Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการเรียนรู้เกี่ยวกับอดุลย์คลองหลวงฟาร์มเห็ด

คู่มือการเรียนรู้เกี่ยวกับอดุลย์คลองหลวงฟาร์มเห็ด

Published by Pat Cha, 2019-10-14 00:30:55

Description: คู่มือการเรียนรู้เกี่ยวกับอดุลย์คลองหลวงฟาร์มเห็ด

Search

Read the Text Version

คำนำ ก หนงั สือเล่มน้มี จี ัดทำขึ้นเพอื่ เป็นค่มู ือในกำรเรียนรู้ เก่ียวกับอดุลย์คลองหลวงฟำร์ม เห็ด ท่ีกลุ่มนักศึกษำคณะศิลปศำสตร์ สำขำกำรท่องเท่ียว มหำวิทยำลัยเทคโนโลยี รำชมงคลธัญบุรี จัดทำข้ึนให้กับ นำยอดุลย์ วิเชียรชัย ประธำนในพ้ืนท่ีชุมชน และ เจ้ำของพ้ืนที่อดุลย์คลองหกฟำร์มเห็ด ท่ีทำงกลุ่มนักศึกษำได้รับมอบหมำยงำนใน รำยวิชำ กำรจัดกำรท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม และ อำจำรย์พนัส สืบยุบล ท่ีปรึกษำ รำยงำน และหนังสือเล่มน้ี ภำยในหนังสือเล่มน้ีจะประกอบไปด้วย หลักคำสอน และแนวทำงแก้ไขปัญหำ ตำ่ งๆของ พระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรม นำถบพิตร นอกจำกนย้ี ังมี เคร่ืองจกั รสำน, ประเภทของต้นไม้ พืชพรรณ แต่ละชนิด รวมทั้งสรรคณุ ทำงด้ำนยำรกั ษำโรค และรับประทำนเปน็ อำหำรได้ สุดท้ำยนี้ทำงคณะผู้จัดทำขอขอบคุณ นำยอดุลย์ วิเชียรชัย และสมำชิกในพื้นท่ี ชุมชน และพื้นท่ีอดุลย์คลองหกฟำร์มเห็ด ท่ีให้กำรต้อนรับ และควำมร่วมมือเป็น อย่ำงดี ขอขอบคุณ อำจำรย์พนัส สืบยุบล ที่ปรึกษำรำยงำน และหนังสือเล่มนี้ ขอขอบคุณ ครอบครัว เพื่อน และทุกคนที่มีส่วนเก่ียวข้องกับกำรทำงำนครั้งนี้ หำก หนงั สอื เลม่ น้มี ีขอ้ มลู เนือ้ หำผิดพลำดประกำรใดทำงคณะผูจ้ ัดทำขออภยั มำ ณ ท่นี ี้ คณะผจู้ ัดทำ

สำรบัญ ข เรอ่ื ง หนำ้ ศำสตรพ์ ระรำชำ 1-3 โคก หนอง นำ โมเดล 4-6 เดนิ ทีละกำ้ ว กินขำ้ วทีละคำ ทำงำนทีละอยำ่ ง 7 เศรษฐกจิ พอเพยี ง 8-9 ปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียง 10-13 เกษตรทฤษฎีใหม่ 14-20 ทฤษฎบี ันได 9ขนั้ นำไปสู่ควำมพอเพยี ง 21-25 ป่ำ 3อยำ่ ง ประโยชน์ 4อยำ่ ง 26-28 ปำ่ 5ระดับ 29-31 เกษตรอนิ ทรยี ์ 32-34 ธนำคำรน้ำใตด้ นิ 35-37 หลักกำรทรงงำน 23ขอ้ 38-44 สำนต่อท่พี อ่ ทำ 45 บวั หลวง 46-47 บวั สำยแดง 48-49 บวั สตั ตบษุ ย์ หรือบวั บูชำสีขำว 50-51 บวั สัตตบงกช 52-53 ต้นตะขบ 54-55

สำรบญั (ต่อ) ค เรอ่ื ง หน้ำ ต้นดำวอินคำ 56-57 ตน้ กระทอ่ ม 58-59 ตน้ ไชยำ หรอื คะนำ้ แม็กซกิ นั 60-61 ผกั ปลงั 62-63 ตน้ ขีเ้ หล็ก 64-65 ต้นสะเดำ 66-67 หญำ้ แฝก 68-69 ทองอไุ ร ฟกั ข้ำว 70 หญำ้ แห้วหมู 71-72 บวบหอม 73-74 ลิ้นมงั กร หมอ่ นเบอรร์ ี่ 75 ผกั บ้งุ 76 มัน 5นำที 77 เหด็ หลนิ จือ 78-79 ต้นกก 80-81 เสำวรส 82-83 84-85 86-87

สำรบัญ (ต่อ) ง เร่อื ง หนำ้ ตน้ อ่อมแซ่บ 88 ตน้ สกั ทอง 89-90 ตน้ พะยูง 91-92 เครื่องจกั รสำน 93-95 บรรณำนกุ รม 96-101

ศำสตร์พระรำชำ 1 มีคำกล่ำวถึง “ศำสตร์พระรำชำ” มำนำน หลำยปีทผ่ี ำ่ นมำ เช่น ศำสตร์พระรำชำสู่กำร พัฒนำอย่ำงยั่งยืน, ศำสตร์พระรำชำสู่กำร พัฒนำท่ียั่งยืน, ศำสตร์พระรำชำจำกภูผำสู่ มหำนที ซ่ึงในต่ำงประเทศต่ำงทรำบว่ำเป็น แนวคดิ ตำมแนวพระรำชดำรขิ อง พระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร ที่มีควำมลุ่มลึก รอบด้ำน มองกำรณ์ไกล และเน้นควำมย่ังยืนยำวนำน ก่อนท่ีประชำคม โลกจะต่ืนตัวในเรื่องนี้เป็นแนวทำงกำรพัฒนำท่ีมุ่งยกระดับคุณภำพชีวิตของคนไทยทุก หมู่เหล่ำ องคป์ ระกอบของศำสตรพ์ ระรำชำ คอื กำรศกึ ษำและสขุ ภำพ กำรเพิ่มผลิตภำพ กำรผลิต กำรค้นคว้ำวิจัยกำรบริหำรควำมเส่ียง กำรอนุรักษ์ธรรมชำติ และปรัชญำ เศรษฐกิจพอเพียง แต่ละองค์ประกอบล้วนมีส่วนช่วยยกระดับคุณภำพชีวิตของทุกผู้ทุก คน โดยเฉพำะ คนจนผู้ยำกไร้ หลกั กำรทำงำน ตำมศำสตร์พระรำชำ เข้ำใจ เข้ำถึง พัฒนำ เป็นวิธีกำรแห่งศำสตร์พระรำชำเพื่อกำรพัฒนำที่ย่ังยืน ท่ีพระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร ทรงใช้เป็นวิธีกำรทรงงำนมำตลอดรัชสมัยของพระองค์ อย่ำงไรก็ตำม คำว่ำ “เข้ำใจ เขำ้ ถึง พัฒนำ” เริ่มตดิ หูคนไทยในคร้ังแรกที่พรุแฆแฆ และหลำยคนก็เข้ำใจผิดไปเสียอีก ว่ำ “เข้ำใจ เข้ำถึง พัฒนำ” ใช้ได้เฉพำะกำรพัฒนำในสี่จังหวัดชำยแดนภำคใต้ซ่ึงไม่เป็น ควำมจรงิ เลย

2 พื้นท่ีพรุแฆแฆ อำเภอสำยบรุ ี จงั หวัดปัตตำนี มีเนอื้ ท่ปี ระมำณ 11,000 ไร่ เป็นพื้นที่ พรเุ สื่อมโทรม มีนำ้ ทว่ มขงั เกอื บตลอดทั้งปี ใชป้ ระโยชนไ์ ม่ได้ ถูกปล่อยรกรำ้ งมำนำน พระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธเิ บศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร ได้เสด็จพระรำชดำเนิน ได้ทรงศึกษำแผนที่ ศึกษำสภำพภูมิศำสตร์ หลังจำกนั้นได้ ทรงสนทนำกบั วำเด็ง ปูเต๊ะ ซง่ึ ได้ตอบคำถำมถวำยพระองค์ ได้ให้ข้อมูลของพระองค์ โดยที่ทรงศึกษำจน เข้ำใจ อย่ำงถ่องแท้ ทรงเย่ียมเยียนรำษฎรจนได้รับกำรยอมรับ และมีผู้ถวำยที่ดินเพื่อเข้ำร่วมโครงกำรพระรำชดำริเรียกว่ำทรงงำนอย่ำง เข้ำถึง นำมำส่กู ำร พฒั นำ ทีไ่ ด้ผลในทำ้ ยทสี่ ดุ ภำพ ทรงสนทนำกับวำเดง็ ปเู ต๊ะ พลอำกำศเอกกำธน สินธวำนนท์ อดีตองคมนตรีในพระบำทสมเด็จพระบรมชน กำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตรได้เขียนไว้ในบทควำม “พระมหำกษตั ริย์นกั คดิ …นักปฏิบตั ิเพ่อื ควำมสุขของประชำชน” ควำมวำ่ “ครง้ั หนึ่งพระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หัวทรงพระรำชปรำรภว่ำ “ฉันครองรำชย์สองปี แรก ฉนั ไมม่ ผี ลงำน เพรำะฉันยังไม่รู้ว่ำรำษฎรต้องกำรอะไร” เป็นท่ีประจักษ์ว่ำทรง มองกำรเป็นพระมหำกษัตริย์เป็นเร่ืองของงำน เป็นพระรำชภำระ ที่จะสนองควำม ต้องกำรของรำษฎร เพอื่ รำษฎรจะไดด้ ำรงชีวิต อยำ่ งมคี วำมสุขและกำรที่จะทรงงำน ใหไ้ ด้ผลตรงเป้ำหมำยไดน้ ัน้ ต้องทรำบวำ่ ประชำชนตอ้ งกำรอะไร”

3 กำรทรงงำนของพระบำทสมเดจ็ พระบรมชนกำธเิ บศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร นั้นทรงยดึ วธิ ีกำร เข้ำใจ เขำ้ ถงึ พฒั นำ มำตลอดรชั สมัยของพระองค์ ดังที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล อดีตเลขำธิกำรสำนักงำนคณะกรรมกำรพิเศษเพื่อ ประสำนงำนโครงกำรอันเน่ืองมำจำกพระรำชดำริ และอดีตเลขำธิกำรสำนักงำน คณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชำติ ได้เขียนไว้บทควำม “ประสบกำรณ์สนองพระรำชดำริเรียนรู้ หลักกำรทรงงำน ในพระบำทสมเด็จพระ เจำ้ อยหู่ วั ในรัชกำลท่ี9 เขำ้ ใจ เขำ้ ถงึ พฒั นำ” ควำมว่ำ “พระองค์ทรงมุ่งเน้นเร่ืองกำรพัฒนำคน ทรงตรัสว่ำ “ต้องระเบิดจำกข้ำงใน” นั่น คือต้องสร้ำงควำมเข้มแข็งให้คนในชุมชนท่ีเรำเข้ำไปพัฒนำ ให้มีสภำพ พร้อมที่จะรับกำรพัฒนำเสียก่อน มิใช่กำรนำควำมเจริญหรือบุคคลจำกสังคม ภำยนอกเข้ำไปหำชุมชนหมบู่ ำ้ นท่ยี ังไม่ ทันได้มีโอกำสเตรยี มตวั …..ทรงใช้หลัก “เข้ำใจ เข้ำถึง พัฒนำ” น่ัน คือก่อนจะทำอะไร ต้องมีควำม เข้ำใจเสยี ก่อน เข้ำใจภมู ปิ ระเทศ เข้ำใจผู้คนในหลำกหลำยปัญหำ ทั้งทำงด้ำน กำยภำพด้ำนจำรีตประเพณีและวัฒนธรรม เป็นต้น และระหว่ำงกำร ดำเนินกำรน้ันจะต้องทำให้ผู้ท่ีเรำจะไปทำงำนกับเขำหรือทำงำน ให้เขำนั้น “เข้ำใจ” เรำด้วย เพรำะถ้ำเรำเข้ำใจเขำแต่ฝ่ำยเดียว โดยท่ีเขำไม่เข้ำใจเรำ ประโยชน์คงจะไม่เกิดขึ้นตำมที่เรำมุ่งหวังไว้ “เข้ำถึง” ก็ เช่นกัน เม่ือรู้ปัญหำ แลว้ เขำ้ ใจแลว้ ก็ต้องเข้ำถึง เพื่อให้นำไปสู่กำรปฏิบัติให้ได้ และเม่ือเข้ำถึงแล้ว จะตอ้ งทำอยำ่ งไรกต็ ำมใหเ้ ขำอยำกเข้ำถึงเรำด้วย ดังน้ัน จะเห็นว่ำเป็นกำรสื่อสำรสองทำงทั้งไปและกลับ ถ้ำสำมำรถทำสอง ประกำรแรกได้สำเร็จ เรื่อง “กำรพัฒนำ” จะ ลงเอยได้อย่ำงดี เพรำะเม่ือต่ำง ฝ่ำยต่ำงเข้ำใจกัน ต่ำงฝ่ำยอยำกจะเข้ำถึงกันแล้ว กำรพัฒนำจะเป็นกำรตกลง รว่ มกนั ท้งั สองฝ่ำย ท้งั ผ้ใู หแ้ ละผรู้ ับ”

โคก หนอง นำ โมเดล 4 โคก หนอง นำ โมเดล คือ กำรจัดกำรพ้ืนที่เหมำะกับพ้ืนท่ีกำรเกษตร ซ่ึงเป็นกำร ผสมผสำนเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ำกับภูมิปัญญำพื้นบ้ำนท่ีอยู่อย่ำงสอดคล้องกับ ธรรมชำตใิ นพ้ืนท่ีนั้นๆ โคก หนอง นำ โมเดล เปน็ กำรที่ใหธ้ รรมชำติจัดกำรตวั มันเอง โดยมี มนุษย์เป็นส่วนสง่ เสรมิ ให้มนั สำเร็จเร็วขึ้น อย่ำงเป็นระบบ ซ่ึงเป็นแนวทำงทำ เกษตรอินทรียแ์ ละกำรสร้ำงชวี ิตทยี่ ัง่ ยืน หลมุ ขนมครกแบบพื้นทล่ี ุ่ม ( “โคก หนอง นำ โมเดล” ) โคก สรำ้ งโคกบนพื้นทขี่ องตนเอง จำกกำรนำดินที่ได้จำกกำรขุดหนอง นำมำถมเป็น โคกเพื่อสร้ำงท่ีอยู่อำศัย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ รวมท้ังปลูกต้นไม้ตำมแนวทำงศำสตร์ พระรำชำ คอื “ปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง” เพื่อพอกิน เพ่ือใช้สอยในครัวเรือน หรอื พอใช้ และเพ่ือสร้ำงที่อยู่อำศัยหรือพออยู่ จำกนั้นประโยชน์อย่ำงท่ี 4 คือ ช่วย สร้ำงสมดุลระบบนิเวศ เพรำะใบไม้ท่ีร่วงหล่นจะช่วยปกคลุมหน้ำดิน ในขณะที่รำก จำนวนมำกช่วยดดู ซบั น้ำฝน เพอ่ื กกั เก็บน้ำไวใ้ ตโ้ คกเป็นน้ำใตด้ นิ เพม่ิ ควำมชุ่มชื้น

5 หนอง ขุดหนอง รูปร่ำงคดโค้งอิสระ ไม่เป็นสี่เหลี่ยม เพ่ือเก็บน้ำไว้ใช้ยำมหน้ำแล้ง หรือจำเป็น และสำมำรถใช้เป็นที่รองรับน้ำยำมน้ำท่วมหลำก และเป็นแหล่งที่อยู่ อำศัยของปลำ นำ ยกหัวคันนำให้กว้ำงและสูงอย่ำงน้อย 1 เมตร ธรรมชำติของข้ำวจะทะลึ่งน้ำไม่ จมน้ำตำย เพ่ือเพ่ิมพืน้ ท่กี กั เก็บน้ำไว้ในนำ ขุดร่องใกล้หัวคันนำ เป็นท่ีอยู่ของปลำ ปู ปั้นหัวคันนำให้มีควำมกว้ำงมำกพอที่จะปลูกต้นไม้ พืชผัก ให้มีรำกยึดเหน่ียวคันนำ และเพ่ิมพืน้ ที่ทำกิน คลองไส้ไก่ ช่วยระบำยน้ำรอบพ้ืนท่ี โดยขุดให้มีลักษณะคดเค้ียว เพ่ือให้น้ำไหลได้ ท่ัวถึงตลอดท้ังพื้นที่เพื่อใช้ทำกำรเกษตรและช่วยเพ่ิมควำมชุ่มช้ืนให้กับผืนดิน และ ต้นไมโ้ ดยรอบ ฝำยชะลอน้ำ ช่วยชะลอและกักเก็บนำ้ จำกต้นนำ้ ไว้ในพื้นที่ เพื่อไม่ให้น้ำหลำกลงมำ สร้ำงควำมเสียหำยกับพื้นท่ีลุ่มด้ำนล่ำง และช่วยกักตะกอนดินไม่ให้ลงมำสะสมใน หนอง คลอง บึง หรือเขื่อน นอกจำกนั้น สำหรับพ้ืนท่ีกลำงน้ำฝำยชะลอน้ำยังช่วย ยกระดบั น้ำเพือ่ เกบ็ ไว้ในพนื้ ที่อีกดว้ ย

6 ด้วยรูปแบบ “โคก หนอง นำ โมเดล” นี้ หำกมีเกษตรกรมี พ้ืนท่ีรำยละ 10 ไร่ คิดเป็น 1 หลมุ ขนมครก จะสำมำรถเกบ็ กักน้ำได้ปีละประมำณ 40,000 ลูกบำศก์เมตรต่อปีโดยเป็นน้ำ บ น ดิ น ป ร ะ ม ำ ณ 2 0 , 0 0 0 ลกู บำศก์เมตร เม่ือมีป่ำชุ่มชื้นจะสำมำรถเก็บกักน้ำใต้ดินได้เพิ่มขึ้นอีก ถ้ำทุกคนในลุ่มน้ำป่ำสัก หรือ อยำ่ งน้อย 100,000 รำย รว่ มมือรว่ มใจกันสร้ำง 100,000 หลุมขนมครก จะสำมำรถเก็บ กักน้ำได้กว่ำส่ีพันล้ำนลูกบำศก์เมตรต่อปี คิดเป็นมำกกว่ำ 4 เท่ำของควำมจุเขื่อนป่ำสัก ชลสิทธิ์ จะสำมำรถแก้ไขปัญหำน้ำท่วมได้และที่สำคัญคือมีน้ำเก็บไว้ใช้ยำมหน้ำแล้ง สำมำรถปลูกพืชพันธุ์ได้ตลอดปี มีพอกิน พออยู่ พอใช้ เกิดท้ัง “ประโยชน์ตน และ ประโยชนท์ ำ่ น” ในเวลำเดียวกนั

เดนิ ทลี ะกำ้ ว กินข้ำวทีละคำ 7 ทำงำนทีละอยำ่ ง “ เดินทีละก้ำว กินข้ำวทีละคำ ทำงำนทีละอย่ำง” พระรำชดำรัสที่เป็นหลักแนวคิด ของในหลวงรัชกำลท่ี 9 ท่ีใช้เตือนสติเวลำท่ีเรำมีปัญหำถำโถมเข้ำมำ เร่ิมเกิด ควำมเครยี ด กค็ ือ คอ่ ยเดินทลี ะกำ้ ว กินขำ้ วทีละคำ แล้วทำทีละอย่ำง คนเรำถ้ำเดินได้ แล้วหัดเดินทีละก้ำว ไม่ก้ำวกระโดดก็จะไม่มีวันล้ม คนเรำถ้ำกิน ข้ำวดว้ ยแล้ว ให้กนิ ทลี ะคำก็จะไม่เกิดปัญหำจกุ อกหรือตัวไมอ่ ว้ น คนเรำทำงำนได้แต่ ทำทีละอย่ำงใหส้ ำเรจ็ ก่อนก็จะไมเ่ กิดปัญหำงำนล้นมือหรือทำไมท่ ัน ถำ้ คนเรำรจู้ ัก เดินทีละก้ำว กนิ ข้ำวทีละคำ ทำงำนทลี ะอย่ำง ยอ่ มประสบควำมสำเร็จ ตำมหลกั ปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพยี ง และยอ่ มมี ควำมสขุ ในกำรใช้ชวี ิต

เศรษฐกิจพอเพียง 8 เศรษฐกิจพอเพยี ง คอื อะไร? เศรษฐกิจพอเพยี ง คือ ปรชั ญำท่ีพระบำทสมเด็จพระบรมชนกำ ธิเบศร มหำภมู ิพลอดลุ ยเดชมหำรำช บรมนำถบพติ ร ทรงชแ้ี นว ทำงกำรดำเนินชีวติ ให้แก่ปว่ งชนชำวไทยมำเปน็ ระยะเวลำนำน ในช่วงต้ังแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เพ่ือมุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่ำงยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย ภำยใต้แนวควำมเปลี่ยนแปลงต่ำงๆ ท่ีเกิดข้ึนตำมกระแส โลกำภิวัฒน์ ควำมพอเพียง หมำยถึง ควำมพอประมำณ ควำมมีเหตุผล รวมถึงควำม จำเป็นท่ีจะต้องมรี ะบบภูมคิ มุ้ กันในตวั ท่ีดีพอสมควร ต่อกำรกระทบใดๆ อันเกิดจำกกำร เปลี่ยนแปลงท้ังภำยในภำยนอก ท้ังน้ี จะต้องอำศัยควำมรอบรู้ ควำมรอบคอบ และ ควำมระมัดระวังอยำ่ งย่งิ ในกำรนำวชิ ำกำรต่ำงๆ มำใช้ในกำรวำงแผนและกำรดำเนินกำร ทุกข้ันตอน อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงพระรำชทำนควำมหมำยของ เศรษฐกิจพอเพียง เอำไว้เปน็ ภำษำองั กฤษว่ำ Sufficiency Economy ดังพระรำชดำรัสท่ีได้ทรงตรัสไว้เมื่อ วันที่ 23 ธนั วำคม ปี 2554

9 จดุ เร่ิมต้นแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียง ผลจำกกำรใช้แนวทำงกำรพัฒนำประเทศไปสู่ควำมทันสมัย ได้ก่อให้เกิดกำร เปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่ำงมำกในทุกด้ำน ไม่ว่ำจะเป็นด้ำนเศรษฐกิจ กำรเมือง วฒั นธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกท้ังกระบวนกำรของควำมเปลี่ยนแปลงมีควำม สลบั ซบั ซอ้ นจนยำกทจี่ ะอธิบำยใน เชิงสำเหตุและผลลพั ธ์ได้ เพรำะกำรเปล่ียนแปลง ทัง้ หมดตำ่ งเปน็ ปจั จัยเชอื่ มโยงซงึ่ กันและกัน สำหรับผลของกำรพฒั นำในดำ้ นบวกนนั้ ไดแ้ ก่ กำรเพ่ิมขึ้นของอัตรำกำรเจริญเติบโต ทำงเศรษฐกจิ ควำมเจริญทำงวัตถุ และสำธำรณูปโภคต่ำงๆ ระบบสื่อสำรที่ทันสมัย หรือกำรขยำยปริมำณและกระจำยกำรศึกษำอย่ำงท่ัวถึงมำกขึ้น แต่ผลด้ำนบวก เหล่ำน้ีส่วนใหญ่กระจำยไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกำสในสังคมน้อย แต่ว่ำ กระบวนกำรเปล่ียนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตำมมำด้วย เช่น กำรขยำยตัว ของรัฐเข้ำไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดควำมอ่อนแอในหลำยด้ำน ท้ังกำรต้อง พึ่งพิงตลำดและพ่อค้ำคนกลำงในกำรสั่งสินค้ำทุน ควำมเส่ือมโทรมของ ทรัพยำกรธรรมชำติ ระบบควำมสัมพันธ์แบบเครือญำติ และกำรรวมกลุ่มกันตำม ประเพณเี พ่อื กำรจัดกำรทรพั ยำกรทเี่ คยมอี ยแู่ ต่เดมิ แตก สลำยลง ภูมิควำมรู้ที่เคยใช้ แกป้ ญั หำและสัง่ สมปรบั เปลี่ยนกนั มำถกู ลมื เลือนและเรมิ่ สญู หำยไป สิ่งสำคญั ก็คอื ควำมพอเพียงในกำรดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเง่ือนไขพ้ืนฐำนที่ทำให้คนไทย สำมำรถพ่ึงตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่ำงมีศักด์ิศรีภำยใต้อำนำจและควำมมี อิสระในกำรกำหนด ชะตำชีวิตของตนเอง ควำมสำมำรถในกำรควบคุมและจัดกำร เพ่ือให้ตนเองได้รับกำรสนองตอบต่อควำมต้อง กำรต่ำงๆ รวมทั้งควำมสำมำรถใน กำรจัดกำรปัญหำต่ำงๆ ได้ด้วยตนเอง ซ่ึงทั้งหมดนี้ถือว่ำเป็นศักยภำพพื้นฐำนที่คน ไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่ เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซ่ึงวิกฤตเศรษฐกิจจำก ปญั หำฟองสบแู่ ละปัญหำควำมอ่อนแอของชนบท รวมท้ังปัญหำอ่ืนๆ ที่เกิดข้ึน ล้วน แต่เปน็ ขอ้ พสิ ูจน์และยืนยนั ปรำกฎกำรณน์ ้ไี ด้เปน็ อยำ่ งดี

ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 10 เศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรัชญำชี้ถึงแนวกำรดำรงอยแู่ ละปฏบิ ัติตนของประชำชนใน ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในกำรพัฒนำและ บรหิ ำรประเทศใหด้ ำเนินไปในทำงสำยกลำง โดยเฉพำะกำรพัฒนำเศรษฐกิจ เพื่อให้ กำ้ วทันต่อโลกยุคโลกำภวิ ตั น์ ซ่งึ ควำมพอเพียง หมำยถึง ควำมพอประมำณ ควำมมี เหตุผล รวมถึงควำมจำเป็นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควร ต่อกำร กระทบใดๆ อันเกิดจำกกำรเปลย่ี นแปลงทั้งภำยในภำยนอก ท้งั นี้ จะต้องอำศัยควำม รอบรู้ ควำมรอบคอบ และควำมระมัดระวังอย่ำงย่ิงในกำรนำวิชำกำรต่ำงๆ มำใช้ใน กำรวำงแผนและกำรดำเนินกำร ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้ำง พน้ื ฐำนจิตใจของคนในชำติ โดยเฉพำะเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจใน ทกุ ระดับ ใหม้ สี ำนกึ ในคณุ ธรรม ควำมซอ่ื สตั ย์สุจริต และให้มีควำมรอบรู้ที่เหมำะสม ดำเนินชีวิตด้วยควำมอดทน ควำมเพียร มีสติ ปัญญำ และควำมรอบคอบ เพ่ือให้ สมดุลและพรอ้ มต่อกำรรองรบั กำรเปล่ียนแปลงอย่ำงรวดเร็วและกว้ำงขวำง ท้ังด้ำน วัตถุ สงั คม สิง่ แวดล้อม และวฒั นธรรมจำกโลกภำยนอกได้เปน็ อย่ำงดี ลองเอำไปปรบั ใช้ดกู ัน ในชวี ติ ประจำวนั นะ ครบั ทกุ คน

11 ควำมหมำยของเศรษฐกิจพอเพยี ง จึงประกอบด้วยคณุ สมบัติ ดังนี้ 1. ควำมพอประมำณ หมำยถึง ควำมพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มำกเกินไป โดยไม่ เบียดเบยี นตนเองและผู้อ่ืน เชน่ กำรผลติ และกำรบริโภคทอ่ี ยใู่ นระดับพอประมำณ 2. ควำมมีเหตุผล หมำยถึง กำรตัดสินใจเก่ียวกับระดับควำมพอเพียงน้ัน จะต้อง เป็นไปอยำ่ งมีเหตุผล โดยพิจำรณำจำกเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่ คำดวำ่ จะเกดิ ขน้ึ จำกกำรกระทำนนั้ ๆ อย่ำงรอบคอบ 3. ภูมิคุม้ กนั หมำยถึง กำรเตรียมตัวใหพ้ ร้อมรับผลกระทบและกำรเปลี่ยนแปลงด้ำน ต่ำงๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงควำมเป็นไปได้ของสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ที่คำดว่ำจะ เกิดขนึ้ ในอนำคต โดยมี เง่ือนไข ของกำรตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่ำงๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง 2 ประกำร ดงั นี้ 1. เง่ือนไขควำมรู้ ประกอบด้วย ควำมรอบรู้เกี่ยวกับวิชำกำรต่ำงๆ ท่ีเก่ียวข้องรอบ ด้ำน ควำมรอบคอบท่ีจะนำควำมรู้เหล่ำนั้นมำพิจำรณำให้เชื่อมโยงกัน เพ่ือ ประกอบกำรวำงแผนและควำมระมดั ระวังในกำรปฏิบตั ิ 2. เงอ่ื นไขคณุ ธรรม ท่จี ะต้องเสรมิ สร้ำง ประกอบด้วย มีควำมตระหนักใน คุณธรรม มีควำมซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ และมีควำมอดทน มคี วำมเพียร ใช้สตปิ ญั ญำในกำรดำเนินชีวิต

12 ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกจิ พอเพียง มงุ่ เนน้ ใหผ้ ู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยำยำมเร่ิมต้นผลิต หรือบริโภค ภำยใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรำยได้ หรือทรัพยำกรที่มีอยู่ไปก่อน ซ่ึงก็คือ หลักใน กำรลดกำรพ่ึงพำ เพมิ่ ขดี ควำมสำมำรถในกำรควบคุมกำรผลิตได้ด้วยตนเอง และลด ภำวะกำรเสี่ยงจำกกำรไมส่ ำมำรถควบคุมระบบตลำดได้อยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ เศรษฐกจิ พอเพยี งมใิ ช่หมำยควำมถึง กำรกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หำกแต่ อำจฟมุ่ เฟือยไดเ้ ป็นครง้ั ครำวตำมอัตภำพ แตค่ นส่วนใหญ่ของประเทศ มกั ใช้จ่ำยเกิน ตวั เกนิ ฐำนะทห่ี ำมำได้ เศรษฐกิจพอเพียง สำมำรถนำไปสู่เป้ำหมำยของกำรสร้ำงควำมม่ันคงในทำง เศรษฐกจิ ได้ เชน่ โดยพ้ืนฐำนแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจ ของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจกำรเกษตร เน้นควำมม่ันคงทำงอำหำร เป็นกำร สรำ้ งควำมมนั่ คงใหเ้ ปน็ ระบบเศรษฐกิจในระดับหนง่ึ จึงเปน็ ระบบเศรษฐกิจท่ีช่วยลด ควำมเสยี่ ง หรือควำมไม่ม่ันคงทำงเศรษฐกจิ ในระยะยำวได้ เศรษฐกิจพอเพียง สำมำรถประยกุ ต์ใช้ไดใ้ นทกุ ระดับ ทกุ สำขำ ทุกภำคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพำะแต่ภำคกำรเกษตร หรือภำคชนบท แม้แต่ภำคกำรเงิน ภำคอสงั หำริมทรพั ย์ และกำรค้ำกำรลงทุนระหว่ำงประเทศ โดยมีหลักกำรที่คล้ำยคลึงกันคือ เน้นกำรเลือกปฏิบัติอย่ำงพอประมำณ มีเหตุมีผล และสรำ้ งภมู คิ มุ้ กนั ให้แก่ตนเองและสงั คม

13 กำรดำเนินชวี ติ ตำมแนวพระรำชดำรพิ อเพียง แนวพระรำชดำริในกำรดำเนินชวี ิตแบบพอเพียง 1. ยึดควำมประหยดั ตดั ทอนคำ่ ใชจ้ ่ำยในทุกดำ้ น ลดละควำมฟมุ่ เฟือยในกำรใชช้ วี ิต 2. ยึดถอื กำรประกอบอำชีพด้วยควำมถูกต้อง ซื่อสตั ยส์ ุจริต 3. ละเลิกกำรแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทำงกำรค้ำแบบต่อสู้กันอย่ำง รุนแรง 4. ไม่หยดุ นิ่งท่จี ะหำทำงให้ชีวิตหลุดพ้นจำกควำมทุกข์ยำก ด้วยกำรขวนขวำยใฝ่หำ ควำมรใู้ หม้ ีรำยไดเ้ พม่ิ พนู ขน้ึ จนถงึ ขั้นพอเพียงเป็นเป้ำหมำยสำคญั 5. ปฏิบตั ติ นในแนวทำงทีด่ ี ลดละส่งิ ชวั่ ประพฤตติ นตำมหลกั ศำสนำ

เกษตรทฤษฎใี หม่ 14 ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่ำงท่ีเป็นรูปธรรมของ กำรประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงท่ี เด่นชัดท่ีสุด ซ่ึงพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวในรัชกำลที่ 9 ได้พระรำชทำน พระรำชดำรินี้ เพ่ือเป็นกำรช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหำท้ังภัยธรรมชำติ และปัจจยั ภำย นอกทมี่ ีผลกระทบต่อกำรทำกำรเกษตร ให้สำมำรถผ่ำนพ้นช่วงเวลำ วกิ ฤต โดยเฉพำะกำรขำดแคลนนำ้ ได้โดยไมเ่ ดือดร้อนและยำกลำบำกนัก ควำมเสี่ยงทเี่ กษตรกร มกั พบเปน็ ประจำ ประกอบด้วย 1. ควำมเส่ียงด้ำนรำคำสินค้ำเกษตร 2. ควำมเสยี่ งในรำคำและกำรพงึ่ พำปจั จยั กำรผลิตสมยั ใหม่จำกตำ่ งประเทศ 3. ควำมเสย่ี งดำ้ นน้ำ ฝนท้ิงชว่ ง ฝนแลง้ 4. ภัยธรรมชำตอิ ่ืนๆ และโรคระบำด 5. ควำมเสย่ี งด้ำนแบบแผนกำรผลติ - ควำมเส่ียงด้ำนโรคและศตั รพู ชื - ควำมเส่ยี งด้ำนกำรขำดแคลนแรงงำน - ควำมเส่ยี งดำ้ นหนี้สนิ และกำรสญู เสยี ท่ีดนิ ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทำงหรือหลักกำรในกำรบริหำรกำรจัดกำรท่ีดินและน้ำ เพือ่ กำรเกษตรในทดี่ นิ ขนำดเล็กใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุด

15 ควำมสำคญั ของทฤษฎใี หม่ 1. มีกำรบริหำรและจัดแบ่งท่ีดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนท่ีชัดเจน เพื่อประโยชน์ สูงสดุ ของเกษตรกร ซึ่งไมเ่ คยมีใครคดิ มำก่อน 2. มีกำรคำนวณโดยใช้หลกั วชิ ำกำรเก่ียวกับปรมิ ำณนำ้ ที่จะกักเกบ็ ให้พอเพียงต่อกำร เพำะปลูกได้อยำ่ งเหมำะสมตลอดปี 3. มกี ำรวำงแผนที่สมบูรณแ์ บบสำหรับเกษตรกรรำยยอ่ ย โดยมีถงึ 3 ขน้ั ตอน ทฤษฎใี หมข่ นั้ ตน้ ให้แบง่ พ้นื ทอี่ อกเป็น 4 สว่ น ตำมอตั รำส่วน 30:30:30:10 ซ่ึงหมำยถึง พ้ืนที่ส่วนที่หนึ่ง ประมำณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพ่ือใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใชเ้ สริมกำรปลกู พชื ในฤดูแล้ง ตลอดจนกำรเล้ยี งสตั วแ์ ละพืชน้ำตำ่ งๆ พ้ืนที่ส่วนท่ีสอง ประมำณ 30% ให้ปลูกข้ำวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอำหำรประจำวัน สำหรับครอบครัวใหเ้ พียงพอตลอด ปี เพื่อตัดค่ำใชจ้ ำ่ ยและสำมำรถพงึ่ ตนเองได้

16 พื้นท่ีส่วนท่ีสำม ประมำณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพอ่ื ใช้เปน็ อำหำรประจำวนั หำกเหลอื บริโภคกน็ ำไปจำหนำ่ ย พ้ืนท่ีส่วนท่ีสี่ ประมำณ 10% เป็นที่อยู่อำศัย เล้ียงสัตว์ ถนนหนทำง และโรงเรือน อ่นื ๆ ทฤษฎใี หมข่ ั้นทสี่ อง เมื่อเกษตรกรเข้ำใจในหลักกำรและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่ม ขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกัน ดำเนินกำรในดำ้ น (1) กำรผลติ (พนั ธุ์พืช เตรียมดนิ ชลประทำน ฯลฯ) - เกษตรกรจะตอ้ งรว่ มมือในกำรผลติ โดยเรม่ิ ตั้งแตข่ ้ันเตรียมดิน กำรหำพนั ธ์พุ ชื ปุ๋ย กำรจดั หำน้ำ และอื่นๆ เพ่อื กำรเพำะปลกู (2) กำรตลำด (ลำนตำกขำ้ ว ยุ้ง เคร่อื งสขี ำ้ ว กำรจำหน่ำยผลผลิต) - เมื่อมผี ลผลติ แล้ว จะต้องเตรยี มกำรต่ำงๆ เพือ่ กำรขำยผลผลิตให้ไดป้ ระโยชน์สูงสุด เชน่ กำรเตรยี มลำนตำกข้ำวรว่ มกนั กำรจดั หำยงุ้ รวบรวมข้ำว เตรียมหำเครื่องสีข้ำว ตลอดจนกำรรวมกันขำยผลผลติ ใหไ้ ดร้ ำคำดีและลดคำ่ ใชจ้ ่ำยลงดว้ ย (3) กำรเป็นอยู่ (กะปิ นำ้ ปลำ อำหำร เคร่อื งน่งุ หม่ ฯลฯ) - ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีควำมเป็นอยู่ท่ีดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพ้ืนฐำนใน กำรดำรงชวี ติ เช่น อำหำรกำรกนิ ตำ่ งๆ กะปิ น้ำปลำ เสือ้ ผ้ำ ท่พี อเพยี ง (4) สวัสดิกำร (สำธำรณสุข เงินกู้) - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดภิ ำพและบริกำรท่ีจำเป็น เช่น มีสถำนีอนำมัยเม่ือยำมป่วย ไข้ หรือมีกองทนุ ไว้กู้ยืมเพอ่ื ประโยชนใ์ นกจิ กรรมตำ่ งๆ ของชมุ ชน

17 (5) กำรศกึ ษำ (โรงเรยี น ทุนกำรศึกษำ) - ชมุ ชนควรมบี ทบำทในกำรส่งเสริมกำรศึกษำ เช่น มีกองทุนเพ่ือกำรศึกษำเล่ำเรียน ใหแ้ ก่เยำวชนของชมชนเอง (6) สงั คมและศำสนำ - ชุมชนควรเปน็ ที่รวมในกำรพฒั นำสังคมและจิตใจ โดยมศี ำสนำเป็นท่ียดึ เหน่ียว โดยกจิ กรรมทงั้ หมดดงั กล่ำวขำ้ งต้น จะตอ้ งได้รบั ควำมร่วมมอื จำกทกุ ฝำ่ ยที่เกี่ยวข้อง ไมว่ ำ่ ส่วนรำชกำร องคก์ รเอกชน ตลอดจนสมำชิกในชมุ ชนนั้นเป็นสำคญั ทฤษฎใี หมข่ ้นั ที่สำม เมื่อดำเนินกำรผ่ำนพ้นข้ันที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนำ กำ้ วหนำ้ ไปสขู่ น้ั ทส่ี ำมตอ่ ไป คอื ตดิ ตอ่ ประสำนงำน เพอ่ื จัดหำทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนำคำร หรือบริษทั ห้ำงร้ำนเอกชน มำชว่ ยในกำรลงทุนและพัฒนำคณุ ภำพชีวติ ทง้ั น้ี ทงั้ ฝำ่ ยเกษตรกรและฝ่ำยธนำคำร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กลำ่ วคอื - เกษตรกรขำยข้ำวได้รำคำสูง (ไมถ่ กู กดรำคำ) - ธนำคำรหรือบริษัทเอกชนสำมำรถซ้ือข้ำวบริโภคในรำคำต่ำ (ซ้ือข้ำวเปลือกตรง จำกเกษตรกรและมำสเี อง) - เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในรำคำต่ำ เพรำะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมำก (เป็นร้ำนสหกรณร์ ำคำขำยสง่ ) - ธนำคำรหรือบริษัทเอกชน จะสำมำรถกระจำยบุคลำกร เพ่ือไปดำเนินกำรใน กจิ กรรมตำ่ งๆ ให้เกดิ ผลดียง่ิ ข้นึ

18 หลักกำรและแนวทำงสำคัญ 1. เป็นระบบกำรผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเกษตรกรสำมำรถเล้ียงตัวเองได้ใน ระดับ ทีป่ ระหยัดก่อน ทั้งน้ี ชมุ ชนตอ้ งมคี วำมสำมัคคี ร่วมมือรว่ มใจในกำรชว่ ยเหลือ ซง่ึ กนั และกนั ทำนองเดียวกบั กำร “ลงแขก” แบบด้ังเดิมเพื่อลดค่ำใช้จ่ำยในกำรจ้ำง แรงงำนดว้ ย 2. เนื่องจำกข้ำวเป็นปัจจัยหลักท่ีทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังน้ัน จึงประมำณว่ำ ครอบครัวหนึ่งทำนำประมำณ 5 ไร่ จะทำใหม้ ขี ้ำวพอกนิ ตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหำใน รำคำแพง เพื่อยดึ หลกั พง่ึ ตนเองได้อย่ำงมอี สิ รภำพ 3. ต้องมีน้ำเพื่อกำรเพำะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนท้ิงช่วงได้อย่ำง พอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันท่ีดินส่วนหน่ึงไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่ำต้องมีน้ำ เพียงพอที่จะเพำะปลูกได้ตลอดปี ทั้งน้ี ได้พระรำชทำนพระรำชดำริเป็นแนวทำงว่ำ ต้องมีน้ำ 1,000 ลกู บำศก์เมตร ต่อกำรเพำะปลูก 1 ไร่ โดยประมำณ ฉะนั้น เมื่อทำ นำ 5 ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร่) จะต้องมีน้ำ 10,000 ลกู บำศก์เมตรต่อปี ดังนั้น หำกตง้ั สมมตฐิ ำนวำ่ มพี ้ืนท่ี 5 ไร่ กจ็ ะสำมำรถกำหนดสูตรครำ่ วๆ ว่ำ แต่ละ แปลง ประกอบด้วย - นำขำ้ ว 5 ไร่ - พืชไร่ พืชสวน 5 ไร่ - สระน้ำ 3 ไร่ ขดุ ลกึ 4 เมตร จนุ ้ำได้ประมำณ 19,000 ลูกบำศก์เมตร ซ่ึงเปน็ ปริมำณน้ำท่ีเพียงพอทจี่ ะสำรองไว้ใช้ยำมฤดูแลง้ - ที่อยู่อำศยั และอืน่ ๆ 2 ไร่ รวมทงั้ หมด 15 ไร่

19 4. กำรจดั แบง่ แปลงท่ดี นิ เพอื่ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว ในรัชกำลที่ 9 ทรงคำนวณและคำนึงจำกอตั รำกำรถอื ครองท่ีดินถัวเฉล่ียครัวเรือนละ 15 ไร่ อย่ำงไรก็ตำม หำกเกษตรกรมีพื้นท่ีถือครองน้อยกว่ำน้ี หรือมำกกว่ำ น้ี กส็ ำมำรถใชอ้ ตั รำส่วน 30:30:30:10 เปน็ เกณฑ์ปรบั ใช้ได้ กล่ำวคือ รอ้ ยละ 30 สว่ นแรก ขุดสระนำ้ (สำมำรถเลี้ยงปลำ ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ดว้ ย) บนสระอำจสร้ำงเลำ้ ไก่และบนขอบสระน้ำอำจปลูกไม้ยืนต้นท่ีไม่ใช้น้ำ มำกโดยรอบ ได้ ร้อยละ 30 ส่วนทส่ี อง ทำนำ ร้อยละ 30 สว่ นทีส่ ำม ปลกู พืชไร่ พืชสวน (ไมผ้ ล ไมย้ ืนต้น ไมใ้ ชส้ อย ไม้เพื่อเป็นเช้ือ ฟืน ไมส้ รำ้ งบ้ำน พืชไร่ พืชผัก สมนุ ไพร เปน็ ต้น) ร้อยละ 10 สุดทำ้ ย เปน็ ท่ีอยู่อำศยั และอ่นื ๆ (ทำงเดิน คันดิน กองฟำง ลำนตำก กอง ปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพำะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้ำน เปน็ ตน้ ) อยำ่ งไรก็ตำม อตั รำส่วนดังกล่ำวเปน็ สูตร หรือหลกั กำรโดยประมำณเทำ่ นนั้ สำมำรถ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตำมควำมเหมำะสม โดยขึ้นอยู่กับสภำพของพ้ืนที่ดิน ปริมำณน้ำฝน และสภำพแวดล้อม เช่น ในกรณีภำคใต้ท่ีมีฝนตกชุก หรือพ้ืนท่ีท่ีมี แหล่งนำ้ มำเตมิ สระได้ต่อเนื่อง กอ็ ำจลดขนำดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง เพ่ือ เกบ็ พนื้ ที่ไว้ใช้ประโยชน์อืน่ ต่อไปได้

20 5. กำรดำเนินกำรตำมทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลำยประกำร ข้ึนอยกู่ บั สภำพภูมิ ประเทศ สภำพแวดลอ้ มของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ ดงั น้ัน เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจำก เจ้ำหน้ำท่ีด้วย และท่ีสำคัญ คือ รำคำกำรลงทุนค่อนข้ำงสูง โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำร ขุดสระน้ำ เกษตรกรจะตอ้ งได้รับควำมชว่ ยเหลอื จำกสว่ นรำชกำร มลู นธิ ิ และเอกชน 6. ในระหว่ำงกำรขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมำจำนวนมำก หน้ำดินซ่ึงเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่ำงหำกเพ่อื นำมำใช้ประโยชนใ์ นกำรปลูกพืชต่ำงๆ ในภำยหลัง โดย นำมำเกลีย่ คลมุ ดินชนั้ ล่ำงท่ีเป็นดนิ ไม่ดี หรืออำจนำมำถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่อง สำหรบั ปลกู ไมผ้ ลก็จะไดป้ ระโยชน์อกี ทำงหนง่ึ ประโยชนข์ องทฤษฎีใหม่ 1. ให้ประชำชนพออยู่พอกนิ สมควรแก่อัตภำพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยำก และ เล้ียงตนเองได้ตำมหลักปรัชญำ “เศรษฐกิจพอเพยี ง” 2. ในหน้ำแล้งมีน้ำน้อย ก็สำมำรถเอำน้ำที่เก็บไว้ในสระมำปลูกพืชผักต่ำงๆ ท่ีใช้น้ำ น้อยได้ โดยไมต่ อ้ งเบียดเบยี นชลประทำน 3. ในปที ฝี่ นตกตำมฤดูกำลโดยมนี ้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่น้ีสำมำรถสร้ำงรำยได้ให้แก่ เกษตรกรไดโ้ ดยไมเ่ ดอื ดร้อนในเรื่องค่ำ ใชจ้ ำ่ ยต่ำงๆ 4. ในกรณที ี่เกดิ อุทกภยั เกษตรกรสำมำรถท่ีจะฟ้ืนตวั และช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทำงรำชกำรไมต่ อ้ งชว่ ยเหลือมำกนัก ซง่ึ เป็นกำรประหยดั งบประมำณดว้ ย

ทฤษฏีบันได 9 ขั้น 21 นำไปสู่ควำมพอเพียง กำรไปสคู่ วำมพอเพยี ง ตำมแนวทำงศำสตร์พระรำชำ เน้นกำร เรมิ่ ตน้ ท่กี ำรทำเพอ่ื พอกนิ พอใช้ พออยู่ และพอรม่ เย็น เร่ิมที่ตัวเรำเอง \"พอ\" ก่อน ต่อเมื่อมีเหลือแล้วจึงขยำยต่อไป แบ่งเป็นข้ันพ้ืนฐำน 4 ข้ัน และขั้นก้ำวหน้ำอีก 5 ข้ัน รวมเป็น บันได 9 ขน้ั สู่ควำมพอเพยี งที่ยงั่ ยืน เศรษฐกิจพอเพยี ง ขนั้ พนื้ ฐำน ขนั้ ที่ 1-4 1.พอกิน มกี ินเพียงพอ ทง้ั ข้ำว ปลำ พชื ผกั ได้จำก ป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง และนำอินทรยี ์ 2.พอใช้ เครื่องใช้ไม้สอยต่ำง ๆ ทำฟืน ทำของใช้ต่ำง ๆ ได้จำก ป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง 3.พออยู่ ปลกู ท่ีอยู่ บ้ำน ร้ัว ฯลฯ ไดจ้ ำก ป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง 4.พอร่มเย็น รม่ เงำจำกตน้ ไมใ้ หญ่ ได้จำก ป่ำ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง

22 เศรษฐกจิ พอเพยี ง ข้ันก้ำวหน้ำ ขน้ั ที่ 5-9 5.บญุ เมือ่ มีเหลือ จงึ นำไปทำบุญ ในงำนบุญตำ่ งๆ 6.ทำน บรจิ ำคทำนแกผ่ ูย้ ำกไร้ ผูไ้ ม่มีดว้ ยของที่เรำมี 7.เกบ็ เปน็ รำกฐำนยำมวิกฤติ เชน่ เก็บข้ำวในยุ้งฉำง เก็บเมล็ดพันธุ์เพ่ือฤดูกำลหน้ำ ถนอมอำหำรไวก้ ิน 8.ขำย จำกส่ิงท่ีเรำทำเหลอื เพ่อื มอบสงิ่ ทเ่ี ป็นประโยชนไ์ ปต่อยงั ผอู้ น่ื 9.ข่ำย เชือ่ มโยงเครือข่ำยทงั้ ประเทศ เพอ่ื แบง่ ปนั ควำมรู้ ลงแรงชว่ ยเหลอื กัน ข้ันท่ี 1 พอกิน พ้ืนฐำนที่สุดของมนุษย์ คือ ควำมต้องกำรปัจจัย 4 และประกำรสำคัญที่สุดของ ปัจจัย 4 คือ อำหำร ข้ันที่ 1 ของแนวทำงแก้ปัญหำท่ียั่งยืนคือ ตอบคำถำมให้ได้ว่ำ “ทำอย่ำงไรจึงจะพอกิน” โดยให้ควำมสำคัญกับ ข้ำวปลำอำหำร ไม่ให้ควำมสำคัญ กับเงิน ซ่ึงเป็นเพียงแค่ “ตัวกลำง” ในกำรแลกเปลี่ยนตำมมำตรฐำนสำกล โดยยึด หลักวำ่ “เงนิ ทองเป็นของมำยำ ขำ้ วปลำสิของจริง” เกษตรกรต้องเริ่มจำกกำรอยู่ให้ได้โดยไม่ใช้เงิน มีอำหำรพอมี พอกิน ด้วยกำรปลูก พืช ผัก ผลไม้ ให้พอกิน ชำวนำต้องเก็บข้ำวไว้ให้เพียงพอสำหรับกำรมีกินทั้งปี ไม่ ขำยข้ำวเปลอื กเพือ่ นำเงินไปซื้อขำ้ วสำร นอกจำกนน้ั หัวใจสำคญั ของ “พอกิน” ยังมีควำมหมำยรวมไปถึงควำมปลอดภัยใน อำหำร กินอย่ำงไรให้มีสุขภำพดี ไม่สะสมเอำควำมเจ็บไข้ได้ป่วยไว้ในร่ำงกำย นี่คือ ควำมหมำยของบนั ไดขั้นที่ 1 ทเ่ี กษตรกรต้องก้ำวข้ำมให้ได้

23 ขน้ั ท่ี 2-4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น บันไดขั้นท่ี 2-4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น เกิดขึ้นได้พร้อมกัน ด้วยคำตอบเดียวคือ “ปลูกป่ำ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง” ซึ่งป่ำ 3 อย่ำงจะให้ทั้ง อำหำร เคร่ืองนุ่งห่ม สมุนไพรสำหรับรักษำโรค ทั้งโรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สำหรับทำบ้ำนพักท่ีอยู่ อำศัย และให้ควำมร่มเย็นกับบ้ำน กับชุมชน กับโลกใบน้ี ซ่ึงเป็นแนวทำงในกำร แกป้ ัญหำควำมยำกจนของเกษตรกรไทย ซึ่งได้รับกำรพสิ ูจนแ์ ล้วว่ำสำมำรถแก้ปัญหำ ได้จริง และยังสำมำรถย้อนกลับไปแก้ไขปัญหำหนี้สินซึ่งสะสมพอกพูนจำกกำรทำ เกษตรเชิงเดี่ยว ปัญหำควำมเสื่อมโทรมของทรัพยำกร ปัญหำควำมขำดแคลนนำ ภัยแล้ง ทั้งหมดล้วนแก้ไขได้จำกแนวคิดป่ำ 3 อย่ำงประโยชน์ 4 อย่ำงขององค์ พระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยูห่ วั ในรัชกำลท่ี 9 ขนั้ ที่ 5-6 บญุ และทำน เครือข่ำยเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อม่ันว่ำสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทำน ไม่เน้น กำรแลกเปลี่ยนทำงกำรค้ำ แต่เน้นกำรทำบุญ ไม่เน้นกำรสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นกำรให้ทำนและสะสมโดยมอบให้เป็นทรัพย์สินส่วนรวมโดยวัด หรือศำสน สถำนตำมแตล่ ะศำสนำเป็นศูนยก์ ลำง เปน็ กำรฝกึ จิตใจ ให้ละซง่ึ ควำมโลภ และกิเลส ในกำรอยำกได้ ใครม่ ี ลดปัญหำช่องวำ่ งระหวำ่ งชนช้ัน ตำมควำมหมำยอันลึกซึ้งของ คำ “Our Loss is Our Gain” หรือ “ยิ่งทำย่ิงได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” กำรให้ไปคือได้มำ และเช่ือมั่นในฤทธิ์ของทำน ว่ำทำนมีฤทธิ์จริง และจะส่งผลกลับมำเป็นเพ่ือน เป็นกัลยำณมิตร เป็นเครือข่ำยท่ีช่วยเหลือกันในทุกสถำนกำรณ์ แม้ในวันที่โลกนี้ ประสบกับวิกฤตกำรณ์

24 ขน้ั ท่ี 7 เก็บรักษำ ขั้นต่อไปหลังจำกสำมำรถพึ่งตนเองได้ พอมี พอเหลือทำบุญ ทำทำนแล้ว คือกำร รู้จักเก็บรักษำ ซึ่งเป็นกำรต้ังอยู่ในควำมไม่ประมำท และกำรรู้จักเก็บรักษำ ยังเป็น กำรสรำ้ งรำกฐำนของกำรเอำตัวรอดในเวลำเกิดวิกฤตกำรณ์ โดยยึดแนวทำงตำมวิถี ชวี ิตชำวนำสมัยกอ่ นซ่งึ เกบ็ รักษำขำ้ วไวใ้ นย้งุ ฉำงเพื่อ ให้พอมีกินข้ำมปี คัดเลือกและ เก็บรักษำ “ข้ำวพันธุ์” ไว้สำหรับเป็นพันธ์ุข้ำวในปีต่อไป ซึ่งผิดกับวิถีชำวนำใน ปัจจุบันที่ใช้วิธีกำรขำยข้ำวทั้งหมด แล้วนำเงินท่ีขำยได้ไปซ้ือพันธ์ุข้ำวเพ่ือปลูกในปี ต่อไป ส่งผลให้เกิดกำรขำดควำมม่ันคงและเปรียบเสมือนกำรใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทำง สำย ควำมประมำท เพรำะหำกเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตไม่ได้ตำมที่ต้ังใจไว้ ยอ่ มหมำยถงึ ปัญหำหนส้ี นิ และกำรขำดแคลนพนั ธข์ุ ำ้ วสำหรับปลกู ในปตี อ่ ไป นอกจำกเกบ็ พนั ธ์ขุ ้ำวแล้ว ยังเน้นให้รู้จักวิธีกำรถนอมอำหำร กำรสะสม อำหำรไว้ กินในยำมหน้ำแล้ง ด้วยกำรแปรรูปอำหำรหลำกชนิด อำทิ ปลำร้ำ ปลำแห้ง มะขำมเปียก พริกแห้ง หอม กระเทียม เพอ่ื เก็บไวก้ นิ ในอนำคต ขนั้ ที่ 8 ขำย เน่ืองจำกเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจกำรค้ำ แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขำ กำรค้ำขำยสำมำรถทำได้ แต่ทำภำยใต้กำรรู้จักตนเอง รู้จักพอประมำณ และทำไป ตำมลำดับ โดยของที่ขำย คือ ของที่เหลือจำกทุกขั้นแล้วจึงนำมำขำย เช่น ทำนำ อินทรีย์ ปลูกข้ำวปลอดสำรเคมี ไม่ทำลำยธรรมชำติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้ ทำพันธุ์ ทำบุญ ทำทำน แลว้ จงึ นำมำขำยดว้ ยควำมรูส้ กึ ของกำร “ให้” อยำกท่ีจะให้ สิ่งดีๆ ทเี่ รำปลกู เอง เผ่ือแผใ่ หก้ บั คนอื่นๆ ไดร้ ับส่งิ ดีๆ นนั้ ๆ ดว้ ย กำรค้ำขำยตำมแนวทำงเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นกำรค้ำท่ีมองกลับด้ำน “เพรำะรักคุณจึงอยำกให้คุณได้รับในสิ่งดีๆ” พอเพียงเพ่ืออุ้มชู เผื่อแผ่ แบ่งปัน ไปด้วยกนั

25 ข้ันท่ี 9 (เครอื ) ข่ำย กองกำลังเกษตรโยธิน คอื กำรสรำ้ งกองกำลงั เกษตรโยธิน หรือกำรสร้ำงเครือขำ่ ยเชอ่ื มโยงทั้งประเทศ เพ่ือ ขยำยผลควำม สำเร็จตำมแนวทำงเศรษฐกิจพอเพยี ง สกู่ ำรปฏิวตั แิ นวคดิ และวิถีกำร ดำเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อกำรแก้ปัญหำวิกฤต 4 ประกำร อันได้แก่ 9.1 วิกฤตกำรณ์ส่งิ แวดล้อม ภัยธรรมชำติ (Environmental Crisis) 9.2 วิกฤตกำรณ์โรคระบำดทงั้ ในคน สตั ว์ พืช (Epidemic Crisis) 9.3 วิกฤตเศรษฐกจิ ข้ำวยำกหมำกแพง (Economic Crisis) 9.4 วิกฤตควำมขดั แย้งทำงสงั คม/สงครำม (Political/Social Crisis) กำรพัฒนำต้องทำ พืน้ ฐำนให้มน่ั คง

ป่ำ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง 26 พระรำชดำรัสของพระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดช มหำรำช บรมนำถบพิตร เก่ียวกับป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง ณ โรงแรมรินคำ จงั หวดั เชียงใหม่ “…สมควรท่ีจะปลูกแบบป่ำสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่ำสำหรับใช้ผลหนึ่ง ป่ำสำหรับใช้เป็นฟืนอย่ำงหนึ่ง อันนี้แจกออกไปเป็นกว้ำงๆใหญ่ๆ กำรท่จี ะปลกู ต้นไมส้ ำหรบั ได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเครำะห์ของกรม ป่ำไม้ รู้สึกว่ำจะไม่ใช่ป่ำไม้ จะเป็นสวนมำกกว่ำเป็นป่ำไม้ แต่ว่ำใน ควำมหมำยของกำรช่วยเพ่อื ต้นน้ำลำธำรนัน้ ป่ำไม้เช่นนี้จะเป็นสวน ผลไม้ก็ตำม หรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตำม นั่นแหละเป็นป่ำไม้ที่ถูกต้อง เพรำะทำหนำ้ ทเี่ ปน็ ปำ่ คือเป็นต้นไม้และทำหน้ำที่เป็นทรัพยำกรใน ดำ้ นสำหรบั เป็นผลท่ีมำเป็นประโยชนแ์ ก่ประชำชนได้…” ปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง คือแนวคิดที่พระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภมู พิ ลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร พระรำชทำนไว้เพ่ือให้เกิดกำรอนุรักษ์ ดนิ น้ำ และทรัพยำกรป่ำไม้ พรอ้ มกบั อยบู่ นพ้ืนฐำนของควำมตอ้ งกำรด้ำนเศรษฐกิจ และสังคมของประชำชน ดว้ ยกำรจำแนกปำ่ 3 อย่ำง ดังน้ี 1. ป่ำไมใ้ ชส้ อย คือ ไมโ้ ตเรว็ สำหรับใช้ในครัวเรือน เชน่ สะเดำ ไม้ไผ่ 2. ป่ำไม้กินได้ คือ ไม้ผล เชน่ มะมว่ ง และผกั กินใบต่ำงๆ 3. ป่ำไมเ้ ศรษฐกิจ คอื ไมท้ ่ปี ลูกไว้ขำย หรือไม้เศรษฐกจิ เช่น ไม้สัก

27 ผลที่เกิดขึ้น คือ เกิดกำรอนุรักษ์และเพิ่มพ้ืนท่ีป่ำของประเทศไทย เนื่องจำก ประชำชนได้ตระหนกั และเห็นคุณคำ่ จำกกำรใช้ประโยชนข์ องปำ่ ไม้ท่ีปลูก โดยขอย่อ ประโยชน์ทัง้ 4 อย่ำงแนะนำดังนี้ 1. พออยู่ คอื กำรปลูกตน้ ไม้ทใ่ี ช้เนอ้ื ไมแ้ ละไม้เชิงเศรษฐกิจให้เป็นป่ำ ไม้กลุ่มนี้เป็นไม้ อำยุยำวนำนซึ่งจะเน้นประโยชน์โดยใช้เนื้อไม้เพ่ือสร้ำงบ้ำน ทำเครื่องเรือน และถือ ได้ว่ำ เป็นกำรออมทรัพย์เพื่อสร้ำงควำมมั่นคงในอนำคต ต้นไม้กลุ่มนี้ เช่น ตะเคียนทอง ยำงนำ แดง สกั พะยูง พะยอม 2. พอกิน คือ กำรปลูกต้นไม้ท่ีกินได้รวมท้ังใช้เป็นยำสมุนไพร ไม้ในกลุ่มน้ี เช่น แค มะรมุ ทุเรียน สะตอ ผักหวำน ฝำง แฮม่ กลว้ ย ฟักข้ำว

28 3. พอใช้ คอื กำรปลูกต้นไมใ้ ห้เป็นป่ำไม้สำหรับใช้สอยในครัวเรือน อำทิ ทำฟืน เผำ ถำ่ น ทำงำนหตั ถกรรม หรือทำนำ้ ยำซกั ล้ำง ไม้ในกลุ่มน้ี เชน่ มะคำดีควำย หวำย ไผ่ หมีเหมน็ เปน็ ตน้ 4. พอร่มเย็น คือ ประโยชน์อย่ำงท่ี 4 ท่ีเกิดจำกกำรปลูกป่ำ 3 อย่ำง ที่ทำให้เกิด ควำมร่มเย็น และป่ำทั้ง 3 อย่ำงน้ี จะช่วยฟ้ืนฟูระบบนิเวศดินและน้ำ ให้กลับอุดม สมบูรณ์ รม่ รน่ื และฉำ่ เย็นขึน้ มำ ข้อคำนึงในกำรปลูกป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง คอื 1. ไมเ้ บิกนำ ไมส้ ะเดำ มะรมุ แค ไม้ผล กล้วย ออ้ ยและพชื ผักอำยุสั้น ควรหำมำปลูก ก่อน เพื่อสรำ้ งแหล่งอำหำรของครอบครัว 2. ไม้ปลกู เพอื่ อย่อู ำศยั ควรปลกู หลังจำกปลกู ไม้ในข้อที่ 1 ประมำณ 1-2 ปี 3. ไม้สมุนไพร จะเจรญิ เตบิ โตไดด้ เี มอ่ื มคี วำมรม่ รื่นเพยี งพอ 4. นำขำ้ ว กำหนดพื้นท่ใี หเ้ หมำะสม หำกมีพ้ืนท่ีพอ เพื่อเก็บข้ำวไว้กินระหว่ำงปีโดย ไม่ต้องซื้อ 5. ร่องน้ำ ควรขุดรอ่ งน้ำขนำดเลก็ เพอื่ ให้ควำมช่มุ ช้นื กับพ้นื ดินและต้นไม้ ซ่ึงจะทำให้ สำมำรถเลีย้ งปลำธรรมชำตเิ พือ่ ใชเ้ ปน็ อำหำรโดยขดุ เช่ือมกับบอ่ ขนำดใหญ่ 6. ปลูกต้นไม้หลำกหลำย เพ่ือกำรใช้ประโยชน์ได้หลำกหลำย ช่วยลดค่ำใช้จ่ำย สร้ำงควำมม่ันค่ัง ม่นั คงซงึ่ เปน็ กำรเสริมสรำ้ งภูมคิ ุ้มกันในครอบครัวและชมุ ชน

ป่ำ 5 ระดบั 29 ป่ำ 5ระดับมัน เป็นอยำ่ งไร? ลองอ่ำนดสู ิ แล้วเธอจะเข้ำใจ ปลูกป่ำ 5 ระดับ ระดับลักษณะกำรปลูกพืชในแปลงเกษตรผสมผสำน คือ มีกำร ปลูกพืชหลำกหลำยชนิด ให้อยู่ในแปลงเดียวกัน หลุมเดียวกัน แต่มีควำมสูงต่ำง ระดับกัน โดยอำศัยลักษณะควำมแตกต่ำงของพืช ที่มีควำมสูงต่ำมำปลูกร่วมกันใน แปลงเดยี วกนั เกิดกำรเกื้อกูลกันเหมือนป่ำธรรมชำติ ทำให้เกิดประโยชน์หลำยอย่ำง และสำมำรถใชพ้ ้ืนทท่ี กุ ตำรำงเมตรให้เกิดประโยชน์ สูงสดุ กำรจัดกำรพชื และนำ้ เปน็ 5 ระดับกำรปลูกพชื 5 ชน้ั เรยี กว่ำ เบญจเกษตร ระดับที่ 1 ปลูกพืชท่ีมีหัวฝังดิน เช่น ขิง ข่ำ หัวหอม กระเทียม สำยบัว เผือก มัน ฯลฯ โดยจะปลกู พวกพืชหัว เพอื่ เปน็ อำหำร ได้แกม่ นั สำประหลงั มนั เทศ ระดบั ที่ 2 ปลูกไมเ้ ล้ือย เชน่ บวบ นำ้ เตำ้ ถว่ั แตง มะระ ตำลึง ผักบุง้ ฯลฯ ระดบั ท่ี 3 ปลูกไม้พันธ์ุเตี้ย เป็นกำรใช้ประโยชน์จำกต้นไม้ท่ีมีทรงพุ่มเต้ีย เช่น พริก มะเขือ กะเพรำ ตะไคร้ ข้ำว ฟ้ำทะลำยโจร ทำนตะวัน ไม้ดอก พืชสมุนไพรต่ำงๆ ฯลฯ

30 ระดับที่ 4 ปลูกไมร้ ะดบั กลำง เป็นชั้นท่ีมีควำมสูงเป็นรองกลุ่มไม้ยืนต้น เช่น ขี้เหล็ก มะกรูด มะนำว มะพร้ำว ส้มโอ ขนุน ทุเรียน มะม่วง ดอกแค กล้วย ชะอม พืชไร่ พืชสวน ทกุ ชนดิ ฯลฯ ระดับที่ 5 ตน้ ไมท้ รงสงู อยู่ในอำกำศ ในกลุ่มน้ีจะปลูกไม้ใหญ่ ไม้ยืนต้นซึ่งเป็นไม้ติด แผ่นดิน ช่วยรักษำระบบนิเวศน์ อีกทั้งเป็นกำรออมเพื่ออนำคตสำหรับตนเอง และลูกหลำน เชน่ ตะเคียน ยำงนำ มะค่ำ มะฮอกกำนี ประดู่ ต้นสักฯลฯ ท่ีสำคัญในกำรปลูกพืชในสวนของเรำน้ันให้ยึดหลักกำรใช้ประโยชน์ของตนเองเป็น สำคัญ โดยแยกประโยชน์ไดด้ งั นี้ กำรปลูกพชื 5 ระดบั โดยกำรปลูกพืชตำมควำมสูงระดับต่ำงกัน และอยู่ร่วมกันได้ ชัน้ หนง่ึ อยสู่ งู สดุ ไดแ้ ก่ หมำก สะตอ ชั้นสอง เป็นไม้ท่ีมีควำมสูงปำนกลำงจำพวกไม้ ผล เช่น ทุเรยี น มังคุด ลองกอง ช้นั สำมเป็นไม้สูงจำกระดับพ้ืนไม่เกิน 3 เมตร ได้แก่ ผักเหลียง พริกไทย ช้ันส่ี ได้แก่ ไม้ดอกไม้ประดับ เช่น หน้ำวัว ขิงแดง ค้ำงคำวดำ ว่ำนเพชรหึง ช้ันห้ำ เป็นไมห้ ัว ได้แก่ ข่ำ ขงิ ตะไคร้

31 กำรปลูกพืชในลกั ษณะเก้ือกูลกนั เชน่ น้ี จะทำใหเ้ กดิ ระบบนเิ วศนซ์ ึ่งมลี ักษณะคล้ำย ป่ำ พืชสำมำรถพ่ึงพำอำศัยกันได้ และยังเป็นกำรใช้พ้ืนที่ให้เกิดประโยชน์สูง แม้เกษตรกรจะมพี น้ื ที่น้อยกส็ ำมำรถปลูกพืชไดห้ ลำยหลำยทำให้มรี ำยได้ตลอดปี กำรจดั กำรน้ำ 5 ขน้ั เรียกวำ่ เบญจธำรำ ช้ันที่ 1 อปุ โภค / บรโิ ภค ช้ันท่ี 2 สุขภำพชำระลำ้ งร่ำงกำย ชน้ั ท่ี 3 พืชพันธทุ์ ำงกำรเกษตร ชน้ั ที่ 4 เลีย้ งสัตวน์ ำ้ / สัตวเ์ ลี้ยง ชั้นที่ 5 คืนสธู่ รรมชำติ / สรำ้ งควำมชุม่ ชื้นใหก้ บั ผิวดิน ลกั ษณะกำรัดกำรนำ้ แบบเบญจธำรำ คอื กำรนำนำ้ มำหมนุ เวียนใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ มำกที่สุด เช่น น้ำที่เรำอำบน้ำสำมำรถนำไปรดต้นไม้ได้ หรือปล่อยลงสู่แหล่งเล้ียง สัตว์น้ำได้ เช่น บ่อปลำ บ่อเล้ียงเป็ดเพรำะน้ำยังสะอำดอยู่ และน้ำในบ่อสัตว์น้ำก็ สำมำรถปลอ่ ยสู่ตน้ ไมแ้ ละธรรมชำตไิ ด้ เพือ่ สร้ำงควำมชุม่ ชน้ื ตอ่

เกษตรอนิ ทรีย์ 32 แนวคิดพ้ืนฐำนของเกษตรอินทรีย์คือ กำรทำกำรเกษตรแบบองค์รวม ซึ่งแตกต่ำง อย่ำงมำกจำกระบบเกษตรแผนใหม่ที่มุ่งเน้นกำรใช้ปัจจัยกำรผลิตต่ำงๆ เพ่ือเพิ่ม ผลผลิตเฉพำะพชื ทป่ี ลกู ซึ่งเป็นแนวคดิ แบบแยกสว่ น เพรำะให้ควำมสนใจเฉพำะแต่ ผลผลติ ของพชื หลกั ทป่ี ลกู โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยำกรกำรเกษตรหรือ นิเวศกำรเกษตร สำหรับเกษตรอินทรีย์ซ่ึงเป็นกำรเกษตรแบบองค์รวมจะให้ ควำมสำคัญกับกำร อนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติและระบบนิเวศกำรเกษตร โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ กำรฟน้ื ฟูควำมอุดมสมบูรณ์ของดิน, กำรรักษำแหล่งน้ำให้สะอำด และกำรฟื้นฟูควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพของฟำร์ม ท้ังนี้เพรำะแนวทำงเกษตร อนิ ทรียอ์ ำศัยกลไกและกระบวนกำรของระบบนเิ วศในกำรทำ กำรผลติ จำกเหตุผลที่ได้กล่ำวมำแล้วข้ำงต้น เกษตรอินทรีย์จึงปฏิเสธกำรใช้สำรเคมีกำจัด ศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี เน่ืองจำกสำรเคมีกำรเกษตรเหล่ำนี้มีผลกระทบต่อกลไกและ กระบวนกำรของระบบนเิ วศ นอกเหนอื จำกกำรปฏเิ สธกำรใช้สำรเคมีกำรเกษตรแล้ว เกษตรอินทรีย์ยังให้ควำมสำคัญกับกำรสร้ำงสมดุลของวงจรของธำตุอำหำร, กำรประหยัดพลังงำน, กำรอนุรักษ์ระบบนิเวศกำรเกษตร และกำรฟื้นฟูควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ ซ่ึงถือได้ว่ำเกษตรอินทรีย์เป็นกำรบริหำรจัดกำรฟำร์มเชิง บวก (positive management)

33 และกำรจัดกำรเชิงบวกน้ีเองที่ทำให้เกษตรอินทรีย์แตกต่ำงอย่ำงสำคัญจำกกำร เกษตรท่ีไม่ใช้สำรเคมีแบบปล่อยปะละเลย (ที่มักอ้ำงว่ำ เป็นกำรเกษตรตำมแบบ ธรรมชำติ) หรือเกษตรปลอดสำรเคมีและเกษตรไรส้ ำรพิษท่เี ฟอื่ งฟูในบ้ำนเรำมำนำน หลำยปี เน่ืองจำกเกษตรอินทรีย์เป็นกำรเกษตรที่ให้ควำมสำคัญกับกำร ทำฟำร์มเชิง สร้ำงสรรค์ (เพ่ืออนุรักษ์และฟ้ืนฟูระบบนิเวศกำรเกษตรในไร่นำ) ดังนั้นเกษตรกรที่ หันมำทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องพัฒนำกำรเรียนรู้เก่ียว กับธรรมชำติและกำร บริหำรจัดกำรฟำร์มของตนเพิ่มข้ึนด้วย ผลท่ีตำมมำก็คือเกษตรอินทรีย์จึงเป็น แนวทำงกำรเกษตรท่ีตั้งอยู่บนกระบวนกำร แห่งกำรเรียนรู้และภูมิ ปัญญำ เพรำะเกษตรกรต้องสังเกต, ศึกษำ, วิเครำะห์-สังเครำะห์ และสรุปบทเรียนเก่ียวกับ กำรทำกำรเกษตรของฟำรม์ ตนเอง ซึ่งจะมีเงือ่ นไขทั้งทำงกำยภำพ (เชน่ ลกั ษณะของ ดิน ภูมิอำกำศ และภมู ินิเวศ) รวมถงึ เศรษฐกิจ-สังคมที่แตกต่ำงจำกพื้นที่อ่ืน เพ่ือคัด สรรและพัฒนำแนวทำงเกษตรอินทรีย์ที่เฉพำะและเหมำะสมกับฟำร์มของ ตัวเอง อยำ่ งแทจ้ ริง หลกั กำรของ \"เกษตรอินทรยี ์“ เกษตรอินทรีย์ให้ควำมสำคัญสูงสุดต่อ ”ดิน” เนื่องจำกดินเป็นรำกฐำนของทุกสิ่ง โฮวำรด์ ผ้บู กุ เบกิ เกษตรอินทรยี ์ยคุ ใหม่ ได้วำงหลักกำรสำคญั ไว้ 7 ประกำร คือ 1. สขุ ภำพท่ีดีเปน็ สิทธขิ ัน้ พื้นฐำนของสิ่งมชี ีวิตท้ังปวงทอี่ บุ ตั ิข้ึนมำบนโลก 2. สุขภำพทีด่ ตี ำมกฎข้อท่หี นึ่ง ต้องใช้กับท้ัง ดิน พืช สัตว์ และมนุษย์ โดยสุขภำพท่ี ดขี องส่ิงมีชวี ิตดังกลำ่ วจะเช่ือมโยงประสำนสมั พันธด์ จุ สำยโซ่ เส้นเดียวกนั 3. ควำมอ่อนแอและผลกระทบที่เกิดข้ึนกบั ดนิ จะสง่ ผลกระทบตอ่ ห่วงโซ่ที่อยู่สูงกว่ำ จนกระทัง่ ถงึ มนุษย์ซึ่งยนื อย่บู นสุดของห่วงโซแ่ ห่งควำมสัมพันธ์

34 4. ปัญหำกำรระบำดของโรคแมลงท้ังในกำรปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ในระบบ เกษตรกรรมสมยั ใหม่นัน้ คือปัญหำในหว่ งโซท่ สี่ องและสำม (พชื -สัตว์) 5. ปัญหำเร่ืองสุขภำพของคนในสังคมสมัยใหม่เป็นผลต่อเนื่องมำจำกปัญหำควำม ล้มเหลวท่เี กดิ ขึ้นในห่วงโซท่ ีส่ องและสำม 6. สุขภำพทีไ่ ม่ดีของพืช สัตว์และมนุษย์เป็นผลต่อเนื่องมำจำกสุขภำพที่ไม่ดีของดิน กำรแกป้ ัญหำเรอ่ื งสุขภำพโดยกำรพัฒนำยำ และคิดคน้ วธิ กี ำรรักษำโรคตำ่ งๆ ไม่อำจ ทำให้สุขภำพดีข้ึนได้ถ้ำละเลยควำมอดุ มสมบรู ณข์ องดิน 7. กำรปรับเปลี่ยนกำรพัฒนำท่ีถูกต้องจึงต้องสำนึกในปัญหำที่เกิดข้ึน ยอมรับกฎ และบทบำทอนั ซบั ซ้อนของธรรมชำติ โดยกำรคืนทุกส่ิงที่เหลือจำกกำรใช้ประโยชน์ ใหก้ ับผนื ดนิ ผสมผสำนกำรปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ และไม่กระทำกำรใดๆ ที่เป็นกำร รบกวนต่อกระบวนกำรสะสมธำตุอำหำรที่ดำเนินกำรโดยสิ่งมีชีวิติเล็กๆ ซึ่งอำศัย ในดิน ดงั น้ัน มโนทัศนข์ องดนิ ในหมู่นกั เกษตรอินทรีย์จงึ เป็นคนละแบบกับท่ีนกั เกษตรเคมี เขำ้ ใจ นักเกษตรอินทรีย์เช่ือว่ำดินใต้ฝ่ำเท้ำของมนุษย์นั้นมีชีวิต ควำมอุดมสมบูรณ์ ของดินมิได้เป็นภำพของดินซึ่งมีแร่ธำตุที่พืชต้องกำรไม่ก่ี ชนิด แต่เป็นดินท่ีมีควำม อดุ มสมบรู ณ์ของสิ่งมชี วี ติ เลก็ ๆ ในดินเป็นจำนวนมำก กำรใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่ำงเดียว เพ่ือผลติ อำหำรจะทำใหส้ มดลุ ของธำตุอำหำรรอง เสยี ไป และจะมีผลต่อคณุ ภำพของ อำหำรน้ันในที่สดุ

ธนำคำรนำ้ ใตด้ ิน 35 ธนำคำรน้ำใต้ดิน เหมือนกับธนำคำรฝำกเงิน ไหม? แล้วประเภท และประโยชน์ของ ธนำคำรน้ำใต้ดนิ มนั มอี ะไรบำ้ ง? ธนำคำรนำ้ ใตด้ นิ คอื กำรนำน้ำไปเก็บที่ช้ันใต้ดินในชั้นหินอุ้มน้ำ เหมือนกับเวลำท่ี ไดโ้ บนสั แล้วคณุ ฝำกเงินไว้กับธนำคำร วันไหนท่ีเดือดร้อนเร่ืองเงิน คุณก็สำมำรถนำ เงินที่เก็บออมไว้มำใช้ได้ ซ่ึงธนำคำรน้ำใต้ดินก็เหมือนกัน ช่วงหน้ำฝนท่ีมีน้ำมำก ธนำคำรน้ำใต้ดินจะช่วยดูดซับน้ำเพื่อนำไปกักเก็บไว้ที่ชั้นหินอุ้มน้ำ เม่ือถึงช่วง หน้ำแล้ง คณุ ก็สำมำรถสูบนำ้ มำใชไ้ ด้ ธนำคำรน้ำใต้ดินจะมี 2 ประเภท คือธนำคำรน้ำใต้ดิน ระบบปิด และธนำคำรน้ำใต้ ดิน ระบบเปิด ถ้ำทำธนำคำรน้ำใต้ดินท้ัง 2 ประเภท ควบคู่ไปด้วยกันจะมี ประสทิ ธิภำพมำกท่ีสดุ ธนำคำรนำ้ ใต้ดิน ระบบปิด

36 ใช้หลักกำรขุดบ่อเพื่อส่งน้ำไปเก็บไว้ท่ีช้ันน้ำบำดำล ขนำดและควำมลึกของบ่อ ข้ึนอยกู่ บั สภำพ และชนั้ ดินของแตล่ ะพน้ื ท่ี โดยมีขน้ั ตอนดังน้ี 1. ขดุ บอ่ ใหล้ กึ ถงึ ช้ันหินอมุ้ นำ้ จำกนั้นใสย่ ำงรถยนต์เพอ่ื ป้องกนั ขอบบอ่ พังทลำย 2. ใส่วัสดุท่ีหำได้ในพื้นที่ เช่นขวดน้ำ (ใส่น้ำ 1 ใน 3 ส่วน), ท่อนไม้ หรือเศษปูนให้ เต็มช่องว่ำงด้ำนนอกยำงรถยนต์ 3. นำทอ่ PVC มำวำงตรงกลำงบอ่ เพอ่ื เปน็ ชอ่ งระบำยอำกำศ นำวัสดุชนิดเดียวกับที่ ใสช่ ่องว่ำงด้ำนนอกมำเตมิ ใสช่ ่องวำ่ งด้ำนในให้เตม็ 4. คลุมด้วยผ้ำไนล่อน แล้วทับด้วยก้อนหิน และตำมด้วยหินละเอียดอีกที เพ่ือเป็น ตวั กรองให้เศษดนิ หรอื ขยะไม่ให้เข้ำไปอดุ ตนั ในบ่อ เมื่อฝนตกลงมำนำ้ จะไหลส่ชู ัน้ ใต้ ดินโดยตรง ผ่ำนธนำคำรน้ำใตด้ ิน ระบบปดิ ทท่ี ำขน้ึ มำ ธนำคำรน้ำใต้ดนิ ระบบเปิด

37 เป็นกำรเปิดผิวดินเพื่อท่ีจะสำมำรถใช้น้ำในระดับผิวดินได้เลย โดยจะมีกำรขุดบ่อ ขนำดใหญ่ แต่ขนำดเท่ำไหร่ข้ึนอยู่กับควำมเหมำะสมของพ้ืนที่ และควำมต้องกำร โดยมขี ั้นตอนดงั นี้ 1. เจำะพ้ืนบ่อเป็นหลุม 3 หลุมให้ลึกถึงช้ันหินอุ้มน้ำ เพ่ือให้น้ำไหลลงชั้นหินอุ้มน้ำ ไดด้ ี และมีชอ่ งสำหรับถำ่ ยเทอำกำศจำกโพรงใต้ดนิ เมอื่ ถกู น้ำเขำ้ ไปแทนท่ี 2. โดยน้ำที่นำมำเก็บน้ันมำจำกหลำยแหล่งด้วยกัน เช่น น้ำฝน หรือน้ำจำกกำรทำ ธนำคำรนำ้ ใตด้ นิ ระบบปิด ซงึ่ เมื่อน้ำถกู เติมลงชั้นใต้หินอุ้มน้ำปริมำณมำกพอ น้ำจะ เออ่ ล้นมำท่บี ่อโดยอัตโนมัติ ซึง่ เกษตรกรสำมำรถสูบน้ำจำกบอ่ นม้ี ำใช้ไดท้ ันที วธิ นี ้ีจะ ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องขุดเจำะหำแหล่งน้ำ หรือสูบน้ำจำกแหล่งน้ำไกลๆ ประหยัด พลังงำน แถมชว่ ยลดคำ่ ใช้จ่ำยไดป้ ีละหลำยล้ำนบำทเลยทเี ดยี ว ประโยชน์ของธนำคำรนำ้ ใต้ดิน 1. ช่วยแก้ปัญหำน้ำท่วมได้ เพรำะช่วยใหน้ ้ำซึมลงใต้ดินได้ดีข้นึ 2. ชว่ ยแกป้ ัญหำภยั แล้ง เพรำะสำมำรถสบู น้ำจำกธนำคำรน้ำใต้ดินใชไ้ ด้ตลอดเวลำ 3. แกป้ ัญหำน้ำเคม็ เพรำะมวลนำ้ เคม็ จะมีน้ำหนักมำกกวำ่ นำ้ จดื ฉะน้ันน้ำเค็มจะอยู่ ด้ำนลำ่ ง 4. แก้ปญั หำนำ้ สกปรก เพรำะระบบนำ้ แบบปดิ จะช่วยกรองนำ้ ให้สะอำดข้นึ

หลกั กำรทรงงำน 23 ขอ้ 38 ในหลวงรัชกำลท่ี 9 ทรงเป็น พระมหำกษัตริย์ที่นอกจำกจะทรง ด้วยทศพิธรำชธรรมแล้ว ทรงยัง เป็นพระรำชำท่ีเป็นแบบอย่ำงใน กำรดำเนินชีวติ และกำรทำงำนแก่พสกนกิ รของพระองคแ์ ละนำนำประเทศอีกด้วย ผู้คนตำ่ งประจักษถ์ งึ พระอัจฉริยภำพของพระองค์ และมคี วำมสำนึกในพระมหำกรุณำธิคุณเป็นล้นพ้นอันหำ ที่สุดมิได้ ซ่ึงแนวคิดหรือหลักกำรทรงงำนของในหลวงรัชกำลท่ี 9 มีควำมน่ำสนใจท่ี สมควรนำมำประยุกต์ใช้กับชวี ิตกำรทำงำนเปน็ อย่ำงย่ิง หำกท่ำนใดต้องกำรปฏิบัติตำม รอยเบ้ืองพระยคุ ลบำท ท่ำนสำมำรถนำหลักกำรทรงงำนของพระองค์ไปปรับใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้ ดงั นี้ หลักกำรทรงงำน ในหลวงรชั กำลที่ 9 1. จะทำอะไรต้องศึกษำข้อมลู ให้เปน็ ระบบ ทรงศึกษำข้อมูลรำยละเอียดอย่ำงเป็นระบบจำกข้อมูลเบ้ืองต้น ทั้งเอกสำร แผนที่ สอบถำมจำกเจ้ำหน้ำที่ นักวิชำกำร และรำษฎรในพื้นที่ให้ได้รำยละเอียดท่ีถูกต้อง เพอื่ นำขอ้ มลู เหล่ำนน้ั ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ อย่ำงถกู ต้อง รวดเรว็ และตรงตำมเป้ำหมำย 2. ระเบิดจำกภำยใน จะทำกำรใดๆ ต้องเรมิ่ จำกคนท่เี กย่ี วข้องเสียก่อน ตอ้ งสร้ำงควำมเข้มแขง็ จำกภำยในให้ เกิดควำมเข้ำใจและอยำกทำ ไม่ใช่กำรส่ังให้ทำ คนไม่เข้ำใจก็อำจจะไม่ทำก็เป็นได้ ในกำรทำงำนน้ันอำจจะต้องคุยหรือประชุมกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงำน หรือคนในทีม เสยี กอ่ น เพอ่ื ให้ทรำบถึงเปำ้ หมำยและวิธีกำรต่อไป

39 3. แกป้ ญั หำจำกจุดเลก็ ควรมองปัญหำภำพรวมก่อนเสมอ แต่เม่ือจะลงมือแก้ปัญหำนั้น ควรมองในสิ่งท่ีคน มักจะมองข้ำม แล้วเร่ิมแก้ปัญหำจำกจุดเล็กๆ เสียก่อน เม่ือสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยำยแก้ไปเร่ือยๆ ทีละจุด เรำสำมำรถเอำมำประยุกต์ใช้กับกำรทำงำนได้ โดย มองไปที่เป้ำหมำยใหญ่ของงำนแต่ละชิ้น แล้วเริ่มลงมือทำจำกจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำ คอ่ ยๆ แกไ้ ปทลี ะจุด งำนแต่ละชนิ้ กจ็ ะลุลวงไปได้ตำมเป้ำหมำยทวี่ ำงไว้ “ถ้ำปวด หัวคิดอะไรไม่ออก ก็ต้องแก้ไขกำรปวดหัวน้ีก่อน มันไม่ได้แก้อำกำรจริง แต่ต้อง แก้ปัญหำท่ที ำใหเ้ รำปวดหัวให้ไดเ้ สียกอ่ น เพอ่ื จะใหอ้ ยใู่ นสภำพทดี่ ีได้” 4. ทำตำมลำดบั ขัน้ เร่ิมต้นจำกกำรลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นก่อน เมื่อสำเร็จแล้วก็เริ่มลงมือสิ่งที่จำเป็น ลำดับต่อไป ด้วยควำมรอบคอบและระมัดระวัง ถ้ำทำตำมหลักน้ีได้ งำนทุกสิ่งก็จะ สำเร็จไดโ้ ดยงำ่ ย ในหลวงรัชกำลท่ี 9 ทรงเร่ิมต้นจำกส่ิงที่จำเป็นท่ีสุดของประชำชน เสียก่อน ได้แก่ สุขภำพสำธำรณสุข จำกน้ันจึงเป็นเร่ืองสำธำรณูปโภคขั้นพ้ืนฐำน และสิ่งจำเป็นในกำรประกอบอำชีพ อำทิ ถนน แหล่งน้ำเพ่ือกำรเกษตร กำรอปุ โภคบรโิ ภค เนน้ กำรปรับใชภ้ มู ปิ ญั ญำทอ้ งถิ่นทีร่ ำษฎรสำมำรถนำไปปฏิบัติได้ และเกดิ ประโยชน์สูงสุด “กำรพัฒนำประเทศจำเป็นต้องทำตำมลำดับข้ัน ต้องสร้ำง พื้นฐำน คือควำมพอมี พอกิน พอใช้ของประชำชนส่วนใหญ่เป็นเบ้ืองต้นก่อน ใช้วิธีกำรและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตำมหลักวิชำ เม่ือได้พื้นฐำนที่ม่ันคง พร้อมพอสมควร สำมำรถปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้ำงเสริมควำมเจริญและฐำนะ เศรษฐกิจข้ันท่ีสูงขึ้นโดยลำดับต่อไป” พระบรมรำโชวำทของในหลวงรัชกำลที่ 9 เมือ่ วันท่ี 18 กรกฎำคม 2517

40 5. ภูมิสงั คม ภูมศิ ำสตร์ สังคมศำสตร์ กำรพัฒนำใดๆ ต้องคำนึงถึงสภำพภูมิประเทศของบริเวณน้ันว่ำเป็นอย่ำงไร และ สังคมวิทยำเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละ ท้องถิ่นที่มีควำมแตกต่ำงกัน “กำรพัฒนำจะต้องเป็นไปตำมภูมิประเทศทำง ภูมิศำสตร์และภูมิประเทศทำงสังคมศำสตร์ ในสังคมวิทยำ คือนิสัยใจคอของคนเรำ จะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่ำงอ่ืนไม่ได้ เรำต้องแนะนำ เข้ำไปดูว่ำเขำต้องกำรอะไร จริงๆ แล้วก็อธิบำยใหเ้ ขำเข้ำใจหลกั กำรของกำรพัฒนำนี้ก็จะเกดิ ประโยชนอ์ ย่ำงยงิ่ ” 6. ทำงำนแบบองค์รวม ใช้วธิ ีคดิ เพ่ือกำรทำงำน โดยวธิ คี ดิ อยำ่ งองค์รวม คอื กำรมองส่ิงต่ำงๆ ท่ีเกิดอย่ำงเป็น ระบบครบวงจร ทุกสิ่งทุกอย่ำงมีมิติเช่ือมต่อกัน มองส่ิงที่เกิดขึ้นและแนวทำงแก้ไข อยำ่ งเชื่อมโยง 7. ไม่ติดตำรำ เมอ่ื เรำจะทำกำรใดนัน้ ควรทำงำน อ ย่ ำ ง ยื ด ห ยุ่ น กั บ ส ภ ำ พ แ ล ะ สถำนกำรณ์น้ันๆ ไม่ใช่กำรยึดติด อยู่กับแค่ในตำรำวิชำกำร เพรำะ บำงที่ควำมรูท้ ่วมหวั เอำตัวไม่รอด บำงคร้ังเรำยึดติดทฤษฎีมำก จนเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย ส่ิงที่เรำทำบำงครั้งต้องโอบอ้อมต่อสภำพธรรมชำติ ส่งิ แวดล้อม สงั คม และจิตวทิ ยำดว้ ย

41 8. รูจ้ กั ประหยัด เรยี บงำ่ ย ไดป้ ระโยชนส์ งู สุด ในกำรพฒั นำและช่วยเหลอื รำษฎร ในหลวงรัชกำลท่ี 9 ทรงใช้หลักในกำรแก้ปัญหำ ด้วยควำมเรียบง่ำยและประหยัด รำษฎรสำมำรถทำได้เอง หำได้ในท้องถ่ินและ ประยุกต์ใช้สิ่งท่ีมีอยู่ในภูมิภำคนั้นมำแก้ไข ปรับปรุง โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้ เทคโนโลยที ีย่ ุ่งยำกมำกนัก ดังพระรำชดำรสั ตอนหนงึ่ ว่ำ “ให้ปลูกป่ำโดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยใหข้ น้ึ เองตำมธรรมชำติจะได้ประหยดั งบประมำณ” 9. ทำให้ง่ำย ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไขงำน กำรพัฒนำประเทศตำมแนว พระรำชดำริไปได้โดยง่ำย ไม่ยุ่งยำกซับซ้อนและที่สำคัญอย่ำงยิ่งคือ สอดคล้องกับ สภำพควำมเป็นอยูข่ องประชำชนและระบบนิเวศโดยรวม “ทำใหง้ ำ่ ย” 10. กำรมีส่วนรว่ ม ทรงเปน็ นักประชำธปิ ไตย ทรงเปิดโอกำสให้สำธำรณชน ประชำชนหรือเจ้ำหน้ำที่ทุก ระดับได้มำร่วมแสดงควำมคิดเห็น “สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจให้กว้ำงขวำง หนัก แน่น รจู้ กั รบั ฟังควำมคิดเห็น แมก้ ระทัง่ ควำมวิพำกษ์วิจำรณ์จำกผู้อ่ืนอย่ำงฉลำดน้ัน แท้จริงคอื กำรระดมสติปัญญำละประสบกำรณ์อันหลำกหลำยมำอำนวยกำรปฏิบัติ บรหิ ำรงำนใหป้ ระสบผลสำเร็จท่ีสมบูรณน์ ่ันเอง” 11. ต้องยดึ ประโยชนส์ ่วนรวม ในหลวงรชั กำลท่ี 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังพระรำชดำรัส ตอนหน่ึงว่ำ “ใครต่อใครบอกว่ำ ขอให้เสียสละส่วนตัวเพ่ือส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบื่อ อำจรำคำญด้วยซ้ำว่ำ ใครต่อใครมำก็บอกว่ำขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อำจมำ นกึ ในใจวำ่ ให้ๆ อย่เู รอ่ื ยแลว้ สว่ นตวั จะได้อะไร ขอให้คิดว่ำคนท่ีให้เป็นเพ่ือส่วนรวม นั้น มไิ ด้ใหส้ ่วนรวมแต่อย่ำงเดียว เป็นกำรให้เพ่ือตัวเองสำมำรถที่จะมีส่วนรวมที่จะ อำศยั ได”้

42 12. บริกำรทีจ่ ดุ เดยี ว ทรงมีพระรำชดำริมำกว่ำ 20 ปีแล้ว ให้บริหำรศูนย์ศึกษำกำรพัฒนำหลำยแห่งทั่ว ประเทศโดยใช้หลกั กำร “กำรบรกิ ำรรวมท่ีจุดเดียว : One Stop Service” โดยทรง เน้นเร่ืองรู้รักสำมัคคีและกำรร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันด้วยกำรปรับลดช่องว่ำง ระหวำ่ งหน่วยงำนท่ีเกีย่ วข้อง 13. ใช้ธรรมชำตชิ ว่ ยธรรมชำติ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว รัชกำลที่ 9 ทรงเข้ำใจถึงธรรมชำติและต้องกำรให้ ประชำชนใกล้ชิดกับทรัพยำกรธรรมชำติ ทรงมองปัญหำธรรมชำติอย่ำงละเอียด โดยหำกเรำตอ้ งกำรแก้ไขธรรมชำติจะตอ้ งใช้ธรรมชำตเิ ขำ้ ช่วยเหลือเรำดว้ ย 14. ใชอ้ ธรรมปรำบอธรรม ทรงนำควำมจริงในเรื่องธรรมชำติและกฎเกณฑ์ของธรรมชำติมำเป็นหลักกำร แนวทำงปฏิบัติในกำรแก้ไขปัญหำและปรับปรุงสภำวะที่ไม่ปกติเข้ำสู่ระบบที่ปกติ เช่น กำรบำบัดน้ำเน่ำเสียโดยให้ผักตบชวำ ซ่ึงมีตำมธรรมชำติให้ดูดซึมส่ิงสกปรก ปนเปอื้ นในนำ้ 15. ปลูกป่ำในใจคน กำรจะทำกำรใดสำเร็จต้องปลูกจิตสำนึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่ำ เห็น ประโยชน์กับส่ิงที่จะทำ “เจ้ำหน้ำท่ีป่ำไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้ว คนเหล่ำนั้นก็จะพำกันปลกู ต้นไม้ลงบนแผน่ ดนิ และจะรักษำตน้ ไมด้ ว้ ยตนเอง” 16. ขำดทนุ คอื กำไร หลกั กำรในพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยหู่ วั รชั กำลท่ี 9 ทีม่ ตี ่อพสกนิกรไทย “กำรให้” และ “กำรเสยี สละ” เปน็ กำรกระทำอันมผี ลเปน็ กำไร คอื ควำมอยดู่ ีมีสขุ ของรำษฎร

43 17. กำรพึง่ พำตนเอง กำรพฒั นำตำมแนวพระรำชดำริ เพ่ือกำรแก้ไขปัญหำในเบอ้ื งตน้ ดว้ ยกำรแก้ไขปัญหำ เฉพำะหนำ้ เพ่อื ใหม้ ีควำมแข็งแรงพอท่ีจะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วข้ันต่อไปก็คือ กำร พฒั นำให้ประชำชนสำมำรถอย่ใู นสงั คมได้ตำมสภำพแวดลอ้ มและสำมำรถ พึ่งตนเอง ไดใ้ นทีส่ ดุ 18. พออยพู่ อกนิ ให้ประชำชนสำมำรถอยอู่ ยำ่ ง “พออยู่พอกิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยำย ใหม้ ีขีดสมรรถนะท่กี ำ้ วหน้ำตอ่ ไป 19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญำท่ีในหลวงรัชกำลท่ี 9 พระรำชทำนพระรำชดำรัสชี้แนะแนวทำงกำร ดำเนนิ ชีวติ ใหด้ ำเนนิ ไปบน “ทำงสำยกลำง” เพื่อให้รอดพ้นและสำมำรถดำรงอยู่ได้ อย่ำงม่ันคงและยั่งยืนภำยใต้กระแสโลกำภิวัตน์และกำรเปล่ียนแปลงต่ำงๆ ซึ่ง ปรัชญำนีส้ ำมำรถนำไปประยุกต์ใชไ้ ดท้ ง้ั ระดบั บุคคล องค์กร และชุมชน 20. ควำมซื่อสัตย์สุจริต จริงใจ ต่อกนั ผู้ท่ีมีควำมสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีควำมรู้น้อย ก็ย่อมทำ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ ห้ แ ก่ ส่ ว น ร ว ม ไ ด้ มำกกว่ำผู้ท่ีมีควำมรู้มำก แต่ไม่มี ควำมสุจรติ ไมม่ คี วำมบริสทุ ธ์ใิ จ

44 21. ทำงำนอย่ำงมคี วำมสุข ทำงำนตอ้ งมคี วำมสขุ ด้วย ถำ้ เรำทำอย่ำงไม่มีควำมสุขเรำจะแพ้ แต่ถ้ำเรำมีควำมสุข เรำจะชนะ สนุกกับกำรทำงำนเพียงเท่ำนั้น ถือว่ำเรำชนะแล้ว หรือจะทำงำนโดย คำนงึ ถงึ ควำมสขุ ทเี่ กิดจำกกำรได้ทำประโยชนใ์ หก้ ับผอู้ ื่นกส็ ำมำรถทำได้ “ทำงำนกับ ฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจำกกำรมีควำมสุขร่วมกัน ในกำรทำประโยชน์ให้กับ ผู้อื่น” 22. ควำมเพียร กำรเร่ิมต้นทำงำนหรือทำสิ่งใดน้ันอำจจะไม่ได้มีควำมพร้อม ต้องอำศัยควำมอดทน และควำมมุ่งมั่น ดังเช่นพระรำชนิพนธ์ “พระมหำชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยำยำมแม้ จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ำยน้ำต่อไป เพรำะถ้ำไม่เพียรว่ำยก็จะตกเป็นอำหำรปู ปลำและ ไม่ไดพ้ บกับเทวดำท่ีชว่ ยเหลือมใิ ห้จมนำ้ 23. รู้ รกั สำมคั คี รู้ คือ รปู้ ญั หำและรวู้ ิธีแก้ปญั หำนนั้ รัก คอื เมอื่ เรำรู้ถึงปญั หำและวธิ ีแก้แลว้ เรำต้องมคี วำมรัก ทจ่ี ะลงมือทำ ลงมือแก้ไข ปัญหำน้นั สำมัคคี คือ กำรแก้ไขปัญหำต่ำงๆ ไม่สำมำรถลงมือทำคนเดียวได้ ต้องอำศัยควำม ร่วมมอื รว่ มใจกนั

สำนต่อท่พี ่อทำ 45 “สำนต่อท่ีพ่อทำ” คำสัญญำ จำกใจคนไทยนับล้ำน เพ่ือสืบ สำนปณิธำนของพ่อ “ในทุกปีๆ ที่ได้เห็นคนไทยทั้ง ประเทศต่ำงเฝ้ำรอ “วันที่ 4 ธันวำ” และ “ช่วงเวลำ” ท่ีจะ ไ ด้ ฟั ง พ ร ะ ร ำ ช ด ำ รั ส ข อ ง พระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิ เบ ศร มห ำภูมิพลอ ดุลย เดช มหำรำช บรมนำถบพิตร อย่ำงใจ จดจ่อ ทุกคนรอคอยคำสอนของพ่อที่มอบเป็นแนวทำงและสร้ำงแรงบันดำลใจในกำร ดำเนนิ ชีวติ แกล่ กู ทุกคน แม้วำ่ ใน “วนั น้ี” “เวลำนี้” จะเกิดอะไรขึ้น แต่คำสอนของ พระองค์ยังคงอยู่ และยิ่งทวีคุณค่ำและควำมสำคัญมำกข้ึน พวกเรำจึงต้อง แปรเปลี่ยนควำมเศร้ำเป็นพลังเพื่อสืบสำนพระรำชปณิธำนของพระองค์ โดยร่วม เป็นส่วนหนึ่งในล้ำนคำสัญญำจำกคนไทยเพ่ือสำนต่อส่ิงท่ีพ่อสอนและทำไว้ให้คง อยตู่ ลอดไป” จำกแนวคิดข้ำงต้นจึงก่อเกิดเป็นแรงบันดำลใจให้ เครือข่ำยสำนต่อท่ีพ่อทำ ไดน้ ำมำสร้ำงสรรค์และถ่ำยทอดเรื่องรำวอนั นำ่ ประทับใจผำ่ นภำพยนตร์โฆษณำถึง 2 เรื่อง ไดแ้ ก่ เร่ือง “4 ธันวำคม” ซ่งึ เป็นจดุ เรม่ิ ต้นของกำรสะทอ้ นใหท้ ุกคนได้เห็น ถึงควำมรู้สึกของคนไทยในช่วงเวลำนี้ พร้อมกับจุดประกำยควำมคิดให้เรำได้เห็น แสงแหง่ ควำมหวงั จำกกระแสพระรำชดำรัสของพระองค์ที่ทรงพระรำชทำนในทุก คำ่ คืนของวันท่ี 4 ธันวำคม ซึ่งทุกคำสอนของพระองค์ที่ผ่ำนมำ ล้วนสะท้อนควำม จริงและมคี วำมลกึ ซึง้ จงึ เปน็ แรงบันดำลใจให้คนไทยมีกำลังใจกำ้ วตอ่ ไป ด้วยควำม อดทนและมุ่งม่นั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook