Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะผู้นำ

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะผู้นำ

Published by chujaja, 2018-06-13 00:37:30

Description: บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะผู้นำ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน บทท่ี1: ความรู้เบอื้ งต้นเก่ียวกับผู้นา

1Source: http://api.ning.com/files/xkXs9Df6cn7yzUvbeeKC3c-9hlh.../file.doc ความรู้เบื้องต้นเกยี่ วกบั ผู้นาความหมายของผู้นา นกั บริหาร (Administrator) กบั ผนู้ า (Leader) ถา้ วเิ คราะห์แลว้ จะมีความแตกตา่ ง กนัอยบู่ า้ ง กล่าวคือ นกั บริหารมกั จะเป็นบุคคลที่มีตาแหน่งเป็ นทางการ ไม่วา่ จะเป็ น ผไู้ ดร้ ับแตง่ ต้งัหรือเลือกต้งั ข้ึนมาใหเ้ ป็น ถา้ นกั บริหารท่ีไดร้ ับการคดั เลือก แตง่ ต้งั หรือเลือกต้งั อยา่ งมีเกณฑ์ และอยใู่ นระบบคุณธรรมแลว้ กจ็ ะมีคุณสมบตั ิของผนู้ ามาเป็นเกณฑว์ ดั อยดู่ ว้ ยเสมอ แต่ในสภาพปัจจุบนั ของประเทศเรา ที่ยงั มี ระบบเส้นสายครอบครัว และพรรคพวก ซ่ึงมีอิทธิพลในการเลือกต้งัหรือคดั เลือก แฝงอยู่ เราจึงไดน้ กั บริหารที่เป็ นเสมือนหน่ึง “หวั หนา้ งาน” (Headship) ไม่ใช่ผนู้ า(Leadership) ในการบริหารงานปะปนอยบู่ า้ ง ส่วน “ผนู้ า” จะเป็นผทู้ ี่มีอิทธิพล เหมือนคนอื่น ๆ ในการปฏิบตั ิงานในทางที่ดี โดยมีกลุ่มช่วยกนั กาหนดวตั ถุประสงค์ ของหน่วยงานข้ึน “ผนู้ า”อาจเป็นบุคคลท่ีอยใู่ นตาแหน่งบริหารหรือไม่มี ตาแหน่ง กไ็ ด้ แต่เป็นคนที่สามารถจูงใจใหค้ นร่วมมือปฏิบตั ิงาน มีศรัทธาและเช่ือถือใน ความสามารถ ดงั น้นั นกั บริหารและผนู้ าอาจจะเป็ นคนคนเดียวกนั กไ็ ด้ หรือจะเป็นคนละคนก็ได้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม นกั บริหารท่ีดีมกั จะมีคุณสมบตั ิ และลกั ษณะของผนู้ าอยดู่ ว้ ยเสมอ คาวา่ “ผนู้ า” ไดม้ ีผอู้ ธิบายใหค้ วามหมายไวม้ ากมาย แต่เมื่อประมวลดูแลว้จะพบวา่ มีความคลา้ ยคลึงใกลเ้ คียงกนั ท้งั สิ้น ซ่ึงพอจะสรุปไดว้ า่ ผนู้ า หมายถึง บุคคลใดก็ตามที่ไดร้ ับการยอมรับจากกลุ่มหรือสงั คมในลกั ษณะใด ลกั ษณะหน่ึง ใหเ้ ป็นผนู้ ากลุ่มไปสู่เป้าหมายหรือความตอ้ งการของกลุ่ม การยอมรับจากกลุ่มหรือสงั คมท่ีมีตอ่ ผนู้ าน้นั อาจเกิดข้ึนไดใ้ นลกั ษณะต่าง ๆ กนัดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การยอมรับในลกั ษณะที่เป็นการสืบทอด เช่นการไดร้ ับตาแหน่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือผทู้ ี่เป็ นที่เคารพนบั ถือของกลุ่มหรือสังคมน้นั มาก่อน เรียกผนู้ าที่ไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะน้ีวา่ “ผนู้ าตกทอด” (Hereditary Leader) 2. การยอมรับในลกั ษณะท่ีเป็นทางการ เช่น การไดร้ ับการแต่งต้งั หรือไดร้ ับการเลือกต้งัอยา่ งเป็นทางการ เนื่องจากมีคุณสมบตั ิเหมาะสมท่ีจะเป็นผนู้ า เรียกผนู้ าท่ีไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะน้ีวา่ “ผนู้ าอยา่ งเป็ นทางการ” (Legal Leader) 3. การยอมรับในลกั ษณะที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น การที่สมาชิกกลุ่มยอมรับสภาพการเป็นผนู้ าของบุคคล ใดบุคคลหน่ึงใหเ้ ป็นผนู้ ากลุ่มไปสู่ เป้าหมายอยา่ ง ไมเ่ ป็นทางการ และผนู้ า

2กป็ ฏิบตั ิไปตามธรรมชาติ ไม่ไดม้ ีการ ตกลงกนั แต่ ประการใด เรียกผนู้ าที่ไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะน้ีวา่ “ผนู้ าตามธรรมชาติ” (Natural Leader) 4. การยอมรับในลกั ษณะท่ีเป็นเพราะความศรัทธา ท้งั น้ีเน่ืองจากมีความเคารพ เช่ือถือเพราะบุคคลน้นั มี คุณสมบตั ิพิเศษท่ีเป็นท่ียอมรับของกลุ่ม เรียกผนู้ าท่ีไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะน้ีวา่ “ผนู้ าลกั ษณะพิเศษ” หรือ “ผนู้ าโดยอานาจบารมี” (CharismaticLeader) 5. การยอมรับในลกั ษณะที่เป็นเพราะบุคคลน้นั อยใู่ นตาแหน่งหรือฐานะ อนั เป็นท่ีเคารพยกยอ่ ง ของคนท้งั หลาย เรียกผนู้ าท่ีไดร้ ับการยอมรับในลกั ษณะน้ีวา่ “ผนู้ าสัญลกั ษณ์” (SymbolicLeader)คุณสมบัตขิ องผู้นา ผนู้ าที่ไดร้ ับการยอมรับจากกลุ่มจะสามารถทาหนา้ ที่ผนู้ าไดด้ ีเพยี งใดน้นั ข้ึนอยกู่ บัคุณสมบตั ิของผนู้ าวา่ เหมาะสมกบั กรณีเพยี งใด แต่โดยทว่ั ไปแลว้ เมื่อกล่าวถึงผนู้ าคนทวั่ ไปจะคิดถึงวา่ ตอ้ งมีคุณสมบตั ิที่เหมาะสม กบั การเป็นผนู้ าที่ดี ซ่ึงมีผกู้ ล่าวไว้ เช่น ออร์ดเวย์ ทีด (OrdwayTead อา้ งถึงใน สุทศั นา มุขประภาต, 2545) กล่าววา่ ผนู้ าที่ดีควรมีคุณสมบตั ิดงั ต่อไปน้ี 1. มีความเขม้ แขง็ ท้งั ร่างกายและจิตใจ 2. มีความเขา้ ใจในวตั ถุประสงคแ์ ละความมุ่งหมายของงาน 3. มีความเขา้ ใจในดา้ นมนุษยสัมพนั ธ์ 4. มีความกระตือรือร้น 5. มีความสามารถในการตดั สินใจและตกลงใจ 6. มีความฉลาด 7. มีความเช่ือมนั่ ในตนเอง นอกจากน้นั คุณสมบตั ิของผูน้ าท่ีดียงั มีอีกหลายประการ ไดแ้ ก่ ผนู้ าท่ีดีควรเป็นผมู้ ีความรู้ ความคิดริเร่ิม ความกลา้ หาญ ความเดด็ ขาด ความแนบเนียน ความยตุ ิธรรม มีลกั ษณะท่าทางท่ีดี มีความอดทน มีความกระตือรือร้น ไม่เห็นแก่ตวั มีดุลพนิ ิจท่ีดี มีความสงบเสง่ียม มีความเห็นอกเห็นใจ มีความซ่ือสัตยต์ ่อหนา้ ท่ี มีสงั คมดีและสามารถควบคุมตนเองได้ จะเห็นไดว้ า่ ผนู้ าที่ดีน้นั จาเป็นตอ้ งมีคุณสมบตั ิท่ีดีมากมายหลายประการซ่ึงยากที่จะหาไดค้ รบถว้ นในบุคคล คนเดียว แต่อยา่ งไรก็ตาม มีบุคคลจานวนหน่ึงมีคุณสมบตั ิดงั กล่าวในตวั เองตามธรรมชาติ ไมต่ อ้ งไดร้ ับการฝึกฝน เป็นพเิ ศษ ซ่ึงถือวา่ ผนู้ าแบบน้ีเป็นผนู้ าท่ีดีตามธรรมชาติ บางทีเรียกวา่ เป็นผนู้ าโดยกาเนิด แตก่ ็มีจานวนนอ้ ยมาก ไม่เพยี งพอต่อความตอ้ งการของกลุ่มหรือสงั คม จึงตอ้ งมีการฝึกฝนเพื่อใหเ้ กิดผูน้ าที่มีคุณสมบตั ิดงั กล่าวข้ึนมา นบั วา่ โชคดีท่ีเรื่องคุณสมบตั ิของการเป็ นผูน้ าที่ดีน้นั เป็นเรื่องของทกั ษะที่สามารถฝึกฝนพฒั นาให้เกิดมีข้ึนไดใ้ นตวั บุคคล ดงั น้นั ไม่วา่ ใครกต็ ามท่ีมีความตอ้ งการจะพฒั นาตนเองใหม้ ีคุณลกั ษณะของการเป็นผนู้ า

3ที่ดี กย็ อ่ มจะสามารถทาได้ ดว้ ยการฝึกฝนใหเ้ กิดข้ึน ผนู้ าที่มีหนา้ ที่ในการเป็นผนู้ ากลุ่มเพอื่ ให้บรรลุเป้าหมายผนู้ าประเภทน้ีจึงควรมีคุณสมบตั ิดงั น้ี 1. เป็นผทู้ ี่มีความอดทนและมีชีวติ ชีวา ซ่ึงยอ่ มหมายถึงตอ้ งมีสุขภาพอนามยั ดีท้งั ดา้ นร่างกายและจิตใจ มีอารมณ์ แจม่ ใสร่าเริง มีใบหนา้ ยมิ้ แยม้ แจม่ ใสร่าเริง มีอารมณ์ขนั ที่พอเหมาะพอดี มีความคล่องตวั กระฉบั กระเฉง มีความ อดทนต่อความยากลาบากในการประกอบการงาน ไม่ทอดทิ้งงาน มีความอดทนอดกล้นั สงบเสง่ียมต่อปฏิกิริยา ของสมาชิกในกลุ่ม ควบคุมอารมณ์ได้อยา่ งดี มีการผอ่ นคลายความตึงเครียดของอารมณ์ 2. เป็นผทู้ ี่มีความสามารถในการตดั สินใจและแกป้ ัญหา ในการท่ีจะเป็นผมู้ ีความสามารถในการตดั สินใจและ แกป้ ัญหาต่าง ๆ ไดน้ ้นั ผนู้ าก็จะตอ้ งมีคุณลกั ษณะอ่ืนประกอบดว้ ย เช่น มีความรู้ ประสบการณ์ มีขอ้ มูลท่ีทนั สมยั และแมน่ ตรง มีทกั ษะและมีสมรรถภาพจึงจะสามารถตดั สินใจแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ได้ นอกจากน้ี ตอ้ งมีความมน่ั ใจประกอบดว้ ยความเด็ดขาดฉบั พลนั แต่รอบคอบ 3. มีความสามารถในการจูงใจ ในการจูงใจคนน้นั มีความมุง่ หมายที่จะจูงใจใหท้ างาน ให้มีความสัมพนั ธ์สามคั คีกนั ในกลุ่ม และจูงใจใหม้ ีความประนีประนอมกนั ไดเ้ มื่อเกิดปัญหา การจูงใจคนน้นั เป็ นสิ่งที่ตอ้ งใชศ้ ิลปะและความเชี่ยวชาญ ประกอบดว้ ยความสามารถหลายประการ ดงั น้ี 3.1 ความสามารถในการใชค้ าพูดจูงใจ ซ่ึงประกอบดว้ ยน้าเสียงท่ีน่าฟัง น่าเชื่อถือ ไม่ขม่ ขู่ นุ่มนวล ชวนให้เกิดความสนใจและยนิ ดีรับฟัง ใชภ้ าษาเรียบง่ายเหมาะสมกบั บุคคลและเหตุการณ์ ทา่ ทางประกอบคาพดู นุ่มนวล สุภาพ เห็นจริงเห็นจงั 3.2 การใชเ้ หตุผล ตอ้ งแสดงถึงเหตุและผล ขอ้ ดีและขอ้ เสีย ความถูกตอ้ งและความผดิขอ้ ความจริง และขอ้ ความเท็จไดอ้ ยา่ งละเอียดชดั เจน พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ ง 3.3 รักษาอารมณ์ ตอ้ งควบคุมอารมณ์ อยา่ มีอารมณ์เครียด มีอารมณ์ขนั บา้ ง และมีอารมณ์ร่วมกบั ผฟู้ ัง สร้างลกั ษณะความเห็นอกเห็นใจ 3.4 การใชห้ ลกั ฐานอา้ งอิง สามารถยกเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีรู้กนั ทวั่ ไป ยกตวั อยา่ งบุคคลตารา หลกั ศาสนา สถานท่ี เหตุการณ์ใหช้ ดั เจน ช้ีจุดตา่ ง ๆ ใหเ้ ห็นตามหลกั ฐานท่ีอา้ งอิง 3.5 ยดึ ถือหลกั ธรรมในการจูงใจคน เช่น – การใหค้ วามเคารพนบั ถือซ่ึงกนั และกนั – การใหค้ วามจริงใจโดยไม่ปิ ดบงั – เป็นผมู้ ีความรู้ดี รู้แจง้ ชดั เจน – เป็นผปู้ ฏิบตั ิดี เป็ นตวั อยา่ งท่ีดี – ใหผ้ อู้ ื่นเตม็ ใจปฏิบตั ิ ไมข่ เู่ ขญ็ บงั คบั ใหป้ ฏิบตั ิ 4. เป็นผทู้ ี่มีความรับผดิ ชอบ สิ่งน้ีถือวา่ เป็ นสานึกของผนู้ า ตอ้ งตระหนกั ดีถึงตาแหน่งหนา้ ที่บทบาทของตน รู้วา่ สิ่งใดควรปฏิบตั ิ ส่ิงใดไมค่ วรปฏิบตั ิ ตอ้ งประกอบดว้ ยคุณธรรมสูงส่ง

4ยอมรับผลสะทอ้ นกลบั ที่เกิดข้ึนจาก การกระทาทุกดา้ นไม่วา่ ทางดีหรือทางเสีย ยอมรับฟังคาแนะนาและคาตาหนิดว้ ยความสงบ และพร้อมที่จะแกไ้ ขปัญหา ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ประการสาคญัตอ้ งคานึงถึงความอยรู่ อดของกลุ่มมากกวา่ ความอยรู่ อดของตนเอง 5. เป็นผทู้ ่ีมีความเฉลียวฉลาด ส่ิงน้ีเป็นคุณสมบตั ิที่จาเป็ นของผูน้ า เพราะการนากลุ่มให้บรรลุจุดมุง่ หมาย ของกลุ่มไดด้ ีน้นั ตอ้ งใชย้ ทุ ธวธิ ีที่เฉลียวฉลาดมาก ดงั น้นั โดยทว่ั ไปแลว้ ผนู้ าควรจะมีสติปัญญาสูง มีความรู้ทนั โลก ทนั สมยั เป็นพหูสูต และตอ้ งรอบคอบเฉพาะกรณี กล่าวคือ ผู้เป็นหวั หนา้ กาลงั ทางานสิ่งใดอยตู่ อ้ งรู้นโยบาย แผนงานกระบวนการ การแกป้ ัญหา ความในใจของบุคคลในกลุ่มงานน้นั และจะตอ้ งมีความคิดริเร่ิมไมอ่ ยู่กบั ที่ อยา่ งไรกต็ าม ลกั ษณะบางประการท่ีผนู้ าท่ีดีควรหลีกเล่ียง ไดแ้ ก่ 1.ต้งั กาแพงขวางก้นั ระหวา่ งผนู้ ากบั ผรู้ ่วมงานโดยแยกออกจากกนั อยา่ งเกินความจาเป็น เช่น ใหต้ ิดต่อ ผา่ นเลขานุการ ใชร้ ะบบราชการจดั มีหอ้ งสานกั งานเป็ นพิเศษ ฯลฯ ก่อใหเ้ กิดความห่างเหิน ไมม่ ีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผรู้ ่วมงาน 2. ใชค้ นเหมือนเคร่ืองจกั ร โดยไมค่ านึงถึงความรู้สึกของผถู้ ูกใชว้ า่ เป็นอยา่ งไร ถือวา่ตนมีอานาจก็ใชก้ ส็ ัง่ ไม่สร้างมนุษยสัมพนั ธ์อนั ดี ใชว้ าจาคาสั่งท่ีแสดงอานาจ ไม่มีการบารุงน้าใจ 3. กระทาการสิ่งใดกเ็ อาแตใ่ จตนเอง ไมส่ ารวจผลท่ีเกิดมา ไมร่ ับฟังผลสะทอ้ นกลบั มีความรู้สึกวา่ ตนเองถูกอยเู่ สมอ ด้ือร้ัน เห็นตวั เองสาคญั ท่ีสุด ไม่ฟังคาแนะนาจากใคร 4. หลงตวั เอง ติดแน่นอยกู่ บั ตาแหน่ง รู้สึกตลอดเวลาวา่ ตนเป็ นผนู้ าเม่ือติดต่อกบั ผอู้ ่ืนโดยเฉพาะผูร้ ่วมงาน และจะแสดงออกในลกั ษณะที่เป็นหวั หนา้ มีอานาจ จะยกยอ่ งแต่ผทู้ ่ีมีอานาจเหนือกวา่ เท่าน้นั แต่จะวางตวั ป้ันป่ึ งกบั ผรู้ ่วมงาน 5. ใชภ้ าษาพิเศษ มกั ใชค้ าศพั ทย์ าก ๆ ท่ีสร้างข้ึนมา ใชค้ ายอ่ ใชภ้ าษาที่คนธรรมดาทวั่ ไปไม่เขา้ ใจ พดู ออ้ มคอ้ มไม่ตรงจุด 6. ไมฟ่ ังการคดั คา้ น เป็นคนด้ือร้ัน มีทิฐิสูง ทนไม่ไดต้ อ่ การไม่เห็นดว้ ยของผรู้ ่วมงานโกรธมากถา้ มีผคู้ ดั คา้ น และจะไม่รีรอตอ่ การทาลายผทู้ ่ีไมเ่ ห็นดว้ ยทุกวถิ ีทาง หรือจะไม่ยอมใหร้ ่วมทางาน 7. เป็นคนหนา้ ไหวห้ ลงั หลอก ปากหวานกน้ เปร้ียว ทาทีเป็นเมตตากรุณาอ่อนหวานเป็นคนปากปราศรัย ใจเชือดคอ 8. เม่ือเกิดปัญหาใด ๆ ข้ึน หรือตอ้ งการทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง เม่ือไม่สามารถชกั จูงหรือช้ีแจงใหป้ ฏิบตั ิตามก็มกั จะอา้ งระเบียบปฏิบตั ิ และขอ้ บงั คบั ขอ้ ตกลง เนน้ ระเบียบกฎเกณฑแ์ บบแผน อา้ งถึงขอ้ ตกลง หลีกเล่ียงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แมว้ า่ จะเป็นผลดีและมีประโยชน์ 9. ทาตวั เป็ นผพู้ ิพากษา จะตดั สินประเมินค่าทนั ที เช่น กล่าววา่ ผดิ หรือถูก รับหรือไม่รับ ดีหรือเลว ไมค่ ิด พิจารณาหรือฟังหูไวห้ ู อาจกล่าวโทษผรู้ ่วมงานโดยไม่สืบสวนใหแ้ น่นอน

5 10. ช่ืนชมยนิ ดีกบั ความไมจ่ ริงใจของผอู้ ยรู่ ่วมงาน ชอบการยกยอชื่นชอบกบั ผทู้ ่ีแสดงวา่ เห็นดว้ ย ท้งั ที่ใจจริง แลว้ ไม่เห็นดว้ ย ชอบคนประจบสอพลอ ชอบคนทาตวั ประเภทเป็น“เงา” ติดหนา้ ตามหลงั ช้ีนกเป็นนก ช้ีไมเ้ ป็นไม้ 11. รุนแรงเมื่อมีความคบั ขอ้ งใจ จะทางานอยา่ งเตม็ ที่ จมอยกู่ บั งาน ใชพ้ ลงั ท้งั หมดในการแกป้ ัญหา อารมณ์รุนแรง เจา้ คิดเจา้ แคน้ ทาลายส่ิงที่ขวางก้นั 12. ปฏิเสธจุดอ่อนของตนเอง มีปมดอ้ ย มีจุดออ่ นในตนเอง เช่น ตอ้ งการความรักความอบอุ่น เพราะขาดความสุขในครอบครัว แต่กป็ ฏิเสธท่ีจะยอมรับในส่ิงน้นั ไมย่ อมป้องกนัตนเอง และไมแ่ กค้ วามขดั แยง้ ในตนเองคุณลกั ษณะของผู้นาการเปลย่ี นแปลง คุณลกั ษณะของผนู้ าการเปลี่ยนแปลง โดยทว่ั ๆ ไปจะเป็นดงั น้ี (เสริมศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ์,2536 : 62 อา้ งถึง ใน Tichy and Devanna, 1986 : 19–32) 1. เป็นผนู้ าการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) จะเปล่ียนองคก์ ารที่ตนเองรับผดิ ชอบไปสู่เป้าหมายท่ีดีกวา่ คลา้ ยกบั ผฝู้ ึกสอนหรือโคช้ นกั กีฬาท่ีตอ้ งรับผดิ ชอบทีมท่ีไม่เคยชนะใครเลยตอ้ งมีการเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อความ เป็ นผชู้ นะ และตอ้ งสร้างแรงบนั ดาลใจใหล้ ูกทีมเล่นใหด้ ีที่สุดเพ่อื ชยั ชนะ 2. เป็นคนกลา้ และเปิ ดเผย เป็นคนที่ตอ้ งเส่ียงแต่มีความสุขมุ และมีจุดยนื ของตนเองกลา้ เผชิญหนา้ กบั ความจริง กลา้ เปิ ดเผยความจริง 3. เชื่อมน่ั ในคนอ่ืน ผนู้ าการเปล่ียนแปลงไมใ่ ช่เผดจ็ การแตม่ ีอานาจ และสนใจคนอื่น ๆมีการทางานโดยมอบ อานาจใหค้ นอื่นทาโดยเช่ือวา่ คนอ่ืนกม็ ีความสามารถ 4. ใชค้ ุณค่าเป็นแรงผลกั ดนั ผูน้ าการเปลี่ยนแปลงน้ีจะช้ีนาใหผ้ ตู้ ามตระหนกั ถึงคุณคา่ของเป้าหมาย และ สร้างแรงผลกั ดนั ในการปฏิบตั ิงานเพื่อบรรลุเป้าหมายท่ีมีคุณค่า 5. เป็นผเู้ รียนรู้ตลอดชีวติ ผูน้ าการเปลี่ยนแปลงน้ีจะนึกถึงส่ิงท่ีตนเคยทาผิดพลาดในฐานะท่ีเป็นบทเรียน และจะพยายามเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ เพ่ือพฒั นาตนเองตลอดเวลา 6. มีความสามารถท่ีจะเผชิญกบั ความสลบั ซบั ซอ้ น ความคลุมเครือ และความไมแ่ น่นอน ผนู้ าการเปลี่ยนแปลงจะมีความสามารถในการเผชิญปัญหาท่ีเปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอ 7. เป็นผมู้ องการณ์ไกล ผนู้ าการเปลี่ยนแปลงจะมีความสามารถในการมองการณ์ไกลสามารถที่จะนา ความหวงั ความฝันมาทาใหเ้ ป็นความจริงได้ มิเชล ฟูลแลน (Micheal Fullan, 2006: 42) ไดก้ ล่าวถึงความเป็นผูน้ าการเปลี่ยนแปลงไวว้ า่ ควรรู้จกั การบริหารความสมั พนั ธ์(Relationship Management) ในดา้ นต่อไปน้ี

6 1. การสร้างแรงบนั ดาลใจ (Inspirational) ผนู้ าที่สร้างแรงบนั ดาลใจเป็นผชู้ ้ีนาและทาใหค้ นเห็นตามวสิ ัยทศั น์ หรือภารกิจที่มีร่วมกนั ส่ือสารภารกิจร่วมกนั โดยวธิ ีการที่ทาใหเ้ กิดแรงบนั ดาลใจใหผ้ อู้ ่ืนทาตามได้ กาหนดเป้าหมาย ร่วมกนั ที่อยเู่ หนือข้ึนไปจากงานที่ทาในหนา้ ที่แต่ละวนั ทาใหง้ านท่ีทามีความน่าตื่นเตน้ มากข้ึน 2. การมีอิทธิพลต่อผอู้ ื่น (Influence) ตวั บ่งช้ีผนู้ าที่มีอิทธิพลเห็นไดต้ ้งั แตก่ ารรู้วา่จะใชว้ ธิ ีใดในการดึงดูดใจ ผฟู้ ังไปจนถึงรู้วา่ จะดึงบุคคลสาคญั เขา้ มาร่วมกลุ่มและการสร้างเครือข่ายในการช่วยเหลือสนบั สนุนเม่ือเกิดความคิดริเร่ิม และรู้จกั หวา่ นลอ้ มชกั จูงและทาใหค้ นคลอ้ ยตามได้ 3. การพฒั นาผอู้ ื่น (Developing Others) ผนู้ าที่มีความเชี่ยวชาญในการพฒั นาความสามารถของผอู้ ื่นไดจ้ ะ แสดงความสนใจอยา่ งแทจ้ ริงในตวั คนท่ีเขาช่วย เขา้ ใจเป้าหมาย จุดแขง็ และจุดอ่อนของเขา สามารถใหผ้ ลสะทอ้ นกลบั ท่ีสร้างสรรคแ์ ละรู้เท่าทนั ความเป็นไปได้ 4. การเป็นตวั เร่งการเปล่ียนแปลง (Change Catalyst) ผนู้ าที่ทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงไดอ้ ยา่ งรวดเร็วจะสามารถรู้ไดถ้ ึงความจาเป็ นท่ีจะตอ้ งมีการเปล่ียนแปลง ทา้ ทายสภาพที่เป็นอยเู่ พื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงความเป็นเลิศ เป็ นปากเสียงที่เขม้ แขง็ เพอ่ื ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแมจ้ ะมีฝ่ ายตรงขา้ มคอยคดั คา้ น โดยใหเ้ หตุผลท่ีคนตา้ นทานไดย้ ากมาแยง้ มีวธิ ีการปฏิบตั ิที่จะเอาชนะอุปสรรคที่ขดั ขวางการเปลี่ยนแปลง 5. การบริหารจดั การความขดั แยง้ (Conflict Management) ผนู้ าที่สามารถจดั การกบั ปัญหาความขดั แยง้ ไดด้ ีคือผทู้ ี่ทาใหท้ ุกฝ่ ายกลา้ แสดงความคิดของตนเอง เขา้ ใจมุมมองท่ีแตกต่างของแตล่ ะฝ่ าย และหาทางออกท่ีทุกคนเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ได้ เผชิญหนา้ กบั ขอ้ ขดั แยง้ ที่ปรากฏและรับรู้ความรู้สึกและความคิดเห็นจากทุกดา้ นและปรับทศั นคติใหเ้ ป็ นไปในทิศทางท่ีมาจากการตกลงร่วมกนั 6. การสร้างพนั ธะความผกู พนั (Building Bonds) ผนู้ าท่ีมีประสิทธิภาพตอ้ งรู้จกัสร้างสายใยแห่งสายสมั พนั ธ์ เขา้ ใจในความแตกต่างของแตล่ ะบุคคล สร้างความเช่ือถือและความไวว้ างใจ รวมท้งั ความปรองดองกนั ภายในองคก์ าร และกบั ผรู้ ่วมงานจากภายนอกและเครือขา่ ย 7. การทางานร่วมกนั เป็นทีมและความร่วมมือกนั (Teamwork andCollaboration) ผนู้ าท่ีดีตอ้ งรู้จกั การทางานร่วมกนั เพ่ือสร้างบรรยากาศของการมีอานาจระหวา่ งเพ่อื นร่วมงานที่เป็นมิตร เป็ นแมแ่ บบของการใหค้ วามเคารพ การช่วยเหลือกนั และการร่วมมือกนัสามารถชกั จูงผอู้ ่ืนใหเ้ ขา้ ร่วมทางานอยา่ งกระตือรือร้น กระฉบั กระเฉงเพื่อความพยายามในระดบักลุ่ม และสร้างสปิ ริตและเอกลกั ษณ์ของกลุ่ม ใชเ้ วลาในการหล่อหลอมและผนึกความ สัมพนั ธ์เขา้ดว้ ยกนั ใหไ้ ปไกลเกินกวา่ ท่ีภาระหนา้ ท่ีในการทางานไดก้ าหนดไว้

7บทบาทหน้าทขี่ องผู้นา ผนู้ าเป็นบุคคลท่ีมีความสาคญั ต่อความสาเร็จของกลุ่มเป็นอยา่ งมาก ผนู้ าท่ีมีคุณสมบตั ิที่ดีและปฏิบตั ิ ตามบทบาทหนา้ ที่ไดเ้ หมาะสม ก็ยอ่ มจะสามารถพากลุ่มใหบ้ รรลุเป้าหมายไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ในเร่ืองบทบาท หนา้ ที่ของผูน้ าในการทางานเป็นกลุ่มน้นั ไดม้ ีผเู้ สนอไวแ้ ตกต่างกนัไปบา้ ง แต่ส่วนใหญ่จะคลา้ ยคลึงกนั ในสาระสาคญั เครช ครัตช์ฟิ ลด์ และบลั ลคั ชี (Krech,Crutchfield and Ballachey อา้ งถึงใน วเิ ชียร วทิ ยอุดม, 2550 : 32) ไดก้ ล่าวถึงบทบาทหนา้ ที่ของผนู้ าในการทางานเป็ นกลุ่มไวก้ วา้ ง ๆ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. หนา้ ท่ีหลกั ไดแ้ ก่ หนา้ ท่ีทางดา้ นการบริหารงาน วางแผนงาน วางนโยบายเป็นผเู้ ช่ียวชาญ เป็นตวั แทนของกลุ่มต่อบุคคลภายนอก เป็ นผใู้ หร้ างวลั และลงโทษเป็นผปู้ ระนีประนอมและตดั สิน และเป็นผคู้ วบคุมความสัมพนั ธ์ภายในกลุ่ม 2. หนา้ ที่รอง ไดแ้ ก่ หนา้ ที่ทางดา้ นการเป็ นตวั อยา่ งที่ดีแก่กลุ่ม เป็นตวั แทนรับผดิ ชอบและเป็นสัญลกั ษณ์ของกลุ่ม เป็นนกั อุดมคติ เป็ นบิดาของกลุ่ม เป็นผใู้ หค้ าปรึกษา และเป็นแพะรับบาปเมื่อมีการดาเนินงานผดิ พลาดบทบาทหนา้ ที่ของผนู้ าในการทางานเป็ นกลุ่ม โดยจาแนกออกเป็ น 2 ประเภทหลกั ๆ คือ 1. บทบาทเกี่ยวกบั การทางาน (Task Function) ไดแ้ ก่ บทบาทของผนู้ าในการที่จะนากลุ่มใหส้ ามารถทางานตามท่ีกลุ่มตอ้ งการ ใหเ้ ป็นผลสาเร็จตามเป้าหมายได้ มีรายละเอียดดงั น้ี 1.1 ทาความเขา้ ใจในจุดมุง่ หมายของการทางานและช่วยใหผ้ รู้ ่วมงานไดม้ ีความเขา้ ใจในจุดมุง่ หมายของ การทางานตรงกนั 1.2 วางแผนงานและข้นั ตอนในการทางานร่วมกบั ผรู้ ่วมงาน 1.3 แบ่งงานและมอบหมายงานใหผ้ รู้ ่วมงานอยา่ งเหมาะสม 1.4 ริเร่ิมความคิดใหม่ ๆ ใหก้ บั กลุ่ม หรือกระตุน้ กลุ่มให้ริเริ่มความคิดใหม่ ๆ 1.5 ใหข้ อ้ มูลความคิดเห็นหรือแสวงหาขอ้ มูลความคิดเห็นท่ีจะเป็นประโยชน์ต่อการทางาน 1.6 ช่วยใหก้ ลุ่มมีความเขา้ ใจตรงกนั ในขอ้ มูลหรือประเด็นตา่ ง ๆ ที่จาเป็นต่อการบรรลุผลสาเร็จของงาน 1.7 ช่วยประสานความคิด ขอ้ มูลของผรู้ ่วมงานใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อการบรรลุเป้าหมายของงาน 1.8 ช่วยขจดั ปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทางานใหบ้ รรลุเป้าหมาย 1.9 ติดตามงาน ประเมินผลงาน สรุปผลงานเป็นระยะ ๆ และแจง้ ให้ผรู้ ่วมงานทราบ 1.10ควบคุมมาตรฐานของผลงานของกลุ่ม

8 1.11ประเมินผลงานเม่ืองานสาเร็จและปรับปรุงงานเม่ือยงั ไดง้ านไม่เป็นที่พอใจของกลุ่ม 2. บทบาทเกี่ยวกบั การรวมกลุ่ม (Maintenance Function)ไดแ้ ก่ บทบาทของผนู้ าในการช่วยใหก้ ลุ่มมีกาลงั ใจ มีความพึงพอใจท่ีจะทางานร่วมกนั เป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั จนสามารถทางานไดส้ าเร็จ ไม่แตกแยกกนั ไปเสียก่อน มีรายละเอียดคือ 2.1 จดั ระเบียบและควบคุมระเบียบของกลุ่ม เพื่อช่วยใหท้ ุกคนไดม้ ีโอกาสทดั เทียมกนั ในการแสดงความคิดเห็นหรือการทางาน ช่วยใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่ชุลมุนวนุ่ วาย ทาใหก้ ลุ่มสามารถดาเนินการไปไดอ้ ยา่ งราบร่ืน ไม่แตกแยกกนั เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มนอ้ ย 2.2 ดูแลเอาใจใส่สมาชิกกลุ่ม ใหม้ ีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือแสดงความสามารถอยา่ งทว่ั ถึงเพือ่ ช่วยใหท้ ุกคนรู้สึกวา่ ตนเองเป็นคนท่ีมีคุณคา่ มีประโยชน์ตอ่ กลุ่มเกิดความรู้สึกวา่ ตนเองเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่ม มีความรักและความพอใจที่จะช่วยเหลือกลุ่มอยา่ งเตม็ความสามารถ 2.3 รับฟังและพจิ ารณาความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่มอยา่ งทว่ั ถึง การท่ีผนู้ ารับฟังความคิดเห็นของสมาชิกทุกคนและนามาพจิ ารณา ไมล่ ะทิง้ ไปเฉย ๆ จะทาใหผ้ ทู้ ี่เสนอความคิดเกิดความพอใจและมีความตอ้ งการท่ีจะช่วยเหลือกลุ่มใหม้ ากข้ึน 2.4 ช่วยทาความกระจ่างใหแ้ ก่กลุ่มในเร่ืองของการสื่อความหมาย ในการทางานทุกคร้ังกลุ่มมกั จะประสบปัญหาอนั เนื่องมาจากความเขา้ ใจไมต่ รงกนั ซ่ึงเป็นปัญหาของการส่ือความหมาย ความเขา้ ใจที่ไมต่ รงกนั น้ีอาจเป็นสาเหตุทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ เกิดความรู้สึกขนุ่ ขอ้ งหมองใจอนั อาจลุกลามใหญโ่ ต เกิดความแตกแยกในกลุ่มงานได้ 2.5 สร้างบรรยากาศท่ีอบอุ่นและเป็ นมิตรใหเ้ กิดข้ึนในกลุ่ม บรรยากาศท่ีดีเป็นมิตรเป็ นกนั เอง ไมต่ อ้ งกลวั วา่ จะถูกตดั สินและมองไปในทางที่ไม่ดี จะช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภยัสามารถที่จะเสนอความคิดเห็นหรือทางานต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี และมีความรู้สึกวา่ ตนเองไดร้ ับความรักจากกลุ่ม ทาใหเ้ กิดความตอ้ งการท่ีจะช่วยเหลือ กลุ่มใหไ้ ดม้ ากที่สุดเทา่ ท่ีจะทาได้ 2.6 ขจดั หรือลดความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในกลุ่ม เพราะความขดั แยง้ เป็นสาเหตุสาคญั ที่ทาใหก้ ลุ่มแตกแยก หากผนู้ าไม่สามารถที่จะช่วยในเรื่องน้ีได้ พลงั จากความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของกลุ่มจะถูกบน่ั ทอนให้ ลดนอ้ ยลง ประสิทธิภาพในการทางานของกลุ่มก็จะลดลง หรือบางคร้ังอาจทาให้ไมส่ ามารถรวมกลุ่มกนั ทางานต่อไปจนบรรลุผลสาเร็จได้ เมื่อวเิ คราะห์ผนู้ าจากบทบาทและรูปแบบที่แสดงออก อาจพจิ ารณาแหล่งที่มาของอานาจของผนู้ า และพจิ ารณา จากการใชอ้ านาจของผนู้ าดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 1. การพิจารณาแหล่งท่ีมาของอานาจของผนู้ า แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ

9 1.1 ผนู้ าตามกฎหมาย (Legal Leader) เป็นผนู้ าที่มีอานาจตามกฎหมาย เช่นตาแหน่งตา่ ง ๆ ที่ต้งั ข้ึนตามกฎหมาย ไดแ้ ก่ หวั หนา้ งานตา่ ง ๆ ท่ีมีการกาหนดไวเ้ ป็ นตาแหน่งข้ึนในหน่วยงานต่าง ๆ 1.2 ผนู้ าตามบุคลิกภาพส่วนตวั (Charismatic Leader) ผนู้ าท่ีมีอานาจติดตวั มาเพราะบุคลิกดี การศึกษาสูง ฐานะและตระกลู ดี พวกน้ีไม่จาเป็นตอ้ งใชอ้ านาจทางกฎหมายในการโนม้นา้ วจิตใจคน 1.3 ผนู้ าท่ีเป็ นสญั ลกั ษณ์ของกลุ่ม (Symbolic Leader) ผนู้ าท่ีเป็นสัญลกั ษณ์ของกลุ่มท่ีทุกคนยอมรับ และยกยอ่ งเทิดทูน ทานองเดียวกบั พระมหากษตั ริยซ์ ่ึงเป็นผนู้ าของประเทศ 2. การพิจารณาจากการใชอ้ านาจของผนู้ า แบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ 2.1 ผนู้ าแบบเผด็จการ (Autocratic) ผนู้ าประเภทสั่งงานเฉียบขาด ไม่คานึงถึงคนอื่น ไม่มีการแบง่ งานรวบอานาจแบบเผดจ็ การ จะตดั สินใจดว้ ยตนเอง ยดึ มน่ั ในความคิดของตนเองเป็นใหญ่ สร้างบรรยากาศแห่งความกลวั ใหเ้ กิดข้ึนในหน่วยงาน 2.2 ผนู้ าแบบตามสบาย (Laissez-faire) ผนู้ าประเภทปล่อยใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทางานกนั ไปตามใจชอบ ตามบุญตามกรรม ไม่มีการนิเทศตรวจตราติดตามผลงานการตดั สินใจข้ึนอยกู่ บั ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาที่จะเห็นดี เห็นชอบกนั ไป จะทาอยา่ งไรก็ตามใจชอบ ถา้ ลูกนอ้ งดีงานก็อาจดีได้ ถา้ ลูกนอ้ งไม่ดีงานก็อาจจะเสีย และทางานกนั ไปวนั หน่ึง ๆ เทา่ น้นั 2.3 ผนู้ าแบบประชาธิปไตย (Democratic) ผนู้ าประเภทใชอ้ านาจตามวถิ ีทางประชาธิปไตย การตดั สินใจจะถือความเห็นส่วนใหญ่ มีการประชุมปรึกษาหารือก่อนตดั สินใจ มีการกระจายอานาจ รับฟังความคิดเห็น ไม่ใชอ้ านาจกดข่ี การแกป้ ัญหาก็เปิ ดโอกาสใหท้ ุกคนได้ร่วมกนั พจิ ารณา เคารพในสิทธิและหนา้ ท่ีของแต่ละบุคคลการพฒั นาภาวะผู้นาเต็มรูปแบบและเน้นผู้นาการเปลย่ี นแปลงความหมายของภาวะผู้นา คาวา่ “ภาวะผนู้ า” เป็นคาผสมระหวา่ งคาวา่ “ภาวะ” กบั “ผนู้ า” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิคาวา่ “ภาวะผนู้ า” แต่บญั ญตั ิวา่ “ภาวะ” เป็นคานามแปลวา่ “ความมี หรือ ความเป็น หรือ ความปรากฏ” ส่วนคาวา่ “ผนู้ า” ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิไวใ้ นพจนานุกรมโดยตรง แตม่ ีคาท่ีใกลเ้ คียงกนั มากคือคาวา่“หวั หนา้ ” เป็นคานาม แปลวา่ “ผใู้ หญ่ในหมู่หน่ึง ๆ” และที่บญั ญตั ิไวอ้ ีกคาหน่ึง คือ“ผจู้ ดั การ” เป็นคานาม แปลวา่ “บุคคลที่มีหนา้ ท่ีบริหารและควบคุมดูแลกิจการ” เม่ือพิจารณาจากรากศพั ทท์ ่ีกล่าวไปแลว้ พอสรุปไดว้ า่ ภาวะผูน้ า หมายถึง ความเป็นหวั หนา้ ของกลุ่มหน่ึง เวบสเตอร์ (Webster’s Encyclopedic Unabridged Dictionary) บญั ญตั ิวา่ “Leadership” เป็นคานามเกิดจากการผสมระหวา่ ง “Leader + ship” มีความหมาย 4 ประการ ดงั น้ี

10 1. ตาแหน่ง หรือหนา้ ท่ีของผนู้ า 2. ความสามารถในการนา 3. การนา 4. ผนู้ าของกลุ่ม สาหรับนกั วชิ าการดา้ นพฤติกรรมศาสตร์ ไดน้ ิยามความหมายของคาวา่ “ภาวะผนู้ า” จานวนมากนกั วชิ าการบางทา่ นถึงกบั กล่าววา่ ยงั ไม่มีการใหค้ วามหมายไวต้ รงกนั และความหมายต่าง ๆ ท่ีกาหนดไวน้ ้นั มีจานวนมากพอ ๆ กนั กบั จานวนของผนู้ ิยามความหมายของคาน้ี ผูเ้ ขียนขอนาเสนอนิยามศพั ทท์ ่ีสาคญั ดงั น้ี T. Jacobs and E. Jacques (1987) นิยามไวว้ า่ “ภาวะผนู้ า หมายถึง พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลท่ีเขาไดช้ ้ีนาเพ่อื ใหก้ ารดาเนินการกิจกรรม กลุ่มเป็นไปตามเป้าหมายที่ไดก้ าหนดไว”้ แดเนียล แคทซ์ (Daniel Katz) และโรเบิร์ต เอม็ . คาฮน์ (Robert M. Kahn) (1978) ไดน้ ิยามไวว้ า่ “ภาวะผนู้ า\" หมายถึง การใชอ้ ิทธิพลท่ีเพมิ่ มากข้ึนในองคก์ าร ในอนั ที่จะทาใหก้ ลไก การปฏิบตั ิงานประจา ขององคก์ ารดาเนินไปได”้ ซี.เอฟ. รอช (C.F. Rauch) และ โอ. เบล่ิง (O. Behling) (1984)ไดน้ ิยามไวว้ า่ “ภาวะผนู้ า\" หมายถึงกระบวนการใชอ้ ิทธิพล เพ่อื ใหก้ ารดาเนินงานกิจกรรมกลุ่มบรรลุเป้าหมาย” ที.โอ. จาคอบส์ (T.O. Jacobs) และเอลเลียต จกั ส์ (Elliott Jacques) (1990)ไดน้ ิยามวา่ “ภาวะผนู้ า\" หมายถึง กระบวนการที่จะพฒั นาเป้าหมายการทางาน และการไดท้ ุ่มเทพลงัในการทางาน ในอนั ท่ีจะทาใหบ้ รรลุเป้าหมาย สรุปไดว้ า่ ภาวะผนู้ า หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการหลอมความแตกต่างทางดา้ นความคิดความสนใจ ความตอ้ งการหรือพฤติกรรมของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลในองคก์ ารให้หนั ไปในทิศทางเดียวกนั อยา่ งมีศิลปะ ไมม่ ีความขดั แยง้ ในองคก์ ารอีกต่อไปในขณะใดขณะหน่ึงหรือในสถานการณ์ตา่ ง ๆ เพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายท่ีกาหนดไว้โมเดลภาวะผู้นาแบบเต็มรูป (Model of Full Range of Leadership) แบสและอโวลิโอ (Bass & Avolio, 1993 : 114–122) ไดเ้ สนอโมเดลภาวะผนู้ าแบบเตม็ รูปโดยใช้ ผลการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบภาวะผนู้ าตามรูปแบบภาวะผนู้ าที่เขาเคยเสนอในปี ค.ศ. 1985 โมเดลน้ีจะประกอบดว้ ย ภาวะผนู้ า 3 แบบ คือ ภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลง (Transformational Leadership) ภาวะผนู้ าแบบแลกเปล่ียน (Transactional Leadership)และภาวะผนู้ าแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire Leadership) หรือพฤติกรรม ความไม่มีภาวะผนู้ า(Nonleadership Behavior) ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี

11 2.1 ภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลง (Transformational Leadership) เป็นกระบวนการที่ผนู้ ามีอิทธิพลต่อผรู้ ่วมงานและผตู้ าม โดยเปลี่ยนแปลงความพยายาม ของผรู้ ่วมงานและ ผตู้ ามให้สูงข้ึนกวา่ ความพยายามท่ีคาดหวงั ในการพฒั นาความสามารถของผรู้ ่วมงานและผตู้ ามไปสู่ระดบั ท่ีสูงข้ึนและมีศกั ยภาพมากข้ึนทาใหเ้ กิดการตระหนกั รู้ในภารกิจละวสิ ัยทศั นข์ องกลุ่มและขององคก์ ารจูงใจผรู้ ่วมงานไดไ้ กลเกินกวา่ ความสนใจของพวกเขา ไปสู่ประโยชนข์ องกลุ่มหรือสงั คมซ่ึงกระบวนการที่ผนู้ ามีอิทธิพลต่อผรู้ ่วมงาน หรือผตู้ ามน้ี จะกระทาโดยผา่ นองคป์ ระกอบของพฤติกรรมเฉพาะ 4 ประการ หรือท่ีเรียกวา่ “4I” (Four I’s) คือ 1. การมีอิทธิพลอยา่ งมีอุดมการณ์ (Idealized Influence or Charisma Leadership :II or CL) การที่ผนู้ าประพฤติตวั เป็นแบบอยา่ ง หรือเป็ นรูปแบบสาหรับผตู้ าม ผนู้ าจะเป็นท่ียกยอ่ งเคารพนบั ถือ ศรัทธา ไวว้ างใจ และทาใหผ้ ตู้ ามเกิดความภาคภูมิใจเม่ือไดร้ ่วมงานกนั ผตู้ ามจะพยายามประพฤติปฏิบตั ิเหมือนกบั ผนู้ าและ ตอ้ งการเลียนแบบผนู้ าของเขา ส่ิงที่ผนู้ าตอ้ งปฏิบตั ิเพือ่บรรลุถึงคุณลกั ษณะน้ี คือ ผนู้ าจะตอ้ งมีวสิ ยั ทศั น์ และสามารถ ถ่ายทอดไปยงั ผตู้ าม ผนู้ าจะมีความสม่าเสมอมากกวา่ การเอาแต่อารมณ์ สามารถควบคุมอารมณ์ไดใ้ นสถานการณ์วกิ ฤต ผนู้ าเป็นผทู้ ี่ไวใ้ จไดว้ า่ จะทาในส่ิงท่ีถูกตอ้ ง ผนู้ าจะเป็ นผทู้ ่ีมีศีลธรรมและมีจริยธรรมสูง ผนู้ าจะหลีกเล่ียงการใช้อานาจ เพอื่ ผลประโยชนส์ ่วนตน แตจ่ ะประพฤติตนเพ่ือใหเ้ กิดประโยชน์แก่ผอู้ ื่นและประโยชน์ของกลุ่ม ผนู้ าจะแสดงใหเ้ ห็นถึงความเฉลียวฉลาด ความมีสมรรถภาพ ความต้งั ใจ ความเช่ือมนั่ ในตนเอง ความแน่วแน่ในอุดมการณ์ ความเช่ือ และคา่ นิยมของเขา ผนู้ าจะเสริมความภาคภูมิใจ ความจงรักภกั ดี และความมนั่ ใจของผตู้ าม และทาใหผ้ ตู้ ามมี ความเป็นพวกเดียวกนั กบั ผนู้ า โดยอาศยัวสิ ัยทศั นแ์ ละการมีจุดประสงคร์ ่วมกนั ผูน้ าแสดงความมนั่ ใจช่วยสร้างความ รู้สึกเป็นหน่ึงเดียวกนัเพอื่ การบรรลุเป้าหมายที่ตอ้ งการผตู้ ามจะเลียนแบบ ผนู้ าและพฤติกรรม ของผนู้ าจากการสร้างความมน่ั ใจในตนเอง ประสิทธิภาพและความเคารพในตนเอง ผูน้ าการเปล่ียนแปลงจึงรักษาอิทธิพลของตนในการ บรรลุเป้าหมายและปฏิบตั ิภาระหนา้ ท่ีขององคก์ าร 2. การสร้างแรงบนั ดาลใจ (Inspiration Motivation : IM) หมายถึง การท่ีผนู้ าจะประพฤติในทางท่ีจูงใจ ใหเ้ กิดแรงบนั ดาลใจกบั ผตู้ าม โดยการสร้างแรงจูงใจภายในการใหค้ วามหมายและทา้ ทายในเร่ืองงานของผตู้ าม ผนู้ าจะกระตุน้ จิตวญิ ญาณของทีม (TeamSpirit) มีการแสดงออกซ่ึงความกระตือรือร้นโดยการสร้างเจตคติที่ดีและ การคิดในแง่บวก ผนู้ าจะทาใหผ้ ตู้ ามสมั ผสั กบั ภาพที่งดงามของอนาคต ผนู้ าจะสร้างและส่ือความหวงั ที่ผนู้ าตอ้ งการ อยา่ งชดั เจน ผนู้ าจะแสดงการอุทิศตวั หรือความผกู พนั ต่อเป้าหมายและวสิ ยั ทศั นร์ ่วมกนั ผนู้ าแสดงความเช่ือมนั่ และ แสดงใหเ้ ห็นความต้งั ใจอยา่ งแน่วแน่ที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ผนู้ าจะช่วยใหผ้ ตู้ ามมองขา้ มผลประโยชน์ของตน เพอ่ื วสิ ัยทศั นแ์ ละภารกิจขององคก์ าร ผนู้ าจะช่วยใหผ้ ตู้ ามพฒั นาความผกู พนั

12ของตนตอ่ เป้าหมายระยะยาว และ บอ่ ยคร้ังพบวา่ การสร้างแรงบนั ดาลใจน้ีเกิดข้ึนผา่ นการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และการกระตุน้ ทางปัญญา โดยการคานึงถึงความเป็ นปัจเจกบุคคลทาใหผ้ ู้ตามรู้สึกวา่ ตนเองมีคุณค่า และกระตุน้ ใหพ้ วกเขาสามารถจดั การกบั ปัญหา ท่ีตนเองเผชิญได้ ส่วนการกระตุน้ ทางปัญญาช่วยใหผ้ ตู้ ามจดั การกบั อุปสรรคของตนเอง และส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 3. การกระตุน้ ทางปัญญา (Intellectual Stimulation : IS) หมายถึง การที่ผนู้ ามีการกระตุน้ ผู้ตามใหต้ ระหนกั ถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในหน่วยงาน ทาใหผ้ ตู้ ามมีความตอ้ งการหาแนวทางใหม่ ๆ มาแกป้ ัญหาในหน่วยงาน เพ่ือหาขอ้ สรุปใหมท่ ่ีดีกวา่ เดิม เพือ่ ทาให้เกิดส่ิงใหม่และสร้างสรรค์ โดยผนู้ ามีการคิดและการแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีการต้งั สมมติฐาน การเปลี่ยนกรอบ (Reframing) การมองปัญหา และการเผชิญกบัสถานการณ์เก่า ๆ ดว้ ยวถิ ีทางแบบใหม่ ๆ มีการจูงใจและสนบั สนุนความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ในการพิจารณาปัญหา และการหาคาตอบของปัญหา มีการใหก้ าลงั ใจผตู้ ามใหพ้ ยายามหาทางแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีใหม่ ๆ ผนู้ ามีการกระตุน้ ให้ ผตู้ ามแสดงความคิดเห็นและเหตุผล และไมว่ จิ ารณ์ความคิดของผตู้ าม แมว้ า่ มนั จะแตกตา่ งไปจากความคิดของผนู้ า ผนู้ าทาใหผ้ ตู้ ามรู้สึกวา่ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนเป็นส่ิงท่ีทา้ ทายและเป็นโอกาสท่ีดีท่ีจะแกป้ ัญหาร่วมกนั โดยผนู้ าจะสร้างความ เชื่อมนั่ ใหผ้ ตู้ ามวา่ ปัญหาทุกอยา่ งตอ้ งมีวธิ ีแกไ้ ข แมบ้ างปัญหาจะมีอุปสรรคมากมาย ผนู้ าจะพสิ ูจนใ์ หเ้ ห็นวา่ สามารถ เอาชนะอุปสรรคทุกอยา่ งได้ จากความร่วมมือร่วมใจในการแกป้ ัญหาของผูร้ ่วมงานทุกคน ผตู้ ามจะไดร้ ับการกระตุน้ ให้ต้งั คาถามต่อค่านิยมของตนเอง ความเชื่อ และประเพณี การกระตุน้ ทางปัญญาเป็นส่วนสาคญั ของการพฒั นา ความสามารถของผตู้ ามในการท่ีจะตระหนกั เขา้ ใจ และแกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเอง 4. การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized Consideration : IC) ผนู้ าจะมีความสมั พนั ธ์ เกี่ยวขอ้ งกบั บุคคลในฐานะเป็นผนู้ าใหก้ ารดูแลเอาใจใส่ผตู้ ามเป็นรายบุคคล และทาใหผ้ ตู้ ามรู้สึกมีคุณค่าและมีความ สาคญั ผนู้ าจะเป็ นโคช้ (Coach) และเป็นท่ีปรึกษา (Advisor) ของผตู้ ามแตล่ ะคนเพ่อื การพฒั นาผตู้ าม ผนู้ าจะเอาใจ ใส่เป็นพิเศษในความตอ้ งการของปัจเจกบุคคลเพ่ือความสมั ฤทธ์ิและเติบโตของผตู้ ามแต่ละคน ผนู้ าจะพฒั นาศกั ยภาพ ของผตู้ ามและเพ่ือนร่วมงานใหส้ ูงข้ึน นอกจากน้ีผนู้ าจะมีการปฏิบตั ิตอ่ ผตู้ ามโดยการใหโ้ อกาสในการเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆสร้างบรรยากาศของการใหแ้ รงสนบั สนุน คานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคลในดา้ นความจาเป็นและความ ตอ้ งการ การประพฤติของผนู้ าแสดงใหเ้ ห็นวา่ เขา้ ใจและยอมรับความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เช่น บางคนไดร้ ับกาลงั ใจมากกวา่ บางคนไดร้ ับอานาจการตดั สินใจดว้ ยตนเองมากกวา่ บางคนมีมาตรฐานท่ีเคร่งครัดกวา่ บางคนมีโครงสร้าง งานท่ีมากกวา่ ผนู้ ามีการส่งเสริมการสื่อสารสองทาง และมีการจดั การดว้ ยการเดินดูรอบ ๆ (Management by walking around) มีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผู้ตามเป็นการส่วนตวั ผนู้ าสนใจความกงั วลของแต่ละบุคคล เห็นปัจเจกบุคคลเป็นบุคคล ท้งั หมด (As

13a whole person) มากกวา่ เป็นพนกั งานหรือเป็ นเพียงปัจจยั การผลิต ผนู้ าจะมีการฟังอยา่ งมีประสิทธิภาพ มีการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) ผนู้ าจะมีการมอบหมายงานเพื่อเป็ นเคร่ืองมือในการพฒั นาผตู้ าม เปิ ดโอกาส ใหผ้ ตู้ ามไดใ้ ชค้ วามสามารถพิเศษอยา่ งเตม็ ที่และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ทา้ ทายความสามารถ ผนู้ าจะดูแลผตู้ ามวา่ ตอ้ งการ คาแนะนา การสนบั สนุน และการช่วยใหเ้ กิดความกา้ วหนา้ ในการทางานที่รับผดิ ชอบอยหู่ รือไม่ โดยผตู้ ามจะไมร่ ู้สึก วา่ เขากาลงั ถูกตรวจสอบองคป์ ระกอบพฤติกรรมเฉพาะท้งั 4 ประการ (4I) ของภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลงน้ีจะมีความสัมพนั ธ์กนั (Intercorrelated) อยา่ งไรกต็ าม มีการแบ่งแยกแต่ละองคป์ ระกอบ เพราะเป็นแนวคิดพฤติกรรมท่ีมีความเฉพาะ เจาะจง และมีความสาคญั ในการวินิจฉยั ตามวตั ถุประสงคต์ ่าง ๆ 2.2 ภาวะผนู้ าแบบแลกเปล่ียน (Transactional Leadership)เป็นกระบวนการท่ีผนู้ าให้รางวลั หรือลงโทษผตู้ าม ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ผลการปฏิบตั ิงานของผตู้ าม ผนู้ าใช้กระบวนการ แลกเปล่ียนเสริมแรงตามสถานการณ์ ผนู้ าจูงใจผตู้ ามใหป้ ฏิบตั ิงานตามระดบั ที่คาดหวงั ไว้ ผนู้ าช่วยใหผ้ ตู้ ามบรรลุ เป้าหมาย ผนู้ าทาใหผ้ ูต้ ามมีความเชื่อมนั่ ที่จะปฏิบตั ิงานตามบทบาท และเห็นคุณคา่ ของผลลพั ธ์ท่ีกาหนด ซ่ึงผนู้ าจะ ตอ้ งรู้ถึงส่ิงท่ีผตู้ ามตอ้ งการปฏิบตั ิเพ่อื ให้ไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีตอ้ งการ ผนู้ าจูงใจโดยเชื่อมโยงความตอ้ งการและรางวลั กบั ความ สาเร็จตามเป้าหมายรางวลั ส่วนใหญ่เป็นรางวลั ภายนอก ผนู้ าทาใหผ้ ตู้ ามเขา้ ใจในบทบาท รวมท้งั ผนู้ าจะตระหนกั ถึงความตอ้ งการของผตู้ าม ผนู้ าจะรับรู้วา่ ผตู้ ามตอ้ งทาอะไรเพื่อท่ีจะบรรลุเป้าหมาย ผนู้ าจะระบุบทบาทเหล่าน้ีและขอ้ กาหนด งานที่ชดั เจน ผูน้ าจะรับรู้ความตอ้ งการของผตู้ าม ผนู้ าจะช่วยใหผ้ ู้ตามระบุเป้าหมาย และเขา้ ใจวา่ ความตอ้ งการหรือ รางวลั ที่พวกเขาตอ้ งการจะเชื่อมโยงกบัความสาเร็จตามเป้าหมายอยา่ งไร ภาวะผนู้ าแบบแลกเปลี่ยนประกอบดว้ ย 1) การใหร้ างวลั ตามสถานการณ์ (Contingent Reward : CR) ผนู้ าจะทาให้ผตู้ ามเขา้ ใจชดั เจนวา่ ตอ้ งการให้ ผตู้ ามทาอะไรหรือคาดหวงั อะไรจากผูต้ าม และจากน้นั จะจดั การแลกเปลี่ยนรางวลั ในรูปของคายกยอ่ งชมเชย ประกาศ ความดีความชอบ การจ่ายเพิม่ ข้ึน ใหโ้ บนสัเม่ือผตู้ ามสามารถบรรลุเป้าหมายตามท่ีคาดหวงั ผูน้ าแบบน้ีมกั จูงใจ โดยใหร้ างวลั เป็ นการตอบแทนและมกั จูงใจดว้ ยแรงจูงใจข้นั พ้นื ฐานหรือแรงจูงใจภายนอก 2) การบริหารแบบวางเฉย (Management by Exception) เป็นการบริหารงานที่ปล่อยใหเ้ ป็นไปตาม สภาพเดิม (Status Quo) ผนู้ าไมพ่ ยายามเขา้ ไปยงุ่ เกี่ยวกบั การทางาน จะเขา้ ไปแทรกแซงก็ตอ่ เมื่อมีสิ่งผดิ พลาดเกิด ข้ึน หรือการทางานต่ากวา่ มาตรฐานการเสริมแรงมกั จะเป็ นทางลบ หรือใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ทางลบ มีการบริหารงาน โดยไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ผนู้ าจะเขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งก็ต่อเม่ืองานบกพร่องหรือไม่ไดม้ าตรฐานการบริหารแบบ วางเฉย (เสริมศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ์, 2536 : 59) แบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบ คือ

14 (1) การบริหารแบบวางเฉยเชิงรุก (Active Management by Exception : MBE–A) ผนู้ าจะใช้วธิ ีการ ทางานแบบกนั ไวด้ ีกวา่ แก้ ผนู้ าจะคอยสงั เกตผลการปฏิบตั ิงานของผตู้ าม และช่วยแกไ้ ขให้ถูกตอ้ งเพ่อื ป้องกนั ความผิดพลาดหรือลม้ เหลวที่อาจเกิดข้ึน (2) การบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ (Passive Management by Exception : MBE–P) ผนู้ าจะใช้วธิ ีการ ทางานแบบเดิม และพยายามรักษาสภาพเดิม ผนู้ าจะเขา้ ไปแทรกแซงถา้ ผลการปฏิบตั ิงานไม่ไดม้ าตรฐาน หรือ มีบางอยา่ งผดิ พลาด 2.3 ภาวะผนู้ าแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire Leadership) ผนู้ าประเภทน้ีเป็ นผนู้ าที่ปล่อยใหผ้ ตู้ ามมีอิสระและเสรีภาพเตม็ ที่ในการทางาน ปล่อยให้ทาตามใจชอบ ให้ อานาจกบั ผตู้ ามในการตดั สินใจ และวินิจฉยั สงั่ การในเร่ืองต่าง ๆ ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งรอฟังคาสงั่ เปิ ดโอกาสใหท้ ุกคนใช้ เสรีภาพไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง โดยที่ผนู้ าไม่ตอ้ งเขา้ ไปมีส่วนร่วมในการทางานหรือกิจกรรมต่าง ๆ หรือถา้ จะมีส่วนร่วม กเ็ พียงเล็กนอ้ ย ซ่ึงถา้ ดูแลว้ กเ็ หมือนกบั เป็นผนู้ าท่ีไม่ค่อยจะรับผดิ ชอบอะไรเลย ไมค่ อ่ ยมีบทบาทในการควบคุมดูแล ความเป็นไปของผตู้ ามเหมือนเป็นคนที่ไม่มีหลกั การหรืออุดมการณ์ในการทางาน ไม่คานึงหรือยดึ ถือหลกั ถือกฎเกณฑใ์ นการปฏิบตั ิ ปล่อยใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปเร่ือย ๆ ไม่มีระเบียบแบบแผนในการทางาน ไมก่ ลา้ตดั สินใจ และแสดงความคิดเห็น ปล่อยใหเ้ ป็นหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบของผตู้ ามกนั เอง จะทาหนา้ ที่ของผนู้ ากเ็ พยี งลงนามผา่ นเรื่อง เท่าน้นั ดูแลว้ ไม่ผดิ อะไรกบั หนา้ ท่ีไปรษณีย์ ผลที่ไดจ้ ากการมีผนู้ าแบบน้ีก็คือ การปฏิบตั ิงานในองคก์ ารจะลม้ เหลว ยากท่ีจะประสบความสาเร็จได้ เพราะ ผตู้ ามขาดกาลงั ใจและหลกั ยดึ ในการปฏิบตั ิงาน การทางานไม่เป็นระบบ ไม่มีผลงานที่จะ สามารถบรรลุถึงเป้าหมายท่ีวางไวไ้ ด้สรุปลกั ษณะและพฤติกรรมของผู้นาแบบปล่อยตามสบายได้ดังนี้ 1. ทางานตามอารมณ์ ปล่อยงานตามสบาย ไม่สนใจไมเ่ อาใจใส่ต่องานมากนกั ไม่กาหนดวตั ถุประสงคข์ อง การทางานใหแ้ น่นอน 2. ไม่ใชอ้ ิทธิพล ไมใ่ ชค้ วามพยายาม ไมก่ ลา้ ใชห้ นา้ ท่ีของความเป็ นผนู้ า สมาชิกอยกู่ นั อยา่ งสบายปราศจาก การควบคุมดูแล 3. ไมม่ ีความคิดริเริ่ม ไม่มีส่วนร่วมในความคิดริเริ่มหรือร่วมมือในกิจกรรมตา่ ง ๆ หรือมีเป็นเพยี งส่วนนอ้ ย ใหค้ วามคิดเห็นและร่วมกิจกรรมในกลุ่มนอ้ ยมาก 4. ไม่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอนในการทางาน ไมค่ านึงถึงหลกั หรือกฎเกณฑเ์ ท่าใดนกั ไมม่ ีและไมส่ ร้าง หลกั เกณฑส์ าหรับการควบคุมดูแล 5. ไมม่ ีความเชื่อมน่ั ในตนเอง ไม่กลา้ ตดั สินใจในปัญหาต่าง ๆ ท้งั ๆ ท่ีมีอานาจหนา้ ที่ผนู้ าไม่ค่อยไดอ้ อก ความคิดเห็นใหส้ มาชิกไดบ้ ่อยนกั เวน้ แต่จะถูกซกั ถาม

15 6. ปล่อยใหส้ มาชิกทุกคนทางานทุกอยา่ งอยา่ งเสรี และตดั สินใจแกป้ ัญหากนั เอง 7. เป็นเพียงผนู้ าท่ีคอยบริการจดั หาวสั ดุอุปกรณ์ใหส้ มาชิก 8. ไมพ่ ยายามใหม้ ีการประเมินผลการพฒั นาภาวะผู้นาการเป็นผูน้ าท่ีดีน้นั จะตอ้ งพฒั นาตวั เอง ใหท้ นั สมยั ทนั เหตุการณ์และนาหนา้ บุคคลอ่ืนอยเู่ สมอ โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาของตวั เอง การพฒั นา ภาวะผนู้ าอาจทาไดด้ งั น้ี 1. Learn on the job คือ เรียนจากงานท่ีทา ส่วนมากเวลาเราไปศึกษา ดูงาน จากสถานศึกษามกั จะดู Product (ผลงาน) มากกวา่ เช่น เราไปดูโรงเรียนดีเด่น ผบู้ ริหารของโรงเรียนดีเด่น เรามกั จะไมด่ ูวา่ เขาทาอยา่ งไรจึงไดร้ ับ ความสาเร็จ เป็นโรงเรียนดีเด่น คือเราไม่ดูกระบวนการ (Process)หรือวธิ ีการ อยา่ ลืมวา่ งาน ยง่ิ ทา้ ทายมากเท่าไร คนยง่ิ ใชค้ วามพยายามมากข้ึน คนยงิ่ กระตือรือร้นยง่ิ ข้ึน เป็นการทา้ ทายกระตุน้ ความสามารถยงิ่ ข้ึน 2. Learn from people คือ เรียนจากผอู้ ่ืน ผนู้ าตอ้ งพร้อมที่จะเรียน พร้อมที่จะเป็นพเ่ี ล้ียงที่ดี ผใู้ ดท่ีอยใู่ น กลุ่มคนเรียนเก่งก็จะเก่งไปดว้ ย แตต่ รงขา้ ม ถา้ อยู่ ในกลุ่มของคนเรียนออ่ นก็พลอยเป็ นคนเรียนอ่อนไปดว้ ย เหมือนคาโบราณ ที่กล่าววา่ “คบคนพาล พาลพาไปหาผดิ คบบณั ฑิต บณั ฑิตพาไปหาผล” 3. Learn from bosses คือ เรียนจากนาย ถา้ เราไดน้ ายดี เราจะเรียนรู้อะไร มากมายจากนาย ตรงขา้ ม ถา้ นายเราไม่ดี เรากพ็ ลอยแยไ่ ปดว้ ย ผนู้ าที่ดีจะตอ้ ง เป็นนายท่ีดีของลูกนอ้ งหรือผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาดว้ ย การเรียนจากบทบาท แบบ อยา่ ง (Roles) จะทาให้ ผนู้ าพฒั นาภาวะผนู้ ามากยงิ่ ข้ึน ผนู้ าหลายคนเรียนรู้จาก ความผดิ พลาดของตวั เอง ซ่ึงความผดิ พลาดจะกลายเป็นบทเรียนช้นั ดีได้ 4. Training and Workshop คือ การฝึกอบรมและปฏิบตั ิการ เป็ นส่ิงที่ผนู้ าจะพฒั นาภาวะผนู้ าของตวั เองได้ การฝึกอบรม (Training) มีอยู่ 4 รูปแบบ คือ 4.1 New Leader คือ ผนู้ าคนใหม่ ทุกคร้ังท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตาแหน่งใหม่เลื่อนตาแหน่งสูงข้ึน จะตอ้ ง มีการฝึกอบรม เช่น ผูอ้ านวยการโรงเรียนจะมีการฝึกอบรมก่อนจะเขา้รับตาแหน่งเสมอ 4.2 Management Development คือ การพฒั นาวธิ ีการจดั การ การฝึกอบรมจะเนน้ ทกั ษะในการทางาน จะตอ้ งทาใหด้ ีกวา่ (Do the better job) เนน้ ความเช่ียวชาญเฉพาะอยา่ งเช่น เม่ือมีกฎ ระเบียบออกมาใหม่ จะตอ้ งเขา้ อบรมเสียก่อน จะตอ้ งฝึกใหเ้ ป็นผูเ้ ช่ียวชาญหรือSpecialist ผนู้ ากเ็ ช่นเดียวกนั ถา้ รู้กฎ ระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์ ขอ้ มูลใหม่ ๆ สามารถให้คาแนะนาปรึกษาแก่ผใู้ ต้ บงั คบั บญั ชาได้

16 4.3 Leadership Enhancement คือ เพิ่มพนู ภาวะผนู้ าหรือความเป็นผนู้ า หมายถึง ฝึกความสามารถ (Ability) ของคนเพอื่ จะไดท้ าในส่ิงน้นั ได้ 4.4 Leadership Vitality คือ ฝึกส่ิงสาคญั ของภาวะผนู้ าหรือความเป็ นผนู้ า หมายถึง ทุกคนรักความ กา้ วหนา้ จะฝึกอยา่ งไรใหเ้ ขามีความกา้ วหนา้ เพราะ ทุกคนตอ้ งการ การมอี ทิ ธผิ ลอย่างมอี ดุ มการณ์การสร้างวสิ ัยทัศน์ ความหมายของวสิ ัยทัศน์ วสิ ัยทศั น์ (Vision) หมายถึง การสร้างภาพอนาคตหรือการมองอนาคตซ่ึงจะเป็นเป้าหมายในการเดินไปสู่ อนาคต โดยวธิ ีการนาเอาระบบการวางแผนมาใช้ หรือหมายถึงส่ิงที่อยากเห็น ในอนาคต และเป็นสิ่งท่ีดีกวา่ เดิมิสัยทศั นจ์ ะเกิดจากการรู้จกั คิดโดยใช้ ปัญญาซ่ึงอาจจะ หมายถึงการสร้างความฝัน แต่จะตอ้ งมุ่งมนั่ ทุกวถิ ีทางท่ี จะใหฝ้ ันน้นั เป็นจริง วสิ ัยทศั น์มาจากไหน ในการพฒั นาวสิ ยั ทศั น์โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ วสิ ยั ทศั น์องคก์ ารน้นั มิไดเ้ กิดจากการนงั่ คิด นง่ั ฝันไปเพียง ลาพงั แตจ่ ะตอ้ งมีองคป์ ระกอบสาคญั อ่ืน ๆ อีกหลายประการ คือ 1. ขอ้ มูลขา่ วสาร (Information) ท้งั ภายในและภายนอกองคก์ าร 2. องคค์ วามรู้ (Knowledge) ของบุคคลในองคก์ ารน้นั ๆ 3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity) ที่ปราศจากการ “ยดึ ติด” กบั รูปแบบหรือวิธีการแบบเดิม ๆ (Old Paradigm Business) 4. ความคาดหวงั (Expectation) ของผทู้ ี่มีส่วนอยา่ งสาคญั (Stakeholders) ขององคก์ าร 5. การผสมผสาน จินตนาการ และดุลพินิจในดา้ นศกั ยภาพและความสามารถ ตลอดจนทกั ษะและประสบการณ์ ในการเรียนรู้ขององคก์ าร 6. ความสามารถในการวเิ คราะห์สภาวะแวดลอ้ มขององคก์ าร และแนวโนม้ ตา่ ง ๆไดอ้ ยา่ งแมน่ ยา ดว้ ยวธิ ีการ เชิงระบบ (Systemic Approach) 7. การกาหนดทางเลือกของเราเองในการเดินไปสู่อนาคต (Scenarios of the Future) วา่ จะใชก้ ลยทุ ธ์ใด เป็นตวั นา 8. มีการรวมพลงั ของความมุง่ มน่ั ตอ่ การสร้างนวตั กรรม (Innovation) ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงอยา่ งเป็นรูปธรรม

17 วสิ ัยทศั น์ทด่ี ี วสิ ยั ทศั น์เป็นเร่ืองของอนาคต ณ วนั ท่ีเรากาหนดวสิ ยั ทศั นน์ ้นั จะไมม่ ีใครบอกไดว้ า่วสิ ยั ทศั น์น้นั จะถูก หรือ ผดิ แตก่ บั วสิ ัยทศั น์ที่ดีน้นั เป็นคุณสมบตั ิท่ีเราจะตอ้ งคานึงถึงต้งั แต่เริ่มข้นั ตอนแรกของการพฒั นา วิสยั ทศั น์ ดงั น้ี 1. ตอ้ งมีคุณคา่ แก่องคก์ าร และช่วยสร้างศกั ยภาพขององคก์ าร รวมถึงภาพพจน์ที่ดีใหเ้ ป็นท่ียอมรับของ สาธารณชน 2. ตอ้ งมีความเป็นเลิศ (Idealistic) และสะทอ้ นถึงความแตกตา่ งจากปัจจุบนั ที่ทาใหท้ ุกคนรู้สึกศรัทธา และพร้อมท่ีจะมุ่งมน่ั ร่วมกนั ทาให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมแก่องคก์ าร 3. ตอ้ งทา้ ทายความรู้ ความสามารถของผนู้ าและสมาชิกทุกคนในองคก์ าร ต่อผลสาเร็จอนัจะเกิดข้ึนจาก วสิ ัยทศั นน์ ้นั ๆ 4. มาจากรูปแบบของวธิ ีการคิดและมุมมองท่ีเปิ ดกวา้ ง (Mental Models) ที่เล็งเห็นถึงการบริหารโอกาส บนความเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต และมองเห็น ถึง “เหตุ” อนั เกิดจากระบบต่าง ๆ และ คาดการณ์ได้ ถึง “ผล” ท่ีจะพึงมี 5. ไมค่ วรไปคดั ลอกวิสัยทศั นข์ ององคก์ ารอื่น ๆ เพราะสภาวะแวดลอ้ มท้งั ภายในและภายนอก รวมถึง จุดแขง็ จุดอ่อน มีความแตกตา่ งกนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผทู้ ่ีมีส่วนได้ส่วนเสียอยา่ งสาคญั (Stakeholders) ของแต่ละองคก์ าร ก็จะมีความคาดหวงั ท่ีแตกต่างกนั 6. วสิ ยั ทศั นข์ องหลาย ๆ องคก์ ารอาจมีโอกาสเหมือนกนั ได้ แตส่ ิ่งท่ีสาคญั ก็คือทุกองคก์ ารตอ้ งคิดและ พฒั นา ข้ึนมาเองจากขอ้ มูลและขอ้ เทจ็ จริงตา่ ง ๆ ท่ีมีอยู่ผู้นากบั การนาวสิ ัยทศั น์ไปปฏบิ ัติ การที่ผนู้ าจะนาวสิ ัยทศั น์ไปสู่การปฏิบตั ิเป็นสิ่งที่มีความหมายยงิ่ เพราะความสาเร็จขององคก์ ารไมไ่ ด้ ข้ึนอยกู่ บั การท่ีองคก์ ารมีวสิ ยั ทศั นท์ ่ียอดเยยี่ มแตเ่ พียงอยา่ งเดียว แตค่ วามสาเร็จท่ีจะเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งแท้ จริงข้ึนอยกู่ บั การนา วสิ ัยทศั น์ไปปฏิบตั ิใหม้ ีประสิทธิภาพ การนาวสิ ัยทศั นไ์ ปปฏิบตั ิ ถือวา่ เป็นภารกิจที่สาคญั อยา่ งยงิ่ ของผูน้ าที่จะตอ้ งทาหนา้ ท่ีช้ีนาใหเ้ ป็ นไปตามเจตนารมณ์ท่ีไดส้ ร้างฝันไว้ ซ่ึงจอห์น ริชาร์ดสัน (จอห์น ริชาร์ดสัน อา้ งถึงใน ทองใบ สุดชารี, 2550 : 127) ไดใ้ ห้ขอ้ คิดไวด้ งั น้ี 1. ผนู้ าตอ้ งเป็นโฆษกในการประชาสัมพนั ธ์วสิ ัยทศั น์ วสิ ัยทศั น์ไม่แตกต่างไปจากความฝันหากไมไ่ ด้ สานต่อ และร่วมกนั แบง่ ปันทิศทางใหม่ ในการเปล่ียนแปลงองคก์ าร ภารกิจท่ีสาคญั ของผนู้ า ซ่ึงจะตอ้ ง เปล่ียนแปลงองคก์ ารใหก้ า้ วไปสู่ทิศทางใหม่ไดน้ ้นั ผูน้ าจะตอ้ งทาใหบ้ ุคลากรเกิดความ เชื่อมนั่ ไดว้ า่ บุคลากรจะตอ้ งยอมรับเจตคติและพฤติกรรมใหม่ และเกิด ความรู้สึกวา่ พวกตน

18ไดร้ ับรางวลั จึงจะทาให้ บุคลากรเปล่ียนแปลงจากระบบเก่าสู่ระบบใหม่ได้ ซ่ึงบทบาท ของผนู้ าในฐานะโฆษกของการประชาสัมพนั ธ์ วสิ ัยทศั น์ ใหม่จะตอ้ งดาเนินการดงั น้ี 1.1 การสื่อสาร ผนู้ ามีความจาเป็ นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะตอ้ งวเิ คราะห์วธิ ีการและรูปแบบที่จะใชใ้ นการสื่อสารวสิ ยั ทศั น์ใหบ้ ุคลากรของ องคก์ าร รวมท้งั บุคคลภายนอกไดเ้ กิดความเขา้ ใจตรงกนั ในอนั ที่จะเกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ท่ีจะ เกิดข้ึน การเลือกใชว้ ิธีการส่ือสารจะตอ้ งเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อาจจะเป็นการส่ือสารแบบตวั ตอ่ ตวั การเป็ น องคป์ าฐกในท่ีประชุม การเขียนบนั ทึกช่วยจาถึงบุคลากร การจดั ทาเป็นแผน่ พบั โปสเตอร์ แถบบนั ทึก เสียง วดี ิทศั น์ หรือการเขียนบทความ ผนู้ าที่ยง่ิ ใหญ่ของโลกใชก้ ารสื่อสาร เพื่อการแลกเปล่ียนท่ีสาคญั ๆ ได้ 1.2 การสร้างเครือขา่ ย ผนู้ าท่ีมีประสิทธิภาพจะตอ้ งมีความสามารถในการสร้างเครือขา่ ย การสื่อสารกบั บุคลากรท้งั ภายในและ ภายนอกองคก์ าร ใหเ้ กิดการยอมรับวสิ ัยทศั น์ใหมข่ ององคก์ าร ดงั เช่นกรณีของประธานาธิบดีเยอรมนีตะวนั ตก ท่ีไดใ้ ชค้ วามพยายามในการรวมประเทศเยอรมนีเขา้ ดว้ ยกนั โดยสร้างเครือข่ายดว้ ยการใชค้ วามพยายามในการแสวงหาความร่วมมือจากสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวยี ต และผนู้ าของประเทศตา่ ง ๆ ในทวปี ยโุ รป เพ่ือใหก้ ารสนบั สนุน ความคิดของเขา ท้งั ไดส้ ร้างการยอมรับใหเ้ กิดข้ึนกบั ประชาชนท้งั ในเยอรมนีตะวนั ตกและเยอรมนีตะวนั ออก 1.3 เป็นบุคคลที่สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงวสิ ัยทศั น์ การนาวสิ ยั ทศั น์ไปสู่การปฏิบตั ิ จะตอ้ งเป็นบุคคลท่ีมีบุคลิกภาพแห่งการเป็ นตวั แทนของวสิ ัยทศั นอ์ ยา่ ง จริงจงั ดงั เช่นกรณีที่มาร์ติน ลูเทอร์ คิง (Martin Luther King) ผนู้ าของชาวผวิ ดาท่ีต่อสู้เพือ่ สิทธิเสรีภาพของคน ผวิ ดาในอเมริกา ซ่ึงเป็ นบุคคลที่เป็นตวั แทนแห่งจิตวิญญาณของการตอ่ สู้เพอ่ื ความเทา่ เทียมกนั อยา่ งแทจ้ ริง และไดก้ ล่าวสุนทรพจน์ไวอ้ ยา่ งแหลมคมวา่ “มนุษยชาติคงไม่มีโอกาสไดน้ บั ถือศาสนาคริสต์ (Christ) เป็นผนู้ าทางความคิด ประชาธิปไตยคงจะไม่เกิดในโลกหากไมม่ ีเอบราแฮม ลิงคอลน์ (Abraham Lincoln) ทอมสั เจฟเฟอร์สนั (Thomas Jefferson) และ ทีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ลทั ธิคอมมิวนิสตค์ งจะไมเ่ กิดข้ึน หากไม่มีคาร์ล มากซ์ (KarlMarx)เลนิน (Lenin) และโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ...มนุษยถ์ ูกช้ีนาใหเ้ ขา้ ถึงสาเหตุแห่งการเปล่ียนแปลง และ ไดเ้ ขา้ ไปสัมผสั กบั ความคิดท่ียง่ิ ใหญ่ของบุคคลท่ียง่ิ ใหญแ่ ห่งยคุ ” ฉะน้นั ผนู้ าขององคก์ ารที่ตอ้ งการใหว้ สิ ัยทศั นไ์ ดร้ ับการยอมรับอยา่ งเป็นธรรม จาเป็ นอยา่ งยงิ่ ที่จะตอ้ งเป็ น ตวั แทนแห่งจิตวญิ ญาณที่แสดงออกดว้ ยเจตนารมณ์อยา่ งมุ่งมนั่ อาศยั ความที่จะดาเนินการและใหก้ ารสนบั สนุนการดาเนินการ ตามวิสยั ทศั นน์ ้นั อยา่ งแทจ้ ริง 2. ผนู้ าจะตอ้ งทาหนา้ ท่ีของผนู้ าในการเปลี่ยนแปลงวิสยั ทศั น์ การท่ีสินคา้ และบริการจะไปถึงผบู้ ริโภคไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ จะตอ้ งอาศยัความสามารถของตวั แทนจาหน่าย ผลิตภณั ฑท์ ี่มีประสิทธิภาพ ส่วนการส่งตอ่ วสิ ัยทศั น์

19ไปยงั บุคลากรและผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียประโยชน์จากองคก์ าร ก็ไม่แตกตา่ งกนั ผนู้ าสูงสุดขององคก์ ารจะตอ้ งเป็ นผนู้ าในการเปล่ียนแปลงตามวสิ ยั ทศั นใ์ หม่อยา่ งแขง็ ขนั และใหก้ ารสนบั สนุนในทุกรูปแบบ จึงจะทาใหผ้ ทู้ ี่เก่ียวขอ้ งทุกคนเกิดความเขา้ ใจตรงกนั และเกิดความเชื่อมนั่ ไดว้ า่ การเปล่ียนแปลงใหม่ท่ีจะเกิดข้ึน พวกเขาจะไม่มีทางท่ีจะถูกทิ้งใหโ้ ดดเดี่ยวแน่นอน โดยผูน้ าควรมีบทบาทท่ีสาคญั ดงั น้ี 2.1 ตอ้ งใชว้ ธิ ีการคิดเชิงกลยทุ ธ์ ผนู้ าจะตอ้ งรู้วา่ การกา้ วไปสู่ทิศทางที่ตนเองวางแผนไว้ จาเป็นตอ้ งมียทุ ธศาสตร์การคิดและการตดั สินใจที่ แยบยลวา่ จะดาเนินการอยา่ งไร โดย ทวั่ ไปยทุ ธศาสตร์ของผนู้ าในการเปล่ียนแปลงวสิ ัยทศั น์ใหมม่ ีดงั น้ี 1) ตอ้ งวเิ คราะห์วา่ จะเปลี่ยนแปลงโดยลาพงั หรืออาศยั พนั ธมิตร (Alliance) โดยทว่ั ไปการเปล่ียนแปลง ใด ๆ โดยลาพงั เป็นสิ่งที่ยาก หากผนู้ าไม่มีความแขง็ แกร่งจริง ๆ ส่วนยทุ ธศาสตร์การร่วมมือกบั พนั ธมิตรน้นั จะช่วย ใหเ้ กิดความราบร่ืนไดม้ ากข้ึน 2) ผนู้ าจะตอ้ งเลือกเป้าหมายและวตั ถุประสงคใ์ นการดาเนินการขยายผลของวสิ ยั ทศั น์ใหมใ่ หเ้ หมาะสม ท้งั ทางดา้ นเวลาและสถานการณ์ 3) ตอ้ งมียทุ ธศาสตร์ของการใชบ้ ุคลากรท่ีมีฝีมือเขา้ มาช่วยขยายผลของการเปล่ียนแปลงตามวสิ ยั ทศั นใ์ หม่ 4) จะตอ้ งหาวธิ ีการเผยแพร่และประชาสัมพนั ธ์วสิ ยั ทศั นจ์ ากโครงสร้างระดบั บนสุดขององคก์ ารไปสู่ โครงสร้างระดบั ล่างใหเ้ ป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ 2.2 ตอ้ งสร้างบรรยากาศใหมใ่ นองคก์ าร ผนู้ าในการเปลี่ยนแปลงจะตอ้ งมีความสามารถในการเอาชนะการต่อตา้ นการเปลี่ยนแปลงและสามารถสร้าง บรรยากาศใหม่เพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลงตามวสิ ัยทศั น์ใหมไ่ ด้ อีกท้งั จะตอ้ งสร้างบรรยากาศที่เอ้ืออานวยต่อการ เปล่ียนแปลงไดอ้ ยา่ งเหมาะสม3. ผนู้ าทาหนา้ ท่ีเป็ นผสู้ อนวิสยั ทศั น์ขององคก์ าร บทบาทในการสอนงาน ถือวา่ เป็นภารกิจท่ีสาคญั ของผนู้ าท่ีจะเป็นผสู้ อนเพื่อส่งต่อแนวความคิดและวสิ ัยทศั น์ ขององคก์ ารใหก้ า้ วเดินไปอยา่ งไม่สะดุด เช่น ประธานาธิบดีจอร์จ บุช(Bush) ดก้ ล่าวกบั ทีมท่ีปรึกษาในระหวา่ งการ เขา้ รับตาแหน่งวา่ “การคิดการณ์ใหญไ่ วท้ างานท่ีทา้ทาย ยดึ มน่ั ในคุณธรรมอยา่ งสูงส่ง ตอ้ งมีระบบการบนั ทึกการทางาน ใหไ้ ดด้ ีท่ีสุด ใหค้ วามจริงใจต่อกนั ทุ่มเทใหก้ บั การทางาน หากขา้ พเจา้ ถูกตามตวั เพอื่ การตดั สินใจ พวกเรา จะร่วมกนั ทางานให้เป็นทีม ตอ้ งทางานร่วมกบั รัฐสภาใหด้ ีเยย่ี ม และเป็นตวั แทนแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาอยา่ งมีศกั ด์ิศรี” การทาหนา้ ที่เป็ นผูส้ อนและใหก้ ารอบรมเกี่ยวกบั สาระสาคญั ของวสิ ัยทศั นข์ ององคก์ ารของผนู้ า เป็ นสิ่งสาคญั ที่จะสร้างกลไกของระบบสงั คมใหมข่ ้ึนในองคก์ าร โดยควรดาเนินการดงั น้ี 3.1 การจดั กลุ่มของบุคลากรเพือ่ สอนสาระสาคญั ในการส่งถ่ายวสิ ัยทศั น์

20 3.2 จดั สรรทรัพยากรและส่ิงอานวยความสะดวกเพอื่ การส่งเสริมและสนบั สนุนกลุ่มงาน 3.3 การออกแบบระบบการสร้างแรงจูงใจในการทางาน 3.4 การกาหนดโครงสร้างของงานและจดั แบ่งงาน 3.5 เลือกผนู้ าทีมในแต่ละกลุ่มงาน 3.6 การกาหนดเป้าหมายและสร้างความคาดหวงั ที่สัมพนั ธ์กบั แตล่ ะกลุ่มงาน เพือ่ ใหเ้ ห็นภาพความสัมพนั ธ์ระหวา่ งวสิ ยั ทศั น์กบั กลไกตา่ ง ๆ ที่จะทาใหว้ สิ ยั ทศั นข์ ององคก์ ารถูกนาไปสู่ การปฏิบตั ิอยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงขอนาเสนอโดยการสรุปเป็นสูตรของความสัมพนั ธ์ดงั ปรากฏในแผนภูมิความฉลาดทางอารมณ์ IQ ยอ่ มาจากคาวา่ Intelligence Quotient หรือภาษาไทยรู้จกั กนั ดีในคาวา่ เชาวนป์ ัญญา EQ ยอ่ มาจากคาวา่ Emotional Quotient หรือภาษาไทยรู้จกั กนั ดีในคาวา่ เชาวน์อารมณ์ ความหมายของเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งท่ีเราค่อนขา้ งไดย้ นิ มานานในดา้ นความเก่ง ความฉลาดของสมอง ความสามารถ ในการเรียนรู้และคิดเหตุผล การแกป้ ัญหาและการปรับตวั กบั สิ่งแวดลอ้ มเชาวน์ปัญญามาจากคาวา่ Intelligence Quotient แปลวา่ เรโชไอคิว หรืออตั ราส่วนไอคิว หมายถึงระดบั เชาวนป์ ัญญา (Intelligence) หรือสมรรถภาพทางสมอง (Mental Ability) ของมนุษย์ ซ่ึงเป็นอตั ราส่วนระหวา่ งอายจุ ิต (Mental Age) หรืออายสุ มอง ซ่ึงเป็นคะแนนท่ีประเมินไดจ้ ากแบบทดสอบมาตรฐานทางดา้ นเชาวน์ปัญญา (Intelligence Test) และอายจุ ริงตามปฏิทิน(Chronological Age) แลว้ คูณดว้ ย 100 เช่น ไอคิว 130 ข้ึนไป (WISC) หมายถึง อจั ฉริยะ ไอคิว 120–129 หมายถึง ฉลาดมาก ไอคิว 110–119 หมายถึง ค่อนขา้ งฉลาด ไอคิว 90–109 หมายถึง ปานกลางไอคิว 80–89 หมายถึง ทึบ ไอคิว 70–79 หมายถึง คาบเส้น ไอคิว 30–69 หมายถึง ปัญญาอ่อน 2.2 ความหมายของเชาวน์อารมณ์หรือความฉลาดทางอารมณ์ บุคคลผมู้ ีเชาวน์อารมณ์ คือ บุคคลผมู้ ีความสามารถในการใหก้ าลงั ใจตนเองและสามารถเผชิญความ คบั ขอ้ งใจได้ สามารถควบคุมแรงกระตุน้ ภายในและรอคอยการตอบสนองความตอ้ งการของตนเองได้ ตามกาลเทศะอยา่ ง เหมาะสม สามารถควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ของตนเองได้และขจดั ความเครียดท่ีมาขดั ขวางความสามารถในการคิด อยา่ งสร้างสรรคข์ องตนเอง มีความเป็นผนู้ าและสามารถอยรู่ ่วมกบั ผูอ้ ื่น ไดอ้ ยา่ งมีความสุขท้งั ในบา้ น สถานศึกษา ที่ทางาน สงั คม และโลกภายนอก

21 2.3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเชาวนป์ ัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ ไอคิว หรือระดบัความสามารถทางสมอง หรือเชาวนป์ ัญญา (Intelligence Quotient : IQ) และความฉลาดทางอารมณ์(Emotional Intelligence : EQ) มิใช่ความสามารถ (Competencies) ท่ีตรงกนั ขา้ ม แตท่ วา่ คอ่ นขา้ ง จะแยกจากกนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั เรามกั จะนาความเฉียบแหลมทางสมรรถภาพทางสมองและทางอารมณ์มาปะปนกนั เช่น กล่าววา่ คนบางคนมีไอคิวสูง แตค่ วามฉลาดทางอารมณ์ต่า หรือคนบางคนมีไอคิวต่า แต่ความฉลาดทางอารมณ์สูง ซ่ึงแสดงถึงความแตกต่างระหวา่ งเชาวน์ปัญญาและเชาวน์อารมณ์ ลกั ษณะของคนทมี่ ี IQ และ EQ สูงลกั ษณะของผทู้ ี่มี IQ และ EQ สูงน้นั วรี ะวฒั น์ ปันนิตามยั (2542) ไดแ้ สดงแผนภาพเปรียบเทียบโดยจาแนกหญิงชาย ดงั น้ี EQ สูง IQ สูง ชาย– ชอบสังคม ร่าเริงเปิ ดเผย– สามารถทาใหผ้ อู้ ื่นเป็ นสุขไดง้ ่าย– ไมห่ วาดกลวั ไมว่ ติ กกงั วล_ ไม่เป็นคนคิดมาก– รักษาคาพูด ทาตามสัญญา – มน่ั ใจในตนเอง– รอบรู้งานในหนา้ ที่– สนใจในส่ิงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ตนเอง– ชอบวพิ ากษว์ จิ ารณ์และจูจ้ ้ี หญิง– มนั่ ใจในตนเองในระดบั ที่เหมาะสม– เปิ ดเผยความรู้สึก ตรงไป ตรงมา– มีความรู้สึกที่ดีกบั ตนเอง – เช่ือมน่ั ในความคิดอา่ นของตนเอง– วติ กกงั วล คิดมาก– ไม่กลา้ แสดงจุดยนื หรือความรู้สึกของตนออกมา

22องค์ประกอบของความฉลาดทางอารมณ์ โกลแมน (Goleman อา้ งถึงใน พรรณราย ทรัพยะประภา, 2548) ไดก้ ล่าววา่การนาแนวคิดเกี่ยวกบั ความฉลาด ทางอารมณ์ไปประยกุ ตใ์ นการปฏิบตั ิงานภายในองคก์ ารตา่ ง ๆหรือนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการ บริหารบุคคลน้นั มีประเด็น ท่ีควรจะนาไปพิจารณา คือ ความฉลาดทางอารมณ์ในการทางาน ซ่ึงประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั 2 ดา้ น คือ ความสามารถส่วนตวั(Personal Competence) และ ความสามารถทางดา้ นสงั คม (Social Competence) สามารถ กล่าวโดยสรุปไดด้ งั ต่อไปน้ี 1. ความสามารถส่วนตวั (Personal Competence) เป็นความสามารถทางดา้ นต่าง ๆ ที่กาหนดวา่เราสามารถ ขดั เกลาตนเองไดอ้ ยา่ งไร ไดแ้ ก่ ความสามารถดงั ต่อไปน้ี 1.1 การตระหนกั รู้ในตนเอง (Self-awareness) หมายถึง การรู้วา่ ตนเองมีภาวะภายในอยา่ งไร มีความ ชอบไมช่ อบในเรื่องอะไรบา้ ง มีความสามารถทางดา้ นใดบา้ ง และมีญาณหยงั่ รู้ (Intuition)อยา่ งไร แบง่ ออกเป็ น ความสามารถยอ่ ย ๆ อีก 3 ดา้ น คือ 1.1.1 การตระหนกั รู้ในอารมณ์ของตนเอง (Emotional Awareness) คือ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ความรู้สึกและผลท่ีตามมาของอารมณ์ความรู้สึกน้นั ๆ 1.1.2 การประเมินตนเองอยา่ งถูกตอ้ ง (Accurate Self-assessment) คือ ความสามารถในการรู้วา่ ตนเองมีส่วนดี (Strength) และ/หรือมีขอ้ จากดั (Limit)ทางดา้ นใดบา้ ง 1.1.3 ความมน่ั ใจในตนเอง (Self-confidence) คือ ความรู้สึกวา่ ตนเองมีคุณค่าหรือมีความสามารถ ทางดา้ นใดและอยา่ งไรบา้ ง 1.2 การจดั การตนเอง (Self-regulation) หมายถึง ความสามารถในการจดั การกบั สภาพตา่ ง ๆ ภายในตน ความรู้สึกนึกคิด และทรัพยากรต่าง ๆ ท่ีตนเองมี ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะตา่ ง ๆ 5 ประการ คือ 1.2.1 การควบคุมตนเอง (Self-control) คือ การควบคุมอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ท่ีเป็นผลทาง ทาลาย (Disruptive) ไวไ้ ม่ใหแ้ สดงออกมา แตส่ ามารถจดั การกบั ความรู้สึกทางลบเหล่าน้ีได้อยา่ งเหมาะ สมแก่กาลเทศะ 1.2.2 ความน่าเชื่อถือได้ (Trustworthiness) คือ การดารงรักษาไวซ้ ่ึงมาตรฐานของความซ่ือสตั ย์ และความมนั่ คง (Integrity) 1.2.3 หิริโอตตปั ปะ (Conscientiousness) คือ ความรับผดิ ชอบในการกระทาต่าง ๆ ของตนเอง ไมก่ ล่าวหากล่าวโทษผอู้ ่ืนในความผดิ พลาดบกพร่องของตนเองที่ไดก้ ระทาลงไป 1.2.4 ความสามารถในการปรับตวั (Adaptability) คือ ความยดื หยนุ่ในการจดั การกบั การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

23 1.2.5 นวตั กรรม (Innovation) คือ ความพอใจต่อความคิดใหม่ ๆ วธิ ีการใหม่ ๆ และขอ้ มูลใหม่ ๆ แลว้ นามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ 1.3 การจูงใจ (Motivation) หมายถึง ความสามารถทางอารมณ์ที่จะนาไปสู่หรือสนบั สนุนการบรรลุเป้าหมายตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะ 4 ประการ คือ 1.3.1 แรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิ (Achievement Drive) คือ การต่อสู้เพอ่ื ใหเ้ กิดการปรับปรุงเพ่อื ไปถึง มาตรฐานของความเป็นเลิศในการทางาน 1.3.2 ความผกู พนั สัญญา (Commitment) คือ การยดึ มน่ั ต่อเป้าหมายของกลุ่มหรือขององคก์ าร ท่ีไดม้ ีการต้งั มาตรฐานไวแ้ ลว้ 1.3.3 ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Initiative) คือ ความพร้อมท่ีจะแสดงออกในโอกาสต่าง ๆ ทางดา้ นการคิดใหม่ ๆ หรือการพฒั นาสิ่งใหม่ ๆ ใหเ้ กิดข้ึนในตนเอง 1.3.4 การมองโลกในแง่ดี (Optimism) คือ ความยดึ มนั่ ในการปฏิบตั ิส่ิงตา่ ง ๆ ใหบ้ รรลุเป้าหมาย ท่ีไดต้ ้งั ไวโ้ ดยไม่ยอ่ ทอ้ ต่ออุปสรรคและขอ้ ขดั ขอ้ งต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดข้ึนในขณะน้นั 2. ความสามารถทางดา้ นสังคม (Social Competence) เป็นความสามารถตา่ ง ๆท่ีเป็นตวั กาหนดวา่ เราจะจดั การ (Handle) ในความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั เรากบั ผูอ้ ่ืนไดอ้ ยา่ งไร ประกอบดว้ ยความสามารถ 2 ดา้ น คือ การตระหนกั รู้ในผอู้ ่ืนหรือการเขา้ ใจผอู้ ่ืน(Empathy) และทกั ษะทางสงั คม (Social Skills) 2.1 การตระหนกั รู้ในผอู้ ่ืนหรือการเขา้ ใจผอู้ ื่น (Empathy) หมายถึง ความตระหนกั รู้ในความรู้สึกความตอ้ งการ และเรื่องราว (Concern) ของผอู้ ่ืน ซ่ึงประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะต่าง ๆดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1.1 ความเขา้ ใจผอู้ ื่น (Understanding Others) คือ ความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ และความนึกคิดในแง่มุมต่าง ๆ (Perspective) ของผอู้ ื่น 2.1.2 การพฒั นาผอู้ ื่น (Developing Others) คือ ความสามารถในการรับรู้วา่ผอู้ ื่นตอ้ งการจะพฒั นาอะไร และสนบั สนุนใหม้ ีการพฒั นาความสามารถของผอู้ ่ืนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2.1.3 มีจิตใจใหบ้ ริการ (Service Orientation) คือ ความสามารถในการเขา้ ไปมีส่วนร่วมสงั เกต และตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ หรือประชาชนผมู้ าใชบ้ ริการ 2.1.4 การรับรู้ความแตกต่างของผูอ้ ่ืน (Leveraging Diversity) คือความสามารถในการใชโ้ อกาสจากความแตกต่างระหวา่ งบุคคลใหเ้ ป็นประโยชน์ 2.1.5 การตระหนกั รู้ทางการเมือง (Political Awareness) คือ ความสามารถในการอ่านอารมณ์ ความรู้สึกของกลุ่มและเขา้ ใจวฒั นธรรมขององคก์ ารท่ีตนเองเป็นสมาชิก 2.2 ทกั ษะทางสงั คม (Social Skills) หมายถึงความสามารถในการสร้างการตอบสนองท่ีตอ้ งการให้เกิดข้ึนในผอู้ ื่นหรือในบุคคล ที่ทางานร่วมกนั ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี

24 2.2.1 ศิลปะในการจูงใจผอู้ ื่น (Influence) คือ ความสามารถในการใชศ้ ิลปะตา่ ง ๆ เพอ่ื การจูงใจคน เช่น การใหค้ าชมเชย รางวลั ทางสังคม หรือรางวลั อ่ืน ๆ 2.2.2 การส่ือความหมาย (Communication) คือ ความสามารถในการพูดและการฟังอยา่ งเปิ ดเผยจริงใจ และส่งขา่ วสารที่น่าเช่ือถือไดอ้ อกไป 2.2.3 การจดั การกบั ความขดั แยง้ (Conflict Management) คือ ความสามารถในการประนีประนอมและการแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ต่าง ๆ อยา่ งสร้างสรรคใ์ นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลท่ีทางานร่วมกนั 2.2.4 ความเป็นผนู้ า (Leadership) คือ ความสามารถในการสร้างกาลงั ใจและแนะนาบุคคลหรือกลุ่มได้ 2.2.5 ตวั กระตุน้ การเปล่ียนแปลง (Change Catalyst) คือ ความสามารถในการสร้างหรือจดั การ เปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ ใหเ้ กิดข้ึนอยา่ งสร้างสรรค์ 2.2.6 สร้างความผกู พนั (Building Bonds) คือ ความสามารถในการดูแลผอู้ ื่นอยา่ งลูกหลานมีความเมตตากรุณา และปรารถนาดีอยา่ งจริงใจ 2.2.7 ความร่วมมือ (Collaboration and Cooperation) คือ ความสามารถในการทางานร่วมกบัผอู้ ื่นตามเป้าหมายท่ีไดต้ ้งั ไว้ 2.2.8 ความสามารถในทีม (Team Capabilities) คือ ความสามารถในการสร้างพลงั ของกลุ่มเพือ่ ใหบ้ รรลุเป้าหมายตา่ ง ๆ ในการทางานความฉลาดทางอารมณ์เป็นคุณสมบตั ิที่ละเอียดอ่อน สลบั ซบั ซอ้ น ลึกซ้ึง และพฒั นาสะสมมาต้งั แต่วยั เดก็ซ่ึงเป็นผลมาจากการอบรมเล้ียงดูของครอบครัว ชุมชน สังคม และวฒั นธรรมที่แตกตา่ งแต่กเ็ ป็นส่ิงท่ีสามารถฝึกได้ โดยใหค้ วามสาคญั ต่อพฒั นาการทางอารมณ์ต้งั แตว่ ยั เด็กดว้ ยการจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีส่งเสริมการพฒั นาดงั กล่าวและการมีตวั แบบท่ีดี ซ่ึงเดก็ ๆ สามารถเลียนแบบได้ ส่วนในวยั ผใู้ หญน่ ้นั สามารถพฒั นาความฉลาดทางอารมณ์ไดด้ ว้ ยการลบ เลิก หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้งั เดิมท่ีไมพ่ งึ ประสงคเ์ สียก่อน แลว้ จึงเรียนรู้พฤติกรรมที่พงึ ประสงคใ์ หม่เขา้ มาแทน 2.5 ความฉลาดทางอารมณ์ในการทางาน จากการวจิ ยั ทางดา้ นพฤติกรรมศาสตร์หลาย ๆ เรื่องและอยา่ งกวา้ งขวางน้นั ทาใหโ้ กลแมน(Goleman อา้ งถึงใน พรรณราย ทรัพยะประภา, 2548) ใหข้ อ้ สรุปถึงบทบาทสาคญั ของอารมณ์ที่มีตอ่ ชีวติ จิตใจของเรา และ กล่าววา่ คนเรามีจิตใจ 2 ชนิด คือ จิตใจท่ีใชเ้ พ่ือการคิด (Think) และจิตใจท่ีใชเ้ พอื่ การรู้สึก (Feel) จิตใจส่วนที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก (Emotional Mind) น้ีมีอิทธิพลครอบงาเหนือความคิดของเราในช่วงเวลาท่ีเราตกอยใู่ นหว้ งแห่งกิเลสและเวลาที่อารมณ์ไมด่ ี โกลแมนและนกั จิตวทิ ยาอ่ืน ๆ ยอมรับวา่ ความสาเร็จในชีวติของคนเราน้นั ความฉลาดหรือเชาวนป์ ัญญามีส่วนกาหนดเพยี ง 20% ขององคป์ ระกอบอื่น ๆ

25เทา่ น้นั อีก 80% มาจากปัจจยั อ่ืน ๆ ซ่ึงรวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ดว้ ย ถา้ พจิ ารณาความสาเร็จอยา่ งละเอียดแลว้ หลายคนอาจจะโตแ้ ยง้ วา่ ความสาเร็จดงั กล่าวอยภู่ ายใตอ้ านาจเงิน และตาแหน่งแต่ยงั มีหลกั ฐานใหเ้ ห็นชดั เจน จากการพิจารณาคนท่ีมีพร้อมท้งั เงิน อานาจ และตาแหน่งอยา่ งเพียบพร้อมบริบูรณ์แลว้ ยงั พบวา่ บุคคลผมู้ ีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แตไ่ มม่ ีเพื่อนและมีชีวติ อยอู่ ยา่ งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยน้นั มกั จะลงเอยดว้ ยความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายไร้สุข และคนท่ีมีความเช่ียวชาญในการทางานสูงแต่ไมส่ ามารถเขา้ กบั เพ่ือนร่วมงานได้ จะไม่สามารถสร้างสมั พนั ธภาพท่ีมีความหมายได้ ดงั น้นั การที่จะประสบความสาเร็จในชีวติ ได้ จะตอ้ งประกอบดว้ ยเชาวน์ปัญญา(IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ในสัดส่วนที่พอ ๆ กนั ขอ้ ดีของการผสมผสาน IQ กบั EQ ของบุคคลกค็ ือ จะทาใหเ้ ขามีความสามารถดงั ตอ่ ไปน้ี(Patton, 1997 :5 อา้ งถึงใน พรรณราย ทรัพยะประภา, 2548) 1. ทางานร่วมกบั ผูอ้ ื่นไดด้ ี 2. เป็นสมาชิกที่ดีของทีมงาน 3. มีความเช่ือมนั่ ในตนเอง และมีพลงั จูงใจที่จะประสบความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีไดต้ ้งั ไว้ 4. จดั การกบั ความขดั แยง้ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 5. ใหบ้ ริการตา่ ง ๆ ไดด้ ีกวา่ 6. สื่อสารกบั ผอู้ ื่นไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากกวา่ 7. นาและบริหารจดั การผอู้ ่ืนดว้ ยหวั ใจ (EQ) และดว้ ยหวั สมอง (IQ) 8. สร้างสรรคอ์ งคก์ ารให้มีความซ่ือสัตย์ คา่ นิยม และมาตรฐานทางพฤติกรรมสูง IQ เป็นปัจจยั ทางพนั ธุกรรมท่ีมนุษยไ์ ดต้ ิดตวั มาแต่กาเนิดและไมส่ ามารถเปล่ียนแปลงได้ เราสามารถพฒั นา EQ ใหด้ ีข้ึนไดด้ ว้ ยการฝึกฝนอบรม เรียนรู้ และดว้ ยความต้งั ใจท่ีจะพฒั นา ซ่ึงพ้นื ฐานของการพฒั นาหรือการเพิ่ม พนู ความฉลาดทางอารมณ์ของเราเองน้นั อยทู่ ี่ตวั ของเราเองในส่วนของการรู้จกั ตนเอง หรือที่เรียกวา่ การตระหนกั รู้ในตนเอง (Self-awareness) การตระหนกั รู้ในตนเอง เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในการทาความเขา้ ใจและความกระจ่างแจง้ตอ่ การกระทาของเราเอง การตระหนกั รู้ในตนเองเป็นจุดเร่ิมตน้ ของการพฒั นาตนเอง ซ่ึงจุดน้ีเองท่ีการสร้างความฉลาดทางอารมณ์ไดเ้ ร่ิมตน้ พฒั นาข้ึนมา เส้นทางของการตระหนกั รู้ในตนเอง คือความรับผดิ ชอบและความกลา้ หาญ ซ่ึงมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การเปล่ียนแปลงตนเอง และเม่ือตอ้ งเผชิญกบั ดา้ นตา่ ง ๆ ที่ไม่น่าพึงพอใจของตนเอง EQ น้นั นบั วา่ เป็นสะพานที่เช่ือมระหวา่ งส่ิงท่ีเรารู้ (What we know) กบั ส่ิงที่เรากระทา (Whatwe do) ถา้ เรามี EQ สูงเท่าไร เราก็ยอ่ มจะมีทกั ษะดีข้ึน ในการกระทาตา่ ง ๆ ของเรารู้วา่ เป็นการกระทาท่ีถูกตอ้ ง ตวั อยา่ งเช่นคนส่วนมากจะเห็นดว้ ยวา่ เป็ นการไม่มีประสิทธิภาพ ถา้ จะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ และตะโกนใส่ผอู้ ื่นเราจะไม่ไดอ้ ะไรที่เป็นประโยชน์เลย นอกจากความอบัอายขายหนา้ ความรู้สึกสะเทือนใจหรือเจบ็ ช้าน้าใจ และความรู้สึกผดิ นกั การศึกษาและผทู้ ี่มีความ

