรรคอ์ อกมาเป็นภาพวาดทส่ี อ่ื ถงึ แรงโน้มถ่วง 1.3 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง นักออกแบบผสู้ รา้ งสรรค์ โดยใหน้ กั เรยี นในแต่ละกลุ่ม รว่ มกนั วาดภาพออกแบบสง่ิ ทน่ี กั เรยี นจะประดษิ ฐเ์ พ่อื แกป้ ัญหาตามปัญหาทค่ี รกู าหนดใหใ้ นแผนการจดั การ เรยี นรทู้ ่ี 1 ลงในใบกจิ กรรมท่ี 2 1.4 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 เร่อื ง ก้าวแรกของนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย โดยให้นักเรยี นนา ภาพแบบสงิ่ ท่จี ะประดษิ ฐใ์ นใบกิจกรรมท่ี 2 มาประดษิ ฐ์เป็นช้นิ งานโดยใช้กระดาษA4 เพยี ง 1 แผ่น และ จากนนั้ นามาทดลองปล่อยจากพน้ื ทส่ี งู ประมาณ 47 ซม. พรอ้ มกบั จบั เวลาตงั้ แต่เรมิ่ ปล่อยชน้ิ งานจนชน้ิ งาน ตกลงส่พู น้ื และบนั ทกึ ผลลงในใบกจิ กรรมท่ี 3 ในการทดลองรอบท่ี 1 จากนัน้ ครใู หเ้ วลานักเรยี นแต่ละกลุ่ม

36 ในการปรบั ปรงุ แก้ไขชน้ิ งานจากการทราบผลการทดลองในครงั้ ท่ี 1 และนาไปทดลองในการทดลองครงั้ ท่ี 2 จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นแต่ละกล่มุ เขยี นสรปุ ผลการทดลอง และสรปุ กจิ กรรมการทดลองรว่ มกนั 1.5 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5 เร่อื ง นิทรรศการของหนู โดยใหน้ ักเรยี นนาชน้ิ งานและใบ กจิ กรรมทน่ี กั เรยี นไดท้ า นามาจดั บอรด์ นิทรรศการเพอ่ื นาเสนอครแู ละเพ่อื นในชนั้ เรยี น จะเห็นได้ว่า แผนการจดั การเรยี นรู้ทงั้ 5 แผนนัน้ มกี ารจดั ลาดบั การเรยี นรูเ้ ป็นขนั้ ตอน อกี ทงั้ ยงั ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นได้ทางานเป็นกลุ่มเพ่อื ใหน้ ักเรยี นไดช้ ่วยเหลอื เก้อื กูลกนั เสรมิ สรา้ งความสามคั คแี ละใช้ ทกั ษะในการส่อื สารมากยงิ่ ขน้ึ ดงั พระราชกระแสฯดา้ นการศกึ ษา ในเรอ่ื งของนักเรยี นของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ความว่า “เราต้องฝึกหดั ใหน้ ักเรยี นรจู้ กั การทางานร่วมกนั เป็นกลุ่มเป็น หมคู่ ณะ จะไดม้ คี วามสามคั ครี จู้ กั ดแู ลชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เออ้ื เฟ้ือเผอ่ื แผค่ วามรแู้ ละประสบการณ์แก่กนั ” 2. การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี น กิจกรรมการเรยี นรู้ในแผนการจดั การเรยี นรู้ทงั้ 5 แผนนัน้ มีความเหมาะสมกับวยั ของ ผเู้ รยี น และยงั เป็นความช่นื ชอบของนักเรยี นในชนั้ เรยี นทงั้ การทางานเป็นกลุ่ม วาดภาพ การประดษิ ฐ์ ซ่งึ ครสู งั เกตจากประสบการณ์ในการสอนในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 จากนัน้ จงึ ไดน้ าพฤติกรรมและ ความช่นื ชอบของผเู้ รยี นมาวเิ คราะห์และออกแบบเป็นกจิ กรรมการเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั อกี ทงั้ ยงั ตอ้ งออกแบบการเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาเพ่อื ใหเ้ ป็นไปในแนวทางเดยี วกนั ซง่ึ สอดคลอ้ ง กบั วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ (2542) ทก่ี ล่าวไว้ว่า การจดั การเรยี นการสอนท่เี น้นผูเ้ รยี นเป็นสาคญั คอื วธิ กี าร สาคญั ท่สี ามารถสรา้ งและพฒั นาผู้เรยี นใหเ้ กดิ คุณลกั ษณะต่างๆ ทต่ี ้องการในยุคโลกาภวิ ตั น์เน่ืองจากเป็น การจดั การเรยี นการสอนท่ใี ห้ความสาคญั กบั ผู้เรยี น ส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นรจู้ กั เรยี นรดู้ ้วยตนเองเรยี นในเร่อื งท่ี สอดคลอ้ งกบั ความสามารถและความต้องการของตนเองและไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพของตนเองอย่างเตม็ ท่ี ซง่ึ แนวคดิ การจดั การศกึ ษาน้ีเป็นแนวคดิ ท่มี รี ากฐานจากปรชั ญาการศกึ ษาและทฤษฎกี ารเรยี นรู้ต่าง ๆ ทไ่ี ด้ พฒั นามาอยา่ งต่อเน่อื งยาวนาน และเป็นแนวทางทไ่ี ดร้ บั การพสิ จู น์วา่ สามารถพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี ุณลกั ษณะ ตามตอ้ งการอยา่ งไดผ้ ล ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะจากผลการวจิ ยั ทพ่ี บและการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. การจดั การเรยี นรู้ในแต่ละแผนการจดั การเรยี นรู้ควรจะใช้ระยะเวลาท่ีเหมาะสมกับวัยของ นกั เรยี น เพ่อื ประสทิ ธภิ าพในการทางานและประสทิ ธผิ ลทน่ี กั เรยี นจะสรา้ งสรรคอ์ อกมาเป็นงานหรอื ชน้ิ งาน

37 2. สถานทใ่ี นการทดลองควรจะเออ้ื ต่อการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นมสี ง่ิ แวดลอ้ มทส่ี งบ ไมม่ ี ผคู้ นพลกุ พลา่ น เหมาะแก่การเรยี นรแู้ ละเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเกดิ สมาธติ ่อการเรยี นรู้ 3. แบบทดสอบท่ใี ช้ในการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรยี นควรเหมาะสมกบั ผูเ้ รยี น ในชนั้ เรยี น ทงั้ ระดบั เก่ง ปานกลาง อ่อน เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นไดม้ กี าลงั ใจในการทาแบบทดสอบตามความสามารถของผเู้ รยี น ในแต่ละระดบั ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ยั ครงั้ ต่อไป 1. เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา ควรจะนาวชิ าอ่นื นอกเหนือจากส่ศี าสตร์ตาม แนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษามาบรู ณาการประกอบรว่ มดว้ ย เพ่อื การจดั การเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย 2. ผวู้ จิ ยั ควรใชค้ าถามสอดแทรกให้มากยง่ิ ขน้ึ เพ่อื คอยกระตุน้ นกั เรยี นทไ่ี ม่ตงั้ ใจเรยี นหรอื นกั เรยี น ท่เี รยี นค่อนข้างอ่อนจนถึงอ่อนได้สนใจในเน้ือหา และสามารถแลกเปล่ยี นความคดิ ร่วมกันเพ่อื น อีกทงั้ นักเรยี นจะไดม้ สี ่วนรว่ มในการทากจิ กรรมการเรยี นรมู้ ากยงิ่ ขน้ึ และช่วยสรา้ งบรรยากาศท่ดี ใี นการจดั การ เรยี นรู้

38 บรรณานุกรม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษ าธิการ. (2545). คู่มือการจัดการเรียน รู้ กลุ่มสาระการเรียน รู้ วิทยาศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560 กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551.กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560 จารพี ร ผลมลู สุนีย์ เหมะประสทิ ธแิ ์ ละเกรกิ ศกั ดสิ ์ ุภาพ. (2558). การพฒั นาหน่วยการเรียนร้บู ูรณาการ แบบ STEAM สาหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3:กรณี ศึกษา ชุมชนวงั ตะกอ จงั หวดั ชุมพร วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาวชิ าวทิ ยาการทางการศกึ ษาและการ จดั การเรยี นรู้ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560 จารสั อนิ ทลาภาพร, มารุต พฒั ผล, วชิ ยั วงษ์ใหญ่. (2558). การศึกษาแนวทางการจดั การเรียนร้ตู าม แน วสะเต็มศึ กษ าสาหรับผู้เรียนระดับประถมศึ กษ า. Veridian E-Journal, Silpakorn University. ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื นมกราคม – เมษายน 2558 (62-74) สบื คน้ เม่อื วนั ท่ี 18 กนั ยายน 2560 ชยั พร มติ รพทิ กั ษ์ และบุญนาค สขุ มุ เมฆ. (2559). การพฒั นาความสามารถในการคิดวิเคราะหแ์ ละเจต คติ ต่อสะเต็มของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ด้วยกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตรแ์ ละคณิ ตศาสตร์ (STEM) เร่ือง สมบตั ิของธาตุและสารประกอบ. เอกสาร ประกอบการประชุมสวนสุนันทาวชิ าการระดบั ชาติ ดา้ น “การวจิ ยั เพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื ” ครงั้ ท่ี 4 พ.ศ. 2559 สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560 ธวชั ชติ ตระการ. (2555). การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวตั กรรมผ่าน โปรแกรม STEM. [ออนไลน์] www. deansci.com/th/downloads/stem.pdf สืบค้นเม่ือวันท่ี 17 กนั ยายน 2560 นงนุช เอกตระกูล. (2558). การพฒั นาการจดั การเรียนร้แู บบ STEM เพื่อเพ่ิมผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (CPS) ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษา ปี ท่ี 6.รายงานผลการวจิ ยั โรงเรยี นอสั สมั ชญั ธนบรุ ี สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560

39 นรนิ ทร์ ศริ นิ ุวฒั น์. (2559). การพฒั นาการจดั การเรียนร้แู บบ STEM เพื่อเพ่ิมผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชา IPST- MicroBOX ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ปี การศึกษา 2558. รายงาน ผลการวจิ ยั โรงเรยี นผดุงนารี สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 20 กนั ยายน 2560 พรทิพย์ ศิรภิ ทั ราชยั . (2556). STEM Education กบั การพฒั นาทักษะในศตวรรษที่ 21. วารสารนัก บรหิ าร Executive Journal. ปีท่ี 33 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน-มถิ ุนายน 2556 (49-56) สบื คน้ เม่อื วนั ท่ี 17 กนั ยายน 2560 พลศักดิ ์ แสงพรมศรี, ประสาท เนืองเฉลิม, ปิ ยะเนตร จันทร์ถิระติกุล. (2558). การเปรียบเทียบ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ นั้ สงู และเจตคติต่อการเรยี น เคมี ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 ที่ได้รบั การจดั การเรียนร้สู ะเตม็ ศึกษากบั แบบปกติ. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ปีท่ี 9 ฉบบั พเิ ศษ เมษายน พ.ศ. 2558 สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 18 กนั ยายน 2560 อภสิ ทิ ธิ ์ ธงไชย และคณะ. (2555). สรปุ การบรรยายพิเศษ เรื่อง Science, Technology, Engineering, and Mathematics Education: Preparing students for the 21st Century.[ออนไลน์] http://designtechnology.ipst.ac.th/ uploads/STEMeducation.pdf สืบค้นเม่ือวันท่ี 17 กันยายน 2560

40 ภาคผนวก

41 ภาคผนวก ข ตวั อย่างแบบทดสอบหลงั เรียน

แบบทดสอบหล4งั2เรียน หนว่ ยที่ 5 เรื่อง แรงโนม้ ถว่ ง จำนวน 20 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน เวลำ 1 ชว่ั โมง ชือ่ .......................................................................................เลขที.่ .......................ชัน........................... คาชีแจง : ให้นักเรียนกากบาท (X) ทับตวั เลือกที่เปน็ คาตอบทีถ่ ูกต้องที่สุด 1. แรงโน้มถ่วงของโลกหมายถึงข้อใด ก. แรงดึงดดู ของวัตถุทีม่ ตี ่อโลก ข. แรงดึงดูดระหว่างโลกกบั ดวงจันทร์ ค. แรงดึงดดู ของโลกทีก่ ระทาต่อดวงอาทิตย์ ง. แรงดงึ ดูดของโลกที่กระทาต่อมวลของวตั ถุ 2. ใครเป็นผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก ก. กาลิเลโอ กาลิเลอี ข. นลี อาร์มสตรอง ค. เซอร์ไอแซค นวิ ตัน ง. อลั เบิรต์ ไอน์ไตน์ 3. นาหนักของวตั ถเุ กิดจากอะไร ก. แรงทีโ่ ลกดึงดดู วตั ถุ ข. ปริมาตรของวัตถุ ค. มวลของวัตถุ ง. รูปทรงของวตั ถุ 4. แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทาต่อสิ่งต่าง ๆ มีขนาดเท่ากนั หรือไม่ ก. เท่ากัน ข. ไม่เท่ากนั ค. เท่ากันหรือไมเ่ ท่ากนั กไ็ ด้ ง. ไม่มคี าตอบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook