รายงาน การเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการซ่อมบารงุ และการอนรุ ักษ์พลงั งานในอุตสาหกรรม เสนอ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กณุ ฑล ทองศรี จดั ทาโดย IET18/1 1. นายปรชี า วรสาร หวั หน้ากลุ่ม รหัสนักศึกษา 630407302658 2. นายสมรักษ์ สมีพันธ์ สมาชกิ กลมุ่ รหสั นักศกึ ษา 630407302685 3. นายกติ ตภิ มู ิ แต้มทอง สมาชกิ กลุ่ม รหสั นกั ศกึ ษา 630407302796 4. นายเกรยี งไกร สิงหท์ อง สมาชิกกลุ่ม รหัสนักศึกษา 630407302982 5. นายกิติพงษ์ สาลมี ่วง สมาชกิ กลุ่ม รหสั นักศกึ ษา 630407303025 6. นายปัญญารกั ษ์ กิง่ เกตุ สมาชกิ กลุม่ รหัสนักศึกษา 630407304013 7. นายชนะชัย นิดมาโลด สมาชิกกลมุ่ รหัสนักศึกษา 630407304014 8. นายฐิตศิ กั ด์ิ เสมแดง สมาชิกกลมุ่ รหัสนักศึกษา 630407304029 9. นายอาทิตย์ ซอเสยี งมงคล สมาชิกกลมุ่ รหสั นกั ศึกษา 630407304122 10. นายรชั ฌติ ะ บารเ์ ร็ตต์ สมาชิกกล่มุ รหัสนักศึกษา 630407304127 11. นายวศิ รุต แผนศรี สมาชกิ กลุ่ม รหสั นักศกึ ษา 630407302990 รายงานน้เี ป็นสว่ นหน่ึงของวิชา IET.350 เทคโนโลยกี ารซอ่ มบารงุ และอนรุ กั ษพ์ ลังงานในงานอุตสาหกรรม สาขาวชิ าเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑิต ปกี ารศกึ ษา พ.ศ.2564
คานา รายงานนเ้ี ป็นส่วนหน่ึงของวิชา IET.350 เทคโนโลยีการซ่อมบารุงและอนุรักษ์พลงั งานในงานอุตสาหกรรม โดยมีจุดประสงค์เพ่ือศึกษาหาความรู้เก่ียวกับหม้อต้มไอน้า(Boiler)ทั้งนี้ในรายงานฉบับนี้มีเน้ือหาซึ่งประกอบไป ด้วย หลกั การทางานของหม้อตม้ ไอน้า(Boiler)การตดิ ต้ัง การใชง้ าน การบารงุ รักษา และการอนรุ กั ษ์พลังงาน คณะผู้จัดทาหวังว่ารายงานฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านเป็นอย่างดี เพื่อนาความรู้ไปปรับใช้ในการ ทางานในชีวิตประจาวันตลอดจนทาการศึกษา เพื่อนาไปจัดทาและพัฒนาเป็นแผนธุรกิจท่ีทีความเหมาะสมในเชิง ปฏบิ ตั มิ ากข้นึ และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกจิ ในปัจจุบัน คณะผู้จดั ทา IET 18/1
สารบญั เนอ้ื หา หน้า ตอนท่ี 1 การเพ่ิมประสิทธภิ าพการซ่อมบารงุ ในอุตสาหกรรม 1-4 บทท่ี 1 ความเปน็ มา ความหมาย วัตถุประสงค์ ของการซ่อมบารุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ 5 - 21 บทท่ี 2 ทฤษฎีที่เกย่ี วข้อง ประเภท ชนดิ งานวิจยั 22 - 26 บทที่ 3 วิธีการดาเนินงาน ทาเล ที่ต้งั แผนผังเคร่ืองจักรและอุปกรณ์ ข้อมลู ก่อนการเพ่ิม 27 - 39 ประสทิ ธภิ าพการซ่อม 39 บทท่ี 4 ผลการเพ่ิมประสิทธิภาพ บทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ 40 - 53 ตอนท่ี 2 การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการอนุรกั ษ์พลังงานในอตุ สาหกรรม 54 - 86 บทท่ี 1 ความเป็นมา ความหมาย วัตถุประสงค์ ประเภท และชนดิ ของหม้อไอน้า 87 - 104 บทท่ี 2 ทฤษฎที ี่เกี่ยวข้อง ประเภท ชนิด งานวิจยั 105 - 115 บทท่ี 3 วิธีการดาเนินงาน ทาเล ที่ตั้ง แผนผงั เครอ่ื งจักรและอุปกรณ์ 115 บทท่ี 4 ผลของการปรบั ปรุงของหม้อไอน้า บทที่ 5 สรปุ และขอ้ เสนอแนะ 116 - 117 ตอนที่ 3 การจัดการพลังงาน สาหรับโรงงานควบคุม หรืออาคารควบคมุ 118 ข้อมูลเบื้องตน้ 118 -119 ข้อมลู ดา้ นการจัดการพลงั งาน 120 - 121 ขน้ั ตอนที่ 1 คณะทางานด้านการจัดการพลังงาน 122 - 124 ขน้ั ตอนท่ี 2 การประเมินสถานภาพการจดั การพลังงานเบ้ืองหลัง 125 - 131 ขั้นตอนที่ 3 นโยบายอนรุ ักษ์พลงั งาน 132 - 150 ขน้ั ตอนท่ี 4 การประเมินศักยภาพการอนรุ ักษ์พลงั งาน ขน้ั ตอนท่ี 5 การกาหนดเปา้ หมายและแผนอนรุ กั ษพ์ ลังงานและแผนการฝึกอบรม 151 - 157 และกิจกรรมเพ่ือสง่ เสรมิ การอนุรกั ษ์พลังงาน ขนั้ ตอนท่ี 6 การดาเนินการตามแผนอนรุ ักษ์พลงั งาน การตรวจสอบและวเิ คราะห์ 158 - 162 การปฏบิ ัติตามเปา้ หมายและแผนอนรุ ักษ์พลงั งาน 163 - 170 ข้ันตอนท่ี 7 การตรวจตดิ ตาม และประเมินการจดั การพลงั งาน ขัน้ ตอนที่ 8 การทบทวน วเิ คราะห์ และแก้ไขข้อบกพรอ่ งของการจดั การพลงั งาน
1 ตอนท่ี 1 การเพม่ิ ประสิทธิภาพการซอ่ มบารงุ ในอุตสาหกรรม บทที่ 1 บทนา ความเป็นมา ความหมาย วัตถุประสงค์ ชองการซอ่ มบารุงเครื่องจกั รและอุปกรณ์ ความเปน็ มา ปจั จบุ ันมกี ารแข่งขันทางด้านธรุ กจิ อย่างรนุ แรงปจั จยั ท่สี าคัญท่จี ะทาให้ธรุ กจิ อยูร่ อด และสามารถแข่งกับคู่ ต่อสู้ทางธุรกิจได้คือการลดตน้ ทุนในกระบวนการผลติ ไม่ว่าจะเปน็ ด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ทั้งนี้เพ่ือทา ให้ ผลิตสินค้าท่ีมีต้นทุนการผลิตท่ีต่ามีคุณภาพดี ส่งมอบสินค้าได้ทันตามเวลาท่ีกาหนดสาหรับ ปัจจัยการผลิตท่ี สาคัญท่ีสุดในการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตในยุคสมัยใหม่ก็คือเร่ืองของเคร่ืองจักรอุปกรณ์ ซ่ึงเครื่องจักรอุปกรณ์ สมัยใหม่จะมีการทางานท่ีเป็นแบบอัตโนมัติ และมีความเร็วในการทางานเพิ่มมากขึ้นซ่ึงสามารถ เพ่ิมผลผลิตแก่ ผู้ผลิตได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเคร่ืองจักรอุปกรณ์เหล่าน้ันเกิดการชารดุ เสียหาย, หยุดการทางานกะทันหันหรือมีสภาพ ไม่สมบูรณ์ก็จะทาให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลติ ต้องหยุดชะงัก คุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ส่งมอบสินค้า ไม่ทันเวลา และที่สาคัญคือค่าใช้จ่ายในการผลิตสูง โดยเฉพาะอย่างค่าใช้จ่ายในด้านการบารุงรักษาเครื่องจักรท่ี ชารดุ เสยี หาย ซึง่ เปน็ ค่าใช้จ่ายหลักในการผลิตสินคา้ การจัดการระบบบารงุ รักษาเครื่องจักรท่ีดถี ือเปน็ วธิ ีการหนึ่งท่ี สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผลโดยรวมของเคร่ืองจักรได้ ซึ่งสิ่งสาคัญที่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมต้องทา คือ การปรับปรุงหรือเพ่ิมประสิทธิภาพภายในการผลิตจากเครื่องจักรต่าง ๆ โดยวิธีวัดประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม ของเคร่ืองจักร Overall Effective Efficiency: OEE เพื่อวัดประสิทธิภาพการ ทางานของเคร่ืองจักรและวัด มูลค่าเพ่ิมของกระบวนการผลิตดวยวิธีการบารุงรักษาสภาพเง่ือนไขปกติของการ ทางานของเคร่ืองจักรและขจัด ความสูญเสียในรูปแบบต าง ๆ รวมทั้งแผนงานท่ีส งผลกระทบถึงประสิทธิภาพโดยรวมของเคร่ืองจักร
2 บริษัทกรณีศึกษาประสบปัญหาในส่วนของกาลังการผลิตของผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปรุงสุกที่ไม่เพียงพอกับ ความต้องการ ของตลาด ซ่ึงกระบวนการผลิตผลติ ภัณฑ์เน้ือไก่ ปรุงสุกประกอบดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ ซ่งึ บางส่วน ของกระบวนการเปน็ การใชเ้ ครื่องจักรชว่ ย ในการผลิต โดยเป้าหมายในการผลิตผลิตภัณฑ์ เนื้อไก่ปรุงสุกของฝ่ายการตลาดของบริษัท กาหนดในการผลิต ผลติ ภณั ฑ์เนอ้ื ไก่ปรุงสุกอยูท่ ี่ 600 กิโลกรมั ตอ่ ชัว่ โมงซึ่งจากการเกบ็ ข้อมูล มาวิเคราะหแ์ ลว้ พบว่ากระบวนการทอด เนือ้ ไก่ ยังไมเ่ ปน็ ไปตามเป้าหมาย ประสิทธิภาพการทางานเฉลย่ี ตอ่ เดอื นของเคร่ืองทอดอาหารยังต่ากวา่ เปา้ หมายที่ ทางบรษิ ัทต้ังไว้ โดยท่เี คร่อื งทอดมีคา่ ประสิทธิผลโดยรวมอยู่ 60.73% ท้ังน้ี เกดิ จากเหตุขัดขอ้ ง (Breakdown) ของ เคร่ืองทอดอาหาร ซ่ึงวิเคราะห์ได้ว่าสาเหตุหลักเกิดจากการซ่อมบารุงเครื่องทอดอาหาร และระบบการทางานของ เคร่ืองทอดอาหาร ด้วยเหตุน้ีจึงมุ่งหวัง ที่จะนาหลักการบารุงรักษาเชิงป้องกันเคร่ืองทอด อาหาร และมีการ ดาเนินการตามแผนอย่างถกู ต้อง เพื่อจะทาให้เครือ่ งทอดอาหาร มปี ระสิทธิภาพ การทางานเพม่ิ ขึน้ ความหมายของการซ่อมบารุง (Maintenance) คือ กิจกรรมหรืองานทั้งหมดท่ีกระทาต่อเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพ่ือรักษาสภาพ หรือป้องกันไม่ให้เกิดการชารุดเสียหาย โดยให้อยู่ในสภาพท่ีพร้อมจะใชง้ านได้ ตลอดเวลารวมทั้งช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานข้ึน และเสียค่าใช้จ่ายน้อยท่ีสุด หากเครื่องจักรเกิดขัดข้อง กะทันหนั หรอื ไม่สามารถใช้งานได้จะทาให้มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิต และการบรกิ ารนน้ั ๆ การ ท่จี ะได้มาซ่งึ เคร่อื งจักรท่มี คี ณุ ภาพ ตอ้ งประกอบดว้ ย - มีการออกแบบท่ีดีและตรงตามความประสงค์ต่อการใช้งาน มีความเท่ียงตรงแม่นยา รวมทั้งสามารถ ทางานไดเ้ ตม็ กาลงั ความสามารถท่อี อกแบบไว้ - มกี ารผลติ (หรอื สร้าง) ท่ใี หค้ วามแขง็ แรงทนทาน สามารถทางานไดน้ านท่ีสุด และตลอดเวลา - มกี ารติดตง้ั ในสถานที่ทีเ่ หมาะสมและสะดวกต่อการใช้งาน - มกี ารใช้งานเป็นไปตามคุณสมบตั ิและสมรรถนะของเคร่ือง - มีระบบการบารุงรักษาที่ดีเน่ืองจากเครื่องมือและอุปกรณ์เมื่อถูกใช้งานไปนาน ๆ จะมีการเส่ือมสภาพ ชารุด สึกหรอ หรือเสียหายขัดข้อง ดังนั้นเพ่ือให้อายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ยืนยาวและสามารถใช้
3 งานได้ตามความต้องการและไม่เกิดการชารุดหรือขัดข้อง จึงจาเป็นต้องมีการบารุงรักษาเคร่ืองจักรและอุปกรณ์ใน ระบบการดาเนินงานด้วย จึงจะสามารถควบคุมการทางานของเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การ บารุงรักษาอาจหมายถงึ การทา การดาเนนิ การ การจดั การกบั เคร่อื งจกั และอุปกรณ์ทีใ่ ช้ในการผลิตหรืองานบริการ ให้สามารถมีสภาพพรอ้ มใช้งานอย่ตู ลอดเวลาและทางานได้อย่างเตม็ ประสิทธภิ าพ โดยความหมายของคาวา่ “เต็ม ประสิทธิภาพ” คือการท่ีเครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนาน มีสมรรถนะสูงตลอดอายุการใช้งานของเคร่ืองจักร และพรอ้ มใชง้ านได้ทุกเวลา มีความคงทน ความปลอดภัยในการใช้งานสูง ค่าใชจ้ ่ายในการบารงุ รักษาเครอ่ื งจักรต่า เหตุขัดขอ้ งของเครือ่ งจักรเป็น “ศนู ย”์ Down Time เปน็ “ศนู ย์”
4 วัตถปุ ระสงค์ของการซ่อมบารงุ รักษาเคร่ืองจกั รและอปุ กรณ์ 1. เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร หรือเป็นการป้องกันไม่ให้คุณภาพต่า ลง ซ่ึงมีผลต่อความ เชือ่ มัน่ ในเครอื่ งจกั รกล โดยการบารุงรกั ษาจะชว่ ยให้เครือ่ งจกั รมคี วามเทยี่ งตรงและแมน่ ยา 2. ควบคุมต้นทุนของเคร่ืองจักร ไม่ให้เพ่ิมขึ้น หรือหาหนทางในการลดต้นทุนลง ซึ่งการทางานของ เครือ่ งจักรกลก็ย่อมมกี ารลงทนุ ค่าดาเนนิ การ รวมถึงคา่ ซอ่ มแซมตา่ ง ๆ 3. ควบคุมกาหนดการซ่อมบารุงรักษาเคร่ืองจักรกล เพ่ือให้แล้วเสร็จได้ตรงเวลามากท่ีสุด เพ่ือให้ หน่วยงาน มีความเชื่อม่ันในการทางานของเคร่ืองจักร ถ้ามีการซ่อมบารุงรักษาช้า ก็ย่อมหมายถึง ต้นทุนต้องเพ่ิมข้นึ และประสทิ ธิภาพสมรรถนะเครอื่ งจักรกลลดลงอกี ด้วย 4. ป้องการความสูญเสีย อันเน่ืองมาจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การขัดข้องจนทาให้เดินเครื่องจักรไม่ได้เต็ม กาลัง หรอื จาเปน็ ตอ้ งหยุดการทางาน หรือเครื่องจกั รชารุดเสียหาย เป็นตน้ 5. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ อันเน่ืองมาจากเคร่ืองจักรทางานผิดพลาด หรือชารุด เสียหาย ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุข้ึน และทาให้ผู้ปฏิบัติงานบาดเจ็บ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่า เสยี เวลาในการปฏบิ ตั งิ าน เปน็ ต้น 6. การประหยัดพลังงาน เครื่องจักรจาทางานได้ต้องอาศัยพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น้ามันเช้ือเพลิง ถ้าหาก เครือ่ งจกั รไดร้ ับการด๔แลให้อย่ใู นสภาพท่ดี ี เครอ่ื งเดินราบเรยี บไม่สะดุด ไมม่ กี ารรั่วไหลของน้ามัน มี การเผา้ ไหมท้ ่ีสมบูรณ์ ก็จะสิน้ เปลอื งพลงั งานหรอื กาลังน้อยลง สง่ ผลใหป้ ระหยัดค่าใช้จา่ ยลงได้
5 บทที่ 2 ทฤษฎที ่เี กีย่ วขอ้ ง ประเภท ชนิด งานวิจัย ของการซ่อมบารงุ เครื่องจกั รและอุปกรณ์ 2.1 ทฤษฎกี ารบารงุ รกั ษาเครอ่ื งจกั ร 2.1.1 การทาความสะอาดเครื่องจักรเป็นแม่บทของการซ่อมบารุง ซ่ึงนอกเหนือจะเป็นกระจกสะท้อนให้ เห็นภาพของการจัดการในโรงงานแล้วยังให้ผลสะท้อนถึงความรู้สึกของพนักงาน อีกทั้งการทาความสะอาดยัง นับเปน็ กา้ วแรกของการบารุงรักษาเชิงปอ้ งกนั อีกด้วย 2.1.2 การหลอ่ ล่ืนเป็นส่ิงทีจ่ าเป็นสาหรบั เคร่อื งจักรจากการสึกหรอและความรอ้ นแล้ว การล่อลื่นยังชว่ ยให้ ประสิทธภิ าพในการทางานของเคร่ืองจกั รสูงข้ึน
6 2.1.3 การตรวจสภาพหรือการบารุงรักษาเชิงป้องกันมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาข้อบกพร่องขั้นต้นหรือสิ่ง แปลกปลอมอื่น ๆ ซ่ึงอาจนาไปสู่ความขัดข้อง และสภาพแวดล้อมที่จะต้องได้รับการตรวจสอบแก้ไข เพ่ือให้เข้าสู่ สภาวะการทางานปกตขิ องเครอ่ื งจกั ร 2.1.4 การปรับแต่งและการปรับเปล่ียนชิ้นสว่ น การซ่อมบารุงเคร่ืองจักรแม้ว่าจะมีการรักษาความสะอาด และหล่อลื่นเพียงใดความสึกหรอของช้ินส่วนมักเป็นส่ิงท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังนั้นการปรับเปลี่ยนและการปรับแต่ง ช้ินส่วนจึงจาเป็นท่ีจะให้เครื่องจักรกลับสู่สภาพปกติพร้อมใช้งานภายในขอบเขตท่ีกาหนดของเครื่องจักรแต่ละ เครือ่ ง
7 2.2 ประสิทธิผลเครอ่ื งจักรโดยรวม (Overall Equipment Effectiveness) การวดั ประสิทธผิ ลโดยรวมของ เครื่องจักร (OEE – Overall Equipment Effectiveness) เปน็ วธิ ีการทด่ี ี วิธีหน่ึงท่นี อกจากทาให้ร้ปู ระสิทธผิ ลของเคร่ืองจักรแลว้ ยงั รู้ถึง สาเหตขุ องความสูญเสียท่เี กดิ ขน้ึ ท้งั ในภาพใหญ่ คือ สามารถแยกประเภทการสูญเสียและรายละเอียดของสาเหตุนั้น ทาใหส้ ามารถท่จี ะปรบั ปรงุ ลดความสูญเสยี ท่ี เกดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเป็นระบบ การวดั จากเครื่องจักรแตล่ ะเครือ่ งโดยตรง ของผลติ ภณั ฑแ์ ต่ละชนดิ วิธวี ัดค่า OEE จะขนึ้ กบั ปจั จัยดงั น้ี A คอื สมรรถนะความพร้อมใช้งาน (Availability Performance) ของเคร่อื งจกั ร = (เวลาเดินเคร่อื ง/เวลาการรับภาระงาน) x 100 P คอื สมรรถนะอตั ราเร็วการผลิต (Production Speed Performance) ของเครื่องจักร = (เวลาเดนิ เครื่องสทุ ธิ/เวลาเดนิ เคร่ือง) x 100 Q คอื สมรรถนะคุณภาพ (Quality Performance) ของผลผลิต = (จานวนช้นิ งานที่ดี/จานวนช้ินงานทงั้ หมด) x 100 ประสิทธิผลเครอื่ งจักรโดยรวมสามารถคานวณ ได้ดังน้ี Overall Equipment Effectiveness, OEE = A x P x Q ค่าเป้าหมายของ OEE ระดบั ทีม่ าตรฐานสากล = 85%
8 2.3 Why-Why Analysis Why-Why Analysis เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยที่เปน็ ตน้ เหตุให้เกิดปรากฏการณ์อยา่ งเป็นระบบ โดยการตัง้ คาถามว่าทาไม และตอบคาถามจนถึงสาเหตุที่แท้จริง ซ่ึง การดาเนินการ “ทาไม ทาไม” ท่ีนิยมมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบผังก้างปลา และผังต้นไม้ แต่ไม่ว่าจะใช้แบบไหน ท้ังสองผังก็เป็นการตอบคาถาม เพ่ือวัตถุประสงค์ท่ีต้องการ เดยี วกันคอื เพอื่ ไม่ให้ส่ิงนี้เกิดอีก จะต้องทาอะไร อย่างไร เหมอื นกนั ซึง่ เทคนิคการวเิ คราะหห์ าปัจจัยทเี่ ปน็ ต้นเหตุ ที่เป็นระบบ มีลาดับขั้นตอนการวิเคราะห์ ทาให้ไม่ตกหล่น ไม่มั่ว เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ตกหล่น ไม่ใช่เดาหรือ นั่งเทียนวเิ คราะห์ วธิ คี ิดของ Why Why Analysis เม่อื มปี รากฏการณ์อย่างใดอย่างนึงเกิดขึ้นให้ทาการพจิ ารณาประกอบกับ สังเกต ณ สถานท่ีเกิดปรากฏการณ์นั้นหัวข้อสารวจใดเป็น NG (No Good = ของเสีย) และ OK หลังพิจารณาต่อ เฉพาะปจั จยั ที่เป็น NG โดยการต้ังคาถามวา่ “ทาไม” ไปเรอื่ ย ๆ จนกวา่ จะพบสาเหตทุ ี่แทจ้ รงิ ของการทท่ี าให้หัวข้อ ทีส่ ารวจเกดิ การ NG และกาหนดมาตรการการแกไ้ ข
9 2.4 ประเภทของการบารุงรักษา 2.4.1 การบารุงรักษาตามแผน (Planned Maintenance) จะเป็นการซ่อมบารุงตามกาหนดการ แผนงาน หรือระบบที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าซึ่งได้มีการกาหนดวันเวลา สถานท่ีและจานวนผู้ปฏิบัติงานท่ีจะเข้าไป ดาเนินการไว้แล้วอย่างชดั เจน โดยแนวทางการบารุงรักษานั้น อาจเลือกใช้ชนิดใดชนดิ หนง่ึ ได้ เช่น การบารุงรักษา เชงิ ป้องกัน การบารุงรกั ษาเชิงแก้ไขปรับปรุง ส่วนระยะเวลาท่ีจะเข้าไปดาเนินการอาจจะกาหนดหรือวางแผนเข้าซ่อมบารุงขณะเครื่องจักรทางานอยู่ หรอื ขณะเครื่องจักรชารุด หรือขณะที่หน่วยงานหยดุ ทาการซ่อมบารงุ อาจกล่าวไดว้ ่า การซอ่ มบารุงประเภทนี้จะมี ปญั หาน้อย เพราะมเี วลาเตรียมการไว้แล้วล่วงหนา้ ทกุ ขน้ั ตอน โดยมีขัน้ ตอนดังตอ่ ไปนี้ ข้นั ตอนการบารุงรกั ษาตามแผนในภาพรวม กรณีปฏิบตั กิ ับเครือ่ งจักร
10 ข้ันตอนที่ 1 : การวิเคราะหความแตกตางของสภาพพ้ืนฐาน (Basic Condition) กับสภาพปจจุบันของ เครอ่ื งจกั ร (Working Condition) 1. วตั ถุประสงค การถอดและทาความสะอาดทุกช้ินสวนท้ังภายนอกและภายในเคร่ืองจักร จะถูกปฏิบัติในขั้นตอนนี้ เพื่อทาให ฝายซอมบารุงทุกคนรูจักและเขาใจการทางานของเครื่องจักรและช้ินสวนตาง ๆ นอกจากนี้ ยังตอง เขาใจถงึ ลกั ษณะการทางานทผี่ ิดพลาด และปจจัยท่ที าใหเกิดความผิดพลาดเหลานน้ั 2. การดาเนนิ การ • ศึกษาหนาที่ โครงสราง และหลกั การทางานของเครือ่ งจักร • แยกแยะความเสียหายท่ีเกิดข้ึนกับเคร่ืองจักรวาอะไรบางที่แกไขไดทันที และอะไรบางท่ียังแกไขไมได โดยอะไรแกไขไดใหลงมอื แกไขทันที • วเิ คราะหท่ีมาของความเสียหาย โดยการแยกเปนประเภทใหญ ๆ ไดแก • ความเสียหายจากสภาพพน้ื ฐานไมดีพอ • ความเสยี หายสุม (Random Failures) • ความเสยี หายจากสภาพการใชงานไมดีพอ • ความเสียหายตอเน่อื งจากสาเหตทุ ่ยี งั ไมแกไข • ความเสียหายจากความผิดปกติเกดิ ข้ึน • จัดทาการบารงุ รกั ษาเชงิ ปองกันใหสามารถปองกนั ความเสยี หายจากสาเหตุตาง ๆ ได 3. การวดั และติดตามผล • จานวนจดุ ผดิ ปกติ และจดุ ตาง ๆ ทยี่ ังไมเคยรูถึงการทางาน แลวมาพบในขน้ั ตอนนี้ • การบารุงรักษาเชงิ ปองกันทีม่ กี ารเปล่ยี นแปลง เพอ่ื ใหปองกนั ไดดีขึน้ • แผนดาเนินงานตาง ๆ สาหรับขน้ั ที่สอง
11 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งท่ีมาของความเสียหายกับการแกไ้ ขโดย 7 ขนั้ ตอน
12 ตัวอยางการวิเคราะหที่มาของความเสียหาย แสดงใหเห็นวาสภาพพื้นฐานไมดีพอเปนสาเหตุอันดับสองซ่งึ ประกอบไปดวยสาเหตุยอยจากการขนั แนน การทาความสะอาด และการหลอลืน่ ตามลาดับ
13 ข้ันตอนที่ 2 : การปรบั สภาพปจจบุ นั ของเคร่อื งจกั รใหเขสู่สภาพพ้ืนฐาน 1. วตั ถปุ ระสงค์ จากความเสียหายที่พบในข้นั ทีห่ นง่ึ วิธกี ารแกไขท่ีดีขึน้ และการปรับปรุงควรจะไดรบั การปฏิบตั ิในข้ันตอน น้ี เพ่ือปองกันความเสียหายแบบเดิมท่ีจะเกดิ ขึ้นอกี ดวยการเฝาดเู คร่ืองจกั รอปุ กรณอยางใกลชดิ 2. การดาเนนิ การ • การแกไขปญหาตาง ๆ ท่ยี งั เหลอื จากข้ันท่ี 1 พรอมทั้งกาจดั สาเหตุทมี่ าจากเครอ่ื งจกั ร • กาหนดเวลาท่ตี องหยดุ เครอ่ื งในการทาความสะอาด และหลอลน่ื เพอ่ื ใหเครือ่ งเดินไดดี • ประสานงานกับพนกั งานผูใชเครอ่ื งเพอ่ื ใหการทาความสะอาดเปนสวนหนง่ึ ในมาตรฐานการปฏิบตั ิงาน • ปรบั ปรงุ สภาพการใชงาน 3. การวัดและตดิ ตามผล • การเปล่ียนแปลงมาตรฐานการปฏบิ ตั ิของพนักงานผูใชเครือ่ งใหครอบคลมุ ถงึ การดแู ลเคร่ืองจักร • จานวนหวั ขอของการปรบั ปรงุ • จานวนขอเสนอแนะในการปองกนั ความเสียหายของเคร่ือง • จานวนคร้งั ที่เคร่ืองจักรเสยี หายท่เี กดิ ข้นึ จากสภาพพน้ื ฐาน หรือสภาพการใชงาน ข้ันตอนท่ี 3 : กาหนดมาตรฐานใชงาน และสภาพพ้นื ฐาน 1. วัตถุประสงค์ ในขั้นตอนน้ีจะเปนการออกแบบมาตรฐานการปฏิบัติงานเพื่อรักษาการปรับปรุงท่ีเกิดขึ้นแล วในขั้นท่ีสอง ให ดารงอยูตอไป 2. การดาเนนิ การ • เพื่อท่ีจะเตรียมมาตรฐานการตรวจสอบเชิงปองกันที่มีประสิทธิภาพ ซ่ึงเปนมาตรฐานที่ใชงานตามปกติ ของ เคร่ือง แนบกับมาตรฐานเพ่ือปองกันความเสียหายท่ีเคยเกิดข้ึนแลว ท่ีพบต้ังแตข้ันท่ีหน่ึง ซ่ึงปรากฏ อยูใน การบารงุ รักษาเชงิ ปองกนั ทีจ่ ัดทาในขั้นท่ีหนงึ่ • การควบคมุ ดวยการมองเห็น (Visual Control) ท่ีมาจากมุมมองของพนักงานผูใชเครื่อง • การแบงความรับผิดชอบในการปรับปรุงระหวางฝายซอมบารุงท่ีทาการบารุงรักษาตามแผนกับพนักงาน ผูใชเครอื่ งทีท่ าการบารุงรักษาดวยตนเอง (Autonomous Maintenance) • บันทึกผลของมาตรฐานหลังจากนาไปปฏิบัติ เชน เวลาที่ใชในการตรวจสอบแตละคร้ัง การปฏิบัติงานท่ี ยากลาบากและสาเหตทุ ่ีทาใหยากลาบาก เปนตน 3. การวัดและติดตามผล • จานวนมาตรฐานท่ไี ดจัดทา หรอื ไดปรับปรงุ • ความเสยี หายทล่ี ดลงโดยรูสาเหตุวาทาไมจงึ ลดลง มาถึงขน้ั นจ้ี ะตองเหน็ การขัดของ ความเสียหาย ของเครอื่ งจักรลดลงอยางชัดเจน มิฉะนั้นแลวใหกลบั ไปยัง ขน้ั ท่ีหนึ่งใหม่
14 ข้ันตอนที่ 4 : การยดื อายกุ ารใชงาน 1. วัตถุประสงค์ ขั้นตอนท่ี 1 ถึงข้ันตอนที่ 3 เปนความพยายามท่ีจะลดความเสียหายของเครื่องจักร โดยมีศูนยกลางที่ สภาพ พ้ืนฐานและการปรับปรุงเฉพาะงานบารุงรักษา ในข้ันตอนนี้จะเป นการซอมบารุงเชิงแกไขปรับปรุง (Corrective Maintenance) โดยมีเปาหมายหลักในการยืดอายุการใชงาน โดยไมไดเปนเพียงแตการปรับปรุง เคร่อื งจกั ร แตจะ รวมถึงการปรบั ปรุงวิธกี ารบารงุ รักษาดวย 2. การดาเนินการ • ศึกษาระบบตาง ๆ ของเคร่ืองจักรรวมกับขั้นตอนในการตรวจสอบโดยรวม (Overall Inspection) ของ การ บารุงรักษาดวยตนเอง โดยท่ัวไปจะเปนระบบกลไกในการขับเคลื่อน ระบบไฮดรอลิกส ระบบเซ็นเซ อร ระบบนวิ เมติกส เปนตน • การวเิ คราะหประวตั คิ วามเสียหาย การซอมบารงุ และ MTBF (รายละเอยี ดในตอนท่ี 1) • การวิเคราะหความเสียหายทยี่ ังหาสาเหตุไมได โดยการใช เทคนิคในการวิเคราะหเฉพาะระบบกลไกของ เครอื่ ง หรอื ท่ีเรียกวา PM Analysis (Phenomena – Mechanism Analysis) • การปรับปรงุ การเสียหายสุม (Random Failure) โดยการพจิ ารณาทักษะในการซอมบารงุ และการฝก อบรม • จัดทากาหนดการซอมบารงุ 3. การวัดและตดิ ตามผล • จานวนคร้ังทที่ าการแกไขและปรบั ปรุง ในกลไกทกุ ระบบ • MTBF และ MTTR • ความสมั พันธระหวางชัว่ โมงการบารุงรักษาเชิงปองกนั และ MTTR หมายความวา ในขนั้ ตอนนี้จะเนนไป ที่ การลด MTTR มากกวาที่จะลดชั่วโมงการบารุงรักษาเชิงปองกัน แตคา MTTR ที่แสดงผลของการ ปรับปรุงทแ่ี ทจริง ตองเปนคา MTTR ที่ลดลงโดยไมเพิม่ ชว่ั โมงการบารงุ รกั ษาเชิงปองกัน • การปรับปรงุ มาตรฐานการบารงุ รักษา • การมอบหมายงานซอมบารุงไปสูข้ันตอนการปฏิบตั ิ การบารงุ รักษาดวยตนเอง • จานวนของขอมลู ที่นาไปเปนประโยชนตอการปองกันการบารงุ รักษา
15 ขั้นตอนท่ี 5 : ปรับปรุงวิธกี ารตรวจเชค็ และประสิทธิภาพการบารุงรักษา 1. วัตถุประสงค์ ในข้ันตอนนี้จะทาใหมั่นใจไดวาการบารุงรักษาเชิงปองกันจะไมมีการละเลย และช่ัวโมงการบารุงรักษาจะ ลดลง โดยการสรางมาตรฐานในการซอมบารุง ซ่ึงก็คือนามาตรฐานในขั้นตอนที่ 3 มาปรับปรุงให งายและมี ประสทิ ธภิ าพมากขนึ้ 2. การดาเนินการ • การตรวจสอบทแ่ี มนยาปราณตี และปรบั ปรุงวธิ ีปฏิบัตใิ หสะดวกสบาย • การสารวจเพ่ือหาสง่ิ บอกเหตุ หรืออาการตาง ๆ ของเคร่อื งทเี่ กิดข้นึ กอนการเสยี หาย เพือ่ จะนามาใชเปน เครอื่ งมอื ทท่ี าใหทราบวาเครอื่ งจกั รกาลังจะเสียหาย • การรับรูดวยวธิ งี าย ๆ เมื่อสงิ่ บอกเหตุหรอื อาการตาง ๆ เกิดขน้ึ • การลดจานวนจุดตาง ๆ ในการตรวจสอบใหเหลือเพยี งจุดสาคัญ ๆ • การปรับปรุงวิธกี ารบารุงรักษาเพ่ือใหใชเวลานอยลง • กิจกรรมเพอ่ื ลดเวลาในการแกไขเมื่อเคร่ืองเกิดขดั ของ • การทบทวนมาตรฐานการซอมบารุงและกาหนดการซอมบารงุ ที่ไดจัดทาไวเมื่อข้ันตอนท่ี 4 3. การวัดและการติดตามผล • การลดของเวลาที่ใชในการตรวจสอบและการทาการบารงุ รักษาเชงิ ปองกนั • ความสัมพนั ธระหวางชว่ั โมงการซอมบารงุ เชงิ ปองกนั กบั MTTR • การลดลงของคา MTTR • ปรมิ าณการปรับปรงุ ประเมนิ ตาง ๆ ในมาตรฐานการซอมบารุง
16 ขั้นตอนที่ 6 : การตรวจเชค็ ในภาพรวมท้งั หมด (Overall Diagnosis) 1. วัตถุประสงค์ กิจกรรมท้ังหมดจนถึงข้ันท่ี 5 มีวัตถุประสงคที่จะกาจัดความเสียหายที่ทาใหเคร่ืองหยุด แตยังมีความ เสียหายท่ีไมไดคานึงถึง คือ ความเสียหายที่ทาใหเคร่ืองดอยคุณภาพในการใชงาน แตไมถึงกับเคร่ืองหยุด รวมถึง ความเสียหายท่ียังไมรูวาสงผลกระทบตออะไร ในขั้นตอนนี้จะพยายามลดความเสียหายท้ังหมดทุกประเภท หรือ สามารถเรยี กไดวา เปนการบารุงรักษาเชิงคณุ ภาพ (Quality Maintenance) โดยเจาหนาที่ฝายซอมบารุง 2. การดาเนนิ การ • การปฏบิ ตั ขิ นั้ ตอนท่ี 1 ถงึ 5 โดยคานึง การใชงานอยางมคี ุณภาพของเคร่ืองจักร • วิเคราะหลกั ษณะทางคุณภาพการใชงานวาลกั ษณะคุณภาพใดที่จะไดรับผลกระทบจากการบารุงรักษา • พิจารณาความสมั พันธระหวางเงอ่ื นไขในการใชงานของเครอื่ งกบั คุณภาพการใชงาน • วิเคราะหความสัมพันธระหวางอุปกรณกับคุณภาพของพลังงานท่ีใช ในบางกรณีเชน แรงเคล่ือนไฟฟาท่ี ลดลง ความดันลมหรือนา้ มนั ท่ลี ดลง อาจจะสิ่งผลกระทบตอคณุ ภาพการใชงาน • สารวจผลกระทบจากส่ิงแวดลอมที่อยูรอบ ๆ ท่ีอาจจะสงผลตอคุณภาพการใชงาน เชน ฝุนผงที่มีอยู ภายใน อากาศ หรือ ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในบรเิ วณรอบ ๆ • หาวิธีการในการปองกนั การเกิดปญหาคุณภาพการใชงาน และปรบั ปรุงวิธีการใชงาน และการบารงุ รักษา เพอื่ ไมใหสงผลกระทบตอคุณภาพของชิน้ งานดวย • จดั ทาและปรับปรุงมาตรฐานการบารุงรักษาเพอ่ื รักษาสภาพการใชงานทีป่ ราศจากของเสยี 3. การวัดและติดตามผล • การบารงุ รักษาเชงิ คณุ ภาพทเี่ ขาไปเปนสวนหนึ่งในการบารุงรกั ษาดวยตนเองของพนักงานผูใชเคร่ืองจักร • อตั ราสวนของเสยี ของชิ้นงาน • จานวนการปรบั ปรงุ มาตรฐานการซอมบารุง • จานวนช่วั โมงการบารงุ รักษาเชงิ ปองกนั ท่ที าเพื่อคุณภาพในการใชงาน
17 ขน้ั ตอนท่ี 7 : การใชเคร่ืองใหเต็มความสามารถของเครอ่ื ง 1. วัตถปุ ระสงค ขั้นตอนนี้จะทาการบารุงรักษาเชิงพยากรณ (Predictive Maintenance) เพ่ือใหอุปกรณตาง ๆ ไดใชงาน ได ยาวนานทีส่ ดุ 2. การดาเนินการ • การพยากรณเวลาการหมดอายุของชิ้นสวน โดยการเรยี งตามลาดบั ความสาคญั • ศึกษาวจิ ัยและหาเทคโนโลยีการซอมบารงุ ตาง ๆ เพ่อื ใหการพยากรณอายุการใชงานของช้ินสวนตาง ๆ แมนยา • หาวิธีการที่จะทาใหชิ้นสวนตาง ๆ แสดงใหฝายซอมบารุงหรือพนักงานผูใชเครื่องเห็นวาช้ินสวนกาลังจะ หมดอายดุ วยตวั ของมันเอง 2.4.2 การบารงุ รกั ษานอกแผน (Unplanned Maintenance) เปน็ การบารงุ รกั ษานอกระบบงานท่ีวาง ไว้ อันมีเหตุมาจากเคร่ืองจักรเกิดการขัดข้อง ชารุดเสียหายอย่างกะทันหัน จึงต้องรีบทาการซ่อมแซมให้แล้วเสร็จ เรียบร้อยทันการใชง้ านคร้ังต่อไป ซ่ึงการซอ่ มบารุงประเภทนีจ้ ะเกิดปญั หามากกวา่ เพราะเราจะไมท่ ราบล่วงหน้าจึง ทาให้ยงุ่ ยากในการท่จี ะจดั เตรียมผดู้ าเนนิ การ อปุ กรณ์ หรอื อะไหลไ่ ดอ้ ย่างทนั ท่วงที 2.5 ชนดิ ของการบารุงรกั ษา 2.5.1 การบารุงรักษาหลังเกิดเหตุขัดข้อง (Breakdown Maintenance) เป็นการบารุงรักษาเม่ือ เคร่ืองจักรเกิดการชารุดและหยุดการทางานโดยฉุกเฉิน กล่าวได้ว่าเป็นวิธีด้ังเดิมในการบารุงรักษาแต่ก็หลีกเล่ียง ไม่ได้ที่จะใช้วิธีนี้ เพราะสามารถเกิดเหตุขัดข้องกับเครื่องจักรได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะมีการบารุงรักษาเชิงป้องกันท่ีดี เยย่ี มสักเพยี งใดก็ตาม เป็นแนวความคิดท่ีเก่าที่สุด ซ่ึงไม่มีการวางแผนในการทางานล่วงหน้า โดยพบว่าบุคลากรในฝ่ายซ่อม บารุงรักษาไม่ปฏิบัติงานจกว่าจะมีเครื่องในหน่วยงานชารุดซ่ึงไม่สามารถใชงานต่อได้ อย่างไรก็ตามการซ่อมใน ลักษณะแบบน้ี ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่กับบางสถานการณ์ เช่น ใช้ในเครื่องจักรท่ีมีการทางานไม่ซับซ้อนและมี ชิ้นสว่ นอะไหลพ่ ร้อมอย่เู สมอ หรอื สามารถส่ังซื้ออะไหล่ได้ทนั ที โดยคา่ ใช้จา่ ยทีเ่ กิดข้ึนในการซ่อมบารุงรักษาแบบนี้ ควรมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีอ่ืน ๆ เช่น หลอดไฟต่าง ๆ จะถูกปล่อยไว้จนกว่าหลอดจะขาด หรือผ้าเบรกรถยนต์ก็จะ ปลอ่ ยไว้จนกวา่ ผา้ เบรกจะหมดหรอื ไม่สามารถใช้งานได้ เป็นตน้
18 2.5.2 การบารงุ รกั ษาเชงิ ปอ้ งกนั (Preventive Maintenance: PM) เป็นการบารงุ รกั ษาเพื่อปอ้ งกัน เสอ่ื มสภาพการเกดิ เหตุขัดข้อง หรอื การหยดุ ทางานของเคร่ืองจักรโดยฉุกเฉนิ โดยอาศัยการตรวจสภาพเครือ่ งจักร การทาความสะอาด ขันน็อตสกรูให้แน่น และหล่อลื่นอย่างถูกวิธี มีการปรับแต่งเคร่ืองจักร รวมถึงการบารุง และ เปล่ียนช้ินส่วนอะไหล่ตามระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ เป็นการบารุงรักาตามวาระ หรือระยะเวลาการใช้งานที่กาหนด เพ่ือรักษาสภาพการทางานของเครื่องจักรให้เหมาะสม ก่อนท่ีจะมีการหยุดชะงัก โดยอาจใช้ประสบการณ์ของฝ่าย บารุงรักษาหรือคู่มือการใช้งานของเคร่ืองจักรน้ัน ๆ อย่างไรก็ตามการชารุดของเครื่องจักรโดยไม่คาดคิดก็สามารถ เกดิ ข้นึ ได้ ทงั้ นรี้ ปู แบบการชารุดของเครื่องจกั รลกั ษณะนี้มีการกระจายอยู่ในลักษณะไมส่ มา่ เสมอ ดงั น้ันจงึ ยากที่จะ เลือกช่วงการบารุงรักษาตามแผนท่ีเหมาะสม หรือ แม้แต่ในบางกรณีถึงแม้ว่าได้ปฏิบัติงานตามแผนแล้วก็ตาม ก็ อาจมโี อกาสทีจ่ ะเกิดการชารดุ ของเคร่ืองจกั รโดยไม่คาดคดิ ได้ การซ่อมบารุงเชิงป้องกันได้พัฒนาขึ้นจากการปรับปรุง ข้อด้อยของการซ่อมบารุงรักษาเม่ือเกิดเหตุโดยไม่ ต้องรอให้เครื่องจักรเกิดการเสียหายแล้วค่อยมาซ่อมแซมมีการวางแผนในการแก้ไขไว้ล่วงหน้าหรือกาหนดช่วง ระยะเวลาในการตรวจสอบและการบารุงรักษาเคร่ืองจักร เพ่ือป้องกันความเสียหายในระยะเริ่มต้น เช่น การทา ความสะอาดเคร่อื งจักร การหล่อลื่นเพ่อื ป้องกันการสกึ หรอ การถอดเปลี่ยนช้ินส่วน และการเกบ็ ข้อมูลการขดั ขอ้ ง แผนภูมิขน้ั ตอนการซอ่ มบารุงเชงิ ป้องกัน
19 การบารุงรักษาชนดิ น้ี แบง่ ได้เปน็ 2 แบบ คอื 1. การบารุงรักษาตามระยะเวลา (Periodic Maintenance) หรือ Time Based Maintenance : TBM) คือ การดาเนนิ การอยูเ่ ป็นระยะ ๆ ผ่านการตรวจสอบ ทาความสะอาดอปุ กรณ์ และเปลีย่ นชิ้นส่วนอะไหล่ เพ่ือป้องกนั ความเสียหายอยา่ งฉับพลัน หรือเกิดปญั หาต่อกระบวนการผลติ 2. การบารุงรกั ษาแบบคาดการณ์ (Predictive Maintenance) คือ การให้ความสาคัญและใส่ใจกบั ชิ้นสว่ น ท่สี าคัญของเครอื่ งจักร เป็นการคาดการณ์ผา่ นการตรวจสอบ หรือวินิจฉยั เพื่อทจี่ ะใหช้ ้ินส่วนน้นั ๆ สามารถใช้งานไดค้ รบอายุการใช้งานจรงิ ๆ กล่าวได้วา่ เป็นการบรหิ ารจัดการแนวโน้มของคณุ ค่า (Trend Values) โดยอาศัยการตรวจวัดและการวิเคราะหขอ้ มูลเกี่ยวกบั การเสอ่ื มสภาพ 2.5.3 การบารุงรักษาเชิงแก้ไขปรับปรุง (Corrective Maintenance) คือ การดาเนินการเพ่ือการ ดัดแปลง ปรับปรุงแก้ไขเครื่องจักรหรือส่วนของเคร่ืองจักรเพ่ือขจัดเหตุขัดข้องเร้ือรังของเคร่ืองจักรให้หมดไปโดย สิ้นเชิง และปรับปรุงสมรรถภาพของเครื่องจักรให้สามารถ \"ผลิต\" ได้ด้วยคุณภาพ และหรือปริมาณที่สูงข้ึน การ บารุงรักษาเชิงแก้ไขปรับปรุงไม่ได้หมายถึง การแก้ไขปรับปรุงวิธีบารุงรักษาแต่จะหมายถึงการแก้ไขปรับปรุง ตัวเคร่ืองจักรเพื่อที่จะลดความเสียหายจากการเส่ือมสภาพและค่าใช้จ่ายของการบารุงรักษาลง กล่าวคือเป็นการ ปรับปรุง คุณสมบัติของเคร่ืองจักรให้ดีข้ึนนั่นเอง แต่ในกรณีท่ีค่าใช้จ่ายของการแก้ไขปรับปรุงเคร่ืองจักรมากกว่า ผลรวมของค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาและความเสียหายจากการเส่ือมสภาพก็จะทาให้วิธีการบารุงรักษาเชิงแก้ไข ปรบั ปรงุ น้ีไมม่ ีความหมายดังนั้น จงึ จาเป็นจะต้องมีการควบคุมเชน่ เดียวกบั การบารุงรักษาเชิงป้องกนั Corrective Maintenance มักจะมีเป้าหมายในการลดการสูญเสีย ลดต้นทุนในการซ่อมบารุง ลดเวลาในการซ่อม ยืดอายุ การใชง้ านของเคร่อื งจักร ดังนัน้ อาจจะพดู ไดว้ ่าการทา corrective maintenance เปน็ กจิ กรรมที่สาคัญมากเทียบ กบั กิจกรรมซ่อมบารงุ ในลกั ษณะอนื่ ๆ 2.5.4 การป้องกันเพ่ือการบารุงรักษา (Maintenance Prevention) คือ คือการดาเนินการใด ๆ ก็ ตามทจ่ี ะให้ได้มาซ่ึงเคร่ืองจกั รที่ไมต่ ้องการการบารุงรักษา หรือต้องการแตน่ ้อยทส่ี ุด สามารถดาเนินการไดโ้ ดย - การออกแบบเครื่องจักรให้แขง็ แรงทนทาน บารงุ รกั ษาง่าย - ใช้เทคนคิ และวสั ดุซงึ่ จะทาใหเ้ ครอื่ งจักรมีความเชื่อถือไดส้ งู - ร้จู ักเลือกและซอ้ื เคร่อื งจักรท่ดี ี ทนทาน ซอ่ มงา่ ย และมรี าคาทีเ่ หมาะสม การป้องกันการบารุงรักษาจะได้ผลก็ต่อเม่ือมีข้อมูลและประวัติของเคร่ืองรุ่นแรก ๆ โดยละเอียด ซึ่ง การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลท่ีมีอยู่จะช่วยให้การออกแบบหรือการเลือกซื้อเคร่ืองจักรบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของ การป้องกันการบารงุ รกั ษาได้
20 2.5.5 การบารุงรักษาทวีผล (Productive Maintenance) เป็นวิธีที่ครอบคลุมขอบเขตที่กว้างข้ึน โดย นาเอาวิธีบารุงรักษาเชิงป้องกันเข้ามาอยู่ด้วย ในขณะเดียวกันก็คานึงถึงผลทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต คือการ นาเอาคา่ ความเสยี หายของการเสอ่ื มสภาพ และค่าใชจ้ า่ ยของการบารงุ รกั ษามาพจิ ารณาหาจุดท่ีเหมาะสมและสร้าง ข้ึนเปน็ ระบบบารุงรักษานั่นเอง 2.5.6 การบารุงรักษาทวีผลรวม (Total Productive Maintenance: TPM) คือ ปรัชญาการมีส่วน ร่วมในการบารุงรักษาอุปกรณ์ทั้งหมดของภาคการผลิตเพ่ือเข้าสู่ระดับใหม่ เป้าหมายคือการป้องกันการสูญเสียใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกบั การบารุงรักษาเครื่องจักร (The 6 Big losses) ดังนั้นจึงไม่ควรมีการหยุดงานโดยไม่กาหนด ล่วงหน้า (Unplanned Maintenance) ไม่มีการหยุดเล็กน้อยหรือการทางานช้า เรียกว่าไม่มีข้อบกพร่องจากการ ทางานของเครื่องจักรเกิดขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร (Increase OEE) รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อม การทางานที่ปลอดภัยสาหรับพนกั งานทุกคน การบารุงรักษาทวีผลท่ีทุกคนมีส่วนร่วม คือแนวคิดด้านการ บารุงรักษาเครอื่ งจกั รและอปุ กรณ์ให้มปี ระสิทธิภาพมากที่สดุ โดยลดความสูญเสยี ลดการเสียเวลา ลดความขัดข้อง ของเครื่องจักร ลดอุบัตเิ หตุ ผ่านการปรับปรุงระบบคนและเคร่ืองจกั ร
21 2.6 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ศักดา (2550) ได้นาาหลักการ การบารุง รักษาเชิงป้องกัน และวางแผนการบารุงรักษา เครื่องทอผ้า เพ่ิมประสิทธิภาพการทางานเคร่ือง ทอผ้าโดยและเพ่ือเพิ่มผลผลิตผา้ ทอ เนื่องจาก ผลผลิตของเคร่ือง ทอไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่กาหนด โดยงานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์สาเหตุหลัก ท่ีทาให้เคร่ืองเกิดเหตุขัดข้อง กาหนด แผนการ บารุงรักษาเชิงป้องและดาเนินการตามแผน ท่ีกาหนด เพื่อลดความสูญเสียจากเหตุขัดข้อง ผลจากการ ดาเนินการปรับปรุงตามแผนบารุง รักษาเชิงป้องกัน พบว่าประสิทธิภาพการทางาน ของเครื่องทอเพ่ิมข้ึนคิดเป็น 8.63 เปอร์เซน็ ต์ ค่าความพร้อมใชง้ านของเคร่ืองทอเพิ่มข้ึนคดิ เป็น 0.56 เปอร์เซน็ ต์ และคา่ ประสิทธิผล โดยรวมของเคร่อื ง ทอเพ่ิมขึ้นคิดเป็น 2.56 เปอร์เซ็นต์ ท้ังนี้ส่งผลให้ผลผลิตผ้าทอเพิ่มขึ้น 772.33 หลา/เดือน หรือคิดเป็น 1.5 เปอร์เซ็นต์ เกียรติบัลลังก์ และระพี (2556) ไดก้ าจดั ความสญู เสียในกระบวนการผลิตเฟรม เพอื่ เพ่ิมประสิทธิภาพการ ผลิต โดยใช้ OEE เป็นเครอื่ งมือท่ีต้องพิจารณา 3 สว่ น คือ อตั รา การเดินเครื่อง ประสทิ ธภิ าพการเดนิ เคร่ือง และ อัตราคุณภาพ ใช้วัดค่าประสิทธผิ ลโดยรวมของ เครอ่ื งจักรพบว่าอย่ทู ่ี 77.88% และนาเทคนิค การวเิ คราะห์ Why- Why มาใช้เพ่อื คน้ หาสาเหตุ รากเหงา้ ของปัญหาการขัดข้องของเคร่ืองจักร นอกจากนใี้ นการปรับปรุงแก้ไขยงั ได้นา เทคนิค การบารุงรักษาแบบทวีผล มาดาเนินการแก้ไข ปรับปรุง หลังการปรับปรุงพบว่าค่า OEE มีค่า เพ่ิมข้ึน 82.25% จากผลลพั ธด์ ังกล่าว
22 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนนิ งาน สถานที่ตั้งบริษัท บรษิ ัท แฮปปีเ้ ชฟ (ประเทศไทย) จากัด ทต่ี งั้ 114 หมู่ 1 นคิ มอตุ สาหกรรมไฮเทค ตาบลบา้ นโพ อาเภอบาง ปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13160 ได้จดทะเบียนก่อต้ังขึ้นในปี พ.ศ. 2556 โดยประกอบธุรกิจหลักในด้าน การผลติ และจาหนา่ ยผลิตภัณฑอ์ าหารสาเร็จรปู พร้อมรบั ประทาน 3.1 ทาการศกึ ษา และวิเคราะหแ์ ตล่ ะข้นั ตอน การผลติ ของเคร่อื งทอดอาหาร 3.1.1 ผสมเนอื้ ลักษณะการทางานคือนาเนื้อท่ี เตรียมไว้มาผสมโดยการเทเขา้ เคร่ืองเพื่อการผสม (Forming) 3.1.2 อัดเนื้อขึ้นรูป ลกั ษณะการทางานโดยเครอื่ ง ผสมเน้ือ ทาหนา้ ท่ีอัดเนื้อขึ้นรปู อกี ด้านหนึง่
23 3.1.3 แยกเนือ้ ลักษณะการทางานคือจะม พนักงานคดั แยกเนอื้ ท่ีว่ิงผ่านสายพานถ้าชิน้ ไหน ไมส่ มบรู ณพ์ นักงานจะ คดั ออกและนาไปเขา้ เครอ่ื ง ผสมเนื้อ อัดข้ึนรูปใหม่ 3.1.4 ผสมนา้ แป้งราดบนเนือ้ ไก่ ลักษณะการทางานคือการนาเนอื้ ออกจากสายพานเพ่ือเขา้ เคร่ืองผสมน้าแป้ง (milk wash)
24 3.1.5 ทอดเนอ้ื ไก่ ลกั ษณะการทางานคือการนาเนือ้ ไกเ่ ขา้ เครื่องทอดลงผา่ นสายพานลาเลยี งตามเวลาทีก่ าหนดแต่ ละผลติ ภัณฑ์ 3.1.6 ทอดเนอ้ื ไก่ (2) ลกั ษณะการทาางานคือการจัดเรียงเนอ้ื ไกห่ ลังการทอดเนื้อไก่ครั้งแรกเพ่ือเข้าทอดคร้ังที่ 2 โดย ตา่ งกันที่ ไม่มสี ายพานเทปล่อน
25 3.1.7 ตรวจสอบ และจดั เรยี งเนอ้ื ไก่ กอ่ นเข้าเตาอบ Oven ลกั ษณะการทางานคือการตรวจสอบนา้ หนักเนือ้ ไก่ โดยสุ่มเป็นชิ้น ใช้กโิ ลชง่ั และชนิ้ เน้อื ไกห่ ากพบชน้ิ ทไ่ี มด่ ี จะคัดแยกออกและไมใ่ หน้ าเข้าเตา (Oven) จากการศึกษากระบวนการผลิตอาหาร สาเร็จรูปยงั ไม่ได้ตามเปา้ หมายที่ต้ังไว้ โดยสามารถผลติ ได้ 120,000 กิโลกรัมต่อเดอื น บรษิ ัทกรณีศึกษายังผลิตไดเ้ ฉลยี่ 85,427 กโิ ลกรัม ต่อเดือนเท่านน้ั คดิ เป็น 71.2% เท่านน้ั กราฟแสดงกาลงั การผลิตอาหารสาเรจ็ รปู 120,000 82,780 85,800 87,700 85,427 100,000 เฉลี่ย 80,000 60,000 40,000 20,000 - กันยายน ตลุ าคม พฤศจกิ ายน จานวนท่ผี ลิต (กก.) เป้าหมาย (กก.)
26 การทางานวิจัยน้ีพบว่ากระบวนการทอดเน้ือไก่เป็นกระบวนการที่มีกาลังผลิตต่ากว่าดป้าหมายของท่ีฝ่าย วางแผนการผลิตต้องการ ซ่ึงกาลังเป้าหมายท่ีกระบวนการนี้อยู่ท่ี 600 กิโลกรัม/ชม. ซึ่งสามารถผลิตได้เพียง 439 กิโลกรัม/ชม. เท่านั้น โดยคิดเป็น 73.1% ดังรูปภาพที่ 10 ดังนั้นงานวิจัยนี้จะมุ่งเน้นให้เกิดการแก้ปัญหาท่ี กระบวนการทอดเนือ้ ไกเ่ พ่ือใหไ้ ดเ้ ป้าหมายตามความต้องการ แผนภูมิพาเรโตแสดงประวัติระยะเวลารวมการขดั ขอ้ งของเครอื่ งจกั ร 700 660 654 650 649 600 500 439 435 434 430 430 400 300 กาลงั การผลิตกอ่ นปรบั ปรุง (กก./ชม.) เปา้ หมาย (กก./ชม.) 200 100 0
27 บทที่ 4 ผลการเพ่มิ ประสิทธิภาพ (ผลหลงั การเพ่มิ ประสิทธภิ าพการซ่อมบารุงรกั ษา) 4.1 ทาการวเิ คราะห์วดั คา่ สมรรถนะความพรอ้ มใช้งานเคร่อื งจักร (Availability Performance) และการวัด คา่ ประสทิ ธผิ ลโดยรวมของเครื่องจกั ร (Overall Equipment Effectiveness) จากการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลก่อนการปรับปรุงช่วงเดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน 2560 พบว่าประวัติ การหยดุ การทางานและเวลาในการทางานเครือ่ งทอดแสดงดังตารางท่ี 1 และ2 ตารางท่ี 1 ประวัติการหยุดทางานของเครื่องทอด
28 ตารางที่ 2 เวลาในการทางานของเครือ่ งทอด จากข้อมูลเบื้องต้นจากการวิเคราะหค์ ่าประสทิ ธภิ าพโดยรวมเฉลยี่ 3 เดือนของเครื่องทอดอาหารก่อนการ ประยกุ ต์ใชร้ ะบบการบารงุ รักษาเชิงป้องกัน การคานวณคา่ ความพร้อมใชง้ านเคร่ืองทอดอาหารในการผลิตอาหาร ก่งึ สาเรจ็ รปู ในบรษิ ัทกรณีศกึ ษาจานวนครงั้ ทเี่ ครอ่ื งจักรหยุดโดยเฉลย่ี [(26+25+24) /3] = 25 ครง้ั /เดือน เวลาในการทางานเดอื นกันยายน (8 x26) = 208 ชั่วโมง เวลาในการทางานเดอื นตุลาคม (8 x27) = 216 ช่วั โมง เวลาในการทางานเดอื นพฤศจกิ ายน (8 x25) = 200 ชั่วโมง ความพร้อมใช้งานเครือ่ งจักร = [(เวลาทางานทง้ั หมด - เวลาทเ่ี ครอ่ื งจักรขัดข้อง) /เวลาทางานท้ังหมด] x 100 = [(208 – 5.47) / 208] x 100 = 97.37 % เวลาสญู เสียจากเครือ่ งหยดุ = (ระยะเวลาการหยุดเครอื่ ง/เวลาในการใชง้ านเคร่ืองจักร x 100 = 5.47 / 208 x 100 = 2.62 % เวลาเฉลี่ยระหวา่ งเกิดเหตุขัดข้อง = เวลาทีเ่ ครื่องจกั รปฏบิ ตั งิ านจรงิ (ชม.) / จานวนครั้งที่หยดุ (Mean Time Between Failures: MTBF) = 208 / 25 = 8.32 ชว่ั โมง/ครงั้ เวลาเฉลี่ยในการซ่อมแซม = เวลาท่ีเครื่องหยดุ ทั้งหมด(ชม.) / จานวนคร้งั ที่หยุด (Mean Time to Repair: MTTR) = 5.47 / 25 = 0.22 ชว่ั โมง/เดอื น
29 เวลาเฉลี่ยในการหยดุ เครื่องจักรต่อเดือน = เวลาทีเ่ ครื่องจกั รหยดุ งานท้ังหมด(ชม.) / จานวนเดือนทางาน = 5.47 / 1 = 5.47 ชั่วโมง/เดือน ประสิทธภิ าพเชิงสมรรถนะ = [(จานวนช้ินงานท่ีทาได้) / (เวลาทางาน x รอบเวลาทฤษฎ)ี ] x 100 = [(85,427) / (208 x 650)] x 100 = 63.27 % สมรรถนะคณุ ภาพ = (จานวนชิ้นงานท่ีทาได้ - จานวนชิ้นงานทีเ่ สีย) จานวนชนิ้ งานที่ทาได้ = (85,427 – 1,248) / 85,427 = 98.5 % ประสิทธิภาพโดยรวม = 0.974 x 0.633 x 0.985 = 0.547 x 100 = 60.73 % ตารางที่ 3 สรปุ คา่ ประสิทธภิ าพโดยรวมของเครื่องทอดของบริษัทกรณศี ึกษา
30 4.2 ทาการวเิ คราะห์สาเหตุหลักของปญั หาการหยุดทางานของเครือ่ งทอด จากการรวบรวมสาเหตุทเ่ี กิดขน้ึ ของปัญหาการหยดุ ทางานของเครอ่ื งทอด มหี ลายสาเหตุ จงึ นาหลกั การ ของพาเรโต นามาคัดเลอื กท่ีเป็นสาเหตุหลักทแี่ ทจ้ ริง จากภาพที่ 11 พบว่ามจี านวนของสาเหตขุ ดั ข้องท้ังหมด 4 เหตุขัดข้องดังน้ี แผนภูมิพาเรโตแสดงประวัตริ ะยะเวลารวมการขดั ข้องของเคร่ืองจักร 250 94% 97% 98% 100% 100% 100% 100% 100% 100% 1001%00% 222 213 90% 89% 200 190 80% 80% 159 70% 150 64% 60% 100 44% 92 50% ปัญหา 40% เปอร์เซ็นตก์ ารทางาน 50 23% 45 30% 0 30 20% 18 15 10% 000000 0% แผนภมู ิพาเรโตแสดงประวตั ิระยะเวลารวมการขัดข้องของเครอื่ งจักร
31 4.2.1 ตะแกรงกรองกากชารุด ลักษณะการชารดุ คือตะแกรงสแตนเลส แตกตามข้อโซ่ขับสายพาน ซ่งึ สง่ ผลให้ นา้ มันท่จี ะต้องนากลับไปใช้ซ้าใช้ไมไ่ ด้ ตะแกรงกรองกากชารดุ 4.2.2 แมคคานคิ อลซีล (Mechanical Seal) ชารดุ ลกั ษณะแมคซลี ชารดุ คือจะมีน้ามนั ร่วั ออกจากแมคซีล สง่ ผลใหน้ ้ามันเคร่ืองทอดลดลงจากระดับที่กาหนด และการร่ัวของน้ามันกจ็ ะสง่ ผลให้บริเวณนั้นของเครอ่ื งจักรสกปรก แมคคานคิ อลซลี (Mechanical seal) ชารดุ
32 4.2.3 ลูกกลิ้งหมุนกลับ (return Roller) ชารุด ลักษณะการชารุดลูกกลิ้งหมุนกลับเป็นวัสดุพลาสติก เม่ือใช้งานไปสักระยะก็จะเกิดการสึกกร่อนจากการ เสียดสีของสายพานสแตนเสล และเมื่อลูกกล้ิงหมุนกลับชารุด ไม่มีวัสดุรองรับ สายพานสแตนเลส จะส่งผลให้ สายพานสแตนเลสเสยี ดสกี ับสแตนเลสของแกนลูกกลิง้ ซึง่ จะทาให้เกดิ เศษผงสแตนเลสตดิ กับชน้ิ เนอ้ื ท่ที าการทอด 4.2.4 โซ่สายพานเทปล่อน (Teflon) ชารุด ลักษณะโซส่ ายพานเทปล่อนชารุด คือใบของสายพานเกิดการคดงอเสยี รูป สง่ ใหส้ ายพานเทปล่อนไปเกาะ หรือขัดกับสายพานชดุ อ่นื โซส่ ายพานเทปล่อน (Teflon) ชารดุ
33 4.3 การวเิ คราะห์หาสาเหตุของปัญหาหลักของการขดั ข้องของเครอื่ งทอด จากขั้นตอนการดาเนินงานที่ได้วางแผนโดยนาข้อมูลจากข้างต้น มาทาการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อดาเนินหามาตรการปอ้ งกัน และปรับปรุง ในบทนี้ผู้วจิ ัยจะดาเนินการวเิ คราะห์ปัญหาโดยการใชห้ ลักการ ทาไม ทาไม (Why-Why Diagrams) และนามาหามาตรการป้องกันและปรบั ปรงุ โดยการใชห้ ลกั การบารุงรกั ษาเชิงป้องกัน 4.3.1 ปญั หาตะแกรงกรองกากชารดุ การวเิ คราะห์ Why-Why Analysis ของปัญหาตะแกรงกรองกากชารดุ ตาราง 4 สรปุ การวเิ คราะห์ Why-Why Analysis ของปจั จัยด้านบคุ คล การแก้ไข ปญั หา สาเหตุ ออกแบบตัดกดบาดกากใหส้ ามารถ ปรบั ระยะได้ ปญั หาตะแกรงกรองกากชารุด ตวั บาดกากเศษเน้ือกดตะแกรง กาหนดมาตรฐานรอบของการนา มากไป กากเศษเน้ือไปทิ้ง ไมม่ ีการกาหนดรอบในการนา ออกแบบการจบั ยึดใหม่ ในสว่ น กากเศษเน้ือไปท้งิ ของรเี วทชดุ ขับสายพานกบั เป็นการออกแบบขนาดหวั รเี วท ตะแกรง เลก็ เกนิ ไปของผู้ผลิตเครอ่ื งจักร 4.3.2 ปญั หาของแมคคานคิ อล ซีล (Mechanical Seal) ชารุด
34 การวิเคราะห์ Why-Why Analysis ของปจั จยั แมคคานิคอล ซลี (Mechanical Seal) ชารดุ ตารางท่ี 5 สรุปการวเิ คราะห์ Why-Why Analysis ของปัญหาแมคคานคิ อล ซีล (Mechanical Seal) ชารดุ ปญั หา สาเหตุ การแก้ไข ปัญหาแมคคานคิ อล ซลี ชารดุ ไมม่ ีการอบรมช่าง จดั การอบรมช่างก่อนเข้าทางาน ไมท่ ราบวา่ โอริงหมดอายุเม่ือไหร่ กาหนดการ PM เพ่ือป้องกนั การชารุด 4.3.3 ปัญหาของลูกกลิง้ หมุนกลบั (Return Roller) ชารุด การวิเคราะห์ Why-Why Analysis ของปัญหาลกู กลง้ิ หมนุ กลบั (Return Roller) ชารุด ตารางท่ี 6 สรปุ การวเิ คราะห์ Why-Why Analysis ของปัญหารเี ทรินโรลเลอร์ (Return Roller) ชารดุ ปัญหา สาเหตุ การแก้ไข ปญั หารีเทรินโรลเลอร์ชารุด รีเทรินโรลเลอรห์ มดอายุการใช้งาน กาหนดการ PM เพื่อป้องกนั การ รีเทรนิ โรลเลอรช์ ารดุ 4.3.4 ปญั หาของโซ่สายพานเทปลอ่ น (Teflon) ชารดุ
35 การวเิ คราะห์ Why-Why Analysis ของปญั หาของโซ่สายพานเทปล่อน (Teflon) ชารดุ ตารางท่ี 7 สรปุ การวิเคราะห์ Why-Why Analysis ของปญั หาของโซ่สายพานเทปล่อน (Teflon) ชารุด ปัญหา สาเหตุ การแก้ไข ปญั หาโซส่ ายพานเทปล่อนชารุด เครือ่ งมกี ารสน่ั อยูต่ ลอดเวลา ทา -เปลี่ยนนอ็ ตท่ปี ้องกนั การคลายตวั ให้นอ็ ตตึงสายพานคลาย -กาหนดการ PM เพ่ือป้องกนั การ โซ่สายพานเทปล่อนชารดุ 4.4 ผลการดาเนินงาน จากการวเิ คราะห์โดยใช้การวิเคราะห์ Why-Why Analysis สามารถสรุปแนวทางการปอ้ งกันไดด้ ังน้ี 4.4.1 กาหนดมาตรฐานรอบของการท้ิงกากเศษเนื้อ มีการกาหนดให้พนักงานทาการดึงกากเศษเนื้อออกทุกวัน กอ่ นเลิกงานโดยใหพ้ นกั งานประจาเครื่องทอดเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ 4.4.2 ออกแบบการจับยึดใหม่ของน็อตชุดขับสายพานกับตะแกรง เพ่ิมเติมในส่วนของแหวนรองน็อตเพ่ือเพิ่ม พนื้ ทีส่ ัมผัสกบั แผน่ ตะแกรง จงึ สง่ ผลให้ตะแกรงมีความแข็งแรงขึ้น 4.4.3 เปลย่ี นนอ็ ตทป่ี อ้ งกันการคลายตัวดังแสดงตาม นอ็ ตธรรมดา น็อตกันคลาย 4.4.4 กาหนดการ PM เพื่อปอ้ งกนั การขัดขอ้ งของเครือ่ งทอด ในขัน้ ตอนแรกไดแ้ ก่การเตรียมความพร้อม เพอื่ ที่จะนาระบบงานการบารุงรักษาเชงิ ป้องกันมาใช้ในบริษทั กรณศี ึกษาโดยมขี น้ั ตอนการดาเนนิ งานดงั นี้
36 4.4.4.1 การจัดเตรียมเอกสารเพอ่ื รองรบั ระบบการบารุงรกั ษาเชิงปอ้ งกัน - ระเบยี บการปฏิบตั งิ านเรื่องการบารุงรกั ษาและซ่อมแซม - รายงานการตรวจสอบตารางแผนงานการตรวจสอบบารงุ รกั ษา - Check sheet การตรวจสอบเครอ่ื งจักร 4.4.4.2 การฝึกอบรมพนักงานในการใช้เอกสารรวมถึงการบันทึกข้อมูลในเอกสาร และให้ความรูความ เข้าใจและประโยขน์ท่ีได้รับจากการใช้ระบบการบารุงรักษาเชงิ ป้องกัน การเริ่มทาระบบการบารุงรักษาเชิงป้องกนั ในโรงงานกรณีศึกษาจาเป็นต้องอบรมความรู้ในเรื่องระบบการบารุงรักษาเชิงป้องกันให้กับพนักงานที่เก่ียวข้อง ท้ังหมดเพื่อการทางานจะได้เป้นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมท้ังปรับทัศนคติของพนักงานท่ีเกี่ยวข้องให้เห็นถึง ความสาคัญของเวลาทส่ี ญู เสยี ไป การอบรมการบารุงรักษาเชงิ ป้องกันโดยวทิ ยากรผู้เชี่ยวชาญ บรรยากาศการเข้าอบรมการบารุงรักษาเชิงปอ้ งกนั ของพนกั งานและผ้ทู ่ีเก่ียวข้อง
37 4.4.4.3 การทาความสะอาดเบื้องต้น คือการทาความสะอาดเคร่ืองทอดท้ังหมดอย่างละเอียด เพื่อเป็นการ ตรวจสอบเครื่องทอดหรือเครื่องจกั รที่ได้ใช้งานอยู่ว่ามสี ภาพเป็นอย่างไร 4.5 ทาการวิเคราะห์ เปรียบเทยี บข้อมูลผลการดาเนินงานก่อน-หลังการปรบั ปรุง หลังจากการประยุกต์ใช้หลกั การบารงุ รักษาเชงิ ป้องกันปรบั ปรุงระบบการทางานของเคร่ืองทอด ระหวา่ ง เดือนธันวาคม 2560 - กมุ ภาพันธ์ 2561 ผลการดาเนินงาน ตารางท่ี 8 แสดงประวตั กิ ารหยดุ ทางานของเครอื่ งทอด
38 ตารางท่ี 9 ตารางแสดงความพรอ้ มใชง้ านเคร่ืองทอดอาหารกอ่ นและหลงั การปรบั ปรุงของบรษิ ัทกรณีศึกษา กราฟแสดงจานวนงานทผ่ี ลติ ได้ประสิทธิภาพโดยรวมกอ่ นและหลังการ ปรับปรงุ 100% 127296 126672 140000 90% 93% 92% 94% 119426 120000 80% 70% 82780 85800 87700 100000 80000 65% 60% 59% 59% จานวนงานทีส่ ามารถผลิตไดก้ ่อน ปรับปรุง 50% 40% 60000 30% 40000 20% 20000 10% 0% 0 ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. กราฟแสดงจาวนงานท่ีผลิตได้ประสิทธิภาพโดยรวมก่อนและหลงั การปรับปรุง
39 กราฟเปรยี บเทียบกาลังการผลติ เฉล่ยี ต่อช่ัวโมงก่อนและหลังปรบั ปรุง 700 660 660 654 656 650 654 649 651 611 610 610 608 608 600 500 439 435 434 430 430 400 300 200 100 0 กาลังการผลิตกอ่ นปรบั ปรงุ (กิโลกรัม/ชั่วโมง) กาลังการผลิต (กิโลกรมั /ช่วั โมง) เป้าหมาย (กิโลกรมั /ชว่ั โมง) กราฟเปรียบเทยี บกาลังการผลิตเฉลย่ี ตอ่ ชวั่ โมงก่อนและหลังปรบั ปรุง บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ ผลการปรับปรุงโดยการนาระบบการซ่อมบารุงเชิงป้องกันมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มค่าประสิทธิภาพ เคร่ืองจักรโดยรวม (OEE) ก่อนการปรับปรุงจานวนการผลิตเฉล่ีย 3 เดือน เท่ากับ 85,426 กิโลกรัมต่อเดือน หลัง การปรับปรุงจานวนการผลิตเฉลี่ย 3 เดือนเท่ากับ 124,464 กิโลกรัมต่อเดือน หรือเพ่ิมขึ้น 31.36% และค่า ประสิทธิภาพเครื่องจักรโดยรวมก่อนการปรบั ปรุงจานวนการผลิตเฉล่ยี น 3 เดอื นเท่ากับ 60.72% หลงั การปรบั ปรุง จานวนการผลติ เฉล่ยี 3 เดอื น เท่ากบั 92.72%
40 ตอนที่ 2 การเพมิ่ ประสิทธิภาพการอนรุ ักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม บทที่ 1 บทนา ความหมายและความเปน็ มาของหม้อไอนา้ หมอ้ ไอนา้ เปน็ อุปกรณ์ทม่ี ีการใช้อย่างแพรห่ ลายและมีความสาคัญอย่างมากในกระบวนการทางาน และ การผลิตท้ังในอาคาร และโรงงานทตี่ ้องการใช้พลังงานความรอ้ น หมอ้ ไอน้าเป็นอุปกรณ์ทีใ่ ชพ้ ลังงานค่อนขา้ งสงู ซ่ึงหากสามารถใชง้ าน และควบคุมหม้อไอนา้ ให้ทางานไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสม กจ็ ะสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพการ ทางานของหม้อไอนา้ และลดการใช้พลังงานได้ ซ่ึงจะเป็นผลดอี ย่างยิง่ ตอ่ การใช้งานและอนรุ ักษ์พลงั งานในระบบ หม้อไอนา้ หม้อนา้ คอื ตวั ตน้ กาลังในโรงงานอุตสาหกรรม ประมาณกนั ว่าในประเทศไทยมีหมอ้ น้า ประมาณ 9,000 เคร่อื ง จาก 7,500 โรงงาน (ข้อมูลจากกรมโรงงาน อตุ สาหกรรม) อุบัตเิ หตทุ มี่ ักเกดิ ข้นึ คือ การระเบิด (มสี ถติ ิหม้อไอนา้ ระเบิดจานวน 46 ครั้ง ( พ.ศ. 2521 – ปจั จุบนั )) ซ่ึงสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชวี ติ และทรัพย์สนิ ของโรงงานและผู้อาศยั อย่ใู กล้เคียง ดังนั้น ความ ปลอดภยั ในการทางาน เกย่ี ว กบั หมอ้ นา้ จึงจาเปน็ อยา่ งย่ิงสาหรับผทู้ ่เี กย่ี วขอ้ ง ประวัติไอนา้ เมอ่ื กวา่ 2,000 ปมี าแล้ว ฮโี ร่ แห่งอเล็กซานเดรยี ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ทีท่ างานดว้ ยไอนา้ และตอ่ มาในชว่ ง เร่มิ ต้นแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ นวิ โคเมนได้นาไอนา้ มาใชป้ ระโยชน์และพัฒนาให้มคี วามปลอดภัยและ ประสิทธิภาพดขี ึ้นเปน็ ลาดับ โดยนกั ประดิษฐ์หลายทา่ น จนกระท่ังในชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 ไดม้ ีการผลติ หม้อนา้ แบบแพคเกจ ที่ไดจ้ ัดอปุ กรณ์ประกอบหม้อน้าให้ไว้อย่างครบถว้ นเพ่ือให้สะดวกตอ่ การตดิ ต้ังและเป็นที่นยิ มตราบ เท่าทกุ วนั นี้ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ให้สามารถตรวจวดั และวเิ คราะห์การทางานของหม้อไอน้าได้ 2. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจวธิ ีการอนรุ ักษ์พลังงานสาหรบั ระบบหม้อไอน้า ความหมายหม้อนา้ คาวา่ หมอ้ น้า, หม้อไอนา้ , หมอ้ สตีม, เตาหม้อน้า คอื เครื่องหรอื อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการผลิตไอน้าโดยการถ่ายเทความร้อน ซ่ึงได้จากการเผาไหม้ของเช้ือเพลิง ใหแ้ กน่ า้ ซึ่งอยู่ในภาชนะปิดมิดชดิ ให้ได้ไอน้าที่มี ความดนั และอณุ หภมู ิ ทต่ี อ้ งการ เพอ่ื นาไอนา้ ไปใช้ประโยชน์ เชน่ ขับเครอ่ื งกงั หันไอน้า (Steam Turbine)ขบั เครอ่ื งจักรไอน้า (Steam Engine) และยังนาเอาความร้อนจากไอนา้ มา ใชใ้ นหมอ้ หงุ ต้มอาหาร, หมอ้ อบแห้ง, หม้อต้มน้าออ้ ย, หม้อเคยี่ วน้าตาล เป็นต้น
41 ความหมายหม้อนา้ หม้อนา้ คือ อปุ กรณ์ทบี่ รรจนุ า้ อยูภ่ ายในและใส่เชอ้ื เพลงิ เขา้ ไปเพอื่ เผาไหม้ให้พลังงานความรอ้ น แล้ว ถา่ ยเทความร้อนใหน้ ้าในถัง จนกระทั่งได้ไอน้าทม่ี ีความดนั ตามทีต่ ้องการ จึงทาให้ต้องผลติ หม้อน้าเป็นภาชนะ ความดันเพ่ือให้ทนต่อความดันได้ พลงั งานจากไอนา้ ท่ีได้สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ทางดา้ นความร้อนและกาลงั งาน ในกิจการตา่ ง ๆ เชน่ การทาน้ารอ้ นในโรงแรมการรดี ผา้ อบผา้ ในโรงพยาบาล การผลิตไฟฟา้ ในโรงจกั รไฟฟ้า, การ ฆ่าเช้อื ในอตุ สาหกรรมอาหาร และการอบคอนกรีต เปน็ ต้น ความหมายหม้อนา้ ในท่ีน้ี หมายถึง เครื่องกาเนิดไอน้าชนิดภาชนะปิด ทาด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าซ่ึงได้รับการออกแบบและ สร้างไวอ้ ย่างแข็งแรงและถูกต้องตามหลักวศิ วกรรมภายในบรรจุด้วยน้าส่วนหน่ึง และอีกส่วนสาหรบั เก็บไอนา้ ซ่ึงไอ นา้ ดงั กลา่ วได้จากการถ่ายเทความรอ้ น จากการเผาไหมข้ องเชื้อเพลงิ จนกระทั่งกลายเป็นไอน้า ประโยชน์ของไอน้าทีไ่ ด้จากหม้อน้า • ใช้ฉุดเคร่ืองจกั รเครื่องจักรไอน้าหรือกังหนั ไอน้าโรงไฟฟา้ • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร • ใชใ้ นอุตสาหกรรมเคมี • ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ • ใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑก์ ารเกษตร • ใชใ้ นอุตสาหกรรมส่งิ ทอ • ใชใ้ นอุตสาหกรรมผลิตคอนกรีต • ใช้ในทางการแพทย์ • ฯลฯ
42 คาทีเ่ กี่ยวข้องกับหม้อนา้ ไอนา้ คือน้าท่รี ะเหยเมื่อไดร้ ับความร้อน มีสถานะเป็นกา๊ ซ โดยมกั จะผลิตจากหม้อน้า ไอน้าเป็นตวั นา พลังงานท่ีสะดวก มีอยู่ท่ัวไป ราคาถูก เพราะมาจากนา้ ซง่ึ สามารถควบคุมให้ใชง้ านได้ไม่ยาก ปลอดภยั และไม่เปน็ พษิ การผลติ ไอน้ามักจะใชพ้ ลงั งานจากการเผาไหมเ้ ช้ือเพลิง ต้องพยายามใหไ้ ด้ประสิทธภิ าพสูง และการใชไ้ อน้า ตอ้ งใช้อย่างคุ้มคา่ เพ่อื ใหเ้ กิดการประหยดั พลังงาน ไอน้าหรือสตมี (Steam) หมายถึงไอนา้ ท่ีได้จากการต้มนา้ ใหเ้ ดือดกลายเปน็ ไอ ไอนา้ ที่ไดจ้ ากการต้มนา้ ใน ภาชนะเปดิ จะมีอณุ หภูมิ 212 องศาฟาเรนไฮด์ (°F ) หรือ 100 องศาเซลเซยี ส ( °C ) หมายถงึ ไอน้าทีไ่ ดจ้ ากการต้มนา้ ให้เดือดกลายเป็นไอ ไอน้าทไี่ ดจ้ ากการต้มนา้ ใน ภาชนะปิด ไอนา้ ไม่มีทางออกกจ็ ะ เกดิ การอดั ตวั เป็นแรงดัน ซึ่งจะทาให้อณุ หภูมิของไอนา้ สูงขึ้นตามดว้ ย C/5 = (F-32)/9 เม่ือ C = อณุ หภมู ิองศาเซลเซียส (°C) F = อุณหภูมิองศาฟาเรนไฮด์ (°F) ไอดงหรอื ไอแหง้ หรือซูเปอร์ฮีตสตมี (Superheat Steam)
43 หมายถงึ ไอน้าที่ไม่มีนา้ ผสม ได้จากการนาไอน้าอิ่มตัวมาผา่ นความร้อนอกี คร้งั หนึ่ง ทาใหน้ า้ ท่ผี สมอย่ใู นไอ น้าอ่ิมตัวกลายเปน็ ไอหมด ไอทีไ่ ด้ เรยี กวา่ ไอดงหรอื ไอแห้ง ซึง่ จะมีอุณหภูมิสงู กวา่ เดิมแตค่ วามดนั เท่าเดมิ ความดนั (Pressure) หมายถงึ แรงท่ีกระทาต่อหน่ึงหน่วยพื้นท่ี ความดันในหม้อไอนา้ เนอ่ื งจากการอัดแน่นของไอนา้ เม่ือน้า ภายในหม้อไอนา้ ไดร้ ับความร้อนจะกลายเป็นไอแต่ไมส่ ามารถออกไปภายนอกจงึ เกดิ อดั แนน่ กลายเปน็ ความดัน ความดนั ท่ีอ่านได้จากเกจวดั ความดนั (Pressure Gauge) ปอนดต์ ่อตารางนวิ้ Psi กิโลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร Kg/cm² บาร์ Bar นิวตนั ต่อตารางเมตร N/m² ปาสคาล Pa บรรยากาศ กาลังการผลติ ไอน้า พิกดั หม้อไอน้า หมายถึง อัตราการผลิตไอน้าที่หม้อไอน้าสามารถผลิตได้ต่อหน่วยเวลาเป็นกิโลกรัมต่อชั่วโมง, ปอนด์ต่อ ชัว่ โมง หรอื ตนั ตอ่ ชวั่ โมง แต่การกาหนดพกิ ัดหม้อไอน้า ก็ข้ึนอยกู่ บั ชนดิ ของไอนา้ ที่ผลิตออกมา ถ้าเปน็ ไอน้าอ่ิมตัวก็ จะกาหนดเปน็ อัตราการผลิตไอนา้ ต่อหนว่ ยเวลา เช่น 1 ตันตอ่ ชวั่ โมง หมายถึง ปริมาณความรอ้ นท่สี ามารถทาให้น้า ขนาด 1 ตนั ท่ีอุณหภมู ิ 100 ºC กลายเปน็ ไอน้าท่ี 100 ºC หมดภายในเวลา 1 ชัว่ โมง “ขนาดหม้อไอนา้ ” หมายถงึ อตั ราการผลติ ไอนา้ ของหม้อไอนา้ คอื ปริมาณไอน้าทห่ี ม้อไอน้าน้นั สามารถผลิตได้ต่อ หน่ึงหน่วยเวลาถ้าให้ถูกต้องจะต้องมีการกาหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เพ่ิมเติม เพ่ือให้ผู้ผลิตทุกรายปฏิบัติเป็นแนวทาง เดียวกัน โดยเรียกวา่ “อัตราการผลิตไอน้าสมมูลย์” ซึ่งเป็นปริมาณไอน้าอ่ิมตัวแห้งในหน่วยกิโลกรัมที่ผลิตข้ึนได้ใน หน่งึ ชวั่ โมงทอี่ ณุ หภูมิ 100 ๐C หรืออกี วธิ ีหนึง่ แสดงเปน็ กาลังทมี่ ีอยู่ใน ไอน้าในหน่วย kW หรือ MW the power conversion formulas Kilowatt to boiler horsepower (kW to BHP): BHP = 0.101931042 × kW boiler horsepower to kilowatt (BHP to kW): kW = 9.81055407 × BHP
44 การเปรียบเทยี บระหวา่ งพกิ ัด ตัน/ช่ัวโมง กับ แรงม้าหม้อไอนา้ 1 ton/hr หม้อไอน้า = (1,000kgX2.2lb/kg)/34.5lb/Bhp = 63.9 Bhp คา่ ความร้อนท่หี ม้อไอน้าผลติ (kJ/hr) = mhfg (ทคี่ วามดนั บรรยากาศ) m = ขนาดหมอ้ ไอน้า (kg/hr.) hfg = Latent heat of water at atmospheric pressure (2,257 kJ/kg) แรงม้าหม้อไอนา้ (Boiler Horse Power : BHP) ตามมาตรฐาน ASME (American Society Of Mechanical Engineers) เป็นหน่วยวดั กาลังการผลติ ไอน้าของหม้อไอน้า คอื ปริมาณความรอ้ นทีท่ าให้น้าขนาด 34.5 ปอนด์ ที่ อณุ หภูมิ 212 ºF กลายเปน็ ไอนา้ ทอี่ ุณหภมู ิ 212 ºF หมดในเวลา 1 ชั่วโมง หรือ 1 แรงม้าหม้อไอน้าหรือ หม้อไอนา้ ทีส่ ามารถผลติ ไอน้าไดช้ ่วั โมงละ 34.5 ปอนด์ ก็เรยี กว่า หมอ้ ไอน้าขนาด 1 แรงมา้ หม้อน้า แรงมา้ หม้อไอน้า (Boiler Horsepower) 1 แรงมา้ หมอ้ ไอน้า คอื ปริมาณความร้อนท่ีทาใหน้ า้ 34.5 ปอนดท์ ่ี 212 0F ระเหยกลายเปน็ ไอน้าที่ 212 0F หมดภายใน 1 ช่ัวโมง 1 แรงม้าหม้อนา้ = 34.5 x hfg = 34.5 x 970.3 = 33,475.35 Btu/hr คา่ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ ณ 212 F เท่ากบั : hfg = 970.30 Btu/lb ประสิทธิภาพของหม้อนา้ ในการใชเ้ ชอื้ เพลิงทาให้นา้ เป็นไอน้า จะมีการสูญเสยี ความรอ้ นไปบางสว่ นดงั นน้ั ไอน้าจงึ ไมไ่ ดร้ บั ความร้อน จากเช้อื เพลงิ ทง้ั หมด วธิ ีการหน่ึงในการหาประสิทธภิ าพหม้อไอน้า คือการทาสมดุลความรอ้ นโดยมหี ลักการว่า พลงั งานเข้าเท่ากับพลงั งานออกแลว้ ทาการวดั คา่ พลงั งานเขา้ และพลงั งานออกต่าง ๆ โดยใชอ้ ุปกรณว์ ัด พลงั งานที่มกั จะเก่ยี วข้องกับหม้อไอน้าไดร้ ะบุไว้ดงั น้ี 1. พลังงานท่ีไดจ้ ากการสนั ดาปเช้อื เพลงิ 2. พลงั งานท่เี ป็นความร้อนสมั ผัสของเช้อื เพลิง 3. พลงั งานทเ่ี ป็นความร้อนสัมผสั ของอากาศทน่ี ามาใช้ในการสนั ดาป 4. พลงั งานจากน้า (ร้อน) ทปี่ ้อนเขา้
45 พลังงานออกจากหม้อไอนา้ ประกอบดว้ ย 1. พลังงานในไอน้า 2. พลงั งานในก๊าซท้ิงท่ีปลอ่ งควนั 3. พลงั งานทส่ี ญู เสียจากการแผร่ ังสีและการพาความรอ้ น 4. พลังงานท่สี ญู เสียจากการเผาไหม้ไมส่ มบูรณ์ จากคาจากัดความประสทิ ธิภาพว่า เปน็ อตั ราส่วนของพลงั งานออก ที่ได้ประโยชน์ต่อพลงั งานท่ใี ส่เข้าไป จะ เห็นว่าพลงั งานออกท่เี ปน็ ประโยชนค์ อื พลงั งานในไอนา้ เทา่ น้นั สามารถเขียนไดเ้ ป็น ประสิทธภิ าพ = (พลงั งานในไอนา้ / พลังงานท่ีเข้าทงั้ หมด) X 100% วิธีการนม้ี รี ายละเอยี ดและปริมาณทต่ี ้องวดั มาก ทาให้ไม่สะดวก ในเชิงปฏบิ ตั ิมีวธิ ที ส่ี ะดวกกว่า คือการวดั เปอร์เซ็นตส์ ูญเสียตามสูตร ประสทิ ธภิ าพ = 100 – เปอรเ์ ซ็นต์การสูญเสียพลังงาน เปอร์เซ็นต์การสูญเสยี พลงั งาน หาไดจ้ ากการวัดปรมิ าณออกซเิ จน หรือคารบ์ อนไดออกไซด์และอุณหภูมิ ของกา๊ ซทิ้ง แลว้ นาค่าไปคานวณหรือเปดิ ตารางทที่ าตัวเลขไว้แล้ว การรบั รู้ประสิทธภิ าพจะทาให้เราสามารถปรับปรงุ ใหด้ ีย่ิงข้ึนในบางคร้ัง ถ้าหากไม่มีอุปกรณว์ ดั เราสามารถ สังเกตสภาวะการสันดาปเช้ือเพลิง ได้ดว้ ยตาเปลา่ ซึ่งจะเป็นประโยชนใ์ นการหาข้อบกพรอ่ งต้ังแต่เนิน่ ๆ ทง้ั น้ีทาได้ โดยสังเกตุเปลวไฟ โดยมองจากช่องมองทม่ี อี ยู่ โดยท่วั ไปหม้อนา้ จะประกอบด้วยระบบตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. ระบบป้อนนา้ (Feed Water System) ประกอบด้วย ถังพักนา้ , ป๊มั ป้อนนา้ และเกจวัดน้า 2. ระบบเชอ้ื เพลิง (Fuel System) ประกอบด้วย ถงั น้ามัน ปั๊มนา้ มัน หวั เผา หรือหัวฉีด 3. ระบบลมช่วยเผาไหม้ (Draft System) ประกอบดว้ ย พัดลม ปลอ่ ง 4. ระบบวดั และควบคุม ประกอบด้วยอปุ กรณว์ ัดระดบั นา้ สวทิ ซ์ความดัน อุปกรณต์ รวจการติดไฟในห้อง เผาไหม้ อปุ กรณ์ตรวจวดั คา่ การนาไฟฟา้ ของนา้ 5. ระบบความปลอดภัย ประกอบดว้ ยอุปกรณ์ตา่ ง ๆในระบบวัดและควบคุมรวมท้ังเซฟตว้ี าล์ว
46 ส่วนประกอบหลกั ของหม้อน้า (Boilers) 1. เตาหรือห้องเผาไหม้ (Furnace) 2. ส่วนเกบ็ นา้ (Water Space) 3. ส่วนเกบ็ ไอ (Steam Space สว่ นประกอบหลักของหม้อนา้ (Boilers) 1. เตาหรอื หอ้ งเผาไหม้ (Furnace) 2. เปลอื กหม้อน้า 3. ผนงั หนา้ และผนังหลังหม้อนา้ 4. เหลก็ ยึดโยงหรือสเตย์ 5. ท่อไฟใหญ่หรือฟลู (Flue) 6. ท่อไฟเล็กหรือหลอดไฟเล็ก 7. สว่ นเกบ็ น้า (Water Space) 8. ส่วนเกบ็ ไอ (Steam Space) 9. ปลอ่ งไฟ 10. เครือ่ งวดั ระดับน้า 11. เกจวัดความดนั ไอน้า 12. ลน้ิ หรอื วาลว์ 1. เตาหรือห้องเผาไหม้ (Furnace) เตา ( furnace ) คือสว่ นท่ีร้อนทสี่ ดุ ทเ่ี ชอื้ เพลิงเผาไหม้ เพื่อระบายความร้อนท่ีเกิดจากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิง ใหก้ ับน้า ทาใหน้ า้ ร้อนข้ึน จนกลายเป็นไอนา้ นาไปใช้งานการเผาไหม้ของเชอื้ เพลงิ ในเตาจะเกิดความร้อนและมี อุณหภมู ถิ ึง 1,700 °C ซ่ึงนบั วา่ มีอุณหภูมิสงู มาก เตาหม้อน้าสว่ นใหญจ่ ึงกอ่ ดว้ ยอิฐทนไฟทีม่ ีความหนาพอและไม่รั่ว สว่ นหลังเตาหรือส่วนหนา้ เตาจะตอ่ กบั ปล่องควันหรอื ปล่องไอเสีย
47 เตาหม้อน้า แบ่งได้ตามลกั ษณะการสร้างและลกั ษณะของเช้ือเพลงิ ที่ใช้ออกเปน็ 4 ประเภท ดังนี้ 1. เตาตะแกรง 2. เตาผงถ่านหนิ 3. เตานา้ มัน 4. เตาก๊าซ เตาตะแกรง เป็นเตาชนดิ ทเ่ี ก่าแก่ท่ีสุด ใช้กับเชอื้ เพลงิ แขง็ เช่น หม้อน้ารถไฟ และหวั รถจกั รไอน้าทีใ่ ชอ้ ยใู่ นประเทศไทยใช้ฟืน และน้ามันเปน็ เชื้อเพลงิ แตป่ ัจจบุ นั ได้เลกิ ใช้ แลว้ หนั ไปใช้หัวรถจักรดเี ซลแทน หรอื เตาทใี่ ชเ้ ช้อื เพลงิ ถา่ นหนิ เป็น ต้น เตาตะแกรงสามารถแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1.1.1 เตาตะแกรงธรรมดา เป็นเตาทีเ่ กา่ แก่ทีส่ ุด สรา้ งงา่ ยทสี่ ดุ ใช้มอื คนป้อนเชื้อเพลงิ เข้าเตา เชน่ การโยนฟืน หรอื โกยถา่ นหนิ เข้าเตา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175