26เฉลียวฉลาดบางคนกย็ งั ตกเป็ นทาสแห่งความโกรธไดง้ ่ายเช่นเดียวกนั ซ่ึงถือเป็ นการกระทาที่ไม่เหมาะสม แตจ่ ิตใจส่วนที่เป็ นอารมณ์ความรู้สึกของเขาแตกต่างออกไป กล่าวคือ อารมณ์ความรู้สึกมกั จะมีอานาจเหนือเหตุผลเสมอ นอกจากน้ี ตณั หาราคะหรือความทะเยอทะยาน และความโกรธบางทีกส็ ามารถดึงเหตุผลออกมาไดเ้ ช่นเดียวกนั (เวลาโกรธแลว้ ไดแ้ สดงออกมาวา่ โกรธ)ความสาเร็จในสมั พนั ธภาพที่เกิดจากความฉลาดทางอารมณ์ เป็นทกั ษะที่สาคญั มากท่ีสุด ถา้ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เรากจ็ ะดูเหมือนเป็นแค่เครื่องคอมพวิ เตอร์นน่ั เอง นนั่ คือ “คิดไดแ้ ต่ไร้อารมณ์” การสร้างความสนบั สนุนในโครงงานสาคญั โดยผสมผสานกบั อารมณ์ความรู้สึกของผอู้ ่ืนเป็นทกั ษะสาคญั ในสถานที่ทางาน ทาใหอ้ งคก์ ารมีความตอ้ งการพนกั งานที่มีคุณสมบตั ิ3 ประการคือ 1. มีความสามารถทางสติปัญญาที่จะปฏิบตั ิงานตามความรับผดิ ชอบในระดบั ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพ ถูกตอ้ งเหมาะสม และมีขอ้ ผดิ พลาดนอ้ ยท่ีสุดหรือไม่มีเลย 2. มีทกั ษะหรือความชานาญที่จะทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นเพื่อใหป้ ระสบความสาเร็จตามเป้าหมายขององคก์ าร ท่ีไดต้ ้งั ไวอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. มีวฒุ ิภาวะทางอารมณ์ (Emotional Maturity) เพียงพอที่จะรับมือกบั การเปลี่ยนแปลง ความทา้ทาย ความไม่แน่นอน และความขดั แยง้ ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวติ ประจาวนั อยา่ งไรก็ตาม ผนู้ าส่วนใหญม่ กั จะหมกมุ่นอยกู่ บั ความรู้ ความสามารถของผรู้ ่วมงานวา่ พวกเขาจะทางานของ เขาให้ดีไดอ้ ยา่ งไร และมกั จะคิดวา่ ความรู้ ความสามารถดงั กล่าวจะเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยการฝึกฝนอบรมทางดา้ นเทคนิค วธิ ีการทางาน และจากประสบการณ์ของการเรียนรู้ในการทางานประจาวนั ของพวกเขาเอง ซ่ึงก็เป็นความจริงเพียง คร่ึงเดียวเทา่ น้นั ส่วนความจริงอีกคร่ึงหน่ึงที่ขาดหายไปกค็ ือ ส่วนท่ีเป็นความฉลาดทางอารมณ์ ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดประโยชน์ และถา้ เราตอ้ งการผลการปฏิบตั ิงาน (หรือผลงาน) ดีและมีคุณภาพ บุคลากรของเราจะสามารถกระทาส่ิงต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ีได้ 1. บริหารจดั การอารมณ์ของตนเองและอารมณ์ของผอู้ ื่นได้ 2. สงั เกตหรือแยกแยะไดว้ า่ ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนน้นั เป็นปัญหาทางอารมณ์หรือปัญหาทางเหตุผล 3. นาอารมณ์ความรู้สึกทางบวก (Positive Emotion) มาใชใ้ นการกระทาเพอื่ ไปสู่ความสาเร็จในการทางานเช่น การมองโลกในแง่ดี (Optimism) ความมนั่ คง (Persistence) และความหวงั (Hope) เป็นตน้ 4. มีและรักษาไวซ้ ่ึงการจูงใจตนเองและวนิ ยั ในตนเอง ที่จะช่วยใหร้ ักษาคุณภาพและผลิตภาพ(Productivity)ของตนเองไวไ้ ดอ้ ยา่ งสม่าเสมอ 5. มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและใส่ใจผอู้ ื่น 6. แสดงออกซ่ึงความซ่ือสัตย์ (Integrity) ต่อหนา้ ท่ีการงานท่ีตนเองรับผดิ ชอบ และความจงรักภกั ดี (Loyalty)ต่อหน่วยงาน ตอ่ โรงเรียนท่ีตนเองเป็ นสมาชิกอยู่

27 จะเห็นไดว้ า่ ความสามารถตา่ ง ๆ ท้งั 6 ประการท่ีกล่าวมาน้ี มิใช่ทกั ษะทางการทางาน(Technical Skill) แตป่ ระการใด แตท่ วา่ เป็ นความสามารถประการหน่ึงของมนุษยท์ ่ีสามารถพฒั นาใหเ้ กิดข้ึนได้ ถา้ องคก์ ารมีความ เตม็ ใจที่จะทาใหเ้ ป็ นเร่ืองสาคญั การท่ีจะมีความเป็ นเลิศในการทางาน และเพิม่ พูนพฤติกรรมในการทางาน หมายถึง การนาความฉลาดทางอารมณ์ไปปรับใชใ้ นสัมพนั ธภาพของทีมงาน และตามความสามารถของตนเอง ซ่ึงสถานท่ีที่ดีท่ีสุดที่จะก่อใหเ้ กิดส่ิงเหล่าน้ีไดก้ ค็ ือสถานที่ทางานนนั่ เอง บุคลากรผมู้ ีความฉลาดทางอารมณ์จะเป็นตวั เร่งในการสร้างสมั พนั ธภาพในองคก์ าร อาจเปรียบไดว้ า่ เขาเป็น “ดาว” ท่ีสร้างสถานที่ที่ใหบ้ ุคลากรมาอยรู่ ่วมกนัอยา่ งผกู พนั แน่นแฟ้นมากข้ึน การเชื่อมโยงระหวา่ ง EQ และ IQ เพ่อื เพิ่มพนู ผลประโยชน์ และสัมฤทธิผลข้นั ต่าสุดในการทางานน้นั สามารถกระทาใหเ้ กิดข้ึนไดด้ ว้ ยการเช่ือมโยงระหวา่ งส่ิงท่ีเรารู้และสิ่งที่เราทา ดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งจิตใจ (Mind) กบั หวั ใจ (Heart) ในการรับมือกบั เรื่องราวต่าง ๆ ทุกเร่ือง ซ่ึงหมายถึง การใชส้ ่วนของสมองที่เป็นส่วนของอารมณ์ความรู้สึก (สมองซีกขวา) กบั ส่วนที่เป็นความคิด (สมองซีกซา้ ย) ใหส้ ามารถทาหนา้ ท่ีไดด้ ีท่ีสุด การร่วมมือประสานสมั พนั ธ์ระหวา่ งจิตใจและหวั ใจดงั กล่าวน้ี เป็นส่ิงท่ีน่าท่ึงและส่งผลตอ่ พนกั งานระดบั ล่าง ดว้ ยการเพิม่ พูนผลิตภาพผลงานมีคุณภาพ ทีมงานท่ีเขม้ แขง็ ผูร้ ่วมงานท่ีมีความสุข ผนู้ าท่ีมีประสิทธิภาพ และองคก์ ารที่มีความราบร่ืนการเห็นคุณค่าในตนเอง 3.1 ความหมายของคุณค่าในตนเอง คาวา่ “คุณคา่ ในตนเอง” มาจากคาภาษาองั กฤษวา่ “Self-esteem” หมายถึง ความรู้สึกของแต่ละบุคคลท่ีมีตอ่ ตนเองวา่ มีความสาคญั มีความสามารถ มีความสาเร็จมีความนบั ถือตนเอง เชื่อมนั่ ในตนเอง เคารพตนเอง และภาคภูมิใจในตนเอง 3.2 ความสาคญั ของการเห็นคุณค่าในตนเอง การเห็นคุณคา่ ในตนเองมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ มนุษย์ เน่ืองจากเป็นความตอ้ งการข้นั พ้ืนฐานของจิตใจ ทาใหม้ นุษยส์ ามารถดารงชีวติ อยอู่ ยา่ งมีคุณคา่ และสามารถบ่งช้ีคุณภาพชีวติ ของบุคคลไดว้ า่ เป็นอยา่ งไร การเห็นคุณค่าในตนเองเป็นส่ิงสาคญั ที่ก่อใหเ้ กิดพฤติกรรมท่ีมีประสิทธิภาพ บุคคลจะแสดงระดบั ของการเห็นคุณคา่ในตนเองท่ีแตกต่างกนั ออกมาโดยรู้ตวั หรือไม่รู้ตวั ดว้ ยลกั ษณะทา่ ทาง น้าเสียง คาพูด และการกระทา บุคคลที่มีการเห็นคุณคา่ ในตนเองในระดบั สูงพอ จะสามารถสร้างสรรคค์ วามคิดหรือการกระทาที่จะเผชิญความเครียดตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพนอกจากน้ีการเห็นคุณค่าในตนเองยงัเป็นปัจจยั สาคญั ในการปรับตวั ทางอารมณ์ ทางสงั คม และการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นจุดเร่ิมตน้ ของการรับรู้ชีวติ ท่ีมีผลตอ่ ความคิด ความปรารถนา คา่ นิยม อารมณ์ และการต้งั เป้าหมายในชีวติ ของแต่ละบุคคล

28อนั มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมของเขา จนกระทงั่ กลายเป็นลกั ษณะของบุคลิกภาพตามมา และการประสบความสาเร็จหรือความลม้ เหลวท้งั ในชีวติ ส่วนตวั การศึกษาเล่าเรียน หรือการทางานในชีวติส่วนหน่ึงกข็ ้ึนอยกู่ บั การเห็นคุณค่าในตนเองดว้ ยเช่นกนั ผทู้ ี่มีการเห็นคุณคา่ ในตนเองสูงจึงมีความเชื่อมน่ั ในตนเอง และมีความคาดหวงั อยา่ งเป็นจริงและเป็ นไปไดใ้ นความสาเร็จท่ีจะไดร้ ับ ดงั น้นัการเห็นคุณคา่ ในตนเองจึงเป็ นส่ิงสาคญั ท่ีจะพฒั นาบุคคลไปสู่การเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ไดใ้ นที่สุด 3.3 การไดม้ าซ่ึงการเห็นคุณคา่ ในตนเอง การเห็นคุณคา่ ในตนเองน้นั ไดม้ ีการพฒั นาต้งั แต่แรกเกิด และเกิดข้ึนอยา่ งต่อเนื่องตลอดทุกช่วงอายตุ ามระดบั วฒุ ิภาวะและส่ิงแวดลอ้ ม ในวยั เด็กน้นั การเห็นคุณค่าในตนเองเร่ิมจากสัมพนั ธภาพอนั ดีระหวา่ งบิดา มารดา และบุคคลในครอบครัว ผา่ นกระบวนการติดต่อส่ือสารระหวา่ งบุคคล ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ภาพลกั ษณ์ของความเป็ นตนเอง(Self-image) เมื่อเขา้ สู่วยั เรียนและวยั รุ่น สมั พนั ธภาพระหวา่ งเพื่อนกย็ งั คงมีอิทธิพลต่อการเห็นคุณคา่ ในตนเองของบุคคลอยา่ งมาก ในช่วงวยั ผใู้ หญแ่ ละวยั ผสู้ ูงอายุ ก็พบปัจจยั อ่ืน ๆ เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งดว้ ยหลายประการเช่น ปัจจยั ทางเศรษฐกิจ สงั คมและวฒั นธรรม สถานการณ์และบทบาทในสังคมของบุคคลตลอดจนการสูญเสียความสามารถทางดา้ นสุขภาพร่างกาย รวมท้งั การสูญเสียเพอ่ื นผใู้ กลช้ ิดและบุคคลรอบขา้ ง ถา้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ดาเนินไปดว้ ยดีและบุคคลประสบผลสาเร็จในส่ิงที่ตนกระทาแลว้ การเห็นคุณคา่ ในตนเองจะสูงข้ึน แต่ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ ประสบเหตุการณ์ที่ทาใหร้ ู้สึกวา่ตนเองลดคา่ ลง กจ็ ะมีผลตอ่ พฤติกรรมตา่ ง ๆ ในการดาเนินชีวติ ดว้ ย 3.4 การส่งเสริมการเห็นคุณคา่ ในตนเอง การเห็นคุณคา่ ในตนเองเป็นสิ่งท่ีเรียนรู้ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงและพฒั นาใหเ้ กิดได้ บุคคลจะพฒั นาการเห็นคุณคา่ ในตนเองไดจ้ ากการเรียนรู้ โดยผา่ นกระบวนการติดต่อสื่อสารระหวา่ งบุคคล สาหรับแนวทางในการพฒั นาการเห็นคุณคา่ ในตนเองมีดงั ต่อไปน้ี 1. สร้างความมน่ั ใจให้ตนเอง โดยการนึกถึงความสาเร็จของชีวติ ในวนั ขา้ งหนา้ท่ีจะเกิดข้ึน จากความสามารถของตนเอง 2. ใชค้ าพูดชมเชยตนเอง หรือใหส้ ่ิงของที่มีความหมายและมีความสาคญัต่อตนเองเป็นคร้ังคราวบา้ งเม่ือไดท้ าสิ่งท่ีน่าภาคภูมิใจ ระลึกถึงงานท่ีตนสามารถทาสาเร็จไปได้ดว้ ยดี ซ่ึงจะช่วยกระตุน้ ให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง 3. บนั ทึกความสาเร็จท่ีไดร้ ับ หรือสิ่งท่ีตนทาไดด้ ีติดตอ่ กนั เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน 4. ใชภ้ าษาเชิงบวก ซ่ึงเป็นกระบวนการท่ีบุคคลใหก้ ารเสริมแรงภาพลกั ษณ์ของความเป็นตนเอง (Self-image)โดยช้ีให้เห็นลกั ษณะทางบวกของตนเอง เช่น ลกั ษณะบุคลิกภาพที่เด่นหรือบุคลิกภาพที่น่าภาคภูมิใจ

29 5. ยอมรับคายกยอ่ งชมเชย เม่ือมีบุคคลกล่าวยกยอ่ งชมเชยกแ็ สดงการยอมรับโดยปราศจากทา่ ทีหรือคาตอบท่ีแสดงการถ่อมตน วธิ ีน้ีจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมซ่ึงจะช่วยทาให้บุคคลประทบั ใจและมองตนเองทางบวก 6. ฝึกพฤติกรรมกลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสม (Assertive Training) ซ่ึงเป็นวธิ ีที่จะทาให้บุคคลมีพฤติกรรมในทางบวกในการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน 7. ปกป้องการเห็นคุณค่าในตนเองท่ีมีอยู่ โดยการลดความสนใจตอ่ ส่ิงที่จะทาใหก้ ารเห็นคุณค่าในตนเองต่าลง เช่น ไม่วติ กจริตใหม้ ากเกินไปต่อคาวพิ ากษว์ จิ ารณ์ของบุคคลอื่น แต่ให้ตระหนกั ตอ่ การวจิ ารณ์หรือการตดั สินของบุคคลอ่ืนมากข้ึนวา่ เป็ นเพราะเหตุใด มีความเป็นจริงมากนอ้ ยเพยี งใด ถา้ ไม่เป็นจริงก็ไม่ตอ้ งเดือดร้อน แต่ถา้ เป็นจริงกพ็ ิจารณาหาทางแกไ้ ขตอ่ ไป ซ่ึงการกระทาเช่นน้ีจะช่วยใหบ้ ุคคลสามารถรักษาดุลยภาพแห่งตนไวไ้ ด้ 8.รับขอ้ เสนอแนะและขอ้ คิดเห็นโดยตรงจากบุคคลอื่น (Feedback) หรือตนเองแนะนาตนเอง(Selffeedback) เป็นวธิ ีการให้ขอ้ มูลซ่ึงมีผลใหบ้ ุคคลเกิดกาลงั ใจและสร้างความภาคภูมิใจได้ 9.ส่งเสริมใหเ้ กิดความเพียรพยายามในการสร้างความสาเร็จแก่ตนเองมากข้ึน ลดความคาดหวงั ท่ีไม่เป็นจริงของตนเองลง โดยยงั สามารถคงไวใ้ นส่ิงที่ตนเองภาคภูมิใจ 10. ต้งั เป้าหมายในวนั ขา้ งหนา้ และใหร้ างวลั ตนเองเมื่อมีความสามารถในการดาเนินไปสู่จุดหมายน้นั การต้งั เป้าหมายจะช่วยใหบ้ ุคคลมีความพยายามท่ีจะไปสู่ความสาเร็จมากข้ึน ส่วนการชมเชยตนเอง การใหร้ างวลั ตนเองหรือการบนั ทึกความสาเร็จของตนเอง เป็นการใหข้ อ้ มูลป้อนกลบัในทางบวกตอ่ ตนเอง ซ่ึงจะทาใหม้ ีการเห็นคุณค่าในตนเองเพ่มิ ข้ึน 11.ลดและหลีกเลี่ยงส่ิงท่ีจะทาลายการเห็นคุณค่าในตนเอง เช่น ลดความคาดหวงั ตอ่ ตนเองหยดุ การประเมินและตดั สินคุณคา่ ของตนเอง ไมใ่ ส่ใจตอ่ คาวพิ ากษว์ จิ ารณ์จากบุคคลอื่นท่ีจะทาให้รู้สึกทอ้ แทใ้ จโดยระลึกเสมอวา่ “ไม่มีใครเตะสุนขัท่ีตายแลว้ ” ซ่ึงมีความหมายวา่ เขาจะไม่วพิ ากษว์ จิ ารณ์เราเลยถา้ เราไม่มีความสาคญั อะไร 12. มีข้นั ตอนดาเนินการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งเป็นระบบ กระบวนการในการแกป้ ัญหา ประกอบไปดว้ ยข้นั ตอนต่าง ๆ ดงั น้ี 12.1 รู้วา่ มีปัญหาเกิดข้ึน 12.2 วเิ คราะห์วา่ ปัญหาน้นั มีสาเหตุมาจากอะไรบา้ ง สาเหตุน้นั เกิดจากตนเองจากผอู้ ื่น หรือจากสถานการณ์ภายนอก สาเหตุน้นั ๆ ตนเองควบคุมไดห้ รือไม่แลว้ จึงพิจารณาวา่ ปัญหาคืออะไร 12.3 กาหนดจุดมุง่ หมายในการแกไ้ ขปัญหา 12.4 คิดและหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาหลาย ๆ ทาง 12.5 นาแต่ละแนวทางมาพิจารณาผลที่ตามมาวา่ มีผลดี–ผลเสียอยา่ งไรบา้ งวธิ ีใดมีผลดี–ผลเสียมากนอ้ ยอยา่ งไร

30 12.6 เลือกทางแกไ้ ขที่ดีท่ีสุด เหมาะสมที่สุดมาใชใ้ นการแกป้ ัญหา 12.7 กาหนดแผนการแกไ้ ขปัญหาเป็ นข้นั ตอนเพ่ือดาเนินการแกไ้ ขปัญหาใหส้ าเร็จ 12.8 ประเมินผลการแกป้ ัญหาเพื่อนามาเป็ นแนวทางในการปรับปรุงแกไ้ ขต่อไปหลกั ธรรมของผู้นา การเป็นผนู้ าที่สมดุล เป็ นผนู้ าท่ีผอู้ ื่นยอมรับ จะตอ้ งเป็นไปดว้ ยบทบาทของการเป็นผูน้ าในตนเอง ท่ีแสดงความดีงามและความสามารถท้งั หมดออกมาใหผ้ ูอ้ ื่นไดเ้ ห็น จนพวกเขาเกิดการยอมรับและศรัทธาดว้ ยพลงั อานาจภายในจิตใจหรือจิตสานึกของพวกเขาเอง โดยมีท้งั ความดีงามและความสามารถเป็นสิ่งจูงใจใหเ้ กิดการเหนี่ยวร้ังพวกเขามาเป็นหน่ึงเดียวกบั เรา ความสามารถ คือ หนา้ ท่ีท่ีผนู้ าจะตอ้ งแสดงออกต่องานและตอ่ ผูร้ ่วมงาน ความดีงาม คือ บทบาทท่ีผนู้ าจะตอ้ งแสดงออกต่อผรู้ ่วมงานท้งั น้ี “หนา้ ที่” และ “บทบาท” ในการเป็นผนู้ าบุคคลอื่น เป็นเร่ืองละเอียดออ่ น ยง่ิ นกั หากผนู้ าตอ้ งการประสบความสาเร็จในการเป็นผนู้ าที่องอาจสง่างาม และเป็นผนู้ าอยา่ งถาวรไดก้ บั ทุกคนทุกกลุ่ม ทุกที่ และทุกเวลา ผนู้ าจะตอ้ งใส่ใจในเรื่อง เสาหลกั หรือเสาเอก อนั เป็ นโครงสร้างของผนู้ าในระดบั แก่นแทท้ ่ีจะกล่าวถึงตอ่ ไปน้ีดว้ ยเช่นเดียวกนั ในท่ีน้ีขอเรียกเสาหลกั หรือเสาเอกน้ีวา่ “หลกั ธรรมของคนที่เป็ นผนู้ า” ซ่ึงมีท้งั สิ้น 7 ตน้(ปริญญา ตนั สกลุ ,2550)1. ความรัก หลกั ธรรมตน้ แรก คือ “ความรัก” ผนู้ าท่ีดีจะตอ้ งมีจิตใจที่ใสสวา่ ง ปราศจากอคติตอ่ บุคคลอ่ืน ๆ มองเห็นบุคคลอ่ืน ๆโดยเฉพาะลูกนอ้ งของตนเองลว้ นมีคุณค่า ไมไ่ ดแ้ ตกต่างหรือตอ้ ยต่ากวา่ ตนเองหรือบุคคลอื่นนอกจากน้นั จะตอ้ งปรับเปล่ียนเจตคติที่มีต่อลูกนอ้ งซ่ึงเป็ นผตู้ ามเสียใหมด่ ว้ ย กล่าวคือ การเป็น “ผนู้ า” ไม่ไดห้ มายความวา่ ตอ้ งแสดงบทบาทการเป็น “นาย” โดยเห็นพวกเขาเป็น“บ่าว” ที่ตอ้ งการอะไรจากพวกเขา และจะบงการพวกเขาเพือ่ เอาใหไ้ ดต้ ามใจปรารถนาแต่อยา่ งใด การเป็นผูน้ า หมายถึง การที่จะตอ้ งทาอยา่ งไรที่จะใหพ้ วกเขารักและศรัทธาคุณอยา่ งจริงใจพร้อมท่ีจะยอมตาม เช่ือตาม และทาตาม ซ่ึงหมายถึง ผนู้ าจะตอ้ งทาใหพ้ วกเขา “ยอมรับ” ในตวั เองใหจ้ งไดเ้ สียก่อน จึงจะเป็นผนู้ าพวกเขาไดน้ น่ั เอง

31พฤติกรรมตา่ ง ๆ ที่คุณจะแสดงความรักต่อผูร้ ่วมงานได้ มีดงั น้ี 1. ความเมตตา (Kindness) 2. ความเอ้ือเฟ้ื อเผื่อแผแ่ ละการแบ่งปัน (Aid & Apportionment) 3. ความเสียสละ หรือการใหโ้ ดยไม่ร้องขอส่ิงตอบแทนหรือส่ิงแลกเปล่ียน (Sacrifice) 4. ความเอาใจใส่ในทุกขส์ ุขของลูกนอ้ ง (Caring) 5. ความอดทน 6. ความอดกล้นั 7. การใหอ้ ภยั 8. การใหโ้ อกาสดี ๆ 9. การส่งเสริมสนบั สนุน 1. ความเมตตา เป็นสภาวะจิตอนั บริสุทธ์ิ 1 ใน 9 กลุ่มหลกั ๆ ของผทู้ ี่ไดช้ ่ือวา่ มีความรักเป็นอารมณ์ ซ่ึงในอารมณ์ดา้ นบวกที่เรียกวา่ ความเมตตาน้ีควรมีไวเ้ สมอ สภาวะจิตท่ีมีเมตตา จะเป็นสภาวะจิตที่เกิดจากอารมณ์รู้สึกแทจ้ ริงหลากหลายอารมณ์ผสมผสานกนั อยภู่ ายในซ่ึงประกอบดว้ ยอารมณ์รู้สึกดงั ต่อไปน้ี 1. การเห็นอกเห็นใจผอู้ ่ืน 2. การมีความสงสารผดู้ อ้ ยกวา่ ตน 3. ความตอ้ งการเห็นผอู้ ื่นพน้ ทุกข์ และตอ้ งการช่วยเหลือ 4. การไม่ตอ้ งการเบียดเบียนผอู้ ่ืนใหเ้ ป็นทุกข์ จิตท่ีมีเมตตาจึงเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่สาคญั ที่จะตอ้ งสร้างคุณสมบตั ิใหม้ ีข้ึนไวเ้ ป็นอนั ดบั แรก เพื่อเป็นแกนกลางของสภาวะอารมณ์ดา้ นบวกอ่ืน ๆ อีก 8 กลุ่ม ซ่ึงลว้ นแลว้ แต่เกาะเก่ียวอยกู่ บั ความมีเมตตาท้งั สิ้น โดยคนท่ีจะเป็นผนู้ าท้งั หลาย หากไร้ซ่ึงความมีเมตตาต่อมนุษยค์ นอ่ืน ๆกจ็ ะลม้ เหลวในการเป็นผนู้ าเสียต้งั แต่แรกแลว้ หลกั ธรรมซ่ึงเป็นเสาตน้ แรกท่ีช่ือวา่ “ความรัก” น้ี จะมีแกนหรือแก่นแทข้ องหลกั ธรรมหลกั น้ีเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่บอกไดด้ ว้ ยความมีเมตตานี่เองความมีเมตตาเป็นแก่นแทข้ อง “ความรัก” 2. ความเอ้ือเฟ้ื อแบง่ ปัน สภาวะจิตในขอ้ น้ีแตกแขนงออกมาจากความเมตตา โดยเริ่มจากความนึกคิดเอ้ือเฟ้ื อเผอ่ื แผเ่ ป็ นข้นั แรก แลว้ นาออกมาแสดงตอ่ ผูอ้ ่ืนเป็ นบทบาทภายนอกในลกั ษณะของการแบง่ ปัน การไม่ตระหนี่ถ่ีเหนียว การไมค่ ิดเบียดเบียนการไมเ่ อาเปรียบฉอ้ ฉลการไม่คดโกง การไม่แก่งแยง่ แข่งดี การไมอ่ ิจฉาริษยา และการไม่เห็นแก่ตวั ผนู้ าท่ีบุคคลอ่ืนจะยอมรับและศรัทธา ตอ้ งรู้จกั การ “ให”้ ผอู้ ่ืนให้เป็ นความเอ้ือเฟ้ื อแบ่งปันซ่ึงเป็นการใหเ้ บ้ืองตน้ อนั เป็ นผลลพั ธ์จากความมีเมตตานน่ั เอง

32 ถา้ ผนู้ ามีเมตตาแทจ้ ริง ทกั ษะแห่งการใหใ้ นบทบาทของความเอ้ือเฟ้ื อแบ่งปันจะเกิดไดเ้ องตามธรรมชาติโดยมิตอ้ งฝึกฝนหรือบีบบงั คบั 3. ความเสียสละ การใหใ้ นบทบาทของความเอ้ือเฟ้ื อที่กล่าวมาแลว้ เป็นการเริ่มตน้ ของผนู้ าในการแสดงออกซ่ึงความมีเมตตาหรือความรักท่ีมีต่อผอู้ ่ืน ซ่ึงเป็ นความรักท่ีบริสุทธ์ิอยา่ งแทจ้ ริงเพราะเป็นการใหโ้ ดยไม่คิดหวงั สิ่งตอบแทน เม่ือเราสามารถแสดงออกซ่ึงความดีงามดงั กล่าวน้ีไดแ้ ลว้พฒั นาการทางจิตของเรามกั จะยกระดบั สู่จุดที่สูงกวา่ ไดเ้ องโดยอตั โนมตั ิดว้ ยการใหโ้ ดยไม่คิดหวงัสิ่งตอบแทนเช่นเดียวกนั แต่จะเป็นการใหท้ ่ียงิ่ ใหญก่ วา่ มากมายนกั คือ การเสียสละ ความเอ้ือเฟ้ื อแบง่ ปันผอู้ ่ืน หมายถึง การใหใ้ นส่ิงที่เรามีแก่ผอู้ ื่นที่ไม่มี โดยการแบ่งปันสิ่งท่ีเรามีใหเ้ ขาไปบางส่วน แตก่ ารเสียสละน้นั หมายถึงการใหใ้ นส่ิงที่เรามีแก่ผทู้ ่ีไม่มีเพือ่ ใหเ้ ขาพน้ ทุกข์ โดยเราอาจจะมีส่ิงน้นั เหลือนอ้ ยลงหรือไมเ่ หลือเลย แต่เราก็พร้อมที่จะมอบให้เขาไปโดยไมค่ ิดเสียดายหรือหวงั จะเอาคืนจากเขาในวนั หนา้ ถา้ เราตอ้ งการมีส่ิงน้นั อีกในวนั หนา้เราก็พร้อมท่ีจะแสวงหามนั มาใหมด่ ว้ ยตนเอง สิ่งท่ีเราสามารถจะเสียสละได้ จะยงิ่ ใหญม่ ากนอ้ ยแคไ่ หนข้ึนอยกู่ บั สภาวะจิตท่ีมีเมตตาต่อผอู้ ่ืน เพราะการเสียสละน้ี อาจมิไดจ้ ากดั แค่เพียงทรัพยส์ ินหรือสิ่งของเท่าน้นั แมก้ ระทงั่ เวลา โอกาสของรัก และชีวติ ซ่ึงมีคุณค่าสูงสุดในความเป็นมนุษย์ กเ็ ป็นอีกสรรพสิ่งหน่ึงซ่ึงผมู้ ีจิตเมตตาสูงส่งบางรายกส็ ามารถสละไดเ้ ช่นกนั 4. ความเอาใจใส่ บทบาทการเอาใจใส่ลูกนอ้ งของผนู้ าท้งั หลาย สามารถแสดงออกไดจ้ ากสภาวะจิตท่ีเปี่ ยมลน้ ไปดว้ ยความปรารถนาดีต่อพวกเขาเป็ นที่สุดเท่าน้นั ความปรารถนาดีเป็นที่สุด นามาซ่ึงความรักและห่วงใย เม่ือรักและห่วงใยใครแลว้ เรายอ่ มตอ้ งดูแลและเอาใจใส่บุคคลน้นั อยา่ งใกลช้ ิด ความปรารถนาดีต่อลูกนอ้ งโดยมอบความรักและห่วงใยดว้ ยการใส่ใจดูแลทุกขส์ ุขอยา่ งใกลช้ ิด จะทาให้พวกเขารู้สึกอบอุ่น และรู้สึกซาบซ้ึงใจในความรักความดีงามของเรา และพวกเขายอ่ มตอ้ งมอบความรักตอบแทนเรากลบั มาเช่นกนั บทบาทการเอาใจใส่ต่อลูกนอ้ ง จึงเป็นพฤติกรรมของ “การให้ความรัก” แก่ผอู้ ่ืนอีกลกั ษณะหน่ึงท่ีเราตอ้ งเรียนรู้และสร้างคุณสมบตั ิไว้ 5. ความอดทน มนุษยส์ ่วนใหญ่นิยมใชค้ าวา่ “ความอดทน” กนั อยเู่ ป็นประจา แตไ่ มไ่ ดเ้ ขา้ ใจความหมายที่แทจ้ ริงของคาๆน้ีอยา่ งลึกซ้ึงเทา่ ใดนกั และดูเหมือนจะใชก้ นั อยา่ งสบั สน เสียอีกดว้ ย การท่ีผนู้ ายนิ ยอมให้ผอู้ ่ืนกระทาส่ิงท่ีไม่ถูกตอ้ งต่อตนเอง โดยไมม่ ีการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อตา้ นหรือหลีกเลี่ยงเพอ่ื เปิ ดโอกาสใหต้ นเองสามารถร่วมงาน ร่วมชีวติ หรือร่วมสังคมกบั ผอู้ ่ืนตอ่ ไปได้คือ ความอดทน

33 ถา้ มีใครกระทาไม่ถูกตอ้ งต่อตวั เรา แลว้ เราสามารถกระทาเช่นท่ีวา่ น้ีได้ ยอ่ มแสดงวา่ เรากาลงั ใชพ้ ลงั งานความรัก ที่เรียกวา่ ความอดทน น้ีเหนี่ยวร้ังเขาเอาไวใ้ หม้ ีความสัมพนั ธ์กบั เราต่อไปโดยไม่ผลกั ไสเขาออกไปจากตวั เราโดยแท้ เพราะถา้ เราโกรธหรือไมพ่ อใจเขา ยอ่ มกระทาบางส่ิงที่จะผลกั ไสตวั เขาออกไปใหไ้ กล ซ่ึงหมายถึงความแตกแยกร้าวฉาน ไม่เป็ นหน่ึงเดียวกนั นนั่ เอง 6. ความอดกล้นั ความอดกล้นั หมายถึง การท่ีเรายอมใหผ้ อู้ ่ืนกระทาสิ่งท่ีไม่ถูกตอ้ งตอ่ เรา เพ่ือเปิ ดโอกาสให้เขาไดแ้ กไ้ ขตนเองในการจะกระทาใหถ้ ูกตอ้ งกวา่ เดิมได้ และเพื่อช่วยใหเ้ ขารู้สึกวา่ ตนมีคุณค่าบา้ งท่ีไดค้ บหากบั คนเช่นเรา 7. การใหอ้ ภยั การมอบความรักใหผ้ อู้ ื่นผา่ นความอดทนและอดกล้นั น้นั ส่วนใหญ่แลว้ เป็ นการมอบใหก้ บั ผทู้ ่ีกระทาผดิ ต่อตวั เรา จากการคิดผดิ ตดั สินใจผิด เขา้ ใจผดิ และความประมาทเผอเรอของบุคคลอื่น ๆ มากกวา่ ซ่ึงต่างกบั การมอบความรักผา่ นการใหอ้ ภยั ที่กาลงั กล่าวถึงอยพู่ อสมควร เราทราบดีอยแู่ ลว้ วา่ ไมว่ า่ เราหรือใคร ๆ ท่ีเป็นมนุษย์ ไมม่ ีใครสมบูรณ์พร้อมหรือดีพร้อม เพราะจะมองหาคนที่“ดีท่ีสุด หรือดีไมม่ ีที่ติ” ยากกวา่ การมองหาคนท่ี “ดีหมด หรือไม่เหลือความดี” มากนกั ทุกคนยอ่ มมีท้งั ส่วนดีและไม่ดีเป็นคุณสมบตั ิเฉพาะตวั กนั ท้งั สิ้น เพียงแตว่ า่ใครจะมีดีมากดีนอ้ ยกวา่ กนั เทา่ น้นั นิสัยส่วนตวั ของมนุษย์ แบง่ ออกเป็ น 2 ดา้ น คือ 1. นิสัยส่วนตวั ทางสังคม 2. นิสยั ส่วนตวั ในการทางานร่วมกบั ผูอ้ ื่น มนุษยแ์ ต่ละคนจะมีนิสยั ส่วนตวั ท้งั สองดา้ นน้ีแตกต่างกนั ออกไป ท้งั น้ีมีที่มาจากหลายสาเหตุดว้ ยกนั เช่นพนั ธุกรรม (Heredity) พอ่ แม่ผปู้ กครอง (Family) ส่ิงแวดลอ้ ม (Environment)การศึกษา (Education) และสังคม(Social) สาเหตุหรือเงื่อนไขเหล่าน้ีคือท่ีมาของพฤติกรรมธรรมชาติ หรือนิสัยใจคอที่แตกตา่ งกนั ของมนุษยซ์ ่ึงมีท้งั พฤติกรรมที่พงึ ประสงคห์ รือพฤติกรรมที่ดี (Acceptable Behavior)และพฤติกรรมที่ไมพ่ งึ ประสงคห์ รือ “พฤติกรรมขยะ” (Unacceptable Behavior) คละเคลา้ ปะปนกนัไป โดยเงื่อนไขท้งั หลายจะเป็นผสู้ อนพฤติกรรมตา่ ง ๆของมนุษย์ ใหเ้ กิดการเรียนรู้สู่การกระทาซ้าจนเคยชินเป็นนิสยั เสมอ หากไม่เขา้ ขา้ งตนเองและใจกวา้ งพอ เราเองกส็ ามารถบอกไดว้ า่ ตวั เรากม็ ีพฤติกรรมขยะท่ีผอู้ ื่นยอมรับไม่ไดอ้ ยไู่ มม่ ากก็นอ้ ยเช่นกนั เราควรตระหนกั รู้ต่อไปอีกวา่ ถา้ ท้งั ตวั เราและผอู้ ่ืนตา่ งกล็ ว้ นมีพฤติกรรมขยะอยดู่ ว้ ยกนั มีโอกาสกระทบกระทงั่ กนั ไดท้ ุกเมื่อ ยงิ่ ใกลช้ ิดกนั มากเทา่ ใดกย็ ง่ิ มีโอกาสเห็นพฤติกรรมขยะของกนัและกนั ไดช้ ดั ข้ึน มากข้ึน บอ่ ยข้ึนตา่ งคนต่างมีโอกาสกระทาผดิ ต่อกนั ไดเ้ สมอเช่นน้ีแลว้ คิดวา่ เราควรจะทาอยา่ งไรกบั กรณีน้ีดี

34 การยอมรับในธรรมชาติที่ไม่ดีงามของมนุษยด์ ว้ ยกนั เช่นน้ี หมายถึง “การใหอ้ ภยั ” ตอ่ กนันน่ั เอง ไม่วา่ เขาคนน้นั จะเป็ นลูกนอ้ งหรือบุคคลอ่ืน หากไดร้ ับการให้อภยั จากเราก่อนแลว้ เขายอ่ มมองเห็นความดีงามของผนู้ าและสะสมคะแนนความรู้สึกดี ๆ ที่มีตอ่ ตวั เราเอาไวใ้ นใจ เพ่ือที่จะมอบความรักหรือความดีงามท่ีเราเคยมอบใหเ้ ขาไปตอบแทนมาให้เราบา้ งในวนั หนา้ ซ่ึงเป็ นวนั ที่เราอาจกระทาผดิ ต่อตวั เขาเพราะธรรมชาติของตวั เราที่เป็นขยะน้นั 8. การใหโ้ อกาสดี ๆ หากเราตอ้ งการเป็นผนู้ าที่ผอู้ ่ืนยอมรับแลว้ เราจะตอ้ งรู้วา่ ใคร ๆ ก็ตอ้ งการโอกาสดี ๆดว้ ยกนั ท้งั สิ้น ในขณะที่ความเป็นจริงแลว้ โอกาสดี ๆ สักคร้ังไมไ่ ดม้ ีมาใหบ้ ่อยนกั มนุษยจ์ านวนมากจึงพยายามเรียนรู้ที่จะสร้างโอกาสดี ๆใหต้ นเองอยตู่ ลอดเวลา เพราะหมายถึง ความสาเร็จความกา้ วหนา้ ความมีเกียรติ ความสุข และความสมหวงั ท่ีใคร ๆ ต่างตอ้ งการดว้ ยกนั ท้งั สิ้น แต่เนื่องจากการสร้างโอกาสดี ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย มนุษยส์ ่วนใหญ่จึงทาตนเป็ น “นกั ฉวยโอกาส” ไปในเวลาเดียวกนั ดว้ ย ซ่ึงหลายคนมีความรู้สึกวา่ การฉวยโอกาสเอาจากผอู้ ่ืนง่ายกวา่ การสร้างโอกาส เน่ืองจากในสงั คมผคู้ นตา่ งสอนพฤติกรรมดา้ นลบเช่นน้ีแก่กนั และกนั เสมอ เพ่ือความมีโอกาสของตนเอง จึงมกั ปิ ดโอกาสหรือทาลายโอกาสผอู้ ื่นเสียจนชิน ดงั จะเห็นไดว้ า่ มีการแก่งแยง่ชิงดีชิงเด่นกนั อยทู่ วั่ ทุกสงั คม การเปิ ดโอกาสหรือเปิ ดทางสะดวกใหแ้ ก่กนั และกนั จึงกลายเป็นเรื่องยากสาหรับมนุษยไ์ ปในที่สุด ทุกวนั น้ียอ่ มหาผทู้ ี่ยอมเปิ ดโอกาสดี ๆ ใหก้ บั ผอู้ ื่นยากยง่ิ ถา้ เผอ่ื วา่ ตวั เราเองเป็ นมนุษยค์ นหน่ึงหรือเพยี งคนเดียวที่สามารถมอบความรักใหผ้ อู้ ่ืนท่ีตอ้ งการโอกาสดี ๆ ไดม้ ีโอกาสตามท่ีเขาปรารถนาบา้ ง ยอ่ มทาใหเ้ ขามีความรู้สึกตื่นเตน้ ดีใจและประทบั ใจในตวั เราอยา่ งสุดซ้ึง ดงั น้นั เราสามารถนาจิตใจของพวกเขาไดโ้ ดยไม่ตอ้ งออกแรงหรือลงทุนจูงใจใด ๆ เพ่ือให้พวกเขาเกิด “การยอมรับและศรัทธา” ในตวั เรา ดว้ ยการมอบโอกาสดี ๆ ให้ สาหรับโอกาสดี ๆ ท่ีลูกนอ้ งมกั ตอ้ งการจากผนู้ าหรือนายของเขา มีหลายลกั ษณะ เช่นการเลื่อนข้นั หรือตาแหน่ง การข้ึนเงินเดือน การมีส่วนร่วมในการทางาน การไดท้ าในส่ิงที่เขาพอใจการใกลช้ ิดนาย การเอาใจใส่จากนาย การสมหวงั ในส่ิงที่หวงั จากนายของเขา เป็นตน้ 9. การส่งเสริมสนบั สนุน มนุษยท์ ุกคนแมจ้ ะไดร้ ับโอกาสอนั ดีงามหรือมีโอกาสดี ๆ ท่ีจะไดก้ ระทาหรือไดร้ ับส่ิงดีๆ แลว้ ก็ตาม แตโ่ อกาสดี ๆ เหล่าน้นั บอ่ ยคร้ังกม็ กั หลุดลอยไปต่อหนา้ ต่อตา เพราะขาดการสนบั สนุนช่วยเหลือจากบุคคลอื่น เหตุเพราะวา่ มนุษยน์ ้นั ขาดความพร้อมในการใชโ้ อกาสน้นั หรือใชโ้ อกาสไม่เป็น การที่เราจะกระทาส่ิงใด ๆ ใหส้ าเร็จไดด้ ว้ ยตนเองเพียงลาพงั ดว้ ยการกระทาในส่ิงยากยงิ่เกินความพร้อมหรือความสามารถท่ีตนมีอยใู่ นขณะท่ีโอกาสดี ๆ น้นั มาถึง เรายอ่ มไมป่ ระสบผลสาเร็จอยา่ งแน่นอน จึงจาเป็นที่เราจะตอ้ งไดร้ ับความช่วยเหลือจากผอู้ ื่นตามสมควร

35 4.2 ความซ่ือตรง ความซื่อตรง เป็นหลกั ธรรมหรือเสาหลกั ตน้ ที่ 2 ท่ีสามารถค้ายนั เวทีของการแสดงบทบาทผนู้ าใหม้ ีความมน่ั คงถาวรอีกตน้ หน่ึง หากจะกล่าวเป็นภาษาพดู ทวั่ ไปแลว้ ความซื่อตรงน่าจะตรงกบั ความหมายวา่ตอ่ หนา้ อยา่ งไร ลบั หลงั ตอ้ งเป็นอยา่ งน้นั ความซ่ือตรงเป็นคุณสมบตั ิท่ีดีงามของมนุษยท์ ุกคน ไมเ่ วน้ วา่ จะเป็นผนู้ าหรือมนุษยส์ ามญั ก็ตาม ที่จะตอ้ งแสดงออกต่อกนั ไดท้ ุกเมื่อไม่วา่ ต่อหนา้ หรือลบั หลงั เพราะการแสดงออกซ่ึงความซ่ือตรงต่อกนั น้นั สามารถเป็ นเครื่องช้ีวดั ทศั นคติและความคิดความรู้สึกระหวา่ งเรากบั บุคคลอื่นได้เป็นอยา่ งดีวา่ 1. เรามีเจตคติท่ีดีตอ่ เขาหรือไม่ ? 2. เรามองเห็นคุณค่าของเขามากนอ้ ยแคไ่ หน? 3. เราใหเ้ กียรติเขาจริงหรือไม่? 4. เรามีความจริงใจตอ่ เขาหรือเปล่า? 5. เราเป็ นคนน่าไวว้ างใจมากนอ้ ยเพียงใด? 6. เราเป็ นคนน่าคบหาสมาคมดว้ ยหรือไม่? หากคุณกระทาตนไม่ซ่ือตรงตอ่ ใคร ๆ เท่ากบั วา่ คุณไดค้ ะแนนเป็น “ศูนย”์ ท้งั 6 ขอ้ ท่ีกล่าวมาอยา่ งสิ้นเชิงแลว้ เรายอ่ มสามารถบอกตวั เองไดท้ นั ทีเลยวา่ บุคคลเหล่าน้นั เขาจะรัก นบั ถือ หรือมีศรัทธาใหเ้ ราหรือไม่ ในทางกลบั กนั หากคุณมีเจตคติและการนึกคิดที่ดีงามต่อบุคคลอื่น มองเห็นคุณคา่ ผอู้ ่ืนอยา่ งลึกซ้ึงแลว้ การแสดงออกซ่ึงการใหเ้ กียรติและจริงใจต่อผนู้ ้นั จะถูกคุณแสดงบทบาทออกมาไดเ้ องโดยอตั โนมตั ิ เรายอ่ มจะยกยอ่ งใหเ้ กียรติ หรือสรรเสริญเขาประกาศความดีงามของเขาต่อบุคคลท่ีสามอยา่ งจริงใจ มากกวา่ การแสดงความไมซ่ ื่อตรงตอ่ เขาดว้ ยการทาดีต่อหนา้ลบั หลงั นินทา ใหร้ ้ายจนเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่นอน การเป็นนายที่ดีหรือผูน้ าท่ีผอู้ ื่นยอมรับ จึงจาเป็ นตอ้ งรู้จกั การใหเ้ กียรติลูกนอ้ งหรือบริวารของตนเสมอดว้ ยการไม่กล่าวร้ายหรือนินทาลูกนอ้ งลบั หลงั เพราะเราตอ้ งรู้วา่ “ความลบั ไมม่ ีในโลก” น้นั เป็ นความจริง แมข้ ณะที่เรากล่าวร้ายหรือนินทาพวกเขาอยู่ เรามนั่ ใจไดอ้ ยา่ งไรวา่ สกั วนัหน่ึงเจา้ ตวั จะไม่รู้การกระทาของเราที่ไมเ่ หมาะสมเหล่าน้นั เพือ่ น ๆ ของเขาท่ีเป็นเพื่อนช้ีหรือเพ่ือนตาย หรือเพ่ือนผปู้ รารถนาดีของคนที่ถูกนินทากล่าวร้ายยอ่ มตอ้ งนาไปบอกต่อ เพื่อแสดงออกซ่ึงการเป็นเพื่อนท่ีดีของเพือ่ นท่ีมีอยใู่ นทุกสงั คม เม่ือเป็ นเช่นน้นั ตวั เราเองยอ่ มเส่ือมเสียอยา่ งไมน่ ่าให้อภยั แมจ้ ะไม่นบั กรณีท่ีควรตอ้ งซื่อตรงต่อพวกเขาเพราะกลวั ความลบั ร่ัวไหล อนั มีเหตุจาก “เพอื่ นตายสาคญั กวา่ นายตาย” แตจ่ ะมีเหตุผลอนั ใดอื่นอีกหรือ ท่ีผนู้ าอยา่ งเราจะตอ้ งไปปฏิบตั ิตนเหลวไหลเช่นน้นั ใหพ้ วกเขาเส่ือมศรัทธาหรือเสียใจ

36 ไมม่ ีนายคนไหนที่ไม่มีลูกนอ้ งเป็นบริวาร และไมม่ ีผนู้ ารายใดที่ไมม่ ีผตู้ าม ต่างฝ่ ายต่างมีคุณค่าในตนเอง มีคา่ สาหรับกนั และกนั และมีความหมายความสาคญั ดว้ ยกนั ท้งั สิ้นผตู้ ามจะไมเ่ ห็นผนู้ าของตนอยใู่ นสายตากไ็ ม่ไดผ้ นู้ าเองจะไม่เห็นผตู้ ามของตนอยใู่ นสายตาก็ไม่ได้ ต่างฝ่ ายตา่ งตอ้ งค้าจุนซ่ึงกนั และกนั เท่าน้นั การไม่ซ่ือตรงต่อผอู้ ่ืน ไมต่ ่างกนั กบั สานวนไทยแทแ้ ตโ่ บราณท่ีกล่าวไวว้ า่ “หนา้ ไหวห้ ลงัหลอก” “ต่อหนา้ มะพลบั ลบั หลงั ตะโก” ส่วนการทาดีแตต่ ่อหนา้ ลบั หลงั นินทาใหร้ ้าย กม็ ีสานวนไทยเตือนใจไวเ้ ช่นเดียวกนั เช่น“ปากปราศรัยใจเชือดคอ” “หนา้ เน้ือใจเสือ” “ลิงหลอกเจา้ ” สานวนไทยโบราณเหล่าน้ีสอนตกทอดกนั มามากมายใหเ้ ราไดน้ ามาใชเ้ ตือนสติและสร้างสานึกในตนเองดว้ ยการรู้จกั หยบิ ฉวยนามาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั สั่งสมเป็นคุณสมบตั ิของตนเองไว้ จะทาใหต้ นเองเป็ นคนที่น่านบั ถือและน่าศรัทธาในสายตาของผอู้ ่ืนอยา่ งแน่นอน 4.3 ความซื่อสัตย์ หลกั ธรรมตน้ ท่ี 3 ของคนที่จะเป็นผูน้ าบุคคลน้ี นอกจากจะเป็นเสาหลกั ค้ายนั เวทีแห่งการเป็นผนู้ าใหม้ นั่ คงแขง็ แกร่งยง่ิ ข้ึนแลว้ ความซ่ือสัตยน์ ้ียงั บ่งช้ีถึงความเป็นมนุษยท์ ่ีศกั ด์ิสิทธ์ิของตวัคุณเองอีกดว้ ย เหตุเพราะ “ความซื่อสตั ย”์ หมายถึง กลุ่มพฤติกรรมหลกั ๆ 3 กลุ่มพฤติกรรม ดงั น้ี 1. ความมีสัจจะ 2. ความจริงใจ 3. ความน่าไวว้ างใจหรือน่าเชื่อถือ 1. ความมีสจั จะ การแสดงออกซ่ึงความมีสจั จะ สามารถแสดงออกได้ 2 ช่องทาง คือ การพดู และการกระทา การพูดและการกระทาของมนุษย์ เป็นพฤติกรรมภายนอก (Extrovert Behavior) ซ่ึงเป็นผลมาจากจิตใจและสมอง อนั เป็ นพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) หรือที่เรียกวา่ “อารมณ์รู้สึกนึกคิด” มนุษยต์ อ้ งมีอารมณ์กระตุน้ ก่อน การแสดงพฤติกรรมภายในภายนอกตา่ ง ๆ จึงจะเกิดข้ึนมาได้ ทาใหม้ นุษยต์ อ้ งนึกก่อนแลว้ ค่อยพูด โดยการนึกเกิดจากอารมณ์เป็นตวั กระตุน้ ใหน้ ึก และมนุษย์จึงตอ้ งคิดก่อนท่ีจะพดู หรือก่อนที่จะทา โดยการคิดเกิดจากการแสดงความสามารถในการทางานของสมอง ดงั น้นั การมีสจั จะหรือไม่มีสัจจะจึงพจิ ารณากนั ท่ี “การนึกคิดกบั การพูดและการกระทา”มนุษยย์ งั มีความเขา้ ใจเรื่องความมีสัจจะและไม่มีสจั จะอยา่ งไม่ลึกซ้ึงเทา่ ใดนกั จึงขอขยายความจริงในเรื่องน้ีสาหรับผนู้ าและผทู้ ี่ตอ้ งการเป็นผนู้ าท้งั หลาย ไดใ้ ชเ้ ป็นแนวทางการปฏิบตั ิเสียใหถ้ ูกตอ้ งดงั น้ี

37 ลกั ษณะของคนท่ีมีสัจจะ 1. พูดตรงกบั ท่ีคิด 2. ทาตรงกบั ที่คิด 3. พดู อยา่ งไร ทาอยา่ งน้นั 4. คิดอยา่ งไร พูดอยา่ งน้นั และทาอยา่ งน้นั 5. ไมค่ ิดเรรวน เปลี่ยนไปเปล่ียนมา 6. เคยพดู ไวอ้ ยา่ งไร คร้ังตอ่ ๆ ไปกพ็ ูดอยา่ งน้นั ลกั ษณะของคนท่ีไมม่ ีสจั จะ 1. พูดไมต่ รงกบั ท่ีคิด 2. ทาไมต่ รงกบั ที่คิด 3. พดู อยา่ งหน่ึง ทาอีกอยา่ งหน่ึง 4. คิดอยา่ งหน่ึง แตพ่ ดู และทาไปอีกอยา่ งหน่ึง 5. คิดเรรวน เอาแน่ไม่ได้ 6. เคยพดู ไวอ้ ยา่ งหน่ึง คร้ังต่อ ๆ ไปกลบั พูดอีกอยา่ งหน่ึง จะเห็นไดว้ า่ ไม่วา่ เราจะเป็นผนู้ าหรือไม่ก็ตาม การเป็นคนไม่มีสจั จะน้นั ไม่น่ารักและไมน่ ่าคบเลย พฤติกรรมของคนไร้สจั จะจะเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เป็นคนไม่น่าศรัทธา ไม่น่าเชื่อถือและเป็นคนคบยากจริง ๆ ดงั น้นั คนไมม่ ีสัจจะจึงเป็นคนที่ไม่มีค่าพอต่อการเป็นมนุษยเ์ ลยสกั นิดเดียว และยอ่ มไมม่ ีคา่ ในสายตาของผูอ้ ่ืนดว้ ยเช่นกนั 2. ความจริงใจ ความซื่อสตั ยใ์ นบทบาทของพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึง “ความจริงใจ” ต่อบุคคลอื่น ๆ น้นัสามารถที่จะช่วยยกระดบั ตนเองสู่การเป็ นผนู้ า โดยมีบุคคลแวดลอ้ มท่ีจะพร้อมใจกนั เป็ นผตู้ ามได้ทุกเมื่อ เพราะการแสดงความจริงใจต่อผใู้ ด เทา่ กบั วา่ เราไดม้ อบความรักใหแ้ ก่เขา ซ่ึงสามารถเหนี่ยวร้ังเขาใหเ้ ขา้ มาอยใู่ นระบบหรือสังคมเดียวกนั กบั เราโดยมีเราเป็นจุดศูนยร์ วมได้ ความจริงใจ หมายถึง การแสดงออกใด ๆ ของเราต่อบุคคลอื่นดว้ ยความคิดความรู้สึกแบบตรงไปตรงมาไม่หวาดระแวงจนไมอ่ าจมอบความรู้สึกดี ๆ ต่อบุคคลอ่ืน ๆ ได้ ทาใหก้ ารแสดงออกและการกระทาใด ๆ ของเราตอ่ บุคคลอื่นเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงตามไปดว้ ย นอกจากน้นั ความจริงใจยงั จะตอ้ งไดม้ าจากความปรารถนาดีท่ีพงึ มีตอ่ บุคคลอ่ืนดว้ ย โดยความปรารถนาดีกค็ ือ การหวงั ดี อยากเห็นบุคคลอ่ืนไดด้ ีมีความสุข ซ่ึงจะทาใหต้ นเองรู้สึกวา่ มีความสุขตามเขาไปดว้ ย หากเห็นเขา ทุกขเ์ ราก็เกิดความทุกขต์ ามเขาดว้ ยเช่นกนั อยา่ งน้ีเรียกวา่“มีสุขร่วมสุข มีทุกขร์ ่วมตา้ น” จึงเป็นความปรารถนาดีต่อกนั อยา่ งแทจ้ ริง

383. ความน่าเช่ือถือ การเป็นคนน่าเชื่อถือ ซ่ึงเป็นส่วนผสมของความซื่อสัตยท์ ่ีกาลงั กล่าวถึงน้ี คือการกระทาตนให้เป็นบุคคลน่าไวว้ างใจของบุคคลอ่ืน ๆ เสมอนน่ั เอง ความน่าไวว้ างใจ จะตอ้ งเกิดจากบทบาทตา่ ง ๆ ท่ีเราแสดงออกต่อสายตาผอู้ ื่นดว้ ยการเป็นคนไมเ่ รรวนไม่เปลี่ยนแปลงความคิดง่าย ไม่เปลี่ยนใจง่าย โดยตอ้ งเป็นคนท่ีมีความเด็ดขาด ไมเ่ ป็นคนเหลาะแหละ ไมค่ อ่ ยจะเอาจริงเอาจงั กบั เร่ืองใด ๆ หรือ ขาดความกระตือรือร้น ทาตนเซ่ืองซึมหรือทางานแบบซงั กะตาย พฤติกรรมดา้ นลบท้งั หลายที่กล่าวมาน้ีลว้ นเป็นพฤติกรรมขยะของมนุษย์ทุกประเภท ความซ่ือสตั ยต์ อ่ ผอู้ ื่น จึงเป็นส่วนผสมของพฤติกรรมภายใน 3 ประการ คือ ความมีสัจจะความจริงใจ และความน่าเชื่อถือ หลกั ธรรมตน้ ที่ 3 น้ีจึงเป็ นเสาหลกั ค้ายนั เวทีของผนู้ าอีกตน้ หน่ึงที่จะตอ้ งสร้างเป็นคุณสมบตั ิไวเ้ พราะความน่าเชื่อถือจะตอ้ งเกิดจากความรู้สึกน่าไวว้ างใจ และความน่าเชื่อถือ คือ เงื่อนไขหน่ึงท่ีจะเรียกเอาความศรัทธาใหห้ ลง่ั ออกมาจากจิตใจผอู้ ่ืน เพื่อมอบใหเ้ ป็นรางวลั อีกเช่นกนั 4.4 ความเป็ นธรรม ในโลกน้ีมีอยู่ 2 บทบาทที่มนุษยย์ งั ขาดความเขา้ ใจแทจ้ ริงในความหมายของมนั และอีกมากมายยงั มีความสบั สนกบั ท้งั 2 บทบาทน้ีกนั อยู่ บทบาทที่วา่ น้ีคือ “ความเป็นธรรม” กบั “ความยตุ ิธรรม” หรือท่ีสังคมมนุษยเ์ รียกวา่ ความเที่ยงธรรมนนั่ เอง ท้งั สองคาน้ีหากพจิ ารณาเพยี งผวิ เผนิแลว้ ดูเหมือนจะมีความหมายเดียวกนั แต่หากมีความเขา้ ใจอยา่ งถ่องแทแ้ ลว้ จะรู้ดีวา่ ไมเ่ หมือนกนัเลยสกั นิดเดียว ความเป็นธรรม หมายถึง เส้นแบง่ ระหวา่ งความพึงพอใจกนั ของคนท้งั สองคน หรือของทุกฝ่ ายที่เก่ียวขอ้ งในส่ิงใดส่ิงหน่ึงหรือเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ซ่ึงเป็นท่ียอมรับวา่ พอใจดว้ ยกนั ทุกคน ทุกฝ่ ายโดยท่ีเส้นแบ่งดงั กล่าวอาจไมไ่ ดอ้ ยตู่ รงก่ึงกลางของทุก ๆ ฝ่ ายเลยกไ็ ด้ มนั อาจล้าแดนไปยงั อีกฝ่ ายหน่ึงบา้ ง แต่ทุกคน ทุกฝ่ ายกม็ ีความพงึ พอใจและพร้อมที่จะยอมรับเส้นแบ่งดงั กล่าวน้นั ไดโ้ ดยไม่ขดั ขอ้ ง ความหมายของ “ความเป็นธรรม” น้นั จะเนน้ ท่ีความรู้สึกพงึ พอใจเป็นสาคญัซ่ึงหมายถึง ความพอดีท่ีน่าพอใจของทุกคน ทุกฝ่ ายนนั่ เอง ความเป็นธรรม เป็ นคายอ่ ของคาวา่ “ความเป็นธรรมชาติ ในที่น้ีหมายถึง ธรรมชาติของมนุษยน์ ี่เอง” โดยความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คือ การเนน้ ที่อารมณ์รู้สึก และอารมณ์รู้สึกที่มนุษย์ตา่ งเนน้ กนั มากก็คือ ความพงึ พอใจหรือความพอดีของตนเอง ซ่ึงถา้ เม่ือใดท่ีมนุษยท์ ้งั หลายสามารถคน้ พบวา่ เส้นแบ่งของความพึงพอใจหรือความพอดีของตนเป็ นเส้นเดียวกนั กบั บุคคลอื่น ๆ แลว้เส้นแบ่งท่ีวา่ น้ี คือขอบเขตท่ีเรียกกนั วา่ “ความเป็นธรรม” นนั่ เอง

39 “ความยตุ ิธรรม จึงหมายถึง การยตุ ิธรรมชาติของมนุษยน์ น่ั เอง” เพราะธรรมชาติมนุษยใ์ นเรื่องของความพอดีท่ีทุกคนพอใจน้นั บอ่ ยคร้ังท่ีมกั มองหาทางออกที่เป็ นธรรมเพือ่ สร้างความพงึ พอใจแก่ทุกฝ่ ายไมไ่ ด้ เนื่องจากความตอ้ งการตามธรรมชาติและนิสยั ส่วนตวั ของแตล่ ะคนไม่เหมือนกนัการที่จะหาจุดร่วมที่ลงตวั กนั ทางความรู้สึกนึกคิดจึงค่อนขา้ งยากยง่ิ เนื่องจากเหตุผล 2 ประการ คือ 1. มนุษยม์ กั สบั สนกบั ความพอใจในความตอ้ งการของตนเอง ความสับสนในความพงึ พอใจของตนเองของมนุษยใ์ นสิ่งใด ๆ เกิดจากการที่มนุษยบ์ อกตนเองไมไ่ ดว้ า่ ระดบั สูงสุดท่ีตนพอใจส่ิงน้นั อยา่ งแทจ้ ริงอยทู่ ่ีตรงไหน จึงทาใหเ้ กิดเป็นความพอใจท่ีหาความพอดีสาหรับตนเองไมพ่ บเมื่อหาจุดของความพอดีของตนไม่พบแลว้ ยอ่ มไม่รู้วา่ เส้นแบง่แห่งความพอดีท่ีลงตวั กนั กบั ความพอดีที่น่าพอใจของคนอื่น ๆ น้นั อยตู่ รงไหนดว้ ยเช่นกนั แม้บุคคลอื่นเขาจะหาของตวั เองพบแลว้ ก็ตาม 2. มนุษยม์ ีความอยากหรือความ “โลภ” ไมร่ ู้สิ้นสุด การมีความโลภไม่รู้จกั พอหรือพอดีพอควรของผูค้ นในสังคมปัจจุบนั มีมากข้ึนเรื่อย ๆ เพราะในสงั คมเตม็ ไปดว้ ยการแข่งขนั เพ่อื ความอยรู่ อดของตวั และพวกท่ีรุนแรงข้ึนกวา่ ยคุ เก่า และมนุษย์ถูกสอนพฤติกรรมของความอยากที่เป็นกิเลสจากทฤษฎีแรงจูงใจแบบตะวนั ตกกนั มายาวนาน สอนกนั ต้งั แต่ในบา้ น โรงเรียน และสงั คม มนุษยส์ ่วนใหญจ่ ึงเคยชินกบั ความอยากหรือความโลภเพราะไดร้ ับการปลูกฝังกนั มาอยา่ งตอ่ เน่ืองโดยไมร่ ู้ตวั ดงั น้นั ความโลภจึงหมายถึง ความพึงพอใจที่ไมม่ ีขีดจากดั เม่ือมนุษยส์ ่วนใหญ่หาจุดร่วมแห่งความพอดีที่ทุกฝ่ ายพอใจกนั ไมไ่ ด้ จึงจาเป็นที่จะตอ้ งหาทางออกใหแ้ ก่กนั และกนั เพื่อสร้างความลงตวั กนั ใหไ้ ด้ มนุษยจ์ ึงคิดสร้างกฎเกณฑก์ ติกากนั ข้ึนมาเพือ่ ยตุ ิธรรมชาติท่ีไมล่ งตวั กนั แมใ้ ครจะยงั รู้สึกวา่ ไมพ่ อใจหรือไมพ่ อดีอยบู่ า้ งก็ตาม ทุกคน ทุกฝ่ ายก็จะตกลงกนั วา่ จะใชก้ ฎกติกาท่ีร่วมกนั สร้างข้ึนมาเป็นเกณฑต์ ดั สินแทน ดงั ไดก้ ล่าวไวแ้ ต่ตน้ แลว้ ความยตุ ิธรรม มีส่วนดีเพยี งแคใ่ ชย้ ตุ ิปัญหาขอ้ ขดั ขอ้ งใด ๆ ที่เกิดข้ึนไดช้ ว่ั คราวเทา่ น้นั แต่ขอ้ เสียคือมนั กลบั ทาลายความเป็นธรรมชาติของมนุษยไ์ ป พร้อมกบั การทาลายความเป็ นหน่ึงเดียวกนั ของมนุษยอ์ ีกทางหน่ึงดว้ ย ดงั น้นั “ความเป็นธรรม” ยอ่ มเหมาะสมกวา่ ใช่หรือไม่ ถา้ เราเป็นผนู้ าที่มีความเป็นธรรม เราจะสามารถรักษาความเป็นหน่ึงเดียวกนั ของหมูค่ ณะหรือสงั คมที่เราเป็นผนู้ าอยไู่ ดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะความเป็นธรรม มิไดท้ าลายความเป็นธรรมชาติของใครเลยแมแ้ ต่คนเดียว เราจึงตอ้ งคน้ หาใหไ้ ดว้ า่ จะสร้างความเป็นธรรมใหเ้ กิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ในอนั ที่จะทาใหท้ ุกคนลว้ นพึงพอใจกบั บทบาทการเป็นผนู้ าที่มีความเป็นธรรมใหไ้ ด้ โดยดาเนินการดงั น้ี 1. สอนใหท้ ุกคนคิดถึงความตอ้ งการของผอู้ ่ืน 2. สอนใหท้ ุกคนรู้จกั สนองความตอ้ งการของผอู้ ื่น 3. สอนใหท้ ุกคนยอมรับในธรรมชาติของผอู้ ่ืน และรู้จกั ปรับตวั เขา้ หากนั เพ่ือความเป็นหน่ึงเดียวกนั

40 ถา้ หากคุณสามารถสอนพฤติกรรมผา่ นจิตสานึกของผตู้ ามท้งั หลาย ดว้ ยเง่ือนไขพฤติกรรมท้งั 3 ประการที่กล่าวไวน้ ้นั ได้ กจ็ ะสามารถขจดั พฤติกรรมขยะเร่ืองของความโลภ ความไมร่ ู้จกั พอของมนุษยท์ ่ีเป็นอุปสรรคต่อการสร้างจุดร่วมแห่งความพอใจท่ีลงตวั กนั อยา่ งเป็นธรรมได้ ผนู้ าที่ฉลาดและมีความสามารถสูง จะใชค้ วามเป็นธรรมนาหนา้ ความยตุ ิธรรมเสมอ ผนู้ าที่มีความเป็นธรรมจะเป็ นผทู้ ี่ลูกนอ้ งหรือบริวารท้งั หลายมีความรักและศรัทธาใหม้ ากกวา่ ผนู้ าจะตอ้ งตระหนกั ไวด้ ว้ ยวา่ ลูกนอ้ งหรือบริวารจะพอใจกบั ความเป็นธรรมมากกวา่ ความยตุ ิธรรมแน่นอนแต่ผนู้ าไม่อาจแสดงความเป็ นธรรมใด ๆ กบั พวกเขาไดเ้ ลย ถา้ หากไม่พฒั นาพวกเขาใหม้ ีคุณสมบตั ิในจิตใจท้งั 3 ประการท่ีกล่าวแลว้ น้นั ให้ไดเ้ สียก่อน ถา้ คุณเป็นผนู้ าที่มีความเป็นธรรม โดยสามารถแสดงบทบาทตอ่ ลูกนอ้ งหรือบริวารผา่ นพฤติกรรมดี ๆ ไดม้ ากมาย ในที่น้ีจะขอนามาแสดงเพื่อเป็ นตวั อยา่ งไว้ 3 ลกั ษณะ คือ 1. ปฏิบตั ิต่อลูกนอ้ งหรือบริวารทุกคนอยา่ งเท่าเทียมกนั 2. ไมก่ ระทาใด ๆ ที่ลาเอียงดว้ ยการเขา้ ขา้ งฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง 3. จงเป็นคนมีเหตุผลเสมอ 4.5 ความกล้าหาญ ความกลา้ หาญ เป็นเสาตน้ ที่ 5 ท่ีจะช่วยค้ายนั เวทีแห่งการเป็นผนู้ าของคุณใหม้ ีความแขง็ แกร่งยง่ิ ข้ึนไปอีก ความกลา้ หาญ ประกอบดว้ ยบทบาทสาคญั 2 ลกั ษณะ คือ 1. กลา้ เผชิญหนา้ กบั อุปสรรค ปัญหา หรือสถานการณ์คบั ขนั 2. กลา้ แสดงออก ความกลา้ หาญท้งั สองลกั ษณะน้ี เป็นอีกคุณลกั ษณะหน่ึงท่ีจาเป็นสาหรับการเป็ นผนู้ าบุคคลอื่น ๆ เพราะ ผทู้ ี่จะสามารถแสดงออกซ่ึงความกลา้ หาญไดน้ ้นั เขาจะตอ้ งมีคุณสมบตั ิเฉพาะตวั เป็นพเิ ศษบางประการที่ผอู้ ่ืนยงั ไมม่ ี ซ่ึงพอจะแยกแยะใหเ้ ห็นอยา่ งชดั เจนไดด้ งั น้ี 1. คุณสมบตั ิของคนที่กลา้ เผชิญหนา้ ความกลา้ หาญในลกั ษณะน้ี หมายถึง การกลา้ เผชิญหนา้ กบั อุปสรรค ความทุกขย์ าก ปัญหาและสถานการณ์คบั ขนั ต่าง ๆ ไดเ้ สมอ ไมข่ ลาดกลวั ไม่วติ กกงั วลและตื่นกลวั ตอ่ สิ่งท่ีกาลงั เผชิญสามารถนาตนเองเขา้ สู่สถานการณ์ตา่ ง ๆ เหล่าน้นั และฟันฝ่ ามนั ไปอยา่ งไมห่ วน่ั ไหว จนกวา่ จะบรรลุปลายทางสุดทา้ ย คือ การกา้ วพน้ อุปสรรคหรือปัญหาน้นั ๆ ไปไดอ้ ยา่ งองอาจ หรือแมจ้ ะตอ้ งประสบกบั ความลม้ เหลวผดิ พลาดก็พร้อมที่จะยอมรับความจริงน้นั ไดเ้ สมอ การจะปฏิบตั ิตนเช่นน้ีได้ ตอ้ งมีโครงสร้างทางพฤติกรรมภายในบางอยา่ งท่ีแขง็ แกร่งพอ คือตอ้ งมีความเชื่อมนั่ ในตนเองเสมอ ความเช่ือมนั่ ในตนเอง เป็นหน่ึงในโครงสร้างทางพฤติกรรมหลกั ๆ ของมนุษย์ ที่จะตอ้ งปลูกฝังกนั มาต้งั แตว่ ยั เดก็ แลว้ เพราะความเชื่อมน่ั ในตนเองเป็นพลงั อานาจที่จาเป็ นตอ้ งใชใ้ นการ

41ขบั เคลื่อนคุณสมบตั ิท่ีดีงามท้งั หลายของตวั เองออกมาแสดงผา่ นบทบาทการทางานและบทบาทการดาเนินชีวติ ในแตล่ ะวนั ถา้ มีคุณสมบตั ิท่ีดีงามเฉพาะตวั อยมู่ ากมาย แต่ไม่มีความเช่ือมนั่ ในตนเองเสียแลว้ ส่ิงดี ๆท้งั หลายที่มีอยใู่ นตวั เหล่าน้นั ก็จะไม่มีสิ่งใดขบั เคลื่อนออกมาใหเ้ ห็นเป็ นรูปธรรมได้ ไม่ตา่ งจากคนที่มีความรู้ ความสามารถอยเู่ ตม็ ตวั แตห่ วั ใจไร้ซ่ึงความเชื่อมนั่ ในตนเอง เขากจ็ ะไมก่ ลา้ นาเอาความรู้ความสามารถท้งั หลายออกมาแสดงใหใ้ ครเห็นและใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้ หรือหากเขาจาเป็นตอ้ งทา เขากจ็ ะแสดงออกมาดว้ ยความกลวั ๆ กลา้ ๆ ดว้ ยทา่ ทที ่ีลงั เลเหมือนดง่ั นกั รบท่ีรบพลางถอยพลาง ซ่ึงไม่มีวนั ประสบชยั ชนะได้ เพราะอาจสะดุดขาตนเองหกลม้ เสียก่อน ความเชื่อมนั่ ในตนเอง คือ การเช่ือมนั่ วา่ ตนเองจะสามารถฟันฝ่ าอุปสรรค ปัญหา หรือสถานการณ์ท่ีไม่พึงประสงคน์ ้นั ๆ ไดอ้ ยา่ งแน่นอน ดว้ ยศกั ยภาพหรือความพร้อมของตนที่มีอยู่ เช่นสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และอื่น ๆ ความเป็นธรรมมีลกั ษณะอยา่ งไร 2. คุณสมบตั ิของคนท่ีกลา้ แสดงออก การกลา้ แสดงออกในที่สาธารณะ ตอ่ หนา้ บุคคลหมู่มากซ่ึงเป็นคนแปลกหนา้ สาหรับบุคคลทว่ั ไปแลว้ ยอ่ มมีความรู้สึกต่ืนเตน้ และประหม่าอยบู่ า้ งไม่มากก็นอ้ ย บางรายความประหม่าอาจมีมากเกินปกติในระดบั ที่แสดงอาการขวยเขินสะเทิ้นอายออกมาใหเ้ ห็น ความอายเป็นคุณสมบตั ิธรรมชาติอยา่ งหน่ึงของมนุษยก์ ็จริงอยู่ แต่ตอ้ งรู้วา่ ที่ธรรมชาติมอบความอายใหแ้ ตล่ ะคนติดตวั มาเพอื่ ใหแ้ ต่ละคนไดเ้ รียนรู้วา่ ความอายเป็นอยา่ งไร แลว้ ใหใ้ ชค้ วามอายน้นั ให้เป็นประโยชน์ในการดาเนินชีวติ นน่ั คือ ให้รู้จกั อายในส่ิงท่ีสมควรละอายเทา่ น้นั เช่น ละอายต่อการทาชว่ั ละอายต่อบาปเป็ นตน้ ความอายไม่ไดแ้ ตกต่างไปจากความรู้สึกอ่ืน ๆ ของมนุษยเ์ ลย เช่น ความรัก มนุษยเ์ องก็รู้วา่แต่ละคนลว้ นมีความรักอยใู่ นจิตใจดว้ ยกนั ท้งั สิ้น รู้วา่ ความรักแทท้ ี่บริสุทธ์ิน้นั เป็นอยา่ งไร และรู้วา่ตนเองควรมอบความรักน้นั ใหแ้ ก่ใครและเม่ือใด เป็นตน้ บุคคลท่ีจะล่วงพน้ ความอายในการแสดงออกหรือกระทาใด ๆ จะตอ้ งมีคุณสมบตั ิดงั น้ี 1. รู้จกั แยกแยะถูกผดิ ดีชว่ั ความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมไดด้ ีพอ 2. มนั่ ใจในส่ิงท่ีตนจะแสดงออกเสมอวา่ เป็นท่ียอมรับของบุคคลอ่ืนไดอ้ ยา่ งแน่นอน 3. ไมค่ าดหมายใด ๆ ล่วงหนา้ ในผลลพั ธ์ที่จะเกิดข้ึนจากการแสดงออกของตนเอง ที่ผอู้ ื่นจะแสดงการตอบสนองท้งั ดา้ นบวกหรือลบในอนาคต ดว้ ยความเชื่อมน่ั วา่ ส่ิงท่ีตนแสดงน้นั ถูกตอ้ งเหมาะสม 4. เช่ือมนั่ วา่ สิ่งท่ีตนจะแสดงออกน้นั เป็ นการเปิ ดเผยคุณสมบตั ิของตนใหผ้ ูอ้ ่ืนรับรู้ เพอ่ื ใหเ้ กิดการยอมรับเม่ือมีโอกาสจึงตอ้ งรีบไขวค่ วา้ เอาไวใ้ หไ้ ด้ แลว้ แสดงออกในเวลาที่เหมาะสมดีกวา่ โอ้อวดผดิ เวลา

42 5. เชื่อมน่ั วา่ ส่ิงที่จะแสดงออกน้นั เป็ นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น ๆ ดงั น้นั การแสดงออกของตนจึงเท่ากบั เป็นการมอบส่ิงดี ๆ ใหแ้ ก่ผอู้ ่ืน ซ่ึงการทาความดีงามเช่นน้ี ยอ่ มไม่มีเหตุผลท่ีจะละอายจนไมก่ ลา้ แสดงออก 6. การแสดงออกที่ดีงามใด ๆ ก็ตาม คือการแสดงบทบาทการเป็นผนู้ าบุคคลอ่ืนอยา่ งหน่ึง แม้สิ่งท่ีจะกระทาน้นั ไม่ใช่ส่ิงใหม่ เร่ืองใหม่ เพียงแคแ่ สดงเพือ่ เป็นแบบอยา่ งแก่ผูอ้ ่ืน ก็เทา่ กบั วา่ ได้แสดงบทบาทของการเป็นผนู้ าบุคคลอ่ืนแลว้ เช่นกนั 7. ไม่หวนั่ กลวั ต่อความผดิ พลาดอนั อาจเกิดข้ึน เพราะเช่ือวา่ ไม่มีใครไมเ่ คยกระทาผดิ พลาดเนื่องจากคนท่ีไมเ่ คยทาอะไรผดิ พลาด มกั จะเป็นพวกที่ไม่เคยทาอะไรเลย และการแสดงออกใด ๆท่ีผดิ พลาด ยอ่ มทาใหต้ นเองรู้วา่ จะตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ขตนเองอยา่ งไรเพ่ือสร้างความกา้ วหนา้ ใหต้ นเองไปเร่ือย ๆ ดีกวา่ คนท่ีไม่กลา้ ทาอะไรเพราะมวั แตอ่ าย 8. เชื่อมน่ั วา่ มีเพียงหนทางเดียวท่ีจะแสดงพลงั อานาจในตนเองออกมาใหค้ นอ่ืนยอมรับได้ ก็คือการแสดงออกใหผ้ ูอ้ ื่นไดเ้ ห็น ถา้ คิดดีแลว้ แตไ่ ม่กลา้ พูด ถา้ รู้ดีกวา่ ผอู้ ื่นแต่ไมก่ ลา้ ทาใหเ้ ขาดูเป็ นแบบอยา่ ง หรือรู้ส่ิงใดมากกวา่ ที่คนอื่นรู้แต่ไมก่ ลา้ เปิ ดเผยใหพ้ วกเขารู้แลว้ เราจะแสดงพลงั อานาจออกมาใหผ้ ูอ้ ่ืนไดร้ ู้เห็นและยอมรับกนั ไดอ้ ยา่ งไร การเป็นผนู้ าบุคคลอ่ืนเพื่อทาใหพ้ วกเขายอมรับเราได้ ดว้ ยการแสดงความสามารถใหพ้ วกเขาไดเ้ ห็นอยา่ งเป็ นรูปธรรมก็เป็นทางหน่ึงท่ีผนู้ าท้งั หลายจะตอ้ งทาใหไ้ ด้ จะเห็นไดว้ า่ “ความกลา้ หาญ” ในการเผชิญอุปสรรคปัญหา หรือการกลา้ แสดงออกในส่ิงที่มนั่ ใจวา่ ดีงามและมีประโยชนต์ อ่ ตนเองและผอู้ ื่นน้นั โดยภาพรวมแลว้ จะตอ้ งหล่อหลอมจิตใจเอาไวด้ ว้ ยคุณสมบตั ิหลกั ๆ ตอ่ ไปน้ี ความเช่ือมนั่ ในความพร้อมของตนเอง ความมุ่งมนั่ ในผลสาเร็จของการที่จะกระทา ความเขา้ ใจในวตั ถุประสงคข์ องการแสดงความกลา้ หาญ การยอมรับในความผิดพลาดอนั อาจเกิดข้ึนในอนาคตอยา่ งไมห่ วน่ั ไหว เขา้ ใจธรรมชาติมนุษยด์ ีพอวา่ ถา้ แสดงออกแลว้ เกิดการผดิ พลาดข้ึนก็ถือเป็นเร่ืองปกติเพราะไม่มีมนุษยค์ นใดรู้มากไปทุกเร่ือง และไม่มีใครไมเ่ คยกระทาผดิ พลาด 1. มีความเชื่อมนั่ ในตนเองเพ่ิมข้ึน 2. มีความเคยชินมากข้ึน ท้งั สองประการน้ี จะช่วยใหเ้ รากลา้ เผชิญหนา้ กบั ส่ิงที่ยงุ่ ยาก และกลา้ แสดงออกไดเ้ ป็นอยา่ งดี ยง่ิ ถา้ สามารถยกระดบั ทาใหส้ ูงข้ึนเรื่อย ๆ แลว้ ความขลาดกลวั และความอายจะลดทอนอานาจลงไดเ้ รื่อย ๆ เช่นกนั สามารถชนะใจบุคคลอ่ืนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี และสามารถแสดงท่าทีของคนกลา้ออกมาใหเ้ ห็นไดท้ ุกเมื่อ

43 4.6 ความมีจิตใจม่นั คง เสาหลกั ตน้ ที่ 6 น้ี สืบเนื่องกบั เสาตน้ ท่ี 5 ท่ีผา่ นมา ความเกี่ยวเน่ืองกนั อยูต่ รงที่วา่ ถา้ เราสามารถแสดงออก ซ่ึงความกลา้ หาญใด ๆ ได้ เราจะตอ้ งเป็ นผมู้ ีจิตใจท่ีมนั่ คงดว้ ย จิตใจที่มนั่ คง หมายถึง ความเด็ดเด่ียว ความเดด็ ขาด และความมน่ั ใจในตนเอง ในอนั ท่ีจะแสดงออกซ่ึงความหนกั แน่น มน่ั คงแน่วแน่ และไมโ่ ลเลหรือลงั เลใจในการคิดและการกระทาใด ๆของตน ท้งั ก่อนตดั สินใจแสดงออก ขณะแสดงออก และหลงั เสร็จสิ้นการแสดงออกแลว้ คนท่ีจะเป็นผนู้ าบุคคลอื่น ๆ ได้ จะตอ้ งมีความกลา้ พอที่จะยนื ยนั ความถูกผิดในการกระทาของตนเองเสมอ กล่าวคือ จะตอ้ งพร้อมยอมรับความจริงไดว้ า่ หากสิ่งท่ีตนคิดหรือกระทาลงไปน้นัไมถ่ ูกตอ้ งข้ึนมาจริง ๆ ก็พร้อมท่ีจะยอมรับทนั ที โดยไมม่ ีขอ้ อา้ งหรือคาแกต้ ่างแกต้ วั ใด ๆ ท้งั สิ้นเพราะมน่ั ใจเสมอวา่ ความคิดหรือวธิ ีกระทาของเราน้นั ไดม้ าจากการตดั สินใจข้นั สุดยอด และมีความแยบยลเป็นที่สุดเท่าที่สติปัญญาและความสามารถของเราแลว้ เราจึงไมม่ ีอาการหวน่ั ไหวหรือสะทกสะทา้ นใด ๆ ใหเ้ ห็นและสามารถแสดงออกมาไดท้ นั ทีอยา่ งไมล่ งั เลใจ ความลงั เลไม่แน่ใจในการที่จะแสดงออกใด ๆ สักอยา่ งน้นั บางคร้ังอาจนามาซ่ึงความผดิพลาดหรือบกพร่องไดอ้ ยา่ งไมน่ ่าจะเกิดข้ึน ท้งั ๆ ที่การคิดและการกระทาน้นั ถูกตอ้ งเหมาะสมเป็นท่ีสุดแลว้ ความลงั เลในลกั ษณะเช่นน้ีคือการกลวั ๆ กลา้ ๆ จนน่าราคาญในสายตาคนดูนนั่ เองเพราะพวกเขาจะมองวา่ เราเป็ นคนไมเ่ ด็ดเด่ียว หรือไมแ่ น่จริง ทาใหพ้ วกเขาไม่ยอมรับในความสามารถของเราและไมม่ อบความศรัทธาให้ ผลเสียจากความมีจิตใจไม่มน่ั คงอีกลกั ษณะหน่ึง คือ ความสามารถในการตดั สินใจเพอ่ื การตดั สินคนหรือเร่ืองราวต่าง ๆ ซ่ึงคนที่เป็นผนู้ าจะตอ้ งรับผิดชอบอยา่ งไม่อาจหลีกเลี่ยงไดน้ ้นั จะถูกบนั่ ทอนลงไดเ้ ช่นเดียวกนั นน่ั คือ ความลงั เลไมก่ ลา้ ยนื บนความถูกผดิ ของผูอ้ ่ืน ถา้ เป็ นภาษาพูดจะกล่าววา่ “ไมก่ ลา้ ฟันธง” นน่ั เอง เพราะไมก่ ลา้ ตดั สินใจ หรือตดั สินใจแลว้ แต่ไมก่ ลา้ แสดงออกเพราะยงั กลวั ตดั สินใจผดิ อยูอ่ ยา่ งเดิม ความโลเลหรือลงั เลใจของมนุษย์ ยงั แสดงออกมาใหเ้ ห็นกนั อีกลกั ษณะหน่ึง คือ การเปลี่ยนความคิดและการเปล่ียนใจบ่อย ๆ จนคนอื่น ๆ เกิดความสับสนตามไปดว้ ย เพราะไม่รู้วา่ จะเอาอยา่ งไรดี หากเราปฏิบตั ิตนเช่นน้ีบอ่ ย ๆ จะทาใหเ้ กิดความเคยชินจนเป็นนิสัยไมด่ ีติดตวั เราไปตลอด และผทู้ ี่เป็ นคนจิตใจไมห่ นกั แน่นมนั่ คงน้นั จะไม่มีผใู้ ดมองเห็นความโดดเด่นจนยอมตนที่จะเป็นผตู้ ามไดเ้ ลยแมแ้ ต่รายเดียว เสาตน้ น้ีจึงจาเป็ นตอ้ งสร้างใหส้ ูงทดั เทียมกบั ตน้ อื่น ๆ ท่ีผา่ นมาและตอ้ งมีความแขง็ แกร่งพอเพ่ือใหเ้ ราโดดเด่นบนรากฐานการเป็นผนู้ าท่ีมน่ั คงอีกทางหน่ึงดว้ ย

44 4.7 ความรับผดิ ชอบ เสาหลกั ตน้ ที่ 7 ซ่ึงเป็ นตน้ สุดทา้ ยน้ี คือ เราจะตอ้ งเป็นผทู้ ี่มีความรับผดิ ชอบ และสามารถแสดงความรับ ผิดชอบน้นั ออกมาใหบ้ ุคคลอื่นเห็นจนยอมรับและศรัทธาในตวั ตนของเราไดอ้ ยา่ งเป็นรูปธรรม ความรับผิดชอบของคนที่จะเป็ นผนู้ าบุคคลอื่น ๆ มี 3 บทบาท คือ 1. รับผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ 2. รับผดิ ชอบในการคิดและการตดั สินใจกระทาสิ่งใด ๆ ใหถ้ ูกตอ้ งที่สุด 3. รับผดิ ชอบในผลของการกระทา การรับผิดชอบตอ่ หนา้ ที่ หมายถึง การที่เราไม่ละเลยหรือหลีกเลี่ยงการกระทาส่ิงใด ๆ ที่เป็นหนา้ ท่ีของตนเองดว้ ยการบ่ายเบ่ียงไมย่ อมกระทาหรือวานใหผ้ อู้ ่ืนทาแทน แต่เราจะรับผดิ ชอบดว้ ยการต้งั ใจกระทาอยา่ งจริงจงั อยา่ งเตม็ ที่ และทาอยา่ งดีท่ีสุดเทา่ ท่ีจะสามารถกระทาใหบ้ ุคคลอื่นเห็นได้ การรับผิดชอบในการคิดและการตดั สินใจกระทาสิ่งใด ๆ ใหถ้ ูกตอ้ งท่ีสุด หมายถึง ความต้งั ใจจริงในการคิดตดั สินใจใด ๆ เพือ่ ไมใ่ หเ้ ป็ นไปดว้ ยการขาดความรอบคอบหรือประมาท ในอนัท่ีจะนาผลเสียหายมาสู่หมู่คณะหรือบุคคลอื่นที่เป็ นผตู้ ามในภายหลงั ได้ โดยเราจะตอ้ งคิดให้รอบคอบที่สุด ตดั สินใจอยา่ งดีที่สุดเพอื่ ไม่ใหผ้ ูอ้ ื่นตอ้ งไดร้ ับผลเสียหายจากความผดิ พลาดในการตดั สินใจของเราเอง เนื่องจากหากเราผดิ พลาดในเรื่องน้ีบ่อย ๆ หรือแมเ้ พยี งแตค่ ร้ังเดียว พวกเขาก็จะขาดความมน่ั ใจในตวั เราทนั ที แลว้ ยงั มีโอกาสเส่ือมศรัทธาอีกดว้ ย การเป็นผูน้ าบุคคลอื่นเปรียบเสมือนจอมทพั ท่ีจะแสดงความอ่อนดอ้ ยในการรบ การวางแผนและการตดั สินใจไมเ่ ด็ดขาด ไม่ถูกตอ้ งไม่ไดเ้ ลย เพราะจะทาใหพ้ ลทหารเสียขวญั ไม่มน่ั ใจในตวัผนู้ าของเขาไดท้ ุกเม่ือการรับผดิ ชอบในผลของการกระทา หมายถึง การที่เรากลา้ ยอมรับในผลของการตดั สินใจและการกระทาใด ๆ ที่ผดิ พลาด โดยไมป่ ฏิเสธความรับผดิ ชอบดว้ ยการโยนความผดิไปใหบ้ ุคคลอื่น แต่จะออกมายอมรับความผิดพลาดน้นั อยา่ งกลา้ หาญโดยไมก่ ลวั เสียหนา้ การกลา้แสดงออกซ่ึงความรับผดิ ชอบเช่นน้ี จะช่วยเพม่ิ ความศกั ด์ิสิทธ์ิใหแ้ ก่ตวั เราเองในสายตาของลูกนอ้ งไดเ้ ป็นอยา่ งดี ท้งั ยงั เป็นแบบอยา่ งท่ีดีใหแ้ ก่พวกเขาท้งั หลายไดอ้ ีกดว้ ย เพราะในสังคมมนุษยน์ ้นัส่วนใหญม่ กั จะเป็นผรู้ ับชอบแต่ไม่ค่อยจะยอมรับผดิ กนั เสียเป็นส่วนมาก เพราะกลวั เสียหนา้ เสียฟอร์มดว้ ยเขา้ ใจวา่ การเป็นผนู้ าจะกระทาผดิ พลาดไมไ่ ดเ้ ลย ซ่ึงเป็นความคิด ความเขา้ ใจ หรือเป็นความเช่ือที่ไมถ่ ูกตอ้ งเพราะไมม่ ีผนู้ าคนใดในโลกน้ีที่ไมเ่ คยกระทาผดิ พลาดเลยแมเ้ พยี งคร้ังเดียว

45 การสร้างแรงบนั ดาลใจความหมายของแรงบันดาลใจ แรงบนั ดาลใจ (Inspiration) หมายถึง พลงั อานาจในตนเองชนิดหน่ึง ที่ใชใ้ นการขบั เคล่ือนการคิดและ การกระทาใด ๆ ท่ีพึงประสงค์ เพอ่ื ใหบ้ รรลุผลสาเร็จไดต้ ามตอ้ งการ โดยไมต่ อ้ งอาศยัสิ่งจูงใจภายนอกก่อให้เกิด แรงจูงใจข้ึนภายในจิตใจเสียก่อน เพ่ือที่จะกระตุน้ ใหเ้ กิดการคิดและการกระทาในสิ่งท่ีพึงประสงคเ์ หมือนเช่นปกติวสิ ยั ของมนุษยส์ ่วนใหญ่ ไมว่ า่ สิ่งท่ีตนกระทาน้นั จะยากสักเพียงใด ตนกพ็ ร้อมที่จะฝ่ าฟันอุปสรรคท้งั หลายสู่ความสาเร็จที่ตอ้ งการใหจ้ งได้ แมจ้ ะตอ้ งเสียสละบางสิ่งของตนเองไปบา้ ง กพ็ ร้อมท่ีจะเสียสละไดเ้ สมอ ถา้ จะช่วยนามาซ่ึงผลสาเร็จที่ตอ้ งการน้นั ไดจ้ ริง ๆ มนุษยส์ ่วนใหญ่ที่ใชพ้ ฤติกรรมทางอารมณ์นาหนา้ สติปัญญาหรือยงั ไม่อาจเขา้ ถึงการใช้ปัญญาญาณได้ จะมีโอกาสรู้จกั กบั อานาจแห่งแรงบนั ดาลใจของตนเองนอ้ ยมาก ส่วนใหญ่มกั จะเกิดข้ึนเองโดยมิไดจ้ งใจเจตนาเสียมากกวา่ มนุษยจ์ ึงไมร่ ู้วา่ แรงบนั ดาลใจคืออานาจภายในตนเองที่ยอดเยย่ี มอีกชนิดหน่ึง ซ่ึงเสริมอานาจการเป็นผูน้ าของตนไดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะไดแ้ ต่ตกเป็นทาสของส่ิงแวดลอ้ ม ตกเป็นทาสของส่ิงเร้า และตกเป็นทาสของเงื่อนไขท่ีผอู้ ่ืนจดั วางเอาไวต้ ลอดเวลาจนตอ้ งอยใู่ นสภาพของผทู้ ่ีไมม่ ีอานาจในตนเอง เพราะไม่อาจควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและความตอ้ งการท่ีแทจ้ ริงของตนเองได้ อานาจทางการคิดและการกระทาใด ๆ ในชีวติ ลว้ นถูกจูงใจดว้ ยสิ่งเร้าแทบท้งั สิ้น การแสดงบทบาทใดในชีวติ จึงเป็นไปตามอานาจของส่ิงเร้าภายนอกท่ีกระตุน้ ใหเ้ กิดแรงจูงใจภายใน ไม่ใช่เกิดจากอานาจการปลุกเร้าตนเองดว้ ยแรงบนั ดาลใจภายในเลย ดว้ ยเหตุน้ีจึงพอจะบ่งช้ีใหเ้ ห็นความแตกต่างของท่ีมาของคาสองคาไดอ้ ยา่ งชดั เจน ระหวา่ งคาวา่ “แรงจูงใจ”กบั คาวา่ “แรงบนั ดาลใจ” โดยดา้ นของแรงจูงใจก็คืออานาจ รับรู้ส่ิงเร้าที่เป็นเงื่อนไข อารมณ์ที่เกิดข้ึนน้นั จะเป็นตวั บงการใหเ้ กิดพฤติกรรมภายนอกต่อไปส่วนดา้ นของแรงบนั ดาลใจ กค็ ืออานาจอนั เกิดจากจิตวญิ ญาณซ่ึงเป็นแก่นแทข้ องตนเองโดยใชเ้ งื่อนไขภายในจิตใจของตนดว้ ยตวั เองซ่ึงเรียกวา่ “การสานึกรู้”การสร้างแรงบันดาลใจ ผนู้ ากบั การสร้างแรงบนั ดาลใจ มีดงั น้ี 1. รับฟังความคิดและใหค้ ุณค่าของบุคคล (Appeal to the person’s ideals and values) คนส่วนมากตอ้ งการเป็นคนสาคญั อยากมีคุณคา่ ประสบความสาเร็จ ช่วยเหลือผอู้ ่ืน มีส่วนร่วมในความสาเร็จ แรงบนั ดาลใจเหล่าน้ีเป็นพ้ืนฐานที่ดีสาหรับการดึงดูดทางอารมณ์ท่ีดี ตวั อยา่ งเช่น การ

46พฒั นางานดา้ นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยงั มีลกั ษณะทางอารมณ์อ่ืน ๆ ที่สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น เสรีภาพ อิสรภาพ ความยตุ ิธรรม ความโปร่งใสความเสมอภาค ความรัก ความกา้ วหนา้ เป็ นตน้ 2. เชื่อมโยงสิ่งร้องขอใหเ้ ขา้ กบั ภาพลกั ษณ์ของบุคคล (Link the request to the person’s self-image)ตวั อยา่ งเช่น นกั วทิ ยาศาสตร์ส่วนมากคน้ พบวทิ ยาการใหม่ ๆ ซ่ึงมีคุณคา่ ตอ่ มนุษยชาติ แพทย์และพยาบาลมีคุณคา่ ตอ่ การรักษาสุขภาพของผคู้ น วตั ถุประสงคท์ ่ีเปล่ียนไปหรือการกระทาน้นั อาจอธิบายไดว้ า่ เป็นการพฒั นาความรู้ใหก้ า้ วหนา้ ช่วยพฒั นาการดูแลสุขภาพทาใหอ้ งคก์ ารมีประสิทธิภาพ เป็นตน้ 3. เช่ือมโยงคาร้องขอเขา้ กบั วสิ ัยทศั น์ท่ีชดั เจน (Link the request to the clear and appealingvision)พยายามนาเสนอการเปลี่ยนแปลงและนวตั กรรมท่ีจะประสบความสาเร็จ เม่ือวสิ ยั ทศั นถ์ ูกทาใหเ้ ป็นจริง คุณคา่ ทางความคิดน้นั สาคญั กวา่ ประโยชน์ส่วนตวั แต่อยา่ งไรก็ตาม ไม่จาเป็นตอ้ งละทิ้งประโยชน์ส่วนตวั เลย 4. ใชก้ ารตื่นเตน้ เร้าใจ ใชแ้ สดงออกทางการพูด (Use a dramatic, expressive of speaking)การแสดงออกทางคาพดู จะช่วยเพ่ิมความรู้สึกดา้ นอารมณ์ ความรู้สึกอดั อ้นั และเก็บกดมกั แสดงทางน้าเสียง ควรใชค้ าพดู ท่ีหนกั แน่น มีระดบั เสียงสูงต่า เวน้ ระยะอยา่ งเหมาะสม เวน้ ช่วงสาคญั เพ่อืสร้างความรู้สึกสนใจ 5. ใชค้ าพูดที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี (Use positive, optimistic language) ความเชื่อมน่ั และมองโลกในแง่ดีเก่ียวกบั การเปล่ียนแปลงน้นั สามารถติดต่อไปยงั ผอู้ ่ืนได้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การสนบั สนุนงานท่ีทายาก และถา้ หากผปู้ ฏิบตั ิขาดความเช่ือมนั่ กค็ วรใชภ้ าษาส่ือสารท่ีเป็ นบวก สร้างความมน่ั ใจวา่ การเปลี่ยนแปลงน้นั จะนามาซ่ึงความสาเร็จ ตวั อยา่ งเช่น ใชค้ าวา่ “สิ่งดี ๆ จะเกิดข้ึน”แทนคาวา่ “สิ่งดี ๆ อาจเกิดข้ึนได”้ เมื่อมีการเปล่ียนแปลง บนั ได 3 ข้ันของการสร้างแรงบันดาลใจของผู้นา บนั ได 3 ข้นั ของการสร้างแรงบนั ดาลใจของผูน้ ามีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. มีความเชื่อมน่ั ในตนเอง มีความเชื่อมนั่ ในตนเองสูงพอ ผนู้ าตอ้ งเชื่อมน่ั ในตนเองวา่ ผลสาเร็จท่ีตอ้ งการจะไดร้ ับจากการคิดหรือจากการกระทาน้นั สามารถพชิ ิตมนั ไดอ้ ยา่ งแน่นอน โดยตอ้ งไมม่ ีความวติ กกงั วล ความลงั เลใจ และความไม่มนั่ ใจในตนเองเขา้ มาสอดแทรกในระหวา่ งการคิดคานึงหรือในขณะที่กาลงั ลงมือกระทาส่ิงน้นั อยโู่ ดยเดด็ ขาดเพราะมนั จะเป็นตวั การลดทอนหรือบ่อนทาลายความเช่ือมนั่ ในตนเองจนหมดสิ้น เมื่อพลงั แห่งความเช่ือมน่ั สูญสิ้นพลงั ความคิด พลงั จิต และพลงั กายกจ็ ะพลอยถดถอยตามไปดว้ ย ผนู้ าท่ีมีพลงั อานาจในการกระทาส่ิงใด ๆ ไดส้ าเร็จ แมเ้ ป็นสิ่งยากกเ็ หมือนง่าย ลว้ นมีความเช่ือมนั่ ในตนเองสูงดว้ ยกนั ท้งั สิ้น (ปริญญา ตนั สกุล, 2550 : 145–147)

47 2. ความมุง่ มน่ั ในการลงมือทาเม่ือมีความเชื่อมน่ั ในตนเองสูงจนเป็นท่ีน่าพอใจไดแ้ ลว้ ก่อนท่ีจะกา้ วสู่ข้นั ท่ีสอง บนั ไดข้นั ที่สองคือ “ความมุ่งมน่ั ” ความมุง่ มนั่ หมายถึง ความต้งั ใจลน้ เปี่ ยม ในอนั ท่ีจะทาส่ิงใด ๆ ใหบ้ รรลุผลสาเร็จใหจ้ งได้ ไม่วา่ จะตอ้ งทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และกาลงั สติปัญญามากนอ้ ยแค่ไหน ไมว่ า่ มนั จะตอ้ งเปลืองเวลาเน่ินนานสกั เทา่ ใด และ ไม่วา่ จะยากสักปานใด กจ็ ะไม่ยอ่ ทอ้ โดยเดด็ ขาด พลงั อานาจแห่งความมุง่ มน่ั จะแสดงตวั ออกมาภายนอกผา่ นพฤติกรรมของการมีมานะพยายาม ความบากบนั่ หมน่ั เพยี ร ความอดทนต่อความเหนื่อยลา้ และความกลา้ หาญต่อการฟันฝ่ าอุปสรรค ปัญหา ซ่ึงมนั จะช่วยใหค้ ุณสามารถทางานใด ๆ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง จนกวา่ จะประสบผลสาเร็จได้ 3. ความมีศรัทธาในผลสาเร็จที่มุ่งหวงั ความมีศรัทธาในผลสาเร็จท่ีมุง่ หวงั หมายถึง การมองเห็นผลสาเร็จที่จะไดจ้ ากการกระทาท่ีมีคุณค่าสูงสุดและมีความรู้สึกวา่ ถา้ เขา้ ถึงมนั ไดจ้ ะเป็นส่ิงท่ีน่าทา้ ทายท่ีสุดในชีวติ เจตคติความหมายและประเภทของเจตคติ เจตคติบางคร้ังก็เรียกทศั นคติ มีความหมายตามคาอธิบายของนกั จิตวทิ ยา เช่น อลั พอร์ท(Allport อา้ งถึงในนวลศิริ เปาโรหิต, 2545 : 125) ไดใ้ หค้ วามหมายของเจตคติวา่ เป็นสภาวะของความพร้อมทางจิตใจซ่ึงเกิดจาก ประสบการณ์ สภาวะความพร้อมน้ีเป็นแรงท่ีกาหนดทิศทางของปฏิกิริยาระหวา่ งบุคคลท่ีมีตอ่ บุคคล ส่ิงของและ สถานการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ ง เจตคติจึงก่อรูปไดด้ งั น้ี 1. เกิดจากการเรียนรู้ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมในสังคม 2. การสร้างความรู้สึกจากประสบการณ์ของตนเอง 3. ประสบการณ์ท่ีไดร้ ับจากเดิม มีท้งั ทางบวกและลบ จะส่งผลถึงเจตคติต่อส่ิงใหมท่ ี่คลา้ ยคลึงกนั 4. การเลียนแบบบุคคลท่ีตนเองใหค้ วามสาคญั และรับเอาเจตคติน้นั เป็นของตน เบลกินและสกายเดล (Belkin and Skydell อา้ งถึงใน จุฑารัตน์ เอ้ืออานวย, 2549 : 58) ให้ความสาคญั ของเจตคติวา่ เป็ นแนวโนม้ ท่ีบุคคลจะตอบสนองในทางที่พอใจหรือไมพ่ อใจต่อสถานการณ์ตา่ ง ๆ

48 เจตคติจึงมีความหมายสรุปไดด้ งั น้ี 1. ความรู้สึกของบุคคลท่ีมีตอ่ สิ่งต่าง ๆ หลงั จากที่บุคคลไดม้ ีประสบการณ์ในส่ิงน้นัความรู้สึกน้ีจึงแบ่งเป็น3 ลกั ษณะ คือ 1.1 ความรู้สึกในทางบวก เป็นการแสดงออกในลกั ษณะของความพงึ พอใจ เห็นดว้ ย ชอบและสนบั สนุน 1.2 ความรู้สึกในทางลบ เป็นการแสดงออกในลกั ษณะไม่พงึ พอใจ ไม่เห็นดว้ ย ไม่ชอบและไมส่ นบั สนุน 1.3 ความรู้สึกท่ีเป็ นกลางคือไม่มีความรู้สึกใด ๆ 2. บุคคลแสดงความรู้สึกทางดา้ นพฤติกรรม ซ่ึงแบ่งพฤติกรรมเป็ น 2 ลกั ษณะ คือ 2.1 พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมท่ีสงั เกตได้ มีการกล่าวถึง สนบั สนุน ท่าทางหนา้ ตาบ่งบอก ความพงึ พอใจ 2.2 พฤติกรรมภายใน เป็นพฤติกรรมท่ีสังเกตไม่ได้ ชอบหรือไม่ชอบกไ็ ม่แสดงออก เจตคติแบง่ เป็ น 5 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. เจตคติในดา้ นความรู้สึกหรืออารมณ์ (Affective Attitude) ประสบการณ์ท่ีคนไดส้ ร้างความพงึ พอใจและความสุขใจ จนกระทาใหม้ ีเจตคติท่ีดีต่อสิ่งน้นั ตลอดจนเรื่องอ่ืน ๆ ที่คลา้ ยคลึงกนั 2. เจตคติทางปัญญา (Intellectual Attitude) เป็นเจตคติท่ีประกอบดว้ ยความคิดและความรู้เป็นแกน บุคคลอาจมีเจตคติต่อบางสิ่งบางอยา่ งโดยอาศยั การศึกษา ความรู้ จนเกิดความเขา้ ใจและมีความสมั พนั ธ์กบั จิตใจ คืออารมณ์และความรู้สึกร่วม หมายถึง มีความรู้สึกจนเกิดความซาบซ้ึงเห็นดีเห็นงามดว้ ย เช่น เจตคติที่มีตอ่ ศาสนาเจตคติท่ีไม่ดีต่อยาเสพติด 3. เจตคติทางการกระทา (Action-oriented Attitude) เป็นเจตคติท่ีพร้อมจะนาไปปฏิบตั ิ เพ่ือสนอง ความตอ้ งการของบุคคล เช่น เจตคติท่ีดีต่อการพดู จาไพเราะอ่อนหวานเพื่อใหค้ นอื่นเกิดความนิยม เจตคติที่มีต่องานในสานกั งาน 4. เจตคติทางดา้ นความสมดุล (Balanced Attitude) ประกอบดว้ ยความสัมพนั ธ์ทางดา้ นความรู้สึกและอารมณ์เจตคติทางปัญญาและเจตคติทางการกระทา เป็นเจตคติที่สามารถตอบสนองต่อความพงึ พอใจในการทางาน ทาใหบ้ ุคคลสามารถทางานตามเป้าหมายของตนเองและองคก์ ารได้ 5. เจตคติในการป้องกนั ตวั เอง (Ego-defensive Attitude) เป็นเจตคติเกี่ยวกบั การป้องกนัตนเองใหพ้ น้ จากความขดั แยง้ ภายในใจ ประกอบดว้ ยความสมั พนั ธ์ท้งั 3 ดา้ น คือ ความสัมพนั ธ์ดา้ นความรู้สึก อารมณ์ ดา้ นปัญญาและดา้ นการกระทา 2.2 องคป์ ระกอบของเจตคติ โดยทวั่ ไป เจตคติประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ

49 1. องคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ (Cognitive Component) เป็นองคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจของบุคคลท่ีมีตอ่ สิ่งเร้าน้นั ๆ เพ่ือเป็ นเหตุผลท่ีจะสรุปความ และรวมเป็นความเชื่อ หรือช่วยในการประเมินค่าส่ิงเร้าน้นั ๆ 2. องคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์ (Affective Component) เป็นองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึก หรืออารมณ์ของบุคคล ที่มีความสมั พนั ธ์กบั สิ่งเร้า ตา่ งเป็ นผลต่อเน่ืองมาจากท่ีบุคคลประเมินคา่ ส่ิงเร้าน้นั แลว้ พบวา่ พอใจหรือไม่พอใจ ตอ้ งการหรือไม่ตอ้ งการ ดีหรือเลว องคป์ ระกอบท้งั สองอยา่ งมีความสมั พนั ธ์กนั เจคติบางอยา่ งจะประกอบดว้ ยความรู้ความเขา้ ใจมาก แต่ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์นอ้ ย เช่น เจตคติท่ีมีตอ่ งานที่ทาส่วนเจตคติท่ีมีต่อแฟชน่ั เส้ือผา้ จะมีองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์สูง แตม่ ีองคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจต่า 3. องคป์ ระกอบดา้ นพฤติกรรม (Behavioural Component) เป็นองคป์ ระกอบทางดา้ นความพร้อม หรือความโนม้ เอียงท่ีบุคคลประพฤติปฏิบตั ิ หรือตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าในทิศทางท่ีจะสนบั สนุนหรือคดั คา้ น ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ความเช่ือ หรือความรู้สึกของบุคคลที่ไดร้ ับจากการประเมินค่าใหส้ อดคลอ้ งกบั ความรู้สึกที่มีอยู่ เจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งหน่ึงสิ่งใด หรือบุคคลหน่ึงบุคคลใด ตอ้ งประกอบดว้ ยท้งั สามองคป์ ระกอบเสมอ แต่จะมีปริมาณมากนอ้ ยแตกต่างกนั ไป โดยปรกติบุคคลมกั แสดงพฤติกรรมในทิศทางท่ีสอดคลอ้ งกบั เจตคติท่ีมีอยแู่ ตก่ ็ไม่เสมอไปทุกกรณี ในบางคร้ังเรามีเจตคติอยา่ งหน่ึง แต่ก็ไมไ่ ดแ้ สดงพฤติกรรมตามเจตคติที่มีอยกู่ ็มี 2.3 คุณลกั ษณะของเจตคติ เจตคติมีคุณลกั ษณะที่สาคญั ดงั น้ี 1. เจตคติเกิดจากประสบการณ์ ส่ิงเร้าต่าง ๆ รอบตวั บุคคล การอบรมเล้ียงดู การเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรม เป็นส่ิงท่ีก่อให้เกิดเจตคติ แมว้ า่ จะมีประสบการณ์ที่เหมือนกนั กเ็ ป็นเจตคติที่แตกตา่ งกนั ได้ ดว้ ยสาเหตุหลายประการ เช่น สติปัญญา อายุ เป็ นตน้ 2. เจตคติเป็ นการเตรียม หรือความพร้อมในการตอบสนองตอ่ สิ่งเร้า เป็นการเตรียมความพร้อมภายในของจิตใจมากกวา่ ภายนอกที่สงั เกตได้ สภาวะความพร้อมท่ีจะตอบสนอง มีลกั ษณะท่ีซบั ซอ้ นของบุคคลวา่ ชอบหรือ ไม่ชอบ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ เก่ียวขอ้ งกบั อารมณ์ดว้ ย 3. เจตคติมีทิศทางของการประเมิน ทิศทางของการประเมินคือลกั ษณะความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดข้ึน ถา้ เป็ นความรู้สึกหรือประเมินวา่ ชอบ พอใจ เห็นดว้ ย กค็ ือเป็ นทิศทางในทางที่ดีเรียกวา่ เป็นทิศทางในทางบวก และถา้ ประเมินออกมาในทางไม่ดี เช่น ไมช่ อบ ไม่พอใจ กม็ ีทิศทางในทางลบ เจตคติทางลบไม่ไดห้ มายความวา่ ไม่ควรมีเจตคติน้นั เป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่ดีตอ่ สิ่งน้นั 4. เจตคติมีความเขม้ คือมีปริมาณมากนอ้ ยของความรู้สึก ถา้ ชอบมากหรือไม่เห็นดว้ ยอยา่ งมากก็แสดงวา่ มี ความเขม้ สูง ถา้ ไมช่ อบเลยหรือเกลียดที่สุดกแ็ สดงวา่ มีความเขม้ สูงไปอีกทางหน่ึง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook