2 เส้นทางทอ่ งเที่ยว มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม คํานํา จังหวัดหนองคายถือเป็นจังหวัดหน่ึงในภาคอีสาน ท่ีอยู่สุดปลายถนนมิตรภาพติดกับ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) แต่ละปีจะมี นกั ทอ่ งเทย่ี วไปเยยี่ มเยอื นจงั หวดั แหง่ นเี้ ปน็ จา� นวนมาก โดยเฉพาะชว่ งเทศกาลออกพรรษา ๑๕ คา่� เดือน ๑๑ ของทกุ ปี จากกระแสปรากฏการณ์บ้ังไฟพญานาคท่ีท�าให้คนทวั่ โลกรู้จกั จังหวดั แห่งน ี้ แต่นอกจากช่วงเทศกาลบ้ังไฟพญานาคแล้ว จังหวัดแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเท่ียว ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจหลายแห่ง บางแห่งติดอันดับโลกท่ีหลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลมาก่อน เนอื่ งจากจงั หวัดหนองคายแหง่ น้มี ปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนานไมใ่ ชเ่ พยี งแค่ในสมยั รัตนโกสินทร์ เท่านน้ั แตเ่ ป็นเมอื งเกา่ สมัยก่อนยุคทวารวดีกวา่ ๓,๐๐๐ ป ี ทมี่ ีรอ่ งรอยปรากฏในประวตั ศิ าสตร ์ หลักฐานทางโบราณคดีที่มีเอกสารยนื ยนั ชัดเจน หนังสือ ท่องเท่ียวเส้นทางมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหนองคาย เล่มนี้ จึงจัดท�าขึ้น เพื่อต้องการน�าเสนอแหล่งท่องเท่ียวท่ีส�าคัญของจังหวัดหนองคายท่ีมีอยู่มากมายและถือเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้ให้ก�าเนิดเอาไว้และส่งต่อมาจนถึงรุ่นลูกหลาน ด้วยการสืบค้นเอกสาร งานวิจัย และงานเขียนท่ีมีคนเขียนเอาไว้เพ่ือรวบรวมน�าเสนอในมุมมอง สารคดีที่มเี นื้อหาสาระทีเ่ ปน็ จริงและอ่านได้ความสุขควบคู่ไปดว้ ย โดยมเี นอื้ หาครอบคลมุ ทงั้ เรอื่ ง ประวตั เิ มอื งหนองคาย วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา ศลิ ปะ การแสดง แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ กี รรม ประเพณ ี และเทศกาล งานชา่ งฝมี อื ดงั้ เดมิ การเลน่ พนื้ บา้ น กฬี าพืน้ บ้าน และศิลปะการต่อสูป้ อ้ งกนั ตวั สถานท่ีทอ่ งเท่ยี วและแหลง่ เรียนร้วู ถิ ีชมุ ชน ผู้จัดท�าหวังให้หนังสือเล่มน้ีเป็นคู่มือท่องเท่ียวท่ีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจ สามารถศึกษา ค้นคว้าและใช้เป็นคู่มือท่องเท่ียวจังหวัดหนองคายอย่างมีความสุข โดยเดินตามรอยภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรมของบรรพบรุ ษุ ทไ่ี ดก้ อ่ รา่ งเอาไวเ้ พอ่ื ใหต้ กทอดเปน็ มรดกมาถงึ ลกู หลานในยคุ สมยั นี้ ด้วยความนับถอื คณะผ้จู ัดท�า กมุ ภาพันธ ์ ๒๕๖๒ หนองคาย 3
สารบัญ ๖ (๕) ชา่ งฝีมอื ด้ังเดิม ๖๐ ๕.๑ ชา่ งแทงหยวกงานฝีมือช่างลุ่มน้�าโขง ๖๐ แผนทเ่ี สน้ ทางท่องเท่ยี วมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๘ ๖๓ จังหวดั หนองคาย ๑๘ ๕.๒ บายศรบี ชู าพญานาค ๖๖ ขอ้ มลู พ้นื ฐานทั่วไป ประวัติความเปน็ มาและกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ๑๘ ๕.๓ จากครกหินสู่แจกนั เครอื่ งปน้ั ดินเผาลายพญานาค ๗๔ (๑) วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ๒๖ (๖) การเล่นพนื้ บ้าน กฬี าพ้ืนบ้าน และศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตวั ๗๔ ๑.๑ ตา� นานบ้งั ไฟพญานาค ๓๐ ๗๙ ๑.๒ ตา� นานเจ้าแม่สองนาง ๓๒ ๖.๑ ขว้างโหวด ๑.๓ ตา� นานพระสุก พระเสรมิ พระใส ๓๓ (๗) ลกั ษณะอนื ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง ๗๙ ๑.๔ ตา� นานเจ้าพ่ออา่ งปลาบึก ๓๖ ๘๖ ๑.๕ นทิ านพน้ื บ้านทา้ วศรีธน-มโนราห์ ๓๖ และสถานที่ทอ่ งเทีย่ วทางประวตั ศิ าสตร์ วัฒนธรรม ๙๔ (๒) ศลิ ปะการแสดง ๓๘ และแหล่งเรียนรู้วิถชี มุ ชน ๑๑๕ ๔๑ ๑๒๕ ๒.๑ ฟอ้ นพุทธบูชาลลี าพญานาคราช ๕๒ ๗.๑ แหล่งทอ่ งเทยี่ วทางธรรมชาติ ๑๓๐ ๒.๒ หมอลา� กลอน ๕๓ ๗.๒ แหลง่ ท่องเทย่ี วทางศาสนา (๓) แนวปฏบิ ัติทางสังคม พิธกี รรม ประเพณี และเทศกาล ๕๗ ๗.๓ แหลง่ ท่องเที่ยวทางโบราณคดแี ละสถาปตั ยกรรม (๔) ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ียวกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ๗.๔ แหล่งทอ่ งเท่ียวโดยชุมชน ๔.๑ พรานปลาแหง่ ลุม่ น�้าโขง ๗.๕ แหลง่ ทอ่ งเทีย่ วอ่นื ๆ ๔.๒ ข้าวเกรียบ ขา้ วโปง่ งา บา้ นนาทราย บรรณานุกรม 4 เส้นทางท่องเทย่ี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม หนองคาย 5
จดุ ที่ 6 ขวางโหวด จุดท่ี 13 ตลาดทาเสด็จ แผนท่เี ส้นทางทอ่ งเทีย่ ว ถนนสายหนองคาย-สงั คม จดุ ท่ี 11 มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม จังหวดั หนองคาย ริมแมน้ำโขง อนสุ าวรียปราบฮอ จดุ ที่ 5 วัดหนิ หมากเปง จุดที่ 15 วัดโพธช์ิ ยั จดุ ที่ 17 โฮมสเตยบานเด่ือ จดุ ท่ี 8 แทงหยวก หลวงพอพระใส ถนนสายทาบอ-ศรีเชยี งใหม ถนนสายทาบอ-หนองคาย รมิ แมน้ำโขง ถนนมีชยั บรเิ วณสวนสาธารณะหนองถิ่น บึงกาฬ อ.รัตนวาป จุดที่ 19 วัดบานแดนเมอื ง (วัดปจจนั ตบุร)ี เลย 6 จุดที่ 7 วดั เทพพลประดษิ ฐาราม อ.สังคม ถนนสายทาบอ-หนองคาย ริมแมนำ้ โขง จดุ ที่ 4 พพิ ิธภัณฑบานโคกคอน จุดท่ี 16 โฮมสเตย 19 อ.เฝาไร เลยพระธาตบุ งั พวนไปดานซาย ถนนสาย บานสีกายเหนือ หนองคาย-ทาบอ ประมาณ 15 กิโลเมตร 5 สาธารณรัฐ 16 17 20 จุดที่ 18 จุดท่ี 3 อ.ศรเี ชียงใหม ประชาธิปไตย 18 อ.โพนพิสยั วดั ไทย พระธาตุบงั พวน ประชาชนลาว 13 15 จุดท่ี 20 และพานบายศรพี ญานาค อ.โพธต์ิ าก 11 14 จุดที่ 14 แหลงทำครกหนิ 8 ฟอนพทุ ธลีลานาคราช ตำบลชมุ ชาง 6 เสน้ ทางท่องเท่ยี ว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 7 หนองคาย อุดรธานี 4 อ.ทาบอ 12 จุดท่ี 12 3 ศาลเจาแมสองนาง 10 วดั หายโศก 9 1 อุดรธานี 2 อ.สระใคร จุดที่ 9 จดุ ที่ 10 จวนผวู าราชการจังหวดั หลังเกา พิพิธภณั ฑหนองคาย จุดที่ 2 จุดท่ี 1 ประตเู มืองหนองคาย ...หมายเหต.ุ .. ขาวเกรียบงา บานนาทราย หมอลำกลอนทกั ษิณ มาพร อยฝู งซายมือ ถนน สถานท่ที องเท่ยี ว ระยะทางจากจุดที่ 1 หลงั โลตสั เอ็กซเพรส ประมาณ 20 กิโลเมตร หนองคาย 7
หนองคาย เมอื งพญานาค ประวัติศาสตร์เมอื งหนองคาย จังหวัดหนองคาย เป็นจงั หวัดทีม่ ีขนาดเล็กท่ีสุดในภาคอสี าน มเี นือ้ ทีเ่ พยี ง ๓,๐๒๖.๕๓๔ ตามประวัตแิ ลว้ จงั หวัดหนองคายมชี ื่อเดมิ ว่า หนองค่าย แตถ่ กู เรียกเพี้ยนเป็นหนองคาย ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ ๑,๘๙๑,๕๘๓ ไรเ่ ทา่ นน้ั กอ่ นหนา้ ทจ่ี งั หวดั บงึ กาฬจะแยกตวั ออกไป มจี ดุ เรมิ่ ตน้ ของประวตั ศิ าสตรส์ มยั ใหมเ่ มอ่ื กวา่ ๒๐๐ ปที ผ่ี า่ นมา จากชมุ ชนเลก็ ๆ เมอื งรมิ แมน่ า�้ โขง เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๕๕๔ จงั หวดั นก้ี ม็ ขี นาดใหญไ่ มแ่ พจ้ งั หวดั อน่ื และเคยตดิ อนั ดบั เมอื งนา่ อยทู่ ส่ี ดุ ในโลก คือ เมอื งพานพรา้ ว เมอื งเวยี งคกุ เมอื งปะโค และเมอื งไผ่ (บา้ นบึงคา่ ย) มาแล้ว การเขา้ มาอยอู่ าศยั เรมิ่ จากอาณาจกั รลา้ นชา้ งอพยพเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานในอสี านเหนอื บรเิ วณ จากลักษณะของพ้ืนที่เป็นรูปยาวเรียงทอดไปตามล�าน�้าโขง ซ่ึงแม่น้�าโขงเป็นเส้นกั้น แอง่ สกลนครตงั้ แตร่ ชั สมยั ของพระยาสามเสนไท ตรงกบั รชั กาลของสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท ่ี ๑ เขตแดนระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีความยาว แหง่ อยธุ ยา บรเิ วณเวยี งคกุ และศรเี ชยี งใหมเ่ คยเปน็ สว่ นหนง่ึ ของเวยี งจนั ทนม์ ากอ่ น ปรากฏเปน็ ชอ่ื ตลอดแนวรวม ๑๙๕ กโิ ลเมตร ความกวา้ งของพน้ื ทท่ี อดขนานตามลา� นา้� โขงเฉลยี่ ๒๐-๒๕ กโิ ลเมตร เมอื งเวียงคุก เมืองปะโค เมืองปากหว้ ยหลวง (อ�าเภอโพนพิสัยปัจจบุ นั ) และนอกจากน้ียงั ปรากฏ ช่วงท่ีกวา้ งทีส่ ดุ อยทู่ ่ีอา� เภอเฝา้ ไร่และชว่ งทีแ่ คบท่ีสดุ อยูท่ ่อี า� เภอทา่ บ่อ ในศลิ าจารกึ จา� นวนมากทก่ี ษตั รยิ แ์ หง่ เวยี งจนั ทนไ์ ดส้ รา้ งไวใ้ นบรเิ วณจงั หวดั หนองคาย โดยเฉพาะ จงั หวดั หนองคายม ี ๖ อา� เภอทอ่ี ยตู่ ดิ กบั ลา� นา�้ โขง ประกอบดว้ ย อา� เภอสงั คม อา� เภอทา่ บอ่ เมืองปากห้วยหลวง (โพนพสิ ัย) เปน็ เมอื งลกู หลวง อา� เภอศรเี ชยี งใหม ่ อา� เภอเมอื ง อา� เภอโพนพสิ ยั และอา� เภอรตั นวาป ี มอี าณาเขตตดิ กบั สาธารณรฐั นอกจากนใ้ี นรชั สมยั พระเจา้ วรรตั นธรรมประโชต ิ พระราชโอรสในพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว คอื แขวงเวยี งจนั ทน ์ นครหลวงเวยี งจนั ทน ์ แขวงบอลคิ า� ไซ ซงึ่ ทา� ใหว้ ถิ ชี วี ติ ได้ต้ังสมเด็จพระสังฆราชวัดมุจลินทรอารามอยู่ท่ีเมืองห้วยหลวง และยังพบจารึกที่วัดจอมมณี ประเพณีวัฒนธรรมของคนจังหวัดน้ีมีความคล้ายคลึงกับประเทศเพ่ือนบ้านอย่างสาธารณรัฐ ลงศักราช พ.ศ. ๒๐๙๘ จารึกวดั ศรเี มือง พ.ศ. ๒๐๑๙ จารกึ วดั ศรีบญุ เรือง พ.ศ. ๒๑๕๑ เป็นตน้ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว และมวี ถิ ชี วี ติ ทตี่ อ้ งอาศยั ลา� นา�้ โขงเปน็ แหลง่ ทา� มาหากนิ ทา� ใหท้ กุ พน้ื ท่ี อีกท้ังยังพบโบราณสถานอิทธิพลล้านช้างจ�านวนมาก เช่น พระธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะ ของเมอื งนกี้ ลายเปน็ แหลง่ ท่องเทีย่ วพักผอ่ นและจุดน่าสนใจที่ใครมาแลว้ กไ็ ม่อยากกลับ พระธาตุบังพวน สร้างก่อน พ.ศ. ๒๑๐๖ จารึกวัดถ้�าสุวรรณคูหา (อ�าเภอสุวรรณคูหา จังหวัด เพราะความเป็นมาของเมืองแห่งน้ี ไม่ใช่เพ่ิงเกิดมาเมื่อ ๒๐๐-๓๐๐ ปีเท่านั้น แต่มี หนองบัวล�าภู) พ.ศ. ๒๑๐๖ กล่าวถึงพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้อุทิศข้าทาสและที่ดินแก่ ประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นเมืองหน้าด่านส�าคัญท่ีเกี่ยวพันกับประเทศเพ่ือนบ้านอย่าง วัดถ�้าสวุ รรณคูหาและได้สรา้ งพระพุทธรูปไวท้ พ่ี ระธาตบุ งั พวนอกี ด้วย สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ชนดิ แยกกนั ไมอ่ อก สง่ ผลถงึ วถิ ชี วี ติ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และแหล่งทอ่ งเท่ยี วทม่ี ีอย่ใู นปัจจบุ ันทเี่ ช่ือมโยงกบั ประเทศเพื่อนบ้านอกี ฝั่งของแม่นา�้ โขงดว้ ย หนองคาย 9 8 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๒ กองทพั สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ีไดช้ ยั ชนะกรงุ ศรสี ตั นาคนหตุ เวยี งจนั ทนแ์ ลว้ เจ้าเมืองหนองคายคนแรกถงึ คนที่ ๓ จดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑ์หนองคาย หัวเมืองหนองคายยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเวียงจันทน์เช่นเดิม หลังกรณีเจ้าอนุวงศ ์ พ.ศ. ๒๓๖๙–๒๓๗๐ ฝา่ ยกรงุ เทพฯ มีนโยบายอพยพผู้คนมาฝั่งภาคอสี าน จึงยุบเมอื งเวยี งจันทน์ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๘ เกดิ สงครามปราบฮอ่ ครงั้ ทส่ี องในบรเิ วณทงุ่ ไหหนิ (ทงุ่ เชยี งคา� ) สาธารณรฐั ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ เมอื งรา้ ง ชาวเมอื งเวยี งจนั ทนบ์ างสว่ นกอ็ พยพมาภาคกลางและบางสว่ นกอ็ ยทู่ บ่ี รเิ วณ ประชาธิปไตยประชาชนลาว พวกฮอ่ ตีมาจนถงึ เวียงจนั ทน ์ เมือ่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เมอื งเวยี งคกุ เมอื งปะโค (อา� เภอเมอื งหนองคายในปจั จบุ นั ) โดยในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงทราบข่าวศึกฮ่อ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ อย่หู ัว (รัชกาลท ่ี ๓) เจา้ อนวุ งศ์กษตั ริย์ผู้ครองนครเวียงจนั ทน ์ ได้ตั้งตวั เป็นกบฏ ยกกองทพั พระองคเ์ จา้ ทองกองกอ้ นใหญ ่ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคมขณะดา� รงพระอสิ รยิ ยศเปน็ กรมหมนื่ ผา่ นหวั เมอื งรายทางมาจนถงึ นครราชสมี า กรงุ เทพฯ ไดโ้ ปรดใหเ้ จา้ พระยาบดนิ ทรเดชา หรอื ตอ่ มา ประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพปราบฮ่อคร้ังนั้น จนพวกฮ่อหนีแตกกระเจิง และสร้างอนุสาวรีย์ คือ เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สงิ ห ์ สิงหเสน)ี เป็นแม่ทัพยกมาปราบ โดยมที ้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ปราบฮอ่ ไวท้ เี่ มอื งหนองคาย เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๙ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ - ยกกองทัพมาจากเมืองยโสธรและพระยาเชียงสา มาช่วยเป็นก�าลังส�าคัญ ในท่ีสุดสามารถจับตัว เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ใหพ้ ระเจา้ นอ้ งยาเธอกรมหมนื่ ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ดา� รงตา� แหนง่ เจา้ อนวุ งศไ์ ปกรงุ เทพฯ จนสา� เรจ็ และไดพ้ ระราชทานบา� เหนจ็ ลว่ งมาถงึ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๗๑ ข้าหลวงมณฑลลาวพวน (ภายหลังเปล่ียนเป็นมณฑลอุดร) ได้ตั้งท่ีท�าการที่เมืองหนองคาย ให้ท้าวสุวอธรรมาเมื่อจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงกราบบังคมทูล ครนั้ เกดิ วกิ ฤตการณ ์ รศ. ๑๑๒ ไทยถกู กา� หนดเขตปลอดทหารภายในรศั ม ี ๕๐ กโิ ลเมตรจากชายแดน พระกรณุ าพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ่ี ๓ ) โปรดเกลา้ ใหท้ า้ วสวุ อ (บญุ มา) เปน็ จงึ ยา้ ยกองบัญชาการมณฑลลาวพวน มาตัง้ ท่ตี �าบลหมากแขง้ อ�าเภอเมอื ง จงั หวดั อดุ รธาน ี “พระปทมุ เทวาภบิ าล” ดา� รงตา� แหนง่ เจา้ เมอื งหนองคายคนแรก ยกบา้ นไผ ่ (ละแวกเดยี วกบั เมอื งปะโค ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้โปรดเกล้า ให้ตรา เมืองเวียงคุก) เป็นเมืองหนองคาย และให้เมืองเวียงจันทน์ขึ้นตรงต่อเมืองหนองคาย มีเจ้าเมือง พระราชบญั ญตั ปิ กครองพน้ื ทขี่ น้ึ โดยใหย้ กเลกิ ระบอบเจา้ ปกครองทว่ั ประเทศ ในวนั ท ่ี ๑ เมษายน ตอ่ มาอกี ๒ คน คอื พระปทมุ เทวาภบิ าล (เคน ณ หนองคาย) ผเู้ ปน็ บตุ รและพระยาปทมุ เทวาภบิ าล พ.ศ. ๒๔๕๘ กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีค�าส่ังสถาปนาเมืองข้าหลวงปกครอง ซึ่งต่อมาเรียกว่า (เสอื ณ หนองคาย) ผู้เปน็ หลาน ผู้ว่าราชการจังหวัด และในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัดและอ�าเภอหนองคายจงึ ไดร้ บั การยกฐานะขึน้ เป็นจงั หวดั 10 เสน้ ทางทอ่ งเท่ียว มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ในป ีพ.ศ. ๒๕๕๔ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช (รชั กาลท ี่๙) ไดม้ ี พระราชบญั ญตั ติ ง้ั จงั หวดั บงึ กาฬ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยไดแ้ ยกอา� เภอบงึ กาฬ ปากคาด โซพ่ สิ ยั พรเจรญิ เซกา บึงโขงหลง ศรวี ไิ ล และบงุ่ คลา้ ออกจากจงั หวดั หนองคาย ไปต้ังเป็นจังหวัดบงึ กาฬ หนองคาย 11
จังหวัดหนองคายเป็นเมืองหน้าด่านที่ส�าคัญในการท�าสงครามในสมัยก่อน จึงท�าให้มี ในขณะที่กำรตั้งถิ่นฐำนของจังหวัดหนองคำย พบการตั้งถ่ินฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้�าโขง การกวาดต้อนผู้คนจากท้ังฝั่งประเทศลาวและไทยข้ามไปมา ท�าให้มีกลุ่มคนหลายชาติพันธุ์ใน เพราะอาศยั ในการเพาะปลกู และจากการศกึ ษาขอ้ มลู งานวจิ ยั เรอื่ ง พฒั นำกำรของชมุ ชนประวตั ศิ ำสตร์ จังหวัดหนองคาย แต่อย่างไรก็ตามในบันทึกทางประวัติศาสตร์ ได้บ่งบอกว่ามีกลุ่มคนที่อาศัย รมิ แมน่ ำ�้ โขง ของจงั หวดั หนองคำย โดยเขมโชต ภปู่ ระเสรฐิ และคณะ ทท่ี า� การวจิ ยั เมอื่ ป ีพ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเมืองอยู่ในบริเวณน้ีอยู่เดิมได้แก ่ เมืองพานพร้าว (อ�าเภอศรีเชียงใหม่) เมืองปากห้วยหลวง ที่ได้ศึกษาในพื้นท่ีเขตเทศบาลเมืองหนองคายและพื้นท่ีเทศบาลต�าบลศรีเชียงใหม่ พบว่าปัจจัย (อ�าเภอโพนพิสัย) ซง่ึ เป็นหน่ึงในอาณาจักรล้านช้าง ท่ีส่งผลต่อวิวัฒนาการของเมืองหนองคายมีหลายปัจจัยทั้งการที่ประชากรอพยพหนีจากการ ปลน้ สะดม กดขที่ ารณุ หรอื หนตี าย เมอื งหนองคายมสี ภาพเปน็ เมอื งรา้ งเนอื่ งจากกบฏจนี ฮอ่ บกุ เขา้ สัญลักษณป์ ระจำ� จังหวดั คือ พญานาค หรอื งูใหญ ่ ยดึ ปล้นสะดมพนื้ ทเ่ี มืองหนองคาย นอกจากนนั้ ยงั มกี ารเปล่ียนแปลงของธรรมชาต ิ ในชว่ งฤดูฝน แมน่ า้� โขงระดบั นา�้ สงู และนา้� ไหลเชย่ี วมาก พน้ื ทเี่ มอื งรมิ ฝง่ั ถกู กระแสนา้� กดั เซาะอยา่ งรนุ แรง ทา� ให้ คำ� ขวัญประจำ� จังหวัด คือ วรี กรรมปราบฮอ่ หลวงพ่อพระใส สะพานไทย-ลาว พ้ืนทร่ี ิมตลิง่ พัง ดังนน้ั จงึ เกิดโครงการปรบั ปรงุ พัฒนาพืน้ ท่แี ละการเปล่ียนแปลงประโยชน์การใช้ ทด่ี นิ ของเมอื ง อกี ทงั้ การเปลย่ี นแปลงของเสน้ ทางคมนาคมจากทางนา้� สทู่ างบก มกี ารขยายตวั ของเมอื ง ต้นไมป้ ระจ�ำจงั หวัด คอื ต้นชิงชนั ตามเส้นทางคมนาคมหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) และการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ดอกไม้ประจำ� จงั หวดั คือ ดอกชงิ ชนั การใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ บรเิ วณโดยรอบ หรอื พนื้ ทส่ี องฝง่ั เสน้ ทางคมนาคมทมี่ งุ่ ไปสโู่ ครงการเหลา่ นนั้ เชน่ ศนู ยร์ าชการจงั หวดั หนองคาย มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ วทิ ยาเขตหนองคาย และสะพานมติ รภาพ สปี ระจำ� จงั หวดั คอื สอี ฐิ ไทย-ลาว ซ่ึงท้ังสามโครงการท�าให้บทบาทในระดับประเทศของหนองคายชัดเจนขึ้น และยังมี การเปลี่ยนแปลงจากนโยบายระดับชาติ บทบาทของเมืองหนองคายถูกเปล่ียนเป็นเมืองหลัก 12 เส้นทางท่องเทย่ี ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม ดา้ นการท่องเท่ียวและการเปน็ ประตสู ู่อินโดจีน เปิดต้อนรับนักท่องเทย่ี วและผู้เข้ามาลงทนุ หนองคาย 13
บุคคลสาํ คัญ กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุในหนองคาย กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม นอกจากประวตั ศิ าสตรท์ ยี่ าวนานและเกยี่ วพนั กบั ประเทศเพอื่ นบา้ นแลว้ ผคู้ นทอี่ าศยั อยู่ ในเมอื งนกี้ น็ า่ สนใจไมแ่ พก้ นั เพราะไมใ่ ชค่ นพนื้ ทที่ งั้ หมด แตเ่ ปน็ คนทอี่ พยพโยกยา้ ยมาจากหลายท่ี พลตร ีพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ทองกองกอ้ นใหญ ่ จนทา� ใหม้ ชี าตพิ นั ธห์ุ ลายชาตพิ นั ธอ์ุ าศยั อย ู่ แตป่ จั จบุ นั ไดม้ กี ารปรบั ตวั และปรบั เปลยี่ นเอกลกั ษณ์ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ขณะดา� รงพระอสิ รยิ ยศเปน็ กรมหมนื่ เฉพาะตัวให้กลมกลืนกับชาวพื้นเมืองท่ีต้ังถิ่นฐานอยู่เดิมจนแทบแยกไม่ออก ทั้งการแต่งกาย ประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพปราบฮ่อคร้ังน้ันจนพวกฮ่อ ท่อี ยอู่ าศัย ประเพณี โดยเฉพาะสา� เนียงการพดู ที่ไม่หลงเหลอื กล่นิ อายของชาตพิ นั ธุแ์ ต่อยา่ งใด แตกหนี และสรา้ งอนุสาวรยี ป์ ราบฮ่อไวท้ เ่ี มืองหนองคาย เม่ือ แต่กย็ งั มบี างพื้นทที่ ีย่ งั รักษาประเพณี วฒั นธรรม สา� เนยี งการพูดไว้อย่บู ้าง พ.ศ. ๒๔๒๙ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ - เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ ตลาดท่าเสด็จแหล่งจา� หนา่ ยสนิ คา้ ท่ีใครมาต้องมาเยอื น กรมหม่ืนประจักษ์ศิลปาคม ด�ารงต�าแหน่งข้าหลวงมณฑล ลาวพวน (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอุดร) ได้ตั้งที่ท�าการ ไทหนองคาย คือ ชาวอ�าเภอเมืองหนองคายท่ีคนท้องถ่ินอีสานเขาเรียกกันว่า “คนไท ที่เมอื งหนองคาย หนองคาย” หมายถึง คนท่ีอาศัยอยู่ในจังหวดั หนองคาย กค็ อื ชาวลาวอสี านเช่นเดียวกับคนทาง ครนั้ เกดิ วกิ ฤตการณ ์ ร.ศ. ๑๑๒ ไทยถกู กา� หนดเขตปลอดทหารภายในรศั ม ี ๕๐ กโิ ลเมตรจาก อดุ รธาน ี ทงั้ นเ้ี นน้ ไปในอดตี ประชาชนชาวหนองคายกลมุ่ แรก คอื ชาวเวยี งจนั ทนท์ อี่ พยพขา้ มโขง ชายแดน จงึ ยา้ ยกองบญั ชาการมลฑลลาวพวนมาตง้ั ท ่ี ตา� บลหมากแขง้ อา� เภอเมอื ง จงั หวดั อดุ รธานี มาสร้างเมอื งใหม่ต้งั แตส่ มยั รชั กาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๗๐ อยา่ งไรกต็ ามภาษาถ่ินที่ไทหนองคายพดู กนั อยู่ทุกวันนี้แม้จะมีส�าเนียงคล้ายคลึงกับชาวลาวเวียงจันทน์ ในเขตสาธารณรัฐประชาธิปไตย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นศิษย์สายวิปัสสนา ประชาชนลาว มากกต็ าม แตก่ ใ็ ชว่ า่ จะเปน็ แบบเดยี วกนั นา้� เสยี งขนึ้ ตน้ ประโยคของชาวหนองคาย กรรมฐานของพระอาจารยเ์ สาร ์ กนตฺ สโี ล และพระอาจารยม์ นั่ จะสงู กวา่ คา� พดู ขนึ้ ตน้ ประโยคของชาวอสี านทว่ั ไป โดยมากจะลงทา้ ยประโยคคา� ถามดว้ ย “หวา” ภูริทัตโต ซึ่งท่านท้ังสองเป็นพระอาจารย์ใหญ่แห่งพระธุดงค์ เชน่ “เจา้ เปน็ คนหนองคายบแ่ มนหวา” เปน็ ตน้ ในแตล่ ะประโยคนา้� เสยี งของไทหนองคายจะเนน้ กรรมฐาน และวดั หนิ หมากเปง้ เปน็ สถานปฏบิ ตั ธิ รรมวปิ สั สนา สูงตา่� ฟงั ดูเสนาะหู ถ้าใครไม่เคยได้ยนิ คนหนองคายเขาพดู กนั อาจฟังคล้ายคนชาวเหนอื เชยี งใหม่ กรรมฐาน ของพระอริยะแหง่ ล่มุ นา�้ โขงผูเ้ ปยี่ มดว้ ยญาณตบะ เขาอ้กู ัน บางทไี ทหนองคายบางคนอาจลงท้าย หรอื พูดตอบรับว่า “เจา้ ” ด้วยกม็ ีเชน่ เดียวกัน อันแก่กล้าและมหาบารมีแห่งธรรมะ เป็นท่ีเคารพสักการะ กบั ชาวล้านนาเชียงใหมแ่ ละเวียงจันทน์ แกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนของไทยลาว วดั หนิ หมากเปง้ อนสุ รณส์ ถาน วิปัสสนากรรมฐานของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ตั้งอยู่ ต�าบล หนองคาย 15 พระพุทธบาท อา� เภอศรีเชียงใหม ่ จงั หวดั หนองคาย หลวงปเู่ หรยี ญ วรลาโภ หรอื “พระสธุ รรมคณาจารย์” แห่งวดั อรญั ญบรรพต ต�าบลบ้านหม้อ อ�าเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย พระเกจิวิปัสสนาชื่อดัง เป็นหนึ่งในศิษย์เอกผู้ใกล้ชิด หลวงปูม่ ั่น ภูริทัตโต เคยอยูร่ บั ใช้ปฏบิ ตั ิและศึกษาธรรมะ 14 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
พวน ชาวพวนในจงั หวัดหนองคายสว่ นใหญอ่ าศัยอยู่บริเวณทางตอนเหนือของแม่นา้� โขง ดังน้ันตัวเมืองท่าบ่อปัจจุบันซึ่งได้ช่ือว่ามีครอบครัวชาวญวนอยู่อาศัยหนาแน่นมากท่ีสุด หรอื ทศิ ตะวนั ตกของจงั หวดั หนองคาย คอื อา� เภอศรเี ชยี งใหม ่ อา� เภอโพธต์ิ าก และอา� เภอบา้ นผอื และยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะภาษาพูดซ่ึงต่างกับ จังหวัดอุดรธานี (ในอดีตข้ึนกับจังหวัดหนองคาย) ชาวพวนท่ีอ�าเภอศรีเชียงใหม่อพยพมาจาก ภาษาถนิ่ อสี านทว่ั ไป ยงั คงเปน็ ภาษาทค่ี นญวนใชพ้ ดู คยุ กนั ในกลมุ่ ชาวญวนดว้ ยกนั เอง เดก็ หนมุ่ สาว แขวงเชียงขวาง สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ทอ่ี ย่ตู ิดกบั ชายแดนเวียดนาม ภายหลงั ก็ยังคงพูดญวนเช่นเดียวกับ ปู่ ย่า ตา ยาย ผิดแต่ว่าถ้าหนุ่มสาวชาวญวนพูดคุยกันเองจะใช้ เกิดเหตุสงครามบ้านเมอื งไมส่ งบ รัชกาลท ่ี ๓ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จ้าเมอื งอพยพผู้คนมาอาศยั อยู่ ภาษาถนิ่ ไทอสี าน หรอื พดู ไทยภาคกลางแทน คา� ทใ่ี ชเ้ รยี กอาหารญวนกค็ งไดร้ บั การเรยี กขานกนั ท่ฝี ัง่ ตะวนั ตกของแม่นา�้ โขง ทัง้ น้กี ารอพยพชาวพวนรวมทั้งคนในทอ้ งถิ่นหนองคายปจั จุบนั ท�าให้ อยใู่ นปจั จบุ นั เพราะอาหารญวนมลี กั ษณะทเ่ี หมอื นอาหารอสี านทงั้ ยงั เปน็ ทน่ี ยิ มซอ้ื หารบั ประทาน เกดิ เมืองใหม ่ คอื เมอื งหนองคาย (หรือหนองคายปัจจบุ ัน) มีพลเมอื งเพม่ิ มากขนึ้ ท�าให้หนองคาย กนั โดยท่ัวไป โดยเฉพาะในเขตอา� เภอทา่ บอ่ เช่น บัน่ แบ๋ว กะญอ ข้าวเปยี กญวน เป็นตน้ มพี ฒั นาการเปน็ หวั เมอื งสา� คญั ทางอสี านเหนอื มาอยา่ งรวดเรว็ โดยชาวพวนทอี่ พยพมาอยอู่ า� เภอ ศรเี ชยี งใหมแ่ ละอา� เภอโพธติ์ าก (บา้ นโพธติ์ าก) นา่ จะเปน็ กลมุ่ เดยี วกนั กบั ชาวพวนทบี่ า้ นกลางใหญ่ ไทด่าน คนถ่ินหนองคายเรยี กคนพูดไทดา่ นวา่ “ไทเหนอื ” หมายถึง คนที่อาศัยอยแู่ ถบ และชาวพวนทอี่ �าเภอบ้านผือ จงั หวดั อดุ รธานดี ว้ ย ด้านเหนือของหนองคายรวมทั้งจังหวัดเลย คือ อ�าเภอสังคม และบางส่วนของอ�าเภอโพธิ์ตาก เชน่ บา้ นโพนทอง บ้านนาง้ิว บ้านค�าดว้ ง อ�าเภอบา้ นผอื จังหวดั อดุ รธาน ี ชาวไทด่าน หมายถึง คนญวน หรือ คนไทยเช้ือสายเวยี ดนามส่วนใหญ่อาศัยอยู่ท ี่ อา� เภอทา่ บอ่ อพยพมาจาก คนท่ีอพยพมาจากอ�าเภอด่านซ้ายและเมืองบ่อแตน แก่นท้าว แขวงไชยบุรีของสาธารณรัฐ เมืองเวียงจันทน์และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม น่าจะเป็นการอพยพในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ตงั้ แตส่ มยั ทฝ่ี รงั่ เศสไดด้ นิ แดนฝง่ั ซา้ ยแมน่ า�้ โขงไปเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๔๓๖ เม่ือครั้งที่ไทยท�าสงครามกับเวียดนามและมีการกวาดต้อนเอาพลเมืองญวนมายังฝั่งไทยบ้าง หรอื ตรงกบั ชว่ งสมยั รชั กาลท ่ี ๕ ดว้ ยความทไ่ี มอ่ ยากอยใู่ ตก้ ารปกครองของฝรงั่ เศส ชาวเมอื งบอ่ แตน ตอ่ มาคงมชี าวญวนมาตง้ั ถน่ิ ฐานอยใู่ นเวยี งจนั ทนม์ ากในสมยั รชั กาลท ่ี ๕ ฝรงั่ เศสไดเ้ วยี งจนั ทนแ์ ละ เมืองแก่นท้าวและเมืองด่านซ้ายจึงอพยพโยกย้ายมาต้ังหลักแหล่งยังเขตเมืองหนองคายมาจนถึง ล้านช้างเป็นเมืองขนึ้ พระกุประดษิ ฐ์บดี (ชาลี สาล)ี เจา้ เมืองจนั ทบุร ี (เวียงจนั ทน)์ จงึ พาราษฎร ปจั จบุ นั ซง่ึ สา� เนยี งการพดู ของชาวไทดา่ นจะออกเสยี งสงู เกอื บทง้ั ประโยค โดยเฉพาะคนเฒา่ คนแก่ อพยพมาอยู่ที่บ้านท่าบ่อเกลือ เป็นเมืองท่าบ่อเกลือ หรือ อ�าเภอท่าบ่อในปัจจุบันและสุดท้าย บ้านโพนทอง ยังพูดภาษาถิ่นไทด่านกันอยู่ ในขณะท่ีลูกหลานพูดภาษาถิ่นไทหนองคายแล้ว ในช่วงสงครามอินโดจีนราษฎรเมืองเวียงจันทน์หลบหนีภัยสงครามในเวียงจันทน์และเวียดนาม ในปจั จบุ นั นอกเสยี จากเดก็ ๆ กจ็ ะยงั คงพดู ไทดา่ นกนั อยจู่ นกวา่ จะโตถงึ จะพดู แบบคนถน่ิ ไทหนองคาย มาอาศัยอย่ทู างฝั่งเมอื งหนองคายมากข้นึ หลงั สงครามโลกครงั้ ท ี่ ๒ นบั วา่ เปน็ เรอื่ งแปลกเร่ืองภาษาถ่ินไทด่านและไทหนองคาย ท้ังนี้คงเป็นเพราะว่าส�าเนียงไทด่าน น้ันสูงแปลกหูมากเม่ือเทียบกับไทหนองคายที่พูดแบบไทอีสานใต้ คือ พ้ืน ๆ ไปทั้งประโยคไม่ ชาวญวนที่มาอยใู่ นจงั หวัดหนองคาย เน้นเสียงสูงมากนัก ท�าให้หนุ่มสาววัยรุ่นท่ัวไปเม่ือเข้าไปในเมืองก็จะหัดพูดไทหนองคายกันหมด เม่ือหันกลับมาพูดไทด่านก็พูดอีกไม่ได้เพราะต้องบังคับเสียงให้สูงยากที่จะพูดได้ถ้าไม่ใช่ 16 เสน้ ทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม คนไทดา่ นแท้ หนองคาย 17
(๑) วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ตามต�านานอุรังคธาตุที่เล่าถึงต้นก�าเนิดแม่น�้าสายส�าคัญในดินแดนแถบสองฝั่งโขงน้ัน บอกวา่ เกดิ การทะเลาะววิ าทของนาคสองตนทอ่ี าศยั อยใู่ นหนองแส (มณฑลยนู นานของจนี ) นามวา่ ๑.๑ ตํานานบง้ั ไฟพญานาค “พนิ ทโยนกวตนิ าค” อาศยั อยหู่ วั หนองกบั “ธนะมลู นาค” อาศยั อยกู่ บั “ชวี ายนาค” ผเู้ ปน็ หลาน โดยสาเหตุของการทะเลาะวิวาทคร้ังน้ีเกิดจากความไม่พอใจในการแบ่งปันอาหารระหว่างนาค สองตน จึงท�าให้เกิดการต่อสู้ขึ้น การปะทะนี้สร้างความเดือดร้อนจนพระอินทร์ต้องบัญชาให้ พระเวสสุธรรมามาขับไล่นาคท้ังสองหนีออกไปจากหนอง การหนีของนาคท้ังสองท�าให้เกิดเป็น แม่น้�าส�าคัญสองสาย คือ แม่น้�าอู ท่ีไหลอยู่ใกล้เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และแม่น�้าพิง หรือ ปงิ อันไหลผ่านเมอื งเชยี งใหม่ และยังมีบางต�านานซึ่งจารึกไว้โดยสภาวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย บอกว่านาค ๒ ตัว ชื่อ สุวรรณนาค (นาคสีทอง) และสุทโธนาค (นาคสีเขียว) ทะเลาะกัน พระอินทร์ลงมาห้าม ท�าให้สุทโธนาคพร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองแสสร้างแม่น�้ามุ่งไปทางทิศตะวันออก ของหนองแส เมอ่ื ถงึ ตรงไหนเปน็ ภเู ขากค็ ดโคง้ ไปตามภเู ขา หรอื อาจจะลอดภเู ขาบา้ งตามความยากงา่ ย ในการสรา้ ง เพราะสทุ โธนาคเปน็ คนใจรอ้ น แมน่ า้� สายนเี้ รยี กวา่ “แมน่ า้� โขง” คา� วา่ โขงมาจากคา� วา่ “โค้ง” ส่วนฝ่ังลาวเรยี กแม่น้�าของ นอกจากนั้นตามต�านานอุรังคธาตุ ได้เล่าถึงการท่ีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ ไปโปรดสตั วย์ งั สถานทตี่ า่ ง ๆ ระหวา่ งทางไดป้ ระทบั ยงั ภเู ขาตา่ ง ๆ ทเี่ ปน็ ทอี่ ยขู่ องพวกนาค อาท ิภกู เู วยี น (ภพู าน) แหง่ สวุ รรณนาค ภหู ลวง (พระธาตบุ งั พวน จงั หวดั หนองคาย) แหง่ ปพั พารนาค ดอยกปั ปนครี ี (พระธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม) แหง่ ธนะมลู นาคและดอยนนั ทกงั ร ี(เมอื งหลวงพระบาง ประเทศลาว) ซงึ่ ทกุ วนั นภ้ี ตู า่ ง ๆ ทกี่ ลา่ วมานน้ั ลว้ นเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ ององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อยา่ งพระบรมสารรี ิกธาตแุ ละรอยพระพทุ ธบาทท้งั ส้นิ “พญานาค” หรือ “นาค” สัตว์ในต�านานที่ชาวไทยยกย่องว่าเป็นสัตว์ศักด์ิสิทธิ์ พญานาคคู่ ที่ริมฝงั่ แมน่ �้าโขง บรเิ วณตลาดทา่ เสดจ็ อา� เภอเมอื ง จงั หวัดหนองคาย หนองคาย 19 และมอี ิทธิพลทางความเชอ่ื มากในภมู ภิ าคนี้ ซ่ึงพบเห็นได้จากการแสดงออกผ่านประเพณี ศลิ ปะ หรอื สถาปตั ยกรรม โดยเฉพาะแถบดนิ แดนลมุ่ แมน่ า้� โขงทงั้ สองฝง่ั แมจ้ ะแบง่ พรมแดนเปน็ ระหวา่ ง ไทยกับลาวและเลยไปถึงกมั พชู าดว้ ย ในเรอื่ งเลา่ ของหลายคนทเี่ ลา่ ผา่ นกนั มา นาค คอื งขู นาดใหญท่ มี่ หี งอน เปน็ สตั วศ์ กั ดสิ์ ทิ ธิ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ โดยได้รับการยกย่องจากกลุ่มชนช้ันดั้งเดิม ว่าเป็นส่ิงลี้ลับเหนือธรรมชาติท่ีสามารถดลบันดาลให้เกิดธรรมชาติอย่างภูเขา ห้วย หนอง บึง และแม่น�้า 18 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม
ภาพพญานาคในวดั ไทย อา� เภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เชื่อมโยงถึงเร่ืองเล่าของเมืองโพนพิสัย ซ่ึงเป็นอ�าเภอท่ีตั้งอยู่ปากห้วยหลวงและอยู่ริมฝั่ง แม่น�้าโขงตรงข้ามกับอ�าเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ท่ีข้ึนกับเมืองปากงึมทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขาน ความเช่ือเร่ืองพญานาคมีหลากหลาย แต่ในมุมของ จิตร ภูมิศักด์ ท่ีได้ศึกษาเรื่องน้ี เกย่ี วกบั เมอื งบาดาลทอี่ ยใู่ ตอ้ า� เภอโพนพสิ ยั วา่ ในหนา้ แลง้ มหี าดทรายขนึ้ กลางแมน่ า้� โขง แตบ่ รเิ วณ กลบั มองวา่ นาค หมายถงึ กลมุ่ ชนดง้ั เดมิ โดยอา้ งองิ ดว้ ยการวเิ คราะหท์ างนริ กุ ตศิ าสตร ์ โดยรากศพั ท์ อ�าเภอโพนพิสัยหาดทรายนีจ้ ะขน้ึ อยฝู่ ง่ั ลาวบรเิ วณบา้ นโดน วนั หน่งึ ในหน้าแล้งตอนเทีย่ งวนั ไดม้ ี คา� วา่ “นาค” มาจากภาษาฮนิ ดสู ตาน ี เขยี นวา่ Nag ออกเสยี งวา่ นคั แปลวา่ ชาวเขา ภาษาอสั สมั หญงิ สาวชาวบา้ นโดนคนหนง่ึ ไดล้ งมาตกั นา้� เพอื่ ไปดม่ื โดยมหี าบครลุ งมาทหี่ าดทราย เพราะบรเิ วณนน้ั เขียนวา่ Naga ออกเสียงว่า นอค แปลว่า เปลือย ความหมายตามรากศพั ท์ดงั กล่าว ท�าให้ค�าว่า มีน�้าออกบ่อ เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านเห็นแต่กระป๋องน้�าชาวบ้านจึงช่วยกันตามหา “นาค” จงึ หมายถงึ กลมุ่ ชนพนื้ เมอื งทย่ี งั ไมเ่ จรญิ กลมุ่ หนง่ึ รวมถงึ นกั วชิ าการของลาวอยา่ ง หมุ พนั พอครบ ๗ วนั เมอ่ื ไมเ่ ห็นพอ่ แมก่ ็คิดว่าเธอตายแล้ว จึงได้พร้อมใจกนั ทา� บญุ อุทศิ ส่วนกศุ ลไปให้ รัตนวงศ์ ทีไ่ ดศ้ ึกษาจากต�านานและนทิ านตา่ ง ๆ เกี่ยวกับนาคของลาว โดยกลา่ ววา่ นาค (นาคะ) แตต่ อนกลางคนื กป็ รากฏวา่ ลกู สาวกลบั มาทบ่ี า้ น จนทา� ใหญ้ าตพิ น่ี อ้ งแตกตนื่ กนั หมดบางคนวง่ิ หนี ไม่ใชง่ ู แตห่ มายถึง คนลาว ผเู้ ป็นเจ้าปกครองหวั เมืองต่าง ๆ น่นั เอง เพราะคดิ วา่ ผหี ลอก แตส่ ดุ ทา้ ยลกู สาวกเ็ ลา่ ใหฟ้ งั วา่ ไปเมอื งพญานาคมา โดยคนทเี่ มอื งนน้ี งุ่ ผา้ แดง แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อมูลอ้างอิงและงานเขียนของนักวิชาการมากมายออกมา และมผี า้ พนั ศรี ษะเปน็ สแี ดงเหมอื นกนั โดยดา้ นหนา้ จะปลอ่ ยใหผ้ า้ แดงหอ้ ยลงเหมอื นหวั ง ู เมอื่ เดนิ เพอ่ื ยนื ยนั วา่ นาคไมใ่ ชเ่ งอื กและง ู แตส่ า� หรบั ความเชอ่ื ของคนพน้ื ถนิ่ แมน่ า�้ โขงแลว้ พวกเขาตา่ งเชอ่ื ตามชายคนหนง่ึ ไปกบ็ อกวา่ พามาเมอื งบาดาล เปน็ เมอื งหนา้ ดา่ น สว่ นตวั เมอื งหลวงนนั้ อยอู่ กี ไกล และศรทั ธาวา่ “นาค” หรอื “พญานาค” คอื งใู หญผ่ ดู้ แู ล ปกปกั คมุ้ ครองเปน็ เจา้ แหง่ แผน่ ดนิ และ และชาวเมอื งนจี้ ะมกี ารสมโภชเมอื่ ถงึ วนั ออกพรรษาของเมอื งมนษุ ย ์ ซง่ึ เมอื่ เทย่ี วชมเมอื งเสรจ็ แลว้ ผนื น�้า หรอื เปน็ จติ วญิ ญาณแหง่ สายน�้าและทา� ใหพ้ ืน้ ดินอดุ มสมบรู ณ ์ โดยเฉพาะคนหนองคายน้ี ชายคนดังกล่าวก็ได้มาส่งเธอยังเมืองมนุษย์และอยู่มาได้อีก ๗ วัน เธอก็ป่วยและเสียชีวิตไป มคี วามเชื่อเร่อื งพญานาคกันแทบท้ังสิน้ โดยท่ีอ�าเภอโพนพิสัยแห่งนี้ในสมัยก่อนช่วงวันออกพรรษาที่วัดไทย พระเณรส่วนหน่ึง พรอ้ มด้วยชาวบา้ นจะนงั่ เรือหางยาวน�าเรอื ไฟที่ทา� ด้วยกาบกล้วย ต้นกล้วย ขึ้นไปปลอ่ ยยังทา่ น้า� รูปป้นั พญานาคท่ีริมฝ่ังแมน่ �้าโขง วดั บ้านแดนเมือง ตรงวัดหลวง แล้วปล่อยเรอื ไฟลงมา อา� เภอเมือง จงั หวดั หนองคาย ภายในถ�า้ พญานาคท่ีวดั ไทย จา� ลองสมบตั ิพญานาค 20 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม และที่วัดไทย อ�าเภอโพนพิสัยแห่งน้ี มีหลวงพ่อพระใหญ่ท่ีอยู่ภายในอุโบสถของวัด ในเอกสารของสภาวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย ได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่าหลวงพ่อพระใหญ่องค์ นี้เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวโพนพิสัยให้ความเคารพศรัทธา ซึ่งท่านสมัยมีชีวิตอยู่สามารถ ส่ือสารกับพญานาคได้และเคยมีคนเข้าร่างทรงโดยอัญเชิญดวงวิญญาณของหลวงพ่อพระใหญ่ มาพดู คยุ พบวา่ บรเิ วณทา่ นา้� วดั ไทยนนั้ เปน็ ปากถา�้ ขนาดใหญแ่ ละเปน็ ดา่ นทจ่ี ะขน้ึ ไปสเู่ มอื งมนษุ ย์ ส่วนใต้บริเวณวัดก็เป็นถ้�าขนาดใหญ่สมัยก่อนมีชาวประมงด�าน้�าลงไป พบปากถ้�ามีงู (พญานาค) ขดอยูห่ นา้ ถ�้า ลา� ตัวสีเขียว ท�าใหม้ กี ารพดู ปากตอ่ ปากและล�่าลือกันถงึ ทกุ วันนี้ หนองคาย 21
นอกจากนั้นท่ีวัดไทยในวันน้ี ได้มีการก่อสร้างถ้�าพญานาคจ�าลองเอาไว้ เพ่ือให้เป็นสถานท่ี บนั ไดทองบนั ไดเงนิ ลงมาดว้ ย พระพทุ ธเจา้ ทรงพระเมตตาธคิ ณุ ผายพระกรทง้ั ๒ ขา้ งออก เพอ่ื เปดิ มติ ิ ท่องเที่ยว มีประชาชนไปเที่ยวจากท่ัวสารทิศ โดยภายในถ�้าจะมีการจ�าลองว่ามีสมบัติพญานาค โลกทงั้ สวรรค ์มนษุ ย ์และบาดาล ใหแ้ ลเหน็ กนั ในวนั นน้ั (พระพทุ ธรปู ปางเปดิ โลก) พญานาคเจา้ บาดาล กองอยู่มากมายและนอกจากการจ�าลองถ้�าพญานาคในจินตนาการแล้ว ยังมีรูปพญานาคท่ีสวยงาม ทงั้ หลายตา่ งชน่ื ชมยนิ ดใี นพระกตญั ญกู ตเวทติ าตอ่ พทุ ธมารดาครง้ั นน้ั จงึ พน่ ลกู ไฟจากใตแ้ มน่ า้� โขง ประดบั ตามผนงั ถา้� และคา� สอนทางพระพทุ ธศาสนาใหค้ นทา� ดลี ะเวน้ ความชวั่ ตดิ เอาไวห้ ลายจดุ อกี ดว้ ย ขนึ้ มาเพ่อื เปน็ การเฉลมิ ฉลองที่พระพทุ ธเจา้ ได้กลับสโู่ ลกมนุษย์ (สทิ ธิพร ณ นครพนม, ๒๕๔๐) ภาพของบ้ังไฟท่ีพวยพุ่งข้ึนมาจากล�าน้�าโขงถือเป็นการยืนยันและตอกย้�าให้เห็น “อ�านาจบารมี” ส�าหรับวรรณกรรมพ้ืนบ้านต�านานพ้ืนถ่ินเมืองหนองคายน้ันมีหลากหลายเรื่อง แต่ท่ีเป็น แหง่ พระพทุ ธเจา้ ทผี่ คู้ นเคารพบชู า ทรี่ ูจ้ กั คอื เรอ่ื ง ตา� นานบง้ั ไฟพญานาค โดยบง้ั ไฟพญานาค เปน็ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คอื ในวันออกพรรษาทุกปีในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ จะมีลูกไฟใต้แม่น�้าโขง พุ่งข้ึนสู่ผืนน้�า ซุ้มประตทู างเข้าจังหวัดหนองคาย ลอยสอู่ ากาศแล้วหายไป โดยลูกไฟน้ันไม่มีควัน ไม่มกี ล่ิน ไมม่ เี สยี ง ทั้งไม่มโี ค้งตกลงมา มขี นาด ตา่ ง ๆ กัน ชาวบ้านริมฝัง่ แม่น้�าโขงเรียกลูกไฟน้ีวา่ “บ้งั ไฟพญานาค” ในวนั ขึน้ ๑๕ คา่� เดอื น ๑๑ ในทศั นะของชาวบา้ น การเกดิ บง้ั ไฟพญานาคในลา� นา�้ โขงถอื เปน็ การแสดงการสกั การบชู า (วันออกพรรษา) ของทุก ๆ ป ี ในวันนั้น ต้ังแต่ช่วงหัวค่�าเป็นต้นไปในแม่น้�าโขงจะพบเห็นลูกไฟ ของเหล่าพญานาคผู้ดูแลล�าน้�าโขงต่อพระพุทธเจ้า ชาวบ้านในบางพ้ืนท่ีเชื่อว่าถ้าบั้งไฟพญานาค สีแดงอมชมพูพุ่งขึ้นจากน้�าแล้วหายไปในอากาศ โดยไม่ได้หรี่เล็กลง ขนาดมีท้ังลูกใหญ่และเล็ก ในปีใดไม่พุ่งขึ้นมา ก็อาจน�ามาซึ่งความทุกข์ร้อนต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอาจจะท�าให้บ้านเมือง พบได้ในทุกอา� เภอตลอดแนวล�าแมน่ ้า� โขง แต่ที่พบมากท่สี ุด คอื อา� เภอโพนพิสยั (คู่มือนา� เทีย่ ว เกิดความแห้งแล้งกันดารได้ บทบาทของบั้งไฟพญานาคในล�าน้�าโขงจึงเป็นเสมือนเครื่อง จังหวดั หนองคาย, อา้ งถงึ ใน ปฐม หงส์สุวรรณ, ๒๕๕๔) “พทุ ธบชู า” ลกู ไฟทถ่ี กู เรยี กขานวา่ “บง้ั ไฟพญานาค” จงึ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการบชู าพระพทุ ธเจา้ “บง้ั ไฟพญานาค หรอื ลกู ไฟทพิ ยน์ ม้ี คี วามประหลาดมหศั จรรยไ์ มเ่ หมอื นใคร คอื ไมม่ คี วนั ซงึ่ คนไทยเชอื่ วา่ พระองคเ์ ปน็ เทพเหนอื เทพทมี่ อี า� นาจสงู สดุ เพราะสามารถบญั ชาการใหเ้ ทพเจา้ ไม่มีหาง และไม่โค้ง หรือ ย้อนตกลงมา จะลอยเฉียง ๆ ไม่ลอยตรงข้ึนไปบนท้องฟ้าจนลับตา ที่ดูแลแหล่งน�้าในธรรมชาติซึ่งหมายรวมถึงแม่น�้าโขงนี้ด้วย สามารถบันดาลความร่มเย็นเป็นสุข เปน็ ลกู ไฟทไ่ี มม่ เี สยี งเสยี ดสกี บั ชน้ั บรรยากาศ อาจขนึ้ ไกล หรอื ใกลฝ้ ง่ั ไมก่ า� หนด และไมม่ ปี ระกายไฟ และความอุดมสมบรู ณ์ให้เกดิ แก่มวลมนุษยชาติได ้ เหมือนกับวัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ึน แต่บ้ังไฟพญานาคข้ึนทั้ง ๒ วัน ท้ังวันออกพรรษาไทยและ นอกเหนอื จากความเชอื่ ขา้ งตน้ แลว้ ยงั พบวา่ มกี ารนา� เอาสภาพในธรรมชาตขิ องแมน่ า้� โขง วันออกพรรษาลาวเชื่อกันว่าพญานาคมาจากเมืองบาดาลใต้แม่นา�้ โขง จุดบั้งไฟพญานาคส่งข้ึน มาสร้างแปลงเป็นเคร่ืองมือในการแสดงถึงการบูชาพระพุทธเจ้าด้วย ดังกรณีการก่อเจดีย์ทราย เพ่ือเป็นทางให้พระเจ้าเสด็จลงมาโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ในวันออกพรรษา ขนาดของลูกไฟโต รมิ ฝง่ั แมน่ า�้ โขงเปน็ พทุ ธบชู า มหาคา� ผยุ พลิ าวง (๒๕๕๒) กลา่ วไวว้ า่ การกอ่ พระทราย หรอื ทเี่ รยี กวา่ เทา่ บาตรพระ ขนาดกลางเทา่ ผลสม้ ขนาดเลก็ เทา่ ไขไ่ ก ่ เวลาทเ่ี กดิ ขนึ้ เรม่ิ ตงั้ แตห่ กโมงเยน็ ถงึ ตสี อง “ตบพระทราย” บ้านที่อยู่ใกล้แม่น�้าซึ่งรวมทั้งแม่น�้าโขงนี้ด้วยก็มักจะก่อพระธาตุทราย การก่อ จ�านวนลูกไฟทีเ่ กดิ ขึ้นบรเิ วณหนงึ่ ๆ จะมจี า� นวนไมแ่ นน่ อน บางแหง่ มมี ากถึง ๕๐-๑๐๐ ลูก หรอื พระทรายนจ้ี ะมที งั้ ชาววดั และชาวบา้ นทวั่ ไปจะมกี ารเลย้ี งพระ มกี ารฟอ้ นรา� ขบั รอ้ ง และการละเลน่ มากกว่าน้ัน” พนื้ เมอื งตา่ ง ๆ ในบรเิ วณทกี่ อ่ พระทรายรมิ แมน่ า�้ โขงนด้ี ว้ ย ทงั้ นเ้ี ชอ่ื วา่ เปน็ การสรา้ งบญุ สรา้ งกศุ ล แม้คา� อธิบายตา่ ง ๆ ขา้ งตน้ จะถกู มองวา่ เปน็ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติอย่างหน่งึ แตใ่ น “ผลบุญทไี่ ดจ้ ะมากเทา่ เมด็ หนิ เม็ดทราย” ที่น�ามากอ่ ความคดิ ความเชอ่ื ของชาวบา้ นรมิ แมน่ า้� โขง บงั้ ไฟพญานาคถอื เปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ จากอา� นาจสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ ท่ีอยู่ในล�าน�้าโขงซึ่งเป็นความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความคิดแบบพุทธศาสนาพ้ืนบ้าน บ้ังไฟ หนองคาย 23 พญานาคนี้เกิดข้ึนโดยบางจุดบางช่วงของล�าแม่น�้าโขง ต้ังแต่จังหวัดหนองคาย นครพนม จนถึง อุบลราชธานี ภาพปรากฏการณ์บ้ังไฟพญานาคในล�าน้�าโขงในการรับรู้ของชาวไทยอีสานและ ชาวลาวนี้ ต่างบ่งชี้ให้เห็นถึงการบูชาพระพุทธเจ้าที่ได้เคยเดินทางมายังชุมชนริมฝั่งแม่น�้าโขง การปรบั สง่ิ ทถ่ี กู มองวา่ เปน็ “ธรรมชาต”ิ ใหก้ ลายเปน็ “วฒั นธรรม” ในทางพทุ ธศาสนาของชาวบา้ นนนั้ สะท้อนให้เห็นร่องรอยความคิดเร่ืองการผสมผสานกันระหว่างความเช่ือด้ังเดิมกับพุทธศาสนา จนกลายเป็น “พุทธแบบชาวบ้าน” ขน้ึ มา (อา้ งถงึ ใน ปฐม หงษส์ วุ รรณ, ๒๕๕๔) ในคตคิ วามเชอ่ื ของชาวบา้ นรมิ แมน่ า้� โขงมเี รอื่ งเลา่ วา่ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ สสู่ วรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส ์ ๑ พรรษา (๓ เดอื น) เพอ่ื เทศนาโปรดพระนางสริ มิ หามายา มารดา จนดบั ขนั ธ์ ปรินิพพาน แล้วเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ในวันออกพรรษา เหล่าเทพนิกรอมรพรหมอินทร์เนรมิต 22 เสน้ ทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
24 เส้นทางทอ่ งเท่ียว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 25
พร้อมท้ังยังมีการสืบค้นของนักวิชาการพบว่า เจ้าแม่สองนาง คือ ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท่ีผู้คน แถบลุ่มแม่น�้าโขงเคารพศรัทธาสืบต่อกันมาหลายช่ัวอายุคน นับถือเป็นเทพเจ้าประจ�าแม่น�้าโขง ทุกอ�าเภอของจังหวัดหนองคายและจังหวัดติดกับแม่น้�าโขง ไม่ว่าจะเป็นเลย นครพนม บึงกาฬ และมกุ ดาหาร ลว้ นมกี ารตงั้ ศาลเจา้ แมส่ องนางไวก้ ราบไหวบ้ ชู า ศาลเจา้ แมส่ องนางในเขตตวั เมอื ง จงั หวัดหนองคาย ตั้งอยูร่ ิมโขงบรเิ วณวัดหายโศก ถนนมชี ยั ใจกลางตัวเมืองหนองคาย นอกจากน้ียังมีเร่ืองเล่าต�านานเกี่ยวกับบริเวณท่ีเรียกว่า สะดือแม่น�้าโขง ก็มีเร่ืองเล่า เก่ียวกับเจ้าแม่สองนาง กล่าวคือ ชาวบ้านเช่ือว่าบริเวณแก่งอาฮง ต�าบลหอค�า อ�าเภอบึงกาฬ จงั หวดั หนองคาย เป็นแอ่งน้�าลกึ ท่สี ดุ ของแม่น�้าโขง หรอื ท่เี รียกว่า “สะดือแม่น้�าโขง” ด้านลา่ ง จะเป็นถ�้าขนาดใหญ่ทะลุไปถึงภูเขาในฝั่งประเทศลาวและเช่ือว่าเป็นเมืองของพญานาค บรรดา ชาวเรือที่ขับเรือผ่านมาทางน้ีจะต้องท�าพิธีการเซ่นไหว้ด้วยหมาก พลู บุหรี่ เหล้าขาว ที่บริเวณ แก่งอาฮงแห่งนี้เสมอ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะพญานาคเป็นผู้คอยดูแลช่วยเหลือและจะพากัน สร้างศาลเจ้าแม่สองนางไว้ตามริมฝั่งแม่น้�าโขงตลอดแนวทุกอ�าเภอ เพื่อคุ้มครองไม่ให้เกิดภัย อนั ตรายตา่ ง ๆ ทา� ให้เกิดความเปน็ สิรมิ งคลแก่ชวี ิตและชุมชน ศาลเจา้ แม่สองนางท่วี ัดหายโศก อ�าเภอเมอื ง จังหวดั หนองคาย ภายในศาลเจ้าแมส่ องนางท่ีวดั หายโศก ๑.๒ ตํานานเจา้ แมส่ องนาง ตามต�านานเล่าวา่ เจา้ แมส่ องนาง คือ ธดิ า ๒ องค์ ของ หนองคาย 27 เจา้ เมอื งเวยี งจนั ทน ์ ทห่ี นภี ยั สงครามขา้ มฝง่ั มาแตไ่ ดจ้ มนา้� เสยี ชวี ติ ไประหวา่ งทางและไดก้ ลายเปน็ เทพารกั ษซ์ งึ่ คอยปกปกั รกั ษาแมน่ า�้ สายน ้ี รวมทงั้ เปน็ ทยี่ ดึ เหนย่ี วคมุ้ ครองดแู ลชาวบา้ นใหพ้ น้ จาก ภยนั ตรายตา่ ง ๆ และบางครงั้ อาจปรากฏตวั ในรา่ งงใู หญ ่ ๒ ตวั ดงั คา� บอกเลา่ ของชาวบา้ นทพี่ บเหน็ นอกจากนั้นยังมีข้อมูลอีกว่า เจ้าแม่สองนางเป็นลูกของกษัตริย์เวียงจันทน์ ลาว องค์พี่ ชื่อมัคชี องค์น้องช่ือศรีสุวรรณ สมัยน้ันเกิดสงครามกษัตริย์จึงส่งลูกสาวทั้งสองลงเรือมาพร้อม บรรดาทหารและบริวารล่องเรือมาตามล�าน้�าโขง กระทั่งถึงหนองคายแพก็แตก เจ้าแม่สองนาง จึงเสียชีวิตพร้อมผู้ติดตาม เพราะบริเวณนั้นน่าจะเป็นน�้าวน น�้าลึก เชื่อกันว่าเจ้าอาวาสรูปแรก ไดฝ้ ันว่าเจ้าแม่สองนางให้สรา้ งศาลเพียงตา น่าจะดว้ ยเหตุนว้ี ดั น้จี ึงตง้ั ชอื่ ว่า วัดหายโศก และยังมี ความเช่ือว่าเจ้าแม่เป็นพญานาค ในช่วงบุญเดือนเจ็ดจะมีการบูชาเจ้าแม่สองนางท้ังฝั่งไทยและ ฝัง่ ลาว ส่วนชว่ งออกพรรษาจะมีการทา� ปราสาทผึ้งถวายเจา้ แมส่ องนางดว้ ย 26 เส้นทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
การบูชาเจ้าแม่สองนาง ใชด้ อกไม ้ ๑ คู่ ธูป ๙ ดอก เทยี น ๒ เลม่ และจดั แต่งขันธ ์ ๕ กราบไหว ้ บอกชอื่ นามสกลุ ท่ีอย่ ู ต้งั จติ อธษิ ฐานขอพรตามประสงค ์ เมื่อสัมฤทธ์ิผลแล้วตอ้ งมา แกบ้ นใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ ทง้ั นปี้ กตมิ กั แกบ้ นดว้ ยเครอ่ื งแตง่ กายชดุ ผา้ ไทย ๒ ชดุ เครอ่ื งประดบั สา� หรบั ผหู้ ญงิ หรือ ผลไม ้ พวงมาลยั ตามความพรอ้ มของแตล่ ะคน ในช่วงบุญบ้ังไฟเดือน ๗ ชาวหนองคายจะจัดพิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนาง โดยมีร่างทรง ลงมาประทับ มีพิธีร�าดาบ ถวายเหล้าไห ไก่ตัว มะพร้าว กล้วยหอม อาหารคาวหวาน ถวาย เจ้าแม่สองนางและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ เสร็จจากพิธีจะน�าเครื่องเซ่นไหว้บวงสรวงลอยแพถวาย เจ้าแม่คงคาและพญานาคในแม่น�้าโขง ปิดท้ายด้วยพิธีสู่ขวัญ ผูกข้อมือชาวบ้านและลูกหลาน ทม่ี ารว่ มพธิ ี เมอื่ ถงึ วนั ออกพรรษา ๑๕ คา่� เดอื น ๑๑ ชาวหนองคายจะแขง่ เรอื ยาวและทา� ปราสาทผงึ้ ถวายเจ้าแม่สองนางเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวลุ่มน�้าโขงท้ังมวล (กองบรรณาธิการข่าวสด, ๒๕๕๓) ภายในศาลเจ้าแมส่ องนาง ประชาชนและนักท่องเท่ยี วมากราบขอพรเจ้าแม่สองนาง ท่ีผ่านมาเคยมีเร่ืองเล่าถึงเจ้าแม่สองนางปรากฏอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ให้ชาวหนองคาย หนองคาย 29 ประจักษ์เล่ืองลือมาตลอด ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่ารุ่นต่อรุ่นมาหลายช่ัวอายุคน สมัยก่อนน้ีชาวบ้าน ไดน้ า� นา้� โขงใช้อปุ โภคบรโิ ภคเป็นหลัก กลา่ วคือ ถา้ วันไหนมเี หตกุ ารณไ์ ม่ปกตเิ จ้าแมส่ องนางก็จะ แปลงรา่ งเปน็ ง ู ๒ ตวั หรอื พญานาคค ู่ หรอื นาค ๒ ตน ไลต่ อ้ นชาวบา้ นขนึ้ จากนา�้ ชาวบา้ นเหน็ งแู ลว้ ก็จะรู้ทันทีว่าเจ้าแม่สองนางมาบอกเหตุอันตรายให้รีบขึ้นฝั่ง คนไหนไม่เช่ือยังคงเล่นน้�าต่อไป อีกไมก่ ีอ่ ดึ ใจจะจมหายไปกับสายน�้า ชาวหนองคายเลื่อมใสศรัทธาเจ้าแม่สองนางมาก ทุกวันจะมากราบไหว้บนบาน ขอพร กันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะผู้ท่ีลงเรือขึ้นล่องแม่น้�าโขงเป็นประจ�า เม่ือผ่านศาลเจ้าแม่สองนาง จะพนมมอื บอกกลา่ วขอใหช้ ว่ ยคมุ้ ครองเดนิ ทางตลอดปลอดภยั ขา้ ราชการทยี่ า้ ยมารบั ตา� แหนง่ ใหม่ หรอื ย้ายไปท่อี ืน่ ตา่ งก็มากราบไหวเ้ พ่ือความเป็นสิริมงคลเสมอ 28 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
๑.๓ ตาํ นานหลวงพ่อพระสกุ พระเสริม พระใส ตา� นานสา� นวนน้ปี รากฏอย่ใู นหนังสอื วฒั นธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร ์ เอกลักษณ์และภูมปิ ญั ญา จังหวดั หนองคาย (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการอ�านวยการจัดงาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กระทรวง มหาดไทย, ๒๕๔๔, หนา้ ๒๑๒-๒๑๓.) ความวา่ หลวงพ่อพระใส วดั โพธิ์ชยั ประเพณแี หห่ ลวงพอ่ พระใสในช่วงเทศกาลสงกรานต์ “มพี ระราชธดิ า ๓ พระองค์ของกษตั รยิ ์ลา้ นชา้ งเวยี งจนั ทนพ์ ระนามวา่ เสริม สกุ และใส นอกจากนน้ั ยงั มีขอ้ มูลอีกวา่ “พระสุกท่ีจมอย่ทู เี่ วนิ พระสกุ ” บริเวณบา้ นหนองกงุ้ อ�าเภอ มพี ระประสงคจ์ ะหล่อพระพทุ ธรปู ฉลองพระองคข์ ้นึ จงึ ขอพรจากพระบดิ า คือ สมเดจ็ พระเจ้า- โพนพิสัยน้ัน ได้ทราบว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนทางฝ่ายบ้านเมืองที่จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นผู้ที่มี ไชยเชษฐาธริ าช ซงึ่ ทรงประทานพรใหจ้ งึ ไดน้ า� ชา่ งหลอ่ มาสรา้ งพระพทุ ธรปู ขนึ้ ๓ องค ์ แลว้ ขนานนาม อุตสาหะแรงกล้าในอันที่จะท�านุบ�ารุงพระพุทธศาสนา มีขุนเชาว์ฯ เป็นต้น ได้ไปท�าการปรารภ พระพุทธรูปตามพระนามของตนเองว่า พระเสริมประจ�าพระธิดาพระองค์แรก พระสุกประจ�า จะอญั เชญิ ขนึ้ จากนา�้ เพอื่ จะไดน้ า� มาประดษิ ฐานไวค้ เู่ คยี งกบั พระใส แตก่ ไ็ มเ่ ปน็ ผลสา� เรจ็ เนอื่ งดว้ ย พระธิดาองค์ที่สอง และพระใสประจ�าพระธิดาองค์สุดท้อง แล้วน�ามาประดิษฐานรวมกันไว้ มีเหตุขัดข้องบางประการท่ีได้ทราบมา คือ ความที่พระสุกได้จมอยู่ในแม่น�้าโขงเป็นเวลา ในทีแ่ ห่งเดยี วกันในคราวแรก ตอ่ มามีเหตุการณส์ งครามระหว่างสยามกับเวยี งจนั ทน ์ ซ่ึงหลังจาก ช้านานท�าให้ดินทับถม ไม่สะดวกในอันท่ีจะอัญเชิญข้ึนได้โดยง่าย อีกอย่างหนึ่งก็เป็นชาวบ้าน บ้านเมืองสงบแล้ว แม่ทัพสยามจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ข้ามแม่น้�าโขงมายังฝั่งไทย ถนิ่ นน้ั ไมย่ นิ ยอมใหน้ า� ขน้ึ เพราะเกรงตอ่ ภยนั อนั ตรายอนั จะพงึ มมี า ทง้ั นเี้ นอื่ งจากประชาชนเชอื่ วา่ แต่เกิดพายุท�าให้พระสุกจมหายอยู่บริเวณปากแม่น้�างึมที่มาบรรจบกับแม่น�้าโขง ส่วนพระเสริม การกระทา� ดงั กลา่ วจะทา� ใหพ้ ระภมู เิ จา้ ท ่ี ผเู้ ปน็ อารกั ษน์ า�้ อารกั ษท์ า่ จะเกดิ ความไมพ่ อใจ แลว้ อาจ และพระใสประดษิ ฐานอยทู่ ว่ี ดั โพธชิ์ ยั และวดั หอกอ่ งทจี่ งั หวดั หนองคาย จนถงึ รชั กาลท ่ี ๔ จงึ มกี าร บันดาลให้เกิดเหตุภยั ต่าง ๆ ได”้ อัญเชญิ พระเสริมไปประดิษฐานไวท้ ก่ี รุงเทพฯ ทีว่ ิหารวัดปทมุ วนารามมาจนถงึ ปัจจบุ ัน” หนองคาย 31 30 เสน้ ทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
๑.๔ ตํานานเจ้าพ่ออา่ งปลาบกึ ๑.๕ นทิ านพน้ื บ้านทา้ วศรธี น-มโนราห์ ความสา� คญั และความยง่ิ ใหญข่ องปลาบกึ ในลา� แมน่ า�้ โขง ทา� ใหก้ ารจบั ปลาตอ้ งมพี ธิ กี รรม นอกจากนั้นในเร่ืองเล่านิทานพ้ืนบ้าน ยังมีนครเปงจาน ท่ีปรากฏในนิทานชาดกเร่ือง มากมายใหญโ่ ต มรี ะยะเวลาในการจบั แนน่ อนตามคตคิ วามเชอ่ื ของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ เพราะวา่ กนั วา่ ท้ำวศรีธน-มโนรำห์ เล่ากันต่อมาถึง ท้าวศรีธน เจ้าเมืองเปงจานพบรักกับนางมโนราห์ ปลาบกึ นีเ้ ปน็ ปลาใหญท่ ี่อยเู่ ฉพาะในแม่น�า้ โขงเทา่ นัน้ แม่น้�าสายอ่นื ๆ ไมม่ ีปลายักษน์ ใ้ี ห้ได้เหน็ (นา่ จะหมายถงึ กนิ ร ี หรอื หญงิ ทม่ี ขี นนกเปน็ อาภรณ)์ ธดิ าแหง่ เมอื งภเู งนิ ซงึ่ สทิ ธพิ ร ณ นครพนม โดยทางจงั หวดั หนองคาย เวียงจันทน ์ กจ็ ะเรม่ิ พิธใี นการจบั ปลาในช่วงข้างขน้ึ เดือน ๓ ไปจนถงึ ได้วิเคราะห์ลงไปในร่องรอยวรรณกรรมเร่ืองน้ีว่า ไม่แน่นัก เวียงนกยูง หรือ เวียงโหม่ง หรือ แรม ๗ ค�่า ก็จะยุติการจับปลา ส่วนทางอ�าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ก็จะเร่ิมพิธีการจับ เวยี งท่หี ้วยโมง อาจจะเป็นเมืองของนางมโนราหน์ ้เี อง ในช่วงเดอื นพฤษภาคม ความเชอ่ื ในเรอื่ ง “เจำ้ พอ่ อำ่ งปลำบกึ ” เปน็ ความเชอ่ื ในเรอื่ งอา� นาจเหนอื ธรรมชาต ิ หรอื เปงจำนนครรำช ก่ิงอ�าเภอรัตนวาปีปัจจุบัน บริเวณท่ีท�าการนิคมสร้างตนเอง ยังมี ผีท่ีสถิตอยู่ในพ้ืนที่นั้น ในอดีตเม่ือถึงเดือนเมษายนของทุกปี ชาวบ้านอ่างปลาบึกทุกครอบครัว เสมาหินขนาดใหญ่เหลืออยู่ชิ้นหน่ึงที่เหลือรอดจากการกวาดท้ิงลงแม่น้�าโขงเมื่อ ๕๐ ปีท่ีแล้ว ทอี่ าศยั อยใู่ นชมุ ชนทง้ั สองฟากฝง่ั นา�้ นจ้ี ะเดนิ ทางขา้ มโขงมาฝง่ั บา้ นผาตง้ั ในปจั จบุ นั ตรงบรเิ วณที่ ชาวบา้ นเรยี กวา่ เจา้ พอ่ เปงจาน มอี ายอุ ยใู่ นยคุ ทวารวด ี พทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๒ ทฐ่ี านมอี กั ษรปลั ลวะ ชาวบา้ นเรียกวา่ หวั อา่ งซึง่ เปน็ ที่ต้ังของ “ศาลเจา้ พ่ออา่ งปลาบกึ ” ผู้ดูแลรักษาปลาศักด์สิ ทิ ธ์ิและ อนิ เดยี จารกึ ไว ้ แตเ่ ลอะเลอื นจนอา่ นไมไ่ ด ้ ยงั มรี อ่ งรอยของเมอื งโบราณอยทู่ ว่ั บรเิ วณ รมิ แมน่ า้� โขง เป็น “เจ้าน้�าเจ้าท่า” ที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขและบันดาลข้าวปลาอาหารให้แก่ผู้คนในชุมชน เปน็ แนวยาวถงึ ๑๐ กโิ ลเมตร ตงั้ แตน่ คิ มสรา้ งตนเอง หนว่ ยซอ่ มและบา� รงุ สะพาน โรงเรยี นประชาบดี การได้ร่วมมือกันของผู้คนท้ังสองฝั่งน้�าถือเป็นกิจกรรมที่กระท�าเพ่ือบูชาสิ่งศักด์ิสิทธิ์ร่วมกัน โรงเรียนนิคมบ้านเปงจาน จนถึงวัดเปงจานใต้ เมื่อลองขุดลึกลงไปใต้บริเวณนี้เพียงไม่ก่ีนิ้วก็พบ ทเ่ี ชื่อว่าเป็นคนทน่ี บั ถือ “ผีตัวเดียวกนั ” ด้วยเหตนุ ้ี ความเปน็ ชมุ ชนที่อย่อู าณาบริเวณเดียวกัน ซากกองอิฐกองอยู่มาก สันนิษฐานได้เลยว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่และมีความส�าคัญ ของคนไทยกับคนลาวในชุมชนอ่างปลาบึกนี้ จึงมีความเด่นชัดและเข้มแข็งข้ึนด้วยพิธีกรรมการ มากแห่งหนง่ึ ในดนิ แดนแถบน ้ี ท้งั น้ียังมวี รรณกรรมประเภทชาดกนอกนิบาต เลา่ สืบต่อกนั มาวา่ จับปลาบึกและเซ่นไหว้ผีเจ้าพ่ออ่างปลาบึกในฐานะผีผู้คุ้มครองดูแลน�้าในชุมชน นอกจาก เป็นเมืองของท้าวศรีธนและทา้ วสินไซ กจิ กรรมการจับปลาบึกแล้วกจ็ ะมีการทรงเจา้ เข้าผโี ดยจะมกี ารอญั เชิญ “ผีเจ้ำลำว” เพอ่ื มาช่วย ทา� นายทายทกั เรอ่ื งการจบั ปลาบกึ อนั เปน็ พธิ กี รรม ทเี่ กย่ี วเนอื่ งกบั ความอดุ มสมบรู ณ ์ (fertility rite) ในวิถีชีวิตประจ�าวันของชาวริมโขงในชุมชนแห่งน้ี การแสดงออกในเชิงพิธีกรรมของผู้คน ในชมุ ชนอา่ งปลาบกึ นถี้ อื เปน็ การแสดงออกในเชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละความหมายในการสรา้ งเครอื ขา่ ย ทางสังคมในชุมชนท่ีถูกแบ่งแยกด้วยความเป็นพลเมืองของรัฐชาติที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ปฐม หงสส์ วุ รรณ, ๒๕๕๔) หนุ่ ปลาบึกจากไม้ไผ่ ท่ีบ้านเดื่อใต้ อา� เภอเมอื ง จงั หวัดหนองคาย หนองคาย 33 32 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
34 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 35
(๒) ศลิ ปะการแสดง การแสดงชดุ นจ้ี ะจดั แสดงประจา� ของจงั หวดั กอ่ นงานวนั ออกพรรษา ขนึ้ ๑๕ คา่� เดอื น ๑๑ โดยเรม่ิ แสดงมาตงั้ แตป่ ี ๒๕๓๗ เปน็ ตน้ มา โดยการแสดงเปน็ ลกั ษณะการแสดงประกอบแสง-เสยี ง ๒.๑ ฟอ้ นพุทธบชู าลีลานาคราชอีกหนึง่ ความภูมิใจของเมอื งหนองคาย เนื้อหาสื่อให้เห็นว่าพญาสุทโธนาคราช ถวายการบูชาแด่พระพุทธเจ้าด้วยการจุดบ้ังไฟ เม่ืออยู่เมืองหนองคาย ก็จะต้องมีอะไรพิเศษเก่ียวข้องกับพญานาคแม้แต่การฟ้อนร�า ในวันออกพรรษา การแสดงชุดนี้ ประดิษฐ์ท่าร�าโดย นายยอดย่ิง ราชตั้งใจ และคณาจารย์ โดยเฉพาะการฟ้อนที่เกิดจากจินตนาการว่าเป็นการฟ้อนรา� ของพญานาค เป็นท่าร�าท่ีเป็นท่ีรู้จัก ชมรมนาฏศลิ ปห์ นองคาย ดนตรปี ระกอบการรา� โดย นายนพนริ นั ด์ พมิ พก์ ลม (นง๊ิ โปงลางสะออน ของเมอื งน ้ี เวลาไปแสดงทไ่ี หนหากบอกวา่ มาจากหนองคายกจ็ ะตอ้ งมกี ารฟอ้ นรา� นม้ี าแสดงใหช้ ม ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย นายสจุ ินต์ ภมรศิริ และหากแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนที่เมอื งแหง่ นี้กจ็ ะมีการร่ายรา� พญานาคแสดงตอ้ นรับอีกดว้ ย โดยการฟอ้ นร�าพญานาคน้นั เกิดจากการจนิ ตนาการของ ยอดยิง่ ราชตงั้ ใจ นักวชิ าการ นักเรียนนา� เอาท่ารา� พญานาคไปจัดแสดงโชวแ์ ละประกวด วัฒนธรรมช�านาญการ เป็นคนคิดออกแบบท่าร�า เม่ือปี ๒๕๓๗ โดยใช้ช่ือการแสดงว่า “ฟ้อนพุทธลีลานาคราช” ซ่ึงมีความหมายว่า เหล่าพญานาคได้ฟ้อนร�าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ท่าร�านั้น ได้มาจากจินตนาการ โดยหลับตานึกว่า พญานาคมีท่าทางอย่างไรบ้าง เม่ือครั้งที่การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย จัดงานส่งเสริมการท่องเท่ียวท่ีมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยนกึ จากการไปพบรปู ปน้ั พญานาคในวดั ในโบสถต์ า่ ง ๆ กอ่ นเอามาคดิ เปน็ ทา่ รา่ ยรา� ไมว่ า่ จะเปน็ โดยให้แต่ละจังหวัดจัดชุดการแสดงท่ีเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดไปแสดง ตอนน้ันบั้งไฟพญานาค ทา่ ไหว ้ ทา่ นาคมว้ นหาง นาคชคู อ ทา่ นาคถวายดอกบวั ทา่ นาครกั รอ้ ย ทา่ ถวายประทปี ทา่ นาคสะดงุ้ ท่ีจังหวัดหนองคายก�าลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมาก เลยมีแนวคิดการฟ้อนร�าชุดนี้ไปแสดง ซงึ่ การรา่ ยรา� ทา่ การรา� เปน็ ทา่ พนื้ ฐานในการรา� ของนาฏศลิ ปอ์ ยแู่ ลว้ เพยี งแตเ่ อามาปรบั ปรงุ ใหเ้ กดิ และพอการแสดงน้ไี ดเ้ ผยแพรผ่ า่ นส่อื จงึ เปน็ ที่ร้จู ักและสนใจมากจนถึงทุกวันนี้ ทา่ ทเ่ี ป็นลักษณะเฉพาะของการแสดง สว่ นการแสดงเนน้ การแปรแถว โดยใชน้ างรา� จา� นวนมาก ทา� ใหเ้ วลาแสดงออกมาสวยงาม ยอดยงิ่ ราชต้ังใจ สาธติ ท่ารา� พญานาค เหมอื นนาคคดเคยี้ ว นางสะดงุ้ นาคเลอ้ื ย ซง่ึ ปจั จบุ นั มคี นเอาไปเลยี นแบบและเปดิ การเรยี นการสอน ส่วนการแตง่ กายน้นั เกิดจากจินตนาการประกอบกับภาพจิตรกรรมลายไทย โดยเน้นว่า 36 เสน้ ทางท่องเที่ยว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม พญานาคแมน่ า�้ โขงจะมกี ายเปน็ สเี ขยี ว และเครอื่ งประดบั ทงั้ ตวั จะเปน็ ลกั ษณะเปน็ พญานาคทง้ั สน้ิ และสิ่งท่ีขาดไม่ได้ก่อนการแสดงจะต้องมีการไหว้ครูก่อน โดยจะมีการบูชาและสรงน้�า หน้านาค หากไม่ทา� จะทา� ให้ร�าไมไ่ ด ้ บางครัง้ เกดิ ฝนตกท้งั ๆ ท่ไี ม่ใช่ฤดูฝน ท�าใหต้ อ้ งไหว้ทกุ ครัง้ กอ่ นจัดการแสดง ท่ีตง้ั : ส�านกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั หนองคาย บริเวณศนู ย์ราชการจังหวัดหนองคาย เบอร์ติดตอ่ : ๐ ๔๒๔๑ ๓๒๔๗-๘ หนองคาย 37
๒.๒ หมอลาํ กลอนการแสดงพื้นเมืองหนองคายท่ียงั ทรงเสนห่ ์ ซึ่งตามประวัติการแสดงหมอล�าในพ้ืนที่จังหวัดหนองคายนั้นพบว่า มีมาตั้งแต่สมัย บรรพบรุ ษุ โดยหมอลา� คนแรกทพ่ี อจะมบี นั ทกึ เอาไวค้ อื หมอลา� หมนุ ลมื แลง อยบู่ า้ นนาหว้ ยทราย หมอลา� สมพงษ ์ มาพร หรือ นายทกั ษิณ มาพร โดยฉายา “หมุน ลืมแลง” นั้นเกิดจากการที่มีคนไปฟังการแสดงหมอล�าเป็นจ�านวนมากและ นายกสมาคมหมอลา� จังหวัดหนองคาย เพราะหมอล�าร้องหมอล�าไพเราะ สนุกท�าให้คนลืมกลับไปท�าอาหารเย็น หรือ อาหารแลง ในภาษาอีสาน แม่หมุนหมอล�าต้นเค้าเมืองหนองคายจึงได้รับฉายามา ซ่ึงการแสดงหมอล�า ศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมในพื้นท่ีจังหวัดหนองคายน้ัน พบว่ายังมีการแสดงท่ีเป็น ของแมห่ มนุ นนั้ มหี มอล�าฝา่ ยชายทเี่ ป็นค่กู นั คอื หมอล�าเสริม ศักดดิ์ ี ทร่ี อ้ งหมอล�าคู่กันมาตลอด วัฒนธรรมร่วมลุ่มน�้าโขงอย่างหมอล�าอยู่ โดยเฉพาะหมอล�ากลอน ซึ่งทุกวันนี้ยังมีศิลปินหมอล�า ส�าหรับแม่หมุนซึ่งถือเป็นหมอล�าต้นแบบของเมืองหนองคายนั้น คือ มารดาของหมอล�า ทไี่ ด้รวมตวั กันตง้ั เปน็ สมาคมหมอล�าจงั หวัดหนองคาย โดยมนี ายทักษณิ มาพร หรือ หมอลํา ท่ีมีช่ือเสียงโด่งดังในยุคปัจจุบัน เนื่องจากลูกหลานของแม่หมุนล้วนเป็นหมอล�าแทบทั้งส้ิน สมพงษ์ มาพร เปน็ นายกสมาคมฯ ไมว่ า่ จะเปน็ สนุ ทร ชยั รงุ่ เรอื ง มณรี ตั น ์ ชยั รงุ่ เรอื ง พชั ร ี แกว้ เสดจ็ ปรดี า แกว้ เสดจ็ นริ าพร แกว้ เสดจ็ และราตรศี รีวิไล บงสิทธิพร หรือ ราตร ี ศรีวิไล เจ้าแมห่ มอล�าซ่งิ อสี านก็คอื ลกู สาวของทา่ นด้วย 38 เส้นทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม สว่ นทักษณิ มาพร หรือ หมอล�าสมพงษ์ มาพร นน้ั เป็นหลานชายแท้ ๆ ของคณุ แมห่ มอล�าหมุน นน่ั เอง โดยหมอล�าสมพงษ์น้ัน เริ่มหัดล�ากับแม่หมุนต้ังแต่อายุ ๑๐ ขวบ และเริ่มรับงานแสดง หลังจากน้ันไม่นาน โดยมีคู่ล�าท่ีล�าด้วยกันมานาน คือ นันทนา แก้วเสด็จ ซ่ึงเป็นลูกหลาน แม่หมอล�าหมุนเช่นกัน โดยเคยไปล�าท่ีจังหวัดหนองคายแทบทุกอ�าเภอแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวก็เคยเดนิ ทางไปรอ้ งหมอลา� ดว้ ยเชน่ กัน ปจั จุบนั สมาคมหมอล�าจงั หวัดหนองคายมีสมาชิกในสมาคมจ�านวน ๓๐ คน ซง่ึ แตล่ ะคน ล้วนเป็นหมอล�ากลอนแทบทั้งส้ินและทุกวันนี้มีเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่มาเรียนร้องหมอล�ากลอน เพือ่ อยากจะอนรุ กั ษแ์ ละสืบสานการแสดงศิลปะพ้ืนบ้านน้อี ีกหลายคน ส่วนกลอนล�าที่น�าเสนอน้ันส่วนใหญ่บอกเล่าเร่ืองวิถีชีวิตคนอีสานและเล่าเร่ืองศาสนา เอาค�าสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกเลา่ ในรูปแบบของกลอนลา� เป็นคติเตอื นใจและกลอนสอนใจ คนทไี่ ด้ฟงั ให้ท�าดี ประพฤติด ี ซ่งึ รบั งานแสดงทั้งงานบุญ งานบวช และงานมงคลต่าง ๆ ทุกงาน แลว้ แต่เจ้าภาพจะวา่ จา้ ง ในขณะทที่ า� นองการลา� นนั้ เนน้ ไปทางทา� นองชยั ภมู แิ ละพทุ ไธสง เพราะไปเรยี นลา� มาจาก จงั หวดั ชยั ภมู ดิ ว้ ย สว่ นทา� นองลา� ของจงั หวดั หนองคายนนั้ มเี ชน่ กนั แตล่ า� ออกเสยี งไปทางชาตพิ นั ธ์ุ ชาวไทพวน ซงึ่ จะไมเ่ หมอื นสา� เนยี งอสี านทว่ั ไป จงึ ไมเ่ ปน็ ทรี่ จู้ กั มากนกั และไมม่ คี นลา� ทา� นองนแ้ี ลว้ หนองคาย 39
สมาชิกสมาคมหมอลํากลอนจงั หวดั หนองคาย (๓) แนวปฏบิ ัติทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล ลําดบั ที่ ชอื -สกุล เบอรต์ ดิ ต่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวหนองคาย นั้น ถึงแม้จะมีความ ๑. หลากหลายทางชาตพิ นั ธ ์ุ แตเ่ อกลกั ษณท์ โี่ ดดเดน่ และสา� คญั ของชาวจงั หวดั หนองคายมรี ว่ มกนั คอื ๒. นายทกั ษณิ มาพร (นายกสมาคม) ๐๘ ๙๕๗๑ ๖๖๗๑ การมวี ถิ ชี วี ติ แบบเรยี บงา่ ยเปน็ รปู แบบเฉพาะของคนหนองคายภายใตว้ ฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ๓. และประเพณีท่ีสวยงาม ที่สืบทอดกันมายาวนานจนเป็นเอกลักษณ์ส�าคัญของจังหวัดหนองคาย ๔. นายวชิ ยั การเกษม ๐๘ ๕๖๔๕ ๒๖๗๗ ที่นักท่องเท่ียวท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศชื่นชอบและนิยมเข้ามาเย่ียมเยือนเป็นประจ�า ๕. ทุกปี ไมว่ ่าจะเป็น ๖. นายวชิ ัย ทองธรรมชาต ิ ๐๘ ๕๓๔๖ ๙๙๖๘ ๗. งานนมัสการหลวงพ่อพระเจ้าองค์ต้ือ ประดิษฐานอยู่ท่ีวัดศรีชมภูองค์ต้ือ บ้านน้�าโมง ๘. นางสมเพียร พรมเมือง ๐๘ ๙๔๒๒ ๖๐๗๘ เปน็ พระพทุ ธรปู ขนาดใหญห่ ลอ่ ดว้ ยทอง ฝมี อื ของชา่ งฝา่ ยเหนอื และชา่ งลา้ นชา้ ง เปน็ พระพทุ ธรปู ๙. ที่มีลักษณะงดงาม น่ังขัดสมาธิปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ท่ีประชาชนทั้งสองฝั่ง ๑๐. นางกัญระญา จนั ทรา ๐๖ ๔๐๘๕ ๗๔๗๓ แม่น�้าโขงเคารพนับถือมาก สร้างเม่ือพุทธศักราช ๒๑๐๕ ผู้สร้างคือ พระไชยเชษฐา กษัตริย์ ๑๑. นครเวียงจันทน์ หล่อโดยใช้ทองค�า ทองเหลือง และเงินผสมกัน รวมน�้าหนักได้ ๑ ต้ือ ๑๒. นางสาวอรนชุ แซ่อั้ง ๐๙ ๖๓๙๖ ๘๕๖๗ (ตื้อเป็นมาตราโบราณของอีสาน) ใช้เวลาในการสร้าง ๗ ปี ๗ เดือน จังหวัดได้ก�าหนดจัดงาน นมัสการหลวงพ่อพระเจ้าองค์ต้ือเป็นประจ�าทุกปีในวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๔ ใครอยากมาเที่ยว นายอาทติ ย ์ ภูมเิ พช็ ร ๐๙ ๕๒๓๘ ๘๐๘๖ ลองกา� หนดวันมาให้ตรงชว่ งนั้นด ู นายสายัณห ์ จนั ทรา ๐๘ ๘๗๔๑ ๖๗๒๓ นางหทัยทิพย ์ อันทะส ี ๐๖ ๑๓๐๒ ๗๗๘๑ นายปรชี า ศรีทะบาล ๐๖ ๒๑๒๔ ๐๗๐๙ นางอรวรรณ ชินสคี ๐๘ ๙๔๒๑ ๓๖๔๑ นายยอด ธาตไุ พบรู ณ ์ ๐๖ ๑๕๖๙ ๑๖๙๕ ทต่ี ง้ั : ใครสนใจตดิ ตอ่ ไปแสดง หรอื ชมการแสดง ตดิ ตอ่ ไดท้ ี่ นายทกั ษณิ มาพร บา้ นเลขท่ี หลวงพอ่ พระเจ้าองค์ตอื้ ๓๘๑/๓ หม่ทู ่ี ๙ ต�าบลสระใคร อา� เภอสระใคร จงั หวัดหนองคาย กำรเดนิ ทำง : สา� นกั งานตงั้ อยดู่ า้ นหลงั หา้ งโลตสั เอก็ ซเ์ พรส อา� เภอสระใคร จงั หวดั หนองคาย การเดนิ ทางมาตามถนนหมายเลข ๒ หนองคาย–อุดรธาน ี ถึงแยกไปอา� เภอสระใคร จะมองเห็น ห้างโลตสั เอ็กซเ์ พรส ใหเ้ ลีย้ วไปดา้ นหลังจะพบตลาดสด ส�านกั งานจะอย่ดู ้านขา้ งตลาดสด เบอร์ติดตอ่ : นายทกั ษิณ มาพร หรอื หมอล�าสมพงษ ์ โทรศัพท์ ๐๘ ๙๕๗๑ ๖๖๗๑ 40 เส้นทางทอ่ งเท่ียว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 41
อนุสาวรียป์ ราบฮ่อ ตั้งอยหู่ นา้ ศาลากลางหลังเกา่ งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ จัดประมาณเดือนมีนาคมของทุกปี ณ บริเวณอนุสาวรีย์ ปราบฮอ่ ด้านหลงั สถานีต�ารวจในตัวอา� เภอเมอื งหนองคาย ภายในงานจะมีการแสดงการละเลน่ 42 เสน้ ทางท่องเที่ยว มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลกั ษณ ์ วัฒนธรรมชาวหนองคาย รวมทง้ั มีการออกรา้ นจา� หนา่ ยสนิ คา้ ราคาถกู ดว้ ย โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้ เดิมต้ังอยู่ด้านหลังของสถานีต�ารวจภูธรอ�าเภอเมือง จังหวัด หนองคาย เพื่อบรรจุอัฐิของเหล่าทหารท่ีเสียชีวิตในการปราบฮ่อ (หรือพวกจีนที่ก่อการกบฏ เพอ่ื ล้มลา้ งราชวงศ์แมนจ)ู เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๐๔๖ ซง่ึ ยกกองทัพมารุกรานมณฑลลาวพวนหนองคาย เมอ่ื ร.ศ. ๑๐๕ (พ.ศ. ๒๔๒๙) โดยกรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคมมรี บั สงั่ ใหส้ รา้ งอนสุ าวรยี ข์ น้ึ อนสุ าวรยี ์ ปราบฮ่อเป็นศิลปะประยุกต์แบบรูปทรงเหลี่ยมก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นรูปสี่เหล่ียม ขนาดกว้าง ๔ เมตร ส่วนสูง ๑๐.๑๐ เมตร ส่วนยอดเป็นรูปทรงกรวย โดยมีประวัติความเป็นมาว่า เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๒๐ พระปทุมเทวาภิบาล (เคน) เป็น เจา้ เมอื งหนองคาย พวกฮอ่ ไดย้ กกองทพั เขา้ ตเี มอื งเวยี งจนั ทน ์ ประเทศลาว แลว้ ตงั้ กองบญั ชาการ อยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และตระเตรียมเสบียงอาหารไว้เพื่อโจมตีเมืองรายทางต่าง ๆ เรื่อยมา จนถงึ เมอื งหนองคาย ซ่ึงขณะนั้นพระปทมุ เทวาภบิ าล (เคน) เจ้าเมืองหนองคายไมอ่ ยู่ ไดม้ อบให้ ทา้ วจนั ทรศ์ รสี รุ าช รกั ษาเมอื งแทน พอไดร้ บั ขา่ วศกึ กม็ ไิ ดเ้ ตรยี มกองทพั ไวส้ ศู้ กึ ทา� ใหร้ าษฎรพากนั หวาดกลัวอพยพครอบครัวหนีออกจากเมือง พวกฮ่อยกกองทัพเข้าเมืองหนองคาย ส่วนท้าว- จนั ทรศ์ รีสุราชได้พาครอบครัวหนีไปเมืองสามพร้าว จังหวดั อุดรธาน ี และพระยาพสิ ัยสรเดช (หนู) เจา้ เมืองโพนพิสยั พร้อมดว้ ยกรมการเมอื งกพ็ าราษฎรหนอี อกจากเมืองไปเช่นเดียวกนั เม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) ทรงทราบข่าวศึกฮ่อ ยกกองทพั มาตเี มอื งหนองคาย จงึ มพี ระบรมราชโองการใหพ้ ระยามหาอา� มาตย ์ ซงึ่ ไดร้ บั มอบหมาย ใหไ้ ปปราบฮอ่ ทเ่ี มอื งอบุ ลราชธานอี ยแู่ ลว้ ยกกองทพั เขา้ เมอื งหนองคาย แลว้ สงั่ ใหจ้ บั ทา้ วจนั ทรศ์ รสี รุ าช และพระยาพิชัยสรเดชประหารชีวิตทั้งคู่ จากนั้นพระยามหาอ�ามาตย์จึงได้เกณฑ์ก�าลังจาก เมืองนครพนม มุกดาหาร เขมราฐ นครราชสีมา และร้อยเอ็ด มาสมทบกันที่เมืองหนองคาย แล้วยกกองทัพออกไปปราบพวกฮ่อถึงเมืองเวียงจันทน์ พวกฮ่อพ่ายแพ้ก็พากันหนีเข้าป่าไป เม่อื บ้านเมอื งสงบแลว้ พระยามหาอา� มาตย์จงึ ได้กวาดต้อน ผคู้ นจากเมืองเวียงจนั ทนม์ าเปน็ เชลย ลงมาไวท้ ีเ่ มืองหนองคาย แล้วจงึ ยกกองทพั กลบั กรุงเทพฯ เมอื่ เหตุการณต์ า่ ง ๆ สงบเรียบรอ้ ย กรมหลวงประจักษศ์ ลิ ปาคมจงึ โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง อนสุ าวรยี ป์ ราบฮอ่ ขน้ึ ทเ่ี มอื งหนองคาย เพอื่ บรรจอุ ฐั ทิ หารจากกรม กองตา่ ง ๆ ทเ่ี สยี ชวี ติ เพอื่ ชาติ ในครง้ั นน้ั ต่อมาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ จังหวัดหนองคาย ได้รับงบประมาณ บูรณปฏิสังขรณ์อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ของวีรบุรุษผู้กล้าหาญของแผ่นดินและ ประเทศชาติอันเหมาะสม คณะกรรมการจังหวัดหนองคายจึงได้ย้ายสถานที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์ ปราบฮ่อมาสร้างใหม่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ณ บริเวณสามแยกทางเข้าเมืองหนองคาย ดา้ นหลงั ศาลากลางจังหวดั (หลังเกา่ ) จนปัจจบุ นั หนองคาย 43
วันสงกรานต์ เป็นงานประจ�าปี จัดขึ้นที่วัดโพธ์ิชัย (พระอารามหลวงชั้น ๓) ริมถนน สายหนองคาย-โพนพิสัย มีการอัญเชิญหลวงพ่อพระใสพระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายแห่รอบเมือง เพอ่ื ประชาชนไดส้ รงนา�้ มกี ารทา� บญุ ตกั บาตรวนั สงกรานต ์ เฉลมิ ฉลองหลวงพอ่ พระใสทวี่ ดั โพธช์ิ ยั มงี านรน่ื เรงิ การละเลน่ พนื้ เมอื ง การกฬี าทอ้ งถน่ิ และมหรสพครบครนั เรม่ิ จดั ขน้ึ ในวนั ท ี่ ๑๓ เมษายน ของทุกปี การแข่งเรอื ของชาวบ้านเดื่อ อา� เภอเมอื ง จงั หวดั หนองคาย ประชาชนรอเฝ้าชมบง้ั ไฟพญานาคหนา้ วัดไทย อ�าเภอโพนพสิ ัย จังหวดั หนองคาย งานแข่งเรือ เป็นงานประเพณีของท้องถ่ินที่จัดข้ึนก่อนวันออกพรรษา จัดให้มีการแข่ง เรอื ยาวในลา� แมน่ า้� โขง โดยประชาชนในคุ้มตา่ ง ๆ ได้จัดเรือแขง่ จากอ�าเภอและบางปีกม็ ีเรือจาก บง้ั ไฟพญานาค สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมารว่ มการแขง่ ขนั ด้วย เป็นการแสดงถึงความสามคั คีท่ีมี “บง้ั ไฟญานาค” ปรากฎการณล์ ูกไฟโผลเ่ หนอื ลํานํา้ โขง ตอ่ กันมายาวนานโดยจัดใหม้ ขี นึ้ ในวนั แรม ๑ ค�่า เดอื น ๑๑ ของทกุ ปี สา� หรับบ้ังไฟพญานาคน้นั เปน็ ทร่ี ู้จกั มากขน้ึ หลังจากมีการพบเหน็ ลูกไฟประหลาดผดุ ขึ้น กลางลา� นา�้ โขงและมภี าพยนตรเ์ รอ่ื ง “๑๕ คา�่ เดอื น ๑๑” โดยผกู้ า� กบั จริ ะ มะลกิ ลุ ถา่ ยทา� และนา� ไป งานแห่ปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีของท้องถ่ินท่ีเก่าแก่ จังหวัดได้จัดให้มีข้ึนควบคู่กันกับ ฉายทวั่ ประเทศเมอ่ื วันท ่ี ๑๑ เดือนตุลาคม ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จนเกดิ กระแสบง้ั ไฟพญานาคฟีเวอร ์ งานแข่งเรือ มีการจดั ท�าปราสาทผ้ึงประกวดและน�าลงเรอื ยนตล์ อ่ งไปตามลา� แมน่ า้� โขง กลางคนื มีคนจากทั่วสารทิศแห่มาพิสูจน์ลูกไฟประหลาดว่าคืออะไร ท�าให้ตลอดริมฝั่งแม่น�้าโขงนับจาก มกี ารไหลเรอื ไฟ ประดบั ดวงไฟมากมาย และดทู วิ ทศั นแ์ สงไฟกระทบพน้ื นา้� ยามคา�่ คนื สวยงามมาก ปนี นั้ ในชว่ งออกพรรษาจะมปี ระชาชนเดนิ ทางมาจากทว่ั ประเทศเพอื่ เฝา้ รอชมปรากฏการณบ์ ง้ั ไฟ เพ่ือนมัสการพระธาตุกลางแม่น�้าโขง หรือ พระธาตุหล้าหนอง (วัดและองค์มหาเจดีย์ได้พังลง พญานาค ในแม่น้�าโขงไปนานแล้ว) อยู่หน้าวัดสิริมหากัจจายน์ (วัดธาตุ) อ�าเภอเมืองหนองคาย จัดข้ึน คนื วนั เพ็ญเดือน ๑๑ ของทุกปี (ปใี ดมี ๘ สองหนจะเลื่อนไปอกี ๑ วันคือ แรม ๑ ค่า� เดอื น ในวนั เพ็ญเดอื น ๑๑ จัดพรอ้ มกันกบั งานแขง่ เรอื ประจา� ปี ๑๑ ซง่ึ ตรงกบั วนั ขน้ึ ๑๕ คา�่ ของประเทศลาว) ในเวลาสงดั ตงั้ แต ่ ๒๐.๐๐ น. เปน็ ตน้ ไป เมอื่ ทอ้ งนา�้ นิ่งสงบ ลกู ไฟประหลาดสชี มพู กผ็ ดุ ขึ้นกลางล�านา้� โขงสงู ประมาณ ๓๐-๔๐ เมตร บางแหง่ สูงถึง งานวนั ออกพรรษา จดั เปน็ งานตอ่ จากวนั แหป่ ราสาทผงึ้ และแขง่ เรอื เปน็ วนั ทา� บญุ ประจา� ๑๐๐ เมตร สวา่ งวาบประมาณเสยี้ ววนิ าทกี ม็ อดหายไป บางแหง่ เกดิ ๑ ลกู บางแหง่ เกดิ เปน็ ๑๐๐ ลกู ของท้องถ่ิน มีการตักบาตรเทโวภายในเขตอ�าเภอเมือง ประชาชนท้องถ่ินถือเป็นวันส�าคัญย่ิง แตล่ ะปจี ะมีการนบั สถติ กิ ารเกิดบ้งั ไฟพญานาคว่า ปนี เ้ี กดิ ข้ึนก่ีลูก โดยการนับรวมทเี่ กดิ ทุกอ�าเภอ ไมว่ า่ จะไปประกอบอาชพี อยตู่ า่ งจงั หวดั หรอื ตา่ งประเทศ เมอื่ ถงึ กา� หนดวนั ทา� บญุ ออกพรรษาแลว้ รวมกันซึง่ แตล่ ะปีไมน่ ้อยกวา่ ๒๐๐-๕๐๐ ลกู เลยทเี ดยี ว คนส่วนมากจะเดินทางกลับบ้านเพ่ือท�าบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษตามประเพณีนิยมท่ีได้ ปฏิบตั ติ อ่ เนอ่ื งมาแต่โบราณกาล หนองคาย 45 44 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ไหลเรือไฟบูชาพญานาค ประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีที่ประชาชนจังหวัดหนองคายมีความภาคภูมิใจ เพราะบรรพบุรุษได้ยึดถือปฏิบัติกันมานานตั้งแต่โบราณ โดยมีความเช่ือในประเพณีว่า เนื่องมา จากการสกั การบชู ารอยพระบาท การบวงสรวงองคพ์ ระธาตหุ ลา้ หนอง และการระลึกถึงพระคณุ ของพระแมค่ งคา การขอฝน การเอาไฟเผาความทุกข ์ และการบูชาพระพุทธเจ้า ลกู ไฟสชี มพู ทีย่ ากต่อการบันทึกภาพด้วยกล้องภาพนิ่ง จุดที่พบบั้งไฟพญานาคมากท่ีสุดของจังหวัดหนองคายและบึงกาฬพบว่ามีหลายจุด ท้ังวัดไทย เขตสุขาภิบาล อ�าเภอโพนพิสัย วัดจุมพล เขตสุขาภิบาล บริเวณปากห้วยหลวง ทีแ่ ม่น�้าหว้ ยหลวงไหลลงสู่แมน่ ้�าโขง บริเวณวดั หลวง บ้านจอมนาง ตา� บลจมุ ทอง อ�าเภอโพนพิสัย หนองสรวง หนองน้�าขนาดใหญ่ที่ปากน้�าห้วยเป บ้านห้วยเป ต�าบลรัตนวาปี อ�าเภอรัตนวาปี บริเวณตลง่ิ วัดบา้ นหนองกงุ้ ต�าบลกดุ บง อ�าเภอโพนพิสยั ประชาชนมาจบั จองพืน้ ทร่ี มิ ฝง่ั แม่นา�้ โขงเพ่อื เฝา้ ชมบง้ั ไฟพญานาค เรือไฟของจังหวัดหนองคาย ปรากฏการณ์บ้ังไฟพญานาคท�าให้เกิดผลดีต่อจังหวัดหนองคายมากมาย เพราะที่พัก ประเพณกี ารไหลเรอื ไฟบางทเี่ รยี กวา่ “ลอ่ งเรอื ไฟ ” “ลอยเรอื ไฟ” หรอื “ปลอ่ ยเรอื ไฟ” ร้านอาหาร และเศรษฐกิจของจังหวัดน้ีสะพัดและเติบโตข้ึนอย่างรวดเร็ว มีหมู่บ้านโฮมสเตย์ ซึง่ เปน็ ลักษณะที่เรือไฟเคลอื่ นท่ีไปเร่ือย ๆ เรอื ไฟ หรอื เชอื้ ไฟ หมายถงึ เรือทที่ �าดว้ ยทอ่ นกล้วย รมิ แม่นา�้ โขงเพอ่ื รองรับนักท่องเทยี่ ว มถี นน ๔ เลน จากจังหวัดหนองคายไปยงั อา� เภอโพนพสิ ัย ไมไ้ ผ ่ หรอื วสั ดทุ ่ีลอยน�้า มโี ครงสรา้ งเปน็ รปู ตา่ ง ๆ ตามตอ้ งการ เม่อื จุดไฟใสโ่ ครงสรา้ ง เปลวไฟ เพอื่ อา� นวยความสะดวกใหค้ นไปชมปรากฏการณน์ ้ี แมท้ กุ วนั นจ้ี ะไมค่ อ่ ยไดร้ บั ความนยิ มเทยี บเทา่ จะลกุ เปน็ รปู รา่ งตามโครงสรา้ งนนั้ ในปจั จบุ นั ไดม้ กี ารพฒั นาเรอื ไฟใหส้ วยงามขนึ้ โดยใชเ้ ทคโนโลยี ๑๕ ปีก่อน แต่ทุกปีในช่วงเทศกาลออกพรรษาก็มีประชาชนเดินทางมาชมปรากฏการณ์น้ี เข้ามาประกอบด้วย เดิมทีนั้นการท�าเรือไฟจะใช้ตะเกียงน้�ามันจุดไฟ แต่ในปัจจุบันได้หันมาใช้ อย่างเนืองแน่น ท�าให้รถยนต์บนถนนมิตรภาพติดกันทุกปีและปรากฏการณ์นี้ยังท�าให้เงินสะพัด ไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบแทน ส่วนโครงสร้างเดิมใช้วัสดุท่ีเป็นไม้ที่ได้จากธรรมชาติ แต่ปัจจุบัน ในเมืองหนองคายเชน่ เดมิ ไดเ้ ปลยี่ นมาเปน็ โครงเหลก็ เพอ่ื ใหร้ ปู รา่ งของเรอื มสี ว่ นประกอบทสี่ วยงาม งานประเพณไี หลเรอื ไฟ ประชาชนจงั หวดั หนองคายจะนยิ มปฏบิ ตั กิ นั ในชว่ งเทศกาลออกพรรษาในวนั ขน้ึ ๑๔ คา่� เดอื น ๑๑ 46 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ถงึ วันแรม ๑ ค่�า เดือน ๑๑ ของทุกปี เป็นเวลา ๓ วัน เพ่ือใหน้ กั ทอ่ งเท่ียวทม่ี าดบู ้ังไฟพญานาค ได้ชมดว้ ย หนองคาย 47
คติและความเชอื เกย่ี วกับการไหลเรอื ไฟ เรือไฟไมไ้ ผ่ปลาบึกความคดิ สร้างสรรคข์ อง โขงรัก คา� ไพโรจน์ นักเขยี นแห่งบา้ นเดือ่ ใต้ พระธรรมมงคลรังษีและพระครูศุภกิจโกศล กล่าวถึงแนวความเช่ือในการไหลเรือไฟ ไวต้ รงกนั คือ การประกอบพิธีไหลเรอื ไฟ ชาวอีสานส่วนใหญ่จะจดั ทา� ข้นึ ในวนั ขึ้น ๑๕ ค่า� เดือน ๑๑ ๑. ความเชื่อเก่ียวกับการบูชารอยพระพุทธบาท มีความเชื่อว่า ในครั้งที่พญานาค ซง่ึ เปน็ วนั มหาปวารณาออกพรรษา เปน็ เวลา ๓ วนั (พระธรรมมงคลรงั ษแี ละพระครสู ภุ กจิ อา้ งจาก ได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมในภพนาคก่อนเสด็จกลับภพโลก พญานาค พระปลัดวิทยา, ๒๕๕๓) เพื่อดงึ ดูดนกั ทอ่ งเทยี่ ว แต่บางจงั หวดั อาจจัดในวนั แรม ๑ ค่�า เดอื น ๑๑ ได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ท่ีหาดทรายริมฝั่งแม่น้�านัมมทานที รอยพระบาท พิธกี ารดั้งเดมิ น้นั (ชมุ ชนเลก็ ๆ ยังมกี ารปฏบิ ัตกิ นั อย)ู่ พอใกล้จะถงึ วนั ออกพรรษา ภกิ ษสุ ามเณร ทพ่ี ระองคป์ ระทบั ไวน้ ้ี ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ทก่ี ราบไหวส้ กั การบชู าของเหลา่ เทวดา มนษุ ย ์ และสตั วท์ ง้ั หลาย ของแต่ละคุ้มวัดจะบอกกล่าวชาวบ้านชวนกันมาจัดเตรียมท�าเรือไฟล่วงหน้าก่อน ๒-๓ วัน การไหลเรือไฟจึงเชือ่ ว่าทา� เพอ่ื บชู ารอยพระพทุ ธบาท โดยจัดหาต้นกล้วยและล�าไม้ไผ่ท่ีหาง่าย ๆ ในหมู่บ้านมาจัดท�าเป็นโครงเรือไฟง่าย ๆ พอท่ีจะ ๒. ความเชื่อเกี่ยวกับวันพระเจ้าเปิดโลก การไหลเรือไฟถือเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ให้ลอยน้�าได้ แผงที่วางส่ิงของอาจท�าด้วยการสานไม้ไผ่ส่วนท่ียกสูงขึ้นจากส่วนที่เป็นแพเล็ก ๆ ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากเทวโลกลงมาสู่เมืองมนุษย์ หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จข้ึนไป ความยาวของแพประมาณ ๔-๕ วา ประจ�าพรรษาเป็นปีท่ี ๗ บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ และทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดแก่พระพุทธ การไหลเรอื ไฟทจ่ี งั หวดั หนองคาย มกี ารฟน้ื ฟเู พอื่ จดั ทา� เปน็ ประเพณใี นอกี รปู ลกั ษณะหนงึ่ มารดาเปน็ การตอบแทนพระคณุ มารดา จนกระทงั่ บรรลธุ รรมชน้ั โสดาบนั ครนั้ วนั ขน้ึ ๑๕ เดอื น ๑๑ ตามกระแสของการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อให้ถือเป็นงานระดับประเทศ เป็นการพัฒนา ซึ่งเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษา พระองค์ก็เสด็จลงสู่เมืองมนุษย์ทรงประทับยืนบนยอดเขา งานประเพณีให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน เน้นรูปแบบเรือไฟเพื่อการน�าเสนอที่สวยงาม สเิ นรรุ าช ทา� โลกนวิ รณป์ าฏหิ ารยิ ์ ทา� ใหส้ วรรค ์ มนษุ ย ์ และนรกตา่ งมองเหน็ ซง่ึ กนั และกนั เรยี กวนั นี้ ทวา่ กย็ ังสืบทอดวธิ กี ารดงั้ เดมิ ไว ้ โดยมกี ารจัดทา� เรือไฟแบบเก่าเปน็ ต้นแบบกระท�าพธิ ไี หลกอ่ นที่ วา่ “วนั พระเจ้ำเปดิ โลก” ในบางทอ้ งถน่ิ จะมกี ารทา� ปราสาทผ้งึ รว่ มกับการทา� เรือไฟในวนั นนั้ จะตามมาดว้ ยเรอื ไฟทเ่ี นน้ ความสวยงามของรปู รา่ งและรปู แบบดวงไฟ เรอื ไฟทกุ ลา� ทช่ี มุ ชนตา่ ง ๆ ๓. ความเชื่อเก่ียวกับการขอขมาและร�าลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา นอกจากนั้น ได้ท�าข้ึนน้ัน เม่ือถึงเวลาพลบค่�าก็จะน�าเรือไฟมารวมกันท่ีบริเวณชุมชนวัดธาตุ ซ่ึงเป็นท่ีต้ังของ ยงั มคี วามเชอื่ ในการทา� เรอื ไฟทแี่ ตกตา่ งออกไปอกี แตก่ ลา่ วโดยรวมแลว้ พธิ ไี หลเรอื ไฟนม้ี กั ผกู พนั พระธาตุหล้าหนอง แล้วท�าพิธีการบวงสรวงองค์พระธาตุ โดยเรือทุกล�าจะต้องน�าธูป เทียน และเกี่ยวข้องกบั ไฟแทบท้งั สิ้น รวมทง้ั ประเพณอี ื่น ๆ เชน่ งานแหเ่ ทียนเข้าพรรษา งานบญุ บั้งไฟ มาสักการะองค์พระธาตุ เม่ือเสร็จพิธีจะได้น�าเรือไฟลอยทวนกระแสน้�าโขงขึ้นไปยังสะพาน การจดุ ไตป้ ระทปี สง่ิ เหลา่ นอ้ี าจจะสอดคลอ้ งกบั ความเชอ่ื ของคนอสี านทม่ี คี วามเชอื่ วา่ “ไฟจะชว่ ย มิตรภาพไทย–ลาว เพ่ือโชว์ความสวยงามของเรือไฟแต่ละล�า ซ่ึงได้มีการปฏิบัติสืบต่อมาเป็น เผาผลาญมลายความชว่ั ร้ายและขจดั ปดั เป่าความทุกขย์ าก ความทุกขเ์ ขญ็ ใหห้ นีพน้ ไป” ประจ�าทุกปี ๔. ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาและขอขมาองค์พระธาตุหล้าหนอง ประชาชนหนองคาย มคี วามเชอ่ื วา่ พระธาตหุ ลา้ หนองเปน็ ตวั แทนขององคพ์ ระพทุ ธเจา้ เพราะไดป้ ระดษิ ฐานพระบรม- หนองคาย 49 สารีริกธาตุของพระองค์ไว้ และเชื่อว่าองค์พระธาตุช่วยรักษาประชาชนท่ีอยู่ในจังหวัดหนองคาย ให้อยู่อย่างสงบและมีทรัพยากรท่ีสมบูรณ์เพราะเกิดจากองค์พระธาตุ จึงต้องมีการบูชาคุณและ ขอขมาที่บางทีอาจมีชาวบ้านออกหาปลาและท�าสวนในที่ใกล้ แล้วได้ล่วงเกินไปจึงต้องมีการ ขอขมาด้วย 48 เสน้ ทางท่องเที่ยว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
50 เส้นทางทอ่ งเท่ียว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 51
๔.๑ พรานปลาแหง่ ล่มุ นํ้าโขง ส�าหรับวิถีชีวิตคนหาปลา แหง่ ลมุ่ นา้� โขงนน้ั พอ่ ไห อนิ ทชยั วยั ๘๖ ปี อดีตลูกจ้างการรถไฟ มาสู่พรานปลา แหง่ ลมุ่ นา�้ โขงและหาปลาเลยี้ งครอบครวั มาตลอดชีวิต เพิ่งปลดระวางตัวเอง ไปเมื่อไม่นานมานี้ เพราะสภาพพ้ืนน�้า ไม่อ�านวย ประกอบกับสภาพร่างกาย ไม่เอ้ือดว้ ยเช่นกัน พอ่ ไห อินทชัย วยั ๘๖ ป ี อดีตพรานปลาล่มุ นา้� โขง พอ่ ไห อินทชัย วัย ๘๖ ปี กับไซเครอื่ งมอื หาปลาในอดีต (๔) ความรูแ้ ละการปฏบิ ัติเกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล การหาปลาในแม่น้�าโขง จะไม่ได้ใช้เบ็ด ใชต้ ะขอเหมอื นหาปลาในหนองนา้� อน่ื ๆ เพราะนา�้ โขง วิถชี วี ติ คนริมโขงแม่นํา้ โขงคอื ชวี ิต กว้างและไหลแรง การหาปลาจะต้องใช้อวนลาก เม่ือเกิดมาเป็นลูกแม่น�้าโขง สายน้�าแห่งน้ีคือ ชีวิตของคนลุ่มน้�า อาศัยหาอยู่หากินและ อวนกจ็ ะต้องเป็นอวนใหญ ่ ยาวไม่ตา่� กว่า ๕๐๐ เมตร ใช้ชีวิตเก่ียวโยงกับผืนน้�าแห่งน้ีต้ังแต่เกิดถึงตาย ในน้�าโขงมีปลาในนามีข้าวที่เอาน้�าจากน�้าโขง ได้ปลาทีเต็มล�าเรือ ๕-๖ ล�า โดยเฉพาะปลาบึก มารดปลกู ท�าใหไ้ มม่ วี ันไหนที่จะไมไ่ ด้ใช้ประโยชน์จากล�านา้� สายชวี ติ แห่งน้ี และทกุ วันนห้ี มู่บ้าน ได้ตัวใหญ่ขนาดตัวละ ๒๐๐ กิโลกรัม การลากอวน หลายแหง่ ริมแม่น�้าโขงไดผ้ ันตัวเองเปน็ หมูบ่ า้ นทอ่ งเที่ยว รองรบั นักทอ่ งเท่ยี วท่ีอยากจะมาสมั ผัส หาปลาจะตอ้ งใชเ้ รอื ประมาณ ๕-๖ ลา� ชว่ ยกนั อวนทใ่ี ช้ วถิ ีชีวติ แบบบ้าน ๆ และเป็นชีวิตที่มเี สน่ห์ท่ีหลายท่ไี ม่มีโอกาสไดเ้ ห็นแบบน้ี กจ็ ะมหี ลายขนาด ทงั้ ขนาดตาขา่ ย ๔- ๘ เซนติเมตร ส่วนเรือที่ใช้ลากนั้นล�าแรกจะลากอวนออกไป 52 เส้นทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ตามด้วยลา� ท ่ี ๒ และล�าต่อ ๆ มาจนกระทงั่ อวนไปสดุ กลางแม่น้�า และจากนั้นก็จะใช้วิธีต้อนให้ปลามา ตดิ อวนและลากจากปลายเขา้ มาหาฝง่ั โดยใชเ้ รอื ลาก ไปมา ซ่ึงก่อนจะลากอวนจะต้องท�าความสะอาด เอาเศษไม้ เศษกิ่งไม้ใตท้ อ้ งน�้าออกไปก่อน ไมเ่ ชน่ นั้น จะลากอวนไมไ่ ด ้ เพราะอวนจะไปตดิ ขวาก หรอื ตดิ ไม้ ใต้ท้องนา้� หนองคาย 53
โขงรกั ค�าไพโรจน์ นักเขยี นรางวลั ลกู โลกสเี ขียวชาวบา้ นเด่อื โชว์ปลาเอินที่เพื่อนจบั ได้พร้อมลกู สาว ห่นุ ปลาบกึ จา� ลอง สัญลักษณ์ปลาแม่น�า้ โขง บายศรสี ูข่ วัญและบวงสรวงปลาบกึ ของชาวบา้ นเดื่อในชว่ งออกพรรษา การดา� นา�้ ลงไปดงึ ขวาก คอื สง่ิ ทยี่ ากทสี่ ดุ พอ ๆ กบั การดา� นา้� ลงไปแกะอวนออกจากกง่ิ ไม้ หรือ ขวากที่อยู่ใต้น้�า เพราะฉะน้ันคนท�าหน้าที่นี้จึงต้องเป็นคนท่ีเช่ียวชาญเรื่องการด�าน�้า หรือ หนองคาย 55 ชาวประมงเรยี กหมอน้�า ซงึ่ พ่อไหสมัยหนมุ่ ๆ ก็เป็นหนง่ึ ในหมอน�้า ทดี่ า� นา�้ ได้ลกึ และนานโดยไม่ โผลม่ าหายใจเลย โดยเคยดา� น�้าไดน้ าน ถงึ ๒๐-๓๐ นาทีเลยทีเดียว ปลาที่ได้จากการลากอวนนั้น ประกอบด้วย ปลาบึก ปลาเน้ืออ่อน ปลายอนซ่ึงแต่ก่อน ยาวเป็นฟุต แต่ตอนนี้เหลือยาวแค่ฝ่ามือ ปลาลัง ปลาซวย ปลาออด ปลาจอกเขียว ปลาโจก ปลาแก้มเหลือง ปลาค่าว ปลากา ปลาตะเพียน ปลากด ปลาสะกัง ปลาเปลี่ยน ปลาแกง ปลาเอิน ปลาบ ู่ ปลาหลาด สมยั กอ่ นตัวใหญ่เทา่ ลกู เพกา หรือ คนอีสานเรยี กลนิ้ ฟ้า แต่ตอนนีย้ าว เทา่ ฟักขา้ วโพดเทา่ นั้นเอง ฯลฯ ก่อนลงหาปลา ชาวประมง หรือ พรานปลาทุกคนจะต้องมีพิธีกราบไหว้ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ กอ่ นลงนา้� เสมอ โดยการกราบไหวจ้ ะมกี ารไหวว้ อนเพอ่ื ขอใหส้ งิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ ดลบนั ดาลใหป้ ลามาตดิ อวนลาก และได้ปลาเยอะ ๆ โดยสิง่ ศกั ดิส์ ิทธิท์ ี่วา่ ก็ไม่พ้น ผีน้�า ผีฟา้ และพญานาค การละเว้นน้ันชาวประมงก็ละเว้นเหมือนกัน โดยจะไม่หาปลาในวันพระ เพราะถือว่า วันพระเป็นวันทา� บุญ ซึ่งถือเปน็ วนั พกั สา� หรบั พรานปลาด้วย พอพกั กจ็ ะไปท�าบุญ ซ่อมแซมอวน ของตัวเอง ได้อยกู่ บั ครอบครัว และเตรียมพร้อมส�าหรบั การหาปลาในวนั รงุ่ ขึน้ ด้วย 54 เส้นทางทอ่ งเท่ียว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ปลากระชงั ทเ่ี ขา้ มาแทนที่ปลาแมน่ ้�าโขง แมส่ พุ ณิ เวียงหลวง ต้นตา� รับขา้ วโปง่ งา ทุกวันนี้วิถีชีวิตคนริมฝั่งน�้าเร่ิมเปล่ียนไป การออกหาปลาหาได้ไม่มากเท่าสมัยก่อน การวางเบด็ ราวกท็ า� ไดต้ อนกลางคนื เพราะกลางวนั มสี ง่ิ รบกวนเยอะ ปลาไมก่ นิ เบด็ พอปลาลดลง ๔.๒ ขา้ วเกรียบ ขา้ วโปง่ งา บ้านนาทราย ปลาหายากข้ึน และปลาบางชนิดก็เริ่มสูญพันธุ์ไป การท�าพนังก้ันน้�าก็มีส่วนท�าให้ปลาไม่มีพื้นท่ี ขา้ วโปง่ งา บา้ นนาทราย ตา� บลคอกชา้ ง อา� เภอสระใคร จงั หวดั หนองคาย เปน็ ของกนิ ของฝาก วางไขแ่ ละลดจา� นวน สง่ิ ทม่ี องเหน็ รมิ ตลงิ่ แมน่ า้� โขงในเวลานจ้ี งึ เปน็ กระชงั เลยี้ งปลานลิ เขา้ มาแทนท ่ี และสินค้าโอทอปที่ขึ้นชื่อของอ�าเภอเล็ก ๆ ทางเข้าเมืองหนองคายแห่งนี้ หากถามถึงเจ้าดังท่ีมี ชาวบา้ นจากเคยกนิ ปลาแมน่ า�้ โขงเปลย่ี นเปน็ กนิ ปลานลิ แทนเพราะหางา่ ยและราคาถกู ปลาแมน่ า�้ โขง ชอ่ื เสียงและเป็นท่ีชืน่ ชอบของคนกินก็จะตอ้ งเป็นของแม่สพุ ณิ เวียงหลวง ทที่ �ากันมานานเกือบ เรมิ่ ราคาแพงมากขนึ้ และหายากดว้ ยเชน่ กนั ๑๐ ปีแล้ว จุดเรม่ิ ตน้ ของการท�าขา้ วโป่ง หรือ ข้าวเกรียบว่าวน้นั เร่มิ ทา� กันเป็นกล่มุ ในหมูบ่ ้านโดยมี การหาปลาในแม่น�้าโขงยคุ ปจั จุบนั ประมาณ ๓๐ คน แตต่ ่อมาก็เริ่มแตกกันออกไป จนกระทัง่ เหลือไมก่ ่คี รวั เรือนและหนึ่งในนนั้ คอื ของแมส่ พุ ณิ ทที่ า� อยา่ งตอ่ เนอื่ งและทา� ขายสรา้ งรายไดใ้ หค้ รอบครวั โดยแมส่ พุ ณิ ทา� ทง้ั ปง้ิ ขายเอง 56 เส้นทางท่องเท่ียว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม และขายส่งแผ่นแป้งดิบให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซ้ือถึงบ้าน โดยราคาการขายนั้น หากเป็น แผ่นแป้งดิบท่ียังไม่ได้ปง้ิ ขายราคาแผ่นละ ๔ บาท แตห่ ากแมส่ ุพณิ ตอ้ งปิ้งเองจะขายราคาแผน่ ละ ๕ บาทเทา่ น้ัน สว่ นกรรมวธิ กี ารทา� นนั้ แมส่ พุ ณิ บอกวา่ เรม่ิ จากการนงึ่ ขา้ วเหนยี วรอ้ น ๆ โดยนา� ขา้ วสาร ทีเ่ ป็นขา้ วเหนียวจ�านวน ๒ กิโลกรัม แมจ่ ะเอาขา้ วพันธ ุ์ กข. มาแช่น้�าจนนม่ิ จากนน้ั กน็ า� ไปน่งึ ให้ร้อนและสุกหอม ก่อนจะยกลงจากเตาและน�าไปต�าด้วยครกกระเด่ืองแบบโบราณ โดยใน ระหวา่ งที่ต�ากใ็ ชม้ ือพลกิ ข้าวในครกไปเร่อื ย ๆ จนขา้ วละเอยี ดเป็นเนื้อเดยี วกนั จากนัน้ จะตอ้ งใช้ นา�้ หวั กะทปิ ระมาณครงึ่ กโิ ลกรมั คอ่ ย ๆ ผสมไปเรอื่ ย ๆ เพอ่ื ไมใ่ หแ้ ปง้ เหนยี วเกนิ ไปและไมใ่ หแ้ ปง้ ตดิ ครก จากนั้นคอ่ ย ๆ เตมิ ไข่ลงไปอกี ๓-๔ ฟอง คอ่ ย ๆ ผสมและต�าไปเรอ่ื ย ๆ และนา� น้า� ตาล ที่ต้มเป็นน้�าเช่ือมโดยใช้น�้าตาลประมาณ ๑ กิโลกรัม ต้มกับน้�าให้ละลายเอาลงมาผสมและต�า จนเข้ากันเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนจะเสร็จเติมงาด�าลงไปสักเล็กน้อย เพื่อความสวยงามและ ให้ประโยชน์ด้านโภชนาการแถมเวลาปิ้งออกมาก็จะมีสีสันสวยงาม เม่ือเสร็จจะได้แป้งที่เหนียว และนุ่มพร้อมกับน่ิมและร้อน ก่อนจะมาปั้นเป็นก้อนกลมและใช้เคร่ืองทับบีบท่ีท�าพิเศษ จากไมเ้ นอื้ ด ี ทบั จนแบนเปน็ แผน่ ขนาดเทา่ จานขา้ วและนา� ไปวางเรยี งใสก่ ระสอบปยุ๋ ทลี่ า้ งสะอาด ก่อนจะเอาไปขึ้นราวตากเรียงแถวสวยงาม แม่สุพิณบอกว่าการปั้นและการบีบแป้งจะต้องท�า ตอนร้อน หากแปง้ เยน็ จะทา� ไมไ่ ดเ้ พราะแป้งจะแข็งและไม่เปน็ แผ่นสวย หนองคาย 57
การต�าข้าวโป่งต้องใช้ครกกระเดือ่ งแบบโบราณ ขา้ วโปง่ ต้องแห้งและไฟแรงด ี ถงึ จะปงิ้ แล้วพอง การตากขา้ วเกรยี บจะตอ้ งตากใหไ้ ดแ้ ดด ข้าวโปง่ ทีบ่ ีบแล้วใส่กระสอบปุย๋ พรอ้ มตาก แม่สุพิณบอกว่าแต่ละวันจะท�าแป้งข้าว ด ี ๑ แดดก่อนจะกลับด้านและผ่ึงลมอีก ๑ คืน ประมาณวนั ละ ๕ กโิ ลกรมั ซง่ึ จะขายไดป้ ระมาณ กอ่ นจะเกบ็ และนา� มาปง้ิ ไฟรอ้ น ๆ โดยไฟจะตอ้ ง วนั ละ ๑,๐๐๐ บาท ไปขายทไ่ี หนกห็ มด หากมงี าน ตดิ เตาถา่ นใหแ้ ดงโร ่ กอ่ นจะผา่ ไมไ้ ผท่ า� เปน็ ไมป้ ง้ิ ใหญ่อย่างงานแสดงสินค้า ก็จะท�ามากกว่าเดิม โดยไม้ไผ่ท่ีผ่าท�าลักษณะเหมือนมือคนกางออก หากเพมิ่ ปรมิ าณกจ็ ะไดเ้ งนิ เทา่ ตวั หกั ตน้ ทนุ แลว้ แล้วเอามาใช้ปิ้งแป้งข้าวเกรียบที่แห้งแล้วกลับ ก็ได้ก�าไรอยู่วันละไม่ต่�ากว่า ๕๐๐-๖๐๐ บาท ไปกลบั มาจนแปง้ พอง คลี่ออกเป็นแผน่ ใหญ่และ ซง่ึ ถอื วา่ รายไดด้ สี า� หรบั ชาวบา้ นคนหนง่ึ แตห่ าก มสี เี หลอื งนวลทั้งแผน่ เปน็ อันสกุ รับประทานได้ ทา� เกนิ กวา่ แรงทมี่ กี ไ็ มไ่ หวเนอ่ื งจากในครอบครวั โดยเคล็ดลับความอร่อยของแม่สุพิณ ไม่มีคนช่วยได้ เพราะลูกไม่มีใครสนใจมาเรียน ในการท�าข้าวเกรียบว่าวน้ันคือ การต�าแป้ง เพอื่ สบื ทอดเลย โดยเฉพาะการทา� สว่ นผสมตา่ ง ๆ ใหแ้ หลกละเอยี ดเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั เมอื่ เตมิ สว่ นผสม แตพ่ อจะชว่ ยไดบ้ า้ งคอื การบบี แปง้ เปน็ แผน่ และ ทง้ั หมดเขา้ กนั จะทา� ใหป้ ง้ิ ออกมาแลว้ กรอบ หอม เอาไปตากเท่าน้ัน อร่อย ไม่คาว เวลาไปขายที่ไหนคนจะต่อคิวกัน นอกจากข้าวเกรียบงาด�า หรือ ข้าวโป่ง ยาวเหยยี ด งาด�าแลว้ แมส่ พุ ณิ ยังสามารถท�าขา้ วโป่งฟักทอง อญั ชัน ใบเตย ไดอ้ กี ดว้ ย ซ่งึ ถูกอกถกู ใจลกู คา้ ไม่แพ้ข้าวเกรียบงาด�าเลยทีเดียว และท่ีส�าคัญข้าวเกรียบของแม่สุพิณนั้นหากปิ้งแล้วยังคงตัว 58 เสน้ ทางท่องเท่ียว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม ไมย่ ุบ ไมล่ ีบ และไม่เหยี่ วอกี ดว้ ย ทุกวันน้ีมีคนมาดูงาน มาเรียนรู้และมาขอสูตรเพ่ือไปท�าขาย ซึ่งแม่สุพิณก็บอกสูตรไป ไม่หวง เพราะคิดว่าหากคนอ่ืนไปท�าขายด้วยก็จะท�าให้มีรายได้และมีอาชีพเสริมเข้ามานอกจาก การท�าไรท่ า� นาอีกด้วย แต่หากเป็นหน้าฝนก็คงต้องขออนุญาตที่จะไม่รับแขกเท่าไหร่ เพราะหน้าฝนไม่มีแดด ตากข้าวเกรียบไม่ได้ เพราะหากยังด้ือท�า ข้าวเกรียบไม่แห้ง เวลาเอาไปปิ้งไฟจะไม่พองและ ไมก่ รอบ เสยี ชื่อเปลา่ ๆ ทต่ี ง้ั : สา� หรบั ใครทอี่ ยากไปซอ้ื ขา้ วเกรยี บวา่ ว ขา้ วเกรยี บงาแบบดงั้ เดมิ ทยี่ งั ใชค้ รกกระเดอื่ ง ตา� อยไู่ ปไดเ้ ลยท ี่นางสพุ ณิ เวยี งกลาง บา้ นเลขท ่ี๕๗ หม ู่๔ บา้ นนาทราย ตา� บลคอกชา้ ง อา� เภอสระใคร จงั หวัดหนองคาย กำรเดนิ ทำง : จากถนนมติ รภาพ อดุ รธาน–ี หนองคาย พอผา่ นเขา้ เขตหนองคาย จะถงึ แยก เข้าอ�าเภอสระใคร เลี้ยวซ้ายเข้าอ�าเภอสระใคร ข้าง ๆ ร้านทอง ตรงเขา้ ไป ผา่ นตวั อา� เภอสระใคร มุ่งตรงไปยังบ้านนาทราย บา้ นของแมส่ ุพิณ อยหู่ นา้ วัดพอดี เบอร์ติดตอ่ : ๐๙ ๘๖๓๐ ๕๓๔๓ หนองคาย 59
(๕) ช่างฝีมือดั้งเดิม นอกจากน้ันยังมีลายน่องสิงห ์ หรือ แข้งสิงห์ เป็นลายท่ีประกอบส่วนที่เป็นเสาด้านซ้าย และด้านขวา จัดเป็นลายที่แทงยาก ในการฉลุลายน่องสิงห์เป็นการฉลุเพียงคร้ังเดียว แต่เม่ือ ๕.๑ ช่างแทงหยวกงานฝีมือช่างลุ่มน้ําโขง แยกออกจากกันจะได้ลายทั้งสองด้านซ่ึงต้องเท่ากัน ลายหน้ากระดาน ใช้เป็นส่วนประกอบของ การแทงหยวกอกี หนง่ึ ศลิ ปะทใ่ี ชใ้ นการประกอบพธิ กี รรมสา� คญั ของคนลมุ่ นา�้ ซง่ึ สว่ นใหญ่ แผงสว่ นบน สว่ นกลาง และสว่ นฐาน ลายทใ่ี ชก้ นั ทัว่ ไป ไดแ้ ก่ ลายรักร้อย ลายก้ามปู ลายเครอื เถา จะเหน็ ในพธิ กี รรมงานบญุ ส�าคัญ ๆ ท้งั งานมงคลและงานไมเ่ ป็นมงคล ไม่วา่ จะเปน็ งานแห่เทียน ลายดอก ลายเสา เปน็ ลายที่มคี วามส�าคัญเนือ่ งจากการแทงกระทา� ไดย้ ากเช่นเดยี วกัน งานสว่ นน้ี งานบวช งานบญุ และงานศพ จะออกแบบลวดลายอย่างวิจิตรพิสดาร เพื่อแสดงฝีมือของช่างแต่ละคน ลายท่ีมักใช้ในการแทง หยวกคือ ล�าต้นกล้วยท่ีลอกออกมาเป็นกาบ หรือ แกนอ่อนของล�าต้นกล้วย มีสีขาว ลายเสา ได้แก่ ลายเครือเถา เช่น มะลิเลื้อย ลายกนก ลายรปู สัตว์ตา่ ง ๆ เช่น ปลา นก ผเี สอื้ มงั กร สว่ นลวดลายแทงหยวกนยิ มใชล้ ายไทยโบราณเปน็ ลายมาตรฐาน ไมว่ า่ จะเปน็ ลายฟนั หนงึ่ หมายถงึ สตั วห์ ิมพานต์ ลายดอกไม ้ ลายอกั ษร ลายสัตว ์ ๑๒ ราศี ลายกระจัง หรอื ลายบวั คว่�า เปน็ ลาย ลายทมี่ หี นง่ึ ยอด เปน็ งานเบอื้ งตน้ ทผี่ เู้ รม่ิ ฝกึ หดั แทงหยวกจะตอ้ งฝกึ ฝนใหเ้ กดิ ทกั ษะความชา� นาญ ท่ีใช้ประกอบกับลายฟันสามและลายฟันหนึ่ง นิยมใช้เป็นส่วนยอดและส่วนกลาง ไม่นิยมใช้เป็น ขนาดของฟันจะต้องเท่ากันทุกซ่ี แทงเป็นเส้นตรงไม่คดโค้ง ฉลุให้เท่ากันทั้งสองด้าน เป็นลาย สว่ นฐาน มีหลายแบบ ได้แก ่ กระจงั รวน กระจงั ใบเทศ เป็นตน้ ทเ่ี มอื่ แทงและแยกลายออกจากกนั แลว้ นา� ไปใชไ้ ดท้ ง้ั สองขา้ ง ลายฟนั สาม หมายถงึ ลายทม่ี สี ามยอด สา� หรับ นติ ินัย เฉยี งเหนือ ช่างแทงหยวกมอื รางวลั วัย ๔๑ ปี ท่ีชนะเลิศการประกวด เม่ือแทงและแยกลายออกจากกนั แล้ว น�าไปใช้ไดท้ ้งั สองข้างเช่นเดยี วกับลายฟนั หนึง่ ลายฟันห้า ท�าปราสาทผ้ึงท่ีจะต้องใช้การแทงหยวกเป็นส่วนประกอบ บอกถึงการแทงหยวกของเขาว่า หมายถึง ลายท่มี ีห้ายอด มีความยากเนื่องจากตอ้ งแทงถึงห้าหยกั หรือ หา้ ยอด หากไม่ชา� นาญ เร่ิมท�ามาตั้งแต่เด็ก โดยใช้วิธีครูพักลักจ�า เน่ืองจากไม่มีโรงเรียนไหนเปิดสอนการแทงหยวก ดา้ นซา้ ยและดา้ นขวาจะมขี นาดไมเ่ ทา่ กนั และโดยเหตทุ ลี่ ายฟนั หา้ เปน็ ลายขนาดใหญ ่ การแทงลาย ต้องอาศัยจดจ�าจากช่างท่ีเขาช�านาญเท่านั้น โดยครอบครัวของเขานั้นสืบเช้ือสายช่างแทงหยวก จงึ ตอ้ งสอดไสเ้ พอื่ ใหไ้ ดล้ วดลายทสี่ วยงามเดน่ ชดั ยงิ่ ขน้ึ ลายฟนั หา้ เมอื่ แทงและแยกลายออกจากกนั มาตัง้ แต่ร่นุ ตา มาพอ่ เขา และมาถงึ ร่นุ ของเขา และตวั เขาเองแทงหยวกมากวา่ ๒๕ ปีแลว้ แล้วสามารถน�าไปใช้ได้ท้งั สองขา้ งเช่นเดยี วกนั ชา่ งแทงหยวกนน้ั ไมไ่ ดม้ เี ฉพาะทจี่ งั หวดั หนองคาย แตม่ อี ยทู่ ว่ั ไปหมด สว่ นใหญจ่ ะถกู เรยี ก ใช้ในงานบุญ งานประเพณีที่สา� คัญ ๆ เพราะฉะน้ันทุกจังหวัดจะมีช่างแทงหยวกฝีมือดีอาศัยอย ู่ นิตนิ ยั เฉยี งเหนือ ช่างแทงหยวกมือรางวัล แตส่ า� หรบั เขาถอื เปน็ ชา่ งแทงหยวกมอื รางวลั ของเมอื งหนองคายทช่ี นะเลศิ การประกวดแทงหยวก เพ่อื ท�าปราสาทผงึ้ มา ๔ สมยั ติดตอ่ กัน โดยมีเพ่ือน ๆ ช่วยในการประกอบต้นผ้งึ โดยจะมเี ขาเปน็ 60 เส้นทางท่องเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ตวั หลักในการแทง ส�าหรับการแทงหยวกนนั้ จดุ ส�าคญั ทท่ี �าใหช้ า่ งแต่ละคนเอาชนะกนั ไดค้ ือ ลาย ลายท่ีเขา ใชเ้ ขาบอกเปน็ ลายลมุ่ นา�้ โขง ทรี่ จู้ กั กนั ในหมชู่ า่ งฝมี อื ลายลมุ่ นา�้ โขงทวี่ า่ ประกอบดว้ ย ลายดอกผกั แวน่ ลายกนก ลายเปลว ลายก้ามป ู และอื่น ๆ การแทงของช่างจะไม่มกี ารวาดภาพ ลงบนเปลือกกล้วยก่อนแต่จะใช้วิธีแทงไปตามจินตนาการ และความเชย่ี วชาญของแตล่ ะคน ลวดลายทแ่ี ทงจะแสดงออก ถึงงานน้ัน ๆ ว่าเป็นงานอะไรด้วย อย่างงานพระก็จะอีก ลวดลายหน่ึง งานโยมก็จะเป็นอีกลวดลายหน่ึง โดยเฉพาะ งานศพทนี่ ยิ มท�าปราสาทผ้งึ ไปใชป้ ระกอบในงานศพ เพราะ เชอ่ื วา่ จะทา� ใหค้ นทต่ี ายไปแลว้ ไดม้ ปี ราสาทราชวงั ทสี่ วยงามอยู่ จึงได้ท�าปราสาทและติดผึ้ง หรือ เทียนเพ่ือประดับตกแต่ง และทา� ลวดลายใหส้ วยงาม การแทงหยวกทีต่ อ้ งอาศัยความช�านาญ หนองคาย 61
การประกวดแทงหยวกเพอ่ื ทา� ปราสาทผง้ึ ของจงั หวดั หนองคาย จะทา� กนั ในชว่ งวนั ออกพรรษา ชา่ งแทงหยวกมองว่า การแทงหยวกกบั ชวี ิต ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ โดยแทงเพื่อโชว์ฝีมือช่างและแทงเพื่อบูชาแม่น้�าโขงสายน้�าแห่งชีวิตของ คนลุ่มน�้ามีความสัมพันธ์กัน เพราะแม่น�้าคือ ชีวิต คนในพื้นท่ีน้ี ในวันนี้จะมีช่างจากท่ัวสารทิศมาลงชื่อเพ่ือแข่งขันกัน แข่งขันเสร็จก็จะเอา ตน้ กลว้ ยกค็ อื ชวี ติ เหมอื นกนั ตน้ กลว้ ยคอื ตน้ ไมว้ เิ ศษ ปราสาทผ้งึ ไปบูชาแมน่ า้� บูชาพญานาค ตามความเช่ือพ้นื ถนิ่ ท่ีใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ต้ังแต่ใบ ล�าต้น ผล หน่อ ปราสาทผ้ึงที่ประกอบส�าเร็จโดยใช้ศิลปะการแทงหยวกจะน�าเอาปราสาทผ้ึงที่ท�า ปลี ลูก คลา้ ยคลงึ กับแม่นา�้ ทีเ่ หมอื นอู่ข้าว อู่น้�า และ ไปลอยในแมน่ า้� โขง โดยมไี หใสส่ ง่ิ ของทต่ี อ้ งการ นอกจากนน้ั ยงั มเี งนิ ทอง ของใช ้ ลอ่ งไปในลา� นา้� โขง เป็นชีวิตของคนในแถบลุ่มน้�าโขงน้ี การใช้ต้นกล้วย หากปราสาทลอยไปอยู่หน้าบ้านใครคนน้ันก็เก็บเอาส่ิงของและปราสาทผึ้งไปบูชาและไปเป็น บชู าแมน่ า้� เสมอื นนา� เอาส่ิงดี ๆ มาสู่ครอบครวั มาสู่ ของตนเองได ้ ซง่ึ กอ่ นจะลอยปราสาทผงึ้ นน้ั คนทล่ี อยจะตอ้ งอธษิ ฐานจติ โดยสว่ นใหญอ่ ธษิ ฐาน ชีวติ ของคนในลุม่ นา้� แหง่ น้ี ขอใหช้ วี ติ อยดู่ มี สี ขุ สง่ิ ใดไมด่ ใี หล้ อยไปในแมน่ า�้ เวลาลงเรอื หาปลาอยา่ ใหเ้ รอื ลม่ ใหไ้ ดป้ ลาเยอะ ๆ ทตี่ งั้ : ใครสนใจอยากจะตดิ ตอ่ ชา่ งแทงหยวก ซงึ่ สิ่งเหลา่ นคี้ นหาปลา หรอื ชาวประมงจะตอ้ งท�าตลอดเพอื่ บชู าแมน่ า�้ และขอพรจากแมน่ �้าดว้ ย เพื่อน�าเอาไปประกอบพิธีส�าคัญ ติดต่อได้ท่ี นิตินัย เฉียงเหนือ บ้านเลขที่ ๕๕ คุ้มยอดแก้ว ซอย ๓ ต�าบลในเมือง อา� เภอเมือง จังหวดั หนองคาย เบอร์ตดิ ต่อ ๐๘ ๗๙๔๔ ๙๕๐๒ ๕.๒ บายศรีบชู าพญานาค ลายแทงหยวกลายฟันปลา พานบายศรพี ญานาคในรปู แบบตา่ ง ๆ ลายกนกและลายเปลว หรอื เรยี กรวมว่าลายลมุ่ น้�าโขง ชวี ติ ชาวจงั หวดั หนองคาย ผกู พนั กบั สายแมน่ า�้ โขงและเรอ่ื งเลา่ ของ “พญานาค” ซึง่ หลายคนเชื่อว่าอาศัยอยใู่ นแม่น้�าโขงแหง่ นี ้ ทา� ให้ เคลด็ ลบั สา� คญั ในการแทงหยวกนนั้ คอื ตน้ กลว้ ย ตน้ กลว้ ยทนี่ า� มาแทง ชา่ งตอ้ งไปเลอื กเอง หลายส่ิงหลายอย่างท่ีเกิดขึ้น ได้มีเป้าประสงค์เพื่อบูชา กราบไหว ้ ไปตดั เอง เพราะหากไดต้ น้ กลว้ ยทไี่ มถ่ กู ใจ จะทา� ใหช้ า่ งแทงไมไ่ ด ้ ลวดลายไมส่ วยงาม และอารมณเ์ สยี ขอพร เพื่อหวงั ให้ชวี ติ ดีขน้ึ ท�าให้ผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าท่ีควร โดยต้นกล้วยท่ีจะใช้แทงน้ันจะต้องเป็นต้นกล้วยตานี สด ๆ ใหม ่ ๆ และพอแทงแลว้ จะมอี ายใุ ชง้ านไดป้ ระมาณ ๒-๓ วนั ไมเ่ ชน่ นน้ั นา้� ในตน้ กลว้ ยจะออกไป หนองคาย 63 ท�าใหก้ าบกล้วย หรือ หยวกกลว้ ยเหี่ยว สา� หรบั ราคานน้ั ปราสาทผงึ้ ขนาด ๗ ชนั้ ราคา ๒,๐๐๐ บาท ใชเ้ วลาทา� ประมาณ ๓ ชว่ั โมง มีแรงงานชว่ ยกัน ๓-๔ คน ปราสาทผึ้ง ๙ ชั้น ราคา ๓,๐๐๐ บาท ใชเ้ วลาท�า ๔ ชวั่ โมง ซ่งึ ทกุ วนั น้ี ปราสาทผ้ึงทท่ี �าสงู สุดคือ ๙ ชั้นซงึ่ เป็นเลขมงคล 62 เส้นทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
พานบายศรีพญานาค และได้แชมป์มาหลายสมัย และรับท�าพานบายศรีตามท่ีมีผู้สนใจว่าจ้าง สนนราคาต�่าสูงตามแต่ ขนาดทสี่ ่ัง เขาเล่าให้ฟังวา่ กอ่ นหนา้ นี้ก็ท�าพานบายศรธี รรมดา โดยเริ่มหัดท�าตามทย่ี ายสอนและ เชน่ กนั กบั การท�าบายศร ี พานบายศร ี หรือ คนอสี านเรยี ก “หมากเบง็ ” ซ่ึงท�ากันมานาน โรงเรยี นกม็ ใี หท้ า� เชน่ กนั โดยทา� เปน็ ตง้ั แตเ่ ดก็ แตส่ า� หรบั พานบายศรพี ญานาคนน้ั เพง่ิ มาทา� จรงิ จงั ตง้ั แต่สมัยบรรพบรุ ุษแล้ว แต่ส�าหรบั บายศรพี ญานาคเพง่ิ มมี าเมื่อไม่นานนเ้ี อง แตก่ ลับกลายเป็น เม่ือ ๑๕ ปีที่ผ่านมา โดยเรียนรู้เพิ่มเติมและหัดท�าพร้อมกับประยุกต์ลวดลายและความงดงาม สญั ลักษณใ์ นการบูชาและการระลึกถึง “พญานาค” ตามความเชือ่ ของศาสนาพทุ ธและหลายคน จากการสังเกต ฝึกฝน และจนกระทง่ั ประกวดชนะเลิศเป็นสดุ ยอดฝมี อื ด้านน ้ี ท่นี บั ถอื ส�าหรับอัตลักษณ์ในการท�าพานบายศรีพญานาคของเขาที่โดดเด่นไม่เหมือนคนอ่ืน ที่จังหวัดหนองคายมีช่างท�าพานบายศรีพญานาคกันหลายคน แต่ละปีจะมีการประกวด และสามารถเอาชนะใจกรรมการไดค้ อื การพบั กลบี ทลี่ ะเอยี ด เพราะงานใบตองเปน็ งานทจ่ี ะตอ้ งใช้ ประชันและแข่งขันเพอื่ หาสุดยอดฝีมือในการท�าพานบายศรีพญานาคอยา่ งต่อเน่ือง แต่ละปจี ะมี ความละเอยี ด ระมดั ระวงั ไมเ่ ชน่ นน้ั ใบตองจะแตก ไมส่ วย โดยเฉพาะสว่ นเศยี ร หรอื หวั พญานาค ช่างฝีมอื เข้าประกวดประชันกนั ในช่วงวนั ขน้ึ ๑๕ ค่�า เดอื น ๑๑ กนั เป็นจ�านวนมาก โดยวนั น้ีเปน็ หรอื กนก คอื สว่ นทย่ี ากทส่ี ดุ และเปน็ สว่ นทกี่ รรมการจะดแู ละใหค้ ะแนน ใครจะชนะใครใหด้ ตู รง วันท่ีจะพบเห็นบั้งไฟพญานาคตามริมฝั่งแม่น�้าโขงและเป็นวันเดียวกันที่บรรดาช่างฝีมือต่าง ๆ จุดนี้เพราะเป็นจุดยากท่ีสุดในการท�า ซ่ึงบริเวณน้ีเวลาท�าจะต้องใช้เวลานานถึง ๑ วันเต็ม จะท�าพานบายศรีพญานาคเพ่ือบูชาพญานาคและประกวดประชันกันเพื่อหาสุดยอดฝีมือในการ เพราะต้องใชค้ วามละเอยี ดอย่างมาก ทา� พานบายศรดี ้วย การท�าพายบายศรีพญานาคนน้ั จะมคี วามสงู ประมาณ ๑.๕๐ เมตร โดยเปน็ พานบายศรี พญานาค ๙ เศยี ร ซง่ึ คอ่ นขา้ งสงู และจะตอ้ งมกี ารขนึ้ รปู โดยใชโ้ ฟมชว่ ยเสรมิ ในการทา� เพอ่ื ไมใ่ ห้ ประเวศน์ โคตรชมภู บา้ นเลขท ี่ ๓๕๘ หม ู่ ๓ ตา� บลพระธาตบุ ังพวน อ�าเภอเมือง จังหวัด หกั งอได ้ โดยโฟมจะนา� มาใชท้ งั้ บรเิ วณฐานและลา� ตวั โดยสนนราคาในการทา� อยทู่ ี่ ๑.๕ หมนื่ บาท หนองคาย คอื ชา่ งทา� พานบายศรฝี มี อื ด ี ทรี่ ว่ มกบั เพอื่ นอกี หลายคนชว่ ยกนั ทา� พานบายศรปี ระกวด ซึ่งจะต้องร่วมท�ากับเพื่อนอีกหลายคน การท�าแต่ละคร้ังจะใช้เวลาประมาณ ๑ สัปดาห์ ถึงจะ แลว้ เสร็จ 64 เสน้ ทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม เคล็ดลับในการท�า จะต้องใช้ใบตองจากกล้วยตานี เพราะจะมีใบเขียวสดตลอด หากใช้ ใบตองอื่น ใบตองจะเหยี่ วและเหลืองอย่ไู ด้ไม่นาน นอกจากนน้ั เวลาจะทา� จะต้องนา� เอาใบตองมา แชใ่ นนา้� กอ่ น ๑-๒ วนั เพอ่ื ใหใ้ บตองอมิ่ นา�้ จากนน้ั พอทา� เสรจ็ กฉ็ ดี ดว้ ยนา้� มนั มะกอกเพอื่ ใหใ้ บตอง มันวาวไม่เห่ียวงา่ ย ดอกไม้ทใี่ ชป้ ระดบั จะต้องใชด้ อกดาวเรืองซงึ่ หมายถงึ ความเจริญรุง่ เรอื ง ส�าหรบั คนทา� พานบายศรีเองแลว้ พวกเขาเช่อื ว่าการได้มโี อกาสทา� พานบายศรีพญานาค แม้จะท�าเพื่อเปน็ อาชพี เสริมและมีคนว่าจ้าง แตง่ านฝมี อื ท่พี วกเขาท�าน้ันได้แสดงออกถึงการเปน็ ลกู หลานพญานาคและเปน็ คนลมุ่ นา�้ โขงทเี่ ชอื่ ถอื และเคารพพญานาคมาตง้ั แตบ่ รรพบรุ ษุ การไดท้ า� ลว้ นแตเ่ ปน็ สริ มิ งคลใหก้ บั ตนเองและครอบครวั เวลาทา� ดว้ ยความตง้ั ใจ ตง้ั มน่ั ทา� ดว้ ยหวั ใจ เพราะ พานบายศรพี ญานาคทุกอันน้ันเป็นของสงู ท่ถี กู น�าไปกราบไหว ้ บูชา และเคารพ คนท�าจึงทา� ด้วย จติ คารวะเช่นกัน ซึง่ กอ่ นลงมอื ท�าพานบายศรพี ญานาคทุกครัง้ ช่างทุกคนจะตอ้ งไหว้คร ู โดยมีขนั ๕ เงนิ ๑๒ บาท ดอกไม ้ ธปู เทยี น เหลา้ บุหร ี่ หมาก พลู กอ่ นจะลงมอื ทา� ซ่ึงหากไมม่ กี ารไหวค้ รู แล้วช่างฝมี ือเชือ่ ว่าจะทา� ให้ผลงานออกมาไมด่ ี ไมส่ มดงั ที่ต้ังใจ และไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้นท่ีส่ังท�าเพ่ือน�าไปประกอบพิธี แต่คนลาวในสาธารณรัฐ- ประชาธิปไตยประชาชนลาวก็มาว่าจ้างและให้ท�าพานบายศรีพญานาคเพื่อน�าไปประกอบพิธี บวงสรวงในงานพิธตี า่ ง ๆ เชน่ กัน ท่ีตั้ง : ใครสนใจ อยากจะสงั่ ทา� พานบายศรพี ญานาค สามารถติดต่อได้ท ี่ นายประเวศน์ โคตรชมภู บา้ นเลขท ี่ ๓๕๘ หมู่ ๓ ตา� บลพระธาตบุ งั พวน อ�าเภอเมอื ง จังหวดั หนองคาย เบอรต์ ิดต่อ : ๐๙ ๓๐๙๗ ๙๙๕๗ หนองคาย 65
ส�าหรับเขาเองแล้วก็เลิกท�าไปด้วยเช่นกัน โดยหันไปท�าสวน ท�านา และไปเสี่ยงโชค ที่เมอื งนอก แตท่ ้ายทสี่ ดุ กไ็ ปไม่รอด จงึ กลบั มาพลิกฟ้นื ภูมปิ ญั ญาบรรพบรุ ษุ อกี ครง้ั หนึง่ โดยหัน กลับมาท�าไหไพและปั้นครกเพื่อส่งขาย แต่ก็ท�าได้ไม่นานพบว่าตลาดไหไพตัน เน่ืองจากคนหัน ไปซ้ือถงั พลาสตกิ ใสน่ ้�าแทนไหไพ จงึ หันมาท�าเฉพาะครกแทน โดยครกของเขานัน้ เป็นครกพเิ ศษ เพราะดินที่อ�าเภอโพนพิสัยเป็นดินชนิดที่พอเผาแล้วจะกลายเป็นหิน ท�าให้ลูกค้าช่ืนชอบและ เขาสามารถตีตลาดได้ท่ัวประเทศ อีกทั้งครกหินของเขานั้น ปั้นเท่าไหร่ก็ไม่พอขายมีลูกค้ามารอ คิวเหมาเตากันเลยทีเดียว เสวียน ศิลาคม วยั ๖๔ ปี เจ้าของธุรกจิ ส.ศลิ าครกหนิ ครกท่ีปนั้ ดว้ ยมอื ก่อนจะน�ามาตากแดดนานถงึ ๕ วนั กอ่ นจะเข้าเตาเผา ๕.๓ จากครกหินสู่แจกันเครอื งปนั้ ดินเผาลายพญานาค ความพเิ ศษของดนิ ทนี่ ่ี คือ ทีต่ �าบลชุมชา้ ง ดินจะเปน็ ดินดาด ปลกู พืชไมไ่ ดผ้ ล ชาวบา้ น ทไ่ี หนมนี า้� ทน่ี นั่ ยอ่ มมปี ลา ทไี่ หนมนี า ทน่ี น่ั ยอ่ มมขี า้ ว ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั และเมอ่ื มที งั้ ปลาและ จงึ ไม่ค่อยนยิ มปลกู พชื ทา� สวนท�าไรน่ ัก กอ่ นหนา้ น้เี ขาไมม่ ีปัญหาเรอื่ งดิน เพราะไปเอาที่ไหนกไ็ ด ้ ขา้ วแลว้ ภาชนะทจี่ ะนา� มาใสเ่ พอื่ เกบ็ รกั ษากจ็ า� เปน็ เชน่ กนั มขี า้ วกต็ อ้ งมยี งุ้ ฉาง มปี ลากจ็ ะตอ้ งมไี ห แตห่ ลงั ๆ ดนิ ทกุ ตารางนวิ้ มเี จา้ ของทา� ใหเ้ ดอื ดรอ้ นและลา� บากเรอื่ งการหากนิ เขาจงึ ใชว้ ธิ ซี อ้ื ทด่ี นิ เพ่อื เกบ็ รักษาคณุ ภาพปลาเอาไว้กนิ นาน ๆ ดว้ ยการทา� ปลารา้ ปลาแดก เอาไว้และค่อย ๆ ขดุ ดินเอามาปน้ั ครก และที่อ�าเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตั้งแต่โบราณมาแล้ว อ�าเภอแห่งน้ีมีการปั้นไห ซึ่งดินที่น่ีจะมีสีขาว ละเอียด เวลาเอามาเผาจะกลายเป็นหินไปโดยที่ไม่ต้องเพิ่มเติม เพอ่ื บรรจนุ า�้ และใสป่ ลารา้ ปลาแดกเอาไวก้ นิ นาน ๆ จนกลายเปน็ วถิ ชี วี ติ และวฒั นธรรมของคนลมุ่ นา�้ หรือใส่ส่วนผสมอะไรเข้าไปเลย ส่วนดินที่อ่ืนหากเอามาเผาจะเป็นเพียงดินเผาเหมือนกับท่ี และแม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ช่างปั้นไหของอ�าเภอแห่งน้ีก็ยังคงสืบทอดภูมิปัญญาบรรพบุรุษ ด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา แต่ดินที่นี่จะพิเศษและดีกว่า ความพิเศษของดินน้ีเอง ที่จะ และปนั้ ไหเอาไว้จ�าหน่ายทา� อาชพี และสรา้ งรายไดใ้ ห้ครอบครวั ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญและผู้ช�านาญในการไปดู ซ่ึงเขาเองได้คุณสมบัติพิเศษนี้มาจากบรรพบุรุษ ทบ่ี ้านโพนเงิน ตา� บลชุมช้าง เสวียน ศิลาคม วัย ๖๔ ป ี บอกว่า เขาเปน็ ครอบครัวที่ยึด หากไปดแู ลว้ จะรเู้ ลยวา่ ดนิ นใี้ ชป้ น้ั ไดห้ รอื ไม ่ เพราะหากมเี ศษดนิ หาดผสมซง่ึ จะทา� ใหด้ นิ ออกสแี ดง อาชพี ปน้ั ไหไพ หรือ ไหปากกวา้ ง กน้ กวา้ ง ส�าหรับใสน่ า�้ ใส่เกลือเก็บไวก้ ินได้นาน ๆ รวมถึงเอา เวลาเผากจ็ ะไมไ่ ดค้ ณุ ภาพอย่างที่ต้องการ จะต้องใชด้ นิ ดาดทีม่ ีคณุ สมบัติพเิ ศษเท่านั้น ไว้ใส่ปลาร้า แต่ไหส�าหรับใส่ปลาร้าน้ันจะท�าปากเล็กลงมาเพ่ือหาฝาปิดได้ง่ายไม่ให้แมลงวันบิน เข้าไปไข่ท�าให้เกิดหนอนได้ เขาเองเคยปั้นไหกับครอบครัวมานานตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ โดยใน หนองคาย 67 หมบู่ า้ นมคี นปัน้ ไหประมาณ ๑๐๐ หลงั คาเรอื น ในสมยั กอ่ น แตพ่ อมาถึงปจั จุบันสัก ๓๐ ปีคืนหลงั แทบไม่เหลือคนทา� เลย เนือ่ งจากตลาดไม่มี ท�าไปกไ็ มไ่ ดข้ าย ท�าใหห้ ลายครอบครวั เลิกกจิ การไป และทบุ เตาท่ใี ช้เผาไหด้วย 66 เสน้ ทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
เม่ือได้ดินมาเขาจะต้องเอาดินมาตาก เสร็จแล้วน�ามาบด บดแล้วต้องร่อนให้ดินละเอียด ร่อนแล้วจะต้องเอาไปหมักในน้�า ก่อนจะเอามาท�าเป็นก้อนและเข้าสู่กระบวนการปั้นครก โดยครกที่นม่ี หี ลายขนาด ราคาต้ังแต่ ๓๕-๑,๐๐๐ บาท โดยครกทขี่ ายดคี อื ครกขนาดกลาง ๆ ราคาประมาณ ๕๐๐ บาท ทพ่ี อ่ คา้ แมค่ า้ สม้ ตา� นยิ มนา� ไปทา� สม้ ตา� ขายและมคี า� สง่ั ซอ้ื หรอื ออเดอร์ มากมายจนผลติ ไม่ทันและเขาเน้นผลติ ขายสง่ ไมข่ ายปลีก เพราะแค่ขายส่งก็ทา� แทบไมท่ นั แล้ว นอกจากดินท่ีเขามีพิเศษกว่าท่ีอ่ืนแล้ว ยังมีเตาเผา ที่เขาคิดค้นและท�าขึ้นมาเอง โดยลองผิด ลองถูกมานาน จนกระท่ังได้เตาเผาที่มีขนาดใหญ่และยาวประมาณ ๒๐ เมตร เผาครกไดท้ ลี ะ ๕๐๐ ใบ และพอเผาเสรจ็ กม็ ีคนมาซ้ือเหมาลอ็ ตไปเลย เผาครกแตล่ ะครัง้ จะขาย ไดป้ ระมาณ ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ บาท และจะเผาเพยี งสัปดาหล์ ะ ๑ ครั้งเทา่ นั้น โดยเขาจะเผา ได้เพียงอาทติ ยล์ ะ ๒ เตา คนงานหมักและผสมดนิ ใสเ่ ครื่อง ก่อนจะแยกเป็นกอ้ นเข้าสู่การปนั้ ครก คนงานปน้ั ครกหินท่สี นนราคาใบละ ๑๐ บาท สว่ นแรงงานทีใ่ ชเ้ ป็นแรงงานในหมบู่ ้าน ทส่ี มคั รใจมาทา� งานทนี่ ่ี เพราะได้ท�างานใกล้บา้ น ตอนน้ใี นอ�าเภอโพนพิสยั มธี ุรกิจป้ันไห ป้ันครกเหลอื เพยี ง ๔ ครอบครัวเทา่ น้นั จาก ๑๐๐ แถมรายได้ดีอีกต่างหาก ช่างปั้นครกจะได้ค่าจ้างใบละ ๑๐ บาท แต่ละวันจะปั้นได้กี่ใบก็ตาม ครอบครัว ทกุ วันนบ้ี า้ นของเขากลายเปน็ แหล่งศึกษาดงู าน มีคนมาดงู านทัว่ โลก ทั้งจากอเมรกิ า แต่สะดวก นอกจากชา่ งปน้ั ครกแล้ว ยงั มีชา่ งผสมดนิ รอ่ นดิน หมักดนิ และชา่ งเผา ที่ตอ้ งอาศยั เกาหล ี ญปี่ นุ่ กมั พชู า ลาว มาเพอ่ื มาดกู รรมวธิ กี ารทา� แตห่ ากจะเอาไปทา� บา้ งคงยาก เพราะปญั หา คนงานแตล่ ะวันประมาณ ๑๒ คนเลยทเี ดยี ว ใหญค่ อื ดิน ดินทอี่ ่นื จะไม่เหมอื นดนิ โพนพสิ ัยนน่ั เอง การเผาครก ๑ เตา จะตอ้ งใช้เวลา ๒ คนื ๒ วนั กว่าจะได้ครกที่คณุ ภาพดีอย่างทต่ี ้องการ ทีต่ ัง้ : ใครสนใจอยากจะไปดูงาน สามารถไปดูไดท้ ่ี นายเสวยี น ศลิ าคม บา้ นเลขที่ ๕๑ โดยครกทปี่ ั้นเสร็จแลว้ จะตอ้ งตากแดด ๕ แดด หรือ ๕ วนั ถึงจะแห้งดพี อเอาเข้าเตาเผาได้ หม ู่ ๑๕ บ้านโพนเงนิ ตา� บลชมุ ช้าง อา� เภอโพนพิสยั จงั หวัดหนองคาย หรือ ศ.ศิลาครกหนิ 68 เสน้ ทางท่องเทีย่ ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม กำรเดินทำง : ไปตามถนนสาย หนองคาย–โพนพิสัย ขา้ มสะพานเข้าสู่ตวั อา� เภอโพนพสิ ัย เลย้ี วขวา ตรงไปเรอ่ื ย ๆ จนถงึ ตา� บลชมุ ชา้ ง เขา้ ไปทวี่ ดั ปา่ จะเจอเตาเผาของเสวยี นอยขู่ า้ งวดั พอดี เบอร์ตดิ ต่อ : ๐๘ ๑๐๕๙ ๗๘๕๖ หนองคาย 69
ส�าหรับแจกันลายพญานาคทั้งสองช้ินน้ีเป็นช้ินต้นแบบท่ีได้ออกแบบมาเพื่อเป็นแนวทาง ในการพัฒนาสผู่ ลติ ภณั ฑ์ชุมชนตอ่ ไป โดยคณุ สมบัตพิ ิเศษของดินชุดโพนพสิ ยั คอื มีส่วนผสมของ แร่เหลก็ อย่เู ป็นจา� นวนมาก ทา� ให้เวลาเผาในอณุ หภมู ิทสี่ งู กว่า ๗๕๐ องศา และใช้นา้� เคลือบขี้เถ้า ซึ่งเป็นวัสดุท่ีหาง่ายในท้องถิ่น และเผาเคลือบที่อุณหภูมิ ๑,๒๒๐ องศาเซลเซียส จะท�าให้มี ความโดดเดน่ และงดงามของเน้อื ดินท่จี ะมีความนนู และมีจดุ ดา� เด่นชดั ออกมา ซ่งึ ไมม่ ดี นิ ในพน้ื ที่ อ่นื ทา� ได้แบบน้ี ต่อยอดภูมิปัญญาสูแ่ จกันลายพญานาค แจกันดนิ เผาลายพญานาค นอกจากเครื่องปั้นดินเผาท่ีเน้นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและเป็นงานฝีมือมาตั้งแต่ บรรพบรุ ษุ แลว้ ยงั ไดม้ กี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ แจกนั จากรปู ทรงไหไพทช่ี าวบา้ นเคยทา� มาแตเ่ ดมิ มาพัฒนารูปทรงใหม่ ลักษณะฐานเป็นรูปทรงคล้ายเช่ียนหมากของอีสาน ตรงกลางปากแจกัน เจาะรูไม่ใหญ่นัก เพ่ือเวลาใส่ดอกไม้จะได้ไม่ท�าให้ดอกไม้ล้มและประดับด้วยลายพญานาค กับหม้อปรู ณฆฏะ หรอื หม้อแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพ่ือแฝงคุณคา่ และความเป็นสิรมิ งคลให้กบั ผู้ทเ่ี ลือกซอ้ื หาไปใช้ โดยผพู้ ฒั นาผลติ ภณั ฑน์ ค้ี อื อาจารย ์ ดร.ณฐั พงศ ์ พรหมพงศธร ชอ้ นทรี่ ะลึกลายพญานาค อาจารย์ประจ�าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ท่ีสอนการออกแบบผลิตภัณฑ์และเชี่ยวชาญ นอกจากผลติ ภณั ฑแ์ จกนั ลายพญานาคแลว้ ยงั มกี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑช์ น้ิ เลก็ ๆ เพอ่ื สะดวก เร่ืองงานปั้นและงานเซรามิก ได้เป็นผู้ออกแบบแจกัน ต่อการซื้อหา ไม่ว่าจะเป็นเชิงเทียนประดับ ทรงครกลายพญานาค และช้อนท่ีระลึกพญานาค ลายพญานาคนี้ ซึ่งเป็นต้นแบบเพ่ือรอน�าไปสู่พื้นท่ีและมอบให้กับชาวบ้านด�าเนินการผลิตเพื่อเป็นสินค้าของฝาก ของทีร่ ะลกึ ตอ่ ไป 70 เสน้ ทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม ท่ีตง้ั : ใครทส่ี นใจผลติ ภณั ฑ์ หรือ สนใจเรือ่ งการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ติดต่อไดท้ ี่อาจารย์ ดร.ณฐั พงศ์ พรหมพงศธร อาจารย์ประจา� คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น เบอร์ติดตอ่ : ๐๘ ๑๖๓๒ ๓๑๔๓ หนองคาย 71
วถิ ีชีวติ คนลุ่มนา้ํ โขง หนองคาย 73 72 เส้นทางท่องเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
ประเพณีขวา้ งโหวดของ อบต.แก้งไก ่ อ�าเภอสงั คม จงั หวัดหนองคาย การขว้างโหวด หรือ บางพื้นที่เรียก แญวโหวด หรือ บางแห่งอย่างที่อ�าเภอราษีไศล จงั หวดั ศรสี ะเกษ เรยี ก ฟาดโหวด วตั ถปุ ระสงคใ์ นการดา� เนนิ การคอื การบอกกลา่ วไมใ่ หฝ้ นตก (๖) การเล่นพนื้ บ้าน กีฬาพื้นบา้ น และศิลปะการต่อสปู้ ้องกันตัว ซงึ่ ประเพณนี มี้ ีนิทานพ้ืนบ้านอีสานท่ีเกี่ยวข้องคือ เรื่องพญาคันคาก ซึ่งนิทานเรื่องน้ีน้ันเนื้อเร่ือง ระบวุ ่า พญาคันคาก หรอื คางคกท่ีทะเลาะกับพญาแถน หรือ พระอินทรท์ ท่ี า� หนา้ ทีใ่ หฝ้ นตกต้อง ๖.๑ ขวา้ งโหวดการละเล่นท่ีกาํ ลงั จะสญู หายของอําเภอสงั คม ตามฤดกู าล แตใ่ นเวลานนั้ พญาคนั คากปกครองเมอื งดว้ ยความสขุ ทา� ใหช้ าวเมอื งหนั มากราบไหว้ โหวด เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้การแสดงร่วมกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านของวงดนตรี บูชาพญาคันคากจนลืมกราบไหว้บูชาพญาแถน ท�าให้พญาแถนโกรธและไม่ยอมให้ฝนตกต้อง ตามฤดกู าล ทเ่ี รียกว่า “วงโปงลาง” โหวดเปน็ เครื่องดนตรไี ทยภาคอสี านประเภทเครอื่ งเปา่ มีรปู รา่ งเปน็ ทรง พอฝนไมต่ กทา� ใหพ้ ญาคนั คากกับปวงประชาราษฎร์ซงึ่ ประกอบดว้ ย สรรพสตั ว์ท้งั หลาย กระบอกท�าจากไม้กู่แคน ซ่ึงเป็นไม้ซางชนิดเดียวกับท่ีใช้ท�าแคน เดิมน้ันโหวดเป็นเครื่องเล่น ท้ัง มด ปลวก แมลง ผ้ึง ไส้เดือน ก้ิงกือ ฯลฯ ได้ไปเจรจากับพญาแถนจนเกิดการรบกัน ของเด็กผู้ชายและหนุ่ม ๆ ชาวอีสานและยังใช้เป็นเคร่ืองประกอบพิธี หย่าฝน หรือ ห้ามฝน จนในที่สุดพญาแถนรบแพ้จึงได้มีข้อตกลงกันว่าพญาแถนจะบันดาลให้ฝนตก โดยพญาคันคาก หลังฤดูเก่ียวข้าวอีกด้วย จะต้องส่งสัญญาณมาบอกนั่นคือ การจุดบ้ังไฟและหากชาวเมืองได้น�้าเพียงพอต่อการท�านาแล้ว แต่เดิมนั้นประเพณีหย่าฝนจะมีการเล่นโหวดเกือบทุกหมู่บ้านในภาคอีสาน แต่ปัจจุบัน ก็ให้ส่งสัญญาณคือ การขว้างโหวดส่งเสียงข้ึนมาเพ่ือบอกให้หยุดจะได้ให้ฝนหยุดตก จึงเป็นที่มา ขั้นตอนในการท�านาและกรรมวิธีการท�านาเปล่ียนแปลงไป ท�าให้การเล่นโหวดและพิธีกรรม ของประเพณบี ุญบั้งไฟและขวา้ งโหวดต้งั แต่บดั นั้น หย่าฝนจึงค่อย ๆ หายไปด้วยเช่นกัน ในภาคอีสานเหลือเพียงไม่กี่หมู่บ้านมีการเล่นโหวด แบบโบราณอย ู่ โดยหน่ึงในน้ันคือ ชาวบา้ นต�าบลแก้งไก่ อ�าเภอสงั คม จงั หวดั หนองคาย ซงึ่ เปน็ การแขง่ ขันขว้างโหวดของ อบต.แกง้ ไก่ อ�าเภอสงั คม จังหวดั หนองคาย การเล่นโหวดในลักษณะของการจัดประเพณีเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยเรมิ่ มีมาต้งั แต่ป ี พ.ศ. ๒๕๕๒ ท่ผี ่านมา ส�าหรับประเพณีขว้างโหวดนั้นทุกวันน้ีเหลือให้เห็นน้อยลง สมัยก่อนมีการท�าประเพณี อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แตห่ ลงั ๆ ลดลงไป จะเหลอื เพยี งบางจงั หวดั อยา่ งศรสี ะเกษทยี่ งั สบื ทอดประเพณนี อี้ ยู่ 74 เส้นทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม และจัดให้มกี ารแขง่ ขนั เพอื่ สร้างความสนกุ สนานและสืบสานประเพณนี ี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ องค์การบริหารส่วนต�าบลแก้งไก่ นายกองค์การบริหารส่วนต�าบล เหน็ วา่ การเลน่ โหวดของชาวบา้ นจะสญู หาย จงึ มกี ารฟน้ื ฟแู ละสบื ทอดการเลน่ โหวด โดยไดจ้ ดั งาน เทศกาลขวา้ งโหวดในชว่ งเดอื นธนั วาคมของทกุ ๆ ป ี เรมิ่ จากการจดั งานในรปู แบบของการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ วเชน่ เดยี วกบั ประเพณบี ญุ บง้ั ไฟ มกี ารจดั ขบวนแหป่ ระกวดโหวดในรปู แบบขบวนแห่ สวยงาม การแข่งขันการขว้างโหวดประเภทระยะไกล ประเภทแม่นย�า ท้ังผู้เข้าแข่งขันต้ังแต่ ระดับเด็กและผู้สูงวยั ผใู้ หญ ่ การประกวดเทพีขบวนแหโ่ หวดของหมูบ่ า้ นต่าง ๆ ในเขตรับผดิ ชอบ ขององค์การบริหารส่วนต�าบลแกง้ ไก่ และได้ขยายไปให้นักท่องเทยี่ วไดร้ ้จู ักเทศกาลโหวดมากขึ้น หนองคาย 75
ในการประกอบตัวโหวดน้ัน จะใช้ข้ีสูดเป็นตัวเช่ือมระหว่างเลาโหวดกับแกน โดยการ ติดเลากับแกนน้ันจะติดเรียงจากยาวไปหาสั้นและประกบให้กลมพอดีกับเลาโหวดอีกด้านหน่ึง ติดก้อนข้ีสูดเป็นลักษณะครึ่งทรงกลมท่ีหัวโหวด จากนั้นก็จะน�ามาติดหาง ซึ่งท�าจากไม้ไผ่ เหลาลกั ษณะคลา้ ยไมเ้ รยี ว เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ประมาณ ๕ เซนตเิ มตร โดยดา้ นโคนจะใหญก่ วา่ ดา้ นปลาย เล็กน้อย จากน้ันท�าการติดใบพัด ซ่ึงท�าจากไม้ เปลือกของไม้กู่แคนเหลาให้แบนแล้วปิด ใหเ้ ปน็ ลกั ษณะของใบพดั ตดิ ประกอบกบั หาง ชว่ งรอยตอ่ ระหวา่ งตวั โหวดกบั หาง โดยตดิ ตามแนวยาว ของใบพัด ซ่ึงใบพัดจะช่วยให้โหวดหมุนตัวขณะท่ีขว้างท�าให้เกิดเสียงไพเราะกว่าไม่ติดใบพัด ถ้าเป็นการท�าโหวดส�าหรับขว้างให้เกิดระยะไกลก็จะติดข้ีสูด หรือ อ้งติดใต้ท้องโหวดเพ่ือให้เกิด ความสมดลุ ทา� ใหข้ วา้ งไดไ้ กล ถา้ ใครขวา้ งไดไ้ กลกวา่ กจ็ ะกนิ อง้ หรอื ชนะนนั่ เอง สา� หรบั การขวา้ ง นยิ มขนึ้ ไปยนื บนเนนิ เพอื่ ใหผ้ ขู้ วา้ งสามารถขวา้ งไดไ้ กล การตั้งโตะ๊ จัดของถวายเทวดาฟ้าดนิ ก่อนประกอบพธิ ีขวา้ งโหวด ขบวนรถแหธ่ ิดาโหวด ของอบต.แกง้ ไก่ อ�าเภอสังคม จังหวดั หนองคาย สา� หรบั การทา� พธิ หี ยา่ ฝนดว้ ยการขวา้ งโหวดนน้ั ชาวบา้ นจะตอ้ งจดั ของถวายประกอบไปดว้ ย การจัดงานประเพณเี ทศกาลเลน่ โหวดขององค์การบริหารส่วนต�าบลแก้งไก่ อ�าเภอสงั คม พาคาว (อาหารคาว) พาหวาน (ของหวาน) กระทงหน้าวัว ขันหมากเบ็ง (กรวยบายศรี) จงั หวดั หนองคาย จะดา� เนนิ การในชว่ งปลายเดอื นธนั วาคม จะเรมิ่ ตง้ั แตเ่ วลา ๐๖.๐๐–๒๔.๐๐ น. ธงสามสี น�้า เหล้า ดอกไม ้ ธูป เทียน ขันห้า โดยนัดหมายกนั ว่าจะไปประกอบพธิ ีท่นี าของใคร ซ่ึงแต่ละปีจะมีกิจกรรมหลัก คือ การประกวดขบวนแห่รถโหวดของแต่ละหมู่บ้าน มีธิดาโหวด ทมี่ คี วามสะดวก สว่ นใหญจ่ ะเลอื กทงุ่ นาทอ่ี ยใู่ กลห้ มบู่ า้ นเพอื่ ความสะดวก ผทู้ ม่ี ฝี มี อื ในการทา� โหวด นั่งประจา� รถ เพ่ือประกวดประชนั กันด้วย ก็จะท�าเพื่อใช้แกว่งในพิธี จากนั้นครั้นได้วันดีจะท�าพิธีตามวัน เวลา สถานท่ี ที่นัดหมายกัน ท่ีต้ัง : องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�าบลแกง้ ไก่ เลขท่ี ๑๗๔ ถ.สงั คม-นายูง หมู่ท่ี ๒ ต�าบลแกง้ ไก ่ หลงั เสร็จพิธี กจ็ ะแกวง่ เป็นสัญญาณ ให้พญาแถนรับรู้ อา� เภอสงั คม จังหวดั หนองคาย ๔๓๑๖๐ โหวดทใ่ี ชป้ ระกอบพธิ นี น้ั บรรดาเดก็ ๆ จะนา� ไปเลน่ กนั อยา่ งสนกุ สนาน ทง้ั มกี ารแขง่ ขนั กนั กำรเดินทำง : เดินทางจากจังหวัดหนองคาย ไปยังอ�าเภอสังคม ระยะทางประมาณ เช่น โหวดใครมีเสียงไพเราะกว่ากัน หรือไปเล่น “กินอ้ง” ซึ่งท�าจากขี้สูด หรือ ชันโรง ท่ีใช้ติด ๑๐๐ กิโลเมตร บนตวั โหวดเพอ่ื หนกั โดยจะแขง่ วา่ ใครขวา้ งไกลกจ็ ะไดอ้ ง้ เปน็ รางวลั อง้ ทท่ี า� จากขสี้ ดู หรอื ชนั โรงน ี้ เบอรต์ ดิ ตอ่ : ๐ ๔๒๐๘ ๓๕๕๗ โทรสาร ๐ ๔๒๐๘ ๓๕๕๗ email: [email protected] สามารถน�าไปเป็นชนั ภาชนะตา่ ง ๆ ท่ีทา� จากไม้ได้ สา� หรับการท�าโหวดนน้ั ทา� จากไมก้ แู่ คนขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลาง ประมาณ ๑.๕ เซนติเมตร หนองคาย 77 ตัดขนาดให้มคี วามยาวต่างกัน จ�านวน ๗ ท่อน เรียกวา่ เลาโหวด ปลายดา้ นหนึ่งของเลาจะเส้ยี ม ให้แหลม ทา� มุมประมาณ ๕๕ องศา ในแต่ละเลาจะมีการอดุ ปลายดา้ นลา่ ง ด้วยขี้สูด (ชันโรง) เพ่ือเป็นการบังคับให้ระดับเสียงของแต่ละเลา ตามเสียงที่ต้องการ จากนั้นน�ามามัดติดกับแกน ซงึ่ ท�าจากไม้ไผ่ผ่าซีก ยาวกว่าเลาประมาณ ๓๐ เซนติเมตร 76 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม
78 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม (๗) ลกั ษณะอนื ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง และสถานท่ีท่องเทยี่ วทางประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม และแหล่งเรียนรู้วิถีชุมชน ๗.๑ แหล่งท่องเท่ยี วทางธรรมชาติ สวนรุกชาตนิ ํ้าตกธารทอง อยูใ่ นเขตบา้ นผาตั้ง หมู่ที่ ๑ ตา� บลผาตัง้ อา� เภอสงั คม นา้� ตก ธารทองมลี กั ษณะเปน็ ธารนา�้ ไหลไปตามลานหนิ มแี อง่ นา�้ ใหเ้ ลน่ นา้� ได ้ กอ่ นจะลดระดบั เกดิ เปน็ ชนั้ นา�้ ตกเลก็ ๆ เปน็ ระยะลดหลัน่ กนั ไปประมาณ ๓๐ เมตร และไหลลงสูล่ �าน�้าโขงในท่ีสุด ช่วงเวลา ที่มีน�้ามากเหมาะแก่การมาเที่ยวชม คือ ระหว่างเดือนมิถุนายน–ตุลาคม บริเวณโดยรอบเป็น สวนรุกขชาติมปี ่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น กำรเดินทำง ใช้เส้นทางหนองคาย–ศรีเชียงใหม่–สังคม (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๑) ผ่านบ้านไทยเจริญแล้วตอ่ ไปบ้านผาตั้ง (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๘๖) บรเิ วณหลกั กโิ ลเมตรท่ี ๗๔ กอ่ นถึงตวั อ�าเภอประมาณ ๑๑ กิโลเมตร น�้าตกธารทองจะอยรู่ ิมทางดา้ นขวามอื ส่วนดา้ นซ้ายมือ ของถนนเป็นบริเวณลานจอดรถ นาํ้ ตกธารทพิ ย ์ อยู่ในเขตบ้านตาดเสรมิ ต�าบลบา้ นมว่ ง อา� เภอสังคม เปน็ นา้� ตกทส่ี ูงและ สวยงามทา่ มกลางปา่ เขยี วขจ ี แบง่ ออกเปน็ ๓ ชน้ั ดา้ นลา่ งเปน็ นา้� ตกชนั้ แรกสงู ประมาณ ๓๐ เมตร ไหลจากหน้าผาเปน็ สายยาวสขี าวสู่แอง่ น้�าเบ้อื งล่าง ช้ันท ่ี ๒ สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ตอ้ งปีนขึน้ ไปตามเส้นทางทท่ี �าไว ้ และช้ันท ่ี ๓ สูงประมาณ ๗๐ เมตร มีน้�าไหลอย่ตู ลอดปี และจะมีนา้� มาก ในฤดฝู น กำรเดนิ ทำง ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ ถงึ บรเิ วณกโิ ลเมตรท ่ี ๙๗-๙๘ มปี า้ ยบอกทาง เลี้ยวซา้ ยเข้าไปอกี ประมาณ ๒ กิโลเมตร (หา่ งจากอา� เภอสงั คมไปประมาณ ๙ กโิ ลเมตร) เมื่อถึง ลานจอดรถเดนิ เทา้ ไปอีก ๑๐๐ เมตร วัดถํ้าศรีมงคล อ�าเภอสังคม หรือ วัดถ�้าดินเพียง เป็นสถานที่ส�าคัญซึ่งเป็นที่มาของ ชื่อวัดถ้�าดินเพียง มีหลายคนได้เล่าขานกันมาว่าเป็นถ�้าท่ีพระธุดงค์ประเทศลาวเดินทางข้ามมา โดยไม่ได้ผ่านมาทางเรือแต่เป็นการเดินทางผ่านถ�้าน้ี ซ่ึงผู้ที่จะเห็นเส้นทางภายในถ�้าต้องเป็น ผบู้ า� เพ็ญศีลภาวนา หรือ เปน็ พระอภิญญา ลักษณะถ้�าดนิ เพียงนีค้ ล้ายเมอื งบาดาลของพญานาค ตามความเชื่อของชาวบ้าน ภายในถ�า้ จะมคี วามช้นื และมนี า้� ไหลตลอดปี มีก้อนหนิ เปน็ แทง่ ต้ังวาง อยา่ งจงใจบางกอ้ นเป็นโลงศพ มสี ่วนเว้าโคง้ ของหนิ ภายในถ�า้ ที่สวยงาม การเดนิ ทางเขา้ ถ้�าควรมี ผนู้ �าทางเพราะถา้ ไปเองอาจท�าให้หลงทางและเปน็ อนั ตรายได้ กำรเดินทำง จากจังหวัดหนองคายไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ เรียบแม่น้�าโขง ระยะทางประมาณ ๙๖ กิโลเมตร ถงึ บา้ นดงต้อง ตา� บลผาตง้ั จะมปี ้ายทางซา้ ยมือบอกเส้นทาง ไปวัดถา้� ศรมี งคล ๑๔ กิโลเมตร หนองคาย 79
วดั ผาตากเสอื้ สกายวอล์คจดุ ท่องเทีย่ วแห่งใหม่ของอา� เภอสงั คม จงั หวัดหนองคาย วดั ผาตากเสอ้ื เปน็ วดั ทมี่ ที วิ ทศั นส์ วยงามมาก มองจากบนหนา้ ผาลงมาเหน็ ความเปน็ อยู่ ภหู ว้ ยอสี นั อา� เภอสงั คม เปน็ จดุ ชมววิ “ทะเลหมอก” ทขี่ าวโพลนเปน็ ทางยาวสดุ ลกู หลู กู ตา ของชาวไทยและลาว ภายในวดั มธี รรมชาตทิ ส่ี มบรู ณ ์ สามารถเดนิ เลาะตามหนา้ ผาเพอื่ ชมธรรมชาติ โอบล้อมภูเขาจนเห็นเพียงแค่ยอดภูเท่าน้ัน โดยทะเลหมอกที่นี่เป็นการค้นพบแห่งแรก และทิวทศั นท์ ีส่ วยงามได้ ของจงั หวดั หนองคาย ส�าหรบั ช่วงชมทะเลหมอกเปน็ ช่วงฤดหู นาว ตง้ั แต่เวลา ๐๕.๓๐-๐๙.๐๐ น. กำรเดนิ ทำง จากจงั หวดั หนองคายไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ เลยี บแมน่ า้� โขง ระยะทาง ความหนาแนน่ ของหมอกขน้ึ อยกู่ บั สภาพอากาศของแตล่ ะวนั เพราะเปน็ เรอ่ื งของธรรมชาต ิ สา� หรบั ประมาณ ๙๖ กโิ ลเมตร ถงึ บา้ นดงตอ้ ง ตา� บลผาตง้ั จะมปี า้ ยทางซา้ ยมอื บอกเสน้ ทางไปวดั ผาตากเสอ้ื ผทู้ ่ีสนใจชมทะเลหมอกและเกบ็ ภาพเป็นท่รี ะลกึ แวะมาสมั ผสั ความงามได้ท่ี ภูหว้ ยอีสนั บา้ นมว่ ง ๗ กิโลเมตร นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางมาโดยรถประจ�าทาง บขส. (หนองคาย-เลย) ต�าบลบ้านม่วง อา� เภอสังคม จังหวดั หนองคาย ผา่ นอา� เภอสังคมใชเ้ วลาเดนิ ทาง ๒ ชวั่ โมง ต้งั แต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๖.๐๐ น. และต่อรถสองแถว กำรเดินทำง ใช้เส้นทางถนนสาย ๒๑๑ เลยี บริมฝง่ั แม่นา้� โขง อา� เภอสังคม อา� เภอปากชม ซึ่งออกวนั ละ ๑ เทยี่ วเทา่ น้ัน เพอ่ื เขา้ ไปชมวดั ถา้� ดินเพียงและวัดผาตากเส้อื จังหวัดเลย ระยะทางจากตัวอ�าเภอสังคมประมาณ ๑๗ กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปถึง จดุ ชมวิวอีกเลก็ นอ้ ย หรอื ใช้บริการรถอีแต๊ก สกายวอลค์ (Sky Walk) แลนดม์ ารค์ แหง่ ใหม่ของประเทศไทยและจังหวดั หนองคาย จดุ ชมววิ ทจี่ ะทา� ใหเ้ ราเหน็ ทศั นยี ภาพแบบพาโนรามาของเมอื งหนองคาย เหน็ แมน่ า้� โขงยาวเปน็ สาย พนั โขด แสนไคร้ (แกรนดแ์ คนยอนหนองคาย) ดวงตะวนั เรม่ิ ทอแสงออ่ นไดเ้ วลาเดนิ ทาง เห็นเมืองสังข์ทองและแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ล่องเรือเทีย่ วชม “พนั โขด แสนไคร้” ซงึ่ ล�านา�้ โขงทไ่ี หลผา่ นอ�าเภอสังคมตามกระแสน้�าแลว้ ต้นนา�้ สกายวอลค์ ตงั้ อยทู่ ี่วัดผาตากเสอื้ ต�าบลผาตั้ง อ�าเภอสงั คม อยบู่ นเทือกเขา สูงจากระดบั น้�าทะเล อยทู่ ่ีต�าบลบ้านมว่ ง ในฤดูแล้งนา�้ โขงลดลงมาก จะปรากฏโขดหนิ ขนาดต่าง ๆ ขึ้น มีท้งั ขนาดเลก็ ประมาณ ๕๐๐ เมตร ซ่ึงวัดแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดชมวิวแม่น�้าโขงที่สวยที่สุดแห่งหน่ึงของ ขนาดใหญ่อยู่เต็มไปหมด และตามโขดหินเหล่านี้ จะถูกแต่งแต้มประดับประดาไปด้วยต้นไคร้ จงั หวดั หนองคายเลยกว็ า่ ได ้ และทไี่ ดส้ รา้ งสกายวอลค์ ขนึ้ มานน้ั กเ็ พอื่ ดงึ ดดู นกั ทอ่ งเทย่ี วใหม้ าเทยี่ ว ใหใ้ บมีสีเขียวสดเหมอื นเป็นดงั สวนหย่อมท่ีเกดิ จากหนิ และตน้ ไคร้ท่ีธรรมชาตสิ ร้างขน้ึ มาได้อย่าง กันมากขึ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัดหนองคายด้วย ลงตวั สายนา้� กา� ลงั เปลยี่ นส ี ตะวนั ทอแสงกระทบเนอื้ นา�้ ฉาบสเี หลอื งทองเปลง่ ประกายระยบิ ระยบั ตามเกลียวคลื่นเมื่อเรือหาปลาล�าน้อยตัดผ่านเลยไปเป็นภาพความสวยงามยามเย็นนี้ อยู่ท ี่ 80 เส้นทางทอ่ งเที่ยว มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม “แก่งพาล” เหมาะสา� หรบั เป็นจุดถา่ ยภาพ หนองคาย 81
หาดจอมมณ ี ตงั้ อยทู่ ห่ี ม ู่ ๑ บา้ นจอมมณ ี ตา� บลมชี ยั หา่ งจากตวั เมอื ง ประมาณ ๒ กโิ ลเมตร ตามถนนเลยี บแมน่ า�้ โขง ในหนา้ แลง้ บรเิ วณรมิ นา้� โขงจะเกดิ เปน็ หาดทรายขนึ้ มคี วามยาว ประมาณ ๒๐๐ เมตร มนี กั ทอ่ งเทยี่ วทงั้ ในจงั หวดั หนองคายและใกลเ้ คยี ง เดนิ ทางไปพกั ผอ่ นเปน็ จา� นวนมาก ในช่วงเดอื นเมษายนของทกุ ปี จนไดร้ บั การเรียกขานวา่ เป็น “พทั ยาอสี าน” พนั โขด แสนไคร้ (แกรนดแ์ คนยอนหนองคาย) หาดจอมมณี น้ําตกวังน้ํามอก บริเวณน�้าตกมีแนวสันภูเป็นผาหินลักษณะแปลกตามีธารน้�าไหล หนองคาย 83 ลดหลนั่ กนั ไปตอนลา่ งเปน็ แหลง่ นา้� ขนาดใหญแ่ ละลานหนิ สามารถลงเลน่ นา้� ไดช้ ว่ งเดอื นมถิ นุ ายน –ตลุ าคม เปน็ ชว่ งทเี่ หมาะแกก่ ารทอ่ งเทยี่ วทสี่ ดุ นกั ทอ่ งเทย่ี วทมี่ าทอ่ งเทย่ี วสามารถพกั คา้ งคนื แบบ โฮมสเตย์และเท่ียวเดินป่า รวมทั้งยังร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญและซุมข้าวแลง (กินข้าวเย็นด้วยกัน) ซึ่งเป็นประเพณีของชาวบ้านวังน้�ามอกในการต้อนรับคนแปลกถิ่นท่ีมาเยือน จึงสร้างความ ประทับใจให้ผู้มาเยือนเป็นอย่างดี อาหารพ้ืนบ้านท่ีท่านจะได้ล้ิมรส ได้แก่ ไก่บั้ง แกงหน่อไม ้ ต�าสับปะรด ปลาทอดสมุนไพรกรอบ ฯลฯ โฮมสเตย์บ้านวังน้�ามอกยังได้รับรางวัลกินรี Award จากการทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทยเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สาขาองค์กรส่งเสริม การทอ่ งเทย่ี วดเี ด่น การเดินทาง ต้ังอยู่หมู่ที่ ๕ บ้านวังน�้ามอก ต�าบลพระพุทธบาท อ�าเภอศรีเชียงใหม ่ เป็นน้�าตกสูง ๓๐ เมตร อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน เลยเขตเทศบาลต�าบลศรีเชียงใหม่ออกไป ทางอา� เภอสงั คม ประมาณ ๒๘ กโิ ลเมตร ก่อนถึงวัดหนิ หมากเป้ง ๒๐ เมตร จะมที างแยกซ้าย เขา้ สบู่ า้ นวงั นา�้ มอก ระยะทางจากทางแยกเขา้ สนู่ า้� ตกประมาณ ๗ กโิ ลเมตร รถยนตส์ ามารถเขา้ ถงึ ตัวน�า้ ตกได้โดยไม่ต้องเดนิ เทา้ 82 เสน้ ทางท่องเท่ียว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
84 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 85
๗.๒ แหลง่ ทอ่ งเท่ียวทางศาสนา วดั โพธช์ิ ยั (พระอารามหลวง) ตงั้ เมอ่ื พระสุธรรมเจดีย์ วัดอรัญญบรรพต ตั้งอยู่ที่บ้านหม้อ ต�าบลบ้านหม้อ อ�าเภอ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๖๐ เดิมช่ือ วดั ผผี วั คงปรารภเหตแุ หง่ ความเปน็ มา ศรีเชยี งใหม่ สรา้ งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เม่ือคร้งั เปลี่ยนแปลงการปกครองพอด ี โดยชาวบ้านช่วยกัน ในสมัยพุทธกาลท่ีถือว่าต้นโพธิ์ สรา้ งวดั ขนึ้ เพอื่ ใหเ้ ปน็ ทจ่ี า� พรรษาของพระธดุ งคท์ ม่ี าพกั เจรญิ สมถะและวปิ สั สนา เดมิ ชาวบา้ นเรยี กวา่ เป็นไม้มงคล กอปรกับที่ตั้งของวัด วดั ปา่ ผาชนั เพราะสถานทตี่ ง้ั วดั เปน็ แนวหนิ รมิ แมน่ า�้ โขงซง่ึ เรยี กวา่ ผาชนั ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นชอื่ ใหม่ สมัยเก่ามีต้นโพธ์ิท่ีใหญ่มากจึงได้ช่ือว่า เป็นวัดอรญั ญบรรพต มกี ารออกแบบและกอ่ สรา้ ง “พระสุธรรมเจดยี ์” ทมี่ คี วามงดงามโดยได้รับ วัดโพธิช์ ัย ความอุปถัมภ์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พระสุธรรมเจดีย์เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และ เจดยี ์บรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ เปน็ สถานที่ร่มรื่น สงบ น่าทอ่ งเท่ยี ว และสถานปฏบิ ัตธิ รรม ภาพประตวู ดั โพธช์ิ ัยสมัยโบราณ ที่น�าจดั แสดงทพ่ี ิพิธภณั ฑห์ นองคาย วดั หนิ หมากเป้ง อ�าเภอศรีเชยี งใหม่ จงั หวดั หนองคาย วดั โพธช์ิ ยั และองค์หลวงพอ่ พระใสคเู่ มืองหนองคาย วดั หนิ หมากเปง้ ตงั้ อยทู่ บี่ า้ นไทยเจรญิ ตา� บลพระพทุ ธบาท อา� เภอศรเี ชยี งใหม ่ บรเิ วณวดั หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มพี นื้ ทกี่ วา้ งขวางรม่ รน่ื ดว้ ยพรรณไม ้ สะอาด เรยี บรอ้ ย และเงยี บสงบ พน้ื ทดี่ า้ นหลงั ตดิ กบั ลา� นา้� โขง เปน็ พระพทุ ธรปู ลกั ษณะงดงามมาก ขนาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๒ คบื ๘ นว้ิ สว่ นสงู จากองคพ์ ระเบอื้ งลา่ ง ซง่ึ มองเหน็ ทศั นยี ภาพสวยงาม แตเ่ ดมิ เคยเปน็ ทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมของหลวงปเู่ ทสก ์ เทสรงั ส ี เกจอิ าจารย์ ถงึ ยอดพระเกศา ๔ คืบ ๑ นิ้ว ประดษิ ฐานอยู่ทว่ี ัดโพธ์ิชยั ซง่ึ เปน็ วดั อารามหลวงในเขตเทศบาล ชอื่ ดงั ของภาคอสี าน เปน็ ผรู้ เิ รม่ิ จดั ตง้ั ใหเ้ ปน็ สถานทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมของภกิ ษสุ งฆ ์ แมช่ ี และผแู้ สวงบญุ เมอื งหนองคาย พระใสหล่อในสมัยเชยี งแสน ช้นั หลงั พระใสเปน็ พระพุทธรปู ล้านช้างตามตา� นาน ท้ังหลาย หลังจากท่านมรณภาพมีการก่อสร้างเจดีย์ เจดีย์พิพิธภัณฑ์ฯ พระราชนิโรธรังสีฯ ทเี่ ลา่ สบื กนั มาวา่ พระธดิ า ๓ องค์ แหง่ กษตั ริยล์ า้ นช้างเปน็ ผสู้ ร้าง บางท่านกว็ ่าเป็นพระราชธดิ า (เทสก์ เทสรังสี) วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ในพระไชยเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชด�าเนินมาเป็นองค์ประธานทรงบรรจุอัฐิ พระราชนิโรธรังสีฯ หนองคาย 87 (เทสก์ เทสรังส)ี เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๐ 86 เส้นทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ซงึ่ มพี ระนามตามลา� ดับวา่ เสริม สุก ใส มพี ระทยั รว่ มกันเป็นเอกฉันท์ในอันท่จี ะหลอ่ พระพทุ ธรูป นอกจากนว้ี ดั โพธชิ์ ัย ยังมีพระธาตุพระอรหนั ต ์ ประดษิ ฐานอยู่หนา้ พระอุโบสถ วัดโพธิช์ ัย ประจา� พระองคจ์ งึ พรอ้ มกนั ขอพระราชทานพรจากพระราชบดิ า พระราชบดิ าทรงพระราชทานพร ในต�านานอรุ งั คธาตไุ ด้ระบุวา่ พระธาตอุ รหันตส์ ร้างขน้ึ ในยุคของการบูรณะพระธาตพุ นม คร้ังที่ ๒ จึงใหช้ า่ งหล่อพระพุทธรปู ขึ้น ๓ องค ์ ขนาดลดหลั่นกนั ตามล�าดับและขนานนามพระพุทธรูปของ สมยั พระยาสมุ ติ ดวงศากษตั รยิ ป์ กครองมรกุ ขนคร ครงั้ เมอ่ื พระอรหนั ตท์ งั้ ๕ เขา้ สนู่ พิ พาน อฐั ธิ าตุ ตนเองไว้ดังน้ีว่า พระเสริมประจ�าพ่ีใหญ่ พระสุกประจ�าคนกลาง และพระใสประจ�าน้องสุดท้อง ของพระอรหันต์ทั้ง ๕ ได้น�าไปประดิษฐานไว้ใน “เจดีย์พระอรหันต์” ที่ประดิษฐานอยู่บริเวณ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระเจ้าเทววงศ์ไดอ้ ญั เชิญพระพุทธรูป ท้ัง ๓ องค ์ ไปไว้ ณ เมืองเวียงจนั ทน์ หน้าพระอุโบสถ วัดโพธ์ิชัยในปัจจุบัน เนื่องจากบนองค์พระธาตุมีสถาปัตยกรรมปูนปั้น นูนสูง และในสมัยรัชกาลท ี่ ๓ ได้อัญเชิญมายังฝั่งไทย แต่เกิดพายุในระหว่างการเดินทางท�าให้พระสุก เปน็ รปู หนา้ ยกั ษ์ ชาวหนองคายจงึ เรียกพระธาตอุ งคน์ ้ีวา่ “พระธำตยุ ักษ์” จมนา้� อยทู่ ปี่ ากงมึ (เวนิ พระสกุ ) จดุ บรเิ วณบา้ นหนองกงุ้ อา� เภอโพนพสิ ยั สว่ นพระเสรมิ ประดษิ ฐาน ทต่ี ง้ั : ๘๗๓ ถนนประจกั ษ ์ ตา� บลในเมือง อ�าเภอเมอื ง จงั หวัดหนองคาย ไว้ ณ วดั หอก่อง และพระใสประดษิ ฐานไว้ ณ วดั โพธิช์ ยั ในสมัยรชั กาลที่ ๔ ไดอ้ ญั เชิญพระเสรมิ กำรเดินทำง : จากส่ีแยกถนนมิตรภาพ–ตัวเมืองหนองคาย ให้ใช้เส้นทางหลวง ๒๑๒ ลงมาประดิษฐานอยู่ท่วี ัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร สว่ นพระใสประดษิ ฐานอย่ทู วี่ ดั โพธิ์ชัย มงุ่ หนา้ ไปทางอ�าเภอโพนพิสัย เปน็ ระยะทาง ๒ กิโลเมตร จะเหน็ วัดโพธิช์ ัยอยซู่ ้ายมอื จงั หวดั หนองคายจะมงี านประเพณบี ญุ บงั้ ไฟบชู าพระใสทว่ี ดั โพธช์ิ ยั เปน็ ประจา� และมกี าร อญั เชญิ หลวงพอ่ พระใสแหร่ อบเมอื งหนองคายในชว่ งเทศกาลสงกรานตเ์ พอ่ื ใหป้ ระชาชนไดส้ รงนา�้ ขอพรหลวงพอ่ พระใส ประเพณสี งกรานต์ พธิ ีห่มผา้ พระธาตุหลา้ หนอง หรอื พระธาตุกลางนา้� แหห่ ลวงพอ่ พระใส พระธาตุกลางนํ้า เดิมช่ือพระธาตุหล้าหนอง เป็นเจดีย์ท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 88 เส้นทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม พระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ ตามต�านานอุรังคธาตุ หรือ ต�านานในบริเวณที่เป็น เมืองหนองคายโบราณมานานหลายร้อยปี เดิมเจดีย์อยู่บนฝั่งริมน้�าในเขตวัดพระธาตุหนองคาย ตอ่ มาถกู กระแสน�้ากัดเซาะจึงอย่กู ลางล�าน�้าโขงดงั เชน่ ปัจจุบนั โดยจะเห็นได้ชดั ในชว่ งฤดูแลง้ พระธาตุแห่งน้ีสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ โดยพระอรหันต์ห้าองค์ เดินทางไป อญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตจุ ากพระมหากสั สปเถระ ประเทศอนิ เดยี มาบรรจไุ วใ้ นองคธ์ าต ุ และในปี พ.ศ. ๒๑๐๙ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช แหง่ อาณาจกั ร ลา้ นชา้ ง ไดส้ รา้ งมหาธาตเุ จดยี ค์ รอบองคพ์ ระธาต ุ มฐี านกวา้ ง ๑๕.๘ เมตร สงู จากฐานถงึ ปลายยอด ๓๑ เมตร ตอ่ มาในป ี พ.ศ. ๒๓๐๐ นา้� ในแมน่ า�้ โขง กัดเซาะพื้นดินบริเวณวัดพระธาตุแห่งน้ีจนเหลือเพียงองค์ธาตุเจดีย์ตั้งอยู่กลางน�้า กระท่ังป ี พ.ศ. ๒๓๙๐ องค์ธาตุเจดีย์พังทลายลงเหลือเพียงซากเจดีย์ ปจั จบุ นั ชาวจังหวัดหนองคายได้สรา้ ง พระธาตุองค์ใหม่แทนพระธาตุองค์เดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้�าโขงเป็นหนึ่งในพระธาตุที่อยู่ในต�านาน พระอรุ งั คธาตทุ บี่ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาต ุ คอื พระธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม พระธาตบุ งั พวน และ พระธาตหุ ลา้ หนอง จงั หวดั หนองคาย และพระธาตหุ อผา้ หอแพร สาธารณรฐั ประธปิ ไตยประชาชนลาว หนองคาย 89
พระธาตบุ ังพวน อ�าเภอเมอื ง จังหวดั หนองคาย พระธาตุโพนจิกเวียงงัว ต้ังอยู่ที่บ้านโคกป่าฝาง ต�าบลปะโค อ�าเภอเมืองหนองคาย เปน็ พระธาตทุ ี่เชื่อกันว่าบรรจุพระธาตเุ ข้ียวฝาง (พระทันตธาต)ุ จา� นวน ๓ องค ์ ประดิษฐานอยู่ท่ี พระธาตบุ งั พวน (สตั ตมหาสถาน) เปน็ ทบ่ี รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาต ุ และเปน็ สตั ตมหาสถาน วดั ป่าพระธาตุบ ุ บา้ นโคกป่าฝาง ต�าบลปะโค อา� เภอเมอื งหนองคาย ๑ ใน ๔ ของโลก (๑. อินเดีย ๒. พมา่ ๓. วดั เจด็ ยอดจงั หวดั เชยี งใหม่ และ ๔. วัดพระธาตุบังพวน จังหวัดหนองคาย) ต้ังอยู่ ต�าบลพระธาตุบังพวน อ�าเภอเมืองหนองคาย ห่างจากตัวเมือง วดั ศรชี มภอู งคต์ อ้ื ภายในวดั จะประดษิ ฐานหลวงพอ่ องคต์ อ้ื ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธรปู ทงี่ ดงาม ๒๒ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ แยกเขา้ ตรงกิโลเมตรท ่ี ๑๐ ไปอกี ๑๒ กโิ ลเมตร นา่ เลอ่ื มใส สรา้ งในสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชครองเมอื งเวยี งจนั ทน ์ พระสงฆใ์ นวดั ศรชี มภอู งคต์ อ้ื พระธาตุบังพวน (สัตตมหาสถาน) เป็นการจ�าลองสถานท่ีท่ีเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ๗ แห่ง ได้ประชุมปรึกษาหารือกัน ลงมติจะหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ข้ึนในบ้านน้�าโมง (เดิมเรียกว่าบ้าน (๗ สิ่ง) ได้แก่ โพธิบัลลังก์ คือ สถานท่ีท่ีพระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ใต้ต้นโพธ์ิเป็นเวลา ๗ วัน น�้าโหม่ง) เพ่ือเป็นที่เคารพสักการะแก่อนุชนรุ่นหลัง เมื่อตกลงกันแล้วจึงได้ชักชวนบรรดา ภายหลงั การตรัสรู้ในชว่ งสปั ดาหแ์ รก จากน้ันจึงเสด็จลงจากวัชรอาสน์ อนมิ สิ เจดยี ์ คอื สถานท่ี พทุ ธศาสนิกชนท้ังหลายเพอ่ื เร่ียไรทองเหลืองบา้ ง ทองแดงบ้าง ตามแตผ่ ู้ทม่ี จี ติ ศรัทธาจากทอ้ งท่ี ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนทอดพระเนตรโพธิบัลลังก์ในสัปดาห์ท่ี ๒ เป็นเวลา ๗ วัน อา� เภอและจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง ไดท้ องหนกั ตอ้ื หนง่ึ (มาตราโบราณ ภาคอสี านถอื วา่ ๑๐๐ ชง่ั เปน็ หมนื่ โดยมไิ ดก้ ระพริบพระเนตร อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโพธบิ ัลลังก ์ รัตนจงกรมเจดีย์ คือ ๑๐ หมืน่ เป็นแสน ๑๐ แสนเปน็ ล้าน ๑๐ ล้านเป็นโกฏิ ๑๐ โกฏเิ ปน็ หนงึ่ กอื ๑๐ กือเปน็ หนง่ึ ตื้อ) สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมในสัปดาห์ท่ี ๓ อยู่ ๗ วัน เพื่อแสดงปาฏิหาริย์และบรรเทา พระสงฆ์และชาวบ้านจึงพร้อมกันหล่อเป็นส่วน ๆ ในวันสุดท้ายเป็นวันหล่อตอนพระเกศ ความกงั ขา รตั นฆรเจดยี ์คอื สถานทท่ี พ่ี ระพทุ ธเจา้ ประทบั นงั่ พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎิ ก ในสปั ดาหท์ ่ี๔ ในตอนเช้าได้ยกเบ้าเทแล้วแต่ไม่ติด เมื่อเอาเบ้าเข้าเตาใหม่ ทองยังไม่ละลายดีก็พอดีเป็นเวลา เปน็ เวลา ๗ วนั ในเรอื นแกว้ ทเ่ี ทพยดานมิ ติ ถวาย อชปาลนโิ ครธเจดยี ์ คอื สถานทท่ี พี่ ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จวนพระจะฉันเพล พระทั้งหมดจึงท้ิงเบ้าเข้าเตา หรือ ท้ิงเบ้าไว้ในเตาแล้วก็ข้ึนไปฉันเพลบนกุฏ ิ ประทบั ใตต้ ้นไทรซ่ึงเปน็ ท่พี ักของคนเลย้ี งแพะ ในสัปดาหท์ ่ี ๕ เปน็ เวลา ๗ วัน เพื่อเสวยวมิ ตุ ติผล ฉันเพลเสร็จแลว้ ลงมาหมายจะเทเบ้าท่คี ้างไว้กลบั ปรากฏเปน็ วา่ มีผ้เู ทตดิ และสวยงามกวา่ ทค่ี ิดไว ้ สมาบัติโดยทรงมีพุทธฎีกาต่อนางมารว่าพระองค์ทรงละซึ่งกิเลสหมดส้ินแล้ว มุจลินทเจดีย์ คือ น่าอศั จรรย ์ จึงสืบถามไดค้ วามว่า มชี ายผ้หู นงึ่ นุ่งห่มผ้าขาวมายกเบ้านน้ั เทจนส�าเรจ็ แต่ด้วยเหตุ สถานทท่ี ่พี ระพุทธเจ้าประทับใตต้ น้ จิกเสวยวิมตุ ตผิ ล เป็นเวลา ๗ วนั ในสัปดาห์ท่ี ๖ ใกลส้ ระน้�า ทเ่ี บา้ นนั้ รอ้ นเมอ่ื เทเสรจ็ แลว้ ชายผนู้ นั้ จงึ วง่ิ ไปทางเหนอื บา้ นนา�้ โมง มผี เู้ หน็ ยนื โลเลอยรู่ มิ หนองนา้� โดยมพี ญานาคนาม “มจุ จลนิ ท”์ ขน้ึ มาแผพ่ งั พานปอ้ งกนั ลมฝนใหพ้ ระพทุ ธองค ์ ราชายตนะเจดยี ์ แหง่ หนง่ึ แลว้ หายไป (หนองนา�้ นนั้ ภายหลงั ชาวบา้ นเรยี กวา่ หนองโลเลมาจนถงึ ปจั จบุ นั น ี้ และชาย คือ สถานทท่ี ี่พระพุทธเจา้ ประทบั ใตต้ ้นเกดเสวยวิมุติผลสมาบัติเป็น เวลา ๗ วัน โดยมพี ระอนิ ทร์ ผ้นู น้ั กเ็ ขา้ ใจกนั ว่าเปน็ เทวดามาช่วยสร้าง) ถวายผลสมอทพิ ย์ และม ี ๒ พาณชิ ย์หนุ่มถวายขา้ วสัตตุจึงเกดิ ปฐมอบุ าสกในพทุ ธศาสนาขึน้ เมื่อได้น�าพระพุทธรูปที่หล่อแล้วมาประดิษฐานไว้ในวัด มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งเมือง เวียงจันทน์มาเที่ยวบ้านน้�าโมงสองท่าน ชื่อว่าท่านหมื่นจันทร์กับท่านหม่ืนราม ท้ังสองท่านน้ี 90 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม ได้เห็นพระเจ้าองค์ตื้อก็เกิดศรัทธาเล่ือมใสท่ีจะช่วยเหลือจึงได้ช่วยกันก่อฐานและท�าราวเป็นการ ส่งเสริมศรัทธาของผู้สร้าง ครั้นเมื่อขุนนางทั้งสองได้กลับถึงเมืองเวียงจันทน์แล้วได้กราบทูล พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซ่ึงครองเมืองเวียงจันทน์ในเวลาน้ัน พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้เสด็จมา ทอดพระเนตรก็ทรงเกิดศรัทธาจึงได้สร้างวิหารประดิษฐานกับแบ่งปันเขตแดนให้เป็นเขตข้าทาส บรวิ ารของพระเจ้าองคต์ ือ้ หนองคาย 91
92 เส้นทางทอ่ งเท่ียว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม หนองคาย 93
โดยภาชนะดินเผาท่ีพบท้ังหมด คือ ส่ิงของท่ีอุทิศให้ศพ มีท้ังท่ีอยู่ในสภาพท่ีสมบูรณ์ และไม่สมบูรณ ์ ประกอบด้วย ภาชนะท่มี ีรปู ทรงแตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ ภาชนะดินเผากน้ กลม ปากผาย ภาชนะทรงชาม ภาชนะทรงพาน และภาชนะทรงคล้ายแจกัน ตกแต่งด้วยลวดลาย เขยี นส ี เชอื กทาบ เล็บขูด และลายปน้ั เส้นดนิ พันรอบไหล่ ลา� ตวั ภาชนะ นอกจากน้ันยังพบลกู กระสนุ ซึ่งเปน็ อุปกรณ์ลา่ สตั ว์ขนาดเล็ก แวดนิ เผา ซ่ึงเปน็ อปุ กรณ์ ปน่ั ดา้ ยในการทอผา้ และยงั มเี บา้ หลอมสา� รดิ คอื ถว้ ยทมี่ ปี ากจบี ใชส้ า� หรบั บรรจทุ องแดงและดบี กุ (วัตถุดิบทา� ส�าริด) เพ่ือน�าไปใหค้ วามร้อนจนโลหะหลอมเหลว พบในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ และ ยงั มีก้อนดินเผามีรอยประทบั ของเคร่อื งจักสาน นับเป็นหลักฐานส�าคญั ในการแสดงให้เห็นถงึ การ มีเครือ่ งจักสานใชอ้ ีกด้วย ในหมู่บา้ นโคกคอนแหง่ นี้ ยังพบวัตถทุ ที่ า� จากหนิ ได้แก ่ ขวานหินขัด มีทงั้ แบบมบี า่ และ ไมม่ ีบ่า กา� ไลหิน พบไม่สมบูรณ์เต็มวง ม ี ๒ แบบ คือ แบบแผ่นแบนคล้ายกงจกั ร และแบบดา้ น ตัดรปู สเ่ี หลย่ี มผืนผ้าแนวตัง้ ลูกปัดพบ ๕ เม็ด เป็นลูกปัดทรงกระบอก พบรว่ มกับโครงกระดกู และต๊กุ ตาควาย โดยตกุ๊ ตาควายพบขนาดกว้าง ๑.๖ เซนติเมตร ยาว ๗.๑ เซนตเิ มตร พบรว่ มกับ โครงกระดูกเด็กและลกู ปัดหนิ ซงึ่ คาดว่าตุ๊กตาควายที่พบน่าจะเปน็ เคร่อื งประดบั ห้อยคอ พพิ ธิ ภัณฑโ์ คกคอน วัตถุโบราณที่ชาวบ้านรวบรวมมาจัดแสดงในพพิ ธิ ภณั ฑ์ แหล่งเกบ็ รวบรวมวัตถโุ บราณ หนองคาย 95 ๗.๓ แหล่งทอ่ งเท่ยี วทางโบราณคดีและสถาปัตยกรรม แหล่งโบราณคดีโคกคอน หมู่บ้านโคกคอน เป็นที่ต้ังสถานท่ีท่องเที่ยวท่ีส�าคัญ ทางโบราณคดีแห่งหนึ่งและที่น่ีมีพิพิธภัณฑ์ที่องค์การบริหารส่วนต�าบลโคกคอนดูแลและได้เก็บ รวบรวมวัตถุโบราณเอาไว้ เพ่ือจัดแสดงและเป็นสถานท่ีท่องเทยี่ วของชมุ ชนบ้านโคกคอน ต�าบล โคกคอน อ�าเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย อยู่ในเขตท่ีราบลุ่มทางฝั่งขวาของล�าน�้าโมง หมู่บ้าน ตั้งอยู่ในจุดท่ีสูงท่ีสุดของละแวกน้ัน ล้อมรอบด้วยทุ่งนา ชาวบ้านท่ีหมู่บ้านน้ีขุดพบโครงกระดูก และข้าวของเคร่ืองใช้ประเภทเคร่ืองปั้นดินเผาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และจากน้ันมีการขุดหา ของเก่ากนั เร่อื ยมา กว่าทกี่ รมศิลปากรจะเขา้ ไปขุดคน้ ในป ี พ.ศ. ๒๕๔๔ จากข้อมูลหนังสือ ความคิดเห็นของชุมชนต่อแหล่งโบราณคดีโคกคอน ท่ีศึกษา โดย สมคดิ ไชยวงศ ์ พนิ จิ พลพทิ กั ษ ์ และ สทิ ธพิ ร ณ นครพนม ไดศ้ กึ ษาเอาไวร้ ะบวุ า่ วตั ถโุ บราณทพ่ี บ ในหลุมขุดจา� นวน ๓ หลมุ พบว่ามีทัง้ ภาชนะดินเผา กระดกู สัตว ์ กระดกู มนษุ ย์ ภาชนะดินเผา 94 เสน้ ทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
อกี ทั้งในบรเิ วณดงั กลา่ วยังพบ แมพ่ มิ พส์ �ารดิ ทท่ี า� จากหนิ ทราย เปน็ แม่พมิ พ์แบบสองชิ้น นอกจากนนั้ ยงั พบโครงกระดกู เดก็ อกี ๑ โครง อยใู่ นสภาพไมส่ มบรู ณน์ กั เพราะพบเฉพาะ ประกบกัน ใช้ส�าหรับหล่อหัวขวานส�าริด ส่วนหินลับคม ท�าจากหินทรายมีร่องรอยการถูกฝน ส่วนกะโหลกและกระดูกช่วงหัวไหล่ มีลูกปัดหินและตุ๊กตาควายท�าจากหินเป็นสิ่งอุทิศให้ศพ จนเป็นรอ่ งเว้า นอกจากนยี้ งั พบวา่ มโี ครงกระดกู เดก็ บรรจอุ ยใู่ นภาชนะดนิ เผาขนาดใหญข่ องกลมุ่ หลกั ฐานนดี้ ว้ ย ส่วนหลักฐานการฝังศพน้ัน แม้จะพบหลักฐานการฝังศพท่ีสมบูรณ์จ�านวนไม่มากนัก จากขอ้ มลู ทข่ี ดุ พบในพน้ื ทหี่ มบู่ า้ นโคกคอน สนั นษิ ฐานไดว้ า่ มนษุ ยท์ อ่ี าศยั อยบู่ า้ นโคกคอน แต่จากข้อมูลสามารถยืนยันได้ว่า ส่ิงที่อุทิศให้ศพอันได้แก่ ภาชนะดินเผาซึ่งพบในปริมาณมาก แห่งนี ้ มีอยู่ใน ๒ สมยั คอื และมคี วามหลากหลายในรปู ทรงและการตกแตง่ กเ็ ปน็ หลกั ฐานสา� คญั ในการใชจ้ ดั ลา� ดบั วฒั นธรรม สมยั ประวตั ศิ าสตร ์ เนอ่ื งจากพบหลกั ฐานโบราณวตั ถขุ องวฒั นธรรมลา้ นชา้ ง ราวพทุ ธศตวรรษ สมยั ก่อนประวัติศาสตร์ของบา้ นโคกคอนได้เปน็ อยา่ งด ี ท่ี ๒๒-๒๔ (ราว ๔๐๐–๒๐๐ ปีมาแล้ว) และวัฒนธรรมทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒–๑๖ รวมถึงยงั พบโครงกระดูกมนษุ ย์ผใู้ หญ่ ๒ โครง ไม่มศี ีรษะ วางอยู่ในหลุมขุดค้นในลักษณะ (ราว ๑,๔๐๐–๑,๐๐๐ ปมี าแล้ว) นอนหงายเหยียดยาว มือประสานไวท้ ีท่ ้อง หันศีรษะไปทางทิศตะวนั ออก มภี าชนะดินฝงั รว่ มอยู่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ การจัดล�าดับและแยกระยะย่อยของวัฒนธรรมสมัยก่อน ดว้ ยหลายใบ ทส่ี า� คญั ไดแ้ ก ่ ภาชนะทรงพานลายเขยี นสแี ดง ภาชนะกน้ กลมลายเชอื กทาบ ภาชนะ ประวัติศาสตร์ของแหล่งโบราณคดีบ้านโคกคอน สรุปได้เบ้ืองต้นว่าเก่าแก่กว่าแหล่งโบราณคดี ก้นกลมขนาดเล็กท่มี ีสันนนู รอบล�าตวั บา้ นเชยี ง (มพี ฒั นาการตงั้ แตย่ คุ หนิ ไลม่ าจนถงึ ยคุ โลหะ กา� หนดอายรุ าว ๕,๖๐๐–๒,๓๐๐ ปมี าแลว้ ) เพราะมีการน�าหินมาใช้ประโยชน์ และท่ีแหล่งโบราณคดีบ้านโคกคอนมีการใช้เครื่องมือ หินขัดจ�านวนมากทั้งในช้ันดินระดับบนและระดับล่าง โดยพบร่วมกับช้ันดินท่ีพบโบราณวัตถุท่ี ทา� จากโลหะ ภาชนะที่พบในหลุมฝงั ศพบา้ นโคกคอน ธรรมาสนไ์ ม้และใบเสมาหนิ ทอี่ ยดู่ า้ นหลังอุโบสถวัดศรีสะอาด 96 เส้นทางท่องเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม นอกจากน้ันในบริเวณวัดศรีสะอาด ยังพบเสมาหินซ่ึงเป็นรูปแบบวัฒนธรรมในสมัย ทวารวดที ยี่ งั มใี หเ้ หน็ อยใู่ นบรเิ วณวดั และนอกจากนน้ั ทว่ี ดั แหง่ นย้ี งั มธี รรมาสนไ์ ม ้ ทเี่ กบ็ รกั ษาเอาไว ้ แตไ่ ม่ได้นา� มาตั้งโชว์ใหน้ กั ทอ่ งเที่ยวดู หนองคาย 97
ส�าหรับประวัติบ้านโคกคอน ในเอกสารเผยแพร่ขององค์การบริหารส่วนต�าบลโคกคอน เจดยี ค์ ู่ที่วัดเทพพลประดษิ ฐาราม ระบวุ า่ บ้านโคกคอนกอ่ ตัง้ ขึ้นเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๓๑๙ มีราษฎรอพยพหนีสงครามฮ่อ (จีนใหญ)่ มาจาก บา้ นท่าช้าง ประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินทางข้ามแม่น�้าโขงมายงั ฝงั่ ไทย วัดเทพพลประดิษฐาราม ตั้งอยู่ในชุมชนโบราณท่ีเรียกว่า เวียงคุก ริมแม่น้�าโขงในเขต ในการเดนิ ทางไดน้ า� สมั ภาระทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองตดิ ตวั มาดว้ ย ผอู้ พยพสว่ นหนงึ่ ไดห้ าบคอนครกหนิ อ�าเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เป็นเมืองหน้าด่านส�าคัญของนครเวียงจันทน์มาต้ังแต่อดีต เคลอื บทองคา� มาดว้ ย เปน็ ครกหนิ ทม่ี ขี นาดใหญ ่ พอมาถงึ ทต่ี งั้ ในปจั จบุ นั ไดพ้ บวดั รา้ งสมยั ทวาราวดี ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑–๒๒ สภาพทวั่ ไปปกคลมุ ดว้ ยปา่ หนาทบึ มหี นองนา�้ ลา� หว้ ย รอบหมบู่ า้ น สภาพภมู ปิ ระเทศเหมาะทจ่ี ะ วัดแห่งนี้เดิมชื่อ วัดสิริเทพพล สร้างราว พ.ศ. ๒๔๖๐ จากการสืบค้นประวัติการสร้าง หลบซ่อนจากทหารจีนฮ่อ ในขณะท่ีก�าลังปรับปรุงบ้านเรือนอยู่นั้นทหารจีนฮ่อได้ติดตามคุกคาม เมอื งเวยี งคกุ พบวา่ สรา้ งในสมยั พระเจา้ อนรุ ทุ ธมหาราช กษตั รยิ อ์ งคส์ ดุ ทา้ ยทคี่ รองนครเวยี งจนั ทน ์ มีช้าง มา้ เป็นพาหนะ อาวธุ มีดาบ ง้าว หอก สามงา่ ม มาเข่นฆ่า ต่อมาหมื่นกางโฮง เจ้าเมืองเวียงคุกได้บูรณปฏิสังขรณ์ให้เป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุสามเณร ชาวบา้ นจงึ หนที หารจนี ฮอ่ โดยทง้ิ ทรพั ยส์ นิ ครกหนิ เคลอื บทองคา� ลงในหนองนา้� ทา้ ยหมบู่ า้ น และหลังจากเมืองเวียงคุกถูกยุบให้เป็นหมู่บ้านก็ไม่ได้รับการบูรณะอีกเลย จนกระทั่งชาวบ้าน (ปัจจุบันเรียกหนองสระพัง) เม่ือเหตุการณ์สงบ ผู้อพยพได้เดินทางกลับมา ส่วนครอบครัวที่มี รว่ มแรงรว่ มใจกนั บรู ณะขน้ึ มาใหม ่ และใชช้ อ่ื วา่ “วดั เทพพลประดษิ ฐาราม” หรอื ทชี่ าวบา้ นเรยี กวา่ ลูกเด็กเล็กแดงพากันอพยพต่อไปเรื่อย ๆ และได้ไปปักหลักสร้างบ้านเรือนอยู่ท่ีอ�าเภอบ้านหม ่ี วดั ทงุ่ พุทธศลิ ป์ทส่ี �าคญั คอื พระธาตทุ รงปราสาทยอดเจดีย ์ กอ่ อิฐถือปนู ๒ องค์ จังหวดั ลพบรุ ี (ลาวโซง่ ) ราษฎรทเ่ี หลอื อยไู่ ดต้ งั้ ชอื่ หมู่บ้านวา่ “บ้านครกคอนคา� ” โดยต้ังชอื่ ตาม โดยเจดยี อ์ งคท์ างทศิ เหนอื ขอ้ มลู ของ ผศ.ดร.ประภสั สร ์ ชวู เิ ชยี ร ระบวุ า่ ใชช้ ดุ ฐานเอนลาด ลกั ษณะการหาบคอน ตอ่ มามกี ารเรยี กชอ่ื ผดิ เพย้ี นออกไปวา่ “บา้ นโคกคอนคา� ” จนถงึ พ.ศ. ๒๔๗๐ ท่ีเรยี กวา่ บัวเขา่ พรหม ลดหล่ันกันรองรับเรือนธาตทุ ่ีซ้อนกันสองชนั้ มีซุม้ จระนา� ตนื้ ๆ ตอ่ ดว้ ย จงึ ตัดคา� ว่า “ค�า” ออก มาเป็นชอื่ บ้านว่า “บา้ นโคกคอน” จนถึงปจั จุบัน องคร์ ะฆงั หรอื บวั เหลย่ี มแลว้ จงึ เปน็ ยอดทรงกรวยแหลม ทงั้ หมดอยใู่ นผงั ยอ่ มมุ ไมส้ บิ สอง ทรวดทรง คอ่ นข้างเพรียวผอมมากกว่าเจดยี ์องค์ทางทิศใต้ในวัดเดียวกนั กา� หนดอายสุ มัยในศิลปะลา้ นชา้ ง หนองสระพัง ที่ไดร้ ับอทิ ธิพลจากลา้ นนาและอยุธยาราวพทุ ธศตวรรษท ่ี ๒๒ หนองน�า้ ในตา� นานหม่บู า้ นถูกปล่อยทิ้งรา้ ง ในขณะท่ี เกศินี ศรีวงค์ษา ที่ได้ศึกษาเร่ือง เจดีย์ทรงปราสาทยอดในศิลปะล้านช้าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ระบุว่า พระธาตุทรงปราสาทยอดเจดีย์ก่อด้วยอิฐ ท่ีต้ัง : ใครสนใจอยากจะไปเย่ียมชมหมู่บ้านแห่งนี้ หรือ อยากจะไปเย่ียมชมพิพิธภัณฑ์ จา� นวน ๒ องค ์ ทพี่ บในวดั แหง่ นซ้ี ง่ึ องคห์ นงึ่ อยหู่ ลงั พระอโุ บสถ (องคท์ ศิ ใต)้ สว่ นอกี องคอ์ ยนู่ อกเขต บา้ นโคกคอน สามารถตดิ ตอ่ ไดท้ ี่ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตา� บลโคกคอน อา� เภอทา่ บอ่ จงั หวดั หนองคาย พระอโุ บสถ (องคท์ ศิ เหนอื ) เดมิ อยใู่ นสภาพปรกั หกั พงั ปจั จบุ นั ไดร้ บั การบรู ณะจากกรมศลิ ปากรแลว้ กำรเดนิ ทำง : พอเข้าถึงพนื้ ทจี่ งั หวดั หนองคาย ตามถนนมติ รภาพ อดุ รธาน–ี หนองคาย โดยจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างพระธาตุท้ังสององค์ เลยอา� เภอสระใคร มาไมถ่ ึง ๒๐ กโิ ลเมตร เลยี้ วซา้ ยเขา้ อา� เภอทา่ บ่อ ตามถนนสาย ๒๑๑ จะมี ของวดั แหง่ น ี้ ปรากฏเฉพาะชอ่ื เมอื งเวยี งคกุ อนั เปน็ ทตี่ งั้ ของพระธาตเุ ทา่ นนั้ ซง่ึ ยงั คงมคี วามคลมุ เครอื ปา้ ยบอกแหล่งท่องเทีย่ ว แหล่งโบราณคดีโคกคอน ดา้ นซา้ ยมือบอกทางใหร้ ู้ และหากเล้ยี วเข้ามา เรอื่ งการตัง้ เมืองเชน่ กนั ตามป้ายบอกทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตร กจ็ ะพบหมู่บา้ นโคกคอน ซง่ึ เป็นทีต่ ง้ั สถานท่ที อ่ งเท่ียว ที่สา� คัญทางโบราณคดแี ห่งน้ี หนองคาย 99 เบอร์ติดตอ่ : ๐ ๔๒๔๔ ๓๑๕๗ 98 เสน้ ทางทอ่ งเที่ยว มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
Search