Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์

Published by oven, 2020-02-25 23:16:56

Description: วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

ระบบต่าง ๆ ของสัตว์ ครเู สกสรรค์ สุวรรณสุข ครู โรงเรยี นแกน่ นครวิทยาลยั

จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของระบบย่อย อาหาร ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบสบื พนั ธุข์ องสัตวบ์ างชนิด (มฐ. ว 1.1 ตัวชีว้ ดั ขอ้ 1) 2.อธบิ ายการทางานท่ีสัมพนั ธ์กันของระบบตา่ ง ๆ ท่ีทาให้ สตั วบ์ างชนิดดารงชีวติ ได้อยา่ งปกติ (มฐ. ว 1.1 ตวั ช้ีวดั ขอ้ 3)

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (ต่อ) 3. สารวจ วิเคราะห์และอธบิ ายพฤติกรรมบางอย่างของสัตวท์ ่ี ตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ บางชนิด 4. สบื คน้ ขอ้ มูลและนาเสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์และผล ของการใช้เทคโนโลยชี ีวภาพในด้านปรับปรุงพนั ธสุ์ ัตว์

Concept Map : ระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์ ระบบยอ่ ยอาหาร Digestive System การตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ระบบตา่ ง ๆ ระบบไหลเวียนเลอื ด ของสัตว์ ของสัตว์ Circulatory System ระบบสบื พนั ธุ์ ระบบหายใจ Reproductive System Respiratory System ระบบขบั ถา่ ย Excretory System

1. ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive System) ระบบทางเดินอาหารของสิ่งมชี ีวติ 1. ทางเดนิ อาหารทสี่ มบรู ณ์ (Complete digestion) : มีปากเปน็ ทางเขา้ ของอาหาร มที วารหนกั เปน็ ทางออกของอาหาร เช่น คน 2. ทางเดนิ อาหารท่ไี ม่สมบูรณ์ (Incomplete digestion) : มชี อ่ งทางเดินอาหารช่องเดียว ทาหน้าท่ีเปน็ ท้งั ปากและทวารหนัก เช่น ไฮดรา พลานาเรยี และพยาธิใบไม้

ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) ระบบย่อยอาหารของสตั ว์ชนิดตา่ ง ๆ แตกตา่ งกนั ตามประเภท ดงั น้ี 1.1 สตั ว์มีกระดกู สนั หลัง : มีระบบทางเดนิ อาหารสมบรู ณ์ ครบ 3 สว่ น คือ ส่วนต้น : ปาก หลอดอาหาร สว่ นกลาง : กระเพาะอาหาร ส่วนปลาย : ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ และทวารหนกั

ยอ่ ย มกี รวด เชิงกล เลก็ ๆ

การยอ่ ยอาหารของสัตวเ์ คี้ยวเอ้อื ง 2 13 กระเพาะAbomasum หลอดอาหาร * แบ่งเปน็ 3 สว่ น

ทางเดนิ อาหารวัว 4.Abomasum 3.Omasum 1.Rumen 2.Reticulum 9



ลาดบั เส้นทางเดินอาหาร mutualism 1 มกี ารยอ่ ยเซลลโู ลสโดยแบคทเี รยี ,โปรโตซวั - สังเคราะห์กรดอะมิโนจากยูเรีย แอมโมเนยี จาก การหมัก สงั เคราะหก์ รดไขมัน วิตามินบี12 ดดู ซึม อาหาร 5มีน้าย่อยของววั เองมาย่อยและย่อย แบคทีเรยี กับโปรตัวซวั

ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive System) 1.2 สัตวไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลงั : - ช่องทางเดนิ อาหารที่สมบูรณ์ครบ 3 สว่ น คือ ส่วนต้น ได้แก่ ปาก คอหอย หลอดอาหาร และ กระเพาะพกั อาหาร สว่ นกลาง ไดแ้ ก่ กระเพาะอาหาร ส่วนปลาย ได้แก่ ลาไส้ และทวารหนัก

มที างเดนิ อาหารแบบสมบรู ณ์

หลอด ลา้ ตวั สว่ นต้น ส่วนกลาง ส่วนท้าย ไส้ อาหาร ตรง ทวาร กระเพาะ พกั อาหาร ต่อมสรา้ ง นา้ ย่อย

ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) - ชอ่ งทางเดนิ อาหารไม่สมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ ไฮดรา แมงกะพรุน และพลานาเรยี Phylum Cnidaria Hydra Jelly fish Sea anemone coral

หนวด ปาก 1 อาหาร Gastrovascular Phagocytosis ทางเดนิ อาหารแบบไม่สมบรู ณ์

การย่อยของพารามีเซยี ม วิธี Pinocytosis สารอาหารกระจาย การน้าอาหารเข้าสู่เซลล์ ย่อย ขบั กากออก

2. ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System) 1.สตั วท์ ่มี กี ระดูกสันหลัง ทั้งสตั ว์บกและสตั ว์น้าจะมี ไต (kidney) เป็นอวัยวะกาจดั ของเสีย

www.vcharkarn.com/vcafe/82734/1

การรกั ษาสมดุลร่างกาย (Homeostasis) การรกั ษาสมดุลของเหลวในรา่ งกายของสตั ว์นา้ จดื และสัตวน์ ้าเคม็ H2O (osmosis) Hypertonic น้าเขม้ ขน้ มากกวา่ ของเหลวในปลา Hypotonic น้าเข้มข้นนอ้ ยกวา่ ของเหลวในปลา น้าเค็ม น้าจดื การปรบั ตวั ตัว ดมื่ น้าน้อย เหงือกดูดเกลือแร่ ด่มื น้ามาก เหงอื กกา้ จัดแร่ธาตุส่วนเกนิ ออก (active transport) ปสั สาวะนอ้ ยเขม้ ข้น ปสั สาวะบ่อยเจอื จาง

ระบบขบั ถ่าย (Excretory System) 2.สตั วท์ ไี่ มม่ กี ระดูกสนั หลัง สัตว์บางชนิดก็มีอวัยวะขบั ถา่ ยและบางชนดิ กไ็ มม่ อี วัยวะขับถา่ ย

ไมม่ อี วยั วะในการขบั ถ่ายของเสยี 2.1 Cell membrane พบในสง่ิ มชี วี ติ หลายเซลล์ เช่น ฟองน้าแมงกะพรุน และกลมุ่ ไฮดรา เป็นตน้

ระบบขบั ถ่าย (Excretory System) 2.2 Flame cell พบในสงิ่ มีชีวติ พวกหนอนตัวแบน เช่น พลานาเรีย ทางผวิ หนังอยู่ 2 ข้างลา้ ตวั ท่อขบั ถ่าย Flame cell พลานาเรีย

ระบบขับถา่ ย (Excretory System) 2.3 Nephridium พบในส่งิ มีชีวิตหนอนตัวกลม เชน่ ไสเ้ ดอื นดนิ ป้องละ 1 คูเ่ น่อื งจากมีโครงสร้างรา่ งกายทซ่ี บั ซอ้ น มากยง่ิ ข้ึน หลกั การท้างานคลา้ ยไต Nephriopore Nephriostome

ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System) 2.4 Malpighian tubule พบในสิ่งมีชวี ิตเช่น แมลง ทอ่ มัลพิเกยี ล ทวารหนัก

3. ระบบไหลเวยี นเลือด (Circulatory System) คลา้ ยกบั มนุษย์ คือ มีหวั ใจทาหนา้ ทีส่ ูบฉีดเลอื ดและลาเลยี งสารอาหาร ไปสู่เซลล์ แบ่งได้ 2 ชนดิ 1. การไหลเวยี นเลือดแบบปดิ (closed circulatory system) ระบบน้เี ลอื ดจะไหลอยภู่ ายในหลอดเลือดตลอดเวลา โดยเลือดจะไหล ออกจาหวั ใจไปตามหลอดเลอื ดชนดิ ต่าง ๆ แล้วไหลกลับเข้าสู่หัวใจใหม่ เชน่ นีเ้ ร่อื ยไป พบในสตั วจ์ าพวกหนอนตัวกลมมปี ลอ้ ง เชน่ ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจดื และสตั วม์ กี ระดูกสันหลงั ทกุ ชนิด

3. ระบบไหลเวยี นเลอื ด (Circulatory System) 1. การไหลเวยี นเลือดแบบปดิ (closed circulatory system)

3. ระบบไหลเวยี นเลอื ด (Circulatory System) 2. การไหลเวียนเลือดแบบเปิด (Open Circulation System) ระบบนเ้ี ลือดทีไ่ หลออกจากหัวใจจะไม่อยูใ่ นหลอดเลอื ดตลอดเวลา เหมือนวงจรปิด โดยจะมเี ลือดไหลเข้าไปในช่องว่างลาตัวและที่วา่ งระ หวา่ อวัยวะต่าง ๆ พบในสัตวจ์ าพวกแมลง กุ้ง ปู และหอย

3. ระบบไหลเวยี นเลอื ด (Circulatory System) 2. การไหลเวยี นเลือดแบบเปดิ (Open Circulation System)

4. ระบบหายใจ (Respiratory System) การหายใจ (Respiration) สัตวต์ า่ ง ๆ จะแลกเปล่ียนกา๊ ซกับสง่ิ แวดลอ้ มโดยกระบวนการแพร่ (Diffusion) โดยสตั วแ์ ต่ละชนิดจะมโี ครงสรา้ งที่ใชใ้ นการแลกเปลี่ยน กา๊ ซที่เหมาะสมกบั การดารงชีวิตและส่งิ แวดลอ้ มต่างกนั

4. ระบบหายใจ (Respiratory System) ชนิดของสัตว์ โครงสรา้ งทีใ่ ชใ้ นการแลกเปล่ียนก๊าซ 1. สัตวช์ ัน้ ต่า เช่น - ไมม่ ีอวยั วะในการหายใจโดยเฉพาะ การ ไฮดรา แมงกะพรนุ แลกเปลี่ยนก๊าซใช้เยือ่ หุม้ เซลลห์ รอื ผวิ หนงั ทช่ี มุ่ ช้ืน ฟองนา้ พลานาเรยี 2. สัตว์นา้ ชนั้ สูง เชน่ - มีเหงือก (Gill) ซ่ึงมคี วามแตกตา่ งกันในดา้ นความ ปลา ก้งุ ปู หมึก หอย ซับซอ้ น แตท่ าหน้าทีเ่ ชน่ เดียวกนั (ยกเวน้ สตั ว์คร่งึ ดาวทะเล บกคร่งึ น้ำในช่วงที่เป็นลูกออ๊ ดซ่ึงอำศัยอยู่ในน้ำ จะ หำยใจด้วยเหงือก ตอ่ มำเม่อื โตเป็นตัวเตม็ วยั อยบู่ น บก จงึ จะหำยใจดว้ ยปอด)

3. ชนิดของสตั ว์ (R- มeผี sวิ pหนirงั aโทคtี่เรปoงียสrกyรชา้ ืน้งSทแyใ่ี ลชsะใ้ มนteรีกะาmบรแบ)ลหกมเปุนลเว่ยี ียนนกเา๊ลซือดเร่ง 4ส.ตั วรบ์ ะกบชบ้ันตหา่ าเชยน่ ใจ ไสเ้ ดือนดนิ อัตราการแลกเปลี่ยนก๊าซ 4. สัตวบ์ กชน้ั สูง มี 3 ประเภท คือ 4.1 แมงมมุ - มีแผงปอดหรอื ลงั บก (Lung Book) มลี ักษณะเปน็ เส้น ๆ ยื่นออกมานอกผวิ ร่างกาย ทาให้สญู เสยี ความชน้ื ได้งา่ ย 4.2 แมลงตา่ ง ๆ - มที ่อลม (Trachea) เป็นทอ่ ทีต่ ิดต่อกับภายนอกรา่ งกาย ทางรหู ายใจ และแตกแขนงแทรกไปยงั ทุกส่วนของ ร่างกาย 4.3 สัตว์มีกระดูกสันหลงั - มปี อด (Lung) มลี ักษณะเป็นถงุ และมคี วามสมั พันธก์ ับ ระบบหมนุ เวยี นเลือด

5. ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System) การสืบพนั ธข์ุ องสัตว์แบง่ ออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ 1. การสืบพนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ (Sexual reproduction) เป็นการสืบพันธ์ุท่ีตอ้ งมีการผสมกันระหวา่ งเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศผู้ (sperm) กับเซลล์สบื พันธ์ุเพศเมยี (egg) 2. การสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) เปน็ การสืบพันธุ์ทไี่ ม่ตอ้ งมกี ารรวมกันของเซลล์สืบพันธ์ุ

การสืบพันธุ์ หมายถึง กระบวนการในการผลิตเพ่อื เพ่ิม จานวนหรือใหก้ าเนดิ สิง่ มชี ีวติ ใหมท่ ีเ่ หมือนตนเองหรอื บรรพบุรุษ ชนิดของการสบื พันธ์ุ การสบื พนั ธุข์ องส่ิงมีชีวติ แบง่ ออกเปน็ 2 แบบ คอื 1. การสืบพันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) 2. การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศ (sexual reproduction) 1. การสบื พันธ์แุ บบไมอ่ าศยั เพศ (Asexual reproduction) การสืบพนั ธุ์แบบน้ีเปน็ กระบวนการทีท่ าใหเ้ กิดส่งิ มชี วี ติ ใหม่ จาก สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของส่ิงมชี ีวิต โดยไม่เก่ยี วข้องกบั เซลล์สืบพันธ์ุ ไดแ้ ก่

1. การแบง่ แยก (FISSION) เป็นการสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศของส่ิงมีชวี ติ เซลล์เดียว เชน่ โพรโทซัว แบคทีเรีย ยสี ต์ และสาหรา่ ย ระหว่างทม่ี ีการ แบง่ แยกจะมีการแบ่งสารพนั ธุกรรมดว้ ย แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.1 แบ่งแยกเปน็ สอง (BINARY FISSION) จากหน่ึงเซลลแ์ บง่ ได้ เปน็ 2 เซลล์ และ 4 เซลลต์ ่อไปเรอ่ื ยๆ ได้แก่ พารามีเซยี ม 1.2 การแบ่งแยกทวคี ณู (MULTIPLE FISSION) นิวเคลียส จะมี การแบ่งแบบไมโตซสี หลายครง้ั ไดน้ วิ เคลยี สหลายอัน แล้วจงึ แบ่งไซโตพลา ซึมได้เป็นหลายเซลล์จะเกดิ ในพวกสัตว์ไมม่ กี ระดกู สันหลงั เช่น ในเช้อื มาเลเรียบางระยะและในอะมีบาบางชนดิ ในระยะเปน็ ตวั หนอนของฟองนา้ และปลาดาวบางชนิด

การสบื พันธ์แุ บบไบนารฟี ิชชนั (binary fission) (a-b) ภาพแสดงการแบ่งตวั ตามยาว (c-d) ภาพแสดงการแบ่งตวั ตามขวาง (Miller and Harley, 2002) http://web.nkc.kku.ac.th/118214/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=8

Asexual reproduction by multiple fission in Amphistegina http://www.marine.usf.edu/reefslab/pages/photoalbum.html การแบง่ ตวั แบบทวคี ูณพบในพวกสปอโรซวั http://web.nkc.kku.ac.th/118214/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=8

2. การแตกหน่อ (BUDDING) หน่อเดมิ จะแบ่งเซลล์ได้หนอ่ ใหม่ (BUD) แตต่ ิดกบั หน่อเดมิ รปู ร่างเหมอื นหน่อเดิม แตข่ นาดเล็กกว่า พบในพืชเซลลเ์ ดยี ว เชน่ ยีสต์ ในพชื หลายเซลล์ เชน่ มาร์เเชนเทยี (MARCHANTIA) ซ่งึ เป็นพืชชน้ั ตา่ พวกตะไครช่ นิดหนึง่ (หรอื เรยี กลิ เวอร์เวธิ ) และตน้ ตีนต๊กุ แก ตน้ ตายใบเป็น ส่วนในสัตว์หลายเซลล์ ได้แก่ ไฮดรา ไฮดรา ซัคทอเรยี มาร์แชนเทยี การแตกหนอ่ (budding)

3. การหกั (FRAGMENTATION) การสบื พนั ธ์ุแบบน้ชี ้ินสว่ นของพอ่ แมจ่ ะ แยกออก แลว้ เจรญิ เป็นส่ิงมชี ีวิตใหม่ ได้แก่ ฟองน้า ดอกไมท้ ะเล

4. การสร้างใหม่ (REGENERATION) คลา้ ยการหัก แตต่ า่ งกนั ตรงที่การ สร้างใหมเ่ ปน็ การเจรญิ เพ่ือซ่อมแซมสว่ นทีข่ าดหายไป เชน่ ในชิ้นสว่ นของพืช เกือบทุกชนิด ในไสเ้ ดอื นดิน ฟองนา้ ไฮดรา และปลาดาว พลานาเรีย ซึ่งเป็น หนอนตวั แบนชนิดหนึง่ เมอ่ื ถกู ตัดออกเปน็ ท่อนๆ แต่ละทอ่ นจะเจรญิ เปน็ ตวั ท่ี สมบูรณ์ได้

5. การสรา้ งสปอร์ สปอรม์ ีผนงั หนา ทนทานตอ่ ส่งิ แวดล้อมท่ไี ม่ เหมาะสม และมีขนาดเลก็ เชน่ พวกเหด็ ราบางชนดิ สปอรเ์ ก่ียวขอ้ ง กับการสบื พนั ธแุ์ บบไมม่ เี พศ และแบบมีเพศในพชื พวกเมทาไฟตา มี การสรา้ งสปอร์ซง่ึ เป็นช่วงหนง่ึ ของการสืบพนั ธ์แุ บบสลบั ด้วย

2. การสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศตอ้ งอาศัยเซลลส์ บื พันธ์ุ ซ่งึ ตอ้ งมีการปฏสิ นธิ จงึ จะเจริญ เปน็ ส่งิ มีชีวติ ใหมไ่ ด้ 1. ชนดิ ของเซลล์สบื พนั ธ์ุ แบ่งได้ 3 แบบ ดงั น้ี 1. เหมอื นกันทั้งรูปร่างและขนาด คอื เซลล์สืบพนั ธท์ุ ม่ี ขี นาดและลักษณะ เหมอื นกนั ทกุ อยา่ ง แยกไมอ่ อกวา่ เป็นเพศผูห้ รอื เพศเมยี เรยี กวา่ ไอโซแกมตี (ISOGAMETE) เช่น ในสิง่ มชี วี ติ เซลล์เดยี ว และในสาหร่ายคลาไมโดโมแนส (Chlamydomonas) การปฏิสนธขิ องไอโซกามตี เรียกว่า ไอโซแกมี (ISOGAMY) 2. รปู รา่ งเหมอื นกนั แต่ขนาดตา่ งกัน เซลลส์ บื พันธุ์แบบนี้เรยี ก เอนิโซกามีต (ANISOGAMETE) การปฏสิ นธิของ เอนิโซกามตี เรยี ก เอนิโซแกมี (ANISOGAMY) เช่น ในสาหร่ายสเี ขยี วแพนดอไรนา (Pandorina) และยดู อรนิ า (Eudorina) 3. ต่างกันทั้งรูปร่างละขนาด เซลล์สบื พนั ธแ์ุ บบน้ี เรยี ก โอโอแกมี (OOGAMY) พบทั่วไปท้ังในพชื และสตั ว์ การสบื พันธ์แุ บบมเี พศท้ัง 3 แบบ พบในสิง่ มชี ีวติ ตา่ งกนั แบบที่1 และแบบท่ี 2 พบได้ ในพวกโพรทสิ ต์ สว่ นแบบท่ี 3 พบทั้งในพชื พวกเมทาไพตา และสัตวพ์ วกเมทาซวั

ชนดิ ของเซลล์สบื พนั ธุ์ และการรวมกนั ของเซลล์สืบพันธ์ุ; (A) แบบ Isogamete (B) แบบ Anisogamete (C) แบบOogamete http://web.nkc.kku.ac.th/118214/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=8

2. รปู แบบของการสืบพนั ธ์แุ บบอาศัยเพศ 1. รูปแบบของการสบื พนั ธ์ใุ นส่ิงมีชวี ติ ทีม่ โี ครโมโซมเป็นแฮพลอยด์ พบในสิง่ มชี ีวิตพวกโพรทิส สรา้ งเซลล์สบื พนั ธุ์ที่เปน็ แฮพลอยด์(แบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ ) เกดิ การ รวมตวั ของเซลล์สบื พันธุ์ ได้ไซโกตท่เี ป็นดิพลอยด์ ไซโกต จะแบง่ แบบไมโอซิสได้สปอร์ท่เี ป็นแฮพลอยด์ เจริญเปน็ สง่ิ มีชวี ติ ที่มี โครโมโซมเปน็ แฮพลอยด์ 2. รปู แบบของการสืบพันธใุ์ นสิ่งมีชวี ิตท่ีมีโครโมโซมเป็นดิพลอยด์ พบในคน สัตว์ พืชบางชนิด เห็ดราบางชนดิ และโพรโทซัว โครโมโซมเปน็ ดพิ ลอยด์ สร้างเซลลส์ บื พันธุแ์ บบแฮพลอยด์(ไมโอซิส) รวมตัวของเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ได้ไซโกตเป็นดิพลอยด์ ไซโกต จะแบ่งแบบไมโทซสิ เพม่ิ จานวนเซลลเ์ จริญเป็นส่ิงมีชีวติ ใหมเ่ ป็นดิพลอยด์

การสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์ุในพืช 1. ขบวนการสร้างละอองเรณู (Microsporogenesis) การสรา้ งละอองเรณู เร่ิมจากเซลลใ์ นอับเรณู (anther) ที่เรยี กกนั วา่ pollen mother cell หรอื microspore mother cell ซ่ึงมีโครโมโซม 2 ชดุ หรอื 2n จะแบง่ ตัว แบบไมโอซสิ I และไมโอซิส II ได้ละอองเรณู 4 เซลล์ แต่ละเซลลจ์ ะมีโครโมโซมเพยี งชดุ เดียว หรือ n ภายในละอองเรณูแตล่ ะเซลล์ ซงึ่ มนี ิวเคลียส 1 อัน (n) นิวเคลียสจะแบ่งตวั แบบ ไมโตซสิ 1 ครง้ั ไดน้ วิ เคลยี ส 2 อัน คือ generative nucleus (n) และ tube nucleus (n)

2. ขบวนการสร้างไข่ (Megasporogenesis) การสรา้ งไขห่ รือ ovum เริม่ ต้น จากเซลลใ์ นรงั ไขท่ ีเ่ รียกว่า megaspore mother cell ซ่งึ มีโครโมโซม 2n แบง่ ตวั แบบไมโอซสิ ไดเ้ ซลล์ 4 เซลล์ แต่ละเซลลม์ โี ครโมโซมในสภาพ haploid หรอื n แต่ 3 เซลล์จะสลายตวั ไปเหลือเพยี ง 1 เซลล์ พัฒนามา เป็น megaspore นวิ เคลียสของ megaspore จะแบง่ ตวั แบบไมโตซิส 3 ครง้ั ไดน้ วิ เคลียสทั้งหมด 8 อัน และมีการจดั เรียงตัวกนั เป็นชดุ 3 ชุดคอื ชุดที่ 1 เรียกว่า antipodal nuclei (มนี ิวเคลยี ส 3 อัน) จะอยทู่ ่ขี ั้วหน่ึงของ เซลล์ ชดุ ที่ 2 เรยี กว่า poler nuclei (มีนิวเคลยี ส 2 อัน) จะอยตู่ รงกลาง เซลล์ และชดุ ที่ 3 มนี ิวเคลียส 3 อัน จะอยดู่ า้ นล่างของเซลล์ทีม่ ี Micropyle นิวเคลียสชุดนีจ้ ะมี egg nucleus อย่กู ลางขนาบขา้ งด้วย synergid nuclei

http://dragon.seowon.ac.kr/~bioedu/bio/ch22.htm

3. การปฏสิ นธิในพชื (Fertilization in Plants) - ละอองเรณปู ลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมยี (stigma) เรียกว่า ขบวนการถา่ ยละอองเกสร (pollination) - ละอองเรณูจะงอก pollen tube ลงไปตามกา้ นชูเกสรตวั เมยี (style) จนถงึ embryo sac - นวิ เคลียสของ ละอองเรณซู ง่ึ อยู่ในสภาพ haploid จะแบง่ ตัวแบบไมโตซสิ 1 คร้งั ได้ tube nucleus และ generative nucleus - generative nucleus จะแบ่งตัวแบบไมโตซสิ อีกครั้งหนึ่งได้ sperm nucleus 2 อนั - sperm nucleus หน่ึงอนั จะเขา้ ไปผสมกับ egg nucleus ได้ zygote หรือ embryo (2n) - sperm nucleus อกี อันหน่ึงจะเขา้ ผสมกับ 2 polar nuclei กลายเป็นเอนโดสเปอร์ม (endosperm) ซงึ่ มโี ครโมโซม 3 ชดุ หรอื 3n - ดงั นนั้ พชื จะมขี บวนการปฏิสนธเิ กดิ ขึน้ 2 ครง้ั จึงเรียกการปฏิสนธแิ บบนี้ว่า การปฏิสนธิ ซอ้ นหรือ double fertilization

http://dragon.seowon.ac.kr/~bioedu/bio/ch22.htm

http://dragon.seowon.ac.kr/~bioedu/bio/ch22.htm


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook