บทท่ี 6 ภมู ิปัญญาท่าหลา ความหมายของภมู ิปัญญา ภูมิปัญญา หรือ Wisdom หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ท่ีนามาไปสู่การปฏิบตั ิเพ่ือ แก้ไขปัญหาของมนษุ ย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พืน้ ความรู้ของปวงชนในสงั คมนนั้ ๆ และปวงชนในสงั คมยอมรับรู้ เชื่อถือ เข้าใจ ร่วมกนั เรียกวา่ ภมู ปิ ัญญา ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการส่ังสม ประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พฒั นา และถ่ายทอดสืบตอ่ กนั มา เพ่ือใช้แก้ปัญญา และพฒั นาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดลุ กบั สภาพแวดล้อมและเหมาะสมกบั ยคุ สมยั ภมู ิปัญญาไทยนีม้ ีลกั ษณะ เป็นองค์รวม มีคณุ ค่าทางวฒั นธรรมเกิดขนึ ้ ในวิถีชีวิตไทย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถ่ินอาจเป็นที่มาขององค์ความรู้ที่ งอกงามขนึ ้ ใหมท่ ี่จะชว่ ยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจดั การและการปรับตวั ในการดาเนินวิถีชีวิตของคนไทย ลกั ษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชดั ในหลายด้าน เช่น ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม และ หตั ถกรรม ด้านการแพทย์แผนไทย ด้านการจดั การทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านกองทนุ และธุรกิจชมุ ชน ด้าน ศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี และด้านโภชนาการ วัฒนธรรม พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณะและภมู ิปัญญา ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หรือภมู ิปัญญาท้องถ่นิ (Folk Wisdom) ได้มีผ้คู วามหมายดงั นี ้กระทรวงศกึ ษาธิการ (2539 : 2)หมายถึง ความรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์ใน ชีวิตของคนเราผ่านกระบวนการศึกษา สังเกตคิดวิเคราะห์จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็ นองค์ความรู้ที่ ประกอบกันขึน้ มาจากความรู้เฉพาะหลาย ๆ เรื่อง ความรู้ดังกล่าวไม่ได้แยกย่อยออกมาเป็นศาสตร์ เฉพาะ สาขาวิชาตา่ ง ๆ อาจกล่าวไว้ว่า ภมู ิปัญญาท้องถ่ินจดั เป็นพืน้ ฐานขององค์ความรู้สมยั ใหมท่ ่ีจะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจดั การ แลการปรับตวั ในการดาเนินชีวิตของคนเรา ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นความรู้ท่ีมีอยทู่ วั่ ไป ในสงั คม ชุมชนและในการตวั ของผ้รู ู้เอง หากมีการสืบค้นหาเพ่ือศกึ ษา และนามาใช้ก็จะเป็นท่ีรู้จกั กนั เกิดการ ยอมรับ ถา่ ยทอด และพฒั นาไปสคู่ นรุ่นใหมต่ ามยคุ ตามสมยั ได้ ศักดิ์ชัย เกียรตินาคินทร์ (2542 : 2) ได้ให้ความหมายของภูมิปัญญาท้ องถิ่น คือ องค์ความรู้ ความสามารถของชุมชนที่สงั่ สมสืบทอดกันมานาน เป็นความจริงแท้ของชมุ ชนเป็นศกั ยภาพที่จะใช้แก้ปัญหา จดั การปรับตน เรียนรู้ และถ่ายทอดส่คู นรุ่นใหม่ เพ่ือให้ดารงชีวิตอย่ไู ด้อย่างผาสกุ เป็นแก่นของชมุ ชนท่ีจรรโลง ความเป็นชาตใิ ห้อยรู่ อดจากทกุ ข์ภยั พบิ ตั ทิ งั้ ปวง จารุวรรณ ธรรมวตั ิ (2543 : 1) ได้ให้ความหมาย ของภูมิปัญญาท้องถ่ิน คือ แบบแผน การดาเนิน
ชีวิตที่มีคณุ คา่ แสดงถึงความเฉลียวฉลาดของบุคคล และสงั คมซ่ึงได้สง่ั สมและปฏิบตั ิตอ่ กันมา ภูมิปัญญาจะ เป็นทรัพยากรบุคคล หรือทรัพยากรความรู้ก็ได้จากการศึกษาความหมายและแนวคิดของภูมิปัญญาของ ชาวบ้านที่กลา่ วมาแล้วข้างต้นพอสรุปได้วา่ ภูมปิ ัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการดาเนินชีวิตอยู่ ในพืน้ ที่นนั้ ๆ โดยใช้สติปัญญาสงั่ สมความรู้อย่างแพร่หลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหวา่ งศาสนา สภาพ ภมู ิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และกระบวนการเหลา่ นีม้ าจนหลายชว่ั คนซ่งึ จะเป็นวถิ ีการดาเนิน ชีวิตของมนษุ ย์นนั้ เกิดจากการเรียนรู้และสงั่ สมประสบการณ์เป็นระยะเวลายาวนาน โดยอาศยั ภมู ิปัญญาท่ีมีอยู่ มาใช้ในการตัง้ ถ่ินฐาน การประกอบอาชีพการปรับตัวและแก้ ปัญหาในการดาเนินชีวิต จนเหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมของธรรมชาตแิ ละสงั คม พืน้ ท่ีอาเภอทา่ ศาลาได้ปรากฏ บคุ คลท่ีเป็นแบบอยา่ งหลายด้าน ๆ เชน่ 1. ด้านการเกษตร การทาการเกษตรแบบพอเพียง ด้านปลกู ยาเส้น (ยากลาย) การทานา 2. ด้านหตั ถกรรมพืน้ บ้าน การทากรงนก การทาหางอวน การทาเคร่ืองปัน้ ดินเผา การทาอิฐ มอญ การจกั รสานผลติ ภณั ฑ์จากไม้ไผ่ การทาวา่ ว 3. ด้านประมง การตอ่ เรือประมงพืน้ บ้าน การอนรุ ักษ์พนั ธ์ปมู ้า การสร้างบ้านปลา 4. ด้านคหกรรม การทานา้ มนั มะพร้าวสกัดเย็น การขนมไทย การทาเส้นขนมจีน การทากะปิ การทาปลาร้ าฝังดนิ ประวตั แิ ละองค์ความรู้ของภมู ิปัญญา ด้านคหกรรม ภูมิปัญญา : การทาปลาร้าฝังดนิ นางผ่องศรี มะหมัด (ฉูดะ) ตาบลกลาย นางผ่องศรี มะหมัด (ฉดู ะ) เกดิ วนั ที่ 1 พฤษภาคม 2505 อายุ 55 ปี บ้านเลขท่ี ๑๗๒/๒ หมู่ที่ ๑๑ ตาบลกลาย อาเภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช ในสมยั โบราณ ปลาเปน็ อาหารหลกั อยา่ งหน่ึงของคนไทย ซ่ึงหาได้ง่ายตามแมน่ ้าลา้ คลอง ทะเล ดังนัน
ในวันท่ีจบั ปลาไดม้ าก ก็จะมีการแบง่ ปนั ให้ญาติ หรือเพอื่ นบ้าน ไดร้ ับประทานกันอยา่ งทว่ั ถงึ ตามนิสยั โอบออ้ มอารี ของคนไทยในสมัยก่อน สว่ นทเี่ หลอื จะเกบ็ รักษาไว้ โดยการหมกั เกลอื ทา้ เป็นปลารา้ ตากแดด หรอื ย่างรมควัน ส่วนผลไมอ้ าจน้ามากวน ซง่ึ เป็นการระเหยเอานา้ ออก เพ่ือท้าใหผ้ ลไม้นัน สามารถเกบ็ ไวไ้ ดน้ าน อาจจะเตมิ น้าตาล ด้วยหรือไม่กไ็ ด้ เพ่อื ให้รสชาตดิ ขี ึน ถงึ แมว้ า่ คนในสมัยก่อนจะไม่ทราบทฤษฎี หรือหลกั การในการถนอมรกั ษาผลติ ผลการเกษตร ในดา้ น วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แต่ก็ได้มกี ารปฏิบัติต่อๆ กันมาหลายช่ัวอายุคน เป็นวิธงี ่ายๆ ไม่มกี รรมวิธยี งุ่ ยาก หรือ ซบั ซ้อน โดยอาศยั ธรรมชาติเปน็ ส่วนช่วยในการถนอมรักษา อาจจะมีทังการเกบ็ ในลักษณะสด และแปรรปู เปน็ ผลิตภัณฑอ์ าหารชนดิ ใหม่ โดยทีค่ ุณภาพเปลย่ี นแปลงน้อยทสี่ ดุ และสามารถเกบ็ ไว้ไดน้ าน ซ่ึงพอจะสรปุ ได้ดงั นี นางผ่องศรี มะหมัด เป็นเจ้าของภูมิปญั ญาการท้าปลาร้าฝงั ดิน ตังบ้านเรือนอาศัยอยู่ในต้าบลกลาย ซ่ึง เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอพียง มีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มีทรัพยากรท่ีอุดมสมบูรณ์มากมาย ปัจจุบัน นางผ่อง ศรี มะหมัด ประกอบอาชีพชาวประมง นางผ่องศรี มะหมัด ได้มีการถ่ายทอดความรู้ในการท้าปลาร้า ให้ นักศึกษา ชาวบ้าน การท้าปลาร้าฝังดิน เป็นการรักษาคุณภาพปลาร้า ซ่ึงปลาร้าฝังดินป็นปลาร้ามีรถชาติหอม อรอ่ ย สามารถเกบ็ ไว้ได้นานของชาวประมงในพนื ทตี่ ้าบลกลาย ขน้ั ตอนและกระบวนการในทาปลาร้าฝังดนิ ขันตอนท่ี 1 น้าปลาสดๆ ได้แก่ ปลาจวด ปลาอินทรีย์ ปลากุเลา ท่ีขึนจากทะเลโดยไม่แช่น้าแข็ง มา ขอดเกร็ดและล้างให้สะอาดให้สะอาด จากการสอบถามภูมิปัญญา ปลาท่ีสดไม่ผา่ นการแช่นา้ แข็ง เมื่อเปน็ ปลาร้า แลว้ จะมคี วามหอม ขันตอนที่ 2 เมื่อแช่นา้ เปล่าครบ 6 ชว่ั โมงแลว้ นา้ ปลามาคลกุ เคล้ากับเกลอื ผง และนา้ เกลือจุก เข้าไปในทอ้ งปลาด้วยในปริมาณท่ีพอเหมาะ
ขันตอนที่ 3 น้าปลาทีห่ ่อด้วยกระดาษซบั มนั แล้ว ฝังทรายลงในบอ่ ซเี มนต์ แลว้ กลบให้มดิ ชดิ ใชเ้ วลาใน การฝงั กลบ 3 วัน ขนั ตอนที่ 4 นา้ ปลาท่ีห่อดว้ ยกระดาษซบั มันแลว้ ฝงั ทรายลงในบอ่ ซเี มนต์ แล้วกลบให้มิดชดิ ใชเ้ วลาใน การฝงั กลบ 3 วัน ขนั ตอนท่ี 5 นา้ ปลาร้าทฝ่ี งั กลบในดินทรายขึนมาลา้ งใหส้ ะอาด แลว้ ตากแดด ให้แห้ง ใช้เวลาตาก 2 วัน จงึ จะน้าปลารา้ มาทอดได้ ภมู ปิ ัญญา : นา้ มันมะพร้าวสกัดเยน็ : นางสาวลาวัลย์ ปริงทอง
ชื่อเล่น กะเมาะ เกิด 28 มกราคม 2505 ปัจจบุ นั มีอายุ 57 ปี อยบู่ ้านเลขท่ี 154 หมทู่ ่ี 11 ตาบล กลาย จงั หวดั นครศรีธรรมราช เรียนรู้วิธีก่ีทานา้ มนั มะพร้าวสกัดเย็น จากคณุ ครูปรารม มุสิก อดีตครู โรงเรียน บ้านพงั ปริง กะเมาะได้ไปช่วยคณุ ครูทา ตงั้ แตค่ นั้ มะพร้าว และช่วยตกั นา้ มนั เมื่อนา้ มนั ไช้ได้ เป็นวิชาความรู้ ติดตวั มา ตงั้ อายุของกะเมาะ 40 ปี และมาเร่ิมทาจริงจงั เป็นอาชีพ เมื่ออายุ 53 ปี โดยมีคณะอาจารย์จาก มหาวิทยาลยั วลัยลกั ษณ์มาให้ความรู้และเทคนิคการทามะพร้าว เพราะรู้ว่าในชุมชนมีมะพร้าวเยอะ โดยมา สอนและนาเคร่ืองมือปัน้ ที่เป็นข้อเหวี่ยงให้นา้ กะทิแตกตวั โดยแยกนา้ กบั นา้ มนั ออกมา แตต่ ้องใช้เวลาในการนงั่ เฝ้ามะพร้าว ใช้กระแสไฟฟ้า และเสียเวลามาก ๆ กว่าที่เคยทา เลยตดั สินใจไม่ใช้อุปกรณ์ชนิดดงั กล่าว ที่ มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ให้มา แตก่ ลบั มาทาโดยรูปแบบเดิมกล่าว โดยมีบริษัท เชพรอน สนบั สนนุ ส่งเสริมโดย สนบั สนุนให้การอบรม โดยนาอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช มาช่วยสอนและเพิ่มเติมให้ ความรู้ และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน กศน. สนบั สนุนส่งเสริมให้ถ่ายทอดความรู้กับเพ่ือนบ้าน โดย นามาเป็นภูมิปัญญา และสนบั สนนุ ในการพาไปดงู านให้เกิดการเรียน สนบั สนนุ งบสถานที่ทาการกลมุ่ เป็นท่ีฝึก ประสบการณ์ชา่ งไฟฟ้าภายในบ้าน และช่างทาสี โดยใช้ท่ีทาการกล่มุ เป็นที่ฝึกประสบการณ์ให้กบั ผ้เู รียน กล่มุ ได้พฒั นาท่ีทาการกลมุ่ และวิทยาลยั เทคนิคสิชล สนบั สนนุ ครุภณั ฑ์ เชน่ โต๊ะ ชนั้ วางภาชนะและอปุ กรณ์ ทาให้ กลุ่มได้มีการดาเนินงานที่เข้มแข็งมากย่ิงขึน้ กระบวนการทา ดงั นี ้ การทา นา้ มันสกัดเย็น(นา้ มนั มะพร้าว บริสทุ ธ์ิ) อปุ กรณ์และวตั ถดุ บิ ประกอบด้วย 1.ขวดโหลแก้วหรือภาชนะอ่ืน ๆ ใช้ในการหมกั 2. ผ้าขาวบางตาถี่ 3. ผ้าพลาสตกิ 4. กะละมงั 5. เนือ้ มะพร้าวสดขดู 1 กิโลกรัม 6. นา้ อนุ่ 50 องศาเซลเซียส 1 ลิตร 7. ยางรัดหรือเชือก วธิ ีทา 1. นาเนือ้ มะพร้าวขดู ใส่กะละมงั เติมนา้ อนุ่ อณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซียส ในอตั ราส่วนเนือ้ มะพร้าว ขดู 1 สว่ นตอ่ นา้ อนุ่ 1 สว่ น 2. คนั้ นา้ กะทใิ นกะละมงั แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอากากมะพร้าวทงิ ้ ไป 3. นานา้ กะทิท่ีคนั้ ได้ ใส่ในขวดโหลหรือภาชนะอ่ืน ๆ ที่มีทรงสงู ให้นา้ กะทิอยหู่ ่างจากปากขวดโหล อยา่ งน้อย 2 นวิ ้ ปิดปากขวดโหลด้วยผ้าพลาสตกิ ใช้หนงั ยางหรือเชือกรัดให้แนน่ ตงั้ ทิง้ ไว้ 36-48 ชว่ั โมง
4. จากนนั้ นา้ มนั มะพร้าวจะแยกตวั ออกจากนา้ ลอยอยู่ด้านบนของภาชนะ ใช้กระบวยตกั นา้ มัน ออกมาใส่ขวดโหลอีกใบ ตงั้ ทิง้ ไว้ 2-3 วนั ให้ตกตะกอน กรองด้วยผ้าขาวบางตาถี่ เอาแต่นา้ มันใส ๆ มาบรรจุ ขวดสีชา หรือสีเขียว สีนา้ เงิน ที่มีฝาปิดสนิท ข้อจากัด 1. คณุ ภาพของมะพร้าวที่ใช้ในการทาต้องใช้มะพร้าวแก่จดั คาต้นหรือเมื่อไปซือ้ มะพร้าวขูดควร เลือกมะพร้าวให้แมค่ ้าขดู ไมซ่ ือ้ ชนดิ ท่ีขดู ไว้แล้ว เพื่อให้แนใ่ จวา่ ได้มะพร้าวขดู ท่ีใหมจ่ ริง ๆ 2. นา้ ที่ใช้คนั้ กะทิไม่ควรร้อนเกินกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะความร้อนจะเปลี่ยนโครงสร้างและ คณุ สมบตั ขิ องนา้ มนั ให้เปล่ียนแปลงไป 3. ในการหมกั ควรจะหาปิดฝาให้แนน่ หนา หลีกเล่ียงการถกู แสงแดดแดดและไม่ควรหมกั เกิน 2 วนั เพราะจะทาให้เกิดกล่นิ เหม็นหืน 4. มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม ให้นา้ มันได้ 150 กรัม หากต้องการมากกว่านัน้ สามารถเพ่ิมปริมาณ มะพร้ าวได้ ตามความต้ องการ 5. ควรนาบรรจใุ สข่ วดสีชา หลีกเลี่ยงแสงแดดและนา้ มนั มะพร้าวสกดั เย็นสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน ถงึ 2 ปี 6. ไมค่ วรตงั้ นา้ มนั ไว้ในห้องครัวหรือที่อบั ชืน้ เพราะเชือ้ แบคทีเรียทาให้นา้ มนั มีกลิน่ หืนได้ 7. การดาเนินการทานา้ มันมะพร้ าวสกัดเย็น ไม่ควรดาเนินลงมือทาในช่วงฤดฝู น เพราะสภาพ อากาศชืน้ การแยกตวั ของชนั้ นา้ มนั กบั นา้ จะไมไ่ ด้ผล ปัจจบุ นั กะเมาะได้ศกึ ษาหาความรู้ ลองผิด ลองถกู เรียนรู้จากผ้รู ู้ สามารถผลิตสบู่ที่มีส่วนผสม นา้ มนั สกดั เย็น การทาครีมบารุงผิวท่ีมีสว่ นผสมนา้ มนั มะพร้าวสกดั เยน็ ได้เกิดผลิตภณั ฑ์เพ่ิมขนึ ้ ให้กบั กลมุ่ โดย มีผลิตภณั ฑ์ของกลมุ่ เพม่ิ ขนึ ้ ภมู ิปัญญาบ้าน การทานา้ ตาลมะพร้าว : นายยุโสบ หล้าเก ตาบลโมคลาน
นา้ ตาลมะพร้าว (นา้ ตาลปี๊บหรือนา้ ตาลก้อน) ถือเป็นผลิตภัณฑ์พืน้ บ้านที่ผลิตโดยอาศยั ภูมิปัญญา ชาวบ้านมาเป็นเวลาช้านาน สามารถนามาประกอบอาหารไทยได้ทงั้ คาวและหวาน เป็นท่ีโปรดปรานของทงั้ คน ไทยและคนตา่ งชาติ อาหารที่ทาจากนา้ ตาลมะพร้าว เช่น แกงกะทิ หรือขนมหวานต่างๆ จะมีรสชาติหอม หวาน และมนั ตาลมะพร้าวของแท้ท่ีนบั วนั เริ่มจะหาได้ยากขึน้ นายยโุ สบ หล้าเก เป็นครอบครัวหนึ่งท่ีอยู่ ตาบลโมคลาน อาเภอทา่ ศาลาได้อนรุ ักษ์และสืบทอดเจตนารมความรู้จากบิดา มารดา จนสรู่ ุ่นลกู เพ่ือไมอ่ าชีพ ดงั กลา่ วสญู หาย จดั ทาเป็นอาชีพรายได้ประจาของครอบครัว และสอนลกู ให้ทกุ คนได้เรียนรู้ประกอบอาชีพการ ทาตาลมะพร้าวให้มีรายได้เลีย้ งครอบครัวของตนเอง อีกทงั้ เป็นการอนรุ ักษ์สืบไว้เป็นวฒั นธรรมภูมิปัญญาของ ท้องถ่ิน ครอบครัวของนายยโุ สบ หล้าเก ได้ปลกู มะพร้าวในพืน้ ท่ีบริเวณรอบบ้านหลายไร่ ปลกู มาตงั้ แตร่ ุ่นพอ่ ของนายยุโสบ ต่อมารุ่นนายยุโสบได้ดูแลเอาใจใส่ การ สานตอ่ ปลกู ซอ่ มแซมต้นท่ีตายและมีการปลกู ขยายจานวน ต้ น มะพร้าวเพ่ิมขึน้ นายยุโสบได้ช่วยพ่อแม่ได้เรียนรู้วิธีการ ปาดนา้ หวานจากงวงมะพร้าว การป่ ายปืนต้นมะพร้าวซึ่ง ต้องอาศยั ความชานาญ ความแข็งแรง และความพร้อม ของร่างกาย และต้องมีความขยนั ความอดทนในการทา ต่ื น เช้ามาต้องสาละวนกบั การขนึ ้ ไป.ปาดนา้ หวาน สายๆ ขึน้ ไป เก็บนา้ หวาน และปาดรอบใหม่ ทาวนเวียนอย่างนีท้ ุกวัน แสดงวา่ ได้นา้ หวานมะพร้าวเก็บได้วนั ละสองรอบ ยกเว้นวา่ วนั ใดฝนตกมากๆ ไมส่ ามารถขนึ ้ ไปเก็บนา้ หวานได้ ก็จะหยุด เพราะจะเกิดความเส่ียง นายยุโสบ ได้ดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านทาหน้าท่ีผู้ใหญ่บ้านจนปลด
เกษียณอายุ และขณะเดียวกนั ได้ทาอาชีพเสริมการทานา้ ตาลจากมะพร้าวเลีย้ งจลุ เจือครอบครัว สง่ ให้ลกู ได้ เรียนจบการศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี ปัจจุบนั ได้มอบความรู้ให้ลกู ทาตอ่ รุ่นลกู ซึ่งได้รับการศกึ ษานาความรู้จาก วิชาการที่ร่าเรียนมาจากการการจบ ช่างยนต์ นามาผลิตนวตั กรรมการโซมนา้ ตาลด้วยเคร่ืองกลแทนการใช้ แรงงานคน ซง่ึ ได้เหน็ ความก้าวหน้าด้านอาชีพจากรุ่นสรู่ ุ่นได้เป็นอยา่ งดี การเข้ามาบริเวณบ้านจะเห็นต้นมะพร้าวลาต้นโดนบากเป็นชว่ ง ๆ ถ้าใครไม่สงั เกต ก็จะไม่รู้วา่ ทาไม ลาต้นมะพร้าวจงึ เป็นเชน่ นนั้ ไมป่ กตเิ หมือนต้นมะพร้าวที่เราเห็นท่ัวไป ได้รับคาตอบจากเจ้าของ ทราบวา่ เป็น การบาก “ถากลาต้น” ให้เป็นร่องลึกๆ เพื่อให้ปืนป่ายขนึ ้ ไปเอานา้ ตาลมะพร้าวได้สะดวก ต้องนาขวดไปรองรับ 2 ชว่ ง กลา่ วคือ ชว่ งเช้าท่ีไปปาดนา้ ตาลและนาภาชนะไปรองรับนา้ หวานจากมะพร้าว และในขวดนนั้ มกั ใส่ไม้ พะยอม และหรือไม้เคียม เพ่ือป้องกันการปดู เม่ือ นา้ หวานทาปฏิกิริยากับอากาศ นา้ หวานจาก มะพร้ าวจะมีรสชาติเปลี่ยนไป และจะเปรีย้ ว ชาวบ้านจึงนิยมใส่ไม้เคียมดงั กล่าว และช่วงท่ีไป เก็บนา้ หวานก็นาขวด หรือกระบอกไม้ใผ่ไปสลับ สบั เปลี่ยนเพ่ือไว้รองรับรอบต่อไป เมื่อช่วงสายของ แต่ ละวนั จะขนึ ้ ไปเก็บนา้ หวานจากมะพร้าวลงมาเคีย้ ว และตัง้ ไฟให้งวด โดยใช้เวลานาน หลายชั่วโมง การสังเกตการณ์นามาผ่านกระบวนการเคี่ยว ใช้ เวลา 5-6 ชว่ั โมง การสังเกตว่านา้ ตาลเค่ียวได้พอดี สังเกตจากการปริมาณนา้ หวานจะงวด ภาษาถ่ิน “นา้ ตาลเร่ิมโพ้” และสีของนา้ หวานจะเป็นสีนา้ ตาล เข้ ม นายยุโสบ เล่าว่าเพ่ือให้นา้ ตาลขึน้ รูปได้ง่ายจะใช้ นา้ ตาลทรายผสมนิดหน่อย แต่ถ้าต้องการนา้ ตาล มะพร้ าวไม่เจือปนก็จะไม่ต้องใช้นา้ ตาลทรายผสม นา้ ตาลมะพร้าวท่ีได้ท่ีมีเนือ้ เหลวอ่อนตวั ทงั้ นีข้ ึน้ อยู่ กั บ ความต้องการของลกู ค้าเป็นหลกั เวลาเคี่ยวนา้ ตาลจะเคี่ยวนา้ ตาลกนั ตอนสาย ๆ เป็นต้นไป ผงึ ้ จะไม่คอ่ ยมาทาความราคาญหรือมา ทาให้เกิดการปนเปือ้ นได้ เวลาสาย ๆ และเที่ยง ๆ ผงึ ้ จะกลบั เข้ารังเพราะอากาศร้อนก็เป็นวิธีปอ้ งกนั ด้วยเทใส่ ภาชนะ หรือหยอดใสพ่ ิมพ์จนนา้ ตาลเย็น จงึ เก็บใสห่ ีบหอ่ เพ่ือจาหนา่ ยตอ่ ไป นา้ ตาลสด 7 ป๊ีบ จะเค่ียว นา้ ตาล ได้ 30 ก.ก. การตลาดไมต่ ้องกงั วล ผลิตเทา่ ไหร่ขายได้หมด นอกจากตลาดในชมุ ชนแล้ว ยงั สง่ ไปขายตลาด สดในกรุงเทพมหานครอีกด้วย เพราะปัจจบุ นั ระบบการขนสง่ ก้าวไกลไปได้ทกุ ท่ีทวั่ ไทย
อาชีพการทานา้ ตาลจากมะพร้าว ซงึ่ ทามาจากนา้ หวานของต้นมะพร้าว เป็นวิถีชีวิตท่ีทรงคณุ คา่ เด็ก ยคุ ใหม่ ไม่รู้ท่ีไปที่มา ว่าการได้มาอย่างไร การได้รับรู้ถึง กระบวนการ วิธีการทา จะได้เห็นคณุ ค่าของที่เรา บริโภคขนมหวาน นา้ ตาลจากมะพร้าวเป็นสว่ นหนง่ึ ที่เราบริโภคเข้าไป จะได้คณุ คา่ ของภมู ิปัญญา และสืบสาน ตอ่ ยอดให้เกิดอาชีพและรายได้จากรุ่น ส่รู ุ่น และส่ิงที่น่าภาคภูมิใจที่เห็นได้ชดั ลกู ของนายยุโสบ ได้นาความรู้ จากการเรียนวิชาช่างยนต์ในสถาบนั การศึกษา นามาย่อยอด การใช้มอเตอร์หมุนโซมนา้ ตาลให้เย็นในเวลา รวดเร็วและไมต่ ้องใช้แรงคนอีกเป็นสิ่งท่ีทนุ่ แรง และการนานวตั กรรมมาพัฒนาตอ่ ยอด สืบสานอาชีพของพอ่ ได้ เป็นอยา่ งดี นาย ยโุ สบ หล้า เก ชื่อเลน่ : บงั โสบ เกิดวนั ที่ 2 เดือน เมษายน พ.ศ.2498 จงั หวดั ท่ีเกิด : จงั หวดั นครศรีธรรมราช ที่อย่ปู ัจจบุ นั บ้านเลขท่ี : 111 หมทู่ ี่ : 11 ตาบล : โมคลาน อาเภอท่าศาลาจงั หวดั นครศรีธรรมราช รหสั ไปรษณีย์ : 80160โทรศพั ท์ : 089-6524526 ภมู ิปัญญา การทาขนมไทย(ขนมเปี ยกปนู ) : นางอารี เชาวลติ
การทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) ถือเป็นผลิตภณั ฑ์พืน้ บ้านท่ีผลิตโดยอาศยั ภูมิปัญญาชาวบ้านมาเป็น เวลาช้านาน เป็นขนมหวาน เป็นท่ีโปรดปรานของทงั้ คนไท ขนมที่ทาจากใบเตยหอม เช่น หรือขนมหวาน ตา่ งๆ จะมีรสชาตหิ อม หวาน และมนั องค์ความรู้ที่ได้ศกึ ษามานนั้ จากบรรพบรุ ุษท่ีสืบทอดกนั มาตงั้ แตป่ ่ ยู ่า ตายาย จนถึงพอ่ , แม่ และประสบการณ์ของตวั เอง ท่ีทากนั ในครอบครัวจนถึงปัจจบุ นั ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ - การ ทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) การทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) นางอารี เชาวลิต ยังยึดอาชีพนีใ้ นการเลีย้ งครอบครัวการทาขนมไทย (ขนมเปี ยกปูน) ถือเป็ น ผลิตภณั ฑ์พืน้ บ้านที่ผลิตโดยอาศยั ภูมิปัญญาชาวบ้านมาเป็นเวลาช้านาน ไทยได้ทหั วาน เป็นท่ีโปรดปรานของ ทงั้ คนไทยและคนตา่ งชาติ อาหารที่ทาจากใบเตยหอม เช่น หรือขนมหวานตา่ งๆ จะมีรสชาตหิ อม หวานและ มนั การอนุรักษ์และสืบทอดเจตนารมณ์ความรู้จากบิดา มารดา จนส่รู ุ่นลูก ไม่อาชีพดงั กล่าวสูญหาย จดั ทา เป็นอาชีพรายได้ประจาของครอบครัว และสอนลูกให้ทกุ คนได้เรียนรู้ประกอบอาชีพการทาขนมไทย (ขนมเปียก ปูน) ให้มีรายได้เลีย้ งครอบครัวของตนเอง อีกทัง้ เป็นการอนุรักษ์สืบไว้เป็นวฒั นธรรมภูมิปัญญาของท้องถิ่น สตู รท่ีใช้ มะพร้าว ใบเตยหอม แปง้ ข้าวเจ้า เกลือ นา้ ตาล ในสดั ส่วนโดยวิธีการ นาแปง้ ข้าวจ้าวจานวน 1 กิโลกรัม นา้ ตาลทรายขาวจานวน 3 กิโลกรัม เกลือผงประมาณคร่ึงช้อนกาแฟผสมนา้ ประมาณ 1 ลิตร บดเตย หอมให้ละเอียดกรองกบั ผ้าขาวนาส่วนผสมทงั้ หมดกวนให้เข้ากนั ในการกวนต้องใช้เวลา 3 ชวั่ โมงการกวนต้อง ไปในทิศทางเดียวกนั เม่ือครบจานวน 3 ชว่ั โมงให้ยกลงจากเตาและใสถ่ าด การทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) การดแู ลควบคมุ การป้องกันความสกปรกและปนเปือ้ นในการทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) ได้แก่ 1. การทา
ความสะอาดรอบ ๆ เตาและทาความสะอาดอุปกรณ์ทกุ อย่างทกุ วนั ไม่ให้มีฝ่ นุ ละอองในขณะ การทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) 2. การกองฟื นสาหรับการทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) ปลอดสารปนเปือ้ น ต้องกองฟื นให้เป็น ระเบียบไม่กองเกะกะและมีฝ่ ุนละออง และไม่ใช้เชือ้ เพลิงที่มีกล่ินเหม็น เช่น ยางรถยนต์ หรือวัสดุ ท่ี ก่อให้เกิดฝ่ นุ ละออง 3. อปุ กรณ์กระชอนกรองใบเตยหอม ผ้าท่ีมีสีขาวมาก ๆ ต้องซกั ให้สะอาดและตากให้ แห้งสนิทอยา่ ให้มีฝ่ นุ หรือราขึน้ ภาชนะในการทาขนมไทย (ขนมเปียกปนู ) ต้องล้างหรือต้มนา้ ฆ่าเชือ้ ให้สะอาด ก่อนนามาใช้ทกุ ครัง้ เทคนิคการทาขนมไทย(ขนมเปียกปนู ) การก่อไฟให้ไฟพอเหมาะกบั การกวนขนมไทย(ขนม เปียกปนู )เพราะถ้าไฟมากขนมเปียกปนู จะเปล่ียนสีเป็นสีนา้ ตาลและการกวนจ้องไปในทิศทางเดียวกัน ขนม เปียกปนู จะมีความเหนียวมากขนึ ้ การพฒั นาของการทาขนมไทย(ขนมเปียกปนู ) นนั้ ได้พฒั นามาขนึ ้ เร่ือย ๆ จากสมยั ก่อนบรรจุลงภาชนะเป็นถาด แต่ปัจจบุ นั ได้มีการบรรจผุ ลิตภัณฑ์ ได้หลายรูปแบบ เช่น บรรจุเป็น กลอ่ ง เป็นถงุ และขวด ขนมอร่อยในแตล่ ะครัง้ นางอารี เชาวลิต กลา่ วว่า ของทุกอยา่ งต้องใหม่ สด เพื่อจะได้ถึงผ้บู ริโภคได้ อยา่ งอร่อย และนี่คืออาชีพท่ีไมค่ วรมองข้าม เป็นขนมพืน้ บ้านของคนไทย ที่ทรงคณุ คา่ และควรจะอนรุ ักษ์ไว้ให้ ลกู หลาน เยาวชนได้เรียนรู้ และเข้าใจวิธีการ กระบวนการทาอยา่ ง รู้สกึ ท่ีเป็นสว่ นหนงึ่ ในการสืบสานตอ่ ยอด และพฒั นาให้คงอยใู่ นสงั คมไทย นางอารี เชาวลติ ช่ือเลน่ : แดง เกิดวนั ที่ 4 เดือน เมษายน พ.ศ.2501 อายุ 61 ปี ท่ีอย่ปู ัจจบุ นั บ้านเลขท่ี : 10 หมทู่ ่ี : 9 ตาบลไทยบรุ ี อาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช รหสั ไปรษณีย์ : 80160 โทรศพั ท์ : - ภมู ิปัญญาการทาขนมกะละแม “ยาขนมบ้านคลองดิน” : นายหนูพนั สังวาล กะละแมบ้านคลองดิน ชมุ ชนหลงั มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ อาเภอท่าศาลา ขนมพืน้ บ้านตามวิถีชีวิตของคนเมือง
คอนในอดีต เม่ือมีเทศกาลงานบวช งานแตง่ งานบญุ งานขนึ ้ บ้านใหม่ มกั นิยมทากะละแมไว้รับแขกเมื่อมา ร่วมงาน การทายาขนมบ้านคลองดนิ ในอดีตทกุ ครอบครัวนิยมทากนั ทกุ บ้าน แตป่ ัจจบุ นั น้อยนกั ท่ีจะเห็นเพราะ คนปัจจบุ นั นิยมขนมเบอร์เกอร์รี่ ขนมไทยชนิดอ่ืน ๆ เชน่ ขนมเม็ดขนนุ ขนมสงั หยา ที่ทาง่ายกวา่ ไมย่ ่งุ ยากใน การทา ทาให้สงั คมบ้านเราขณะนีไ้ ม่นิยมทากนั ยังมีครอบครัวของคณุ หนูพนั สงั วาล ครอบครัวเดียวใน ละแวกชุมชนนี ้ ที่ยงั คงสืบสานอนุรักษ์ในการกวนขนมกะละแม “ยาขนม” แต่จะกวนก็ต่อเม่ือมียอดส่ังซือ้ ลว่ งหน้าจะไมก่ วนตงั้ ไว้ เพราะขนมมีอายใุ นการจดั เก็บรักษา กระบวนการทาขนมกะละแม ใช้เวลาประมาณ 10- 12 ชว่ั โมง โดยวนั แรกของการทาคือ การเคีย้ วนา้ กระทาให้แตกเป็นมนั ใช้เวลา 6 ชวั่ โมง แล้วตงั้ ไว้ให้ เย็นแล้วตกั นา้ มนั จากการเคีย้ วนา้ กระทิ เก็บไว้ประมาณ 1 กิโลกรัม นา้ มนั ที่เคี่ยวท่ีเหลือในกระทะเติมนา้ ตาล ลงไปเพื่อปอ้ งกนั มิให้นา้ กะทิที่แตกมนั จะเสียงา่ ย “ขีม้ นั บูด” เพื่อนาไปผสมกบั สว่ นของแปง้ ที่จะนามากมากวน ในวันรุ่งขึน้ วนั ที่สองบดแป้งข้าวเหนียว และนามากวนกบั นา้ มันท่ีผสมขีม้ นั ออกสีนา้ ตาลนวล นามากวนใน สว่ นผสมลงในกระทะ เคยี ้ วจนงวดขณะท่ีเคยี ้ วก็คนไมใ่ ห้แปง้ ของขนมตดิ ก้นกระทะ ใช้เวลา 5 ชว่ั โมง ขนมเริ่ม หนืด กวนต้องใช้แรงเยอะ ๆ เร่ิมเหนียวกวนไมไ่ หว ก็จะเตมิ นา้ มนั มะพร้าวที่ตกั เก็บไว้เม่ือวานนามาใช้ นา้ มนั มะพร้าวท่ีเคี่ยวนีไ้ ปหยอดไปในกระทะขณะนีก้ วนจนกวา่ ขนมจะงวดได้ท่ี รสชาตอิ ร่อย หอม หวาน นิ่ม ๆ และ ซอ่ นความเหนียว อร่อยจนอยากจะชมิ อีกรอบ สู ต ร นา้ ตาลมะพร้ าว 6 กิ โ ล ก รั ม นา้ ตาลทราย 2 กิ โล ก รัม ข้ า ว เ ห นี ย ว 3 กิ โ ล ก รั ม ม ะ พ ร้ า ว 2 5 กิโลกรัม เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ แปง้ ข้าวจ้าว 3 ช้อนโต๊ะ
นายหนพู นั สงั วาล เกิดวนั ที่ 30 พฤษภาคม 2494 อายุ 68 ปี อยบู่ ้านเลขที่ 46/1 หมทู่ ่ี 1 ตาบลหวั ตะพาน อาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช 80160 โทรศพั ท์ 061-3780929 ด้านหตั ถกรรม ภูมิปัญญา หัตถกรรมพนื้ บ้าน เคร่ืองปั้นดนิ เผาบ้านมะยงิ : นางจาเป็ น รักเมือง หตั ถกรรมที่อย่คู กู่ บั ชมุ ชนในนครศรีธรรมราชเป็นเวลาหลายร้อยปีแหลง่ สาคัญท่ีมีการผลิตมาตงั้ แต่ สมยั โบราณจนถึงปัจจบุ นั คือ ที่บ้านปากพะยิงในอาเภอทา่ ศาลา อยหู่ ่างจากชมุ ชนโบราณ วดั โมคลาน ทางทิศ เหนือราว 100 เมตร มีลานา้ สายหนึ่งชื่อ “คลองโต๊ะแน็ง” หรือ “คลองควาย” หรือ “คลองโมคลาน” ห่างจาก คลองโต๊ะแน็งมาทางเหนือราว 1 กิโลเมตร มีลานา้ อีกสายหนึง่ ชื่อ คคลองชมุ ขลิงค (หรือ คคลองยิงค หรือ คคลองมะ ยิงค คลองทงั้ สองนีไ้ หลผ่านสนั ทรายอนั เป็นท่ีตงั้ ของชมุ ชนโบราณโมคลานไปลงทะเลอา่ วไทยทางทิศตะวนั ออก ระหว่างคลองทัง้ 2 สายนี ้เป็นบริเวณท่ีชุมชนแห่งนีท้ าเคร่ืองปัน้ ดินเผามาแต่โบราณ และมักจะเรียกกันว่า “แหล่งทาเครื่องปัน้ ดินเผาโมคลาน” หรือ “แหล่งทาเคร่ืองปัน้ ดินเผาบ้านยิง” อยู่ในหมู่ที่ 9 ตาบลหัวตะพาน และหมู่ที่ 10 และหมู่ท่ี 11 ตาบลโมคลาน อาเภอท่าศาลา เนือ้ ที่ที่ใช้เพื่อการนีท้ งั้ ที่เคยใช้มาแล้วแต่โบราณ และกาลงั ทาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจบุ นั นีป้ ระมาณ 30 - 40 ไร่ เม่ือ พ.ศ. 2521 ศนู ย์วฒั นธรรมภาคใต้ สถาบนั ราชภัฏนครศรีธรรมราช โดยอาจารย์ชวน เพชรแก้ว และคณะ ได้เร่ิมเข้าไปดกู ารทาภาชนะดินเผาที่บ้านมะยิง พบว่า บริเวณนีเ้ ต็มไปด้วยเนินดินขนาดใหญ่ที่ทบั ถมด้วยเศษภาชนะดินเผา ชาวบ้านเคยขุดดินบนเนินเพ่ือ ขยายเตาเผาออกไปอีก พบวา่ เศษภาชนะดินเผาที่ทบั ถมกนั อย่ลู ึกมาก และได้พบเศษดินเผารุ่นเก่าเป็นดินเผา เนือ้ แกร่งเป็นจานวนมาก ลายบนภาชนะดนิ เผาที่พบมีหลายลาย เช่น ขดุ ร่องแถวนอก ประสมด้วยลายจดุ ประ ลายประทบั เป็นรูปอกั ษรเอส (S) และลายประทบั รูปต้นไม้ที่มียอดคล้ายหวั ลกู ศร เป็นต้น ลายประทบั หลากลาย
ที่มีลกั ษณะคล้ายกบั ลายภาชนะดินเผาแบบทราวดีที่ได้จากการขดุ ค้นทางโบราณคดีท่ีแหล่งโบราณคดีบ้านคู เมือง อาเภอสิงห์บุรี จากข้อมูลดงั กล่าว แสดงให้เห็นว่า ชมุ ชนในบริเวณแห่งนี ้ได้มีการทาเครื่องปัน้ ดินเผามา ตงั้ แต่โบราณกาล สาหรับเครื่องปัน้ ดินเผาที่บ้านมะยิงแห่งนี ้เกิดในยุคสมยั ใดไม่มีข้อมูลที่แน่ชดั มีแตค่ าบอก กล่าวตอ่ ๆ กันมาว่า ในสมยั ก่อนรัตนโกสินทร์ หมู่บ้านแห่งนีเ้ ป็นที่เลีย้ งม้าของท่านขุนคนหน่ึง เพราะหม่บู ้าน แหง่ นีเ้ป็นหมบู่ ้านที่มีความอดุ มสมบรู ณ์มีนา้ ล้อมรอบ มีทงุ่ กว้างทางตะวนั ตก และหม่บู ้านแหง่ นี ้เป็นหมบู่ ้านท่ี เลีย้ งม้าท่ีย่ิงใหญ่มาก คนเลยเรียกวา่ บ้านม้ายิ่ง ตอ่ มาหมบู่ ้านนีไ้ ด้เกิดโรคระบาดทาให้มีคนล้มตายและท่ีเหลือ อพยพหนีออกจากหม่บู ้านไปเกือบหมด ตอ่ มาในสมยั รัชกาลท่ี 5 ประมาณปี พ.ศ. 2425 ชาวบ้านมะยิงในตอน นนั้ มีคนอาศยั ไม่กี่ครอบครัว และหนึ่งในจานวนนี ้คือ ครอบครัวของนางด้วง – นางนาค ก็ทาเครื่องปัน้ ดินเผา จาพวกหม้อหุงข้าว หม้อต้มยา ทาให้ครอบครัวนีผ้ ลิตหม้อเพ่ิมขึน้ และมีความเป็นอยมู่ ี่ดีขนึ ้ นกั ปัน้ หม้อ นกั ปัน้ หม้อ ที่บ้านมะยิง มีทงั้ ผ้ทู ่ีดาเนินการผลิตโดยสืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษหลายชวั่ คน สามารถบอกเล่าถึงเทคนิค ดงั้ เดิม ท่ีปัจจบุ นั สญู หายไปได้และผ้ทู ี่เพ่ิงเข้ามาดาเนินการผลิตที่นาเทคนิคจากภายนอกเข้ามาประยกุ ต์ใช้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี ้ 1. นางเกยูร ชลายนต์นาวิน (ปัจจุบนั เสียชีวิตแล้ว) บ้านเลขที่ 95 หม่ทู ่ี 6 บ้านมะยิง ตาบลโพธ์ิ ทอง อาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช อายุ 60 ปี เรียนรู้การปัน้ หม้อจากมารดาและบดิ า มารดา ช่ือ นางเลียบ บวั แก้ว เป็นชาวบ้านมะยิง บิดาเป็นชาวมอญ ชื่อนายเหลียน มาจากปากเกร็ด จงั หวดั นนทบุรี รู้ วิธีการปัน้ หม้อแบบมอญ และนาเทคนิคการเผาและสร้างเตาระบายความร้อนแนวเฉียง (เตานอน) แบบมอญมา ปรับใช้แทนเตาเผาแบบเดมิ ซงึ่ เป็นเตาแบบระบายความร้อนแนวตงั้ (เตายืนเตากลม) ซงึ่ เตาน่ีพฒั นามาจาการ ขดุ จอมปลวกเข้าไป เพ่ือใช้เป็นเตา (เตาปลวก) 2. นางสุดา บุญสิน ตาบลปากพูน อาเภอเมืองนครศรีธรรมราช มาตงั้ เตาเผาเครื่องปัน้ ดินเผา ริม ถนนสาย ท่าศาลา–นครศรีธรรมราช โดยเรียนรู้เทคโนโลยีการทาหม้อจากบรรพบุรุษ และกลุ่มนกั ปัน้ หม้อที่ บ้านมะยิง โดยจ้างช่างสร้างเตาเผา (บาท 1 ช่างสร้างเตาเผามาจากจงั หวดั ราชบรุ ีช่ือนายเจริญคา่ จ้างสร้าง เตาเผาแบบเตา 0001 นอน 3. ครอบครัวนางจาเป็น รักเมือง ตงั้ อย่บู ้านเลขท่ี 18 หม่ทู ี่ 6 ตาบลโพธ์ิทอง อาเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ปัจจุบนั มีลกู หลานสืบทอดกิจกรรมของครอบครัว และยงั ผลิตเครื่องปัน้ ดินเผาเพ่ือจาหนา่ ย ในการเลีย้ งครอบครัว ลายบนภาชนะดนิ เผาที่พบมี ลายขดู ร่องแถวนอกประสมด้วยลายจดุ ประ ลายประทบั เป็น รูปอกั ษรเอส (s) ลายประทับรูปต้นไม้ท่ีมียอดคล้ายหัวลกู ศร ลายประทับหลายลายที่มีลักษณะคล้ายกับลาย ภาชนะดินเผาแบบทวารวดีท่ีได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีท่ีแหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง อาเภออินทร์บุรี จงั หวดั สิงห์บรุ ี เมื่อ พ.ศ. 2524 ศนู ย์วฒั นธรรมภาคใต้ สถาบนั ราชภฎั นครศรีธรรมราช ได้เข้าไปสารวจจานวนผู้ ที่ยงั คงทาภาชนะดินเผาอยู่ ณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี ้ปรากฎผลวา่ มีผ้ทู ่ียงั คงทาภาชนะดินเผาอย่จู านวน 13 ราย คือ อยใู่ นหมทู่ ี่ 9 ตาบลหวั ตะพาน 9 ราย และหมทู่ ี่ 11 ตาบลโมคลาน 3 ราย
นายจ่าง สวุ พันธ์ อดีตครูใหญ่โรงเรียนวนั สระประดิษฐาราม หมู่ที่ 7 ตาบลหวั ตะพาน อาเภอท่า ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช กล่าวว่า เม่ือตนได้เข้ามาในชุมชนนีใ้ นปี พ.ศ.2477 มีผ้ทู าภาชนะดินเผาราว 20 ครัวเรือน และสอบถามผ้เู ฒ่าในขณะนนั้ ดไู ด้ความว่าทามานาน และทาต่อเนื่องกนั มาโดยตลอด ดงั ที่ได้ ปรากฏเนินดินและเตาเผาที่มีเศษภาชนะดินเผาทบั ถมกนั อย่นู นั้ ในขณะนนั้ นิยมทาเตาเผาโดยการขดุ เนินจอม ปลวกให้เป็นโพรงภายในโพรงนนั้ จะมีลกั ษณะเป็นห้องหรืออโุ มงค์สาหรับวางภาชนะในขณะที่เผาส่วนยอด จอมปลวกก็ตดั ให้เป็นชอ่ งขนาดใหญ่ เตาชนิดนีด้ ้านข้างถกู เจาะเป็นท่ีสมุ ไฟ และด้านบนเป็นชอ่ งระบายความ ร้อนและลาเลียงภาชนะขึน้ ลงเม่ือจะนาเข้าและออกจากเตาเผาครัง้ หน่ึง ๆ ถ้าภาชนะที่เผามีขนาดไม่โตนัก เชน่ หม้อขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางราว 6 นวิ ้ จะได้ราว 200 ใบ เตาเผาแบบนีน้ บั วา่ เป็นเตาเผาท่ีทาอยา่ งง่าย ๆ และเป็นท่ีสืบทอดกนั มาแตต่ งั้ เดิม และยงั ทาตอ่ มาจนบดั นีโ้ ดยมิได้เปล่ียนแปลงแตอ่ ย่างใดเลย เรียกว่า คเตา หลุมค อันเป็นเตาแบบดงั้ เดิม แบบหน่ึง และเป็นต้นแบบของเตาเผาแบบระบายความร้อนขึน้ เนื่องจากช่อง ระบายความร้อนกว้างมาก เม่ือเผาภาชนะจึงต้องใช้เศษภาชนะดินเผาที่แตก ๆ วางซ้อน กนั ขนึ ้ ไปบนภาชนะท่ี จะเผาอีกทีหนงึ่ เพ่ือชว่ ยรักษาความร้อนมิให้พงุ่ ออกไปทางด้านบนของเตาเร็วเกินไป เตาแบบนีใ้ ห้ความร้อนไม่ สงู พอและควบคมุ อณุ หภูมิไม่ได้ ดงั นนั้ จึงไม่สามารถทาภาชนะดินเผาแบบเคลือบได้ นายจ่าง สวุ พนั ธ์ ได้เคย ทดลองทาภาชนะดนิ เผาเคลือบโดยใช้เตาเผาแบบนีแ้ ล้วแตไ่ มป่ ระสบความสาเร็จ การศึกษาจากผ้มู ีประสบการณ์ในการทาภาชนะดินเผาในอดีตและปัจจุบนั ในชุมชนโบราณแห่งนี ้ ทาให้ทราบวา่ กรรมวิธีในการผลติ ภาชนะดนิ เผา ณ ชมุ ชน โบราณแหง่ นีใ้ นปัจจบุ นั ไมแ่ ตกตา่ งไปจากท่ีเคยทามา เมื่อสมยั โบราณเลย โดยมีขนั้ ตอนการผลติ ดงั นี ้ วัตถุดบิ ประกอบด้วย 1. ดนิ 2. ทราย 3. นา้ อุปกรณ์ ประกอบด้วย 1. เสียบหรือจอมด้ามสนั้ 2. ถงั นา้ 3. เคร่ืองคลมุ ดนิ 4. ลานหรือหลมุ 5. เครื่องโม่ 6. กระดานรองนวด 7. เครื่องชั่งนา้ หนัก 8. กระดานสาหรับรอง แทน่ ดนิ 9. ไม้ตลี าย 10. ลกู ถือ ขัน้ ตอนการผลติ มี 4 ขนั้ ตอน ดงั นี ้คือ 1. การเตรียมดนิ 2. การปัน้ ขนึ ้ รูป 3. การตกแตง่ 4. การเผา วิธีทา 1. นาดินเหนียวมาจากบริเวณที่ราบล่มุ ต่าเรียกวา่ คท่งุ นา้ เค็มค ซ่ึงอย่ทู างทิศตะวนั ออกของบ้านมะ ยิง มายงั บริเวณท่ีตงั้ เผาบนสนั ทราย เอาดนิ เหนียวที่ได้มา ซึ่งมีความชืน้ พอเหมาะท่ีจะทาภาชนะดินเผาได้ ก็จะ พรมนา้ เอาผ้าคลมุ แล้วเก็บไว้ แต่หากดนิ เปียกเกินไปต้องวางให้หมาดเสียก่อน เอาดินที่เตรียมไว้มาสบั เป็นชิน้ ด้วยไม้ไผบ่ าง ๆ ซงึ่ เรียกวา่ คไม้ไผฉ่ ากค เพื่อให้เนือ้ ดนิ เข้าเป็นเนือ้ เดยี วกนั 2. นาดนิ ท่ีสบั เป็นเนือ้ เดยี วกนั ดีแล้วนนั้ มาคลกุ ผสมด้วยทรายละเอียด ใช้เท้านวดย่าและคลกุ เคล้า ด้วยมือให้เนือ้ ดินกบั ทรายเข้าเป็นเนือ้ เดียวกัน แล้วเอาผ้าคลุมไว้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการทาภาชนะท่ีน่ีไม่ได้มี แกลบข้าวเป็นส่วนผสม (โดยปกติการทาภาชนะดินเผาในท่ีอื่น ๆ มักจะใช้แกลบข้าวหรือผงเชือ้ คือดินผสม
แกลบเผาแล้วตาป่ นละเอียดมาผสมกบั ดินเหนียวที่จะใช้ทาภาชนะดินเผา และการใช้แกลบเป็นส่วนผสมนีม้ ีมา ตงั้ แตส่ มัยก่อนประวตั ิศาสตร์ในยุคหินกลางประมาณ 9,000 ปีมาแล้ว อย่างท่ีถา้ ผี จงั หวดั แม่ฮ่องสอนส่วนท่ี แหลง่ โบราณคดีโนนนกทา จงั หวดั ขอนแก่น และที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวดั อดุ รธานี จากการวิเคราะห์ เศษภาชนะดินเผาก็พบว่ามีการใช้แกลบข้าวเช่นนี ้และใช้ต่อมาจนปัจจุบนั นีท้ ่ีบ้านคาอ้อ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจาก แหลง่ โบราณคดีบ้านเชียง นกั โบราณคดีบางทา่ นจงึ ตงั้ ข้อสงั เกตวา่ การทาภาชนะดินเผาท่ีบ้านคาอ้อนา่ จะทาตอ่ เน่ืองมาจากวฒั นธรรมบ้านเชียง) 3. นาดินที่เตรียมไว้แล้วมาขึน้ รูปโดยใช้แปน้ หมุน แปน้ หมุนที่ใช้ในแหล่งนีม้ ีทงั้ แป้นหมุนชิน้ เดียว (ซ่ึงพบว่าแป้นหมุนลักษณะนีเ้ ร่ิมมีการใช้ครัง้ แรกที่เมืองเออร์ (ur) ในสุเมอร์ เมื่อประมาณ 4,000 - 35,00 ปี มาแล้ว) และแป้นหมุน 2 ชิน้ (ซึ่งพบว่ามีใช้ครัง้ แรกที่เมืองฮาเซอร์ (Hazor) ในอียิปต์เม่ือประมาณ 3,300 ปี มาแล้ว) แป้นหมุนนนั้ ในชุมชนนีเ้ รียกว่า “มอน” ในขณะใช้แป้นหมุนขึน้ รูปนนั้ จะใช้นา้ ประสานซ่ึงชาวบ้าน เรียกวา่ “นา้ เขลอะ” คือ นา้ ละลายด้วยดินเหนียวให้ข้นชุบผ้าลปู ไปตามผิวภาชนะรูปทรงที่ต้องการในขณะที่ อีกคนหนงึ่ ชว่ ยหมนุ แปน้ ข้างในภาชนะใช้ลกู ถือ (หินด)ุ ซงึ่ ชมุ ชนนีเ้รียก “ลกู เถอ” ตกแตง่ ในขณะขนึ ้ รูป 4. ตกแตง่ และตอ่ หู (หากมีหู) หลงั จาที่ขนึ ้ รูปเรียบร้อยแล้ว ใช้เชือกท่ีทาจากใยใบสบั ปะรดตดั ท่ีก้น ให้ก้นภาชนะหลุดออกจากแปน้ หมุน นาภาชนะท่ีขนึ ้ รูปเรียบร้อยแล้วมาวางให้ หมาดแล้วฝากระป๋ องขดู ตกแต่ง ผิว จากนนั้ จงึ ใช้ลกู สะบ้าถทู ี่ผวิ เป็นการขดั มนั 5. แตง่ ผิวภายในด้วยลกู ถือ ส่วนภายนอกใช้ไม้แบบตีให้เป็นลาย หรือกดลายประทบั ตามต้องการ ลกู ถือ ไม้ตีลาย กดลายประทบั 6. วางภาชนะไว้ในที่ร่ม ราว 3 - 4 วนั จนภาชนะนนั้ แห้งสนิท (ไม่นิยมตากแดดเพราะภาชนะจะ แตก) เมื่อภาชนะแห้งสนิทแล้ว นาเข้าเตาเผาแบบหลุมโดยมีชนั้ สาหรับวางภาชนะ (Fire bars) รองรับ วาง ภาชนะซ้อนทับกันขึน้ มาราว 100 - 200 ใบ เม่ือภาชนะซ้อนกันขึน้ มาจนถึงปากอุโมงค์ของเตาแล้ว เอาเศษ ภาชนะดนิ เผาท่ีแตก ๆ และมีขนาดใหญ่ ๆ ปิดบนภาชนะเหลา่ นนั้ จนเตม็ 7. สมุ ไฟตอนลา่ งของหลมุ ทางช่องของเตาหรืออโุ มงค์ที่ขุดไว้สาหรับสมุ ไฟ (มีเพียงช่องเดียว) เมื่อ ไฟลกุ จะเผาภาชนะซงึ่ วางอย่บู นชนั้ ข้างบน ควนั และความร้อนจะระบายออกทางปากอโุ มงค์ เตาหลมุ แบบนีจ้ ะ ให้ความร้อนไมเ่ กิน 800 - 900 องศาเซลเซียส ภาชนะดินเผาที่ได้จากการเผาด้วยเตาหลมุ แบบนีจ้ ึงไมแ่ กร่งพอมี ความพรุน ดดู ซมึ นา้ ได้ดี เวลาจบั ต้องจะหนบึ มือ เนือ้ ดนิ ยงั หลอมติดไมค่ อ่ ยสนทิ เพราะอณุ หภมู ใิ นขณะที่เผายงั ต่าต้องระมดั ระวงั เรื่องความร้อนมาก ต้องควบคมุ เรื่องการสมุ ไฟอยตู่ ลอดระยะเวลาแห่งการเผา กลา่ วคือ ตอน เริ่มเผาให้ใช้เพียงควันไฟผ่านภาชนะเท่านัน้ ระยะนีจ้ ึงมักจะใช้วสั ดุหรือไม้ท่ีให้ควันได้ดี เช่นไม้ผุ และกาบ มะพร้าว หากให้ไฟแรงในระยะแรกภาชนะจะแตก รมควนั ดงั กล่าวนี ้ 6 ชว่ั โมง จึงจะให้ไฟแรงได้ซึ่งการรมตอนนี ้ ชาวบ้านเรียกวา่ ครมเบาค เมื่อรมเบาผ่านไปแล้วก็ให้ไฟแรง ขนั้ นีช้ าวบ้านเรียกว่า ครมหนกั ค หรือ คโจ้หม้อค โดยใช้ ฟื นท่ีให้ความร้อนสงู และต้องควบคมุ อย่ตู ลอดเวลา ใช้เวลารมหนกั ราว 3 - 5 ชวั่ โมงจึงเอาฟื นออกจากเตาให้ หมด แล้วเปล่ียนเป็นรมควนั อีกเพื่อให้ภาชนะมีผิวสวยไมด่ า เม่ือไฟดบั สนิทและภาชนะภายในเตาเย็นตวั ดีแล้ว
จงึ เอาภาชนะท่ีเผาแล้วออกจากเตาได้โดยลาเลียงออกมาทางปากอโุ มงค์ซ่ึงจะได้ภาชนะท่ีสวยงาม ในราว พ.ศ. 2489 - 2490 มีการผลติ ภาชนะดนิ เผาในชมุ ชนโบราณแหง่ นีก้ นั มากท่ีสดุ เพราะเป็นระยะหลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 ซง่ึ ภาคใต้ได้ประสบวิกฤตการณ์จากสงครามครัง้ นีด้ ้วย ทาให้มีผ้ตู ้องการใช้ภาชนะดนิ เผามากเป็นพิเศษ ส่ิงท่ี ผลิตในระยะนัน้ คือ โอ่งนา้ อ่าง สวด หม้อข้าว หม้อแกง กระทะ ขัน กรอง (กะชอน) เนียง (คล้ายไห ส่วน ปากกว้างกว่า) และกระถาง โดยทาได้วันละ 100 - 150 ใบต่อคน เส้นทางลาเลียงภาชนะดินเผาออกขายใน สงั คมภายนอกขณะนนั้ คือ คลองโต๊ะแน็ง และคลองชมุ ขลิง โดยใช้เรือใบบรรทกุ มาสง่ ท่ีทา่ แพและทา่ โพธ์ิ อนั อยู่ ในบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช เพ่ือลาเลียงตอ่ ไปยงั ปากพนงั เกาะสมยุ สิชล ปากนคร และปากพญา เรือใบ แตล่ ะลาบรรทุกภาชนะดินเผาได้ราวเที่ยวละ 1,000 - 2,000 ใบ แต่ละครอบครัวบรรทุกออกไปขายเดือนละ 1 เที่ยว ราคาขายในระยะนนั้ อย่างหม้อขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 6 นิว้ ขายราคาร้อยละ 3 บาทถึงปี พ.ศ.2541 ราคาใบละประมาณ 50 - 100 บาท ถ้ าใครผ่านไปแถวตาบลโพธิ์ทอง อาเภออาเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จะเห็น เคร่ืองปัน้ ดินเผามากมายขายอยรู่ ิมทาง ทาให้ผ้ทู ี่สญั จรผา่ นไปมาอดใจไมไ่ หวต้องจอดแวะมาเลือกซือ้ อยตู่ ลอด สองฝ่ังถนน นบั เป็นการสร้างรายได้สร้างอาชีพให้กบั ชมุ ชนบ้านมะยิง ชมุ ชนท่ียงั สืบทอดการทาเครื่องปัน้ ดนิ เผา จากบรรพบรุ ุษ นางจาเป็น รักษ์เมือง ประธานกลมุ่ เคร่ืองปัน้ ดินเผากล่มุ แมบ่ ้านเกษตรกรบ้านมะยิง หม่ทู ี่ 6 ตาบล โพธ์ิทอง อาเภอท่าศาลา เล่าให้ฟังวา่ อาชีพทาเครื่องปัน้ ดนิ เผาในชมุ ชนทากนั มาโบราณนานมากสืบทอดกนั มา ประมาณ 100 ปี สมยั ก่อนทาเครื่องปัน้ ดินเผาพืน้ เมืองแบบโบราณ จะปัน้ หม้อยาส่วนใหญ่ สมยั พ่อแม่ คนรุ่น เดิม ๆ จะทากันเป็นระบบครอบครัวจากเดิมทากันแค่ 1-2 ครอบครัว ปัจจุบันเป็ นกลุ่ม 10 กว่าครัวเรือน สมยั กอ่ นดนิ ที่ในหมบู่ ้าน ดนิ ดเี ป็นดนิ เหนียวอยใู่ นทงุ่ เคม็ ในทงุ่ นาบ้านมะยิง นางจาเป็น รักษ์เมืองหรือยายเอียด เป็ นอีกคนหนึ่งคนท่ีมีความภาคภูมิใจมากที่เอา โคมไฟ เครื่องปัน้ ดนิ เผาท่ีทากบั มือ ส่งเข้าประกวดและก็ได้รับรางวลั สินค้าโอท็อป ชนะเลิศ 4 ดาว สร้างความภูมิใจให้ ตวั เองและให้ชมุ ชน ได้เลา่ ถึงอาชีพนีว้ ่า “รู้สกึ ดีใจที่ได้รักษาอาชีพเคร่ืองปัน้ ดินเผาตอ่ จากพอ่ แม่ ที่ทามาเพราะ ใจรักมีความสขุ สร้างรายได้เลีย้ งลูกถึง 6 คน ได้จนถึงปัจจุบนั ก่อนที่จะคิดรวมกลุ่มมีปัญหาเรื่องของการทา เครื่องปัน้ ดินเผา แต่ก่อนต่างคนต่างครอบครัวก็ทากันมา แล้วก็ขายแข่งกันแล้วมีการขายตดั ราคา ช่วงนนั้ มี ปัญหาขายไม่ได้ เลยมาคิดรวมกลุ่มกันแล้วก็มีการพูดคุยกันในการตกลงเราจะขายสินค้าราคาเหมือนกัน หลงั จากจดั ตงั้ กลมุ่ เครื่องปัน้ ดนิ เผากลมุ่ แมบ่ ้านเกษตรกรบ้านมะยิง ขนึ ้ เม่ือปี 2541 ก็รวมตวั ทากนั มา ตอนนนั้ สินค้าท่ีทาก็มีคนสนใจ ขายดีเพราะตอนนนั้ อยใู่ นช่วงเศรษฐกิจดี ราคายางก็ดดี ้วย ขายดนิ เผาได้วนั ละ 40,000- 50,000 บาท สร้างรายได้ให้กบั กล่มุ อย่างมาก พอถึงสิน้ ปีก็ปันผลกาไรหลงั จากหกั คา่ ใช้จ่ายดาเนินการออกไป จึงปันผลเป็นสิ่งของใช้ให้สมาชิก ทาสวสั ดิการเจ็บป่ วยรักษาพยาบาลด้วย จากนนั้ ได้มีหน่วยงาน กศน.ตาบล โพธ์ิทองอาเภอทา่ ศาลา และหนว่ ยงานอ่ืน ๆ ของทางราชการมาที่กล่มุ และแนะนาสนบั สนนุ ให้ยกระดบั งานฝีมือ ขนึ ้ มา ทางกลมุ่ เองก็ไปอบรมศกึ ษาความรู้เพ่มิ เตมิ แล้วนามาพฒั นางานเครื่องปัน้ ดนิ เผา”
ขณะเดียวกันยายเอียดที่สงั ขารโรยราขึน้ ทุกวนั ยายเอียดยงั มีแอบมีความกงั วลใจว่าลกู ๆ จะทาตอ่ จากเราได้ หรือเปลา่ เพราะตอนนีเ้ศรษฐกิจเร่ิมไม่ดีแล้ว สนิ ค้าก็วางขายมาก ทาให้รายได้ลดลงไม่เหมือนปีกอ่ นที่ผา่ นม ถ้า หากมีคนสนใจจะมาเรียนรู้วิชาเครื่องปัน้ ดินเผาสร้ างอาชีพ ยายเอียดบอกยินดีที่จะ สอนให้เพ ราะการทา เครื่องปัน้ ดินเผานนั้ ไมย่ ากเลยแตต่ ้องมีใจรักจริง ๆ โดยเร่ิมจากการเตรียมดิน ทรายละเอียด การหมกั ดิน/โม่ดนิ / อปุ กรณ์เคร่ืองโม่ดินเดิมสมยั ก่อนใช้วิธีการเหยียบ และต้องมีเทคนิคการผสมผสานการหมกั ดิน/การขึน้ รูป/การ ดงึ รูปทรงตามความต้องการแตล่ ะชิน้ งาน ต้องระวังอย่าให้ดินท่ีปัน้ แข็งเกินไปเพราะจะทาให้จดั รูปทรงลาบาก ยายเอียดยงั ตดั พ้อวา่ เคยมีคนมาดแู ล้วทดลองทาแล้ว แตไ่ มส่ าเร็จ และก็เคยมีคนมาลงทนุ สร้างโรงอบ ตอนแรก ปัน้ ไปสง่ โรงอบสกั ระยะก็เลิกไป เพราะเขามาขอมาลงทนุ ห้นุ ส่วนกบั ทางกลมุ่ เรา แตย่ ายเอียดไมร่ ับเพราะเขาจะ มาหวงั ผลประโยชน์จากกล่มุ เคร่ืองปัน้ ดินเผาพวกเราเท่านนั้ และเมื่อขนั้ ตอนท่ีจะนาเข้าโรงอบก็จะมีพิธีกรรม ตามความเช่ือ ยายเอียดเล่า ก่อนเผาต้องมีการเซน่ สงั เวยเตาเผา ถ้าไม่ทาหรือลืมเซ่นสงั เวย เคร่ืองปัน้ ดนิ เผาที่ นาเข้าเตาเผาจะแตกเกือบหมด เคร่ืองเซ่นสงั เวยนนั้ จะเริ่มด้วยการจุดธูป 3 ดอก ปักไว้ท่ีบนหวั เตาและนิมนต์ พระมาทาพิธีพร้อมฉนั ภตั ตาหาร ที่บ้านด้วย ได้แก่ ข้าวปลาอาหารคาวหวานที่พอจะหาได้ แล้วยกมืออธิษฐาน วา่ จะเอาของเข้าเตาเผาแล้ว เสร็จก็นาเคร่ืองปัน้ ที่เตรียมอบเข้าเตาเผา เผาเสร็จแล้ว ก็ต้องอธิษฐานบอกว่าจะ เอาเครื่องปัน้ ดนิ เผาออกจากเตา สมยั ก่อนใช้วิธีการเผากลางแจ้ง แตต่ อ่ มาผากบั จอมปลวก ทาเป็นโพรงแล้วใช้ ไม้ฟื น้ ใสแ่ ล้วเผา แล้วก็พฒั นาทาโรงอบก็ปัน้ โรงอบขนึ ้ มีดนิ เหนียวและฟาง อิฐ เป็นสว่ นประกอบในการทา “มีความกงั วลใจว่าจะไมม่ ีใครสืบทอด ช่างเครื่องปัน้ ดินเผา หารุ่นลกู หลานบ้านมะยิงจะไม่มี เพราะ เด็กรุ่นๆ ไม่คอ่ ยสนใจ เพราะวิถีชีวิตของชมุ ชน สภาพสงั คมส่ิงแวดล้อม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามามี อิทธิพลอย่างมาก วฒั นธรรมตะวนั ตก เป็นปัญหาและอดห่วงไม่อยากให้สูญหายไป และยงั มีข้อจากัดในเรื่อง การส่งออกดินเผาของกลมุ่ อยากให้มีหน่วยงาน ไปชว่ ยสนบั สนนุ เคร่ืองปัน้ ดนิ เผาอยา่ งจริงจงั อยากให้ปรับปรุง คณุ ภาพ ทงั้ กระบวนการผลิต พฒั นารูปแบบให้สวยงาม และคณุ ภาพของดิน อปุ กรณ์ ท่ีทนั สมยั เพราะไม่อยาก ให้อาชีพเคร่ืองปัน้ ดนิ เผาสญู หายไปเพราะเป็นอาชีพทามาตงั้ แต่ โบราณ อยากให้อนรุ ักษ์ไว้คบู่ ้านมะยิงสืบทอด
เป็นมรดก และที่สาคญั กลมุ่ แมบ่ ้านเกษตรกรบ้านมะยงิ อยา่ งน้อยได้มีความรักสามคั คชี ว่ ยเหลือกนั มา ทาอาชีพ สร้างรายได้และชว่ ยกนั ทาสวสั ดกิ ารในกลมุ่ ที่ดี สร้างรายได้ให้คนรุ่นหลงั ตอ่ ไป” ยายเอียด กลา่ วในที่สดุ ภูมปิ ัญญาหตั กรรม การทากรงนก : นายเสวก ยโุ ส้ ช่ือเล่น“หวอสาน” กรงนกเป็นวิถีชีวิตของชาวไทยมสุ ลมิ ท่ีนยิ มชมชอบการแขง่ ขนั ศิลปะฟังเสียงนก ประชนั แขง่ ขนั กนั ยาม เช้าเสาร์ อาทิตย์ มักจะพบเห็นชาวบ้านนานกของตนเองได้นาไป แข่งขันนก เพื่อฟังเสียงอันไพเราะของนกแต่ละตวั ที่ส่งเสียงแหลม ไพเราะ ยาวนาน วิถีชีวติ ของชาวบ้านภาคใต้ การเดนิ ทางจากตวั อาเภอเมืองเข้าสอู่ าเภอทา่ ศาลา เข้าเขต บ้านสระบวั บ้านในถ้งุ อาเภอทา่ ศาลาสองข้างทางจะพบเห็นมีร้าน ขายกรงนกทงั้ สองข้างทางพบเห็นร้านค้าที่จาหนา่ ยหลากหลาย รูปแบบ ในการนี ้ การทากรงนกเป็นอาชีพที่ทาให้บคุ คลท่ีนิยม ชมชอบการทากรงนก ซง่ึ เป็นงานศลิ ปะ ต้องใช้ความอดทน ความ พยายาม เป็นอาชีพท่ีก่อให้เกิดรายได้ในการเลีย้ งครอบครัวของ ชาวบ้านที่ช่ืนชอบ การทากรงนกสืบทอดจากรุ่นสรู่ ุ่น ไมม่ ีการเรียนรู้จากสถาบนั การศกึ ษา แตเ่ ป็นการเรียนรู้ จากวถิ ีชีวิตจากรุ่นพอ่ สลู่ กู
นายเสวก ยุโส้เป็นช่างไม้ เกิดประกายความคิดในการฝึกฝนการเป็นช่างไม้ และได้มีพ่อค้าจาก ยะลา ปัตตานี ได้เสนอรูปแบบกรงนก ตามความต้องการของตลาดให้นายเสวก ยุโส้ เป็นผู้ผลิต เริ่มฝึกทา ตามแบบและเป็นที่นิยมและเป็นท่ีช่ืนชอบของลกู ค้า จนต้องจดั ตงั้ เป็นโรงงานมีลูกมือหลายชีวิตที่มีฝึกกับทา่ น ฝึกจนเกิดความชานาญไปรับงานทาเป็นโรงงานหลายแหล่ง ละแวกชุมชนสองข้างทาง ตงั้ แต่ โรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ท่ี 8 จนถึง ชมุ ขนบ้านในถ้งุ ชมุ ชนแถบนีส้ ว่ นใหญ่เป็นประชาชนที่นบั ถือศาสนาอิสลาม มกั นิยมชมชอบการแขง่ ขนั นก และจะมีช่างการทากรงนกหลายสิบโรง ปัจจบุ นั ปี 2562 ยงั คงมีการทากรงนก ไมก่ ี่โรงแล้ว นายเสวก ยโุ ส้ หรือคนในชมุ ชนมกั เรียกกนั วา่ “หวอสาน” ปัจจบุ นั อายุ 83 ปี เริ่มจากทากรงนกเขา ใหญ่ เมื่ิอ พ.ศ.2517 โดยทากนั ในครอบครัว ในพี่น้องหาเลีย้ งครอบครัว กรงนกลกู แรกทามาจากไม้ฝาบ้านได้ ฝึกการทา และพฒั นารูปแบบ ตอ่ ไม้ได้สงั่ ซือ้ ไม้ และก็ได้ทามาเร่ือยๆ จนมีคนมาจ้างทากรงนกหวั จกุ โดยเขาเอา แบบมาให้ดแู ล้วให้ทาตามแบบ ตามจานวนที่ลกู ค้าสงั่ ซึ่งหวอสานไม่มีใครสอนและไม่ได้ไปเรียนท่ีไหน โดยดู เอาจากแบบที่ลกู ค้าเอามาให้ ลกู ค้าคนแรกที่เอาแบบกรงนกหวั จกุ มาให้จากจงั หวัดยะลา ราคากรงนกลกู แรก ราคาประมาณ 45 บาท จนปัจจบุ นั กรงนกมีหลายแบบทากรงนก ถือว่าหวอสานเป็นคนแรกในบ้านสระหลาย ราคาระยะเวลาในการทากรงนก 46 ปี นายหวอสานมีลกู ศษิ ย์และลูกน้องเป็นจานวนมากท่ีได้มาเรียนการบวั ที่ นาการทากรงนก ตอ่ มากกิจการชะลอตวั มีหลายครอบครัวหยดุ กิจการไป และนายหวอสานมีอายเุ ข้าวยั ชรา มาก รุ่นลกู ๆ ได้สืบสานตอ่ เจตนารมย์ของบิดาในบรรดาลกู ๆ 10 คน มีคนเดียวท่ียงั คงยดึ อาชีพการทากรง นก ก็คือ นายนายนฐั พงศ์ ยโุ ส้ ท่ีดาเนนิ การกิจการตอ่ จากบดิ า
วธิ ีการทากรงนกกรงหวั จุก นิยมทรงส่ีเหลี่ยมคางหมู สงู ประมาณ 30 นวิ ้ ด้านลา่ งกว้างประมาณ 14 นวิ ้ มีสว่ นประกอบท่ีสาคญั 3 สว่ นเชน่ กนั ได้แก่ โครงกรง ซี่กรง และหวั กรง อปุ กรณ์เบอื ้ งต้นสาหรับผ้ทู ี่สนใจเร่ิมทากรงเคร่ืองเลื่อยไม้ เครื่องไสไม้ แม็คลม สวา่ นพร้อมดอกสวา่ น เลื่อยฉลยุ มือ หรือเคร่ืองพร้อมใบเลี่อย ไม้บรรทดั ยาว60cm กาวร้อน ไม้พร้อมซี่ ลายกรง กาวลาเท็ก แบบกรง หนิ เจียรมือหรือหินเจียรแทน่ (ตวั นีถ้ ้าแตง่ เสากรงไมม่ ากก็ไมจ่ าเป็นครับโครงกรงนกกรงหวั จกุ เน้นท่ีพยายามใช้ไม้เนือ้ แข็งนามาเล่ือยซอนเป็น ชิน้ สว่ นตา่ งๆ ถึง 18 ชิน้ ได้แก่ 1. ไม้เสา มีจานวน 4 อนั โดยเล่ือยไม้ขนาดกว้าง 2 เซนตเิ มตร แล้วนามาตดั ให้เทา่ กบั ความสงู ของกรง โดยขนาดของกรงมีขนาด 13 ซี่ 15 ซ่ี 17 ซ่ีและ 21 ซ่ี ตามแตค่ วามต้องการของตลาดหรือที่ลกู ค้า สงั่ กรงขนาด 13 ซี่ ความสงู โดยประมาณ 46.5 เซนตเิ มตร กรงขนาด 15 ซี่ ความสงู โดยประมาณ 53.5 เซนตเิ มตร เมื่อได้ไม้ท่ีตดั แล้วนาไป ไส ให้หน้าไม้เสมอกนั 2. ไม้คานบน ยาวประมาณ 12 นวิ ้ จานวน 5 อนั เม่ือเล่ือยไม้ได้ตามขนาดท่ีต้องการก็นาไปไสกบั เครื่อง ไสไม้เพ่ือให้หน้าไม้เรียบเสมอกนั หลงั จากนนั้ ก็นาไปตดิ กระดาษที่วาดลายไว้แล้วก็นาเข้าเคร่ืองฉลลุ ายเพื่อฉลุ ลายไม้ตามแบบที่วาดไว้ เจาะรูด้วยสวา่ นตาเลก็ เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพ่ือไว้เสียบร้อยซี่กรง มีการถือเคล็ด เกี่ยวกบั จานวนรูท่ีเจาะ ให้เจาะเป็นจานวนค่ี เชน่ 13, 15, 17, 19 หรือ21 รู ตามความเล็กใหญ่ของกรง 3. ไม้คานลา่ ง ยาวประมาณ 14 นวิ ้ จานวน 5 อนั เม่ือเล่ือยไม้ได้ตามขนาดท่ีต้องการก็นาไปไสกบั เครื่อง ไสไม้เพื่อให้หน้าไม้เรียบเสมอกนั หลงั จากนนั้ ก็นาไปตดิ กระดาษที่วาดลายไว้แล้วก็นาเข้าเคร่ืองฉลลุ ายเพื่อฉลุ ลายไม้ตามแบบท่ีวาดไว้เจาะรูด้วยสวา่ นตาเลก็ เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพื่อไว้เสียบร้อยซ่ีกรง มีการถือเคล็ด เก่ียวกบั จานวนรูท่ีเจาะ ให้เจาะเป็นจานวนค่ี เช่น 13, 15, 17, 19 หรือ21 รู ตามความเล็กใหญ่ของกรง 4. ไม้คน่ั กรง ยาวประมาณ 12.5 นวิ ้ จานวน 4 อนั เจาะรูด้วยสวา่ นตาเลก็ เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพ่ือ ไว้เสียบร้อยซ่ีกรง มีการถือเคล็ดเกี่ยวกบั จานวนรูที่เจาะ ให้เจาะเป็นจานวนค่ี เชน่ 13, 15, 17, 19 หรือ21 รู ตาม ความเล็กใหญ่ของกรง การประกอบเป็ นตวั กรงนกกรงหวั จุก 1. เสาทงั้ 4 เสา ท่ีทาเสร็จแล้วมายิงประกบกบั คานบนและคานลา่ งเจาะรูด้วยสวา่ นตา เล็ก เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพื่อไว้เสียบร้อยซี่กรงที่โดยใช้แมค็ ลมทงั้ 4 ด้านให้ยดึ ติดกนั
2. สว่ นบนของกรงที่เจาะด้วยสวา่ นตาเลก็ เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพื่อไว้เสียบร้อยซ่ีกรงมาประกอบ 3. ไม้คน่ั กรง จานวน 4 อนั ท่ีเจาะรูด้วยสวา่ นตาเลก็ เจาะทะลบุ นสนั ให้รับกนั เพื่อไว้เสียบร้อยซ่ีกรง แล้ว ใช้แม็คลมยิงประกอบกบั โครงกรงนก 4. ร้อยซี่กรงนกด้วยไม้ไผส่ าหรับทากรงนกตามขาดของกรง 5. รูปกรงนกท่ีร้อยซี่สาเร็จแล้ว การตกแต่งกรงนกกรงหวั จุก ใสต่ ะขอเกี่ยว การทาชเล็คทกุ ซี่ของกรงเพ่ือรักษาความคงทน และใสอ่ ปุ กรณ์ ขอนไม้เล็ก ๆ สาหรับให้ นกได้เกาะในตวั ภายในของกรง กรณีที่ลกู ค้าต้องการของกรงนกประดบั ประดาด้วยการฝังมกุ ต้องมีการสง่ั เป็น กรณีพิเศษ เพราะจะต้องมีการนาไม้เกรดเอ เพ่ือสร้างความสวยงามให้กบั ตวั กรง และการฝังมกุ ต้องระบคุ วาม สวยงาม ราคาจะแตกตา่ งกนั ราคาปกติ 400-500 บาท ถ้าฝังมกุ ตกแตง่ ราคาก็จะเพมิ่ สงู ขนึ ้ เป็นหลกั หม่ืน หลกั แสน ขนึ ้ อยกู่ บั การชนิดของไม้ท่ีจะนามาทา และปริมาณมกุ ท่ีใช้ในการตกแตง่ และต้องมีการสงั่ ลว่ งหน้า เพ่ือสง่ ไปให้ชา่ งด้านศลิ ป ที่มีความชานาญเฉพาะการฝังมกุ กรงนกโดยเฉพาะ การทากรงนกเป็นอาชีพที่เดก็ เยาวชนควรสนใจเห็นคณุ คา่ ทางศลิ ปะ ในการใช้ลายฉลเุ พ่ือให้งานออกมาวจิ ติ รบรรจง สวยงาม ต้องอาศยั ความอดทน ความพยายาม และบางพืน้ ท่ีลงมกุ ย่ิงทาให้เพ่ิมมลู คา่ และควรคา่ แก่การเรียนรู้ อนรุ ักษ์การทา กรงนกให้เยาวชนรุ่นลกู รุ่นหลานได้เรียนรู้ และสืบสานตอ่ กบั วถิ ีชีวิตชาวไทยมสุ ลมิ
นายเสวก ยุโส้ ช่ือเล่น“หวอสาน” อายุ 83 ปี จบการศึกษา ประถมศกึ ษาปี ท่ี 4 วัน/เดือน/ ปี - 2480 นับถือศาสนา อิสลาม บ้านเลขท่ี 98/1 ม.6 ตาบลท่าศาลา อาเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรี ธรรมราช 80160 เบอร์โทร 0891951615 ภูมปิ ัญญาด้านหตั กรรม จักสาน : นายกบิ หลี หมาดจิ นายกิบหลี หมาดจิ เรียนรู้การจักสาน และได้สืบทอด ความรู้จากบิดา มารดา ชุมชนหมู่บ้านของข้าพเจ้าช่ือชุมชน “บ้านในซอง” ตัง้ อยู่หมู่ท่ี 9 ตาบลโมคลาน อาเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ในสมยั ก่อนชมุ ชน “บ้านในซอง” มีไม้ไผ่ จานวนมาก ชาวในชุมชนจึงได้นาไม้ไผ่มาแปรูปจักสานมาใช้ สอยในครัวเรือน อาชีพการจกั สานไม้ไผ่ ของ ชุมชน “บ้านในซอง” เป็น อาชีพเสริม หลักจากเสร็จฤดูกาลทานา เมื่อ ชาวบ้านเสร็จฤดกู าลทานา ก็หนั มาทาอาชีพจกั สาน ไม้ไผ่ ปัจจุบนั อาชีพการจกั สานไม้ไผ่ได้สูญหายไป เรื่อยๆ จากชมุ ชน ไมค่ อ่ ยหลงเหลือให้ลกู ๆ หลานๆ ได้ดู จากเหตุผลดงั กล่าวข้าพเจ้าจึงได้อนุรักษ์และ สืบทอดเจตนารมย์ของบิดา มารดา ไม่อาชีพ ดงั กล่าวสูญหาย จัดทาเป็นอาชีพเสริมของครอบ และสอนลูกหลานให้ ทุกคนได้ เรี ยนร้ ูเพื่ออนุรักษ์ สืบ
ไว้ของวฒั นธรรมท้องถิ่น ผลิตภณั ฑ์จกั สานไม้ไผท่ ่ีได้จดั ทาขนึ ้ ได้แก่ เขง่ ส่มุ ฝาชี ลน่ั (ข้องใส่ปลา) คนั เบด็ ไม้ กวาด อีเนียว (ท่ีดกั ปลา) ว่าว เป็นต้น อาชีพจกั สานไม้ไผ่ เป็นรายได้เสริมให้กบั ครอบครัว กลวั อาชีพดงั กล่าว จะหายไปจากหมบู่ ้าน อยากให้ลกู ๆ หลานๆ เห็นความสาคญั เรียนรู้ สืบทอดวฒั นธรรมให้กบั ชมุ ชนของตนเอง จากให้ชุมชนเห็นความสาคัญของอาชีพจักสานไม้ไผ่ วัสดุในท้องถิ่นนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ แทน วัสดุ พลาสตกิ การประกอบอาชีพต้องมีคณุ ธรรมในการทางาน ผลงานที่ออกมา หรือเขานาไปใช้จะต้องมีคณุ ภาพ ไมว่ า่ ข้าพเจ้าจะได้รับรายการสงั่ สินค้ามากเพียงใด ข้าพเจ้าจะต้องทาให้มีคณุ ภาพเป็นที่พอใจของลกู ค้าทกุ ครัง้ และข้าพเจ้าสอนลูกๆ หลานๆ เสมอว่า ทุกคนที่เกิดมาจะต้องทาตนให้เป็นประโยชน์ อย่าปล่อยเวลาให้สูญ เปลา่ “สิ่งใด จะให้ทาชีวติ มีความสขุ นายกิบหลี หมาดจิ ชื่อเลน่ : กิบ เกิดวนั ที่ – เดอื น - พ.ศ.2493 จงั หวดั ที่เกิดจงั หวดั นครศรีธรรมราชที่อย่ปู ัจจบุ นั บ้านเลขท่ี : 72 หมทู่ ่ี : 9 ตาบลโมคลาน อาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราชรหสั ไปรษณีย์ : 80160 โทรศพั ท์ : 099-4601002 ภมู ิปัญญา การต่อเรือประมงบ้านพนื้ บ้าน : บ้านในถุ้ง อาเภอท่าศาลา นายบังหมูด พงเลศิ : การทาเรือประมงพืน้ บ้าน : อ่าวทองคา ชาวประมงพืน้ บ้ านอาเภอท่าศาลา จังหวัด นครศรีธรรมราช อาเภอทา่ ศาลาเป็นอาเภอท่ีอยตู่ ิดทะเล อ่าวไทยตอนกลางทะเลทอดยาวจากอาเภอเมือง อาเภอ ท่าศาลา อาเภอสิชล และอาเภอขนอม ตลอดแนว อาเภอท่าศาลาจะมีประชาชนกล่มุ ประมง ส่วนใหญ่นบั ถือศาสนาอิสลาม วิถีชีวิตกลุ่มประมง ออกเรือไปหา ปลา ก้งุ ปู ในทะเลนาทรัพยากรมาจาหน่ายส่ตู ลาดใน ท้องถ่ิน และตลาดในเมืองท่าศาลา และในตัวอาเภอ เมือง เพ่ือส่งออกไปจาหน่ายให้กับประชาชนตา่ งอาเภอ และต่างจังหวัดต่อไป ส่ิงหนึ่งที่เป็ นศาสตร์ความรู้ท่ี นา่ สนใจของการประกอบอาชีพประมง นอกจากเทคนิค ความชานาญในการสงั เกตลกั ษณะนา้ พนั ธ์ุปลาตา่ ง ๆ เคร่ืองมือทามาหากิน ก็คอื เรือ เรือเป็นส่ิงที่สาคญั เป็น พาหนะในการท่ีจะนาชาวประมงออกสทู่ ะเล เปรียบเสมือนบ้านหลงั ท่ีสองของพวกเขาที่ต้องมีการดแู ลเอาใจใส่ เม่ือชารุดก็ต้องนาเรือมาซ่อมแซม บารุงรักษาหรือสร้างขนึ ้ มาใหม่ ภูมิปัญญาในเรื่องนี ้คือ 1. ครอบครัว นาย กาหรีม หลงจิ ซ่ึงท่านมีอาชีพทาเรือประมง และมีการถ่ายทอดองค์องความรู้ให้กับบุตรชาย ทงั้ สอง คน คือ
นายกาหลิ หลงจิ นายอลิ หลงจิ ได้สืบทอดองค์ความรู้ให้กับบุตรทัง้ สองเป็นช่างต่อเรือประมงพืน้ บ้าน 2. บงั หรีม 3. นายบงั สาน 4. นายบงั หมดู ในท่ีนีไ้ ด้ไปสมั ภาษณ์และถอดองค์ความรู้การต่อเรือประมงพืน้ บ้าน จากนายบงั หมูด พงเลิศ เกิด เมื่อวนั ท่ี 19 มกราคม 2496 ปัจจบุ นั อายุ 64 ปี อยบู่ ้านเลขท่ี 229/1 ม.5 บ้านในท่งุ ต.ท่าศาลา อาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช เดมิ เป็นอาเภอร่อนพิบลู ย์ มาตงั้ รกรากปักฐานมีครอบครัวที่อาเภอทา่ ศาลา เมื่อ ปี 2517 มีบตุ รจานวน 6 คน จดุ เร่ิมต้นเป็นลกู จ้างอ่ตู อ่ เรือพานิชในตวั อาเภอท่าศาลา เป็นเวลา 3 ปี เม่ือเกิด ความชานาญ จึงเร่ิมหนั มารับจ้างต่อเรือด้วยตนเอง เมื่อปี พุทธศกั ราช 2521 จนถึงปัจจบุ นั ด้วยฝีมือและ ความเช่ียวชาญในการตอ่ เรือประมงพืน้ บ้านเป็นท่ีรู้จกั และมีชื่อเสียงในระดบั ชมุ ชนชาวประมงพืน้ บ้าน ราคา วา่ จ้างตอ่ ลาประมาณ 40,000 ถึง 50,000 บาท ตอ่ เรือ 1 ลา โดยผ้จู ้างดาเนินการออกคา่ ใช้จา่ ยในการจดั หา และจัดซือ้ วัสดุให้ครบทุกอย่าง ช่างต่อเรือดาเนินการออกแรงทาเพ่ือให้ได้มาซึ่งลาเรืออย่างเดียว การ ดาเนินการไม่มีพิมพ์เขียว เป็นการสร้างจากการตกลงกบั ผ้วู า่ จ้างจนเข้าใจ ขนาด รูปทรง ก็ลงมือทาการต่อ เรือ วัสดอุ ุปกรณ์ในการทา ประกอบด้วย 1. ไม้ตะเคยี นทอง 2. เลือ้ ยตดั ไม้ 3. กบไสไม้ 4. สวา่ น 5. น็อต 6. ตะปู ขนาด 3-4 นิว้ 7. เหล็กต้นแบบวดั ขนาดของกงเพ่ือใช้ขึน้ รูปกง 8. กากีบ (ตวั คา้ ไม้ให้โค้งงอ ตามความต้องการ 9. ขีช้ นั 10.นา้ มนั ยาง 11. จารบี 12.ปนู แดง กรณีท่ีซ่อมแซมลาเรือเก่าลกู ค้าต้องการใช้ ไฟเบอร์ แทนการอดุ รอยรัว้ ด้วยขีช้ นั เพ่ือปิดตวั เรือเคลือบทงั้ ลาเรือไมใ่ ห้นา้ รั่วซมึ เข้ามาในลาเรือได้ สว่ นปะกอบ ด้วย ใยแก้ว(คล้ายๆ ผ้าม้งุ ) ดนิ ไฟเบอร์ นา้ ยาไฟเบอร์ และตวั เร่งทาให้แขง็ จบั ตวั เร็ว (ใช้ 2-3 ช้อนชา) ใช้เวลา 1-2 วนั ขนั้ ตอนการลงไฟเบอร์ ห้ามโดนนา้ หรือนา้ ฝน ดงั นนั้ จะต้องทาในชว่ งท่ีฝน ไมต่ ก มฉิ ะนนั้ ขนั้ ตอนการตดิ ไฟเบอร์ก็จะไมไ่ ด้ผล ขัน้ ตอนกระบวนการผลิต / วิธีทา (Know how) ในขนั้ เตรียมการจะประกอบด้วย เตรียมหาไม้ตาม
ชนิดท่ีต้องการใช้งาน การนาต้นไม้มาใช้การทาลาเรือจะต้องดูความกว้าง ความสูงของลาต้นเป็นสาคัญ กล่าวคือ จะต้องมีขนาดรอบโคนต้น ความกว้างของเนือ้ ไม้ 150-200 เซนตเิ มตร ความสูง 10-12 เมตร จึง ตดั มาทาเรือได้ และเตรียมเคร่ืองมือที่ใช้ในการต่อเรือทกุ ชนิด พอได้พร้อมตามเนือ้ งานแล้วจงึ ดาเนินขนั้ ตอน การตอ่ เรือ ซง่ึ สามารถแบง่ ขนั้ ตอนได้ ดงั นี ้ 1. วางกระดกู งู เป็นขนั้ ตอนแรกของการตอ่ เรือ กระดกู งเู ปรียบได้กบั สนั หลงั ของคนจึงต้องวาง ไม้กระดกู งทู ี่ดดั โค้งไปตามรูปท้องเรือให้โค้งกบั นา้ (ตามเครื่องวดั ระดบั ด้วยปรอทและขงึ เชือกให้ตรง) กระดกู งู เสร็จ โดยหาไม้แกนสาคญั ขนาดความหนา 2-2.5 นวิ ้ กว้าง 1 นวิ ้ ขนาดความยาวของกระดกู งไู ม้ควรน้อย กวา่ 10 เมตร ๒. ตงั้ โขนเรือหรือทวนหวั โขนคอื ไม้ท่ีเสริมหวั เรือและท้ายเรือให้งอนเชิดขนึ ้ (เรียกวา่ แม่ ยา่ นาง) โขนจะตอ่ มาจากกระดกู งเู รือ ๓. ขนึ ้ ไม้กระดานตวั ลาเรือข้างละ 4แผน่ ขนาดความยาวต้องมากกวา่ กระดงู ู ถ้ากระดงู ยู าว 10 ไม้กระดานต้องยาว 12-13 เพราะต้องไปตเี ช่ือมกบั โขนที่ยดึ ตดิ กบั ลาเรือ ทงั้ สองข้างมีกงพรางจาลองเพ่ือ ต้องการมใิ ห้ไม้กระดานหบุ เข้าไปข้างใน ชว่ งท่ีขนึ ้ ไม้กระดานแผน่ 1-2 จะต้องใช้ไฟลนไม้กระดานให้ออ่ นตวั เพ่ือจดั รูปทรงโค้งงอได้ตามความต้องการของนายชา่ งและไมท่ าให้ไม้แตกหกั จากการดดั ไม้กระดานแผน่ ท่ี 3-4 ทงั้ สองข้างของลาเรือไมต่ ้องใช้ไฟลน ให้กากีบและตวั (กงพราง) หรือตวั กงจาลอง ๔. วางกงเป็นโครงเรือ วางพาดไปตามความยาวของเรือเป็นหลกั ให้กงตงั้ ซงึ่ จะตดิ กบั กงยาก กงตงั้ จะโค้งไปตามลกั ษณะความลกึ ของท้องเรือ ตงั้ แตห่ วั เรือขนานกนั ไปเรื่อย ๆ จนถึงท้ายเรือ 5. ขนึ ้ กระดานเรือ คือการวางกระดานเรือตอ่ จากแผน่ ที่ 4 ตอ่ ไม้กระดานขนึ ้ ไปด้านบนอีก ข้างๆ ละ 5 แผ่น เพ่ือให้เป็นรูปเรือ และตามความสงู ของเรือ โดยใช้ตาปยู ดึ ไม้กระดานกบั แกน 6. ใช้ตวั ถีบขนึ ้ จดุ สว่ นหวั เรือ กลาง และสว่ นท้ายของลาเรือ เพ่ือให้ได้ความกว้างสมสว่ นตามกบั ความยาวของลาเรือ 7. ขนั้ ตอนการทากงมือลิง หรือวางตะเข้เรือ ทบั กบั กงตงั้ อีกทีหนง่ึ เพื่อให้เรือแข็งแรง เสริม กระดกู งใู ห้แขง็ แรงขนึ ้ เริ่มต้นจากหวั เรือไปท้ายเรือ มีขนาดความหนาประมาณ 4-5 นวิ ้ ตดั เป็นรูปทรงโค้งงอ ตามขนาด (สว่ นนีค้ ล้าย ๆ กบั ซี่โครงของมนษุ ย์) ซงึ่ จะนามาวางด้านในของท้องเรือ สลบั ไปมาทางด้านซ้าย และด้านขวา การวางรูปแบบฟันปลา โดยวางจดุ เร่ิมต้นตงั้ แตจ่ ดุ กลางของลาเรือ กรณีท่ีกระดงู ยู าว 9 เมตร ความกว้างของลาเรือ 285 เซนตเิ มตร การวงกงเรือจะต้องวางจากจดุ ก่งึ กลางของลาเรือวางขนึ ้ ไปด้านบนของ ลาเรือ ด้านท้ายของลาเรือ ระยะหา่ งระหวา่ งกง 15 เซนตเิ มตร การวางกงเรือสลบั ไม้กง ไม้กงวางด้านหลงั ของกงเพื่อไปหาสว่ นท้ายเรือและหวั เรือ 8. ปากถ้วย การห้มุ ของแกมเรือ ใช้สาหรับการลากอวนไมใ่ ห้อวลตดิ หวั กง 9. ลกู กล้วย ( ราวท)ู สาหรับเรือใหญ่ ให้สวยงาม และกนั นา้ สาดเข้าลาเรือ เวลาเรือเลน่ การ โต้คล่ืน นา้ จะไปปะทะกบั ลกู กล้วย และทาให้เรือ
10. ตวั โขน – โขนท้าย เป็นตวั สงู ขนึ ้ มาจากหวั เรือและท้ายเรือ การตกแตง่ ประดบั ให้เกิดความ สวยงามตามเอลกั ษณ์ของชมุ ชน 11. การขดั ไม้ของลาเรือด้านนอกเพื่อให้เรียบ และเกิดความสวยงาม ๑2. ตอกหมนั ด้วยการนาด้ายดิบผสมชนั ยาเรือ พร้อมไปกบั นา้ มนั ยางผสมปนู แดงเพื่ออดุ รูสลกั และรอยตอ่ ระหวา่ งแผน่ กระดานเพ่ือปอ้ งกนั นา้ ร่ัวเข้าไปภายในเรือ ๑3. ทาสีเรือ เพื่อกนั แดดกนั ฝน กนั นา้ กนั ตวั เพรียง บริเวณท้องเรือและกระดานเรือมกั นิยมทาสี เขียว สว่ นราโทและกาบออ่ นมกั จะทาสีส้มกบั สีขาว 14. วางเครื่องยนตไ์ ว้ของตวั เรือ บริเวณสว่ นท้องเรือมีไม้สองทอ่ นวางขนานกนั และเช่ือมกบั ใบ ทวนเรือซง่ึ ย่ืนออกไปหลงั หลกั ทรัพย์ท้ายเรือ บงั หมดู กลา่ ววา่ “ หาคนที่จะมาตอ่ เรือ และรับชว่ งตอ่ จาตนเองยากมาก แม้แระทง่ั ลกู ๆ ก็ไมส่ นใจ เพราะเป็นงานกรรมกร เหนื่อย ต้องตากแดด ตากลม เพราะเราใช้วิถีชีวิและการทาที่ริมชายฝ่ัง เรือ 1 ลา ต้องใช้เวลาหลายเดือน ต้องใช้ความอดทน ความพยายาม ใจสู้ เพ่ือให้งานสาเร็จ การทางานแขง่ กบั ตวั เอง” จดุ เดน่ ของภูมิปัญญาการทาเรือประมงของนายมงั หมดู หลงจิ ทาโดยไม้ต้องมีแบบพิมพ์เขียวในการ สร้างเรือแต่ละลา ขึน้ โครงสร้างของลาเรือตามขนาดของผู้ว่าจ้างเป็นหลักว่าต้องการขนาดลาเรือกว้างยาว เท่าไหร่ การออกแบบโครงและสร้างฐานตามแบบฉบบั ของเขา และออกแบบไปทาไปตามองค์ความรู้ท่ีมีจาก การประสบการณ์ท่ี สงั่ สมจนเกิดความชานาญ ไมม่ ีวิชาท่ีสอนให้ทาในสถาบนั การศกึ ษา แตเ่ ป็นสถาบนั ชีวิตที่ ต้องเรียนรู้ และฝึกจากการสงั่ สมประสบการณ์ของตนเองมาตลอดชวั่ ชีวิต ผ้ทู ี่หลงใหลลาเรือวา่ ด้วยการตอ่ เรือ เป็นศาสตร์และศิลป ที่น่าควรยกย่อง และเข้าไปเรียนรู้ เพื่อรุ่นเยาวชนได้เห็นคณุ คา่ และสืบสานตอ่ ยอดและ ควรคา่ แก่การอนรุ ักษ์ ภมู ปิ ัญญาการทาอฐิ แดง หรืออิฐมอญ : นางฉลวย ปล้องเกิด (ป้าพร) : ตาบลโมคลาน เกิดเม่ือวนั ท่ี 1 เมษายน 2499 อยบู่ ้านเลขท่ี 22/2 หมทู่ ี่ 6 ตาบลโพธิ์ทอง อาเภอท่าศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจากสมัยป้าพร เด็ก ๆ ได้ไปว่ิงเล่นบ้านลงุ เจียม ปลอดชูแก้ว(พี่ของเม่) ไปช่วยเล่นดินช่วยทา บ้าง ตามประสาเด็ก ๆ ได้เรียนรู้แบบไมร่ ู้ตวั เห็นคณุ ลงุ ทามาตลอด สมยั ก่อน ทาด้วยแรงงานคนล้วน ๆ ใช้คนนวดดินเหนียว เม่ือป้าพร อายุได้ 21 ปี เร่ิม สนใจในอาชีพการทาอิฐเพราะได้แตง่ งานมีครอบครัว ประกอบกบั แมข่ องปา้ พร
สนใจทาโรงอิฐในพืน้ ที่ตาบลโมคลาน ตนเองจึงไปร่วมเรียนรู้อย่างจริงจังกบั แม่ ต่อมาในชุมชนนีอ้ ยู่ใกล้กับ ชมุ ชนของตาบลปากพูน อาเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีเพื่อนบ้านหลายครอบครัวทากิจการโรงอิฐ และเพื่อน บ้านซึ่งเป็นผ้ใู หญ่บ้าน คือ ผ้ใู หญ่มน ได้นาเทคโนโลยี เคร่ืองจกั รมาช่วยในการทาอิฐ ตนเองก็สนใจเพื่อลดการ ใช้แรงในการทาอิฐ ดินเหนียวท่ีใช้ในการทาอิฐเป็นดินเหนียวล้วน ๆ ในแปลงพืน้ ที่นาของตนเองและ ครอบครัว การใช้ดินเหนียวปนทรายมาก ๆ จะทาให้หักง่าย ก้อนดิฐจะแตกหลังจากเผาดินให้เป็นอิฐแล้ว ดังนัน้ การทาอิฐจะต้องคานึงถึงคุณภาพของดินด้วยเป็นสาคัญ อิฐท่ีป้าพรทา มีอิฐชนิด 8 รู กับอิฐทึบ การตลาดสง่ ๆ ไปเกาะสมยุ จงั หวดั สรุ าษฏร์ธานี กระบี่ พทั ลงุ ตรัง พงั งา ภเู ก็ต ปัจจบุ นั ปา้ พรได้มอบธรุ กิจการ ทาอฐิ ให้กบั บตุ รชาย สืบทอดกิจการตอ่ จากตน คือ นายพชิ ติ ปล้องเกิด ลักษณะท่วั ไป อฐิ มอญเป็นวสั ดทุ ่ีผลิตมาจากการนาดินเหนียวมาเผาเพื่อให้ได้วสั ดทุ ี่คงรูปมีความแขง็ แรง การใช้อิฐมอญ ในงานกอ่ สร้างมีมากหลากหลายจงึ มี คนรู้จกั และใช้กนั อยา่ งแพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากเชื่อมน่ั ในความ คงทน และผลิตได้ในประเทศจากแรงงานท้องถิ่น คณุ สมบตั ขิ องอิฐมอญจะยอมให้ความร้อนถ่าย-เข้าออกได้ ง่ายเก็บความร้อนในตวั เองได้นาน เน่ืองจากอฐิ มอญ มีความจคุ วามร้อนสงู สามารถเก็บกกั ความร้อนไว้ในเน่ือง มาก โดยท่ีคอ่ ยๆถา่ ยเทจากภายนอก จงึ เหมาะแก่การใช้งานในชว่ งเวลากลางวนั วัสดุอุปกรณ์ในการทาอิฐ เคร่ืองมือสาคญั ในการทาอิฐ สว่ นใหญ่ผ้ปู ระกอบการจะคิดประดษิ ฐ์ขนึ ้ ใช้เองเพื่อประหยดั โดยนาวสั ดุ ที่หาได้จากพืน้ บ้านดดั แปลงตอ่ เตมิ เป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ เว้นแตท่ ่ีทาไมไ่ ด้เป็นเคร่ืองทนุ่ แรงท่ีเป็น เครื่องจกั รกลสาหรับเคร่ืองมือหลงั ๆ ได้แก่ 1. ปงุ้ กี๋ เมื่อก่อนสานด้วยหวายและไม้ไผ่ ตอ่ มาหวายและไม้ไผข่ าดแคลนจงึ หนั มาใช้พลาสตกิ สานแทน บางทีก็ใช้ยางรถยนต์เกา่ ซง่ึ ได้รับความนิยมไมแ่ พ้กนั ใช้สาหรับงานโกยที่ต้องขนย้ายทวั่ ไป 2.พลว่ั ทาจากแผน่ เหล็ก มีไม้ไผเ่ ป็นด้าม ใช้ในการตกั ดนิ แกลบ และคลกุ เคล้าดนิ แกลบ นา้ ให้เป็น เนือ้ เดียวกนั 3. คราด ทาด้วยเหลก็ เชน่ เดียวกบั พลว่ั แตม่ ีหลกั ตา่ งกนั คือ มีหน้าเป็นซ่ีกลม ๆ 6 ซี่ สว่ นใหญ่ใช้ไม้ไผท่ า ด้าม ใช้สาหรับเกลี่ยแกลบให้ทวั่ ขณะเผาอฐิ และงานโกย สงิ่ ตา่ ง ๆ 4. ไม้ไสดนิ หรือไม้แซะดนิ ใช้สาหรับปรับลานตากดินท่ีมีเศษดนิ จากการไส แทง่ ดนิ ให้ได้รูปทรงตกหลน่ อยู่ จานวนมาก โดยจะใช้ไม้ไสดนิ นีท้ าการไสดนิ ออกจากลานเพ่ือให้ลานดนิ สะอาด และเรียบร้อย 5. รถเข็น ทาขนึ ้ งา่ ย ๆ จากเศษไม้ท่ีเหลือใช้ เริ่มจากตอ่ สว่ นของกระบะกอ่ น จากนนั้ ล้อรถจกั รยานท่ีไม่ ใช้งานแล้วมาใสท่ าให้สะดวกในการไสลากขนึ ้ ประโยชน์ของรถเข็นก็คือใช้ในการขนย้ายดนิ จากกองเพ่ือนาไป หมกั และขนย้ายดนิ ที่ปั่นจนได้ท่ีแล้วไปกองสาหรับอดั ลงพมิ พ์เป็นอฐิ 6. การวารระบบนา้ สว่ นใหญ่ใช้ในขนั้ ตอนการผสมดนิ และระหวา่ งการอดั ดนิ ใสแ่ บบพิมพ์
7. เครื่องป่ันดนิ เดมิ ขนั้ ตอนการผสมดนิ สาหรับทาอิฐผ้ผู ลิตจะใช้วธิ ีย่าด้วยเท้าจนสว่ นตา่ ง ๆ เข้าเป็น เนือ้ เดียวกนั ทวา่ เม่ือไมก่ ี่ปีท่ีผา่ นมาได้มีผ้คู ิดค้นเครื่องมือในการผสมดนิ ท่ีทนั สมยั ขนึ ้ มาใช้แทน เคร่ืองมือ ดงั กลา่ วเรียกวา่ เครื่องป่ันดนิ ขณะใช้งานมีเครื่องยนต์ขนาดกาลงั 9 แรงมาให้พลงั งาน เป็นที่นิยมมากในปัจจบุ นั เพราะสามารถผสมดนิ ได้ครัง้ ละมาก ๆ และใช้เวลาสนั้ กวา่ การผสมด้วยการย่าจากแรงคน 8.โรงเผาอฐิ สมยั ก่อนผ้ผู ลิตมกั กนั กลางแจ้ง เนื่องจากประหยดั ต้นทนุ ในการสร้างโรงเผาอฐิ ข้อเสียก็ คือ ไมส่ ามารถเผาอฐิ ในชว่ งฤดฝู นได้ ภายหลงั จงึ ได้สร้างโรงเผาอฐิ ขึน้ ลกั ษณะก็คือ เป็นโรงไม้หลงั คาจากสว่ น ของหลงั คามีลกั ษณะเป็นทรง จวั่ สงู เชิงชนดิ คาอยรู่ ะดบั ศีรษะ ไมม่ ีฝาด้านในใช้สาหรับเป็นท่ีเผาอิฐและเก็บอิฐ ทงั้ ชนดิ ที่เตรียมเผาและเผาสกุ แล้ว 9. แบบพิมพ์ มีด้วยกนั 3 ชนิด แบบพมิ พ์ไม้ ชนิดนีส้ ามารถทาขนึ ้ ใช้เองได้ แบบ พิมพ์โลหะ มีสอง ลกั ษณะคือ ทาจากเหล็กหรือสแตนเลส ราคาคอ่ นข้างสงู และแบบพมิ พ์พลาสตกิ ปัจจบุ นั ได้รับความนิยม มากกวา่ แบบพมิ พ์ชนดิ อ่ืน เน่ืองจากมีราคายอ่ มเยา สะดวกทนทานตอ่ การใช้งาน ท่ีสาคญั คอื อฐิ ท่ีได้จากแบบ พิมพ์พลาสตกิ ยงั ให้ความสวยงามไร้ตาหนิพอ ๆ กบั พมิ พ์โลหะชนดิ สแตนเลส ซง่ึ ดกี วา่ เเบบพมิ พ์ไม้มาก นอกจากนีย้ งั มีอปุ กรณ์อานวยความสะดวกอื่นๆ อีก อาทิ เคร่ืองไสดนิ มีดปาดดนิ ไม้ตบ ใช้สาหรับตกแตง่ แทง่ อฐิ ที่ได้จากพิมพ์ไม้ให้ได้รูปสวยงาม กระแตง สาหรับงานขนย้ายทวั่ ไป ตวิ ้ สาหรับนบั จานวนเวลาขนอฐิ ขนึ ้ รถ ในขนั้ ตอนการขาย แผงเหล็ก สาหรับกบั ความร้อนไมใ่ ห้กระจายออกมานอกโรงเผาอฐิ ขณะทาการเผา เป็นต้น มาตรวัดคุณภาพอิฐ การทาอฐิ ให้ได้คณุ ภาพและมีต้นทนุ ต่า สิง่ สาคญั คอื ต้องรู้จกั เลือกใช้วตั ถดุ ิบที่เหมาะสมและอยใู่ กล้ แหลง่ ผลิต วตั ถดุ บิ ที่วา่ ได้แก่ ดนิ แกลบ นา้ ดนิ ที่ใช้ทาอิฐคอื ดนิ เหนียว มีอย่ดู วั ยกนั หลายชนิด แตล่ ะชนดิ จะ ให้คณุ สมบตั แิ ตกตา่ งกนั เช่น ดนิ เหนียวปนู มีลกั ษณะเป็นดนิ ท่ีมีธาตปุ นู ผสมอยมู่ าก สงั เกตจากดนิ มีสีออกขาว นวลเม่ือนามาทาอฐิ จะได้ อิฐสีเหลืองออ่ น ไมแ่ ดงเข้มสวยงาม ดนิ เหนียวแก่ มีความเหนียวมาก เม่ือกองทิง้ ไว้ นาน ๆ จะแข็งคล้ายหนิ มีข้อเสียคือเม่ือนาไปทาอฐิ จะเกิดการรัดตวั จนแทง่ อิฐบดิ งอ ดนิ ทงั้ สองชนิดนีไ้ มน่ ิยม นามาทาอิฐ เน่ืองจากมีคณุ ภาพตา่ ทาให้อฐิ ขายไมไ่ ด้ราคา ดนิ เหนียวท่ีได้รับความนิยม นาไปทาอิฐคือ ดนิ เหนียวปนทรายละเอียดเดมิ ผ้ผู ลิตจะได้ ดนิ ชนิดนีจ้ ากใต้แมน่ า้ ปัจจบุ นั เปลี่ยนไปใช้ดนิ ท่ีได้จากบนบกที่มี คณุ สมบตั เิ หมือนกนั แทนเพราะสะดวกกวา่ การลงไปเอาดินจากแมน่ า้ ขนึ ้ มา ขัน้ ตอนการทาอฐิ 1. นวดดนิ ขนั้ แรกเร่ิมกนั โดนฉีดนา้ เพื่อให้ดนิ ชมุ ชื่น 2. ใช้เคร่ืองจกั ตกั ดนิ เข้ารางสบั เพื่อตดี นิ ให้ละเอียด 3. ดนิ ออกเป็นแผน่ ยาว 4. มีเคร่ืองตดั จานวนก้อนขนาดที่ต้องการ 8 นวิ ้ 5 นวิ ้ จานวน 8 รู 5. มีเครื่องยบั เพื่อให้ก้อนดนิ ขาดเป็นชิน้ และจดั ลงบนรถเขน็ เพ่ือนาไปตาก ในโรงตาก 3 วนั เพื่อ ลดปริมาณความชืน้ ของก้อนดนิ ที่ยงั ไมไ่ ด้เผาเตรียมความพร้อมเข้าเตาเผาหลงั จากตากไว้ในโรงตาก 3 วนั
6. นาอิฐมาจดั วางเรียงในเตาเผาอิฐ จะใช้เวลา 1-2 วนั และรมควนั 3 วนั 3 คืน ตอ่ เน่ืองกนั โดยสงั เกตวา่ อิฐเป็นไปหมดทกุ ก้อน ก็จะแสดงให้เห็นว่าอิฐนนั้ เผาได้ท่ีแล้ว ลดปริมาณไฟ และดบั ไฟในท่ีสดุ ตงั้ ไว้ประมาณ 1-2 วนั ให้อิฐเย็นตวั 7. แล้วนาอิฐมาจากเตาเผา จดั เรียงเป็นชดุ ก้อนใหญ่ ๆ พร้อมจาหนา่ ย ก้อนมดั ใหญ่ ๆ 1 ชดุ มีประมาณ 20,000 - 30,000 ก้อน ด้านประมง ภมู ปิ ัญญาประมงพืน้ บ้าน : นายเจริญ โต๊ะอิแต นายเจริญ โต๊ะอแิ ต (บังมุ ) ผ้ทู ี่อนรุ ักษ์การสืบทอดภมู ิปัญญาการดหุ ลา ยงั คงดาเนินการการ หาปลาด้วยการฟังเสียงของปลาใต้ท้องทะเล เพ่ือใช้ในการออกหาปลาให้กบั ครอบครัว และยงั คงสืบทอดวถิ ีชีวิต ดงั กล่าวให้คงอยกู่ บั ชมุ ชนในบ้านถ้งุ ด้วยอดุ มการณ์รักท้องถิ่นทะเลอา่ วทา่ ศาลา เป็นคนท่ีมีถิ่นกาเนดิ ณ บ้าน ในถ้งุ ตาบลท่าศาลา อ.ทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช เกิดวนั ที่ 15 ต.ค 2511 ปัจจบุ นั อายุ 51 ปี ชีวิตวยั เด็กการว่ิงเล่นและหาประสบการณ์ การเรียนรู้วถิ ีชีวติ การทาอาชีพประมงโดยเริ่มช่วยพอ่ ออกหาปลาตงั้ แต่ 9 ปี เข้าไปเรียนรู้วิธีการทาการประมงจากพ่อ เร่ิมแตกหนมุ่ ได้อายุ 16 เร่ิมลงมือปฏิบตั ิด้วยตนเองด้วยการลงมือเป็น ผ้ชู ว่ ยของพอ่ และเร่ิมลงศกึ ษาเรียนรู้การฟังเสียงปลา โดยการดานา้ ทะเลโดยการจาแนกเสียงร้องของปลาในนา้ ฝึกการเรียนรู้วา่ เสียงแบบใดเป็นฝงู ปลาชนิดใด การใช้สญั ญาณเสียงในนา้ โดยการดาลงไปในนา้ โดยการบอก เล่าจากรุ่นสู่รุ่นพ่อรุ่นลูกการเนินการฟังเสียงฝูงของปลาโดยใช้ วิธีการดานา้ ทะเล ไม่ใช้เคร่ืองมือใด อาศัย ประสบการณ์ล้วนๆ และสมาธิในการหาฝูงปลา ทิศทางในการลงไปอยู่ในนา้ จากการบอกเล่าจากพ่อ และ ประสบการณ์ฟังเสียงปลาใต้นา้ \"ดหุ ลาค กลา่ วคือ การท่ีคนลงดานา้ โดยการฟังเสียงปลาใต้นา้ ไป เพื่อฟังวา่ จะมี ปลาและปลาชนิดใด โดยนายเจริญ โต๊ะอิแต สามารถจาแนกวา่ เป็นปลาประเภทใด เช่น ปลาจวดหางรอก
(เกร็ดจะเนียน ลาตวั จะเหลือง ลกั ษณะฟันไม่มีเคีย้ ว แตล่ กั ษณะฟันเล็กๆ ) (ปลาจวดสองซ่ีจะมีลกั ษณะเขีย้ ว สองส่ีด้ านล่าง ด้ านบนหน่ึง) เสียงปลาแต่ละชนิดจะส่งเสียงแตกต่างกัน ทัง้ หมดทัง้ มวลล้ วนอาศัย ประสบการณ์ การฟังเสียงปลาต้องใช้ประสบการณ์จริงในการแยกแยะเสียงปลา เรียนรู้ทิศทางของลม ทงั้ สิน้ บางครัง้ การหาปลานอกจากจะอาศยั โชคช่วยแล้ว ต้องอาศยั ในเดือนมืด ท้องฟ้ามืดจะเห็นฝงู ปลาแหวกว่าย เป็นฝงู ได้ชดั ลกั ษณะฝงู ปลาที่มกั จะอย่รู วมกัน เป็นฝงู รวมกัน เช่น ปลาจวด ปลาลงั (ปลาท)ู ทะเลปักษ์ใต้ บริเวณท้องทะเลอ่าวไทยบริเวณอาเภอท่าศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช คลอบคลุมพืน้ ท่ี หลายอาเภอ เช่น อาเภอทา่ ศาลา อาเภอสิชล “อา่ วทองคา” การหาปลาในเวลากลางคืนในท้องทะเลอนั เวงิ ้ ว้าง สามารถแยกแยะ ชนิดของปลาโดยใช้พลายนา้ (แสงของนา้ ) เพราะแสงของดวงจันทร์สาดส่องมายงั ตวั ของปลา ปลาสามารถ สะท้อนแสงให้เห็นเป็นเงาแสงได้ สงั เกตว่าจะเป็นปลาท่ีมกั แวกวา่ ยเป็นฝงู ลกั ษณะคล่ืนกระแสใต้นา้ แรงมกั จะ ได้ปู เพราะปจู ะฝังตวั ในโพรง และใต้ดินท้องทะเล ช่วงฤดทู ่ีสามารถหาสัตว์นา้ ได้ 1) ระหว่างเดือน ม.ค - ก.พ ปลาลงั ก้งุ (ไม่มีการส่งเสริมและมกั จะเกาะในฝงู ปลา) 2) ระหว่างเดือน มี.ค - เม.ย กัง้ ปริมาณมาก 3) ระหว่างเดือน พ.ค -พ.ย จะเทศกาลที่มีปู ปลาจวด สามารถรับชมรายการจากการสมั ภาษณ์และจดั ทา รายการทีวีจาก “ดุหลาคนฟังเสียงปลา รายการทีวีช่อง CNN” ชาวประมงบ้านพืน้ ได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น การรู้ทิศทางลม เพ่ือกาหนดเครื่องมือในการจับปลา กาหนดเวลาการจบั ตามลกั ษณะ ลมแปดทศิ ทาให้ชาวประมงพืน้ บ้านมีความหลากหลายในการใช้เครื่องมือทา มาหากิน ได้แก่ อวน เป็ด แห ลอบ หรือใช้ภมู ิปัญญากานา้ ลมแปดทิศคอื ลมหายใจของธรรมชาตทิ ี่สร้างให้ ทกุ ชีวิตสมดลุ และความสมบูรณ์ นครศรีธรรมราชโดยเฉพาะอ่าวท่าศาลา ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม 2 ด้าน คือ มรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ลมว่าว) ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้(ลมพลดั ) ลมท่ีพดั จากทิศตะวนั ออก เฉียงใต้ เรียกว่า ลมพลัดหลวง ลมที่พลัดจากทิศเหนือ เรียกว่า ลมอุตรา ลมที่พัดจากทิศใต้ เรียกว่า ลม สลาตนั ลมที่พดั จากทิศตะวนั ออก เรียกวา่ ลมออก ลมที่พดั จากตะวนั ออกเฉียงเหนือ เรียกว่า ลมเภา ลมทงั้ 8 ทิศ มีอทิ ธิพลตอ่ ชาวประมงในการวางแผนการจบั สตั ว์นา้ โดยการใช้เครื่องมือท่ีเหมาะสม แต่ละชว่ งของแตล่ ะ เดือน จะจบั ปลาได้แต่ละชนิดที่แตกตา่ งกนั ทาให้ชาวประมงได้เรียนรู้ชีวิตและการสรรหาอปุ กรณ์เครื่องมือใน การหาปลาให้เหมาะสมในแตล่ ะชว่ งเวลา นายเจริญ โต๊ะอิแต “บงั ม”ุ เป็นคนส้ชู ีวิต เป็นคนรุ่นใหมท่ ่ีชอบแสดงออก และเป็นผ้นู าในการจดั ตัง้ ศนู ย์การเรียนรู้ธนาคารปมู ้าและประมงชายฝั่งบ้านในถ้งุ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นผ้กู ่อการดี ในการ ขบั เคล่ือนการฟื น้ ฟูชายฝ่ัง ตงั้ แต่ ปี 2545 จากการร่วมมือกนั จานวน 6-7 คน โดยมีการหาแนวร่วมในการ ขบั เคล่ือน จานวน 30 คน ปัจจบุ นั มีสมาชิกเพิ่มขนึ ้ โดยมีความคิดเมื่อ 10 ปีท่ีผา่ นมา ผลกั ดนั เรือพานิชออก จากอา่ วทา่ ศาลา เข้ามาหาหอยลาย หาปลาริมตล่ิง ถ้าชาวบ้านจบั หาหอยไปกินไปขายได้ โดยการดา งม ห้าม ใช้คราดหอยลาย หอยแครง ทาให้ขดุ โคลนขนึ ้ มา ไถหน้าโคลนใต้ดนิ ทาให้แก๊สไข่เน่าขึน้ มาบนผิวนา้ สง่ ผลตอ่ ชีวิตตอ่ สตั ว์นา้ ชายฝ่ังเกิดสภาวะการทาลายธรรมชาติ ประกอบกบั จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ชุมพร สุราษฎร์ ธานี ปิดอา่ ว ห้ามจบั สตั ว์นา้ 15 ก.พ -15 พ.ค ทาให้เรือประมงจากแหล่งอ่ืนมารุนหอย สง่ ผลตอ่ การพลิกโคลน
ตม ทาให้แก๊สไข่เนา่ ขึน้ มา ทาลายสตั ว์นา้ ชนิดอ่ืน ๆ สง่ ผลตอ่ การทาหากินของชาวประมงพืน้ บ้าน นายเจริญ ได้ร่วมกนั ตอ่ ต้าน การจดั ตงั้ กลมุ่ เพ่ืออนรุ ักษ์สตั ว์นา้ เพื่อให้ลกู หลานได้มีทรัพยากรอนั อดุ มสมบรู ณ์ใช้บริโภคกนั ตอ่ ไป โดยการทางานของกลมุ่ อนรุ ักษ์ การปกปอ้ งและการบริบาลปู นาปทู ี่มีไขน่ อกกระดอง ท่ีแก่เต็มท่ีโดยให้ ชาวประมงได้นาปทู ี่ยงั มีชีวิตอยมู่ าให้กบั กลมุ่ เพ่ือจะได้อนบุ าลปใู ห้ไข่ปฝู ักตวั ออ่ น ก่อนปล่อยลงไปสธู่ รรมชาติ เพ่ือเพิ่มปริมาณปูในทะเลให้มีค่กู ับอ่าวท่าศาลา การดาเนินการดงั กล่าว ส่งผลให้หล่ยหน่วยงานได้มองเห็น คณุ ค่าการทางานของกลุ่ม สมาคมรักทะเลไทย มหาวิทยาลยั วลัยลกั ษณ์ อบต.สนบั สนุน เพื่อนในเฟสบุ๊ค เห็นการทางานของคณะ โดยมีการสนบั สนนุ เงิน 100,000 บาท สร้างอาคาร ปี 2558 โดยมีการรวมกลมุ่ ออม ทรัพย์บ้านในถุ้ง เพ่ือออมเงิน 50 บาทต่อเดือน ปัจจุบนั 2562 มีเงินทุนหมุนเวียน ล้านกว่าบาท เพื่อให้ สมาชิกได้ก้ยู ืมไปซือ้ อปุ กรณ์ในการทาการประมงชายฝ่ังกรณีเคร่ืองมือท่ีใช้ทามาหากินเกิดการเสียหาย สมาชิก สามารถมาก้ยู ืมเงินเพื่อไปจดั ซือ้ อุปกรณ์เกี่ยวกบั การทาการประมงได้ ทาให้วิถีชีวิตของชาวบ้านในถ้งุ เร่ิมเห็น ความสาคญั ของการรวมกลมุ่ อนรุ ักษ์พนั ธ์ุสตั ว์ รางวลั ท่ีได้รับ 1. สนง.คณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ มอบรางวลั ชนะเลศิ ประเภทบคุ คลทวั่ ไป จากการประกวด คลิปวีดโิ อสื่อสร้างสรรคเ์ พื่อการขยายผลธนาคารปมู ้า และการอนรุ ักษ์ทรัพยากรปมู ้า ประจาปี 2561 2. กรมสง่ เสริมคณุ ภาพสิง่ แวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม มอบโล่ เกียรตยิ ศ ให้นายเจริญ โต๊ะอิแต “ทสม. ดีเดน่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช” เม่ือวนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2559 3. มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ มอบเกียรตคิ ณุ แด่ ชมุ ชนบ้านในถ้งุ “ชมุ ชนต้นแบบหลกั ในถ่ิน มวล” ประจาปี 2562 4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มอบรางวลั “กลมุ่ อนรุ ักษ์ประมงพืน้ บ้าน ในถุ้ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ” สถาบันเกษตรกรแห่งชาติ ประเภทเกษตรกรเพาะเลีย้ งสัตว์นา้ ประจาปี 2562
ด้านเกษตรกรรม การแปรรูปทางการเกษตร ยาเส้น“ยากลาย” : นายนิวัฒน์ ดมิ าร ยากลายเป็นที่เลื่องลือมาตงั้ แตส่ มยั ก่อน ระยะเวลา 100 กวา่ ปีผา่ นมา ดนิ แดนแถบล่มุ แมน่ า้ กลายสอง ฝ่ังแมน่ า้ กลาย ครอบคลมุ พืน้ ท่ีอาเภอทา่ ศาลา และอาเภอนบพิตา(ท่ีแยกเป็นอาเภอใหม)่ จากพืน้ ที่ของอาเภอทา่ ศาลา บริเวณ ตาบลสระแก้ว ตาบลกลาย ตาบลตลง่ิ ชนั บริเวณแถบนี ้ เป็นพืน้ ท่ีแม่นา้ กลายไหลผา่ นทาให้มี ความอดุ มสมบรู ณ์ ยามนา้ หลากได้พดั พานาความอดุ มสมบรู ณ์ของแร่ธาตทุ าให้เป็นที่กลา่ วขานวา่ ยาเส้นท่ีมา จากพืน้ ท่ีตาบลกลาย มีกลิน่ และรสชาตยิ ากลาย มีกลิ่นฉนุ ไมเ่ หมือนท่ีอื่น คอยาเส้นมกั จะนยิ มบริโภค จน เป็นท่ีรู้จกั ถ้าจะสบู ยาเส้น ควรจะเป็นยากลาย นามช่ือเลื่องลือ กลา่ วขานในหมู่ผ้สู บู นิยมชมชอบ พ่อค้ายา เส้นจงึ บอกท่ีมี วา่ “ยากลาย” ยากลาย เป็นยาสบู ท่ีปลกู ในเขตท้องท่ีตาบลกลายอาเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช มีชื่อเสียง ในด้านที่มีรสชาติที่มีความฉุนจดั (เมาจัด) และมีราคาค่อนข้างสูง การปลูกยาสูบที่ตาบลกลาย คงทากัน มาแล้วไม่ตากวา่ 100 ปี เพราะชาวบ้านท่ีมีอายปุ ระมาณ 70-80 ปี ในขณะนีเ้ ล่าว่า ตงั้ แตเ่ กิดมาก็เห็นบรรพ บรุ ุษของเขาปลกู ยากลายกนั อยแู่ ล้ว อนึง่ ยากลายยงั แพร่พนั ธ์ุไปส่ตู าบลท่ีใกล้เคียง เชน่ ตาบลตลิ่งชนั ตาบล สระแก้ว ตาบลทา่ ศาลา และตาบลกะหรอ ก่ิงอาเภอนบพิตา เป็นต้น ยากลายเป็นพนั ธ์ุไม้ล้มลกุ ให้ประโยชน์ปีเดียวก็ตาย มีลาต้นอ่อนเปราะ ภายในลาต้นกลวง ลาต้น โดยขณะเส้นผา่ นศนู ย์กลาง 1.5-2.0 นิว้ ไม่มีกิ่ง ใบกว้างประมาณ 20-30 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร โดยแตกออกจากลาต้นตงั้ แต่โคนจนถึงยอด ต้นยากลายมีความสูงประมาณ 100-150 เซนตเิ มตร ใบหนา มีขนเล็กน้อย ถ้าจบั ดจู ะรู้สกึ เหนียวหนืดผิดกบั ใบไม้อ่ืน ความสงู ของต้นและความโตของ ใบจะขนึ ้ อยกู่ บั อาหารท่ีได้รับด้วย แตอ่ ยา่ งไรก็ตามชาวไร่ยากลายเลา่ วา่ ยากลายนนั้ จะมีขนาดลาต้น ความสงู
และความโตของใบ พร้ อมทัง้ ความเหนียวหนืดที่เหนือกว่าที่มีผู้นาไปปลูกในแหล่งอ่ืน แม้แต่ปลูกในเขต ใกล้เคียงในจงั หวดั นครศรีธรรมราช ทงั้ นีอ้ าจเป็นเพราะความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ในเขตตาบลกลายก็เป็นได้ การทาไร่ยากลายมีขนั้ ตอนดงั นี ้ 1. การเตรียมพืน้ ท่ี เดิมนนั้ จะใช้เป็นป่ ารกร้างวา่ งเปล่าที่ได้มาด้วยการจบั จอง แต่ปัจจบุ นั ชาวบ้านจะ ปลกู ยากลายกนั ในพืน้ ที่สวนยางพืน้ เมืองที่ได้รับการสงเคราะห์ให้ปลกู ยางพนั ธ์ุดแี ทนยางพนั ธ์ุพืน้ เมือง การ เตรียมดินจะเริ่มประมาณช่วงเดือน กมุ ภาพนั ธ์ – เดือนมีนาคม ชาวไร่จะถางป่ าโดยฟันต้นไม้เล็กๆ ออกให้ทวั่ ก่อนแล้วจงึ โคน่ ต้นไม้ใหญ่ๆ ลงให้หมดแล้วปล่อยทิง้ ไว้สกั ระยะหนึ่งกะประมาณให้แห้งพอจะเผาตดิ ไฟซ่ึงสว่ น ใหญ่ราวๆ 1 เดือน ก็จดุ เผาได้ การเผานนั้ จะเริ่มจดุ ทางด้านเหนือเพื่อให้ไฟลกุ ไปได้ทวั่ ไร่ เม่ือเสร็จการเผาแล้ว ชาวบ้านก็จะเริ่ม “ปรนไร่” คือเก็บใบไม้และก่ิงไม้ที่ไม่ตดิ ไฟมากองเผาอีกจนหมดแล้วใช้“ไม้หมรูน”ลากหรือดนั ขีเ้ถ้าให้กระจายทว่ั พืน้ ท่ี ขนั้ ตอนการเก็บเศษไม้มาเผา เรียกวา่ ปรนไร่ หลงั จากนนั้ ก็ขดุ ร่องเป็นแปลงปลกู 2. การเตรียมพนั ธ์ุ พนั ธ์ุยากลายท่ีใช้ปลกู กนั ในทกุ ๆปี นนั้ ชาวบ้านเก็บเมล็ดพนั ธ์ุยาไว้จากการปลกู ใน ปีก่อน สาหรับในการปลูกในปี ถัดไป จะไม่มีการไปเอาพันธ์ุจากในท้องท่ีอื่นๆ การเก็บเมล็ดพันธ์ุยานัน้ ชาวบ้านจะปล่อยให้ต้นยาที่เก็บใบหมดแล้วออกดอกและฝัก เม่ือฝักแก่เต็มท่ีแล้วก็จะตดั มาทงั้ ลาต้นมาผง่ึ ไว้ที่ แห้ง เก็บเมล็ดพนั ธ์ุไว้ใช้ปลกู เริ่มด้วยการเอาเมล็ดพันธ์ุยาท่ีเตรียมไว้ห่อผ้าแช่นา้ 1-2 คืน แล้วนาไปเพาะใน กระบะดนิ หรือดนิ ปนทรายท่ีเตรียมไว้ คอยรดนา้ ให้ดนิ เปียกช่มุ อย่เู สมอ ประมาณ 1 เดอื น ก็จะได้ต้นกล้ายาสบู มีใบราว 2-3 ใบ จึงย้ายต้นกล้าไปแยกเพาะชาไว้อีก การย้ายต้นกล้าไปเพาะใบนีเ้ รียกว่า “ฉนุ ลกู ยา”ในการ ย้ายไปปลกู อาจปลกู ชาในกระเปาะเล็กๆ หรือปลกู ในร่องฉนุ ถ้าปลกู ในร่องฉนุ จะปลูกห่างประมาณ 5-6 นิว้ ตอ่ ต้น ระยะแรกๆ จะต้องรดนา้ ทกุ วนั และทาหลงั คาบงั แดดให้ด้วย ซงึ่ จะใช้ทางมะพร้าวกนั เป็นส่วนใหญ่ หรือ อาจจะมีใบไม้อ่ืนบ้าง เช่น ระกา เมื่อต้นกล้าแข็งแรงดีแล้วก็เอาหลงั คาออก ต้นกล้านีเ้ม่ือมีใบราว 4-5 ใบ หรือ มีความสงู ประมาณ 6-8 นวิ ้ ก็นาไปปลกู ได้ 3. การปลกู ฤดกู ารปลกู ยากลายนนั้ ชาวบ้านจะเริ่มลงมือปลกู ในเดือนพฤษภาคม หรือท่ีเรียกกนั ว่า เดือน 6 เพราะช่วงนีจ้ ะมีฝนตกอันเนื่องมาจากลมมรสุมตะวนั ตกฉียงใต้ ซ่ึงเรียกกันว่า “ฝนพลัด” การปลูก ระยะห่างระหว่างต้น ประมาณ 70-75 เซนตเิ มตร ก่อนขดุ หลมุ จะมีการขึงเชือกกะระยะห่างให้เรียบร้อย เมื่อ ปลกู แล้วก็จะดเู ป็นแถวสวยงามและง่ายแกก่ ารบารุงรักษาและการเก็บผลผลิต ก่อนปลกู จะมีการใสป่ ๋ ยุ รองหลมุ เดมิ จะนิยมใช้มลู ค้างคาว แตป่ ัจจบุ นั จะใช้ป๋ ยุ เคมี 12-12-17-2 ใช้ประมาณหลมุ ละ 1 ช้อนโต๊ะ คลกุ เคล้ากบั ดนิ ให้ทวั่ แล้วปลกู ต้นยาลงไป ต้องพยายามให้ลาต้นตงั้ ตรง เสร็จแล้วถมดนิ ให้แน่น เด็ดใบลา่ งทิง้ ประมาณ 1- 2 ใบ มักจะปลูกเวลาเย็น เช่ือกนั ว่าต้นยาจะตงั้ ตวั ได้เร็ว (เข็งแรง) หากไม่มีฝนหลงั จากปลูกแล้วต้องทาเพิง กาบงั แดด และรดนา้ อยู่ 7-10 วนั เมื่อต้นยาแขง็ แรงดีแล้วก็เอที่กาบงั แดดออก
4. การบารุงรักษา หลงั จากปลูกเสร็จแล้วก็ต้องหมัน่ กาจดั วชั พืช เพ่ือไม่ให้แย่งอาหารต้นยาสูบและ ค่อยกาจัดตัวหนอนซึ่งจะกัดกินใบและยอด เมื่อต้นยาสูบมีความสูงประมา 1 ศอก หรือชาวบ้านจะกะ ประมาณจากจานวนใบ คือมีประมาณ 7-8 ใบ เป็นระยะที่ต้นกาลงั เจริญเตบิ โตก็ต้องใสป๋ ยุ ให้อีกครัง้ หน่งึ โดย การโรยป๋ ยุ รอบโคนต้นยาไว้ให้สูง ซ่ึงชาวบ้านเรียกกันว่า “พูนยา” วิธีการนีเ้ ป็นการปิดป๋ ยุ ไม่ให้นา้ ชะไปที่อื่น และเป็นการป้องกันไม่ให้ต้นยาล้มได้ง่ายเม่ือถูกลมพดั เมือต้นยามีใบประมาณ 18-20 ใบ ชาวบ้านก็จะเด็ด ยอดทิง้ เสีย เพ่ือลดความเจริญเติบโตทางด้านความสูง แต่ให้มาเจริญท่ีใบ ใบจะได้รับอาหารมากขนึ ้ โตและ หนาขนึ ้ ในช่วงนีต้ ้องคอยหมนั่ หกั แหนะ “แขนง” ของต้นยาสบู ท่ีงอกจากลาต้นที่โคนใบให้หมด เพื่อมิให้แยง อาหารจากส่วนที่อ่ืนๆ เม่ือเห็นวา่ ใบยาสบู มีสีเขียวแก่และปลายใบสดุ มีสีดาก็แสดงวา่ ใบยาสบู เริ่มแก่เก็บได้แล้ว ซง่ึ เวลาทงั้ หมดในการทาไร่ยาสบู นีป้ ระมาณ 6 เดอื น อปุ กรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาเส้นมี ดงั นี ้ 1. อปุ กรณ์การหนั่ ยา ภาษาถ่ินใต้ “เขอฝานยา” 2. ม้ารองนงั้ 3. มีด 4. หนิ ลบั มีด 5. แผงยา 6.เสื่อ 7. ราวตากยา การ ผลติ ยาเส้น “ยากลาย” เป็นยาเส้นที่มีช่ือเสียงที่ เป็นท่ีรู้จกั กนั ดใี นแงค่ ณุ ภาพของเส้นยา กลา่ วกนั วา่ เส้นจะเล็กนิ่มไม่ หยาบแข็งสีคลา้ มีนา้ มนั ดนิ ไมแ่ ห้งหยาบกระด้าง และที่ขนึ ้ ช่ือลือชามากท่ีสดุ ก็ในด้านรสชาติ เป็นยาเส้นที่มีรสฉนุ มี ความเมาจดั ซง่ึ สง่ิ เหลน่ นีเ้ป็นส่ิงท่ีชาวไร่ภมู ิใจมาก ชาวไร่ยา กลายเลา่ ว่า นอกจากคณุ ภาพของดนิ และลกั ษณะอากาศที่ เหมาะสมกบั ยาสบู ชนิดนีแ้ ล้ว เขาเชื่อวา่ เทคนิคและวิธีการ ตา่ งๆ ของระยะเวลาการเก็บ การบม่ ใบยา การหน่ั ตลอดจน การเก็บรักษายาเส้น เป็นสิง่ ท่ีสาคญั ท่ีช่วยให้ยากลายมี คณุ ลกั ษณะเหล่านี ้ กลวิธีการผลติ ยากลาย เร่ิมตงั้ แตก่ ารเก็บ ใบยาสบู เมื่อชาวไร่รู้วา่ ถงึ เวลาจะเก็บได้แล้ว เขาจะแบง่ ใบ ยาออกเป็น 3 พวก คือ ตีนยา ได้แก่ ใบยาสบู ท่ีอยสู่ วนล่าง ของลาต้น คอื สว่ นโคนต้นนบั จากพืน้ ดนิ มา 5-6 ใบ ตีนยาจะมีคณุ ภาพตา่ ไมฉ่ นุ จดั เหมือนใบส่วนอื่นๆ กลางยา ได้แกใ่ บยาสบู ที่ถดั จากตนี ยาขนึ ้ มานบั ตงั้ แตใ่ บท่ี 7 ถงึ ใบท่ี 11 หรือ 12 กลางยามีจานวนราว 5-6 ใบ กลางยามีคณุ ภาพดกี วา่ และราคาสงู กวา่ ตีนยา ยอดยา คือสว่ นที่เหลือทงั้ หมดมีประมาณ 5-10 ใบ จดั เป็นใบยาท่ีดีที่สดุ รสฉนุ จดั ที่สดุ และราคาแพงมากที่สดุ เรียกวา่ “ยายอด” ปัจจบุ นั ชาวสวนยาทว่ั ไปมกั
แบง่ ใบยาออกเพียง 2 พวกคือตีนยากบั ยอดยาเทา่ นนั้ สว่ นกลางยาจะรวมกบั ส่วนยอด เพราะจะได้ปริมาณ มาก แตช่ าวไร่ยากลายจะแบง่ ตามแบบเดมิ เพราะกลวั วา่ จะทาให้คณุ ภาพยาเส้นต่าลง การเก็บรักษาใบ ยาสบู นนั้ จะเริ่มเก็บใบยาจากตนี ยาก่อนแล้วนามาบม่ ไว้โดยวางใบยาพาดทบั ซ้อนกนั โดยให้สว่ นของปลายใบแต่ ละใบยื่นโผล่ออกมาประมาณ 1 ใน 5 ของความยาวใบ การเก็บยาในวนั หนงึ่ ก็บม่ ไว้กองหนงึ่ ไมป่ ะปนกนั ท่ีท่ีใช้ บม่ ยานนั้ ควนมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก สว่ นใหญ่จะบม่ ที่ขนา บม่ ไว้ 4-5 คืน ก็พร้อมท่ีจะนาไปขวานได้ ตอนนีใ้ บยาจะมีลกั ษณะสีคอ่ นข้างเหลือง นามาดงึ เอาก้านใบออกเรียกวา่ “รูดยา” วางเป็นกองๆ กองละ ประมาณ 100 ใบ แล้วม้วนให้แนน่ เป็นมดั ๆ แตต่ ้องไม่ โตก วา่ ชอ่ งวงกลมของข่ือขวานยา แล้วมดั ด้วยเชือกกล้วยหรือ ตอก คล้า ไว้เป็นมดั ๆ ซงึ่ นยิ มทากนั ในตอนเย็นหรือตอน กลางคนื รุ่งเช้าจงึ ลงมือฝาน การฝานยาเป็นงานที่คอ่ นข้าง ยาก และเป็นเทคนิคอยา่ งหนง่ึ ท่ีต้องอาศยั ทกั ษะเฉพาะบคุ คล วธิ ีการฝานจะเอาม้วนใบยาวางในรางของขื่อฝานยา จบั ด้วย มือซ้าย ใช้มือขวาจบั มีด มือซ้าย ดนั ม้วนใบยาออกมา เบาๆ ทีละนดิ จบั มีดโดยให้คมมีดชดิ กบั หน้าขื่อ สนั มีดผายออก เลก็ น้อย แล้วยกมีดฝานเป็นจงั หวะเลก็ น้อย เส้นยาจะได้มีเส้นละเอียดเล็กเทา่ กนั ทกุ เส้น เป็นงานท่ีต้องอาศยั ความชานาญของแตล่ ะคน และท่ีสาคญั มีดฝานยาจะต้องลบั ให้คมอยเู่ สมอ ปกตแิ ล้วงานฝานยา สว่ นใหญ่จะ เป็นหน้าท่ีของผ้ชู าย ผ้หู ญิงจะมีหน้าท่ีตากยา คือเอาเส้นยาท่ีฝานได้แล้วมาวางเรียงบนแผงยา ไปตามความ ยาวของแผง ไมใ่ ห้ยาหนาหรือบางเกินไปเพราะหากหนาจะทาให้แห้งช้า แตถ่ ้าบางนกั จะทาให้ยาพบั ได้เลก็ ยา เส้นแตล่ ะแผงจะแบง่ ได้ 2 พบั ซง่ึ เวลาตากยาก็จะต้องแบง่ ออกเป็น 2 ส่วนเทา่ ๆกนั เมื่อตากเส้นแล้วก็จะต้อง นาไปผง่ึ แดด วนั ท่ีมีแสงแดดจ้าทงั้ วนั ผงึ่ แดดวนั เดยี วก็ใช้ได้ โดยจะต้องมีการ “แปร”คือพลกิ เอาด้านล่างขนึ ้ บน ซงึ่ จะทากนั ในตอนเท่ียงแล้วตากนา้ ค้างตอ่ อีก 1 คืน การตากนา้ ค้างนนั้ ก็เพื่อให้เส้นยาท่ีแห้งเกรียมออ่ นตวั ลง สะดวกในการจบั พบั เป็นพบั ๆ แล้วการเก็บยาเส้นให้มีคณุ ภาพดีอยไู่ ด้นานชาวไร่ยากลายเลา่ ว่าจะต้องเก็บไว้ใน ท่ีมดิ ชดิ ไมใ่ ห้ถกู ลมถกู นา้ สมยั ก่อนจะเก็บไว้ในโอง่ ปากเล็ก กระบอกไม้ไผ่ วธิ ีเหลา่ นีเ้ขาเก็บรักษาไว้เพ่ือบริโภค เอง ปัจจบุ นั ยากลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคญั ของชาวตาบลกลาย เป็นสินค้าท่ีทารายได้ให้แก่อาเภอทา่ ศาลา มาก จะมีพอ่ ค้าตา่ งจงั หวดั มาซือ้ ยากลายตอ่ จากพอ่ ค้าคนกลางซง่ึ เป็นคนในท้องถ่ินอีกทีหนงึ่ สว่ นมากจะเป็น พอ่ ค้าจากจงั หวดั ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซง่ึ จะขายกนั ในราคาสงู พอสมควร
ประชาชนทว่ั ไป มกั จะพบเห็นวถิ ีชีวิตของชมุ ชน ที่มีการปลกู ยาเส้น บางครอบครัวปลกู กอ่ นลงต้นสวน ยางพารา บางครอบครัวทาการปลกู ยาเส้นอยา่ งเดยี ว แตก่ ็มีสดั ส่วนน้อยกวา่ การทาสวนผลไม้ ท่ีได้ราคาดีกว่า เสนห่ ์ของการทายากลาย อย่ทู ี่การหน่ั ใบยาให้เป็นฝอยๆ เป็นเส้นที่สม่าเสมอ ต้องรู้จกั ใช้อปุ กรณ์ในการหนั่ และความชานาญในการทา เดก็ และเยาวชนควรท่ีจะ เรียนรู้ และนา่ จะพฒั นานานวตั กรรมมาชว่ ยในการผลิตยา มาก ย่ิงขนึ ้ และปัจจบุ นั ยงั มีจานวนครอบครัวที่ยงั คงสืบสาน การ ปลกู ยากลาย จานวนไมม่ ากมกั แตก่ ็ยงั มีหลายครอบครัวท่ี ดาเนินการเร่ืองนี ้ บริเวณสองฝ่ังแมน่ า้ กลาย ยงั คงสภาพ อยู่ และในตวั อาเภอท่าศาลา มีโรงงานบม่ ยา และรับซือ้ ยาที่สง่ ออ อกไปขายในจงั หวดั และตา่ งจงั หวดั บริเวณโรงงานที่รับ ซือ้ ยงั คงเหลือ 1 โรง เราเยาวชนรุ่นหลงั ควรจะต้องเรียนรู้วิถี ชีวิต ของประชาชนในพืน้ ท่ี บ้านเกิดของตนเองให้ได้อยา่ งทอ่ ง แท้ และอยา่ งเข้าใจในการสืบสาน และพฒั นา สืบสาน ตอ่ ยอดผลผลิตให้มีความเป็นทนั สมยั ตอ่ ไป นายนิวฒั น์ ดมิ าร บ้านเลขที่ 23/2 ม.6 ต.กลาย บ้านบอ่ กรูด เกิดวนั ท่ี 12 กนั ยายน 2502 ปัจจบุ นั อายุ 60 ปี โทร 0987090528 ภมู ิปัญญา นายธีรชัย ช่วยชู : การทาป๋ ุยหมัก ศนู ย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตร ทฤษฎีใหม่ประจาตาบลไทยบรุ ี กล่มุ ป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ ที่ทาการ ผู้ใหญ่ บ้ าน หมู่ที่ 9 ตาบลไทยบุรี อาเภอท่าศาลา จังหวัด นครศรีธรรมราช โดยมี นายธีรชัย ช่วยชู อายุ 53 ปี เป็ น ผ้ใู หญ่บ้านและประธาน โดยนายธีรชยั ชว่ ยชู เป็นนกั เรียน ปอ.ขอ งกศน อาเภอท่าศาลา และมีความกระตือรือร้ นประชุมประจา หมบู่ ้านทกุ เดือนในการพฒั นาหมบู่ ้าน และเข้าร่วมประชมุ วางแผน ในการทาแผนจลุ ภาคทกุ ครัง้ ท่ี ครู กศน. ตาบลไทยบรุ ี ซ่ึงหมทู่ ่ี 9 ได้เสนอในที่ประชมุ ทาโครงการ การทาป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ ทางสมาชกิ กลมุ่ ก็เหน็ ด้วย ในการทาป๋ ยุ หมกั (สตู รรวม)
ป๋ ุยหมัก หมายถึง ป๋ ยุ อินทรีย์ท่ีได้จากหมกั บม่ สารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ที่ทาหน้าท่ียอ่ ยสลายอินทรีย์วตั ถใุ ห้ สลายตวั และผพุ งั ไปบางสว่ น ทาให้ได้ป๋ ยุ ที่มีลกั ษณะสีคลา้ ดา มีลกั ษณะเป็นผง ละเอียดเหมาะ สาหรับการ ปรับปรุงดนิ และให้ธาตอุ าหารแกพ่ ืช วสั ดอุ นิ ทรีย์ที่ใช้สาหรับการหมกั อาจเป็นเศษพืชสด วสั ดอุ นิ ทรีย์เผา รวมถึงอาจผสมซากของสตั ว์ หรืออาจผสมป๋ ยุ คอกก็ได้ และหากนามากองรวมกนั พร้อมรดนา้ อยา่ งสม่าเสมอ จลุ นิ ทรีย์ก็จะทาการยอ่ ยสลายขนึ ้ ซงึ่ สงั เกตได้จากกองป๋ ยุ หมกั จะมีความร้อนเกิดขนึ ้ เม่ือเกิดความร้อนจงึ จาเป็นต้องคลกุ กลบั กองป๋ ยุ และรดนา้ ให้ทว่ั ซงึ่ จะทาให้จลุ นิ ทรีย์ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ได้อยา่ งทว่ั ถงึ และหาก ความร้อนในกองป๋ ยุ หมกั มีอณุ หภมู ิใกล้เคยี งกนั ในทกุ จดุ และความร้อนมีน้อยจงึ จะแสดงได้วา่ ป๋ ยุ หมกั ป๋ ยุ พร้อม ใช้งานแล้ว ป๋ ยุ หมกั ท่ียอ่ ยสลายได้ดีแล้วจะมี ลกั ษณะเป็นเม็ดละเอียดสีนา้ ตาลดา มีความร่วนซยุ และมี กล่ินฉนุ ของการหมกั เมื่อนาป๋ ยุ หมกั ไปใช้ในแปลงเกษตร ก็จะ ชว่ ยเพม่ิ ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ทงั้ ชว่ ยเพ่มิ แร่ธาตุ อนิ ทรีย์วตั ถุ ปรับสภาพความเป็นกรด-ดา่ ง และชว่ ยให้ ดนิ อ้มุ นา้ ได้ดีขนึ ้ เป็นต้น การดาเนินโครงการ การเรียน และ การฝึกปฏิบตั ิ การเตรียมวัสดุ 1. มลู โค จานวน 20 กระสอบ ๆ 50 บาท
2. มลู ไก่ จานวน 20 กระสอบ ๆ ละ 45 บาท 3. ป๋ ยุ ยเู รีย 1 กระสอบ 1000 บาท 4. ขยุ มะพร้าว 1 รถ หกล้อ ๆ ละ 2000 บาท 5. การนา้ ตาลลติ รละ 50 บาท 6. หวั เชือ้ จลุ นิ ทรีย์ลิตรละ 120 บาท 7. ราละเอียดกระสอบละ 300 บาท 8 มลู ค้างคาวกระสอบละ 200 บาท 9. ผ้ายางคลมุ กองป๋ ยุ หมกั ผืนละ 500 บาท การเตรียมอุปกรณ์ 1. โรงเรือนชนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร 2. จอบ 3. ผ้ายางคลมุ กองป๋ ยุ หมกั ผืนละ 500 บาท 4. บวยรดนา้ ป๋ ุยหมัก ป๋ ุยหมักชีวภาพ และวธิ ีทาป๋ ุยหมัก กระบวนการหมักของป๋ ุยหมัก 1. การหมกั แบบใช้ออกซเิ จน เม่ือวสั ดหุ มกั เกิดการยอ่ ยสลายจนได้สารอินทรีย์ตงั้ ต้น ได้แก่ ไขมนั โปรตีนคาร์โบไฮเดรต เซลลโู ลส ลิกนิน ฯลฯ สารเหลา่ นี ้จะถกู จุลินทรีย์จาพวกที่ใช้ออกซิเจนยอ่ ยสลายด้วยการ ดงึ ออกซิเจนมาใช้ในกระบวนการ และสดุ ท้ายจะได้ผลิตภณั ฑ์เป็นฮิวมสั นา้ ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แอมโมเนีย (NH3) ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และพลงั งานความร้อน 2. การหมกั แบบไมใ่ ช้ออกซิเจน สารอนิ ทรีย์จะถกู ยอ่ ยสลายในสภาพท่ีไมม่ ีออกซิเจน โดยอาศยั การ ทางานของจลุ นิ ทรีย์จาพวกที่ไมใ่ ช้ออกซเิ จน 2 กลมุ่ คือ จลุ นิ ทรีย์สร้างกรด และจลุ ินทรีย์สร้างมีเธน ซงึ่ จะทาให้ เกิดผลติ ภณั ฑ์สดุ ท้าย ได้แก่ ก๊าซมีเธน (CH4) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แอมโมเนีย (NH3) และพลงั งาน ความร้ อน จุลินทรีย์ของป๋ ุยหมัก
กระบวนการย่อยสลายในกองป๋ ยุ หมกั เกิดจากกิจกรรมของจลุ ินทรีย์กลมุ่ ท่ีใช้ออกซิเจน และกลมุ่ ที่ไมใ่ ช้ ออกซเิ จน ซง่ึ ทงั้ สองกลมุ่ จะทาหน้าที่ในการยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ท่ีมีโมเลกลุ ใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง จนกระทง่ั เกิดการยอ่ ยสลายเสร็จสมบรู ณ์จนได้สารอนิ ทรีย์วตั ถทุ ี่เรียกวา่ ป๋ ยุ หมกั (Compost) กระบวนการย่อยสลาย ดงั กลา่ วจะเกิดขนึ ้ อยา่ งตอ่ เน่ืองโดยจลุ นิ ทรีย์หลายชนดิ รวมกนั และอยใู่ นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซงึ่ สามารถ แบง่ ได้เป็น 3 ระยะ คอื 1. ระยะอณุ หภมู ปิ านกลาง (Mesophilic Phase) เป็นชว่ งแรกของการย่อยสลาย จานวนจลุ นิ ทรีย์คอ่ ยๆ เพ่ิมจานวนขนึ ้ ซง่ึ จะมีอณุ หภมู ิประมาณ 20-45 °C 2. ระยะอณุ หภมู สิ งู (Thermophilic Phase) เป็นชว่ งท่ีมีการเพิม่ จานวนจลุ ินทรีย์เกือบคงท่ี และเกิดการ ยอ่ ยสลายทว่ั ทงั้ กอง โดยอณุ หภมู ิจะเพ่ิมสงู ขนึ ้ ถึง 45 – 60 °C หรือมากกว่า ซง่ึ อณุ หภูมิท่ีเหมาะสมจะต้องไมต่ ่า กวา่ 45 °C เป็นชว่ งที่เกิดการยอ่ ยสลายมากท่ีสดุ จนทาให้เกิดความร้อนสะสมในกองป๋ ยุ หมกั 3. ระยะอณุ หภมู ิลดลง (Maturation Phase) เป็นชว่ งที่จลุ นิ ทรีย์บางสว่ นเริ่มตายลง ปริมาณอินทรีย์ถกู ยอ่ ยสลายจนหมด อตั ราการยอ่ ยสลายจงึ ลดลง ทาให้อณุ หภมู ขิ องกองป๋ ยุ หมกั ลดลงตามมา ซงึ่ เป็นระยะท่ีจะ เสร็จสิน้ การย่อยสลาย ชนิดของป๋ ุยหมัก ป๋ ยุ หมกั แบง่ ตามสว่ นผสมเป็น 2 ชนิด คือ ป๋ ยุ หมกั ทวั่ ไป และป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ 1. ป๋ ุยหมักแบบท่วั ไป และวิธีทา ป๋ ยุ หมกั แบบทวั่ ไป เป็นป๋ ยุ ที่ได้จากการนาวสั ดอุ ินทรีย์ชนดิ ตา่ งๆมาหมกั ตามกระบวนการทาง ธรรมชาติ โดยไมม่ ีการเตมิ หวั เชือ้ จลุ นิ ทรีย์เพื่อเร่งการหมกั ซง่ึ การหมกั จะเกิดการยอ่ ยสลายอนิ ทรีย์วตั ถจุ าก จลุ ินทรีย์ ทาให้มีการปลดปลอ่ ย ธาตอุ าหารออกมาได้รวดเร็วขนึ ้ วิธีการทาป๋ ยุ หมกั แบบทวั่ ไป – เร่ิมด้วยการนาเอาเศษพืช และมลู สตั ว์ผสมกนั ในอตั ราสว่ น 100 : 10 กองเป็นชนั้ แตล่ ะชนั้ ประกอบด้วย เศษพืชท่ีรดนา้ ให้ชมุ่ จนอิม่ นา้ และโรยทบั ด้วยมลู สตั ว์ – ขนั้ ตอนการกองป๋ ยุ หมกั แยกวสั ดทุ ี่ไมย่ อ่ ยสลาย และเป็นอนั ตรายออก แล้วนาวสั ดหุ รือเศษพืชท่ี เก็บรวบรวม ได้มากองบนดนิ ในคอก หรือในหลมุ โดยกองเป็นชนั้ สลบั กนั ไปโดย เร่ิมจากชนั้ ลา่ งสดุ กองเศษพืช หรือวสั ดลุ งไป ตามขนาดกว้างยาวของกองท่ีกาหนดไว้สงู ประมาณ 25 เซนตเิ มตร – รดนา้ ให้ชมุ่ แล้วอดั ให้แน่น ให้นา้ ซมึ เข้าไปในเศษพืชหรือวสั ดุ – โรยทบั ด้วยสารเร่ง เชน่ ป๋ ยุ มลู สตั ว์หรือดนิ ในอตั ราสว่ นโดยนา้ หนกั เศษพืชตอ่ มลู สตั ว์เทา่ กบั 5 : 1
– ในกรณีท่ีใช้ป๋ ยุ เคมีเสริม เพื่อลดอตั ราส่วนคาร์บอนตอ่ ไนโตรเจนหรือต้องการลดระยะเวลาการผลิต ต้องใช้เศษพืช : ป๋ ยุ คอก :ป๋ ยุ เคมี ในอตั ราสว่ น 100 : 20 : 1 ตามลาดบั โดยจะผสมหรือโรยทบั บนชนั้ กองป๋ ยุ หมกั – ทาการเรียงสลบั จนได้กองสงู ประมาณ 1 เมตร แล้วโรยด้วยดนิ หนาประมาณ 1 นวิ ้ ที่ชนั้ บนสดุ เพื่อ ปอ้ งกนั นกมาค้ยุ เข่ีย ชว่ ยปอ้ งกนั ความร้อน และรักษาความชืน้ ของกองป๋ ยุ ให้คงที่ – สาหรับการหมกั แบบไมใ่ ช้ป๋ ยุ เคมี อายกุ ารหมกั จะหมกั นาน 5-7 เดือน แตห่ ากใสป่ ๋ ยุ เคมีร่วมด้วย จะหมกั นาน 3-5 เดอื น 2. ป๋ ุยหมักชีวภาพ และวธิ ีการทา ป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ เป็นวิธีการทาป๋ ยุ หมกั ที่มีการพฒั นาขนึ ้ เพื่อให้การยอ่ ยสลายเกิดขนึ ้ อยา่ งรวดเร็วด้วยการเตมิ หวั เชือ้ จลุ นิ ทรีย์ หรือ EM เพ่ือเร่งกระบวนการหมกั ทาให้เกิดป๋ ยุ จากอนิ ทรีย์วตั ถทุ ่ีมีการปลดปล่อยธาตอุ าหาร ออกมาได้เร็วขนึ ้ แบง่ เป็นชนิดตา่ งๆ ได้แก่ 2.1. ป๋ ุยหมักจากป๋ ุยคอก วัสดุ และส่วนผสมประกอบด้วย – ป๋ ยุ คอก 1 สว่ น ประมาณ 10 ป๊ีป – แกลบเผา/แกลบดา 1 สว่ น – ราละเอียด 1 สว่ น – เชือ้ EM 20 ซีซี – กากนา้ ตาล 100 ซีซี – นา้ 10 ลติ ร วธิ ีทา 1) ผสมป๋ ยุ คอก แกลบดา และวสั ดทุ กุ อยา่ งให้เข้ากนั 2) นาไปกองบนพืน้ ซีเมนต์ แล้วใช้ผ้าคลมุ หรือหากทาปริมาณน้อย ให้บรรจใุ สถ่ งั หรือถงุ กระสอบ 3) หมกั ทงิ ้ ไว้ 30 วนั ก่อนนาใสต่ ้นไม้หรือ แปลงผกั 2.2. ป๋ ุยหมักจากพชื ป๋ ุยหมักฟางข้าว วัสดุ และส่วนผสม – ฟางแห้งสบั ละเอียด 1 สว่ น ประมาณ 10 กก. – แกลบดบิ /แกลบเผา 1 สว่ น – ป๋ ยุ ยเู รีย 200 กรัม – กากนา้ ตาล 100 ซีซี – เชือ้ EM 20 ซีซี – นา้ 10 ลติ ร วธิ ีทา 1) คลกุ ผสมฟาง และแกลบให้เข้ากนั หากมีจานวนมากให้แยกคลกุ แล้วคอ่ ยมา รวมกนั เป็นกองเดียวอีกครัง้ 2) ผสมเชือ้ EM และกากนา้ ตาลร่วมกบั นา้ หลงั จากนนั้ ใช้เทราด และคลกุ ให้เข้า กนั กบั วสั ดอุ ่ืนๆ 3) นาไปหมกั ในถงั ถงุ กระสอบ หรือ บอ่ ซีเมนต์ นาน 1-2 เดือน ก็สามารถนาไปใช้ได้
2.3. ป๋ ุยหมักชีวภาพจากเศษอาหาร และขยะ ป๋ ยุ หมกั จากเศษอาหาร หากมีเฉพาะเศษอาหาร ที่เป็นพืชมกั จะไมม่ ีปัญหา เพราะเวลาเนา่ จะมีกลน่ิ เหม็นไมร่ ุนแรง เราสามารถนาไปคลกุ กบั ป๋ ยุ คอกในรางทาป๋ ยุ หมกั ได้เลย แตห่ ากมีเนือ้ สตั ว์จะมีกล่ินเหมน็ รุนแรง สาหรับบางครัวเรือนท่ีมีข้อจากดั ปริมาณเศษอาหารที่เกิด น้อย หากต้องการทาป๋ ยุ หมกั จาเป็นต้องทารางหมกั หรือหลมุ หมกั แตห่ ากจะหมกั ในถงั จะมีข้อจากดั ท่ีเตม็ เร็ว การทารางหมกั ควรหาพืน้ ท่ีวา่ งบริเวณหลงั บ้าน ขนาดพืน้ ที่ประมาณ 1 เมตร x 1 เมตร ลกึ ประมาณ 20-40 เซนตเิ มตร หรืออาจน้อยกวา่ หรืออาจมากกวา่ ตามความต้องการ แตค่ วรให้รองรับเศษอาหารให้ได้ประมาณ 1 เดือน และควรทา 2 ชดุ พร้อมฉาบด้านข้างด้วยปนู ซีเมนต์ แตห่ ากไมม่ ีปัญหาเรื่องนา้ ฝนหรือนา้ ไหลเข้า ก็อาจขดุ เป็นบอ่ ดนิ ก็เพียงพอ ทงั้ นี ้ควรทาร่องด้านข้าง เพ่ือปอ้ งกนั นา้ ไหลเข้า และควรเตรียมผ้าใบคลมุ เม่ือฝนตก โดยมีวสั ดุ และสว่ นผสม – ป๋ ยุ คอก 1 ใน 4 สว่ นของรางหมกั – แกลบดา 2 ถงั หรือไมใ่ สก่ ็ได้ – นา้ ผสมหวั เชือ้ เชือ้ EM 1 ลติ ร – กากนา้ ตาล 1 ลติ ร วธิ ีทา 1) หลงั จากที่เตรียมรางหมกั แล้ว ให้เทป๋ ยุ คอก และแกลบดารองในรางไว้ เม่ือมีเศษ อาหาร ให้นามาใสใ่ นราง พร้อมใช้จอบคลกุ ผสมกบั ป๋ ยุ คอก 2) รดด้วยนา้ หวั เชือ้ ชีวภาพ และกากนา้ ตาลบริเวณที่ใสเ่ ศษอาหารเล็กน้อย หากมีเศษอาหารเกิดขนึ ้ อีก ก็นามาคลกุ และใสน่ า้ หวั เชือ้ ตามด้วยกากนา้ ตาลเร่ือยๆจนเตม็ บอ่ หากเตม็ บอ่ แล้ว ให้นาผ้าคลกุ มาปิดไว้ และทิง้ ไว้ประมาณ 1 เดอื น ก่อนตกั ออกนาไปใช้ประโยชน์ ระหวา่ งท่ีหมกั ทงิ ้ ให้นา เศษอาหารที่เกิดในแตล่ ะวนั มาหมกั ในอีกบอ่ ซง่ึ จะเวียนกนั พอดใี นรอบเดอื น ทงั้ นี ้บางครัวเรือน อาจไมส่ ะดวกในการหาซือ้ หวั เชือ้ หรือกากนา้ ตาล ดงั นนั้ จงึ ไมต่ ้องใช้ก็ได้ แตจ่ าเป็นต้องมีป๋ ยุ คอก หรือใช้ป๋ ยุ อื่น เชน่ ป๋ ยุ มลู ไก่ ซง่ึ สว่ นนีจ้ าเป็นต้องใช้ นอกจาก การนาเศษอาหารมาทาป๋ ยุ หมกั แล้ว ปัจจบุ นั ยงั นิยมนาเศษ อาหารทานา้ หมกั ชีวภาพ ซง่ึ ก็ง่าย และสะดวกไปอีกแบบ อา่ นเพม่ิ เตมิ นา้ หมกั ชีวภาพ หลักพจิ ารณาป๋ ุยหมักพร้อมใช้ 1. ป๋ ยุ หมกั จะมีสีนา้ ตาลเข้มถึงดา 2. อณุ หภมู ทิ ว่ั กองป๋ ยุ หมกั มีคา่ ใกล้เคยี งกนั เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาการหมกั เกือบหมดแล้ว 3. หากใช้นวิ ้ มือบี ้ก้อนป๋ ยุ หมกั จะแตกย่ยุ ออกจากกนั ง่าย 4. พบเห็ด เส้นใยรา หรือ พืชอื่นขนึ ้ 5. กลน่ิ ของกองป๋ ยุ หมกั จะมีกล่นิ ฉนุ ที่เกิดจากการหมกั 6. หากนาป๋ ยุ หมกั ไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบตั กิ ารจะพบอตั ราสว่ นของคาร์บอน และไนโตรเจน
ประมาณ 20:1 หรือคาร์บอนมีคา่ น้อยกวา่ 20 (ไนโตรเจนยงั คงเป็น 1) การนาป๋ ุยหมักไปใช้ 1. ใช้ในขนั้ ตอนเตรียมดนิ /เตรียมแปลง ด้วยการนาป๋ ยุ หมกั ชีวภาพโรยบนแปลง 2-3 กามือ/ ตารางเมตร ก่อนจะทาการไถพรวนดนิ รอบ 2 หรือ ก่อนการไถยกร่อง 2. ใช้ในแปลงผกั และสวนผลไม้ ด้วยการนาป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ 1-2 กามือ โรยรอบโคนต้น ธาตอุ าหารในป๋ ุยหมัก • ป๋ ยุ หมกั จากหญ้าแห้ง : – N = 1.23 – P2O5 = 1.26 – K2O = 0.76 • หญ้าหมกั +กระดกู ป่ น+มลู กระบือ : – N = 0.82 – P2O5 = 1.43 – K2O = 0.59 • หญ้าหมกั +กระดกู ป่ น+มลู โค : – N = 2.33 – P2O5 = 1.78 – K2O = 0.46 • ป๋ ยุ หมกั จากฟางข้าว : – N = 0.85 – P2O5 = 0.11 – K2O = 0.76 • ป๋ ยุ หมกั ฟางข้าว+มลู ไก่ : – N = 1.07 – P2O5 = 0.46 – K2O = 0.94 • ป๋ ยุ หมกั ฟางข้าว+มลู โค : – N = 1.51 – P2O5 = 0.26 – K2O = 0.98 • ป๋ ยุ หมกั ฟางข้าว+มลู เป็ด : – N = 0.91 – P2O5 = 1.30 – K2O = 0.79 • ป๋ ยุ หมกั จากผกั ตบชวา : – N = 1.43 – P2O5 = 0.48 – K2O = 0.47 • ป๋ ยุ หมกั ผกั ตบชวา+มลู สกุ ร : – N = 1.85 – P2O5 = 4.81 – K2O = 0.79 ประโยชน์ป๋ ุยหมัก 1. เพมิ่ ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ทงั้ ปริมาณอนิ ทรีย์วตั ถุ แร่ธาตอุ าหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม 2. ชว่ ยในการยอ่ ยสลายซากพืช ซากสตั ว์ในดนิ ทาให้ธาตอุ าหารถกู พืชนาไปใช้ได้รวดเร็วขนึ ้ 3. ชว่ ยเพม่ิ จลุ ินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดนิ 4. ชว่ ยต้านการแพร่ของจลุ นิ ทรีย์ก่อโรคพืชชนดิ ตา่ งๆในดิน 5. ทาให้ดนิ มีความร่วนซยุ จากองค์ประกอบของดนิ ที่มีดิน อินทรีย์วตั ถุ นา้ และอากาศในสดั สว่ นท่ี
เหมาะสม 6. ชว่ ยปรับสภาพ pH ของดิน ให้เหมาะสมกบั การปลกู พืช 7. ชว่ ยเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการดงึ แร่ธาตขุ องพืชจากป๋ ยุ เคมีหรือป๋ ยุ อ่ืนท่ีเกษตรกรใส่ 8. ชว่ ยดดู ซบั ความชืน้ ไว้ในดินให้นานขนึ ้ ทาให้ดนิ ชมุ่ ชืน้ ตลอดเวลา การขยายสมาชิก ปัจจบุ นั มีสมาชกิ ทงั้ หมด 2 กลมุ่ 1. กลมุ่ บ้านต้นกะท้อน หมทู่ ่ี 7 นายวรศกั ด์ิ เชาวลติ เป็นประธานกลมุ่ 2. กลมุ่ บ้านโคกเหล็ก หมทู่ ี่ 9 นายธีระชยั ชว่ ยชู เป็นประธานกลมุ่ ผลผลิตและรายได้จากการขายป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ - ต้นทนุ ในการผลติ ตอ่ 1 ตนั ใช้วสั ด/ุ อปุ กรณ์ ประมาณ 3500 บาท ตลาดจาหนา่ ย - สมาชกิ กลมุ่ ป๋ ยุ หมกั จะจาหน่ายที่กลมุ่ บ้านโคกเหล็ก หมทู่ ่ี 9 ตาบลไทยบรุ ี อาเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช การตอ่ ยอดป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ ทนุ สะสมในการขายป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ แตล่ ะครัง้ จะเข้าบญั ชี กลมุ่ ป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ เพื่อใช้เป็นงบประมาณทาป๋ ยุ ครัง้ ตอ่ ไป และทกุ 1 ปีจะมีการปันห้นุ ให้สมาชิก สมาชิก กลมุ่ มาทาป๋ ยุ หมกั จะให้คนละ 300 บาท/วนั ภมู ิปัญญา การเกษตร : นางสมจติ ร เดชบุญ นางสมจติ ร เดชบญุ สืบทอดการทานาปลกู ข้าวมาตงั้ แตส่ มยั รุ่นพอ่ - แม่ ใช้ววั ใช้ควาย ไถนา เพราะแตก่ ่อนเคยใช้ป๋ ยุ เคมีในการทานาปลกู ข้าว จนทาให้ข้าวมีผลผลิตน้อยลง เนื่องจากดนิ เกิดความกร่อย แข็ง ดนิ ขาด ความออ่ นนมุ่ ไส้เดอื นเร่ิมหายไป จงึ เกิดความตระหนกั วา่ การใช้ป๋ ยุ เคมีเป็น อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพและป๋ ยุ ก็มีราคาสงู ขนึ ้ แตด่ ้วยใจรักในการทาเกษตร ทา นาปลกู ข้าว จงึ เร่ิมหนั มาใช้ขีว้ วั ป๋ ยุ หมกั ชีวภาพ ในการปรับปรุงดนิ จาก การซือ้ ป๋ ยุ ที่อ่ืนมาใช้ได้สกั ระยะหนงึ่ ดนิ ที่เสียก็เร่ิมดีขนึ ้ เรื่อยๆ จนมีโอกาสได้ ไปศกึ ษาดงู านจากท่ีตา่ งๆ และไปอบรมแกนนาเศรษฐกิจพอเพียงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ก็ได้นาความรู้ท่ีได้จากการไปศกึ ษาดงู านมาลงมือปฏิบตั ทิ าท่ีบ้าน บริเวณบ้าน และในสวนของตนเอง ก็ ได้เร่ิมผลติ ป๋ ยุ หมกั ชีวภาพใช้เอง ลดปัญหาดนิ เสื่อม และไมต่ ้องซือ้ ป๋ ยุ ราคาแพง จากทานาปลกู ข้าวอยา่ งเดียวก็ ได้มีความคดิ ที่จะหารายได้เพิม่ และใช้ประโยชน์จากท่ีดินของตนเองให้เกิดประสิทธิภาพมากท่ีสดุ และลดความ เสี่ยงในการทานาปลกู ข้าวอยา่ งเดยี วให้มีรายได้จากหลายๆทางตามแนวทางพระราชดาริของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชฯ เรื่องการมีภมู ิค้มุ กนั ในตวั ที่ดี รู้จกั พอกิน พอใช้ จงึ ได้เริ่มปลกู ผกั ชนิดตา่ งๆไว้
รอบๆบริเวณบ้าน และได้ศกึ ษา ทดลองการทาป๋ ยุ หมกั ชีวภาพใช้เอง และปลกู พืชผกั สวนครัวไว้กินเอง และ ปัจจบุ นั สามารถผลิตป๋ ยุ หมกั แบบนา้ และแบบแห้ง ไว้จาหนา่ ยได้ และเป็นสมาชิกกล่มุ เศรษฐกิจพอเพียง ต้นแบบเฉลิมพระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ภมู ิพลอดลุ ยเดชฯในปี พ.ศ.๒๕๕๔ และให้ความรู้กบั ชาวบ้านได้รู้ถงึ ความสาคญั ของป๋ ยุ วา่ ป๋ ยุ เป็นสิง่ ที่มีคณุ คา่ มากในการทาเกษตร แตก่ ็ยงั ไมไ่ ด้รับความสนใจหรือ แพร่หลายเทา่ ท่ีควร อาจจะเป็นเพราะสาเหตหุ ลายประการ เชน่ เกษตรกรยงั ไมต่ ระหนกั ถึงความสาคญั ที่แท้จริง ของป๋ ยุ หมกั วา่ มีคณุ คา่ เพียงใดในการชว่ ยปรับปรุงดนิ ให้ดขี นึ ้ หรือชว่ ยรักษาสภาพความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ให้ ดอี ยเู่ สมอ ไมเ่ สื่อมโทรมลงเร่ือยๆ อยา่ งเชน่ ปัจจบุ นั เหตผุ ลสาคญั อีกประการหนงึ่ คือ เกษตรกรยงั ขาด แหลง่ ข้อมลู ท่ีจะให้ความรู้ ความเข้าใจในการทาป๋ ยุ อยา่ งถกู วิธี องค์ความรู้ด้านการทาป๋ ุย นางสมจติ ร เดชบญุ เริ่มทาการเกษตรมา สงิ่ หนงึ่ ท่ีคดิ วา่ จาเป็นอยา่ งมากในการทาเกษตร นนั่ ก็คือ ป๋ ยุ แตส่ งิ่ ที่กาลงั ทาอยนู่ ี ้คือ ต้องทาป๋ ยุ ที่ปลอดภยั ทงั้ ผ้ผู ลติ และจนสง่ ถึงมือผ้บู ริโภค ผลผลิตที่เราปลกู เราต้องทาน ได้เชน่ กนั และได้พบกบั คาวา่ เกษตรอินทรีย์ ซง่ึ มนั ตอบโจทย์ในความหมายในแบบที่ดฉิ นั ต้องการ ป๋ ยุ คือ อาหารของพืช ที่เม่ือพืชได้รับไปแล้ว จะทาให้พืชผกั ผลไม้เจริญงอกงามนน่ั เอง การทาเกษตร อนิ ทรีย์ก็ต้องใช้ป๋ ยุ ซง่ึ ป๋ ยุ ก็มีสว่ นสาคญั ไมแ่ พ้สงิ่ อ่ืนเชน่ กัน ต้องเป็นป๋ ยุ ที่มาจากธรรมชาตเิ ทา่ นนั้ ไมว่ า่ จะเป็น ป๋ ยุ คอก ป๋ ยุ ขีไ้ ก่ ป๋ ยุ ขีห้ มู หรือแม้กระทงั้ ป๋ ยุ นา้ ที่หมกั จากเศษใบไม้ เศษพืชผกั ผลไม้ และป๋ ยุ ที่หมกั จากเศษปลา แต่ ป๋ ยุ ที่หาได้ง่ายในชมุ ชนของเราก็คือ ป๋ ยุ คอก(ป๋ ยุ ขีว้ วั ) นี่เอง และหลายคนอาจจะเข้าใจผดิ วา่ เม่ือได้ป๋ ยุ คอก มาแล้ว ก็นาไปใสพ่ ืชเลย ทงั้ ท่ียงั เปียกหรือสดอยู่ ไมผ่ ิด แตก่ วา่ ที่ป๋ ยุ คอกจะยอ่ ยสลายต้องใช้เวลานาน กวา่ ที่พืช จะสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ก็ไมร่ ู้วา่ ต้องใช้เวลาก่ีวนั ทงั้ นีป้ ๋ ยุ คอกสดๆ ท่ีนาไปใช้โดยที่ยงั ไมผ่ า่ น กระบวนการย่อยสลาย มีธาตอุ าหารมากก็จริง แตพ่ ืชจะยงั ไมส่ ามารถนาไปใช้ได้ เน่ืองจากจลุ นิ ทรีย์ในดนิ จะดงึ ไนโตรเจนจากพืชมาชว่ ยในการยอ่ ยสลายป๋ ยุ คอก จงึ ทาให้พืชขาดไนโตรเจนในชว่ งนนั้ จนเป็นสาเหตใุ ห้ ใบเหลืองซีด เพราะเหตนุ ีเ้อง จงึ จาเป็นต้องทาป๋ ยุ คอกหมกั เพื่อให้ผา่ นกระบวนการยอ่ ยสลาย และพืชก็จะ สามารถนาสารอาหารในป๋ ยุ คอกหมกั ไปใช้เลยไมไ่ ด้ เพราะป๋ ยุ คอกหมกั ที่ตกั ใสก่ ระสอบทงิ ้ ไว้วนั แรกๆ ตวั ป๋ ยุ คอกหมกั มนั ร้อนมากๆ เนื่องจากตอนนีม้ นั จะเกิดกระบวนการย่อยสลาย และถ้าเราไมห่ มกั กอ่ น ก็จะเป็นสิ่งท่ีพืช จะได้รับ แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะกลายเป็นโทษแทนก็ได้ ทงั้ นีไ้ ด้สงั เกตจากที่เคยทามา โดยนาป๋ ยุ คอกมาใหมๆ่ อยากให้พืชเจริญเติบโตดี จดั เตม็ ใสไ่ มย่ งั้ หวงั วา่ พืชจะงอกงาม แตส่ ดุ ท้ายใบเหลือง ทงั้ ที่บ้างครัง้ ก็เข้าใจว่าเราใสป่ ๋ ยุ ดีๆ ให้กบั พืชแล้ว เพราะฉะนนั้ ก่อนใช้เราใช้หมกั ป๋ ยุ คอกควรนาไปตากให้แห้งก่อน เพ่ือที่พืชจะสามารถนาธาตอุ าหารท่ี อยใู่ นป๋ ยุ คอกหมกั ไปใช้ได้เลย การปลกู พืชถ้าเราใสใ่ จเขา ดแู ลเขาดๆี เขาก็จะเจริญเติบโตงอกงามมาให้เราได้ ชื่นชม ขอเพียงเข้าใจหลกั การของธรรมชาตเิ ทา่ นนั้ ก็พอ
ส่วนประกอบของ การทาป๋ ุยหมักชีวภาพ ประกอบด้วย 1. ป๋ ยุ คอก(ขีว้ วั ) 1 สว่ น (1 กระสอบ) 2. แกลบ 1 สว่ น (1 กระสอบ) 3. รา 1 สว่ น (1 กระสอบ) 4. นา้ EM ขยาย 1 ลติ ร 5. กากนา้ ตาล 1 ลติ ร ขัน้ ตอนการทา ขัน้ แรก นาป๋ ยุ คอกที่ได้มาตากแดดให้แห้ง เกลี่ยให้โดนแดดทงิ ้ ไว้ 1-2 แดด ถ้าป๋ ยุ คอกท่ีได้มาแห้งแล้วก็ไมต่ ้องตาก เมื่อป๋ ยุ คอกแห้งแล้ว ก็เตรียมสว่ นผสมให้พร้อม ป๋ ยุ คอก ,รา ,ข้าวเปลือก = 1:1:1 เทสว่ นผสมทงั้ หมดลงพืน้ ใช้จอบเกล่ียคลกุ เคล้าให้เข้ากนั ขนั้ ตอนนีจ้ ะใช้เวลาพอสมควรครับ
เตมิ นา้ EM ขยาย และกากนา้ ตาลท่ีเตรียมไว้ ผสมนา้ ให้เข้ากนั นาไปรดที่กองป๋ ยุ คอกท่ีเตรียมไว้ ถ้าไมม่ ีบวั รดนา้ ใช้ขนั ตกั ไปก็ได้จากนนั้ ใช้จอบคลกุ เคล้าให้เข้ากนั ใช้เวลา พอสมควรครับ ลองใช้มือบีบดู ไมแ่ ห้งหรือไมเ่ ปียกเกินไปอยา่ งท่ีบอกตอนต้น ถ้ายงั แห้งอยู่ เพม่ิ นา้ อีกได้เลยโดย ไมจ่ าเป็นต้อง 25 ลติ ร แล้วใช้จอบเกล่ียไปด้วยเร่ือย ๆ เสร็จแล้วตกั ใสไ่ ว้ในกระสอบ ตงั้ ไว้ในที่อากาศถา่ ยเท สะดวก ในวนั แรกผมปิดปากถงุ ปรากฏวา่ ป๋ ยุ คอกร้อนมาก เราจงึ จาเป็นต้องเปิดปากกระสอบให้ความร้อนของ ตวั ป๋ ยุ ระบายออก ผา่ นไป 2 วนั เร่ิมหายร้อนแล้ว ตวั ป๋ ยุ เองเริ่มมีการยอ่ ยสลาย สงั เกตจากมีฝา้ ขาว ๆ อยทู่ ว่ั ไป
ผ่านไป 3 วนั บางสว่ นเริ่มยอ่ ยสลายแล้ว ผา่ นไป 5 วนั ลองใช้มือขยาดรู ู้สึกวา่ จะเป็นขยุ ๆ ผา่ นไป 7 วนั จบั ขนึ ้ มาขยา้ ดู สงั เกตดวู า่ ฝ่นุ คล้งุ หลงั จากนัน้ ผา่ นไปประมาณ 1 อาทติ ย์ก็สามารถนาไปใช้กบั ผลผลติ ของ เราได้ตอนนีผ้ มนากระสอบมาเทนะครับ ที่เป็นก้อนก็ใช้มือขยา้ ให้แตก รู้สกึ วา่ จะแตกง่ายๆ ตอนนีก้ ็สามารถ นาไปใสผ่ ลผลติ และพืชผกั สวนได้ การเลีย้ งไส้เดือนดนิ และการทาป๋ ุยไส้เดือนดนิ การเลีย้ งไส้เดือนดนิ และการทาป๋ ยุ ไส้เดือนดนิ การให้ความรู้เก่ียวกบั การทาป๋ ยุ หมกั ให้กบั สมาชกิ ใน กลมุ่ นนั้ ปา้ จิตได้เลา่ ให้ฟังวา่ การนาเศษซากหรือวสั ดตุ า่ งๆ ที่ได้มาจากสิง่ มีชีวิตโดยเฉพาะอยา่ งยิง่ จาพวก พืช เชน่ เศษหญ้า ใบไม้ ฟางข้าว ผกั หรือแม้แตข่ ยะมลู ฝอยตามบ้านเรือนมากองรวมกนั รดนา้ ให้มีความชืน้ พอเหมาะ หมกั ไว้จนกระทง่ั เศษหรือวสั ดเุ หลา่ นนั้ ยอ่ ยสลายและแปรสภาพเป็นป๋ ยุ ตอ่ ไป การเลีย้ งไส้เดือนดนิ มี หลายแบบหลายวธิ ี ใช้กะละมงั กลม หรือ บอ่ ซีเมนต์หรือบอ่ ปนู กลม ก็ได้ การเลีย้ งไส้เดือนดนิ ของศนู ย์เศรษฐกิจ พอเพียงบ้านโคกอฐิ ใช้วิธีการเลีย้ งโดยใช้กะละมงั กลมเน่ืองจากโรงเรือนมีพืน้ ท่ีจากดั แตก่ ็ไมเ่ ป็นปัญหาเพราะ ทางศนู ย์เศรษฐกิจพอเพียงเลีย้ งไส้เดอื นแบบคอนโด จงึ ทาให้ประหยดั พืน้ ที่ วัสดุและอุปกรณ์ในการเลีย้ งไส้เดอื น 1. กะลงั มงั สีดา ความกว้างประมาณ 1 ศอก (ใบละไมเ่ กิน 20 บาท) 2. ขีว้ วั แห้ง เก็บเศษฟาง หรือวสั ดทุ ่ีปนมากบั ขีว้ วั ออกให้เหลือแคข่ ีว้ วั จริงๆ 3. ไส้เดอื นดนิ พนั ธ์ุแอฟริกนั ท่ีใช้เลีย้ งกนั ทวั่ ไป ประมาณ 3 ขีด 4. กากมะพร้าวสบั หรือใบไม้แห้ง (ใบมะขามเทศ,ใบก้ามป)ู วิธีและขัน้ ตอนในการเลีย้ งไส้เดือน - นากะละมงั ไปเจาะรูโดยใช้สวา่ น 2 หนุ เจาะให้ทว่ั กะละมงั เพ่ือให้นา้ ไหลผา่ นออกได้ สะดวก - นาขีว้ วั มาทาการรดนา้ ให้ขีว้ วั เปียก เพ่ือล้างความร้อนของขีว้ วั และแก๊สออกให้หมด
รดนา้ ขีว้ วั ประมาณ 1-2 อาทติ ย์ แล้วแตค่ วามร้อนของขีว้ วั - นากากมะพร้าวสบั มาผสม ประมาณ 30% ของขีว้ วั 70 % นามาผสมให้เข้ากนั มะพร้าว สบั ควรแชน่ า้ ก่อนเพ่ือล้างยางของมะพร้าวออกไป ที่ผสมกากมะพร้าวผสม เพื่อช่วยในการเพ่มิ ความเย็นให้กบั ขี ้ ววั ผสมเข้ากนั แล้วนาไปใสใ่ นกะละมงั ประมาณคร่ึงกะละมงั - ใสไ่ ส้เดือน 3 ขีด ลงบนขีว้ วั ผสมไว้ในกะละมงั แล้วนาไว้ในโรงเรือนที่เยน็ โดยทาเป็นชนั้ เหล็ก หรือชนั้ ทอ่ พีวีซีก็ได้ ไส้เดือนชอบความชืน้ และเยน็ รดนา้ ให้ความชืน้ กบั ไส้เดือน 3-4 วนั ตอ่ ครัง้ ประมาณ 1คร่ึงหรือ2 เดือนเราก็จะได้ ป๋ ุยหมักมูลไส้เดือน เตม็ กะละมงั สามารถนาไปใส่ พืช ผกั ผลไม้ หรือจาหนา่ ยได้ ภาพการจัดกจิ กรรม (การเลีย้ งไส้เดือนและการทาป๋ ุยมูลไส้เดอื น)
ภาพการจัดกิจกรรม กศน.ตาบลท่าศาลา นานักศกึ ษา ม.ปลาย ศึกษาแหล่งเรียนรู้เศรษฐกจิ พอเพยี งบ้านโคกอฐิ
Search