Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-book หน่วยที่ 2 เรื่อง โภชนที่จำเป็นสำหรับสัตว์

e-book หน่วยที่ 2 เรื่อง โภชนที่จำเป็นสำหรับสัตว์

Published by kasetkuru, 2018-03-28 05:54:16

Description: unit 2 nutrient and their role

Search

Read the Text Version

9 หน่วยท่ี 2 โภชนะทจี่ าเป็ นสาหรับสัตว์จุดประสงค์การสอนจุดประสงค์ทวั่ ไป1. ผเู้ รียนเทราบโภชนะที่จาเป็นสาหรับสตั ว์2. ผเู้ รียนทราบองคป์ ระกอบทางเคมี คุณสมบตั ิทางกายภาพและทางเคมี หนา้ ที่ อาการขาดของอาหารสตั ว์3. ผเู้ รียนทราบวตั ถุดิบที่เป็นแหล่งโภชนะในอาหารสัตว์4. ผเู้ รียนมีคุณธรรม จริยธรรมท่ีพึงประสงค์จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. ผเู้ รียนบอกโภชนะที่จาเป็นสาหรับสตั วไ์ ด้ 2. ผเู้ รียนอธิบาองคป์ ระกอบทางเคมี คุณสมบตั ิทางกายภาพและทางเคมี หนา้ ที่ อาการขาดของอาหารสัตวไ์ ด้ 3. ผเู้ รียนจดั เตรียมวตั ถุดิบท่ีเป็นแหล่งโภชนะในอาหารสัตวไ์ ด้ 4. ผเู้ รียนมีความสนใจใฝ่ เรียน มีความรับผดิ ชอบ ตรงต่อเวลา ทางานเป็นกลุ่มได้สาระสาคญั เนื่องจากตน้ ทุนการเล้ียงสตั วส์ ่วนใหญ่จะเป็นค่าอาหารสตั ว์ เช่น คา่ ใชจ้ ่ายในการเล้ียงสุกรจะเป็นค่าอาหารถึง80% การเล้ียงโคนม และการเล้ียงไก่จะเป็นคา่ อาหารประมาณ 50-60% ฉะน้นั การศึกษาเพื่อใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจในองคป์ ระกอบของวตั ถุดิบของอาหารสัตวแ์ ตล่ ะชนิดก่อนการเล้ียงสัตวจ์ ึงเป็นส่ิงจาเป็นอยา่ งยงิ่เนือ้ หาสาระการแบ่งประเภทของโภชนะในอาหารสัตว์ องค์ประกอบของอาหารสัตว์ เป็นระยะเวลานานกวา่ ศตวรรษท่ีนกั วทิ ยาศาสตร์ชาวองั กฤษชื่อ Lawes(พ.ศ. 2357 ถึง2443) และ Gilbert(พ.ศ.2360 ถึง 2444) เป็นผบู้ ุกเบิกงานการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของร่างกายสตั วเ์ ล้ียง พบวา่ ส่วนของแขง็ ปราศจากไขมนัของร่างกาย มีองคป์ ระกอบทางเคมีและสดั ส่วนใกลเ้ คียงกนั ในสัตวเ์ กือบทุกชนิด องคป์ ระกอบของร่างกายเหล่าน้ี เป็น

10สิ่งท่ีไดร้ ับมาจากอาหารที่สัตวก์ ินเขา้ ไป ส่วนใหญไ่ ดม้ าจากพชื แต่องคป์ ระกอบท่ีมีอยใู่ นพืชมีความผนั แปร ในกรณีของสัดส่วนขององคป์ ระกอบมากวา่ ท่ีพบในสัตว์ องคป์ ระกอบหลกั ท่ีมีความผนั แปรมาก คือ น้าหรือความช้ืน และวตั ถุแหง้จาแนกองคป์ ระกอบที่มีอยใู่ นอาหารสตั วไ์ ดด้ งั น้ี 1. นา้ หรือความชื้น ในอาหารหยาบสดมีองคป์ ระกอบของน้าอยสู่ ูง ในอาหารขน้ มีความช้ืนต่า 2. วตั ถุแห้ง คือส่วนที่เป็นของแขง็ ประกอบข้ึนจาก 2 ส่วนหลกั คือ 2.1 อินทรียส์ าร ประกอบไปดว้ ยสารประกอบหลายชนิด ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน และวติ ามินองคป์ ระกอบเหล่าน้ีมีความผนั แปรแตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะชนิดของวตั ถุดิบอาหารสัตว์ 2.2 อนินทรียส์ าร ประกอบไปดว้ ยแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ ท่ีมีอยทู่ ้งั สิ้นในวตั ถุดิบน้นั มีท้งั ชนิดท่ีจาเป็นและที่ไม่จาเป็นตอ่ ร่างกายสตั ว์ อาหารสัตว(์ Feed)ความช้ืนหรือน้า(Moisture ; Water) วตั ถุแหง้ (DM ; Dry Matter)อินทรียส์ าร(OM ; Organic Matter) อนินทรียส์ าร(Inorganic Matter) คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุที่จาเป็ น ไขมนั แร่ธาตุไม่จาเป็น โปรตีน วติ ามินแผนภูมิ แสดงองคป์ ระกอบของอาหารสตั ว์โภชนะในอาหารสัตว์ ประกอบดว้ ย น้า คาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน วติ ามิน และแร่ธาตุ ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี1. นา้ หรือความชื้น (Water หรือ Moisture ; H2O) น้าจดั เป็นโภชนะราคาถูกหาไดง้ ่าย มีอยทู่ วั่ ไปตามธรรมชาติ ปริมาณน้าท่ี มีอยใู่ นวตั ถุดิบอาหารสตั วผ์ นั แปรตามชนิด อายุ การแปรรูป อาหารหยาบสดมีน้าเป็นส่วนประกอบมาก น้าที่มีอยใู่ นร่างกายสตั วก์ ม็ ีความผนั แปรเช่นเดียวกนัสตั วแ์ รกเกิดมีน้าอยใู่ นร่างกายประมาณ 75 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แตเ่ มื่อโตเตม็ ท่ีจะมีอยปู่ ระมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ สัตว์ท่ีขาดหรือสูญเสียน้าจากร่างกายจะเสียชีวติ เร็วกวา่ การขาดโภชนะชนิดอ่ืน พบวา่ ร่างกายของสตั วส์ ามารถสูญเสียไขมนั ที่สารองอยใู่ นร่างกายท้งั หมดและโปรตีนเกินกวา่ คร่ึงหน่ึงที่มีอยใู่ นร่างกาย สตั วย์ งั สามารถดารงชีพตอ่ ไปได้ แต่ถา้ หากสูญเสียน้าไปเพียง 10 เปอร์เซ็นตจ์ ากร่างกาย สตั วจ์ ะตายได้หน้าทข่ี องนา้ ทมี่ ีต่อร่างกายสัตว์1. เป็นส่วนประกอบในทุก ๆ เซลลข์ องร่างกาย ทาใหเ้ ซลลค์ งรูปร่าง ใหค้ วามชุ่มช้ืนแก่ผวิ หนงั

11 2. ช่วยนาพาโภชนะที่ยอ่ ยแลว้ ไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 3. ช่วยรักษาอุณหภมู ิของร่างกายใหค้ งท่ี เน่ืองจากน้ามีคุณสมบตั ิที่ดีประการหน่ึง คือ น้ามีคา่ ความร้อนแฝงสูงสามารถดูดซบั ความร้อนท่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกาย 4. ช่วยในกระบวนการยอ่ ยอาหาร ก่อใหเ้ กิดปฏิกิริยาทางเคมีไดง้ ่ายข้ึน 5. ช่วยในการขบั ถ่ายของเสียและสารพษิ ออกจากร่างกาย 6. เป็นตวั หล่อลื่นตามขอ้ ต่อของกระดูก ช่วยในการมองเห็นการไดย้ นิ เสียงของหู 7. ป้ องกนั การกระทบกระเทือนของอวยั วะภายในและตวั อ่อนในครรภ์ 8. เป็นตวั ทาละลายที่ดีช่วยใหแ้ ร่ธาตุในอาหารแตกตวั สามารถดูดซึมเขา้ สู่ร่างกายได้ แหล่งทม่ี า 1. มีอยใู่ นวตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ุกชนิด 2. จากน้าดื่มที่มีอยตู่ ามแหล่งธรรมชาติ 3. จากปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารในร่างกาย น้าที่เกิดข้ึนจากกระบวนการน้ีเรียกวา่ “Metabolic Water” อาการขาด สัตวท์ ี่ขาดน้าในระยะเวลาส้นั จะส่งผลกระทบตอ่ การกินอาหาร คือกินอาหารลดลง ผลผลิตต่า เห็นไดช้ ดั เจนในไก่ไข่ โคนม สาหรับมนุษย์ หากร่างกายสูญเสียน้า 4 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่สบาย เบื่ออาหาร หากการสูญเสี ยเพ่มิ เป็น6 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ มีอาการปวดศีรษะ เสียงแหง้ เคล่ือนไหวผดิ ปกติ หายใจหอบถี่ ผวิ หนงั ซีดคล้า เมื่อการสูญเสียเพมิ่เป็น 12 ถึง 14 เปอร์เซ็นต์ ดวงตาลึกโบ๋ ไมส่ ามารถกลืน โลหิตขน้ หวั ใจเตน้ ถ่ี ไมส่ ามารถระบายความร้อนออกจากร่างกาย และตายในที่สุด ปัจจัยทมี่ ีผลต่อความต้องการนา้ ของสัตว์ 1. สภาพภมู ิอากาศ อากาศร้อนสตั วด์ ื่มน้ามากข้ึน รวมถึงความช้ืนท่ีส่งผลต่อความตอ้ งการน้าดื่มของสตั ว์ 2. กิจกรรมของร่างกายสตั ว์ สัตวท์ ี่ทางานมากตอ้ งการน้าดื่มเพิ่มข้ึน 3. อาหารท่ีไดร้ ับ เช่น อาหารลกั ษณะหยาบ แหง้ มีโปรตีนสูง มีแร่ธาตุสูง ลกั ษณะดงั กล่าวทาใหส้ ัตวต์ อ้ งการน้าด่ืมเพมิ่ สูง 4. สตั วท์ ี่ใหผ้ ลผลิตสูงตอ้ งการน้าดื่มมาก2. คาร์โบไฮเดรต จดั เป็นโภชนะจาพวกอินทรียส์ าร ประกอบข้ึนจากธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน แ ละออกซิเจน ในอตั ราส่วนลงประมาณ 1:2:1 มีอยตู่ ามส่วนตา่ ง ๆ ของพืช โดยสังเคราะห์ข้ึนจากกระบวนการสงั เคราะห์แสง ในร่างกายของสตั วม์ ีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบอยนู่ อ้ ยมาก โภชนะท่ีถูกจดั เป็นคาร์โบไฮเดรตมีอยหู่ ลายชนิด สามารถจาแนกออกได้เป็น 2 จาพวกใหญ่ ๆ ดงั ต่อไปน้ี

12 1. จาพวกน้าตาล (Sugar) เช่น กลูโคส ซูโครส 2. จาพวกที่ไม่ใช่น้าตาล (Non Sugar) เช่น แป้ ง เซลลูโลสนา้ ตาล เป็นคาร์โบไฮเดรตจาพวกท่ีมีรสหวาน มีอยหู่ ลายชนิด แบ่งออกไดด้ งั น้ี 1. น้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว (Monosaccharide) มีอยู่หลายชนิด บางชนิดพบอยอู่ ยา่ งอิสระตามธรรมชาติ น้าตาลบางชนิดพบอยใู่ นสารประกอบตา่ ง ๆ บางชนิดเป็นตวั กลางท่ีเกิดข้ึนจากปฏิกิริยาภายในร่างกาย น้าตาลในกลุ่มน้ีมีธาตุคาร์บอนในโมเลกลุ 3 ถึง 7 อะตอม เช่น ไรโบส (Ribose) ไซโลส (Xylose) สาหรับน้าตาลที่มีความสาคญั ในทาง ดา้ นอาหารสตั ว์ คือ Hexose(C6H12O6) ไดแ้ ก่ กลูโคส กาแลกโตส ฟรุคโตส และ แมนโนส 2. น้าตาลโมเลกลุ คู่ (Disaccharide) เกิดจากน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว 2 ชนิดมาเกาะรวมตวั กนั เช่น ซูโครสหรือน้าตาลทราย เกิดจาก กลูโคสและฟรุคโตส แลกโตสหรือน้าตาลน้านม เกิดจาก กลูโคสและกาแลกโตส มอลโตส เกิดจากน้าตาลกลูโคส และ กลูโคส 3. น้าตาลโมเลกุลสาม (Trisaccharide) เกิดจากน้าตาลโมเลกลุ เด่ียว 3 ชนิด มาเกาะรวมตวั กนั ท่ีพบตามธรรมชาติมีอยเู่ พยี งชนิดเดียว คือ Raffinose พบในเมลด็ ฝ้ าย หวั ผกั กาด จาพวกทไ่ี ม่ใช่นา้ ตาล เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เกิดจากการเกาะรวมตวั กนั ของน้าตาลโมเลกุลเดี่ยวจานวนมากมาย บางชนิดอาจมีสารประกอบอื่น ๆ รวมอยดู่ ว้ ยกไ็ ดน้ อกเหนือไปจากน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว แบง่ ออกไดเ้ ป็นดงั น้ี 1. Homopolysaccharide เป็นคาร์โบไฮเดรตท่ีเกิดจากน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยวเพยี งชนิดเดียวในโมเลกุล ไดแ้ ก่ เพนโทซาน (Pentosans) เกิดจากน้าตาลเพนโตส (Pentose : C5H10O5) ท้งั สิ้น เช่น Arabans เกิดจากArabinose เฮกโซซาน (Hexosans) เกิดจากน้าตาลเฮกโซส (Hexose : C6H12O6) เช่น แป้ ง ไกลโคเจน เซลลูโลส Dextrin 2. Heteropolysaccharide เป็นคาร์โบไฮเดรตท่ีเกิดจากน้าตาลโมเลกลุ เด่ียวหลายชนิดรวมถึงสารประกอบอ่ืนในโมเลกลุ เช่น ยางไม้ (Gum) เพคติน (Pectin) เฮมิเซลลูโลส (Hemi-cellulose) ลิกนิน (Lignin) เป็นอินทรียส์ ารท่ีมีรสฝาด มีองคป์ ระกอบข้ึนจากธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน พบอยใู่ นทุก ๆส่วนของพชื มีปริมาณเพม่ิ ข้ึนตามอายขุ องพืช ไมถ่ ูกจดั ใหเ้ ป็นคาร์โบไฮเดรต ไมส่ ามารถยอ่ ยไดโ้ ดยเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร เป็นตวั ขดั ขวางการใชป้ ระโยชนข์ องโภชนะตวั อื่น ลกั ษณะโครงสร้างของสารลิกนินยงั ไม่ทราบแน่ชดั พบวา่ มีสดั ส่วนของธาตุคาร์บอนประกอบอยมู่ ากกวา่ ในคาร์โบไฮเดรต และมีไนโตรเจนอยดู่ ว้ ยประมาณ 1 ถึง 5เปอร์เซ็นต์

13 การวเิ คราะห์อาหารสตั วท์ างเคมี คาร์โบไฮเดรตมีอยู่ 2 ส่วน คือ สารเยอ่ื ใย (Crude Fiber ; CF) ประกอบดว้ ยเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส ลิกนิน ส่วนท่ี 2 เรียกวา่ NFE (Nitrogen Free Extract) ซ่ึงประกอบข้ึนดว้ ย แป้ ง น้าตาล และเดกซ์ตริน (Dextrin) ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตต่อสัตว์ 1. เผาผลาญใหพ้ ลงั งาน 2. สะสมเป็นแหล่งพลงั งานสารองในร่างกาย เช่น ไกลโคเจน หรือนาไปสงั เคราะห์เป็นไขมนั 3. เป็นส่วนประกอบของโครโมโซม คือ RNA และ DNA 4. ควบคุมกระบวนการเมตาบอลิซึมของพลงั งาน แหล่งทม่ี า คาร์โบไฮเดรตมีอยใู่ นทุก ๆ ส่วนของตน้ พชื เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์แสง เช่น จาพวกน้าตาลพบใน ผลไมส้ ุก น้าออ้ ย หวั ผกั กาดหวาน กากน้าตาล จาพวกแป้ งมีอยใู่ น เมลด็ ธญั พืช พืชหวั และผลพลอยไดจ้ ากเมลด็ธญั พืช จาพวกเซลลูโลสมีอยใู่ น ใบพชื ก่ิง ลาตน้ ใชเ้ ป็นอาหารของสตั วก์ ระ เพาะรวม เอนไซมใ์ นระบบทางเดินอาหารไมส่ ามารถยอ่ ยเซลลูโลสได้ แต่จุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมนสามารถยอ่ ยสลายเซลลูโลสได้3. โปรตีน (Protein) จดั เป็นอินทรียส์ ารที่ประกอบข้ึนจากธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน โปรตีนบางอยา่ งประกอบข้ึนจากธาตุอ่ื น ๆ อีก เช่น ฟอสฟอรัส กามะถนั เหล็ก ทองแดง ปริมาณของไนโตรเจนในโปรตีนมีคา่ เฉลี่ย 16เปอร์เซ็นต์ ไนโตรเจนดงั กล่าวอยใู่ นรูปของอะมิโน กรุ๊ฟ(-NH2) โปรตีนเกิดข้ึนจากการเกาะเรียงตวั กนั ของกรด อะมิโนตา่ ง ๆ หลายชนิด การจาแนกประเภทของโปรตีน มีอยู่ 3 จาพวก 1. โปรตีนอยา่ งง่าย (Simple Protein) เป็นจาพวกท่ีประกอบข้ึนจากกรดอะมิโนชนิดตา่ ง ๆ เท่าน้นั เช่นโปรตีนไข่ขาว (Albumin) โปรตีนของโลหิต (Globulin) 2. โปรตีนเชิงซอ้ น (Conjugated Protein) เป็นจาพวกที่มีสารประกอบชนิดอื่นรวมอยดู่ ว้ ยในโมเลกลุนอกเหนือไปจากกรดอะมิโน เช่น 2.1 Nucleoproteins มีนิวคลีอิกรวมอยดู่ ว้ ย พบในส่วนคพั ภะของเมลด็ พชื เน้ือเยอ่ื ของต่อมต่าง ๆ 2.2 Glycoproteins มีคาร์โบไฮเดรตรวมอยดู่ ว้ ย เช่น Mucin หรือโปรตีนน้าลาย 2.3 Phosphoproteins มีฟอสเฟตรวมอยดู่ ว้ ย เช่น Casein โปรตีนน้านม 2.4 Hemoglobins มีสารประกอบธาตุเหลก็ (Hematin) รวมอยดู่ ว้ ย คือ Hemoglobin โปรตีนเมด็ โลหิตแดง 3. อนุพนั ธ์โปรตีน (Derived Protein) เป็นจาพวกโปรตีนที่เกิดมาจากการเปล่ียนแปลงของโปรตีนอ่ืน ๆ เช่นPeptide ; Peptone และ กรดอะมิโน

14 กรดอะมิโน กรดอะมิโนจดั เป็นหน่วยยอ่ ยท่ีสุดของโปรตีน เท่าท่ีคน้ พบจากโปรตีนท่ีมีอยใู่ นธรรมชาติและเป็นที่ยอมรับมีอยู่ 25 ชนิด จากท่ีคาดหมายวา่ อาจมีอยถู่ ึง 35 ชนิด จาแนกออกไดเ้ ป็น 2 จาพวก 1. กรดอะมิโนที่จาเป็น (Essential Amino Acid) เป็นกรดอะมิโนที่สตั วจ์ าเป็นตอ้ งไดร้ ับมาจากอาหารโดยตรงเพราะไม่สามารถสังเคราะห์ข้ึนเองไดใ้ นร่างกาย มีอยู่ 10 ชนิด ยกเวน้ ในสตั วป์ ี กมี 11 ชนิด โดยมี Glycine เพม่ิข้ึนมา 2. กรดอะมิโนท่ีไมจ่ าเป็น (Non-Essential Amino Acid) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายของสตั วส์ ามารถสังเคราะห์ข้ึนเองไดเ้ ม่ือไดร้ ับโภชนะอ่ืน ๆอยา่ งเพยี งพอกรดอะมโิ นทจี่ าเป็ น กรดอะมโิ นทไี่ ม่จาเป็ นMethionine GlycineTryptophan AlanineValine SerineArginine CystineThreonine TyrosineHistidine Aspartic AcidIsoleucine Glutamic AcidLysine ProlineLeucine HydroxyprolinePhenylalanine Citruline ในระบบทางเดินอาหารของสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองและสัตวก์ ระเพาะเด่ียวจาพวกชา้ งมา้ มีจุลินทรียห์ ลายชนิดอาศยั อยู่ จุลินทรียเ์ หล่าน้ีสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนตา่ ง ๆ รวมถึงจาพวกท่ีจาเป็นไดจ้ ากอาหารที่กินเขา้ ไป ร่างกายของสัตวส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ จุลินทรียย์ งั สามารถใชส้ ารประกอบไนโตรเจนจาพวก ยเู รีย เพอ่ืนาไปสังเคราะห์เป็นกรดอะมิโนและโปรตีนได้ แต่ในชา้ ง มา้ กระต่าย หา้ มใช้ ยเู รียในอาหาร เพราะจะเกิดการแตกตวั ในกระเพาะ และลาไส้ก่อนเดินทางไปถึงลาไส้ใหญ่ท่ีมีจุลินทรีย์ จึงเป็นพิษสารประกอบไนโตรเจนทไ่ี ม่ใช่โปรตนี (Non Protein Nitrogen ; NPN) ในอาหารสัตวต์ ามธรรมชาติบางชนิด มีสารประกอบจาพวกไนโตรเจนอยดู่ ว้ ย สารดงั กล่าวไมถ่ ูกจดั เป็นโปรตีนเช่น กลูโคไซด์ อลั คาลอยด์ สารประกอบไนเตรท ไนไตรท์ เกลือแอมโมเนีย ยเู รีย กรดยรู ิก Biuret สารประกอบเหล่าน้ีส่วนใหญส่ ัตวก์ ระเพาะเดี่ยวไม่สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ยกเวน้ สัตวก์ ระเพาะรวมซ่ึงจุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมนนาไปสงั เคราะห์ข้ึนเป็นโปรตีนได้ ในอาหารขน้ ท่ีมีแป้ งสูงสาหรับโคนม สามารถใช้ ยเู รีย ถึง 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 3 ส่วนของ

15โปรตีนท้งั หมดในอาหารขน้ แตไ่ ม่ควรใชเ้ กินกวา่ 3 เปอร์เซ็นตข์ องอาหารขน้ ยเู รีย มีไนโตรเจนประกอบอยู่ 46.6เปอร์เซ็นต์ ในทอ้ งตลาดมีระดบั ไนโตรเจนเฉล่ีย 42 ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 262 ถึง 281 เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีน หน้าทแ่ี ละประโยชน์ของโปรตีน 1. เป็นองคป์ ระกอบของเซลลข์ องทุกอวยั วะในร่างกายสัตว์ 2. ช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย 3. ทาหนา้ ท่ีเป็นภมู ิคุม้ โรคในร่างกายสัตว์ 4. นาพาออกซิเจนไปสู่ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 5. จาเป็นตอ่ การสร้างผลผลิต เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน แหล่งทมี่ า ไดม้ าจากอาหารตามธรรมชาติทุกชนิด ท้งั จากพชื และสตั ว์ ปริมาณของโปรตีนในอาห ารผนั แปรตามแหล่งท่ีมา อาหารหลกั และอาหารหยาบมีโปรตีนต่า ยกเวน้ พืชตระกลู ถวั่ กากเมลด็ พชื น้ามนั ที่สกดั ไขมนั ออกแลว้ มีโปรตีนอยสู่ ูง โปรตีนที่ไดม้ าจากสัตวส์ ่วนใหญ่มีคุณภาพสูงกวา่ โปรตีนท่ีไดม้ าจากพชื เพราะวา่ สามารถยอ่ ยไดง้ ่ายกวา่ มีสารเยอ่ื ใยต่า ประกอบข้ึนจากกรดอะมิโนที่ครบถว้ นกวา่4. ไขมนั (Lipids) ไขมนั จดั เป็นอินทรียส์ ารประกอบข้ึนจากธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน แตป่ ริมาณ สัดส่วนและสูตรโครงสร้างแตกตา่ งจากคาร์โบไฮเดรต มีคุณสมบตั ิทางกายภาพและเคมีแตกตา่ งกนั ไขมนั เบากวา่ น้า ไม่ละลายในน้า แต่ละลายในเบนซิน คลอโรฟอร์ม อีเทอร์ ไขมนั ทาปฏิกิริยากบั ด่างไดส้ บู่ ไขมนั ใหค้ ่าพลงั งานสูงกวา่ คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนประมาณ 2.25 เท่า การจาแนกประเภทไขมัน แบ่งออกไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ไขมนั อยา่ งง่าย (Simple Lipids) เป็นจาพวกไขมนั ท่ีเกิดจากการ รวมตวั กนั ระหวา่ งกรดไขมนั ตา่ ง ๆ กบัแอลกอฮอล์ หรือ ไกลซีรอล ไดแ้ ก่ น้ามนั พืช ไขสตั ว์ ข้ีผ้งึ (Waxes) 2. ไขมนั ประกอบ (Compound Lipids) เป็นไขมนั ชนิดที่มีสารประกอบอ่ืนรวมอยดู่ ว้ ยนอกเหนือไปจาก กรดไขมนั และไกลซีรอล เช่น ฟอสโฟลิปิ ด (Phospholipids) ประกอบดว้ ย ฟอสฟอรัสและไขมนั เช่น Lecithin , Cephalin ไกลโคลิปิ ด (Glycolipids) ประกอบดว้ ย ไกลโคเจนและ เช่น Cerebrosides Lipoprotein ประกอบกดว้ ย ไขมนั และโปรตีน 3. อนุพนั ธ์ไขมนั (Derive Lipids) เป็นสารประกอบที่เปลี่ยนแปลงมาจากไขมนั กลุ่มอ่ืน และสารประกอบจาพวก สเตอรอล (Sterols) เช่น Cholesterol , Ergosterol และกรดไขมนั ชนิดต่าง ๆ

16กรดไขมัน (Fatty Acid)กรดไขมนั เป็นองคป์ ระกอบที่สาคญั ในไขมนั ตา่ ง ๆ พบโดยทวั่ ไปท้งั ในพชื และสัตว์ กรดไขมนั ท่ีพบในร่างกายสัตวเ์ ป็นชนิดท่ีมีธาตุคาร์บอนคู่ และเป็นชนิดอิ่มตวั เท่าท่ีพบ กรดไขมนั มีมากกวา่ 70 ชนิดในธรรมชาติ แบ่งออกไดเ้ ป็น2 พวก คือ ก. กรดไขมนั อิ่มตวั (Saturated Fatty Acid) เป็นจาพวกที่ธาตุคาร์บอนในโมเลกุลเกาะเรียงตวั กนั โดย พนั ธะเดี่ยว (Single Bond) ข. กรดไขมนั ไมอ่ ิ่มตวั (Unsaturated Fatty Acid) เป็นจาพวกที่ธาตุคาร์บอนบางตาแหน่งในโมเลกุลเกาะ เรียงตวั กนั โดยพนั ธะคู่ (Double bond) หรือ พนั ธะสาม(Triple Bond) CH2OH HOOC-R CH2-OOC-R CHOH + HOOC-R1 CH –OOC-R1 + H2O CH2OH HOOC-R2 CH2-OOC-R2Glycerol Fatty Acid Simple Lipidกรดไขมันทอี่ ม่ิ ตวั ยกตวั อยา่ งเช่น CH3(CH2)2COOH Butyric Acid CH3(CH2)4COOH Caproic Acid CH3(CH2)6COOH Caprylic Acid CH3(CH2)8COOH Capric Acid CH3(CH2)10COOH Lauric Acid CH3(CH2)12COOH Myristic Acid CH3(CH2)14COOH Palmitic Acid CH3(CH2)16COOH Stearic Acidกรดไขมันทไ่ี ม่อม่ิ ตัว ยกตวั อยา่ งเช่นPalmitoleic Acid CH3(CH2)5CH=CH(CH2)7COOHOleic Acid CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COOHLinoleic Acid CH3(CH2)4CH=CHCH2CH=CH(CH2)7COOHLinolenic Acid CH3CH2CH=CHCH2CH=CHCH2CH=CH(CH2)7COOHArachidonic Acid CH3(CH2)4CH=CHCH2CH=CHCH2CH=CHCH2CH=CH(CH2)3COOH

17 กรดไขมนั ที่ไม่อิ่มตวั มีจุดหลอมเหลวต่ากวา่ กรดไขมนั ที่อิ่มตวั ในกรณีที่มีจานวนธาตุคาร์บอนในโมเลกุลเท่ากนั และสามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ ีกวา่ กรดไขมนั ท่ี มีจานวนธาตุคาร์บอนในโมเลกลุ ต่ากวา่ 10 ถูกจดั ใหเ้ ป็นกรดไขมนั ท่ีระเหิดได้ (VFA ; Volatile Fatty Acid) เนื่องจากสามารถระเหยไปพร้อมกบั ไอน้าและควบแน่นไดเ้ ช่นกนั ไขมนั ท่ีจดั เป็น Fat แขง็ ตวั ในสภาพอุณหภมู ิหอ้ ง ส่วนจาพวก Oil มีสภาพเป็นของเหลว กรดไขมั นท่ีไมอ่ ิ่มตวัถูกกระทาใหเ้ ปล่ียนแปลงไดง้ ่าย โดยปฏิกิริยาออกซิเดชนั ทาใหม้ ีลกั ษณะขน้ ข้ึนและแขง็ ตวั เกิดการเหมน็ หืน(Rancidity) โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในสภาพอากาศร้อนช้ืน ถูกแสงแดด รังสีอตั ราไวโอเลต และแร่ธาตุบางชนิด เช่นทองแดง เหล็ก ช่วยเร่งใหเ้ กิดการเหมน็ หืนของไขมนั ไดง้ ่ายยง่ิ ข้ึน มีกรดไขมนั 3 ชนิดที่ถูกจดั ใหเ้ ป็นกรดไขมนั ท่ีจาเป็นตอ่ สัตว์ ตอ้ งไดร้ ับจากอาหารอยา่ งเพยี งพอ หากขาดจะส่งผลเสียตอ่ การเจริญเติบโต ผวิ หนงั แหง้ ตกสะเกด็ ผลผลิตน้านมต่า กรดไขมนั ท้งั 3 ชนิดมีอยมู่ ากในน้ามนั พชื หรือจากอาหารตามธรรมช าติที่มีไขมนั ประกอบ สัตวเ์ ล้ียงโดยทว่ั ไปมกั จะไม่แสดงอาการขาดใหเ้ ห็น ยกเวน้ ในสัตวท์ ดลองที่ไดร้ ับอาหารสังเคราะห์ เรียกกรดไขมนั ท้งั 3 ชนิดวา่ Essential Fatty Acid ไดแ้ ก่ Linoleic Acid , Linolenic Acid และArachidonic Acid ประโยชน์ของไขมัน 1.ใหพ้ ลงั งานแก่ร่างกายสตั ว์ และเป็นแหล่งพลงั งานสะสมในร่างกาย 2.เป็นองคป์ ระกอบของร่างกาย พบมากในเซลลส์ มอง เน้ือเยอ่ื 3.เป็นฉนวนป้ องกนั การสูญเสียความร้อน ป้ องกนั การกระเทือนของอวยั วะภายใน 4.เป็นองคป์ ระกอบของฮอร์โมน วติ ามินบางชนิด 5.ช่วยลาเลียงนาพาวติ ามินที่ละลายในไขมนั ในร่างกาย 6.เป็นแหล่งของกรดไขมนั ท่ีจาเป็น 7.ช่วยลดความเป็นฝ่ นุ ของอาหาร ลดคา่ ความร้อนแฝงในกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย แหล่งทม่ี า มีในอาหารสตั วต์ ามธรรมชาติ มีมากในไขสัตว์ น้ามนั พชื อาการขาด โดยทว่ั ไปมกั ไมค่ อ่ ยพบ ยกเวน้ สัตวไ์ ดร้ ับอาหารทดลองบางชนิด สัตวแ์ สดงอาการเบ่ืออาหาร น้าหนกั ลดขนร่วง ผวิ หนงั เป็นแผลตกสะ เกด็ รอบคอและบา่ สุกรขนหางร่วง ระบบยอ่ ยอาหารผดิ ปกติ โตเป็นหนุ่มสาวชา้ ตอ่ มไทรอยดผ์ ดิ ปกติ ถุงน้าดีมีขนาดเลก็5. วติ ามิน (Vitamins) วติ ามินจดั เป็นโภชนะจาพวกอินทรียส์ าร มีอยปู่ ระมาณ 15 ชนิดท่ีทราบหนา้ ท่ีและความจาเป็นตอ่ ร่างกายสตั ว์แน่ชดั วติ ามิน แตล่ ะชนิดมีองคป์ ระกอบทางเคมีแตกต่างกนั ถูกจดั ใหเ้ ขา้ อยใู่ นกลุ่มเดียวกนั เพราะ มีคุณสมบตั ิดา้ น

18โภชนาการและสรีรวทิ ยาต่อสตั วค์ ลา้ ยคลึงกนั ยงั คงมีสารประกอบอีกหลายตวั ที่มีความพยายามจดั เป็นวติ ามินจาเป็นตอ้ งไดร้ ับการศึกษาคน้ ควา้ เพม่ิ เติมใหเ้ ป็นที่ยอมรับในหมนู่ กั วชิ าการการจาแนกประเภทของวติ ามิน แยกออกไดเ้ ป็น 2 จาพวก1. วติ ามินที่ละลายไดใ้ นไขมนั (Fat Soluble Vitamins) ไดแ้ ก่ วติ ามิน เอ วติ ามิน ดี วติ ามิน อี และวติ ามิน เค2. วติ ามินท่ีละลายไดใ้ นน้า (Water soluble vitamins) ไดแ้ ก่วติ ามิน บีรวม และวติ ามิน ซี5.1 วติ ามนิ เอ (Retinol ; C19H27CH2OH) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีเหลืองออ่ น ละลายในไขมนั ไม่ละลายในน้า ถูกทาลายไดง้ ่ายเม่ือถูกอากาศ แสงแดดสัตวท์ ุกชนิดจาเป็นตอ้ งไดร้ ับวติ ามินจากอาหารโดยตรง ไมพ่ บวติ ามิน เอ ในพืชทุกชนิด แต่พืชมีสารสีจาพวกแคโรทินอยด์ (C40H56) สามารถเปลี่ยนไปเป็นวติ ามิน เอ ไดภ้ ายในลาไส้เล็ก เรียกสารน้ีวา่ Vitamin A Precursor หรือProvitamin Aหน้าทขี่ องวติ ามนิ เอช่วยในการเจริญพฒั นาของกระดูก ร่างกายใ หเ้ ป็นปกติ ช่วยในการมองเห็นของนยั ตา ช่วยใหเ้ ซลลบ์ ุผวิ มีความแขง็ แรงอาการขาดสตั วท์ ุกชนิดท่ีขาดจะแสดงอาการของโรคนยั น์ตาฟาง (Night Blindness) มีอาการตามวั ในสภาพแสงสลวัอาจมองไม่เห็นในตอนกลางคืน สัตวท์ ่ีมีอายนุ อ้ ย หนูหากขาด แสดงอาการของโรค Xeropthalmia อาการนยั น์ตาแหง้ ข่นุมวั มีแผลหนอง ตาบอดในท่ีสุด สัตวป์ ี กไมส่ ามารถกลนั่ สร้างน้าตา นยั นต์ าแหง้ หากติดเช้ือทาใหข้ อบตาปิ ดเชื่อมติดกนัแหล่งของวติ ามนิ เอพบมากในน้ามนั ตบั ปลา ไข่แดง น้านม ในพืชมีสารสีจาพวกแคโรทิ นอยด์ เช่น บีตา -แคโรทิน เม่ือสัตวก์ ินเขา้ ไปสามารถเปลี่ยนไปเป็นวติ ามิน เอ ท่ีลาไส้เล็ก หากสตั วไ์ ดร้ ับวติ ามินเอมาก จะนาไปสะสมไวท้ ่ีตบั หากมีระดบั สูงเกินไปจะเป็นพษิ ทาใหก้ ารเจริญเติบโตลด กระดูกผดิ ปกติ มีหน่วยวดั ค่าความตอ้ งการเป็นหน่วยสากล (I.U. ;International Unit) 1 I.U.ของวติ ามินเอ มีค่าเท่ากบั วติ ามินเอแอลกอฮอล์ หนกั 0.3 ไมโครกรัม5.2 วติ ามนิ ดี (Antirachitic Factor)มนุษยร์ ู้จกั การรักษาโรคกระดูกอ่อน โดยใหร้ ่างกายไดร้ ับแสงแดดก่อนท่ีจะคน้ พบวติ ามิน ดี ซ่ึง มีอยู่ 2 รูปคือ ดี-2 และ ดี-3 สตั วท์ ุกประเภทสามารถใชไ้ ดท้ ้งั 2 รูป ยกเวน้ ในสัตวป์ ี ก ที่สามารถใชไ้ ดเ้ ฉพาะ ดี-3 เท่าน้นั วติ ามิน ดี-2 (Ergocalciferol ; C28H43OH) พบในพชื วติ ามิน ดี-3 (Cholecalciferol ; C27H43OH) พบในสตั ว์หน้าทขี่ องวติ ามิน ดี ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุเขา้ สู่ร่างกาย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คือธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสยงั รวมถึงเหล็ก สงั กะสี แมกนีเซียม ทาหนา้ ท่ี ๆ จาเป็นตอ่ กระบวนการเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในการสร้างกระดูก

19 อาการขาด สตั วท์ ี่มีอายนุ อ้ ยเกิดโรคกระดูกออ่ น (Ricket) มีอาการขอ้ ขาบวมโต กระดูกออ่ นผดิ รูปร่าง ขาโก่งงอ ลูกววั มีหลงั โกง กระดูกหนา้ อกของไก่คดงอ จะงอยปากออ่ นหยนุ่ ไก่ไขผ่ ลผลิตไข่ลด เปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่า เปลือกไข่บางแตกง่าย สัตวท์ ่ีมีอายมุ ากเกิดโรคกระดูกผุ (Osteomalacia) กระดูกบางพรุนออ่ นแอ กระดูกเปราะหกั ง่าย สุกรเกิดอาการอมั พาตของขาหลงั เนื่องจากกระดูกสันหลงั แตกหกั ไปกดไขสันหลงั มา้ มีอาการหนา้ บวม แหล่งของวติ ามนิ ดี พบในอาหารที่ทาใหแ้ หง้ โดยแสงแดด ไดแ้ ก่หญา้ แหง้ ใบกระถินป่ น ส่าเหลา้ ตากแหง้ ปลาป่ น น้ามนั ตบั ปลาไขแ่ ดง ร่างกายของสตั วส์ ามารถสงั เคราะห์ข้ึนเองไดเ้ ม่ือร่างกายไดร้ ับรังสีอลั ตราไวโอเลต โดยจะเปล่ียนสาร 7-Dehydrocholesterol ท่ีร่างกายสังเคราะห์ข้ึนที่ตบั และเก็บสารองไวท้ ่ีไขมนั ใตผ้ วิ หนงั กลายไปเป็นวติ ามิน ดี -3 สตั วท์ ี่มีผวิ หนงั สีขาวสังเคราะห์วติ ามินไดม้ ากกวา่ สตั ว์ ที่มีผวิ หนงั สีดา สตั วใ์ นภูมิภาคเขตร้อนสงั เคราะห์ไดม้ ากกวา่ ในภูมิภาคเขตหนาวในที่สูงสังเคราะห์ไดม้ ากกวา่ ในที่ต่า กลางวนั ดีกวา่ ในช่วงเชา้ หรือบ่าย สัตวท์ ี่ไดร้ ับวติ ามิน ดี จากอาหารระดบั สูงติดตอ่ กนั นาน เกิดผลเสียตอ่ ร่างกายเรียกวา่ Hypervitaminosis คือเกิดการสะสมเกลือแคลเซียมตามทอ่ โลหิต ตามเน้ือเยอ่ื และอวยั วะบางส่วนของร่างกาย หน่วยวดั คา่ ความตอ้ งการของวติ ามิน ดี คือหน่วยสากล สาหรับสัตวป์ ี กมีหน่วยวดั ค่าเป็น I.C.U. (International Chick Unit) 1 I.C.U. มีคา่ เทา่ กบั ผลึกวติ ามิน ดี-3 หนกั 0.025 ไมโครกรัม 5.3 วติ ามนิ อี (Alpha Tocopherol ; C29H50O2 ) วติ ามิน อี คงตวั ไดด้ ีในสภาวะปกติ แต่ถูกทาลายไดง้ ่ายหากเกิดการเหมน็ หืนของไขมนั ความสาคญั ของโภชนะตวั น้ีเกิดจากการศึกษาคน้ ควา้ ในหนูทดลอง พบวา่ หนูที่ขาดวติ ามิน อี แสดงอาการเป็นหมนั วติ ามิน อี มีลกั ษณะ เป็นผลึกสีเหลืองอ่อน ละลายในไขมนั แอลกอฮอล์ มีหน่วยวดั คา่ เป็นหน่วยสากล หน้าทขี่ องวติ ามิน อี ทาหนา้ ที่เป็นตวั ป้ องกนั การเหมน็ หืนของไขมนั (Antioxidant) ท้งั ภายนอกและภายในร่างกาย ในอาหารที่มีไขมนั สูงควรเติมสารป้ องกนั การเหมน็ หืนลงไปดว้ ย เพอื่ ป้ องกนั ไม่ใหว้ ติ ามินอี ถูกทาลาย ช่วยในการเจริญพฒั นาของระบบสืบพนั ธุ์ การพฒั นาและการทางานของระบบกลา้ มเน้ือ ระบบประสาทเก่ียวขอ้ งกบั การสร้าง โค-เอนไซม์ (Coenzyme) ที่จาเป็นต่อกระบวนการหายใจของเซลล์ การขาดวติ ามนิ อี 1. ทาใหส้ ัตวเ์ ป็นหมนั โดยเฉพาะอยา่ ยง่ิ คือหนู อณั ฑะและรังไขฝ่ ่ อลีบ ไข่ไก่พนั ธุ์มีเปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่าอตั ราการตายของไขม่ ีเช้ือสูงใน 4 วนั แรกของการฟัก 2. เกิดโรค Musculardystrophy หรือ White Muscle Disease เซลลก์ ลา้ มเน้ือถูกทาลายลีบฝ่ อ ไมม่ ีแ รง เป็นอมั พาต

20 3. เกิดโรค Encephalomalacia หรือ Crazy Chick ในลูกไก่ เกิดจากมีเลือดคง่ั ในสมองนอ้ ย (Cerebellum) ทาใหม้ ีความผดิ ปกติของระบบประสาท ต่ืนตกใจง่ายโดยปราศจากสิ่งกระตุน้ คอบิด หอ้ ยตก ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย แหล่งท่ีมาของวติ ามิน อี พบมากในส่วนคพั ภะของเมล็ดพชื ในเมล็ดธญั พชื พชื สีเขียว ในถวั่ อลั ฟัลฟา กากถวั่ ต่าง ๆ มีวติ ามิน อี อยมู่ ากปริมาณที่มีอยใู่ นไขแ่ ดงผนั แปรตามระดบั ท่ีไดร้ ับจากอาหาร น้านมมีวติ ามิน อี อยคู่ ่อนขา้ งต่า 5.4 วติ ามิน เค (Anti-Haemorrhagic Vitamin)วติ ามิน เค มีอยู่ 3 รูป คือ วติ ามิน เค-1 (Phylloquinone ; C31H46O2)พบอยใู่ นพืชสีเขียว วติ ามิน เค-2 (Menaquinone ; C41H56O2) พบในปลาป่ น และจุลินทรียใ์ นระบบทางเดินอาหารสตั ว์สังเคราะห์ข้ึน วติ ามิน เค-3 (Menadione) เป็นสารสงั เคราะห์ ใชผ้ สมลงในอาหารใหส้ ตั วก์ ิน เป็นผลึกสีขาว มีความคงตวั หน้าทข่ี องวติ ามิน เค จาเป็นต่อการสร้างโปรตีนในน้าเลือด ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การแขง็ ตวั ของโลหิต ไดแ้ ก่ Prothrombin ช่วยป้ องกนัอาการเลือดออกตามผวิ หนงั และกลา้ มเน้ือ อาการขาดวติ ามิน เค 1. เม่ือร่างกายเกิดบาดแผล ระยะเวลาการแขง็ ตวั ของโลหิตชา้ หรือเลือดอาจไหลไมห่ ยดุ 2. ไก่ที่ขาดพบจุดเลือดออกตามผวิ หนงั กลา้ มเน้ือ และอาการดงั กล่าวอาจพบไดเ้ ช่นกนั ใน หนู กระต่าย ลูกสุกรและมนุษยใ์ นบางสภาวะ สตั วท์ ี่ไดร้ ับยา ซลั โฟนาไมดน์ านติดตอ่ กั น แสดงอาการขาดวติ ามิน เค ไดง้ ่าย เพราะตวั ยาดงั กล่าวจะขดั ขวางการดูดซึมวติ ามิน เค เช่น ในกรณีท่ีใชย้ าเพอื่ ป้ องกนั โรคบิดในฝงู ไก่ แหล่งของวติ ามนิ เค มีอยใู่ นอาหารโดยทว่ั ไป เช่น ใบพืชสีเขียว ผลพลอยไดจ้ ากธญั พืช ไข่แดง ปลาป่ น ใบกระถิน แล ะพบวา่จุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมน ในลาไส้ใหญ่ของสตั วก์ ระเพาะเดี่ยว สามารถสังเคราะห์วติ ามิน เค ได้ ในกรณีของสัตว์กระเพาะเดี่ยวยงั คงจาเป็นตอ้ งไดร้ ับจากอาหาร เพราะในลาไส้ใหญ่ไมม่ ีการดูดซึมจึงถูกขบั ออกไปพร้อมอุจจาระ หน่วยวคั คา่ ความตอ้ งการของวติ ามิน เค คือ หน่วยสากล โดย 1 หน่วยมีคา่ เทา่ กบั ผลึกของ Menadione หนกั 1ไมโครกรัม 5.5 วติ ามนิ บรี วม (Vitamin B-Complex) 5.5.1 วติ ามนิ บี-1 (Thiamine ; C12H17N4OSCl) วติ ามิน บี-1 มีลกั ษณะเป็นผลึกสีขาว ละลายไดใ้ นน้า ทนต่อปฏิกิริยาออกซิเดชนั ในบรรยาก าศไดด้ ีพอควร ถูกทาลายไดง้ ่ายโดยความร้อน เช่น ณ อุณหภมู ิพาสเจอร์ไรส์ 145 องศาฟาเรนตไ์ ฮด์ นาน 30 นาที วติ ามินที่มีอยใู่ นน้านมถูกทาลายไป 25 เปอร์เซ็นต์

21 หน้าที่ ทาหนา้ ท่ีร่วมกบั เอนไซมภ์ ายในเซลลท์ ุก ๆ ส่วนของร่างกาย ที่เกี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการเมตาบอลิซึม ในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตใหพ้ ลงั งาน ป้ องกนั การสะสมของสารประกอบตวั กลางที่เกิดข้ึนจากกระบวนการเมตาบอลิซึม คือไพรูเวท (Pyruvate) และกรดแลกติกในกระแสโลหิตและเน้ือเยอื่ ช่วยในการทางานของระบบประสาท อาการขาด 1. ลูกไก่เกิดโรค Polyneuritis แสดงอาการเบ่ืออาหาร โตชา้ ขนหยาบกร้าน มีความผดิ ปกติของระบบประสาทคอเป็นอมั พาตพบั ไปดา้ นหลงั หมุนตวั เป็นวงกลม ไก่ไข่ ผลผลิตลด เปอร์เซ็นตเ์ ช้ือตายสูง 2. สุกร เบื่ออาหารน้าหนกั ลด อาเจียน ชีพจรเตน้ ชา้ อุณหภูมิของร่างกายลดต่า หวั ใจพองโต 3. มนุษย์ เกิดโรคเหน็บชา (Beri-beri) ขนาดของหวั ใจโตผดิ ปกติ หวั ใจเตน้ ชา้ มีอาการบวมน้า ระบบยอ่ ยอาหารผดิ ปกติ เบื่ออาหารมีอาการลา้ ของกลา้ มเน้ือ อ่อนเพลีย แหล่งของวติ ามิน บี-1 สัตวท์ ุกชนิดยกเวน้ สตั วเ์ ค้ียวเอ้ือง จาเป็นตอ้ งไดร้ ับวติ ามิน บี -1 จากอาหาร มีมากในส่าเหลา้ ยสี ตแ์ หง้ เมล็ดธญั พืชโดยเฉพาะส่วนผวิ ท่ีหุม้ แป้ ง พบมากในเน้ือแดงของสุกร ตบั ไขแ่ ดง ในอาหารหยาบมีในใบสดท่ีมีอายนุ อ้ ยจุลินทรียใ์ นกระเพารูเมนของสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองสังเคราะห์วติ ามิน บี-1 ได้ ในปลาดิบมีเอนไซม์ Thiaminase ยอ่ ยสลายวติ ามิน บี -1 จากการทดลองใหส้ ุนขั จิง้ จอกกินปลาดิบติดต่อกนัแสดงอาการขาดวติ ามินใหป้ รากฏ คือมีอาการอมั พาต 5.5.2 วติ ามิน บี-2 (Riboflavin ; C17H20N4O6) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีเหลืองเขม้ มีกล่ินฉุน ในคร้ังแรกที่คน้ พบมีชื่อเรียกวา่ Yellow Enzyme ทนตอ่ ความร้อนไดด้ ีพอสมควร แต่ถูกทาลายไดง้ ่ายโดยแสงแดด หน้าท่ี ทาหนา้ ท่ีร่วมกบั เอนไซมภ์ ายในเซลล์ หรือเป็น โค -เอนไซม์ จาเป็นต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมนั ในการเผาผลาญใหพ้ ลงั งาน ทาหนา้ ท่ีในการขนส่งไฮโดรเจน ป้ องกนั การขยายตวั และเสื่อมสภาพของเซลลป์ ระสาทส่วนขา อาการขาด ในลูกไก่เกิดโรคเอน็ เคลื่อน (Curled Toe Paralysis) นิ้วเทา้ บิดงอเขา้ ดา้ นใน ใชข้ อ้ เข่าเดิน ไก่ไขม่ ีอาการทอ้ งร่วงผลผลิตไข่ลดต่า เปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่า สุกร มีอาการขาโก่ง ขาแขง็ ผวิ หนงั หยาบหนา ผวิ หนงั ท่ีส่วนหลงั และดา้ นขา้ งลาตวั แตกมีน้าเยมิ้ เลนส์นยั นต์ าข่นุ มวั ตาโปน มนุษย์ มีความผดิ ปกติของผวิ หนงั นยั น์ตา เกิดโรคปากนกกระจอก (Cheilosis)

22 แหล่งของวติ ามิน บี-2 พบวา่ ในเมลด็ ธญั พืชมีอยนู่ อ้ ยมากหรือไมม่ ีเลย มีบา้ งเลก็ นอ้ ยในกากถว่ั พบมากในยสี ต์ ส่าเหลา้ น้านม ไขแ่ ดงตบั หวั ใจ ไต ใบพืชสีเขียว หญา้ แหง้ คุณภาพดี จุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมนสังเคราะห์ข้ึนได้ 5.5.3 วติ ามิน บี-6 (Pyridoxine ; C8H11NO3) มีลกั ษณะเป็นผงหรือเกลด็ ขาว ไมท่ นต่อแสงแดดและด่าง ทนตอ่ ความร้อน หน้าที่ ทาหนา้ ท่ีร่วมกนั เอนไซมใ์ นกระบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน ในการแยกอะมิโนกรู๊ปออกจากกรดอะมิโนและยงั ทาหนา้ ที่เก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการเมตาบอลิซึมของไขมนั อาการขาด มีอาการหดเกร็งของกลา้ มเน้ืออยา่ งรุนแรง หรืออาการชกั ในสัตวเ์ กือบทุกชนิด ในไก่เลก็ แสดงอาการตื่นตกใจง่าย มีอาการกระตุก เคล่ือนไหวเปะปะ โตชา้ เบื่ออาหาร ไก่ไขผ่ ลผลิตลด เปอร์เซ็นตฟ์ ักออกต่า สุกร โตชา้ เบ่ืออาหาร ขนหยาบ ชกั กระตุกระบบประสาทผดิ ปก ติ เกิดการสะสมของสารสีเหลืองเขม้ ของสารประกอบธาตุเหล็กที่เส้นประสาท เกิดโรคโลหิตจางจากความผดิ ปกติของเมด็ เลือด แหล่งทม่ี าของวติ ามิน บี-6 มีอยทู่ ว่ั ไปในเมลด็ ธญั พชื พืชสีเขียว พบมากในยสี ต์ ส่าเหลา้ เน้ือแดง ตบั น้านม 5.5.4 วติ ามนิ บี-12 (Cyanocobalamin ; C63H88CoN14O14P) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีอิฐ หากเก็บไวน้ านมีสีเขม้ ข้ึนเพราะดูดความช้ืนจากบรรยากาศไดด้ ี ถูกทาลายไดโ้ ดยความร้อน แสง และสภาพความเป็นกรด ไม่พบวา่ มีอยใู่ นพชื ทุกชนิด มีเฉพาะอยใู่ นอาหารที่ไดม้ าจากสัตว์ จุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมนสงั เคราะห์ข้ึนได้ หน้าที่ ทาหนา้ ที่ร่วมกบั เอนไซมภ์ ายในเซลลท์ ่ีจาเป็นต่อกระบวนการเมตาบอลิซึม ช่วยในการสงั เคราะห์โปรตีน ช่วยสร้างฮีโมโกลบินของเมด็ โลหิตแดง ช่วยสังเคราะห์กรดโพรพิโอนิคในกระเพาะรูเมน อาการขาด ไก่เล็กที่ฟักออกมามีอาการคลา้ ยโรคเอน็ เคลื่อน (Perosis) ท่ีเกิดจากการขาดธาตุแมงกานีส คือมีขอ้ ขาบวมโตอมั พาต โตชา้ การพฒั นาของขนผดิ ปกติ ในไก่ไขแ่ มว้ า่ น้าหนกั ตวั และผลผลิตไข่จะคงท่ีในกรณีท่ีขาดไมร่ ุนแรง แตก่ ารฟักออกลดต่าลงอยา่ งชดั เจน เกิดโรคโลหิตจาง สุกร โตชา้ ขอ้ เทา้ หลงั ออ่ นแอ โลหิตจางเนื่องมาจากปริมาณเมด็ โลหิตแดงนอ้ ย ขนหยาบกร้าน แทง้ ไดง้ ่ายในสุกรอุม้ ทอ้ ง มนุษย์ เกิดโรคโลหิตจาง (Pernicious Anemia) เน่ืองมาจากเมด็ โลหิตแดงมีขนาดโตผดิ ปกติ และมีจานวนเมด็โลหิตแดงต่าลง

23 แหล่งทม่ี า พบในแหล่งโปรตีนที่ไดม้ าจากสตั ว์ เช่น ปลาป่ น เน้ือกระดูกป่ น ไขแ่ ดง น้านม มูลโค ไม่พบวา่ มีอยใู่ นพืชอาหารสตั วท์ ุกชนิด 5.5.5 ไนอะซีน (Niacin ; C6H5O2N) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีขาวไม่มีกลิ่น ทนไดด้ ีต่อความร้อนและแสงแดด ร่างกายของสัตวต์ อ้ งก ารในรูปของสารนิโคทินาไมด์ (Nicotinamide) หน้าที่ เป็นองคป์ ระกอบของ โค -เอนไซมบ์ างตวั เช่น NAD (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) NADP(Nicotinamide Adenine Dinucleotide Phosphate) ช่วยในกระบวนการหายใจของเซลล์ อาการขาด ไก่เล็กโตชา้ ขนงอกชา้ ไม่เรียบ ขาโก่ง มีแผลที่มุมจงอยปาก สุกร น้าหนกั ลด ทอ้ งร่วง อาเจียน ผวิ หนงั มีแผลตกสะเก็ด สุนขั เกิดโรคลิ้นดา (Black Tongue) มนุษยแ์ สดงอาการของโรค Pellagra ลิ้นแดงจดั เกิดแผลในปาก เบื่ออาหาร คล่ืนเหียน มีความผดิ ปกติของระบบประสาท อาจพบอาการง่อยของขาท้งั สองขา้ ง แหล่งทมี่ า พบในอาหารโดยทวั่ ไป เช่น ปลาป่ น ส่าเหลา้ ยสี ต์ กากถวั่ ตา่ ง ๆ 5.5.6 กรดแพนโธทนิ ิก (Pantothenic Acid ; C9H17O5) มีลกั ษณะเป็นผลึกละเอียด ถูกทาลายไดง้ ่ายโดยความร้อน กรด ด่าง และเกลือของโลหะหนกั หน้าที่ ทาหนา้ ที่เป็น โค -เอนไซม์ เอ (CoA) ที่จาเป็นตอ่ กระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ไขมนั และโปรตีน จาเป็นตอ่ กระบวนการสังเคราะห์สาร สเตียรอยดต์ ่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยใหเ้ ยอ่ื บุผวิ แขง็ แรง อาการขาด สตั วป์ ี ก ในลูกไก่ตายมากในระยะ 2 ถึง 3วนั หลงั ฟักออก อตั ราการเจริญเติบโตชะงกั ขนงอกชา้ ผวิ หนงั เป็นแผลตกสะเกด็ เชื่อมติดกนั มีแผลตกสะเก็ดตามปาก ขอบทวาร นิ้วเทา้ ไก่ไข่ผลผลิตลด เปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่า สุกร ผวิ หนงั ยน่ ขนบาง ระบบการยอ่ ยอาหารผดิ ปกติ มีข้ีตาสีน้าตาล อาการเดินคลา้ ยห่าน (Goose Stepping) คือเคล่ือนไหวโดยยกเทา้ ข้ึนสูง ยนื ถ่างขา แหล่งทม่ี า พบในยสี ต์ กากน้าตาล ราละเอียด ใบพชื สด ตบั ไข่แดง ถว่ั ลิสง

24 5.5.7 ไบโอติน (Biotin ; C10H16O3N2S) มีลกั ษณะเป็นผลึกแทง่ แหลม สีขาว ทนตอ่ ความร้อนไดด้ ีพอสมควร ถูกทาลายโดยแสงแดดอยา่ งชา้ ๆ หน้าท่ี ทาหนา้ ที่ในการนาพาคาร์บอนไดออกไซดภ์ ายในเซลล์ ที่เก่ียวขอ้ งกบั การสังเคราะห์สารประกอบ หรือการแตกตวั ของธาตุคาร์บอนออกจากโมเลกุลของสารปร ะกอบ ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของ คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และโปรตีน อาการขาด สตั วเ์ ล้ียงทุกชนิดท่ีขาดโตชา้ มีอาการบวมของผวิ หนงั ขนร่วง สตั วป์ ี กท่ีขาดมีแผลตกสะเกด็ ที่ฝ่ าเทา้ เปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่า การพฒั นาของกระดูกในตวั ออ่ นผดิ ปกติ สุกรขนร่วง โตชา้ เทา้ แตกเป็นแผล ผวิ หนงั บวมหยาบ ปรากฏอาการส่นั ของกลา้ มเน้ือขาหลงั แหล่งทม่ี า พบในอาหารทุกชนิดท่ีไดม้ าจากพชื และสตั ว์ มีมากในยสี ต์ กากถวั่ พืชสีเขียว กากน้าตาล ไข่แดง สาหรับในไข่ขาวดิบมีโปรตีนท่ีกลนั่ ส ร้างจากทอ่ นาไขช่ ่ือ เอวดิ ิน (Avidin) จะรวมตวั กบั ไบโอติน ทาใหไ้ มส่ ามารถดูดซึมผา่ นผนงัลาไส้ได้ สตั วท์ ี่กินไข่ขาวดิบมากเป็นประจาจะแสดงอาการขาด ไบโอตินได้ 5.5.8 โคลนี (Choline ; C5H15O2N) มีลกั ษณะเป็นผลึกใสคลา้ ยน้าตาลทรายดูดซึมความช้ืนไดร้ วดเร็ว ทนต่อความร้อนไดด้ ีพอสมควร หน้าที่ ช่วยในการทาหนา้ ท่ีและดารงสภาพของเซลล์ ทาหนา้ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการเมตาบอลิซึมของไขมนั ภายในตบั ป้ องกนั การสะสมของไขมนั ในตบั ช่วยในการทาหนา้ ท่ีถ่ายทอดความรู้สึกของระบบประสาท อาการขาด สัตวโ์ ดยทวั่ ไปเจริญเติบโตชา้ เกิดการสะสมของไขมนั ที่ตบั พบอาการจุดเลือดออกที่ไตของหนู สัตวป์ ี กพบวา่ลูกไก่เกิดการอมั พาตของขาในลกั ษณะของเอน็ เคล่ือน ไขมนั สะสมมากในตบั ของไก่ไข่ ผลผลิตต่า การฟักออกนอ้ ย สุกรเล็กทา่ ทางเดินผดิ ปกติ ขาส้นั ขอ้ ขาบวม ความสมบรู ณ์พนั ธุ์ต่าในสุกรพนั ธุ์ จานวนลูกสุกรมีนอ้ ยตอ่ ครอก แหล่งทม่ี า พบมากโดยทว่ั ไปในอาหารท่ีมีไขมนั เป็นองคป์ ระกอบ มีมากในตบั ปลาป่ น ยสี ต์ ร่างกายของสัตวส์ ามารถสงั เคราะห์ข้ึนไดจ้ ากเมทไธโอนิน 5.5.9 กรดโฟลกิ (Folic Acid หรือ Folacin C19H19O6N7) มีลกั ษณะเป็นผลึกรูปคลา้ ยเขม็ สีเหลืองออ่ น ถูกทาลายไดง้ ่ายโดยแสงแดด ความร้อน

25 หน้าที่ ทาหนา้ ท่ีเก่ียวกบั การโยกยา้ ยคาร์บอนจานวน 1 อะตอม ในกระบวนการเมตาบอลิซึมภายในเซลล์ เช่นการสงั เคราะห์ ไกลซีน และ เซรีน (Serine) การแตกสลาย ฮีสทิดีน ช่วยในการสงั เคราะห์เฮโมโกลบิน อาการขาด สัตวท์ ่ีจาเป็นตอ้ งไดร้ ับวติ ามินชนิดน้ีจากอาหาร ไดแ้ ก่ ลิง ไก่ ไก่งวง สุนขั จิง้ จอก กระตา่ ย หนู หนูตะเภา และม่ิงก์ สตั วจ์ าพวกอ่ืนสามารถสังเคราะห์ข้ึนเองไดใ้ นร่างกาย สัตวท์ ี่ขาดแสดงอาการโรคโลหิตจาง เนื่องมาจากเมด็ เลือดมีขนาดใหญก่ วา่ ปกติและไม่เจริญเตม็ ท่ี สุกรที่ไดร้ ับยาซลั ฟาติดตอ่ กนั นาน แสดงอาการขาดกรดโฟลิกได้ ไก่ โตชา้ การพฒั นาของขนชา้ ขนที่มีสีปราศจากสี แหล่งทมี่ า มีอยโู่ ดยทว่ั ไปในอาหารท่ีไดม้ าจากท้งั พชื และสัตว์ พบมากในธญั พชื กากถวั่ ยสี ต์ แตใ่ นน้านมมีอยนู่ อ้ ย ยงั มีสารประกอบอื่น ๆ ที่ถูกจดั รวมอยใู่ นกลุ่มของวติ ามิน บี -รวม ไดแ้ ก่ Inositol, Para-Aminobenzoic Acid,Orotic Acid เป็นตน้ วติ ามิน บี ทุกชนิดมีหน่วยวดั ค่าความตอ้ งการเป็น มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร 6. วติ ามิน ซี (Ascorbic Acid ; C6H8O6) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีขาว หรือสีเหลืองออ่ น หากละลายน้าจะถูกทาลายง่ายโดยปฏิกิริยาออกซิเดชนั หน้าที่ ช่วยสร้างและช่วยในการดารงหนา้ ท่ีภายในเซลลข์ องเน้ื อเยอ่ื เกี่ยวพนั ของกระดูกกบั เน้ือเยอื่ ทาหนา้ ที่เป็นตวั เร่งปฏิกิริยาภายในเซลล์ มีคุณสมเป็นตวั ป้ องกนั การหืนในอุตสาหกรรมผลไมก้ ระป๋ อง ช่วยลดความเครียดในฝงู สตั วเ์ ล้ียง อาการขาด มีความจาเป็นต่อร่างกายสัตวท์ ุกประเภท แตส่ ัตวท์ ี่จาเป็นตอ้ งไดร้ ับจากอาหารโดยตรง ไดแ้ ก่ มนุษย์ ลิง และหนูตะเภา สตั วอ์ ่ืน ๆ นอกจากน้ีสามารถสังเคราะห์ข้ึนเองไดใ้ นร่างกายจากน้าตาลกลูโคส อาการขาด คือ มีเลือดออกตามไรฟัน เกิดแผลฟันหลุดร่วง กระดูกอ่อนแอ เส้นโลหิตฝอยเปราะแตกง่าย แหล่งทม่ี า พบมีอยมู่ ากในผลไมพ้ ืชตระกลู ส้ม มะเขือเทศ พืชสีเขียว มนั ฝรั่ง หน่วยวดั คา่ ความตอ้ งการของวติ ามิน ซี คือหน่วยสากล 1 หน่วยมีคา่ เท่ากบั น้าหนกั ผลึกกรดแอสคอร์บิค 0.05 มิลลิกรัม6. แร่ธาตุ (Minerals) เป็นโภชนะจาพวก อนินทรียส์ าร ในอาหารสัตวม์ ีอยหู่ ลา ยชนิดผนั แปรตามแหล่งท่ีมา แต่มีอยเู่ พียง 16 ชนิดเท่าน้นั ท่ีจาเป็นตอ่ สตั ว์ แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม คือ 1. แร่ธาตุหลกั (Macro Element) เป็นแร่ธาตุท่ีร่างกายของสตั วต์ อ้ งการปริมาณมาก ไดแ้ ก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม คลอรีน และกามะถนั

26 2. แร่ธาตุรอง (Micro Element หรือ Trace Element) เป็นแร่ธาตุท่ีร่างกายของสตั วต์ อ้ งการปริมาณเลก็ นอ้ ยไดแ้ ก่ เหลก็ ทองแดง แมงกานีส สังกะสี ไอโอดีน โคบอลต์ โมลิบดีนมั ซีลีเนียม และฟลูออรีน 6.1 แคลเซียม (Calcium ; Ca) หน้าที่ 1. เป็นองคป์ ระกอบของกระดูกและฟัน ประมาณ 99 เปอร์เซ็นตข์ องแคลเซียมในร่างกายอยทู่ ่ีกระดูกและฟัน อีก1 เปอร์เซ็นตพ์ บอยใู่ นของเหลวและเน้ือเยอ่ื บางส่วนของร่างกาย 2. ช่วยรักษาระดบั ความเป็นกรดด่าง ช่วยในการทาหนา้ ท่ีของกลา้ มเน้ือ ประสาท 3. จาเป็นต่อการสร้างผลผลิต น้านม ไข่ อาการขาด ในสัตวท์ ่ีมีอายนุ อ้ ย แสดงอาการของโรคกระดูกอ่อน ในสตั วท์ ่ีมีอายมุ าก เกิดโรคกระดูกพรุน เป็นอาการเช่นเดียวกบั การขาดวติ ามิน-ดี ท่ีกล่าวมาแลว้ ในกรณีของโคนมท่ีใหผ้ ลผลิตน้านมมาก ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมจากกระแสโลหิตไปสร้างเป็นส่วนประกอบของน้านม บางคร้ังส่งผลใหร้ ะดบั แคลเซียมลดต่าลง สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะการทางานบกพร่องของตอ่ มพาราไทรอยด์ ที่ผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยดไ์ ดไ้ มเ่ พยี งพอ สัตวจ์ ะแสดงอาการของโรคไขน้ ม (Milk Fever) มีอาการกลา้ มเน้ือกระตุก สัตวล์ ม้ ตวั ลงนอน คอพบั ไปดา้ นหลงั แกไ้ ขโดยฉีด แคลเซียมกลู โคเนตเขา้ เส้นโลหิต แหล่งทมี่ า วตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ี่เสริมแคลเซียมอยา่ งเดียว ไดแ้ ก่ เปลือกหอยป่ น หินปนู ป่ น เปลือกไข่ป่ น ฝ่ นุ หินอ่อน แหล่งท่ีมีแร่ธาตุอ่ืนดว้ ย เช่น กระดูกป่ น ไดแคลเซียมฟอสเฟต 6.2 ฟอสฟอรัส (Phosphorus ; P) หน้าท่ี 1. เป็นองคป์ ระกอบของร่างกาย กระดูกและฟัน ประมาณ 80 เปอร์เซ็นตข์ องฟอสฟอรัสในร่างกาย พบที่กระดูกและฟัน อีก 20 เปอร์เซ็นตพ์ บตามเน้ือเยอ่ื และของเหลวของร่างกาย 2. เป็นองคป์ ระกอบของเน้ือเยอ่ื โปรตีน 3. เป็นองคป์ ระกอบของสารประกอบในกระบวนการเมตาบอลิซึมท่ีใหพ้ ลงั งาน อาการขาด สัตวท์ ี่ขาดฟอสฟอรัสจะเกิดโรคเก่ียวกบั กระดูกเช่นเดียวกบั การขาด แคลเซียมและวติ ามินดี สาหรับโค กระบือท่ีขาดฟอสฟอรัส แสดงอาการของโรค Pica สัตวม์ ีร่างกายผอมโซ เบ่ืออาหาร ผลผลิตต่า กินวตั ถุแปลกปลอมท่ีไม่ใช่อาหาร เช่น เปลือกไม้ ดิน เส้ือผา้

27 แหล่งทม่ี า ไดม้ าจากกระดูกป่ น ไดแคลเซียมฟอสเฟต สาหรับฟอสฟอรัสท่ีไดม้ าจากวตั ถุดิบที่มาจากพืช ส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นรูปของสารประกอบอินทรียส์ าร คือ Phytic Acid หรือ Phytin สัตวก์ ระเพาะเดี่ยวไม่สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ดงั น้นัจานวนธาตุฟอสฟอรัสจากพืช สัตวก์ ระเพาะเด่ียวนาไปใชป้ ระโยชน์ไดเ้ พยี ง 30 เปอร์เซ็นต์ ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวติ ามิน-ดี มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใกลช้ ิด สตั วจ์ ะนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดน้ ้นั ตอ้ งมีปริมาณของโภชนะท้งั 3 ชนิดอยอู่ ยา่ งเพยี งพอ และตอ้ งมีอตั ราส่วนท่ีเหมาะสม คือ ธาตุแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสในอาหาร ตอ้ งมีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง 1/1 ถึง 2/1 ถา้ หากปริมาณหรืออตั ราส่วนของแคลเซียมมากไป จะขดั ขว างการใชป้ ระโยชน์ของฟอสฟอรัส รวมถึงแร่ธาตุอ่ืน เช่น สงั กะสี แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง แมงกานีส 6.3 แมกนีเซียม (Magnesium ; Mg) ประมาณ 70 เปอร์เซ็นตข์ องธาตุน้ีอยทู่ ี่กระดูกและฟัน ส่วนที่เหลือเป็นองคป์ ระกอบท่ีมีอยใู่ นเน้ือเยอ่ื และของเหลวภายในร่างกาย หน้าที่ 1. เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน 2. ควบคุมการทางานของกลา้ มเน้ือและระบบประสาท 3. ทาหนา้ ที่ร่วมกบั เอนไซมค์ วบคุมกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต อาการขาด พบไดใ้ นสตั วเ์ ค้ี ยวเอ้ืองที่เล้ียงในพ้ืนท่ี ๆมีแมกนีเซียมในดินต่า สตั วท์ ี่ขาดแสดงอาการต่ืนตกใจง่าย ร่างกายทางานไม่สมั พนั ธ์กนั ชกั กระตุก ซ่ึงเป็นอาการของโรค Grass Tetany หรือ Grass Stagger ในสุกรพบวา่ มีอาการอ่อนเพลีย ยกเทา้ หลงั ข้ึนทาทา่ จะเดินแมว้ า่ จะยนื น่ิงอยกู่ บั ท่ี ไม่สามารถทรงตวั ได้ ชกั กระตุก ตาย แหล่งทมี่ ี มีอยใู่ นอาหารตามธรรมชาติโดยทว่ั ไป ในใบพชื สีเขียว เยอื่ หุม้ เมล็ด หรือเติมลงในอาหารผสมสาเร็จในรูปของเกลือ แมกนีเซียมซลั เฟต หรือ แมกนีเซียมออกไซด์ 6.4 โพแทสเซียม (Potassium ; K) หน้าที่ 1. ควบคุมระดบั ของเหลวภายในร่างกาย โดยเป็นส่วนประกอบในของเหลวภายในเซลล์ 2. ช่วยในการทางานของระบบกลา้ มเน้ือและระบบประสาท 3. รักษาระดบั ความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย ควบคุมกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต อาการขาด ในสภาวะปกติสัตวเ์ ล้ียงไม่แสดงอาการขาดปรากฏใหเ้ ห็น ยกเวน้ สตั วท์ ดลอง อาการที่พบ คือ กินอาหารนอ้ ยประสิทธิภาพการใชอ้ าหารลดลง โตชา้ ผอม

28 แหล่งทม่ี า มีอยใู่ นอาหารโดยทวั่ ไปอยา่ งเพียงพอ ในเมด็ ธญั พืชมีโพแทสเซียมอยนู่ อ้ ยกวา่ ในอาหารหยาบ บางคร้ังอาหารสุกรอาจเติมลงไปในรูปของเกลือโพแทสเซียมซลั เฟต หรือโพแทสเซียมไอโอไดด์ 6.5 โซเดยี ม และ คลอรีน (Sodium ;Na and Chlorine ; Cl) แร่ธาตุท้งั สองตวั น้ีทาหนา้ ที่คลา้ ยคลึงกนั และประกอบกนั อยใู่ นรูปของเกลือแกง จึงไดน้ ามากล่าวไวใ้ น ท่ีเดียวกนั โซเดียมพบที่ของเหลวภายนอกเซลล์ ส่วนคลอรีนพบไดท้ ้งั ในของเหลวภายนอกและภายในเซลล์ หน้าท่ี 1. ช่วยรักษาระดบั ของเหลวภายในร่างกายและแรงดนั ภายในเซลล์ (Osmotic Pressure) 2. ควบคุมการทางานของระบบกลา้ มเน้ือและระบบประสาท 3. ควบคุมระดบั ความเป็นกรดด่าง คลอรีนยงั เป็นองคป์ ระกอบของน้ายอ่ ยในกระเพาะอาหาร อาการขาด สตั วท์ ี่ขาดแสดงอาการอยา่ งชา้ ๆ และไม่แน่นอน พบวา่ การใชป้ ระโยชน์จากอาหารต่าลง ผลผลิตต่าลง ในฝงู ไก่ก่อใหเ้ กิดปัญหาการจิกกนั (Cannibalism) มา้ ท่ีทางานหนกั มากอาจแสดงอาการขาดอยา่ งเฉียบพลนั ได้ คือกลา้ มเน้ือและระบบประสาทไมท่ างาน ตายเฉียบพลนั แหล่งทม่ี า โดยทว่ั ไปเพม่ิ ลงในอาหารในรูปของเกลือแกง ยงั ช่วยใหอ้ าหารมีรสดีข้ึน โค กระบือสามารถใหไ้ ดใ้ นรูปของเกลือกอ้ น (Block Salt หรือ Lick Salt) วางไวใ้ นคอกใหส้ ัตวเ์ ลียกิน ถา้ ไดร้ ับเกลือมากสตั วอ์ าจทอ้ งร่วง ในอาหารผสมจะเติมเกลือลงไปดว้ ยประมาณ 0.25 ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ธาตุท้งั สองน้ีหากไดร้ ับมากจะถูกขบั ออกทางปัสสาวะ 6.6 กามะถัน (Sulfur ; S) ร่างกายของสตั วม์ ีธาตุกามะถนั ประกอบอยปู่ ระมาณ 0.15 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นองคป์ ระกอบของโปรตีน หน้าท่ี 1. เป็นส่วนประกอบของกรด อะมิโน โปรตีน พบมากในขน ผม เลบ็ 2. เป็นองคป์ ระกอบของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) วติ ามินบี-1 ไบโอติน 3. จาเป็นต่อการสงั เคราะห์กรดอะมิโนในกระเพาะรูเมน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ อาหารที่มียเู รียผสมอยดู่ ว้ ย อาการขาด ปกติแลว้ สตั วไ์ ม่แสดงอาการขาดธาตุน้ี เนื่องจากมีอยอู่ ยา่ งเพียงพอในอาหาร สัตวก์ ระเพาะเดี่ยวตอ้ งการธาตุกามะถนั ในรูปของกรดอะมิโน เมทไทโอนิน ซิสทิน สัตวก์ ระเพาะรวมสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากกามะถนั ผง หรือสารประกอบกามะถนั ได้

29 แหล่งที่มา มีอยใู่ นอาหารโดยทว่ั ไป ในขนไก่มีธาตุกามะถนั เป็นองคป์ ระกอบอยู่ 4 เปอร์เซ็นต์ 6.7 แมงกานีส (Manganese ; Mn) พบมากในตบั กระดูก ไต ตบั ออ่ น รวมถึงอวยั วะอื่น ๆของร่างกายสัตวเ์ ช่นผวิ หนงั ตอ่ มไร้ท่อเป็นตน้ หน้าท่ี ทาหนา้ ที่เก่ียวขอ้ งกบั เอนไซมท์ ่ีจาเป็นตอ่ การเป็นสัด การตกไข่ การพฒั นาของเตา้ นม ตวั อ่อน การกลนั่ สร้างน้านมการเจริญเติบโต การพฒั นาของกระดูก อาการขาด ในสตั วป์ ี ก เกิดโรคเอน็ เคลื่อน (Perosis or Slipped Tendon) ขอ้ ขาบวม เอน็ ขอ้ เข่าเคลื่อนจากตาแหน่งเดิม ไก่ไข่ผลผลิตลดต่า สุกร ขาโก่ง ขอ้ เข่าบวม สุกรพนั ธุ์เป็นสดั ชา้ ความสมบรู ณ์พนั ธุ์ต่า แทง้ ตวั ออ่ นตายในทอ้ ง ลูกท่ีคลอดออกมามีรูปร่างผดิ ปกติ แหล่งทม่ี า มีอยมู่ ากในอาหารหยาบ แตอ่ าหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสอยมู่ ากน้นั สตั วจ์ ะแสดงอาการขาดแมงกานีสได้ง่าย ในอาหารสตั วป์ ี กและสุกร นิยมผสมลงในอาหารดว้ ย เกลือแมงกานีสซลั เฟต (MnSO4) 6.8 เหลก็ (Iron ; Fe) ร่างกายของสัตวม์ ีเหล็กเป็นองคป์ ระกอบอยดู่ ว้ ยประมาณ 0.004 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญอ่ ยทู่ ี่เมด็ โลหิต เมด็ โลหิตสร้างข้ึนท่ีไขกระดูก (Bone Marrow) มีอายปุ ระมาณ 127 วนั เมด็ โลหิตที่แก่ถูกทาลายท่ีมา้ ม ธาตุเหล็กถูกเคล่ือนยา้ ยไปเกบ็ สะสมที่ตบั สตั วท์ ่ีโตเตม็ ท่ีมีการดูดซึมธาตุเหล็ กจากอาหารเขา้ สู่ร่างกายนอ้ ยมาก หรือไม่เลยเพอ่ื ป้ องกนั ไมใ่ ห้ร่างกายไดร้ ับธาตุเหลก็ มากจนเป็นพิษได้ หน้าท่ี จาเป็นต่อการสร้างโปรตีนเมด็ เลือดแดง คือ เฮโมโกลบิน และสร้างโปรตีนของกลา้ มเน้ือ (Myoglobin) อาการขาด สตั วท์ ี่ขาดธาตุเหลก็ จะเกิดโรคโลหิตจาง จานวนเมด็ โลหิตแดงลดต่า ขนาดของเซลลเ์ ล็กลง ลูกสุกรแสดงอาการขาดธาตุเหลก็ ไดง้ ่าย คือ หายใจหอบลึก ซึม ผวิ หนงั ซีดโดยเฉพาะบริเวณขอบตา ใบหู จมกู ผวิ หนงั ยน่ ศีรษะและไหล่บวมน้า แกไ้ ขโดยการป้ อนหรือฉีดธาตุเหล็กในรูปของ Iron Dextran อาการท่ีเด่นชดั อีกประการ คือลูกสุกรข้ีไหล แหล่งทม่ี า มีอยใู่ นอาหารโดยทวั่ ไปยกเวน้ ในน้านมมีอยนู่ อ้ ยมากหรือไมม่ ีเลย อาหารที่มี ไฟเทต (Phytate) อยมู่ าก เช่น กากงา จะขดั ขวางการใชป้ ระโยชนข์ องธาตุเหลก็ ในร่างกาย ในอาหารผสมเพมิ่ ธาตุเหลก็ ลงไปในรู ป เหลก็ ซลั เฟต (FerrousSulfate ; FeSO4)

30 6.9 ทองแดง (Copper ; Cu) หน้าที่ ช่วยในกระบวนการดูดซึมธาตุเหลก็ ท่ีลาไส้ จาเป็นต่อกระบวนการสร้างเมด็ โลหิตแดง ทาหนา้ ท่ีร่วมกบัเอนไซม์ ช่วยในการสร้างโปรตีน Keratin การสร้างสีขน ผม อาการขาด พบไดใ้ นลูกววั ลูกแกะ และสุกร มีอาการของโรคโลหิตจาง เกิดโรค Sway Back หรือ Falling Disease มีอาการทางประสาท โซเซ ขาหลงั เป็นอมั พาต ลม้ ตวั ลงนอน ตายในที่สุด อาการอื่น ๆ ที่พบไดแ้ ก่ สีขนซีดจาง การพฒั นาของขนชา้ มีความผดิ ปกติของขา ขอ้ ขาบวม กระดูกบาง แหล่งท่ีมา มีในอาหารโดยทว่ั ไป พบมากในเมล็ดพืช นิยมเพิ่มลงในอาหารใหแ้ ก่สัตวใ์ นรูปของจุนสี (Copper Sulfate ;CuSO4) 6.10 ไอโอดนิ (Iodine ; I) ในร่างกายสตั วม์ ีอยนู่ อ้ ยกวา่ 0.6 พพี เี อม็ และมากกวา่ 50 เปอร์เซ็นตอ์ ยทู่ ่ีต่อมไทรอ ยด์ ต่อมดงั กล่าวทาหนา้ ที่กลน่ัสร้างฮอร์โมนไทรอกซีน (Thyroxine) ทาหนา้ ที่ควบคุมอตั ราของกระบวนการเมตาบอลิซึมพลงั งาน หน้าท่ี เป็ นส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซีน อาการขาด เกิดโรคคอหอยพอก (Simple Goiter หรือ Endemic Goiter) ขนาดของตอ่ มไทรอยดข์ ยายใหญ่ ลูกสตั วท์ ่ีเกิดจากแมข่ าดธาตุไอโอดิน มีอาการคอหอยพอก อ่อนแอ ตายภายหลงั คลอด ไม่มีขน ในลูกมา้ มีอาการอกั เสบของสะดือ แหล่งทมี่ า พบในอาหารท่ีมาจากทะเล เช่นปลาป่ น ในอาหารผสมอาจเพ่ิมลงไปในรูปของเกลือไอโอได เ ช่น โพแทสเซียมไอโอได ในพชื ตระกลู กะหล่า ถวั่ เหลือง มีสาร Goitrogenic Substance หากสัตวก์ ินเขา้ ไปมากจะแสดงอาการของโรคคอหอยพอก 6.11 สังกะสี (Zinc ; Zn) ส่วนมากพบอยทู่ ี่ผวิ หนงั ขนและผม สงั กะสีมีอยเู่ ล็กนอ้ ยที่กระดูก กลา้ มเน้ือ เลือดและอวยั วะอ่ืน ๆ หน้าที่ เป็นองคป์ ระกอบของเอนไซมห์ ลายชนิด และยงั ทาหนา้ ที่ร่วมกบั เอนไซมใ์ นกระบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ช่วยในการเจริญพฒั นาและทาหนา้ ท่ีของผวิ หนงั ขนและผม

31 อาการขาด ในสุกรเกิดโรค Parakeratosis โดยผวิ หนงั ส่วนขา ใบหูและคอมีจุดผน่ื แดง ตกสะเก็ด ผวิ หนงั รอบนิ้วเทา้ แตกผวิ หนงั รอบปากจมูกบวมน้า เบ่ืออาหาร โตชา้ สัตวป์ ี ก ไก่เลก็ ขาส้นั หนา ขอ้ ต่อกระดูกขยายใหญ่ ขนงอกชา้ เปอร์เซ็นตก์ ารฟักออกต่า แหล่งทมี่ า มีอยมู่ ากในอาหารหยาบ ราขา้ ว เมล็ดธญั พชื ในอาหารผสมเพ่มิ สงั กะสีในรูปของ สงั กะสีซลั เฟต (ZnSO4) 6.12 โคบอลต์ (Cobalt ; Co) หน้าที จาเป็นต่อการสงั เคราะห์วติ ามิน บี-12 ในกระเพาะรูเมน เป็นองคป์ ระกอบของวติ ามิน บี-12 อาการขาด พบในสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองที่เล้ียงในพ้นื ท่ี ๆ มีธาตุโคบอลตอ์ ยตู่ ่า มีอาการซึม เบื่ออาหาร น้าหนกั ตวั ลด อ่อนแอ ความสมบูรณ์พนั ธุ์ต่า ผลผลิตน้านมต่า เกิดโรคโลหิตจาง ลกั ษณะแตกตา่ งจากการขาดธาตุเหลก็ และทองแดง คือ ขนาดและสีของเมด็ โลหิตแดงคงเดิม แตม่ ีปริมาณของเมด็โลหิตลดลงเช่นกนั ท้งั สองกรณี 6.13 โมลบิ ดีนัม (Molybdenum ; Mo) หน้าท่ี เป็นองคป์ ระกอบของเอนไซมท์ ่ีช่วยสร้างสงั เคราะห์กรดยรู ิกในสตั วป์ ี ก ช่วยกระตุน้ การทางานของจุลินทรียใ์ นกระเพาะรูเมน อาการขาด ในสภาพปกติสตั วเ์ ล้ียงจะไมแ่ สดงอาการขา ด เน่ืองจากในอาหารมีอยอู่ ยา่ งเพียงพอ ถา้ หากในหญา้ มีปริมาณของธาตุสูงเกินกวา่ 0.002 เปอร์เซ็นต์ โคจะไดร้ ับอนั ตราย เกิดความผดิ ปกติเรียก Teartness มีอาการทอ้ งร่วงรุนแรงน้าหนกั ลด ผลผลิตน้านมลด ผอม ลาตวั เกร็ง และอาหารที่มีโมลิบดีนมั สูงยงั ขดั ขวางการใชป้ ระโยชน์ข องธาตุทองแดงจึงตอ้ งเพ่ิมปริมาณของธาตุทองแดงในอาหารใหส้ ูงข้ึน แหล่งทม่ี า มีอยใู่ นอาหารเพยี งพอ ไมแ่ นะนาใหผ้ สมเพ่มิ ลงในอาหารผสม เพราะเกิดความเป็นพิษไดง้ ่าย 6.14 ซีลเี นียม (Selenium ; Se) หน้าที่ จาเป็นตอ่ การดูดซึ มและการใชป้ ระโยชนข์ องวติ ามิน อี ช่วยป้ องกนั การเสื่อมสลายตวั ของเซลลต์ บั และเซลล์ตบั อ่อนของสตั วป์ ี ก

32 อากรขาด เนื่องจากมีความสมั พนั ธ์กบั วติ ามิน อีเป็นอยา่ งมาก อาการขาดจึงมีลกั ษณะคลา้ ยกบั การขาดวติ ามิน อี คือ เกิดโรค Musculardystrophy มีความผดิ ปกติของหวั ใจ มีอาการอมั พาต โตชา้ ความสมบรู ณ์พนั ธุ์ต่า เกิดจุดเน้ือตายภายในตบัตบั อ่อน (Necrosis) ในสัตวป์ ี ก ซีลีเนียมระดบั สูงเกินกวา่ 8.5 พพี ีเอม็ ในอาหารเป็นพิษต่อสัตว์ เกิดโรค Alkali Disease หรือ Blind Stagger ในมา้ ขนคอและหางหลุดร่วง ววั ขนหางหลุดร่วง สุกรขนร่วงท้งั ตวั กีบเทา้ หลุด ซึม กินอาหารนอ้ ย ผอม ตายเน่ืองจากไม่ยอมกินอาหาร ความเป็นพิษดงั กล่าวบรรเทาโดยเพมิ่ ระดบั โปรตีนในอาหาร หรือเพิม่ เกลือซลั เฟต แหล่งทม่ี า มีในอาหารทวั่ ๆ ไป ในที่ ๆ มีซีลีเนียมในดินต่า อาจเสริมในอาหารขน้ โคในรูปของ โซเดียมซีลิไนด์ 6.15 ฟลอู อรีน (Fluorine ; F) ธาตุฟลูออรีนพบโดยทวั่ ไปในส่วนต่าง ๆของร่างกายสัตวใ์ นปริมาณท่ีนอ้ ยมาก เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ประมาณ 0.04 ถึง 0.06 เปอร์เซ็นตข์ องกระดูกและฟัน ช่วยใหฟ้ ันมีความ แขง็ แรง แตจ่ ะมีความเป็นพิษถา้ หากมีอยใู่ นอาหารและน้าดื่ม ทาใหก้ ระดูกและฟันมีสีผดิ ปกติ ความแขง็ แรงของกระดูกและฟันลดลง ฟันมีลกั ษณะด่างดา ผวิรอบนอกคลา้ ยชอลก์ ฟันสึกกร่อนจนเห็นโพรงฟัน เบื่ออาหาร โตชา้ กระดูกและขอ้ ตอ่ ผดิ ปกติหมายเหตุ บางแหล่ง จดั ใหธ้ าตุโครเมียมจาเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของหนู

33 ใบงานบทที่ 22.1 คาถามท้ายบท2.1.1. จบั คูค่ าศพั ทท์ างซา้ ยมือเพ่ือเติมในช่องขวามือใหม้ ีความหมายถูกตอ้ งA. LEUCAENA LEAFT MEAL 1…….. ปลายขา้ วB. KAPOK MEAL 2…….. ราละเอียดสกดั น้ามนัC. RICE POLISH 3…… กากเมลด็ ฝ้ ายD. TANNIN 4…….. กากงาE. CASSAVA TAPIOCA 5…….. กากนุ่นF. BLOOD MEAL 6…….. ขนไก่ป่ นG. TRYPSIN INHIBITOR 7…….. หางนมผงH. BHT 8…….. กากน้าตาลI. BROKEN RICE 9…….. สารหนูJ. PRUSSIC ACID 10…… สารกนั หืนK. MOLASSES 11…… สารพิษที่พบในกากเมล็ดฝ้ ายL. SOYBEAN MEAL 12…… กากมะพร้าวM……… 13…… กากเน้ือในปาลม์N. RICE POLISH , SOLVENT EXTRACTED 14…… กากเมลด็ ยางพาราO. PEANUT MEAL 15…… ส่าเหลา้P. CORN 16……. ใบกระถินQ. ARSENIC COMPOUND 17…… สารพษิ ในใบกระถินR. RANCIDITY 18…… ปลาป่ นอดั น้ามนัS. PALM- KERNEL CAKE 19…… เน้ือและกระดูกป่ นT. CALCIUMPROPIONATE 20……. ราละเอียดU. PARA RUBBER SEED MEAL 21…… ขา้ วโพดV. WHEY 22…… เช้ือราที่ข้ึนบนขา้ วโพดW. ASPERGILLUS FLAVUS 23…… สารพษิ ท่ีจากเช้ือราบนขา้ วโพดX. COCONUT MEAL 24…… ขา้ วฟ่ างY. SKIMMED MILK 25…… มนั สาปะหลงัZ. COTTON SEED MEAL 26……. สารพิษของมนั สาปะหลงัA1. AFLATOXIN 27……. กากถว่ั เหลือง

34B1. HYDROCYANIC ACID 28…… สารพษิ ที่พบในกากถว่ั เหลืองC1. YEAST 29…… กากถวั่ ลิสงD1. GOSSYPOLE1. DRIED MANUALF1. FISH MEALG1. MIMOSINEH1. SORGHUMI1. SESAME MEALJ1. FEATHER MEALK1. SAFFLO MEALL1. MEAT AND BONE MEALM1. SUNFLOWER MEAL2.1.2 จงตอบคาถามในช่องว่างให้ได้ใจความสมบูรณ์1. สูตรโครงสร้างของ คาร์โบไฮเดรต……………………………………………...………………..…………….2. Starch เป็นคาร์โบไฮเดรต ชนิด………………….……………………………………...….…………………………3. Hemicellulose คือ………………………………………………….…….………………………………..4. Cellulose คือ…………………………………………………...…………..………………………5. Hemicellulose กบั Cellulose แตกต่างกนั ท่ี…………………………………………………………………………………………..6. Galactose เป็นน้าตาล ชนิด………………………………………………………...………..……………………7. Raffinose เป็นน้าตาล ชนิด…………………………………………………….…………………………………8. โปรตีนประกอบดว้ ยธาตุหลกั 4 ตวั คือ…………………….…………….……………………………………...………………9. โปรตีนประกอบดว้ ยโมเลกุลเล็ก ๆ ของ …...………………..………………..……..มาต่อกนั

3510. โปรตีนแบง่ เป็น 2 กลุ่มตามความจาเป็น คือ………………………..….………………………………………….…………………11. โปรตีนคุณภาพสูง หมายถึง…………………………………………...…………………………….…………12. สัตวท์ ี่ตอ้ งการกรดอะมิโนในอาหารมากกวา่ สัตวอ์ ่ืน คือ……………………………………………………………………………..…………..13. สตั วท์ ่ีตอ้ งการกรดอะมิโนในอาหารนอ้ ยกวา่ สตั วอ์ ่ืน คือ…………..……………………………………………………………..………………14. ไขมนั สามารถใหพ้ ลงั งานมากกวา่ คาร์โบไฮเดรตประมาณ………………………….……..เท่า15. Fat ตา่ งกบั Oil คือ…………………………………………………………………..……………………..16. ไขมนั สามารถละลายไดด้ ี ใน……………………………………………….……………………...…………………17. ลกั ษณะเด่นของสูตรโครงสร้างของไขมนั ไม่อ่ิมตวั คือ……………….…………………………………………………...……………………18. ลกั ษณะเด่นของสูตรโครงสร้างของไขมนั อ่ิมตวั คือ…………………………………………………………………………………………19. ลกั ษณะทางกายภาพของไขมนั ไมอ่ ่ิมตวั คือ…………………………………………………………….………….………………..20. ลกั ษณะทางกายภาพของไขมนั อิ่มตวั คือ…………………………………………………………………………………………21. Rancidity คือ………………………………….……………………………………………………..22. Antioxidant คือ……………………………………….……………………….……………………….23. ไวตามินที่ละลายในน้า ไดแ้ ก่……………………………………………….……………….…………………….24. ไวตามินที่ละลายในน้ามนั ไดแ้ ก่……………………………………………………...…………………………...…..25. ยกตวั อยา่ งแร่ธาตุชนิด Trace Element มา 1 ตวั …………………………………………………………………………………………26. Trace Element คือ…………………………………………...…………………………………………….

36 27. ไวตามินซีจาเป็นสาหรับสตั วเ์ ล้ียงมากนอ้ ยหรือไม่ อยา่ งไร…………..…………………………………………………….………………….. 28. สตั วท์ ่ีไดร้ ับอาหารที่มีปลาป่ นเคม็ มากเกินไปทา ให…้ …………………………………………………………………………...…………. 29. ลูกสุกรขาดธาตุทองแดงและเหล็กในระยะเร่ิมตน้ แสดง อาการ……………………………………………………………………….……….……. 30. ไขมนั ในซากสุกรแขง็ เน่ืองมาจาก……………………………………………………………………………..… 31. การขาดไวตามินเอ ทาใหไ้ ก่เป็น โรค……………………………………………………………….………………………. 32. การขาดไวตามินดี เท่ากบั การขาด ธาตุ…………………………………………………………………………..……………. 33. การขาดไวตามินเค ทา ให…้ ………………………………………………….……………………………..……. 34. การขาดไวตามินอี ทา ให…้ ………………………………………………………………………...……………. 35. สุกรไดร้ ับใบกระถินมากเกินไปทา ให…้ ………………………..…………………………………………………………….. 36. ถว่ั เหลืองดิบมีผลทาให้ สตั ว…์ …………………………………………………….………………………..…….. 37. การขาดไวตามินบี.1 ทาใหส้ ตั วม์ ี อาการ…………………………………………………………………..………..……….. 38. โคทอ้ งอืดเพราะ…………………………………………………………………………………….. 2.1.3 จงเตมิ คาส้ัน ๆ ในช่องว่างให้ถูกต้องได้ใจความสมบูรณ์ 1. ระดบั โปรตีนของวตั ถุดิบคาร์โบไฮเดรต ไมเ่ กิน ______________________________________________________________________________ 2. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบคาร์โบไฮเดรตไดแ้ ก่____________________________________________________________________________ 3. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบคาร์โบไฮเดรตไดแ้ ก่____________________________________________________________________________

37 4. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบคาร์โบไฮเดรตไดแ้ ก่____________________________________________________________________________ 5. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบคาร์โบไฮเดรตไดแ้ ก่____________________________________________________________________________ 6. ระดบั โปรตีนของวตั ถุดิบโปรตีน ไมต่ ่า กวา่ ___________________________________________________________________________ 7. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบโปรตีน ไดแ้ ก่_________________________________________________________________________ 8. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบโปรตีน ไดแ้ ก่_________________________________________________________________________ 9. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบโปรตีน ไดแ้ ก่_________________________________________________________________________ 10. ยกตวั อยา่ งวตั ถุดิบโปรตีน ไดแ้ ก่_________________________________________________________________________ 11. ปลายขา้ วมีโปรตีน ประมาณ______________________________________________________________________ 12. ปลายขา้ วเจา้ มีคุณสมบตั ิแตกตา่ งกบั ปลายขา้ วเหนียว คือ___________________________________________________________________________ 13. ช่ือภาษาองั กฤษของปลาย ขา้ ว__________________________________________________________________________ 14. รา(ละเอียด)สกดั น้ามนั มีโปรตีน ประมาณ______________________________________________________________________ 15. ช่ือภาษาองั กฤษ วา่ ____________________________________________________________________________ 16. คุณสมบตั ิพเิ ศษของราละเอียด คือ___________________________________________________________________________ 17. ราขา้ วเก่ากบั ราขา้ วใหมแ่ ตกตา่ งกนั เช่น___________________________________________________________________________ 18. ราขา้ วนาปรังกบั ราขา้ วนาปี แตกต่างกนั เช่น___________________________________________________________________________

3819. ถา้ ใชร้ ามากเกินไปในสูตรอาหารจะทาใหอ้ าหารมีลกั ษณะ_______________________________________________________________________20. รามีไขมนั มากมกั มีปัญหาเรื่อง__________________________________________________________________________21. ขา้ วโพดป่ นมีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________22. ชื่อภาษาองั กฤษของขา้ วโพด_______________________________________________________________________23. เช้ือราท่ีข้ึนบนขา้ วโพดช่ือเช้ือ(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________24. เช้ือราดงั กล่าวจะสร้างสารพษิ ชื่อ(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________25. สารกนั เช้ือราท่ีใชก้ นั ทวั่ ไป(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________26. ขา้ วฟ่ างมีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________27. ชื่อภาษาองั กฤษของขา้ วฟ่ าง__________________________________________________________________________28. ในขา้ วฟ่ างมีสารพษิ ช่ือ(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________29. มนั เส้นมีโปรตีน________________________________________________________________________30. ชื่อภาษาองั กฤษของมนัสาปะหลงั _____________________________________________________________________31. สารพษิ ที่พบในมนั สาปะหลงั(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________32. กากถวั่ เหลืองอดั น้ามนั มีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________33. ชื่อภาษาองั กฤษของกากถว่ัเหลือง________________________________________________________________________

3934. สารพิษที่พบในกากถว่ั เหลือง(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________35. สารพิษตวั น้ีมกั พบในถว่ั เหลืองท่ีมีลกั ษณะ_______________________________________________________________________36. สารพษิ มีผลทาให_้ __________________________________________________________________________37. กากถวั่ ลิสงอดั น้ามนั ไม่ปนเปลือกมีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________38. ชื่อภาษาองั กฤษของกากถวั่ลิสง__________________________________________________________________________39. ในกากถว่ั ลิสงที่เก็บไวน้ านมกั พบสารพิษชื่อ(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________40. กากเมล็ดฝ้ ายอดั น้ามนั มีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________41. ชื่อภาษาองั กฤษของกากเมล็ดฝ้ าย___________________________________________________________________________42. สารพษิ ท่ีพบในกากเมลด็ ฝ้ าย(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________43. กากมะพร้าวอดั น้ามนั มีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________44. ช่ือภาษาองั กฤษของกากมะพร้าว_______________________________________________________________________45. ไขมนั ในกากมะพร้าวเป็นชนิด__________________________________________________________________________46. ถา้ ใชใ้ นอาหารสุกรมากจะทาใหไ้ ขมนั ในซากสุกรเป็นชนิด__________________________________________________________________________47. กากเน้ือในปาลม์ มีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________48. ช่ือภาษาองั กฤษของกากเน้ือในปาลม์ _________________________________________________________________________

4049. กากเมล็ดยางพารามีช่ือภาษาองั กฤษวา่ ____________________________________________________________________________50. กากเมลด็ ยางพาราอดั น้ามนั ไม่ปนเปลือกมีโปรตีนประมาณ______________________________________________________________________51. ในกากยางพารามกั พบสารพษิ ช่ือ(ภาษาองั กฤษ)__________________________________________________________________52. ส่าเหลา้ มีโปรตีนประมาณ___________________________________________________________________53. ส่าเหลา้ มีชื่อภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________54. ส่าเหลา้ เป็นวตั ถุดิบ ประเภท____________________________________________________________________55. ในส่าเหลา้ ยงั มีโภชนะตวั หน่ึงโดดเด่นเป็นพิเศษ คือ________________________________________________________________________56. ใบกระถินมีชื่อภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________57. ใบกระถินป่ นมีโปรตีน ประมาณ___________________________________________________________________58. สารพษิ ท่ีพบในใบกระถินมีช่ือเป็นภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________59. ปลาป่ นเคม็ มีโปรตีนประมาณ __________________________________________________________________________60. ปลาป่ นเคม็ มีช่ือภาษาองั กฤษวา่ __________________________________________________________________________61. ในขณะที่ใชป้ ลาป่ นเคม็ เล้ียงสตั วค์ วรคานึงถึง __________________________________________________________________________62. เน้ือและกระดูกป่ นมีชื่อภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________63. เลือดป่ นมีชื่อภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________

4164. เลือดป่ นมีโปรตีน ประมาณ___________________________________________________________________65. ขนไก่ป่ นมีช่ือภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________66. ขนไก่ป่ นมีโปรตีน ประมาณ___________________________________________________________________67. ขนไก่ที่ใชป้ ระโยชน์ไดจ้ ะตอ้ งผา่ นขบวนการ __________________________________________________________________________68. จากขอ้ 67 ผา่ นขบวนการดงั กล่าว เพือ่ _______________________________________________________________________69. หางนมผงมีช่ือภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________70. หางนมผงมีโปรตีน ประมาณ___________________________________________________________________71. กากน้าตาลมีชื่อภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________72. กระดูกป่ นใหธ้ าตุสาคญั จานวนกี่ ตวั คือ________________________________________________________________________73. เปลือกหอยป่ นใหธ้ าตุท่ีสาคญั จานวนกี่ตวั คือ________________________________________________________________________74. สารหนูมีช่ือภาษาองั กฤษ วา่ ________________________________________________________________________75. สารหนูใชใ้ นสัตวเ์ ล้ียงประโยชน์ เพอื่ _______________________________________________________________________76. บอกสารกนั หืน (เป็นภาษาองั กฤษ) ตวั ท่ี 1_________________________________________________________________________77. บอกสารกนั หืน (เป็นภาษาองั กฤษ) ตวั ที่ 2_________________________________________________________________________78. ขา้ วโพดนิยมนามาใชเ้ ล้ียงสตั วใ์ น ลกั ษณะ____________________________________________________________________

42 79. ในสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองนิยมใชก้ ากน้าตาล ร่วมกบั ____________________________________________________________________ 80. กากน้าตาลไมน่ ิยมใชม้ ากในอาหารสุกร เพราะ_____________________________________________________________________ 81. อาการของสัตวท์ ี่ใชป้ ลาป่ นเคม็ บอกมา 1 ลกั ษณะ_______________________________________________________________________ 82. ถว่ั ลิสงดิบมีสารชนิดหน่ึง เรียกวา่ ________________________________________________________________________ 83. สารตามขอ้ 82 มีผลทา ให_้ __________________________________________________________________________ 84. กากเมลด็ ทานตะวนั มีโปรตีนประมาณ__________________________________________________________________________ 85. ขอ้ ดีพิเศษของกากเมล็ดทานตะวนัคือ_______________________________________________________________________________ 85. กากงามีชื่อภาษาองั กฤษวา่ _______________________________________________________________________________ 86. กากงาอดั น้ามนั มีโปรตีนประมาณ__________________________________________________________________________ 87. กากนุ่นชื่อภาษาองั กฤษวา่ _______________________________________________________________________________ 88. กากนุ่นท้งั เมลด็ มีโปรตีนประมาณ__________________________________________________________________________ 89. แคโรทีน มีผลทาใหห้ นงั ไก่กระทงมีสี_________________________________________________________________________________ 90. ไขมนั เหลวคือ_______________________________________________________________________________ 91. ถา้ ภาวะไขมนั เหลวเกิดกบั สุกรขนุ จะดีหรือไม่ ตอบ__________________________________________________________________________ 92. อธิบายสภาพของไขมนั เเขง็ ขณะอยบู่ นเขียงมาพอ เขา้ ใจ_________________________________________________________________________

4393. สารกนั หืนในธรรมชาติคือ___________________________________________________________________________94. เกลือหา้ มใชเ้ กินกี่ % ในสูตรอาหารตอบ__________________________________________________________________________2.1.5 จงเลอื กคาตอบทถ่ี ูกทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดียว ก. CHON 1. Nutrient หมายถึง ข. CHO ก. ธาตุอาหารหรือโภชนะที่ประกอบอยใู่ น ค. CHONP อาหาร ง. CHN ข. อาหารหยาบและอาหารขน้ ค. อาหารต่าง ๆ ท่ีมาผสมกนั เป็นอาหารผสม 6. Monosaccharide ไดแ้ ก่ ง. ถูกทุกขอ้ ก. Sucrose Fructose 2. Diet หมายถึง ข. Maltose Galactose ก. คาที่ใชเ้ รียกอาหารสัตวท์ ว่ั ไป ค. Dextrose Mannose ข. ธาตุอาหารหรือโภชนะในอาหาร ง. Ribose Glucose ค. อาหารผสมพร้อมใชเ้ ล้ียงสัตว์ ง. อาหารที่เตรียมไวใ้ ชเ้ ล้ียงสัตวใ์ หห้ มด 7. ขอ้ ใดคือน้าตาลในนม ภายใน 1 วนั ก. Glucose 3. Metabolic water หมายถึง ข. Mannose ก. น้าท่ีเราใหส้ ัตวด์ ื่มเขา้ ไปโดยตรง ค. Lactose ข. น้าที่เกิดจากผลของกระบวนการเผาผลาญ ง. Cellobiose น้า ค. น้าที่อยใู่ นอาหาร 8. Cellulose พบมากใน ง. น้าท่ีระเหยออกจากร่างกาย ก. เมล็ดธญั พชื 4. โดยเฉล่ียอาหารสตั วท์ วั่ ๆ ไปประกอบดว้ ย ข. เมลด็ พชื ตระกลู ถวั่ ก. อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตถึง 70% ค. หญา้ และพืชต่าง ๆ ข. อาหารพวกโปรตีนถึง 70% ง. อาหารท่ีไดจ้ ากสัตว์ ค. อาหารพวกไวตามินถึง 70% ง. อาหารพวกแร่ธาตุถึง 70% 9. ไขมนั แตกต่างจากคาร์โบไฮเดรต คือ 5. คาร์โบไฮเดรตประกอบดว้ ยธาตุ ก. มีHCนอ้ ยกวา่ คาร์โบไฮเดรต ข. มีH=C

44 ค. มีH:C=5:1 15. ต่อไปน้ีคือลกั ษณะอาการขาดเกลือในสัตว์ ง. มีHCมากกวา่ คาร์โบไฮเดรต10 ไขมนั มีพลงั มากกวา่ คาร์โบไฮเดรต เล้ียง ก. 2.25เทา่ ค. 3.25เทา่ ข. 1.25เท่า ง. 4.25เทา่ ก. กระดูกขอ้ ตอ่ บวม11. Non Protein Nitrogen Compound (NPN) หมายถึง ข. กระดูกเป็นโพรงมาก ก. โปรตีนท่ีไมป่ ระกอบดว้ ยธาตุไนโตรเจน ข. โปรตีนท่ีประกอบดว้ ยธาตุไนโตรเจน ค. เลียดิน กินดิน แทะไม้ ค. สารประกอบไนโตรเจนที่ไมใ่ ช่โปรตีน ง. สารประกอบไนโตรเจนและเป็นพวก ง. ประสาทไม่ปกติ ตกใจง่าย โปรตีน 16. ไวตามินท่ีจาเป็นในการดูดซึม Ca P12. หน่วยที่เลก็ ที่สุดของโปรตีน คือ ก. A ค. C ก. กรดไขมนั ข. กลูโคส ข. D ง. K ค. กลีเซอรอล ง. กรดอะมิโน 17. โรคเหน็บชาเกิดจากการขาด13. Essential amino acid หมายถึง กรดอะมิโน ท่ี ก. Ca P ก. สัตวส์ ร้างข้ึนเองไดไ้ ม่ตอ้ งเพมิ่ ในอาหาร ข. สตั วส์ ร้างข้ึนเองไดแ้ ตใ่ ชไ้ มไ่ ด้ ข. B1 ค. สตั วส์ ร้างข้ึนเองไมไ่ ดต้ อ้ งเพมิ่ เติมใน ค. Riboflavin อาหาร ง. สัตวส์ ร้างข้ึนเองไดใ้ ชไ้ มไ่ ด้ ง. Manganese14. Major element ไดแ้ ก่ ก. Ca P 18. Digestion Coefficient ของโปรตีน =60% ข. Cu Zn ค. Mo Co หมายถึง ง. As Se ก. ในอาหาร100ส่วนมีโปรตีน60ส่วน ข. ในอาหาร100ส่วนมีโปรตีนยอ่ ยได6้ 0ส่วน ค. ในอาหารโปรตีน100ส่วนยอ่ ยได6้ 0ส่วน ง. ในอาหารโปรตีนยอ่ ยได้100ส่วนใชไ้ ด6้ 0 ส่วน 19. ขอ้ ใดไมใ่ ช่อตั ราการเปลี่ยนอาหารเป็นเน้ือ ก. มีหน่วยเป็น% ข. ยง่ิ ต่ายง่ิ ดี ค. Feed Ratio ง. Feed Conversion Rate 20. ขา้ วโพดมีโปรตีน 8% สปส.การยอ่ ยได้ 60% =? ก. 68% ค. 0.52% ข. 0.13% ง. 4.8%

4521. อาหารขน้ ต่อไปน้ีชนิดใดมีโปรตีนสูงสุด ก. มนั สาปะหลงั ข. ขา้ วฟ่ างบด ก. กากมะพร้าว ค. กากยางพารา ค. ราขา้ ว ง. ขา้ วโพดบด ข. ใบกระถิน ง. กากเมลด็ ฝ้ าย 30. อาหารลูกสุกรไม่ควรมีรามากเกินไปเพราะ ก. ทอ้ งผกู22. อาหารต่อไปน้ีชนิดใดมีโปรตีนคุณภาพดี ข. ทอ้ งร่วง ค. เป็นโรคผวิ หนงัที่สุด ง. มีความตา้ นทานโรคนอ้ ยลง 31. มนั สาปะหลงั สดมีสารพษิ ก. ใบกระถินแหง้ ค. กากถวั่ ลิสง ก. Hydrochloric acid ข. Mimosine ข. กากถว่ั เหลือง ง. กากเมลด็ ฝ้ าย ค. Prussic acid ง. Tannin23. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่นิยมใชใ้ นเมืองไทย ก. ราขา้ วสาลี ราขา้ วเหนียว เลือดป่ น ข. ราขา้ วจา้ ว ขา้ วโพดป่ น ปลายขา้ ว ค. มนั เทศแหง้ มนั เส้น เน้ือและ กระดูกป่ น ง. กากมะพร้าว กากงา กากถว่ั เหลือง24. อาหารโปรตีนจากพืชที่นิยมเล้ียงสัตวใ์ นเมืองไทย 32. สารพิษ Gossypol มีอยใู่ นเมลด็ ก. กากถวั่ เหลือง ค. กากมะพร้าว ก. ถว่ั เหลือง ค. ขา้ วฟ่ าง ข. กากงา ง. กากเมลด็ ฝ้ าย ข. มนั สาปะหลงั ง. กากเมล็ดฝ้ าย25. กากถวั่ เหลืองมีโปรตีนอยรู่ ะหวา่ ง 33. พืชชนิดใดมีสาร Mimosine ก. 10-20% ค. 30-40% ก. ขา้ วฟ่ าง ค. มนั เทศ ข. 20-30% ง. 40-50% ข. กระถิน ง. มนั สาปะหลงั26. โดยปกติแลว้ ปลาป่ นจืดอดั น้ามนั มีโปรตีน 34. สัตวช์ นิดใดที่ไมม่ ีอนั ตรายจากใบกระถินประมาณ ก. โคนม ค. เป็ด ก. 20-30% ค. 40-50% ข. สุกร ง. ไก่ ข. 30-40% ง. 50-60% 35. สารประกอบฮอร์โมนที่นิยมใชข้ นุ สัตว์28. ขา้ วฟ่ างบางชนิดมีรสชาดไมอ่ ร่อยเนื่องจากมี ก. Relaxinสาร ข. Landon ก. Mimosine ค. Gossypol ค. Diethyl Stilbestrol ข. Tannin ง. Lysine ง. L.H.29. อาหารสัตวต์ ่อไปน้ีชนิดใดมีโปรตีนต่าสุด 36. สารท่ีใชป้ ้ องกนั การเหมน็ หืน

ก. Vitamin D,Cu 46 ข. Vitamin E,B.H.T. ค. ฟางขา้ วมีคุณค่าทางอาหารไม่ เพียงพอสาหรับววั ค. Ergosterol,NaOH ง. การสบั ฟางขา้ วแต่เพยี งอยา่ งเดียว ง. Calciferol,CaOH กเ็ ป็นการปรับปรุงคุณค่าฟางขา้ ว แลว้37. สารหนูใชใ้ นอาหารสตั วเ์ พอ่ื วตั ถุประสงค์ 43. ขอ้ ใดผดิ เกี่ยวกบั การใชฟ้ างขา้ ว ก. เร่งอตั ราการเจริญของลูกโค ก. ปกติสตั วจ์ ะกินอาหารอดั เมด็ ได้ มากกวา่ อาหารอดั กอ้ น ข. เร่งอตั ราการเจริญเติบโตของลูกไก่ ข. สัตวจ์ ะกินอาหารอดั กอ้ นได้ มากกวา่ อาหารบดธรรมดา และสุกร ค. การอดั เมด็ ฟางทาใหว้ วั กินฟางได้ มากข้ึน ค. ช่วยป้ องกนั โรคทอ้ งร่วงในลูกโค ง. การนาฟางมาอบดว้ ยความร้อน ไม่ใช่วธิ ีการปรับปรุงฟางขา้ ว ง. ช่วยป้ องกนั โรคทอ้ งร่วงในลูกไก่ 44. ขอ้ ใดผดิ เก่ียวกบั การใชฟ้ างขา้ ว และสุกร ก. โซดาไฟสามารถใชป้ รับปรุง คุณภาพฟางขา้ วได้38. ควรงดผสมฮอร์โมนในอาหารโคขนุ ก่อนฆ่าก่ี ข. ปูนขาวใชป้ รับปรุงคุณภาพฟาง ขา้ วได้วนั ค. กรดซลั ฟรู ิคออ่ น ๆ ใชป้ รับปรุง ฟางขา้ วได้ ก. 3วนั ค. 5วนั ง. แอมโมเนียใชใ้ นการปรับปรุงฟาง ขา้ วได้ ข. 4วนั ง. 6วนั 45. ขอ้ ใดผดิ เกี่ยวกบั การทาฟางหมกั ยเู รีย39. เน้ือสตั วท์ ่ีใชส้ ารหนูผสมในอาหารควรงด ก. ใชย้ เู รีย 6% ข. ใชน้ ้าคร้ังแรก 60 ลิตร ราดฟางก่อนฆ่าก่ีวนั ค. ใชฟ้ าง 100 กก. ง. ใชน้ ้า 60 ลิตร ผสมยเู รีย ราดซ้า ก. 1วนั ค. 5วนั 46. ขอ้ ใดผดิ เกี่ยวกบั การใชผ้ ลพลอยไดก้ ารเกษตร ข. 3วนั ง. 7วนั40. Sorghum คือ ก. กากงา ค. กากเมลด็ นุ่น ข. ขา้ วฟ่ าง ง. กากเมล็ดฝ้ าย41. Sesame meal คือ ก. ขา้ วฟ่ าง ค. กากนุ่น ข. กากงา ง. กากเมลด็ ฝ้ าย42. ขอ้ ใดผดิ เกี่ยวกบั ฟางขา้ วเล้ียงสัตว์ ก. ฟางขา้ วมีโปรตีน 3-4% ข. ฟางขา้ วมีคุณค่าทางอาหาร พอเพียงสาหรับควายแลว้

47 ก. การทาฟางหมกั ยเู รียใชเ้ วลา 21 ก. ไวตามิน อี ค. ไวตามิน ซี วนั ข. ไวตามิน เค ง. ไวตามิน ดี 52. สาร Prothrombin ไดจ้ ากการสร้างของ ข. การทาหญา้ หมกั ใชเ้ วลา 21 วนั ก. ไวตามิน อี ค. ไวตามิน ซี ค. ญา้ แหง้ ใชเ้ วลา 2-3 วนั ข. ไวตามิน เค ง. ไวตามิน ดี ง. การทาหญา้ แหง้ ใชเ้ วลาส้ันหญา้ 53. การขาด Ca P อาจมีสาเหตุเพราะขาดไว ตามิน ทุกชนิดสามารถทาไดค้ วรส่งเสริม ก. ไวตามิน อี ค. ไวตามิน ซี47. สุกรที่ขาดธาตุสงั กะสีจะเกิดโรค ข. ไวตามิน เค ง. ไวตามิน ดี 54. Digestible Nutrients คือ ก. Swayback ค. Perosis ก. อาหารท้งั หมดท่ียอ่ ยได้ ข. Parakeratosis ง. Anemia ข. ธาตุอาหารหรือโภชนะที่ยอ่ ยได้ ค. สัมประสิทธ์ิการยอ่ ยไดข้ อง48. การขาดไวตามิน เอ ทาใหเ้ กิดโรค ก. Night blindness โภชนะ ข. Encephalomalacia ง. โภชนะท่ียอ่ ยไดท้ ้งั หมด ค. Beri-beri 55. พลงั งานท้งั หมดของอาหารที่สตั วก์ ินเขา้ ไป ง. Diarrhea คือ ก. Digestible Energy49. Ergosterol คือ ข. Gross Energy ก. สารตน้ กาเนิดไวตามิน เอ ค. Net Energy ข. สารตน้ กาเนิดไวตามิน ดี 2 ง. Urinary Energy ค. สารตน้ กาเนิดไวตามิน ดี 3 56. 1 Therm เท่ากบั ง. สารตน้ กาเนิดไวตามิน อี ก. 100 กิโลแคลอรี ข. 1000 กิโลแคลอรี50. 7-Dehydrocholesterol คือ ค. 10 กิโลแคลอรี ก. สารตน้ กาเนิดไวตามิน เอ ง. 10000 กิโลแคลอรี ข. สารตน้ กาเนิดไวตามิน ดี 2 ค. สารตน้ กาเนิดไวตามิน ดี 3 ง. สารตน้ กาเนิดไวตามิน อี51. Antihaemorrhagic Vitamin คือหมายเหตุ ท้งั หมดน้ีเป็นเพียงตวั อยา่ งตามหวั ขอ้ บทที่ 1 ที่จริงแลว้ บทน้ีสามารถออกขอ้ สอบทานองน้ีได้ถึง 100 ขอ้ คาถามอื่น ๆ ท่ีคลา้ ย ๆ กนั น้ี ขอใหน้ กั ศึกษาไปจดั ทาเป็น Short note ไวศ้ ึกษาดว้ ยตนเองต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook