Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เส้นทางท่องเที่ยวมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี

เส้นทางท่องเที่ยวมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี

Published by e-books nkiculture, 2022-02-21 04:16:25

Description: AW-A5-จังหวัดอุดร

Search

Read the Text Version

2 เส้นทางทอ่ งเทย่ี ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม คํานํา จากการศึกษาข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี พบว่ามีหลักฐาน ท่ีบ่งบอกถึงความเป็นมาทางวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ท่ีปรากฏหลักฐานทางโบราณคด ี ท่ีบ้านเชียงเม่ือประมาณ ๕,๖๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว และมีภาพเขียนสีที่อุทยานประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ และพบกลมุ่ ใบเสมา อักษรจารกึ สมยั ทวารวด ี รอยพระพทุ ธบาท สมยั ละโวล้ พบรุ ี สมยั ลา้ นชา้ ง ตลอดเรอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งราวประวตั ศิ าสตร ์ ภมู ปิ ญั ญา ทอ้ งถนิ่ ดา้ นวรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา ดา้ นศลิ ปะการแสดง แนวทางปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ กี รรม ประเพณ ี และเทศกาล ดา้ นความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ดา้ นงานชา่ งฝมี อื ดัง้ เดิม ด้านการละเลน่ พ้นื บ้าน กฬี าพน้ื บ้าน ศลิ ปะการตอ่ สปู้ ้องกันตวั และดา้ นอื่น ๆ เพื่อให้จังหวัดอุดรธานีเป็นพ้ืนที่ที่พร้อมรับการท่องเท่ียวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สามารถพัฒนาเป็นเสน้ ทางท่องเทยี่ วมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม เน้นการทอ่ งเท่ยี วแบบวถิ ชี มุ ชน มีการน�าทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญามาสร้างสรรค์มาประยุกต์และพัฒนา ให้เกิดอัตลักษณ์ ทางวัฒนธรรมประจ�าจังหวัด ชุมชนพึ่งตนเองได้บนฐานของความรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ิน และสามารถเป็นแหลง่ เรยี นรูใ้ หก้ บั ชุมชนอน่ื ๆ เพอ่ื พัฒนาชมุ ชนให้เกิดความเขม้ แข็งนา� ไปสกู่ าร พัฒนาประเทศทย่ี ่ังยนื ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ท้ังบุคคล องค์กร ผู้ให้ข้อมูลจากทุกภาคส่วน ท่ีน�ามาสู่การ จดั ทา� ขอ้ มลู มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมจงั หวดั อดุ รธานใี หส้ า� เรจ็ ลงดว้ ยด ี และหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ จะน�าไปใช้ประโยชนเ์ พอ่ื การศึกษาเรียนรูแ้ ละพฒั นาในโอกาสต่อไป ด้วยความนบั ถอื คณะผูจ้ ดั ท�า กุมภาพนั ธ ์ ๒๕๖๒ อดุ รธานี 3

สารบญั แผนที่เสน้ ทางท่องเท่ียวมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม ๖ (๕) งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดิม ๔๖ จงั หวัดอดุ รธานี ๕.๑ ผ้ำทอมือของกลมุ่ ชำตพิ ันธ์ุไทพวนบำ้ นผือ ๔๖ ข้อมูลพนื้ ฐานท่วั ไป ประวัตคิ วามเป็นมาและกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ๘ (๖) การเล่นพน้ื บา้ น กีฬาพืน้ บ้าน และศลิ ปะการต่อสปู้ ้องกนั ตัว ๕๔ (๑) วรรณกรรมพนื้ บ้านและภาษา ๑๔ ๖.๑ บญุ บง้ั ไฟลำ้ น และตำ� นำนกำรละเลน่ มำ้ คำ� ไหล บำ้ นธำต ุ อำ� เภอเพญ็ ๕๔ ๖.๒ กำรละเลน่ ดนตรพี นื้ บำ้ น “กบั๊ แกบ๊ ” กบั กำรรำ� ฟอ้ นไทพวนบำ้ นผอื ๕๖ ๑.๑ ต�ำนำน “นำงอษุ ำ-ท้ำวบำรส” ฉบับวัดพระพุทธบำทบัวบก ๑๔ ๑.๒ ตำ� นำน ผำแดงนำงไอ ่ ๑๘ (๗) ลักษณะอนื ตามท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง ๖๐ ๑.๓ ตำ� นำนพญำนำคศรีสทุ โธ : วังนำคนิ ทรค์ �ำชะโนด ๒๕ และสถานที่ท่องเท่ียวทางประวัติศาสตร์ วฒั นธรรม (๒) ศิลปะการแสดง ๓๐ และแหล่งเรยี นรวู้ ถิ ชี มุ ชน ๒.๑ กำรขับพวนอำ� เภอบ้ำนผอื ๓๐ ๗.๑ แหล่งวฒั นธรรมบ้ำนเชยี ง ๖๐ ๒.๒ กำรร้องเพลงแหลห่ รือดน้ สด อำ� เภอบำ้ นดุง ๓๑ ๗.๒ สถำนที่ท่องเท่ยี ววถิ ีชมุ ชนต�ำบลบ้ำนเชยี ง ๖๙ ๗.๓ อุทยำนประวัติศำสตร์ภูพระบำท ๘๔ (๓) แนวปฏบิ ตั ิทางสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล ๓๔ ๗.๔ ตำมรอยพระพทุ ธบำท ๗ แห่ง และเสมำหิน กลุ่มเมืองพำน ๘๘ ๓๔ ๓.๑ “๓ ค�่ำ กำ� ฟ้ำ ๙ คำ่� กำ� ดิน” ประเพณกี �ำฟำ้ และกำรร�ำฟ้อน ๗.๕ แหลง่ ทอ่ งเที่ยวประวัตศิ ำสตร์ โบรำณคดใี นพ้นื ทโี่ ดยรอบ ๙๙ บวงสรวงของไทพวนบ้ำนผือ ๓๗ ๓.๒ ประเพณีไทพวนบำ้ นผอื ชวนเที่ยวภูพระบำท หนองหำน กมุ ภวำปี ตำมต�ำนำนทำ้ วผำแดง-นำงไอ่ (๔) ความรู้และการปฏิบตั ิเก่ียวกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ๔๐ ๗.๖ สถำนท่ที อ่ งเที่ยวทำงประวตั ิศำสตร์และโบรำณคดี บ้ำนเชยี งแหว ๑๐๓ ต�ำบลเชียงแหว อำ� เภอกุมภวำปี จังหวัดอดุ รธำนี ๔.๑ กำรท�ำพำนบำยศรดี ั้งเดมิ และวิวัฒนำกำร ๔๐ ๗.๗ แหลง่ ท่องเทย่ี วเชงิ ประวัติศำสตร์ ศำสนสถำน และธรรมชำติ ๑๑๕ ๔.๒ ภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรมดำ้ นอำหำร ๔๒ ๔.๓ ภูมปิ ญั ญำด้ำนกำรดูฤกษย์ ำม บำ้ นจันทรำรำม ชมุ ชนบ้ำนผอื ๔๓ บรรณานุกรม ๑๒๘ 4 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 5

จุดที่ 19 แผนท่เี ส้นทางท่องเท่ยี ว วดั ปาภูกอน มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม จังหวดั อุดรธานี จดุ ที่ 14 จดุ ที่ 12 รอยพระพทุ ธบาทบัวบก พระธาตุนางเพ็ญ จุดที่ 16 Õอ.นายูง จดุ ที่ 13 จดุ ท่ี 20 จดุ ท่ี 11 อทุ ยานประวัติศาสตรภูพระบาท 19 ผาไทพวนบานผือ บง้ั ไฟลาน คำชะโนด จดุ ที่ 17 เลย Àหนองคาย ขาวงาโคบานผือ จุดที่ 15 จุดท่ี 7 ใบเสมา สวนธารณะหนองประจกั ษ แหลงเมอื งพาน Õอ.นำ้ โสม 14 15 12 อ.สรางคอม 11 จุดท่ี 18 13 17 อ.บานดุง รอยพระพุทธบาทบานใหม จุดที่ 6 2 76 20 หลวงพอนาค 16 18 ÿ√∏Õอ¥ .เมอื งอุดรธานี อ.เพญ็ จดุ ที่ 10 จุดที่ 2 วดั มชั ฌมิ าวาส อ.บานผอื ผามัดหมี่ยอมคราม พพิ ิธภัณฑ 14 เมืองอุดรธานี จุดท่ี 1 3 Õอ.พิบลู ยรักษ Õอ.ทงุ ฝน สกลนคร บานเชยี ง วัดโพธิสมภรณ จุดท่ี 3 5 จุดท่ี 9 กลวยไมอุดรซันไฌน พิพธิ ภัณฑไทพวน บานเชยี ง อ.กุดจับ อÕ .หนองหาน 8 จดุ ที่ 8 10 9 แหลงโบราณคดีบานเชยี ง หนองบวั ลำภู จดุ ท่ี 23 พระพุทธรปู องคแสนวดั สมศรสี ะอาด อ.ประจกั ษศิลปาคม บานเชยี งแหว 2315 อ.ไชยวาน อ.หนองววั ซอ Õอ.หนองแสง 21 อ.กูแกว อ.ศรธี าตุ จุดที่ 4 จดุ ที่ 5 อ.กุมภวาป อ.วงั สามหมอ ศาลหลกั เมอื ง อนสุ าวรียกรมหลวงประจักษศลิ ปาคม 23 จุดที่ 21 ...หมายเหตุ... ทะเลบวั แดง 22 24 ถนน สถานทที องเท่ียว ขอนแกน อ.โนนสะอาด จดุ ท่ี 22 กาฬสินธุ พระธาตุบานเดียม จุดท่ี 24 กลุมโฮมสเตยวิสาหกจิ ชุมชนบานเชยี งแหว 6 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 7

ประวตั ิจงั หวัดอุดรธานี ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธาน ี พื้นท่ีจังหวัดอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่าบริเวณพื้นที่ท่ีเป็นจังหวัดอุดรธานี เม่ือราวปีจอ พ.ศ. ๒๑๑๗ พระเจ้ากรุงหงสาวดี ในปจั จบุ นั เคยเปน็ ถน่ิ ทอี่ ยขู่ องมนษุ ยม์ าตง้ั แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรป์ ระมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปี ไดท้ รงเกณฑท์ พั ไทยใหไ้ ปชว่ ยตกี รงุ ศรสี ตั นาคนหตุ จากหลักฐานการค้นพบท่ีบ้านเชียง อ�าเภอหนองหาน และภาพเขียนสีบนผนังถ้�าท่ีอ�าเภอบ้านผือ (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชา เปน็ สง่ิ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ เปน็ อยา่ งดจี นเปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื ในวงการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี กบั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยกทพั ไปช่วยรบ ระหว่างประเทศ แต่เมื่อกองทัพไทยมาถึงเมืองหนองบัวล�าภู สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประชวรด้วยไข้ หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว ก็ยังคงเป็น ทรพิษ จึงยกทัพกลับ และที่เมืองหนองบัวล�าภู ทอ่ี ยอู่ าศยั ของมนษุ ยส์ บื ตอ่ มาอกี จนกระทง่ั สมยั ประวตั ศิ าสตร์ นเี่ องสนั นษิ ฐานวา่ เคยเปน็ เมอื งทม่ี คี วามเจรญิ มา ของประเทศไทยนบั ตั้งแตส่ มยั ทวารวดี (พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๖๐๐) ต้งั แตส่ มัยขอมเรอื งอ�านาจ สมยั ลพบรุ ี (พ.ศ. ๑๖๐๐-๑๘๐๐) และสมยั สโุ ขทยั (พ.ศ. ๑๘๐๐- ๒๐๐๐) จากหลกั ฐานทพ่ี บ คือ ใบเสมา สมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ท่ีปรักหักพังบริเวณเทือกเขา ภพู านใกลว้ ดั พระพทุ ธบาทบวั บก อา� เภอบา้ นผอื แตย่ งั ไมป่ รากฏ หลกั ฐานชือ่ จงั หวดั อดุ รธานใี นประวตั ิศาสตรแ์ ต่อยา่ งใด 8 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม อดุ รธานี 9

ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จังหวัดอุดรธานี แบ่งเขตการปกครอง ๒๐ อ�าเภอ ๑๕๕ ต�าบล ๑,๘๘๐ หมู่บ้าน หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นท่ีฝั่งซ้ายของแม่น้�าโขง เกิดเหตุการณ์ (ในเขตเทศบาล และนอกเขตเทศบาล) การปกครองสว่ นท้องถ่นิ ประกอบดว้ ย องคก์ ารบรหิ าร พวกฮ่อหรือกบฏไต้เผงรวมตัวก่อการร้าย เที่ยวปล้นสะดมและก่อความไม่สงบรบกวนชาวบ้าน ส่วนจังหวัด ๑ แห่ง เทศบาลนคร ๑ แห่ง เทศบาลเมือง ๓ แห่ง เทศบาลต�าบล ๖๗ แห่ง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงโปรดกรณุ าใหพ้ ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื - และองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตา� บล ๑๐๙ แหง่ เขตการปกครอง ๒๐ อา� เภอ มดี งั น ้ี อา� เภอเมอื งอดุ รธานี ประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ และเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือ อ�าเภอกุดจับ อ�าเภอกุมภวาปี อ�าเภอไชยวาน อ�าเภอทุ่งฝน อ�าเภอนายูง อ�าเภอน้�าโสม ไปทา� การปราบปรามพวกฮอ่ จนแตกพา่ ยไป อา� เภอโนนสะอาด อา� เภอบา้ นดงุ อา� เภอบา้ นผอื อา� เภอเพญ็ อา� เภอพบิ ลู ยร์ กั ษ ์ อา� เภอวงั สามหมอ ตอ่ มาไทยมกี รณพี พิ าทกบั ฝรง่ั เศสเนอ่ื งจากฝรง่ั เศสตอ้ งการลาว เขมร ญวน เปน็ อาณานคิ ม อา� เภอศรธี าต ุ อา� เภอสรา้ งคอม อา� เภอหนองววั ซอ อา� เภอหนองแสง อา� เภอหนองหาน อา� เภอกแู่ กว้ เรียกว่า กรณีพิพาท ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) แต่ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จ และอา� เภอประจกั ษศ์ ลิ ปาคม อา� เภอเมอื งอดุ รธาน ี มพี นื้ ทมี่ ากทสี่ ดุ เทา่ กบั ๑,๐๙๔ ตารางกโิ ลเมตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้�าโขงให้แก่ฝร่ังเศส และอ�าเภอประจักษ์ศิลปาคม มีพ้ืนที่น้อยที่สุดเท่ากับ ๑๔๔.๘๐๘ ตารางกิโลเมตร ส�าหรับ ตามสนธสิ ญั ญาทีท่ า� ขน้ึ มีเงือ่ นไขหา้ มประเทศสยามต้งั กองทหารและป้อมปราการอย่ใู นรศั ม ี ๒๕ อ�าเภอที่อยู่ห่างจากอ�าเภอเมืองมากท่ีสุดคือ อ�าเภอนายูง ๑๓๐ กิโลเมตร และอ�าเภอท่ีอยู่ใกล้ กิโลเมตร ของฝงั่ แมน่ า้� โขง ทส่ี ดุ คืออ�าเภอกดุ จับ ๒๒ กิโลเมตร ดังนั้น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม จ�าต้องเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ค�าขวัญประจา� จงั หวัดอดุ รธาน ี คอื “กรมหลวงประจักษ์สรา้ งเมอื ง ลอื เลื่องแหลง่ ธรรมะ ชอื่ บา้ นเดอ่ื หมากแขง้ (ซงึ่ เปน็ ทต่ี ง้ั จงั หวดั อดุ รธานปี จั จบุ นั ) หา่ งจากฝง่ั แมน่ า้� โขงกวา่ ๕๐ กโิ ลเมตร อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหม่ีขิด ธรรมชาติเนรมิตทะเลบัวแดง” (บรรยายสรุปปี ๒๕๕๙ เมื่อทรงพิจารณาเห็นวา่ หม่บู ้านแหง่ น้มี ีชัยภูมเิ หมาะสม เพราะมีแหล่งนา้� ดี เชน่ หนองนาเกลอื จังหวัดอุดรธานี เมอื งแหง่ โอกาสส�าหรับคณุ . อ้างถึงในสา� นักงานจังหวัดอุดรธาน ี กลมุ่ งานข้อมลู (หนองประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ) รวมทง้ั หว้ ยหมากแขง้ ซงึ่ เปน็ ลา� หว้ ยนา�้ ใสไหลเยน็ กรมหมนื่ ประจกั ษ-์ สารสนเทศและการส่ือสาร ศาลากลางจงั หวดั อดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๒๒ ๔๕๗๓. ศลิ ปาคมทรงใหต้ ง้ั ศนู ยม์ ณฑลลาวพวน และตง้ั กองทหารขนึ้ จงึ พอเหน็ ไดว้ า่ เมอื งอดุ รธานไี ดอ้ บุ ตั ขิ นึ้ อา้ งถงึ ใน http//:www.udornthani.go.th) เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศย่งิ กว่าเหตผุ ลทางการคา้ การคมนาคมหรือเหตุผลอ่ืน ดังเช่นหัวเมืองสา� คัญต่าง ๆ ในอดีตอยา่ งไรกต็ าม ค�าว่า “อุดร” มาปรากฏชอื่ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๐ อดุ รธานี 11 (พิธตี ัง้ เมืองอุดรธานี ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ หรอื พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยพระยาศรีสรุ ิยราช วรานุวตั ร “โพธิ์ เนติโพธ์ิ”) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระบรมราชโองการ ให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีข้ึน อยู่ในการปกครองของมณฑลอุดร หลังจากเปล่ียนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชมาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย เมอื่ วนั ท ี่ ๒๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ไดม้ กี ารยกเลกิ การปกครองในระบอบมณฑล ในส่วนภูมิภาค ยงั คงเหลอื เฉพาะจงั หวดั และ อ�าเภอเท่าน้นั มณฑลอดุ รจงึ ถกู ยบุ ไปเหลอื เพียงจงั หวัดอุดรธานี ปจั จบุ ัน บา้ นเมอื งมคี วามเจริญก้าวหน้าไปมาก จากศนู ย์กลางดา้ นความมั่นคง กลายมา เปน็ ศนู ยก์ ลางการคมนาคมและเศรษฐกจิ ดว้ ยขนาดเศรษฐกจิ กวา่ แสนลา้ นบาท มขี นาดเศรษฐกจิ อนั ดบั ๔ ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และมแี นวโนม้ ความเจรญิ เตบิ โตขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ งและยงั คง กา้ วไปอยา่ งรวดเรว็ เพ่อื เข้าสปู่ ระชาคมอาเซยี น และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ของประเทศ เพอื่ นบา้ นในกลุ่มอนุภูมิภาคลมุ่ น้�าโขง 10 เส้นทางทอ่ งเทยี่ ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม

12 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 13

(๑) วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา อุษา-บารส แสดงแบบโดยเยาวชน โรงเรียนหนองหวั คปู วงประชานุเคราะห ์ อา� เภอบา้ นผือ จงั หวัดอุดรธานี ๑.๑ ตาํ นาน “นางอุษา-ท้าวบารส” ฉบับวดั พระพทุ ธบาทบวั บก “ตา� นานอษุ าบารสฉบบั มขุ ปาฐะ” ทพ่ี บไดใ้ นชมุ ชนแถบภพู ระบาท ถอื วา่ เปน็ ฉบบั ทสี่ ะทอ้ นความ ต�านานอุษาบารส ฉบับวัดพระพุทธบาทบัวบก ชื่อ “พะกึด พะพาน” ซ่ึงปริวรรตจากใบลาน รคู้ วามเขา้ ใจของชาวบา้ น เพราะพวกเขาจะมองตา� นานอษุ าบารสในฉบบั ใบลานทพี่ ระสงฆใ์ ชอ้ า่ นเขยี นนนั้ ที่จานด้วยตัวอักษรธรรมผสมกับตัวอักษรไทน้อยให้เป็นภาษาไทย (Ruengruglikhit, ๑๙๙๒: ๓๗๙) เปน็ เหมอื นคมั ภรี ท์ างพทุ ธศาสนา จงึ เปน็ เรอื่ งทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธ ์ิ ทา� ใหช้ าวบา้ นรสู้ กึ วา่ เปน็ เรอื่ งทไ่ี กลตวั ตอ่ มาจงึ นา� โดยต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก อันเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ ไปสกู่ ารเกดิ พฒั นาการของเรอื่ งเลา่ อษุ าบารสในแบบฉบบั ของพวกเขา สงิ่ สา� คญั ทมี่ ผี ลใหต้ า� นานอษุ าบารส ภูพระบาท ได้รับอิทธิพลมาจากมหากาพย์อินเดียโบราณ และอาณาจักรล้านนาและล้านช้างต่อกันมา ฉบับวัดพระพุทธบาทบัวบกมีลักษณะเฉพาะ คือ การท่ีชาวบ้านรอบ ๆ ภูพระบาทได้น�าเอาช่ือและ เป็นล�าดับ ดังน้ันพื้นที่แถบภาคอีสานจึงได้รับอิทธิพลวรรณกรรมเร่ืองอุษาบารสจากอาณาจักรล้าน เรอื่ งราวในตา� นานอษุ าบารส ไปผกู โยงเขา้ กบั เพงิ หนิ ตา่ ง ๆ บนภพู ระบาท ซง่ึ เคยถกู ดดั แปลงเพอ่ื เปน็ สถานท่ี ช้าง โดยอุษาบารสมกี ารกระจายตัวปรากฏในภาคอสี านมากถึง ๘ จังหวดั คอื อุดรธานี เลย กาฬสนิ ธุ์ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ติ งั้ แตย่ คุ กอ่ นประวตั ิศาสตรจ์ นถึงยุคอาณาจกั รล้านช้าง จงึ ท�าใหช้ ือ่ เพงิ หินและชอื่ สถานที่ตา่ ง ๆ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ รวมท้ังหมดมีปรากฏมากถึง ๓๒ ส�านวน บนภูพระบาท คือเครื่องมือที่ช่วยรักษาการมีอยู่ของต�านานอุษาบารสในหมู่ชาวบ้านรอบ ๆ ภูพระบาท แบ่งเป็นฉบับใบลาน ๒๘ ส�านวน (รวมฉบับที่ปรากฏในประเทศลาว ๑ ส�านวน) ฉบับท่ีปริวรรตแล้ว ไดเ้ ป็นอยา่ งด ี (เชิดชาย บตุ ด.ี ตา� นานอษุ าบารส ฉบบั วดั พระพุทธบาทบวั บก : พฒั นาการของตัวบทและ ๔ ส�านวน (รวมส�านวนท่ีดนุพล ไชยสินธุ์ ปริวรรตเร่ืองจ�าบังที่จานใบลานเป็นตัวอักษรไทน้อย) การอธบิ ายความหมายของพื้นท่ภี ูมศิ าสตร.์ ตพี ิมพใ์ น Journal of Mekong Societies ปที ี่ ๘ ฉบับท่ี ๓ ซง่ึ เชอ่ื กนั วา่ เปน็ เนอ้ื เรอ่ื งเดยี วกบั อษุ าบารส (Bangsud, ๑๙๘๘: ๕๙-๖๒) และมกี ารคน้ พบตน้ ฉบบั ใบลาน กันยายน-ธนั วาคม ๒๕๕๕.หนา้ ๑๖๗-๑๙๐) เรอ่ื ง “พะกดึ พะพาน” ที่วดั พระบาทโพนสนั เมืองปากซัน แขวงนครหลวงเวียงจนั ทน ์ ซง่ึ จากการเทียบ เคียงกับฉบับของวัดพระพุทธบาทบัวบกท�าให้พบว่า ทั้งสองฉบับมีรูปแบบโครงเรื่อง เนื้อหาและภาษา อดุ รธานี 15 ทแ่ี ทบจะเหมอื นกนั ทกุ ประการ และเมอ่ื นา� ตน้ ฉบบั เรอื่ งอษุ าบารสทงั้ ๒ ฉบบั ไปตรวจสอบและเทยี บเคยี ง กับตน้ ฉบับเรอื่ งอษุ าบารสท่ีปรากฏในจงั หวดั อื่น ๆ ของภาคอีสาน ตามการศกึ ษาของ Ruengruglikhit (๑๙๙๒) รว่ มดว้ ย ทา� ใหพ้ บวา่ มคี วามสอดคลอ้ งตรงกนั อกี ๓ ฉบบั (Ruengruglikhit, ๑๙๙๒: ๓๗๕) นน่ั คอื ๑) “ตา� นานพะกดึ พะพาน” ฉบบั อรยิ านวุ ตั ร วดั บา้ นมะคา่ อา� เภอกนั ทรวชิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม ๒) “ลา� พะกดึ พะพาน” ฉบบั วดั บา้ นหนองแปน ตา� บลหนองแปน อา� เภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธ ์ุ ๓) “พะกดึ พะพาน”ฉบบั วดั โคกกลาง ต�าบลลมุ พกุ อา� เภอคา� เขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร 14 เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม

คุณยายโควิน ศรีสว่าง ปราชญ์ชาวบ้านชมรมไทยพวนบ้านผือ อ�าเภอบ้านผือ ได้เล่าต�านาน ท้าวบารสจึงพานางอุษากลบั ไปอยู่เมอื งปะโค ด้วยความทท่ี ้าวบารสมีมเหสีและนางสนมอยูก่ ่อนแลว้ “นางอุษา-ท้าวบารส” ให้ฟังว่า เมื่อชาติปางก่อน นางอุษาเคยเป็นนางอัปสรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกนางจึงริษยานางอุษา พวกนางจึงวางแผนก�าจัดนางอุษา มเหสีและนางสนมออกอุบายร่วมกับ เเต่นางท�าผิดกฎสวรรค์ จึงถูกพระอินทร์ลงโทษให้ลงมาจุติในดอกบัวกลางสระน�้าใกล้กับอาศรม โหรหลวงลวงทา้ วบารสใหเ้ ขา้ ปา่ เพอื่ สะเดาะเคราะหเ์ ปน็ เวลาหนง่ึ ป ี ทา้ วบารสหลงเชอื่ แมจ้ ะไมอ่ ยากจาก ของฤาษจี นั ทา ฤาษจี นั ทาจงึ รบั นางมาอปุ การะ เรอ่ื งของทารกนอ้ ยทราบถงึ เจา้ เมอื งพานและมเหสที งั้ สอง นางอษุ าอันเป็นทีร่ กั ในระหว่างท่ีทา้ วบารสบา� เพ็ญเพยี รอย ู่ มเหสแี ละเหล่านางสนมกก็ ลนั่ แกลง้ นางอษุ า ยงั ไมม่ โี อรสธดิ า จงึ ขอนางอษุ าจากฤาษจี นั ทา เพอ่ื นา� นางมาเลยี้ งดใู นฐานะพระธดิ า เมอ่ื นางอษุ าเตบิ โตเปน็ สาว อยู่ตลอดเวลา นางอษุ าก็ทนไมไ่ หวจึงตดั สนิ ใจกลับไปยงั เมอื งพาน และพกั อาศัยอย่หู อนางอษุ าตามลา� พงั มีรูปงดงามเป็นเลิศ และมีกล่ินกายหอมกรุ่น จนมีเจ้าชายจากหลายเมืองมาสู่ขอ แต่ท้าวพระยาพาน และเฝ้ารอท้าวบารส จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อท้าวบารสกลับมาเมืองปะโคไม่พบนางอุษา พอทราบเร่ืองรีบ ไม่ยินยอมยกให้ผู้ใด จึงได้สร้างหอสูงให้นางอุษาเพ่ือให้ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ต้ังแต่เล็ก เดนิ ทางไปทเ่ี มอื งพานทหี่ อนางอษุ าทนั ท ี ระหวา่ งทน่ี างอษุ ารอคอย นางกล็ ม้ ปว่ ยอยา่ งหนกั เมอื่ ทา้ วบารส จนโตเป็นสาว นางอุษาแทบไม่เคยพบเห็นหรือพูดคุยกับผู้ใดเลย วันหนึ่งนางอุษาไปเล่นน้�าท่ีล�าธาร มาเห็นนางก็เสียใจเป็นอย่างมาก จนในท่ีสุดนางอุษาก็ส้ินใจอย่างสงบในอ้อมกอดของท้าวบารส ใกลต้ า� หนกั นางอษุ าจงึ นา� ดอกไมม้ าทา� เปน็ หงสฟ์ า้ แลว้ อธษิ ฐานวา่ หากชายใดเปน็ เนอ้ื คขู่ องนาง ขอใหเ้ กบ็ ฝ่ายท้าวบารสเม่ือเห็นนางอุษาส้ินใจก็เศร้าโศกเสียใจมาก จนในที่สุดท้าวบารสก็ตรอมใจตาย หงส์ฟา้ นไี้ ด้แลว้ ตามมาหานางท่หี อสูงดว้ ยเถดิ หงสฟ์ ้านลี้ อยตามน้�าไปจนถึงท่าน้�าเมอื งปะโค ตามนางอษุ าไป “ท้าวบารส” โอรสเจ้าเมืองปะโคเก็บหงส์ฟ้านี้ไว้ได้ จึงคิดตามหาหญิงสาวผู้ใช้หงส์ฟ้าเสี่ยงทาย ท้าวบารสและบริวารได้ขี่ม้าจนมาถึงหินก้อนหน่ึง ม้าก็ไม่ยอมเดินทางต่อ พระองค์จึงหยุดพักม้าไว ้ อุดรธานี 17 ทา้ วบารสไดเ้ ดนิ เทยี่ วปา่ พบกบั นางอษุ าทก่ี า� ลงั อาบนา�้ และรวู้ า่ เปน็ เจา้ ของพวงมาลยั ทง้ั คเู่ กดิ ความรกั และ ลักลอบได้เสียกัน ต่อมาเจ้าเมืองพานทราบเร่ือง กท็ รงพโิ รธจะประหารท้าวบารส แต่เสนาอา� มาตย์หา้ มไว ้ เจา้ เมอื งพานจงึ คดิ อบุ ายใหแ้ ขง่ ขนั สรา้ งวดั ในหนง่ึ วนั ใหแ้ ลว้ เสรจ็ โดยเรม่ิ นบั ตง้ั แตเ่ ชา้ จนดาวประกายพรกึ (ดาวเพ็ก) ขึ้น ผู้ใดสร้างไม่เสร็จต้องถูกตัดเศียร เจ้าเมืองพานได้เกณฑ์ไพร่พลจ�านวนมากมาสร้างวัด ท่ีเมืองกงพาน ส่วนท้าวบารสมีบริวารเพียงเล็กน้อยที่มาด้วยจึงสร้างได้ช้ากว่า พ่ีเลี้ยงนางอุษาจึงให้ ท้าวบารสน�าโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้ใหญ่ในเวลาดกึ ฝ่ายพวกเจา้ เมืองพานมองเห็นคิดวา่ ดาวขน้ึ แล้วจึง หยดุ สรา้ งวดั สว่ นทา้ วบารสไดเ้ รง่ สรา้ งวดั ของตนเองจนแลว้ เสรจ็ เมอื่ เปน็ ดงั นเี้ จา้ เมอื งพานจงึ เปน็ ฝา่ ยแพ้ ท้าวบารส ด้วยวาจาสัตย์เจา้ เมอื งพานบดิ าของนางอษุ าจงึ ถูกตดั เศยี รจนสนิ้ ชีพไป 16 เสน้ ทางท่องเท่ยี ว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม

๑.๒ ตํานาน ผาแดงนางไอ่ ขณะนนั้ มพี รานผหู้ นง่ึ ไดย้ นิ เสยี งสะอกึ สะอนื้ ไหแ้ วว่ มาจงึ หยดุ ฟงั ด ู เมอ่ื แนใ่ จวา่ เปน็ เสยี งของคน ต�านานผาแดงนางไอ่ เป็นวรรณกรรมร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ จึงเดินเข้าไปถามจนได้ความ พอเล่าเร่ืองจบนางก็อ้อนวอนให้นายพรานช่วยสงเคราะห์ส่งข้ามฟาก ในล่มุ แมน่ ้�าโขง มกี ารบนั ทกึ ไวใ้ นใบลานด้วยตวั อกั ษรไทนอ้ ย ทีเ่ รยี กว่า ตาพรานยินดีช่วยเหลือ แต่เม่ือข้ามน�้าได้แล้วนางไม่กล้าเดินทางต่อ จึงนั่งลงริมตล่ิง กล่าวอธิษฐาน หนงั สอื ผกู หรอื นทิ านกระรอกดอ่ น ซ่ึงมีต้นฉบบั ทส่ี ามารถอา่ นได้อยู่ท่ี อ้างเอาเทพาไทให้มาเป็นสักขีพยานแล้วสาปแช่งสามีว่า ชาติน้ีนางได้ติดตามผัวรักแต่ผัวกลับไม่ใยด ี ศนู ยศ์ ลิ ปวฒั ธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร หรอื มกี ารปรวิ รรตจาก ชาติหน้าถ้ามีจริงก็ขอให้ผัวคนนี้ติดตามนาง แลให้ตายใต้ต้นมะเดื่อเหมือนเช่นนางในชาติน้ี อน่ึงขอ : อักษรธรรม ๘ ผูกวัดสุทธาวาส บ้านโสกใหญ่ ต�าบลลือ อ�าเภอพนา ให้นายพรานคนนี้จงกลับเกิดเป็นสามีนางช่วยกันตามผลาญเขาไปทุก ๆ ชาติเถิด พออธิษฐานและ จงั หวัดอุบลราชธาน ี หรือจากหนงั สอื : ประวัตพิ ระธาตนุ ารายณเ์ จงเวง สาปแช่งจบนางกข็ าดใจตาย จังหวัดสกลนคร โดย พระมหาประมวล ฐานทตฺโต, ดร.หน้า ๔๔-๕๓ เม่ือคนทั้งสามได้กลับมาเกิดในชาติใหม่พร้อมกัน ลูกสาวเศรษฐีภรรยานายบุญศรีเกิดเป็น รวมถงึ หนงั สอื นทิ านคา� สอนองิ ประวตั ศิ าสตร ์ ผาแดงนางไอ ่ ปรวิ รรตและ ราชธิดาพระราชาเจา้ เมอื งขอม ผคู้ รองนครชะทติ านคร มีนามไธยวา่ จอมงามไอ่คา� อินทรถ์ วลิ มีรูปโฉม ชา� ระโดย พระอาจารยไ์ พวนั มาลาวง ฉบบั ภาษาลาว (นครหลวงเวยี งจนั ทน,์ สดสวยสะคราญ นายพรานอุบตั ิมาเป็นโอรสของราชาผู้ครองเมอื งผาโพง (เป็นภูเขาอยใู่ นเขตประเทศ วันที่ ๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒) ลาวหรือภูผาแดงในปัจจุบันน้ี) ฝ่ายกระทาชายนายบุญศรี ถือก�าเนิดเป็นโอรสพญานาค นามว่า ส�าหรับต�านานผาแดงนางไอ่ ท่ีหลวงปู่สา สาสนปวโร ปาปะนาค หรือ “ศรีสทุ โธนาคราช” ผคู้ รองนครบาดาล พระชนกชนนีขนานนามให้ว่า ทา้ วพังค ี ธดิ า (พระครพู ทิ กั ษว์ หิ ารกจิ ) ไดเ้ ขยี นขน้ึ โดยอาศยั เรอื่ งราวและเคา้ โครงเดมิ เจา้ กรุงขอมมคี วามงามเปน็ อดุ มเลศิ กติ ติศัพท์น้จี ึงแพร่สะพดั ไปทุกสารทศิ เจ้านครน้อยใหญ่ตา่ งใคร่ ในนิทานปรัมปราเรื่องผาแดงนางไอ่ อันเป็นนิทานประจ�าถิ่นของภาคอีสาน โดยเฉพาะอ�าเภอกุมภวาป ี จะได้ยลโฉม แต่กไ็ ม่มีผู้ใดชมสมประสงค ์ ดว้ ยไม่มีบญุ ญาธิการวาสนา (พระครูพิทักษ์วิหารกิจ (หลวงปู่สา สาสนปวโร).หนังสือประวัติหนองหารโดยสังเขป.พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ขา้ งเจา้ พงั ค ี ราชโอรสหนมุ่ แหง่ บาดาลนครสดบั ขา่ วระบอื น ้ี เกดิ ครนุ่ คดิ คา� นงึ ใครจ่ ะไดย้ ลพกั ตร์ เน่ืองในงานฌาปนกิจศพ คุณแม่อ่อน วงษ์ศรีรักษา ณ เมรุชั่วคราว วัดสมศรีสะอาด บ้านเชียงแหว โฉมงามไอ่คา� อินทร์ถวลิ ต.อุ่มจาน อ.กุมภาวาป ี จงั หวัดอดุ รธานี.วนั ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๒) ดงั นี้ ตา� นานกลา่ ววา่ ยงั มกี ระทาชายนายหนง่ึ ชอื่ บญุ ศร ี วนั หนงึ่ เขาคดิ ทอ่ งเทย่ี วแสวงโชค กระทงั่ ทะลุ หนงั สือผกู หรือจารกึ ใบลานต�านานผาแดงนางไอ่ พืน้ ทีช่ มุ่ นา�้ หนองหานกุมภวาปี ตามตา� นานผาแดง-นางไอ่ ถงึ เมอื งหนง่ึ เขาเขา้ สมคั รงานทบ่ี า้ นเศรษฐ ี เขากก็ ม้ หนา้ กม้ ตาทา� ชนดิ อาบเหงอ่ื ตา่ งนา้� เศรษฐเี หน็ วา่ เปน็ คนขยนั และซอื่ สตั ย ์ จงึ ไดใ้ หส้ งิ่ ของเงนิ ทองเปน็ อนั มาก เขาไมแ่ สดงความกระตอื รอื รน้ กบั สง่ิ เหลา่ นนั้ เลย ตกเพญ็ เดอื น ๓ ชะทติ านครมกี ารจดั ทา� พธิ มี าฆบชู า ขา่ วนรี้ ะบอื ไปถงึ นครบาดาล เจา้ ชายพงั คี ตอ่ มาเศรษฐมี อบบตุ รสาวของตนให ้ บตุ รสาวเศรษฐพี ยายามปฏบิ ตั หิ นา้ ทภ่ี รรยาทด่ี ี ขา้ งนายบญุ ศรี จึงเข้ากราบบังคมทูลลาพระปิตุราชมาตุรงค์ แจ้งว่าประสงค์จะข้ึนไปเมืองมนุษย์เพ่ือชมการแห่พิธี ต่นื ขน้ึ ไปท�างานเย็นกลับมาไมเ่ คยสนใจกบั ภรยิ าเลย มาฆบูชา ชนกชนนีได้ทัดทานว่าอันภยันตรายในเมืองมนุษย์น้ันมีมาก ท้าวพังคีหน่อภุชพงศ์ทูลว่า หลายเดอื นผา่ นไปแกกลบั คดิ ถงึ บา้ น จงึ บอกลาเศรษฐ ี และเศรษฐสี งั่ ใหบ้ ตุ รสาวตกแตง่ เสบยี งทาง เธอมที ุกขห์ นกั สมุ หมกในหฤทยั ท�าใหร้ อ้ นร่มุ หากไม่ไดเ้ สด็จเมอื งมนุษยค์ รง้ั น้กี เ็ หน็ ทชี พี คงตักษยั เปน็ เพอื่ ตดิ ตามไป พอเตรยี มของตนเสรจ็ กอ็ อกเดนิ ทางกอ่ น ภรรยาสกู้ ม้ หนา้ หอบหวิ้ ของเดนิ ทางตามหลงั ไป แมน่ มน่ั กษตั รยิ ท์ งั้ สอง จงึ ออกโอษฐอ์ นญุ าต พระหนอ่ เนอื้ นาคนิ ทรเ์ สดจ็ นา� หนา้ ขบวน พวกนาคบรวิ าร ทงั้ สองจงึ หยดุ พกั ใตร้ ม่ ไม ้ ภรรยาบอกใหเ้ ขาชว่ ยถอื สงิ่ ของชว่ ยแตก่ ลบั เฉยและออกเดนิ ทางตอ่ ไป รอนแรม ติดตามโดยเสด็จครั้งน้ีอย่างล้นหลาม พอมาใกล้ชานนคร ท้าววาสุกรีหนุ่มมีรับสั่งให้บริวารทั้งมวล ไปหลายวันจนเสบียงท่ีติดตัวมาร่อยหรอลง ทั้งสองรู้สึกเหน่ือยอ่อนและหิวโหย ทั้งสองเดินทางกระท่ัง จ�าแลงเพศเป็นมนุษย ์ เธอเองถอื เพศเปน็ มาณพนอ้ ย งานครง้ั นส้ี นุกสนานครึกครืน้ แต่พังคีนาคมาณพ ถึงล�าธารใหญ่สายหน่ึง มีน้�าใสสะอาด บุญศรีและภรรยาแวะพักที่ต้นมะเดื่อใหญ่ ความหิวโหยท�าให้ คอยสอดส่ายเนตรไปตามขบวนแห่แลพระบัญชรด้วยประสงค์จะได้ชมโฉมพระธิดา แต่มิได้ทัศนาดัง ฤทัยถวลิ เมอื่ พธิ เี สร็จส้ินลง จงึ ชกั ชวนบรวิ ารด�าเนินกลบั ยงั นครตนดว้ ยความโทมนัสทอ้ ระทมทรวง นายบญุ ศรเี หน็ แกต่ วั รบี ปนี ขน้ึ เกบ็ ผลมะเดอ่ื กนิ โดยมไิ ดเ้ หลยี วแลเมยี ที่อยู่ข้างล่าง นางขอกินบ้างเขากลับท�าเป็นไม่ได้ยิน ฝ่ายนางเมื่อผัว อดุ รธานี 19 ลงแลว้ จงึ คิดชว่ ยเหลือตนเอง นางพยายามปีนข้นึ ต้นมะเดือ่ จนส�าเรจ็ นางตอ้ งลา่ ชา้ กวา่ จะถงึ พนื้ กม็ องหาสามไี มเ่ จอ รอบกายนางระงมเซง็ แซ่ ด้วยเสียงมวลหมู่แมลงกล่อมไพร ความมืดปกคลุมทั่วราวป่า นาง รสู้ กึ หวาดกลวั จนขนลกุ ซ ู่ ไมร่ วู้ า่ จะทา� ประการใด จงึ นงั่ ลงพงิ โคนตน้ ไหว้วอนเทพเจ้าเหล่าอารักษ์ ท้ังร�าลึกถึงคุณบิดามารดาให้มาช่วย ปกป้องอภิบาลใหร้ อดพ้นปลอดภัย 18 เสน้ ทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม

ลว่ งไปอีก ๓ เดอื น เจา้ กรุงขอมบา� เพญ็ บญุ ในวนั เพ็ญเดือนวสิ าขะ งานนม้ี ีการแขง่ ขันตกี ลอง ตามสันนิษฐานท่ีที่นางไอ่ค�าประทับยืนทอดพระเนตรกระรอกคร้ังน้ันจะเป็น ดอนหลวง (เส็งกลองยาว) และแข่งบอ้ งไฟ มีการจดุ บ้องไฟเส่ียงทายเพอ่ื ทา� นายโชคชะตาบ้านเมือง อกี โสดหน่ึง ในบดั น ี้ (วงั หลวง, ดอนหลวง ซงึ่ เปน็ เกาะอยกู่ ลางหนองหาน ซง่ึ เชอ่ื วา่ ตามตา� นานเปน็ วงั หลวงของพระยา ในปนี ที้ า่ นทา้ วพระยาขอมจะทรงเลอื กคคู่ รองใหพ้ ระธดิ า ถา้ บอ้ งไฟเจา้ พระยามหานครใดชนะจะยอม ขอมแหง่ ชะทติ านคร กอ่ นหนา้ นไ้ี ดม้ กี ารสรา้ งเปน็ วดั อยรู่ ะยะหนง่ึ โดยสรา้ งองคพ์ ระพทุ ธรปู ขนาดใหญ ่ ยกธดิ าใหเ้ ป็นรางวลั พร้อมด้วยสมบัตศิ ฤงคารทง้ั หมดในขอมพารา ถัดมาเห็นเป็นเสาไม้เก่าปักอยู่ และมีการสร้างศาลปู่ขอมดอนหลวงเป็นเพิงมุงสังกะสี มีพระพุทธรูป ทางเมอื งผาโพง เมอ่ื ท้าวผาแดงได้รบั พระราชสาส์น กไ็ ดเ้ ตรยี มบอ้ งไฟของตน เพือ่ นา� ไปพนัน สมยั ลา้ นชา้ งจา� นวน ๓ องคท์ นี่ า� ขน้ึ มาจากเวง้ิ นา้� ในหนองหานประดษิ ฐานอย ู่ และมใี บเสมาทรงกลบี บวั ขนั แขง่ สมทบกับเจา้ นครอนื่ ๆ เชน่ กนั ท้าวพังคีอยู่ใตบ้ าดาลก็ได้สดับขา่ วนด้ี ้วย ท้าวเธอจงึ มกี ระแส ปักอยู่ด้านหน้า และเป็นที่ต้ังศาลปู่ย่าดอนหลวงด้านทิศใต้ ส่วนทางด้านทิศเหนือมีศาลรูปปั้น รบั สง่ั ใหน้ าคเสนจี า� แลงตนถอื เพศเปน็ คนชาวพารา ครนั้ ไดเ้ วลามหาฤกษ ์ ขบวนแหบ่ อ้ งไฟกเ็ พยี บพรอ้ ม พระฤาษีต้ังอยู่ ต่อมาคณะกรรมการมหาเถระสมาคมได้เพิกถอนการเป็นวัด ปัจจุบันจึงคงเหลือ หลามหลงั่ เกลอื่ นวถิ ี เจา้ กรงุ ขอมมโี องการบญั ชาใหเ้ สนามาตยต์ งั้ ปะรา� ขน้ึ ใกลบ้ รเิ วณจดุ แขง่ ขนั บอ้ งไฟ แตก่ ฏุ ิรา้ ง และพนื้ ทีเ่ กาะดอนหลวงอยูใ่ นเขตห้ามลา่ สตั ว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ) วงผ้าท�าเป็นวิสูตรม่านควรค่าท่ามกลางหอปะร�า แล้วอัฐเชิญพระธิดาไอ่ค�าอินทร์ถวิลสถิตเหนือแท่น ภายในวงวสิ ตู รมา่ น พงั คแี ละพวกพลพยายามเรน้ กายเข้าใกลป้ ะรา� แต่ก็มไิ ดช้ มโฉมสมดงั มโนมยั เมอื่ นายพรานเตรยี มการเสรจ็ ไดไ้ ปชวนเอานายพรานนอ้ ยใหญต่ ดิ ตามกระรอกไปทางทศิ ตะวนั ตก ผา่ นบา้ นศรที นั ดอน (หมบู่ า้ นทนั ดอนในปจั จบุ นั ) กระรอกทราบวา่ มนี ายพรานหนิ ชาตติ ดิ ตามคดิ จะเอา รุ่งข้ึนวันใหม่เพลาจุดบ้องไฟมาถึง เจ้าพระยามหานคร ชวี ติ จงึ พยายามหลบซอ่ น ออกจากบา้ นศรที นั ดอนไปดอนเลยี บแลว้ พาบรวิ ารแวะพกั เอากา� ลงั ทดี่ อนเลา ต่างบัญชาการให้น�าบ้องไฟข้ึนเทียบท่ี (ค้างบ้องไฟ) บ้างข้ึน บดั นเ้ี รยี ก หมบู่ า้ นเซยี บในปจั จบุ นั ครน้ั นายพรานตามมา จงึ มงุ่ ไปทางดอนแหว (บา้ นเชยี งแหว) ดอนแช บา้ งหกั แตก บ้างกซ็ ุ (ควนั พน่ ออกเฉย ๆ) ผลการแขง่ ขันปรากฏวา่ (บ้านแชแล) ในปัจจุบัน เพ่ือซุกซ่อนตน พวกพรานติดตามมาอีกและพักผ่อนที่ดอนแหวครู่หนึ่ง ของท้าวพระยาฟ้าแดด อนุชาพระเจ้าขอมชนะ ส่วนบ้องไฟ แล้ววงิ่ ไล่ตามไปดว้ ยความออ่ นระโหยโรยแรง ท่ดี อนแหวน ้ี นายพรานยงิ ปืนไปหนึง่ นัด กระรอกพังคี เส่ียงทายไม่ขึ้นซุตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง การแข่งขันบ้องไฟในชะทิตา แลบรวิ ารไดย้ นิ เสยี งปนื ตกใจกลวั จงึ หนตี อ่ ไปทางสวนหมอ่ น พรานตดิ ตามถงึ สวนหมอ่ น (บา้ นสวนมอญ นครเสร็จสิ้นลง พังคีพาเอาบริวารนาคยาตรากลับนครบาดาล หรอื สวนหม่อนในปจั จบุ นั ) ตามเดิม จากนั้นมาท้าวเธอมิได้ร่าเริงดังก่อน ทรงร�าพึงถึงแต่ เข้าเวลาพลบค่�าพอดี ฝนต้นวสันต์ฤดูเริ่มตั้งเค้า ฟ้าผ่าเป็นรัศมีเลื่อมพราย (บ้านดอนเหลี่ยม พระธิดาไอ่ค�าอินทร์ถวิล จนพระทัยไม่เป็นอันด�ารงอยู่ จึงขึ้นไป ในปัจจุบัน) เสียงเกราะทองค�าที่คอกระรอกกระทบไม้เวลาเต้นไต่ตามต้นไม้ดังกร่องแกร่ง นายพราน ทลู ลาพระชนกนาถแลว้ ใหต้ ระเตรยี มพยหุ เสนขี นึ้ ไปยงั ชะทติ านคร อาศัยเสียงน้นั ตดิ ตามไป กระรอกเข้าไปอาศยั อยูท่ ีต่ ้นสมอใหญ่ตน้ หนึง่ พรานตามไปพบเขา้ อีก (ท่ีนน้ั ดว้ ยหมายยลพักตรธ์ ิดาเจ้ากรงุ ขอมใหส้ มดงั ฤทยั ถวลิ บดั นเ้ี รยี กดอนมอ) จงึ โดดหนตี อ่ ไป พวกพรานคดิ เหน็ วา่ เปน็ เวลามดื คา่� มาก จงึ หยดุ พกั ใกลร้ งุ่ จวนสวา่ ง ครั้งถึงชานนครทรงจินตนาด�าริว่า ควรที่พลนาคบริพารท้ังหลายจะได้เนรมิตตนเป็นส�่าสัตว์ พากันออกไล่ตามต่อไป จนกระทั่งถึงดอนแจ้งจึงสว่างเต็มท่ี (บัดนี้เรียกบ้านอุ่มจาน) กระรอกวิ่งผ่าน นานาพรรณ ชาวนครไม่เคยเห็นสัตว์เช่นน้ีมาก่อน ก็จะพากันแตกตื่นออกมาดู พระธิดาสดับเสียง สระพังดินด�า (บ้านเดียม) โนนทอง (บ้านโนนทอง) ดอนปัง (บ้านดอนปัง) ดอนคง (บ้านดอนคง) จึงทรงเยี่ยมพักตร์ออกมาให้ชมบ้าง ดังน้ันจึงมีมธุส�าเนียงบัญชาเหล่านาคให้จ�าแลงกายเป็นส่�าสัตว์ ถงึ ดอนปงั พรานยงิ กระรอกหนง่ึ นดั แตไ่ มถ่ กู และมาซอ่ นตวั อยใู่ นดอนดอนหนง่ึ เรยี กวา่ ดอนมง่ั (คา� วา่ ต่าง ๆ ส่วนพังคีน้ันนิมิตองค์จ�าเพาะเป็นกระรอกเผือกแขวนเกราะทองค�าไว้ท่ีพระศอ เที่ยวปีนป่าย มงั่ เทยี บไดก้ บั คา� วา่ กบดาน) ถงึ ดอนคงพรานยงิ อกี แตไ่ มเ่ ขา้ จงึ เรยี กวา่ ดอนคง (บา้ นดอนคงและเมอื งปงั เกาะเก็บกินผลสิมพลีพฤกษ์อยู่ใกล้ ๆ วังหลวง เมื่อชาวเมืองเหลือบแลเห็นกระรอกเผือก ในเวลาน)้ี กระรอกหนถี งึ ดอนคอนสาย (บา้ นดอนคอนสาย อา� เภอกแู่ กว้ ) นายพรานรสู้ กึ เมอ่ื ยลา้ ลา� แขน จงึ หา แขวนเกาะทองค�าให้หลากใจเป็นอัศจรรย์ เพราะแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็น พลางชี้มือบอกกันว่า ไมส้ อดหนา้ ไมค้ อนไลต่ ามไปตดิ ๆ สว่ นกระรอกพงั คแี ลบรวิ ารกห็ นคี วามตายอยา่ งไมเ่ หน็ แกเ่ หนด็ เหนอื่ ย นับแต่บ้องไฟเส่ียงของท่านท้าวพระยาขอมไม่ขึ้นมาน้ี มีนกกามาชุมนุมส่งส�าเนียงลางหลาก จากบ้านดอนคอนสาย (บ้านดอนสายในบัดน้ี) ผ่านเข้าดงพิลึก ดงนี้มีต้นไม้ข้ึนหนาแน่นจนดูมืดทึบ เหน็ ทีเมืองบ้านจะเกดิ วิบัติยคุ เขญ็ แนแ่ ท้ ถึงกระนั้นนายพรานยังคงสอดสายตาเห็นจนได้ กระรอกหนีต่อไปถึงดอนเลาหรือเหล่า พรานจึงไล่ เสยี งองึ อลของชาวเมอื งดงั กลา่ วไดย้ นิ ไปถงึ วงั หลวง จอมงามนางไอค่ า� อนิ ทรถ์ วลิ สดบั เสยี งนน้ั ติดตามไปถึงดอนเงิน ดอนแบกหน้า (ดอนต่าง ๆ เหล่านี้ปัจจุบันเรียกว่า บ้านเมืองพรึก บ้านเหล่า จึงเสดจ็ ออกมาทอดพระเนตรทเ่ี กยชานวงั พอเหน็ กระรอกเผอื กประหลาด กเ็ กิดคดิ ใครจ่ ะได ้ นางเธอ บา้ นหนอง (ระ) แวง บา้ นแชแล บา้ นดอนเงนิ และบา้ นนาแบก) ถงึ ดอนแบกหน้านีน้ ายพรานเอาไม้ จึงใหไ้ ปตามนายพรานท่ีบา้ นพราน (อยู่บ้านกงพานเดี๋ยวน)ี้ มาเขา้ เฝ้า ตาแก่ได้ตอบสนองเสาวนยี ว์ ่า สา� หรบั คอนหนา้ ไมท้ ง้ิ แลว้ เอาไมแ้ บกบนบา่ และตดิ ตามอยา่ งรบี เรง่ เพอื่ หวงั ทจ่ี ะจบั ใหไ้ ดก้ อ่ นคา�่ วนั นนั้ อันซง่ึ จะจับเป็นน้นั เห็นสุดปญั ญา แต่จะจบั ตายน้นั เหน็ พอแกค่ วามพยายามจะทา� ได ้ แล้วนายพรานก็ กระรอกหนีต่อไปยังดอนเยอเห็นเป็นหมู่ไม้เล็กใหญ่นานาชนิด ล�าบากแก่พวกพรานจะติดตาม บังคมลากลบั บ้าน ตระเตรียมหน้าไม้สายธนูใหพ้ ร้อมสรรพ ค้นหา จึงหลบซ่อนตัวแต่กระน้ันนายพรานยังเห็นเข้าอีก กระรอกตระหนักแน่ว่าไม่ปลอดภัยพอ จึงว่งิ กระเจิงจากดอนใต้สู่ดอนกลาง ออกดอนกลางมุง่ ใส่ดอนเหนือ นายพรานก็ตามพบ แตพ่ รานยิงก็ 20 เสน้ ทางทอ่ งเที่ยว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม พลาด ทัง้ นี้เพราะพังคเี ปน็ โอรสของพญานาคมีฤทธานภุ าพแคลว้ คลาดศาสตราวุธท้ังปวงประการหนึ่ง แลเพราะกรรมยังตามไม่ทนั ประการหนง่ึ อุดรธานี 21

เกาะดอนหลวงกลางหนองหาน ทีเ่ ชอื่ ว่าเป็นเมืองชะทีตา ขอย้อนกล่าวถึงผาแดง ราชกุมารแห่งเมืองผาโพง หลังจากบ้องไฟของตนแพ้พนัน ท้าวเธอ มละา้ ตอัวายผพชู้ อ่ืระสทามยั ) ไมมุ่ง่กตลรา้ งไไปปเยยังีย่ ชมะเทยติอื านนนคารง คเมนอ่ืรักถ ึงมวางั วพนั รหะนนอ้่ึงจงนงึ ขา้ึนงไมอ้าค่ คา� ูพ่ ไดระเ้ ชทอื้ ยั เชช่อืิญเใจห้าท้สาา้ มวเ ธ(มอ้ารบ่วกัมสเสาวมย หดรว้ ือย กระรอกพังคีแลบริวารหนีไปทางเวฬุวนาสวนไม้ไผ่ มุ่งสู่ดอนทุมแสง มายังดอนแหว แมต้ือ่กนร้ีปะรยุงาดห้วายรเวนัน้ือนก้ีมรีกะลรอ่ินกปเรผะือหกลแาขดว นผเากแรดางะจทึงอระงคงับ�า กทาร้าเวสเพธอเสกว็ทยรไาวบ้ แชลัดะวไ่าตเห่ถตามุกดาูรไดณ้ค์ขว้าางมหวน่า ้าอจาะหเกาิดร (บ้านเชียงแหว) เหลือบแลไปเห็นมหาอุทุมพรยืนต้นแผ่กิ่งก้านงามไสว กระรอกอิดโหยโรยแรง กเปมุ ็นาเรชภ่นุชไพร งจศงึ ์จตา� า� แนลิวง่าอ งไฉคน์มพา ร เะมน่อื อ้ เจง้าจปึงเาสปวะยนเนาื้อคกพรระะรยอากบเาผดอื ากล ทเพรราาบะ เมหใิ ็นชทก่ รีจะกั รตอากมธมรารชมา� ดแาร กหปาฐกพเปใี หน็ ้บพ้าังนคี จึงไต่ขึ้นไปตามล�าต้นสอดเสาะหาผลมะเด่ือ ฝ่ายพรานก็มองเข้าใต้ต้นมะเด่ือใหญ่ เห็นกระรอกก�าลัง เมอื งถลม่ ทลาย ครา่ ชวี ติ นกิ รชนใหล้ ม่ จมตายตามบตุ รตนไป พอดา� รสั นน้ั สน้ิ สดุ ลง กพ็ อดเี จา้ บาดาลออก เพลินกินมะเดื่อ จึงหยิบหน้าไม้ข้ึนสอดลูกหน้าอาบยาพิษ เม่ือเลือกได้ที่ท่ีชอบใจแล้วจึงประทับหน้า ตบรญั ะชเตาสรยีงั่ ใมหขด้ า้ น้ัวขดอน้ งพ น้ืเพดอื่นิ จผะาไแดดพ้ งาแหลนะแไี ปมใน่ หาพ้ งนไ้ อจค่ าา�กสคดวบั าเมสลยี ม่ งจวมงั หขลอวงนงทครรดุขโอคมร มนคารงาตมก ตผะาลแงึดไงมสท่ ง่ั รนาาบงไจอะค่ หา� ยใบิห้ ปล่อยลูกธนูทะยานจากแหล่ง ว่ิงไปปักต้องตรงอุระ กระรอกพังคีไม่อาจคุมสติสัมปชัญญะจะเกาะยึด ฉอวอยกสทงิ่ าใงดป รคะวตา้ ไวู ดงั ้ฆด้อา้ นง ทกิศลตอะงว ันแลตะกแ พหรวะนยซา่ึงบเปาด็นาขลอเงรค่ง่บูพา้ลนคคุ้ยู่เขมดุ ือสงุธ าทด้าลวคเธวอารนบี หขาึ้นธอิดาาชการแุงขลอ้วรมบั พนบางนคานงนรัก่งั กิ่งมะเดื่อต่อไปได้ ร่างก็ร่วงหล่นลงสู่เมทนีดล เกิดเสียงกัมปนาทท่ัวชะทิตานคร ก่อนสิ้นใจกระรอก เคยี งขา้ งทา้ วผาแดง จงึ ตามไปจนประชดิ พน่ พษิ ไลห่ ลงั มา้ ไปจนแผน่ ดนิ แยกกลายเปน็ ลา� ธาร (ระหาน ได้ต้ังสัจจะอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อนั้นมากได้แปดพันเกวียน ให้เนื้อมีกล่ินหอมตลบกรุงชะทิตา สายนี้เรยี ก หว้ ยพ่นไพ (ไฟ) ในบดั นี้) พวกบรวิ ารก็พากนั ทา� ลายวงั สถานบ้านเรอื น ชะทิตานครครงั้ น้ัน ใครได้กินเน้ือนี้ขอให้พาเอาผู้คนท่ีกินให้ล่มจมตายตามตนไป ส่วนผู้ไม่ได้กินอย่าพึงมีวิบัติอันตราย ถงึ วบิ ตั สิ นิ้ เกอื บไมม่ เี หลอื มเี วน้ เฉพาะผไู้ มไ่ ดก้ นิ เนอ้ื กระรอกเผอื กและพทุ ธสถานเจดยี ว์ ดั วาพรอ้ มดว้ ย พออธิษฐานแล้วก็ขาดใจตาย กรรมตามทันตกดิถีฆาตวันอังคารเป็นอุบาทว์ฤกษ์จันทร์มรณะ ตรงกับ พระสงฆ ์ ตอนวงั หลวงลม่ ภาชนะจานตา่ ง ๆ ตกกระเดน็ กลายเปน็ ชลธาร (ทน่ี เี่ รยี กหว้ ยไพจานในปจั จบุ นั ) แรม ๘ ค่า� เดือน ๖ ฤกษย์ ามเปน็ เพชฌฆาตกระรอกจึงอาสญั เม่ือพรานได้ดังตั้งใจแล้ว จึงน�าข้ึนถวายนางไอ่ค�าอินทร์ถวิล นางทรงประทานรางวัลแก่ เครดติ ภาพจาก อ�าเภอมานผพา แ ดแงยน้มาองทุ ไอยั ข่ งีม่ าา้นบบกั ญุ สบามงั้ ไ ฟปลระ้านเพ บณ้าบี นุญกบุดัง้หไวฟ้าเ ดอือา� นเภหอกก ฉุ: นิ ารายณ์ จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ ลงุ พรานเปน็ อนั มาก แลว้ มเี สาวนยี ส์ งั่ ใหน้ ายพรานแลเ่ นอื้ เถอื หนงั ออก และใหแ้ บง่ เปน็ สว่ น ๆ แจกไปปรงุ เปน็ อาหาร แต่เนอื้ นน้ั แม้ว่าแล่ออกเท่าไหร่ ๆ ก็ไมร่ ้จู ักพร่อง จงึ ให้เสนาป่าวร้องให้ชาวเมอื งไปรับแจก ผาแดงพาแม่นางคู่หทัยหนี พระยาปาปะนาคก็ติดตาม รวมบริวารที่เสด็จจากการทลาย เน้อื กระรอกเผือก ยกไว้แต่หญิงท่เี ปน็ หม้ายหรือสามหี ยา่ รา้ งและพระสงฆอ์ งค์เจา้ ผู้ที่เป็นศัตรูก็มไิ ด้รับ ถล่มนครขอมเข้าด้วยกัน เจ้าผาแดงขับเจ้าสามผ่านทางทิศใต้ ดอนแหว (บ้านเชียงแหว) ดอนเลียบ ส่วนแบง่ ชาวเมืองท่ีไดร้ บั สว่ นแจกตา่ งพากันน�าไปปรงุ เป็นอาหาร ท(บี่ฆ้า้อนงเตซกยี กบล) าลยดั เปเข็น้าชดลอสนาศขราที เันรดยี อกนว่า (บหา้้วนยนทา�้นั ฆดอ้องน จ) นสถองึงเหวนลา่อนก้ีษัตรยิ ท์ รงเหน็ ดินถล่ม จึงโยนฆ้องทิง้ ไป ขอย้อนกล่าวถึงบริวารนาค เม่ือนายตนอาสัญแล้ว จงึ พากนั กลับร่างเป็นนาคคนื ส่นู ครบาดาล เรียก ห้วเมย่ือกทลอิ้งฆงศ้อรงี แเลจ้ว้ามส้าาวมิ่งไคมล่ส่อางมขาึ้นรถนวิดิ่งหขน้า่องหยน แ้าตได่ใน้เพไมรา่ชะ้าดไมอ่นนากนงพก็ลรา้านลง อ(บีก้า นจกึงทงพิ้งกาลนอ) งถลูกงพไปว กทนี่นา้ันค และนา� ความขน้ึ ทูลพระยาเมอื งตน พระยาบาดาลก็ทรงพิโรธข่นุ ขอ้ ง จงึ มีโองการเกณฑ์จตุรงคพ์ ลนาค บริพารทา� ลายถลม่ จมลงหมด เน่อื งจากตาพรานได้รบั ส่วนแบ่งเน้อื กระรอกเผอื กแล้ว เอาแบง่ แจกแก่ ไดป้ ระมาณลา้ นเศษ ยกทพั กรีธาขึน้ มาเมอื งมนุษยเ์ พอ่ื เอาตัวนางไอค่ า� และมีบัญชากา� ชับว่า ให้ทา� ลาย หม่ญู าตไิ ปท�ากนิ ถกู เหลา่ นาคตามมาทลายสน้ิ ค้มุ พรานท่ีล่มจมนเ้ี รยี ก หนองกงพราน ผาแดงจงึ เล้ยี ว วังสถานบ้านช่องของผู้คนที่กินเนื้อบุตรตนอย่าไว้ชีวิตแม้แต่เด็กที่เกิดในวันนั้น จงช�าแรกขุดคุ้ยดิน มุ่งขึ้นทางเหนืออีกที แล้วจึงท้ิงแหวนธ�ารง ที่ที่แหวนตกกลายเป็นโสพภวาปี เรียกว่า หนองแหวน ให้ถล่มทลายพาเอาบ้านเมืองและชีวิตของเขาเหล่านั้นลงสู่บาดาลให้ตายตามบุตรตนไป ส่วนพวกที่ ผกา่็ลนื่นไ ปสตอน้งเกทก้ากหอลหงั ญถบีา้ ตดน้ินโถสลนม่ เเกปดิ น็ ขชนึ้ ลเตาลม็ ัยรอสบาขขาอเบรยีหกน อหงว้ จยงึสขานมาพนานดา ม(พใหลามดว่ )า่ หนองโสน มา้ วงิ่ ไปไดห้ นอ่ ย ไม่ไดก้ นิ จงอยา่ ให้ถึงวิบัต ิ วดั วาอาราม พระเจา้ พระสงฆ์ ทไ่ี มไ่ ด้ฉันก็จงละเวน้ เสยี ตามต�านานเล่าว่า พญานาคน�าขบวนทัพข้ึนที่บึงสังบึงชวนเหนือจังหวัดอุดรธานีไปประมาณ อุดรธานี 23 ๑๐๐ กิโลเมตร หยุดพักรวมพลที่หนองสังวร ตกกลางคืนออกเดินทางมาสว่างที่หนองขอนข่วง (หนองขอนกว้าง) ๑ วัน พวกนาคพากนั เนรมิตเป็นขอนไม้ (ทอ่ นไม้) ไขวก้ นั ระเกะระกะตามดง ออก จากหนองขอนกว้าง จ�าแลงตนเป็นก้อนศิลากล้ิงลงมาเกล่ือนกลาด (ท่ีท่ีนาคแปลงเป็นขอนไม้เรียก บ้านขอนกว้าง ทีเ่ ป็นกอ้ นศลิ ากล้ิงเรยี กบา้ นค�ากลง้ิ ในบดั น)้ี จากน้ันเดินทัพผา่ นหนองหมนื่ ท้าวเร่อื ยมา ถึงห้วยสามพาดแล้วเล้ียวอ้อมไปทางทิศตะวันออกกรุงชะทิตานคร ให้หยุดพักพลคอยฤกษ์ชัยอยู่ที่ บา้ นหนองหล่ม 22 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม

หว้ ยสามพาดไหลลงหนองหาน วังนาคินทร์คา� ชะโนด เครดติ ภาพจาก travel WatSriSutto. www.bansansuk.com อศั วพาหพะญขอางนทา้าควแผทาแรดกงดตินอ้ ตงมามนไตป์ ตริดู้สึก เๆม อ่ื ใยชล้ขา้ นวดิ่งชหา้ าลงงต ๆวัด พเอระายนาาปงาแปตะ่กน็พาลคาจดึงต วจดัึงเรอ่าายนมานงไตอ์ส่คะา� กอดนิ มท้รา ์ ๑.๓ ตาํ นานพญานาคศรีสทุ โธ : วังนาคนิ ทร์คําชะโนด ถวิลได้ส�าเรจ็ บรรหารใหจ้ ตุรงค์เลิกติดตามผาแดง น�านางลงสู่บาดาล ที่ทน่ี างตกกลบั กลายเปน็ ชลาธาร เรยี กวา่ หส่ว้วนยลผกัาแนดางงม (คีหวลาักมนเาศงร)้า จเปน็นทลุก้นวพนั น้น ้ี แตไ่ มม่ ีทางชว่ ยเหลือได้ จงึ มุ่งตรงยงั เมอื งผาโพง ถึงวังกเ็ ขา้ เลา่ กันว่า เม่อื กอ่ น “หนองกระแส” เป็นเมือง หไป้อยงังบลรารนทศมิล าถอูกันคไวดา้นมารมักวค่าว าผมาหแลดังงเ กแาละ้วกตุมั้งจสิตัจสจ�าานธึกิษ ฐชาักนชวว่าน จผะู้มขีคอวราบมกสับวาพมญิภาักนดา์ิปครเะพม่ือาชณิงเสออางนลา้างนไอเศ่คษ�า ทพ่ี ญานาคปกครองอย ู่ โดยมเี จา้ พอ่ พญาศรสี ทุ โธ และ อใหินเ้ ทวรรนถ์ วสี้ ลิ้ิน ไทปร เามย่ือทส้งั ิน้หค้าา�มจหอางสเมวรทุ แรล เ้วม ผลา็ดแหดนงึ่งพจระ้อเทมา่ดก้วับยบชารติวาหิ รนไึ่งด ใ้เชม้คอ่ื มสดน้ิ าเมบ็ดปทระราหยาทรตง้ั หน้าเอมงหตาาสยมอทุ ยรบู่ แนลล้วาจนึง เจ้าพ่อสุวรรณนาค แบ่งกันปกครองคนละสว่ น ทง้ั สอง ผาแดงน้ันพร้อมกัน ศึกชิงนางระหว่างผาแดงกับพญานาคท่ีเมืองบาดาลยังคงขับเค่ียวกันมาถึงทุกวันน ้ี อยกู่ นั อยา่ งผาสกุ โดยตลอด วนั หนงึ่ พญาศรสี ทุ โธ ออก กว่าจะถึงพุทธอุบัติกาลของพระศรีอาริยเมตไตยสัมมาสัมพุทธเจ้า เม่ือพระองค์ลงมาตรัสรู้แล้วจึงจะได้ ไปหาอาหารและไดช้ ้างกลบั มา จึงแบง่ เน้ือ หนงั และ เสด็จลงไประงับเวรของทั้งสองฝ่ายให้เกิดมาเป็นมนุษย์ และตรัสรู้ธรรมเป็นพุทธสาวก ช่วยกันประคับ ขนออกเป็นสองส่วน แล้วน�าไปให้พญาสุวรรณนาค ปธรรระมคทอพ่ีงพระรพะพทุ ทุธเธจศา้ าทสกุ นพารอะ�าอนงวคยท์ หริตงารนแู้ ุหจง้ิต ป๕ร ปะรโยะชกนาร ์ แคกอื ่อ ๑ป)ร สชงััคขคาชรา ๒ต)ผิ วคู้ าวกราแรก ๓่เญ) ยลยกั ธษรณรมะร (ปู เญ ๔ย) ยนธพิ รพรมา น: ต่างก็ได้กินจนอ่ิมหน�า วันต่อมา พญาสุวรรณนาคได้ ๕) บัญญชัตะิ) ทสิตบื าไนปครแปรสภาพเป็นบึงใหญ่โต บัดนี้เรียกว่า หนองหาน อยู่ในท้องที่อ�าเภอกุมภวาปี เม่นกลับมาเปน็ อาหาร จงึ แบง่ เนอ้ื หนัง และขนออกเปน็ สองส่วน น�าไปใหพ้ ญาศรีสุทโธ แตอ่ ีกฝา่ ยเห็นว่า จังหวัดอุดรธานี มีอาณาเขตกว้างขวาง และเป็นต้นน�้าของล�าน้�าปาว สถานที่เกาะและห้วยต่าง ๆ ขนเม่นใหญก่ วา่ ขนชา้ งมาก จงึ คดิ ว่าเน้อื เม่นกต็ อ้ งเยอะกว่าเนอื้ ชา้ ง แต่กลบั ไดม้ านอ้ ยกวา่ จงึ คดิ วา่ พญา ทก่ี ลา่ วมาในประวตั ศิ าสตรน์ น้ั ขณะนกี้ ย็ งั มชี อ่ื เหลอื อย ู่ ภายในหนองหานนน้ั มเี กาะดอนเลก็ ใหญม่ ากมาย สวุ รรณนาคผิดสญั ญา สันนิษฐานว่า คงไม่ถูกพวกนาคขุดคุ้ยให้ล่มจม เพราะบางแห่งอาจเป็นวัดหรือที่อยู่ของพวกไม่ได้ ฝง่ั พญาสวุ รรณนาคกพ็ ยายามอธบิ ายวา่ ถงึ ขนเมน่ จะใหญก่ วา่ แตเ่ มน่ ตวั เลก็ กวา่ มากเลยมเี นอ้ื นอ้ ย กกนิลาเนงสอื้ วกนระหร่าองกไก ลเชเนพ่ ่อื ดนอบนา้ สนว น ภ าเขษา้ าใถจิน่วา่อเสีปาน็ นทเที่รยีา� กกวนิ า่ข อ ยง่าหจญ�างิสแวกนท่ ย่ี ากจนไมม่ ลี กู มผี วั จงึ ไปปลกู กระตอ๊ บ แตพ่ ญาศรีสทุ โธก็ไมเ่ ชอ่ื เกิดการประกาศสงครามทยี่ าวนานถึง ๗ ปี แตก่ ไ็ มม่ ใี ครชนะ และทา� ให้รอบ ๆ ยังมีเศษดเหอลน็กโสอนย ู่ ทดเ่ี รอยีนกดเินชน่จี่ นนเี้ พ่ารจาะะเมปตี็นน้ เตโสานเผเกาอดิ ิฐท เ่ี กคา�าะวน่ามี้จี่คากือ เดผอานเปเต็นาภ คางษเปาน็ถ่ินเต าดหอลนอแมอเห่นล ก็เหใน็นสจมะยั เปน็นนั้ หนองกระแสเสียหายเป็นอย่างมาก เม่ือพระอินทร์ทราบจึงเสด็จลงมาและให้ท้ังสองแข่งกันสร้างแม่น�้า ที่อยู่ของหญิงแม่หม้าย ดอนหลวง เป็นเกาะใหญ่กว่าท่ีอื่น ๆ เข้าใจว่าเป็นวัดภายในก�าแพงวัง ขณะนี้ ออกจากหนองกระแส หากสร้างเสรจ็ กอ่ นจะให้ปลาบกึ ข้นึ ไปอยู่ โดยมีดงพญาไฟกน้ั ไว ้ ป้องกันไม่ให้สอง ยังมีใบเสมาเหลืออยู่ น�้าลึกที่สุดของหนองหารก็อยู่รอบเกาะนี้ คงเป็นวังหลวงของพระยาขอมและของ ฝ่ายรกุ รานกัน แมน่ า�้ ทพี่ ญาสุวรรณนาคสร้างคอื แมน่ า�้ น่าน และแม่นา�้ ท่พี ญาศรสี ุทโธสร้างคือแมน่ ้�าโขง พระนางไอค่ �า ผลปรากฏว่าพญาศรีสุทโธเป็นฝ่ายสร้างเสร็จก่อน จึงได้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้�าโขงท่ีเดียวในโลก ชานเมอื งใเนดติมอ นในบปา้ ัจนจเมุบอืนั งปเกราดิ กยฏคุ มเขีพญ็ รพะธนิ าาตศุเลจม่ดจยี ม์ส รผ้าคู้ งนอพยูโ่าดกยนั รออพบยหพนหอนงไีหปาสนรทา้ ัง้งสบที่ า้ นศิ ส รา้ งเมอื งใหมร่ อบ ๆ และได้ทูลขอพระอินทร์ว่า ขอทางข้ึนลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย ์ พระอินทร์จึงประทานให้ ๓ ท่ี คอื ท่ีธาตหุ ลวงนครเวยี งจันทน์ ที่หนองคันแท และท่ีพรหมประกายโลก (เมืองคา� ชะโนด) ซ่งึ ธาตุหลวง 24 เสน้ ทางท่องเทย่ี ว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม นครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เปน็ ทางขึน้ -ลงของพญานาค สว่ นพรหมประกายโลก คือมอบใหพ้ ญา ศรีสุทโธไปตั้งบ้านเฝ้าไว้ ให้มีต้นชะโนดขึ้นเป็น สัญลักษณ์ของป่าค�าชะโนด และช่วงข้างข้ึน ๑๕ วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์เรียกว่า “เจา้ พ่อพญาศรีสทุ โธ” มวี งั นาคนิ ทร์ค�าชะโนดเปน็ ถ่ิน และอีก ๑๕ วนั ข้างแรม ใหส้ ทุ โธนาคและบรวิ ารกลาย ร่างเป็นนาค และเรยี กชอ่ื ว่า “พญานาคราชศรสี ทุ โธ” ใหอ้ าศัยอย่เู มอื งบาดาล พญานาค ๓ เศยี ร ที่ด้านพระอโุ บสถวดั มัชฌมิ าวาส อุดรธานี 25

มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุไทพวนอาํ เภอบา้ นผือ พิพิธภณั ฑ์ไทพวนบา้ นผือ และสถานท่ที ่องเทยี่ วทางวัฒนธรรมวิถชี ุมชน กลุ่มชาติพนั ธ์ุไทพวนอําเภอบา้ นผือ คา� ว่า พวน เป็นภาษาบาลีแปลวา่ ภูมิลา� เนาทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนือ แปลเป็นภาษาไทยวา่ เกา่ แก ่ ดกึ ดา� บรรพ์ เดมิ ค�าวา่ พวนที่ตง้ั ตามช่ือแมน่ �้า กลุ่มชาตพิ ันธุ์ไทพวนหรอื ลาวพวน เคยมีจา้ วผ้คู รอง นครรัฐอยทู่ แี่ ขวงเชยี งขวาง มีภมู ิลา� เนาดง้ั เดิม คือ เมอื งเชียงขวาง เมอื งส่วย เมืองวงั เมอื งปูน เมืองทอ่ น ตงั้ อยบู่ นที่ราบสงู ของทุ่งไหหินในสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว และเมอื่ ราว ๒๐๐ ปีท่ีผ่านมา ไดเ้ ขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในไทยเรมิ่ สมยั กรงุ ธนบรุ ี รชั กาลท ี่ ๑ รชั กาลท ่ี ๓ รชั กาลท ี่ ๕ และรชั กาลท ี่ ๖ ตามลา� ดบั และเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๗ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทพวนบา้ นผอื ซง่ึ เคยอาศยั อยทู่ อ่ี า� เภอบา้ นหม ี่ จงั หวดั ลพบรุ ี ไดเ้ ดนิ ทางกลบั ไปตงั้ ถน่ิ ฐานยงั ภมู ลิ า� เนาเดมิ ซง่ึ ในเวลานนั้ จนี ฮอ่ ไดร้ กุ รานเขา้ มาในดนิ แดนหลวงพระบาง เชียงขวาง และเวยี งจนั ทน์ ตลอดจนพน้ื ที่จังหวัดในภาคอสี านตอนบนทีจ่ งั หวดั หนองคายและอดุ รธาน ี ต่อมาตัดสินใจหนีภัยสงครามจากพวกจีนฮ่อ จึงกลับเข้ามาสู่ดินแดนฝั่งขวาแม่น�้าโขง เขา้ มาจนถงึ บรเิ วณบา้ นผอื ในปจั จบุ นั จงึ เรม่ิ กอ่ ตงั้ บา้ นเรอื นและตง้ั ชอ่ื หมบู่ า้ นวา่ บา้ นผอื นา� โดยขนุ จางวาง หม่ืนราช หม่ืนรัตนเวช และอีกส่วนหน่ึงได้เคล่ือนย้ายลงไปตั้งถ่ินฐานอยู่ท่ีอ�าเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เช่นเดิม การเคลอ่ื นย้ายถน่ิ ของชาวไทพวนบ้านผอื ในอดตี ชาวไทพวนบา้ นผือจัดพิธบี วงสรวงหอนางอษุ าท่ีภูพระบาท และพ่อบญุ ถม เจริญชนม์ ประธานชมรมไทพวนจังหวัดอดุ รธานแี ละคณะ 26 เส้นทางทอ่ งเทย่ี ว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เนอ่ื งจากพน้ื ทบ่ี รเิ วณอา� เภอบา้ นผอื มลี กั ษณะทางภมู ศิ าสตรเ์ ปน็ พนื้ ทรี่ าบลมุ่ รมิ ขอบภเู ขา ในพนื้ ที่ อา� เภอบา้ นผอื มจี า� นวน ๑๗ หมู่บ้านประมาณ ๘๐% เปน็ ชาตพิ ันธุไ์ ทพวน สว่ นใหญ่ประกอบอาชพี ทา� นา ปลูกขา้ ว ท�าไร ่ ทอผ้า การแต่งกาย พดู ภาษาพวน ตระกูลไท-ลาว และมขี นบธรรมเนียมตาม “ฮีต ๑๒ คอง ๑๔” (สมชัย ค�าเพราะ.นาฏลีลาเยียวยาสุขภาวะ พิธีกรรมการรักษาสุขภาวะของกลุ่มชาติพันธุ์ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื .สนบั สนนุ โดยแผนงานสอ่ื ศลิ ปวฒั นธรรมสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ สา� นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ (สสส.).๒๕๕๖. ๒๙๒ หน้า) อุดรธานี 27

ภาษาไทพวนอําเภอบา้ นผอื พิพธิ ภณั ฑ์ไทพวน ชมรมไทพวน อําเภอบา้ นผอื จงั หวัดอุดรธานี นายบญุ ถม เจรญิ ชนม ์ ประธานชมรมไทพวนจังหวัดอุดรธาน ี บอกวา่ พระครพู ระพิทักษ์พชิ ตาม ชาวพวนใช้ภาษาตระกลู ไท-กะได (Tai-Kadai Language Family) มีวงศ์คา� ศัพทร์ ว่ มกับภาษา เขต อดตี เจ้าคณะอา� เภอบ้านผือ เจ้าอาวาสวดั ลมุ พลวี นั บ้านถอ่ น (มรณภาพแลว้ ) เป็นผกู้ อ่ ตงั้ “ชมรม ลาวมากกว่าภาษาไทย ลกั ษณะเด่นคอื การออกเสยี งพดู เช่น อกั ษร ฉ เป็นอักษร ส เชน่ ค�าวา่ ไม้ฉ�าฉา ไทพวนอ�าเภอบ้านผอื ” ขึน้ เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๕๑๘ เพอื่ รว่ มอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมไทพวน มกี จิ กรรมคอื เยาวชน เป็นไม้ส�าสา หรือไมน่ ยิ มออกเสียง ร ล เช่น คา� ว่า ปราบปราม เป็น ปาบปาม หรือ ออกเสียง ย ญ จะออก และคนทวั่ ไปเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรช์ าตพิ นั ธไ์ุ ทพวนบา้ นผอื และนา� นกั เรยี นมาเทย่ี วชมพพิ ธิ ภณั ฑไ์ ทยพวน เสียงแบบขน้ึ จมูก เป็นตน้ และสรรพนามทีใ่ ชแ้ ทน เชน่ กัน ใชก้ บั ผู้มีอายเุ ท่ากันหรือน้อยกว่า หรือคา� ว่า บา้ นผอื โดยมหี ลักสูตร คอื มีชุดความรู้ด้านประวัติศาสตรช์ าตพิ ันธไุ์ ทยพวนบ้านผือ และมีองค์ความรู้ เฮา ผูพ้ ูดมีอายนุ อ้ ยกว่า เปน็ ค�าแทนตวั ทีส่ ุภาพที่สดุ หรือค�าว่า โต ใช้แทนตัวคนทส่ี นทนา ดา้ นวัฒนธรรมวถิ ชี ีวติ เป็นแหล่งทอ่ งเที่ยวและเรยี นรู้ ภาษาไทพวนบ้านผอื ภาษาไทย ระหวา่ งก่อสรา้ งพพิ ิธภัณฑ์ไทพวนบา้ นผือแหง่ ใหม่ และพพิ ิธภัณฑ์ไทพวนอา� เภอบา้ นผือ เจ้ามักผู้หญงิ อย่างเลอ คุณชอบผ้หู ญงิ แบบไหน ไปเถยี่ วบ๊อ ไปเทีย่ วไหม ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และเรียนรู้วัฒนธรรมไทพวน ความเช่ือเก่ียวกับศาลปู่ตา คดึ ฮอดกะด้อกะเดยี้ คิดถึงมากท่สี ดุ พธิ กี รรมก�าฟ้า ศาสนพิธ ี ศลิ ปะ การละเล่น โดยจดั อยใู่ นหมวด “พิพธิ ภณั ฑ์พ้ืนบ้าน” และปจั จุบนั ก�าลงั อย่าพะว้อพะแว้ อยา่ ทา� หลุกหลิก อยู่ในระหว่างการกอ่ สร้าง “พิพธิ ภณั ฑไ์ ทยพวนบ้านผือ” แห่งใหม ่ เฮด็ ไฮ่เฮด็ นา ท�าไรท่ า� นา การเดนิ ทาง : จากตวั เมอื งอดุ รธานไี ปตามทางหลวงหมายเลข ๒ เลย้ี วซา้ ยไปตามทางหลวงชนบท หมายเลข ๒๐๒๑ จนถึงตัวอา� เภอบา้ นผือ และตรงไปตามเส้นทางเจอสแี่ ยกไฟแดงป้อมต�ารวจเลี้ยวขวา และมีส�าเนียงใกล้เคียงกับภาษาไทยมากว่าภาษาไท-ลาวอื่น ๆ มีค�าเรียกชาวพวนเป็นสองกลุ่ม ประมาณ ๕๐๐ เมตร จะพบที่ตง้ั ชมรมไทพวนอ�าเภอบา้ นผือ จงั หวดั อุดรธานี คือไทพวนและลาวพวน เช่น ส�าเนียงไทพวนบ้านผือหรือไทพวนบ้านเชียงนั้น คล้ายคลึงกับภาษาพวน ทตี่ ั้ง : ๔๓ บา้ นถ่อน หมู่ท ่ี ๒ ตา� บลบา้ นผอื อา� เภอบ้านผือ จงั หวดั อดุ รธาน ี สถานทที่ างกายภาพ ที่ใช้ในหลวงพระบาง และออกเสียงสละเออคล้ายกับชาวผู้ไท (วิสันธนี โพธิสุนทรและคณะบรรณาธิการ. link map แหล่งเรยี นรู้ทบั ตะวัน ตา� บลหายโศก อา� เภอบา้ นผอื จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ https://goo. พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง.นา� ชมพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต ิ บา้ นเชยี ง.กรงุ เทพฯ.๒๕๕๓.หนา้ ๑๓๙) gl/maps/uUHurNTSt๓U๒ ปักหมดุ สถานท่ีต้งั /พิกัด ๑๗.๖๙๖๒๒๕,๑๐๒๔๙๙๖๖๙ ได้แก่ เบอรต์ ดิ ตอ่ : นางพรพติ ร พมิ พศิ าล ประธานชมรมไทยพวนอา� เภอบา้ นผอื โทร. ๐๘ ๙๖๑๘ ๖๕๕๑ (สมชัย ค�าเพราะและคณะ.รายงานผลการดา� เนินงานโครงการส่อื ศลิ ปส์ ามดี ใสใ่ จสอ่ื เดมิ สร้างเสริมสอื่ ด ี ภาษาไทยกลาง ภาษาไทพวนบา้ นเชยี ง ภาษาไทพวนบ้านผอื จงั หวดั อดุ รธาน.ี สนับสนนุ โดยแผนงานสอ่ื ศิลปวฒั นธรรมสร้างเสรมิ สขุ ภาพ ส�านักงานกองทุนสนับสนุน กนิ ขา้ วหรอื ยงั กนิ ขา้ วแล้วเอาะ กินขา้ วแล้วหวา การสรา้ งเสริมสขุ ภาพ(สสส.).๒๕๖๑.(อัดส�าเนา)) จะไปไหน ไปสิได ๋ ไปกะเลอ๊ , ไปสเิ ล๊อ รอหนอ่ ย ท่าแด ทา่ จกั บด๊ึ แด ใหญ ่ เหยอ่ เหย่อ ใหใ้ คร เฮอ้ เฮ๊อเผอ อยไู่ หน เออ้ เผอ อยเู่ สอ หน้าต่าง ป่องเอ้ยี ม ปอ่ งเอี๊ยม โอโ้ ห อะป้าด ป๊าด ตะไคร้ หวั ชงิ เค้อ หวั ชิงเคอ๊ ตา,ยาย พ่อต,ู้ แม่ตู้ พอ่ ต,ู๊ แมต่ ู๊ 28 เส้นทางท่องเท่ียว มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 29

(๒) ศลิ ปะการแสดง อาจารย์ภริ มย ์ แสงมณี ปราชญข์ ับล�าพวนอา� เภอบา้ นผือ อาจารย์ภิรมย์ แสงมณี ปราชญ์ชาวบ้าน ครูผู้เชี่ยวชาญด้านการขับล�าพวนอ�าเภอบ้านผือ ๒.๑ การขบั พวนอําเภอบา้ นผือ บอกว่า การขับล�าพวนจะออกเสียงตามภาษาพวน ไทพวนมีเอกลักษณ์ทางดนตรมี านานกวา่ ๑,๐๐๐ ปี เรียกวา่ “ลา� พวน” หรอื “ขบั พวน” โดยมี ขับล�าเป็นจังหวะท�านองล�าช้าและท�านองล�าเร็ว ทว่ งท�านองทโ่ี ศกเศรา้ ในยามทกุ ข์และออดออ้ นในยามสุข ลา� พวน (น่ังเลน่ ) หรอื ขับพวน เป็นการแสดง และมีเสียงแคนเปา่ ประกอบเปน็ ชิน้ เดียว “อัตลักษณ์และเอกลักษณ์แท้ ๆ ของพวน” ตามโบราณ ที่ว่า “*ฮู้..” ล�าด้วย “เสียงและความผญา” ปัจจุบันได้เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ดนตรีพื้นบ้าน ของตน การ “ ลา� พวน” ผแู้ สดงหมอแคนหมอลา� พวน “นงั่ เรยี บรอ้ ย” มแี คนหนง่ึ เตา้ เรยี กวา่ หมอแคน สว่ นผแู้ สดง ถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านการขับล�าพวนบ้านผือ และ ชาย หญิง เรียกว่า หมอล�าพวน ร้องกลอนหรือพญาโต้ตอบกันมีลูกคู่คอยโห่ร้องเมื่อจบแต่ละช่วง ดนตรีพื้นบ้านประเภทแคนและพิณ และดนตรีร่วม “ลา� พวน” ทา� นองชา้ ๆ “เสยี งแคนเปา่ พรอ้ มขนึ้ มาพรอ้ มเสยี งหมอลา� ” ทา� นองเดยี วกนั หวั วรรคทา้ ยวรรค สมัยต่าง ๆ มีหลักสูตรการอนุรักษ์ ภูมิปัญญาการขับ เน้อื เรือ่ งมีทัง้ ดงั้ เดมิ และทันสมัย มขี อ้ แตกต่างกค็ ือ “รา� แคน” นั้นเนน้ สนกุ สนาน “ค�าผญา” ไม่จ�ากัด ล�าพวนบ้านผอื และภูมปิ ญั ญาดา้ นการปลกู บา้ นเรือน และเครือ่ งใชใ้ นครัวเรอื น ขับลา� ไทพวนบ้านผือ ท่ตี ้ัง : สถานท่ีทางกายภาพ link map เลขท่ี เม่ือบ้านเมืองเจริญขึ้น คนหนุ่มสาวไม่ค่อยสนใจ ท�าให้ความนิยมลดลงจนแทบไม่เหลือให้เห็น ๑๑ หมู่ ๑๒ ต�าบล ชุมชนบ้านผือ อ�าเภอบ้านผือ ซงึ่ ลา� พวนนนั้ ตอ้ งใชม้ อื อาชพี ในการแสดง เปน็ การถา่ ยทอดจติ วญิ ญาณของคนพวน เมอื งพวนอยรู่ ะหวา่ ง จังหวัดอุดรธานี ๔๑๑๖๐ https://goo.gl/ ลาวและเวยี ดนาม ทงั้ สยามเอาเปน็ กนั ชน บรรพชนไดร้ บั ความทกุ ขย์ ากและสงครามตลอดเวลา “ทา� นอง maps/HKyxLdvjrAB2 ปักหมุดสถานท่ีต้ัง/พิกัด ล�าพวน” จึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาด้วยความรู้สึกถึงความเป็นเมืองขึ้นของลาว บรรพชนจึงสอนให้ 17.698269,102.466715 ท�ากินแต่พอดี จึงท�าให้ท�านองล�าพวนโศกเศร้าไปตามวิถีชีวิต ต่อมาเม่ือบรรพชนอยู่ดีกินดี ขับพวน ถูกน�ามาแสดงในงานแต่งงานเพื่อสร้างความครึกครื้นหนุ่มสาวโต้ตอบกลอนความรัก มีลูกคู่น่ังโห ่ การเดนิ ทาง : จากตวั จังหวัดอดุ รธานีม่งุ หน้า ต่อมาจงึ ไดท้ �าการแสดงในทุกโอกาสสถานท่ไี มจ่ �ากดั เฉพาะแตง่ งาน ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒ ก่อนถึงบ้านนาข่าจะมี ทางเลยี้ งซา้ ยตรงไปอา� เภอบา้ นผอื ตามทางหลวงชนบท การเลน่ ดนตรีประกอบขับล�าไทพวนบา้ นผอื หมายเลข ๒๐๒๑ ถงึ ส่แี ยกไฟแดงปอ้ มตา� รวจเล้ียวขวา ตรงข้นึ ไปอกี ประมาณ ๑ กิโลเมตร ระยะทางประมาณ ไทยพวนในไทยยังแยกการแสดงพวนแท้เป็น ๒ แบบ ถึงแม้ว่าแบบร�าฟ้อนจะไม่มีผู้นิยมแล้ว ๕๘ กิโลเมตร แต่เอกลกั ษณ์ดนตรไี ทพวนแท ้ ๆ ยังคงมีอยู่ ขับพวนท้งั จงั หวะเศรา้ และสนกุ ดังเช่น “ลา� พวน ต้นฉบับ” เบอร์ติดต่อ : อาจารย์ภิรมย์ แสงมณี โทร. ไทพวนอ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี (ถนัด ยันต์ทอง.นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิชมรมไทยพวนแห่ง ๐๘ ๗๘๖๐ ๗๒๗๖ ประเทศไทย.) ๒.๒ การรอ้ งเพลงแหล่หรือด้นสด อาํ เภอบา้ นดุง 30 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม นายคา� พวง เมา่ มศี รี หรือลุงต้อย เป็นนักร้องเพลงแหล่ซึ่งมีความสามารถในการแหล่หรือดน้ สด สามารถคิดเน้ือร้องเพลงให้มีท�านองและค�าคล้องจองออกมาได้ทันทีตามท่ีต้องการ เช่น งานบวช งานแต่งงาน บายศรีสู่ขวัญ งานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานบุญต่าง ๆ นับเป็นความสามารถเฉพาะตัวท่ีมีมา ตั้งแต่เด็ก แม้ช่วงน้ีอายุจะมากขึ้น แต่ก็ยังพร้อมที่จะเป็นครูฝึกสอนให้ผู้สนใจที่จะฝึกร้องเพลงแหล่ ผู้สนใจติดต่อศิลปินพื้นบ้านด้านการแหล่หรือด้นสดได้ท่ี นายค�าพวง เม่ามีศรี หรือลุงต้อย หมู่ท่ี ๔ ตา� บลศรีสุทโธ อา� เภอบ้านดงุ จงั หวัดอดุ รธาน ี โทร. ๐๘ ๕๖๕๘ ๙๔๖๑ อดุ รธานี 31

32 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 33

(๓) แนวทางปฏบิ ัติทางสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล คณุ ยายโควิน ศรสี วา่ ง อายุ ๖๔ ปี ปราชญ์ชาวบ้านไทพวนอ�าเภอบ้านผือ บอกว่า ในวันขนึ้ สามค่�าเดือนสาม ผู้เฒ่าผู้แก่ท่านให้ท�าพิธีก�าฟ้า โดยก่อนจะถึงวันก�าฟ้าหนึ่งวัน คนไทพวนจะเตรียม ๓.๑ “๓ คา่ํ กําฟา้ ๙ ค่าํ กาํ ดนิ ” ข้าวปลาอาหารให้เพียบพร้อม เพราะเมื่อถึงวันก�าฟ้าจะต้องหยุดประกอบกิจการทุกอย่าง เช่น ประเพณีกาํ ฟา้ และการรําฟอ้ นบวงสรวงของไทพวนบ้านผือ ห้ามนอนตอนเช้า ห้ามต�าข้าว ห้ามผ่าฟืน ห้ามซักผ้า ห้ามเข็นฝ้ายทอผ้า จนกว่าดวงอาทิตย์ จะตกดนิ เมอื่ ทา� อาหารเสรจ็ ชว่ งเชา้ รว่ มกนั ทา� บญุ ทว่ี ดั และจดั ขา้ วของทา� พธิ บี วงสรวงไหวพ้ ระแมธ่ รณี เครือ่ งสักการบูชาก�าฟา้ ไหว้เทวดา แล้วก็นา� ไปแบ่งปันกนั กนิ ดว้ ย แต่ปัจจุบันไม่ค่อยปฏิบตั ิกนั ประเพณีก�าฟ้า หรือ ประเพณีเดือน ๓ เป็นประเพณีของชาวไทพวน ท่ีถือปฏิบัติกันมากว่า พอชว่ งเยน็ ก็เชญิ ชวนกันมาละเล่นที่ลานวัด โดยคนหนุ่มคนสาวจะมาร�าฟ้อนบวงสรวงประกอบ ๒๓๐ ปแี ล้ว คนไทพวนแตโ่ บราณนับถอื ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อใหค้ นในชมุ ชนเกิดความสามัคคี เสียงแคน ส่วนเครื่องบูชาบวงสรวง จะจัดส�ารับเป็นของหวานและผลไม้อย่างเดียว แต่ไม่มีของคาว และการแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ หากปีใดชาวไทพวนไม่ปฏิบัติตาม ก็จะเกิดความแห้งแล้ง โดยจดั ผลไม ้ ไดแ้ ก ่ กลว้ ย ออ้ ย ฝรง่ั เมด็ ถวั่ เมด็ งาขาว ขา้ วโพดสาล ี นา้� เปลา่ หรอื นา้� อดั ลม และจดั ขา้ วตอก อดอยากหรอื มเี หตทุ า� ให้ฟา้ ผ่าคนตาย จงึ ต้องปฏบิ ัติตามอย่างเครง่ ครดั ดอกไม้ มัดใส่ใบยอ และใบคูน วางรวมใส่พานขันโตกใบใหญ่ ถ้าดอกไม้จะไม่ใช้ดอกใบสาบเสือ “ก�า” ภาษาพวน แปลวา่ ละ เวน้ ใหล้ ะเวน้ จากการทา� งาน “ฟ้า” หมายความถงึ เทวดา แถน หรือหญ้าเมืองหวาย หรอื ขเี้ หลา้ หรอื หญา้ บา้ นฮ้าง ส่ิงศกั ด์สิ ทิ ธ์ ิ “ก�าฟา้ ” จงึ มีความหมายว่าใหห้ ยดุ งานเพ่อื ไหว้เทวดา หรอื ดวงวิญญาณของบรรพบรุ ุษ ส�าหรับการร�าฟ้อนบวงสรวงในพิธีกรรมก�าฟ้าของไทพวน ประกอบด้วย การจัดแต่งเครื่อง ต�านานก�าฟ้า เกิดขึ้นเมอ่ื วนั ขึน้ ๓ ค่�า เดอื น ๓ ปี พ.ศ. ๒๓๓๒ คือ เมือ่ คร้งั “เจา้ ชมพู” กษัตรยิ ์ สักการบูชาครู และการแสดงร�าฟ้อน ชุดร�าประกอบด้วย ซิ่น เส้ือ สร้อยคอ ก�าไลแขน สไบ ชุดราตร ี พวน องคท์ ี่ ๔๓ แหง่ “เมอื งเชยี งขวาง” ไดพ้ ฒั นาเมอื งพวนเจรญิ รดุ หนา้ “เจา้ นนั ทเสน” แหง่ อาณาจกั ร ประกอบดว้ ย สรอ้ ยเงิน รองเท้า กระเปา๋ ย่าม ทรงผม ผู้หญงิ จะเกลา้ มวยผมอยูป่ ลายยอดศีรษะทดั ด้วย “ล้านชา้ ง” เห็นว่า เจ้าชมพูเมอื งพวนอาจจะเทยี บบารมตี น จึงสง่ “เจ้าแกว้ ” เปน็ แม่ทพั บกุ โจมตเี มือง พวงมาลยั ดอกจ�าปาสีขาวสวยงาม มีทา่ ร�าฟอ้ นจงั หวะรา� เซง้ิ ประกอบเสียงแคน เชยี งขวาง เจา้ ชมพสู ไู้ มไ่ ดเ้ พราะคนนอ้ ยกวา่ จงึ ถกู เจา้ แกว้ จบั ตวั และมคี า� สงั่ ใหป้ ระหาร ณ ลานประหาร เพชฌฆาตผู้ลงดาบต้องทา� พธิ ีขอขมาตอ่ เจา้ ชมพแู ละฟ้าดนิ ในขณะที่เพชฌฆาตกา� ลงั จะลงดาบฟันคอ ร�าฟอ้ นบวงสรวงก�าฟ้าไทพวนบ้านผือ เจา้ ชมพูนนั้ ฟา้ ก็มืดครมึ้ เกิดฟ้าผ่าเปร้ยี งโดนเพชฌฆาตตาย ดาบหักเป็นสองท่อน วนั เกิดเหตุฟา้ ผา่ ตรงกบั วนั ขน้ึ ๓ คา่� เดอื น ๓ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๓๓๒ คือเมอื่ ๒๓๐ ปกี อ่ น เจา้ แกว้ จงึ ใหน้ า� เจา้ ชมพูไปคุม อดุ รธานี 35 ขงั ไวก้ อ่ น สดุ ทา้ ยกป็ ลอ่ ยตวั เมอ่ื ชาวพวนไดร้ บั ทราบเรอื่ งฟา้ ผา่ เพชฌฆาตตาย จงึ ทา� พธิ ขี อบคณุ เทวดา เรยี กวา่ “กา� ฟา้ ” ประเพณสี มยั แรก ใชต้ น้ ไผส่ งู ตดิ ธงทปี่ ลายไผเ่ ปน็ นยั ใหใ้ กลฟ้ า้ และนา� ขา้ วเหนยี วมาใส่ กระบอกไม้ไผ่ท่ีเรียกว่า “ข้าวหลาม” น�าไปถวายพระ อุทิศกุศลให้เทวดาที่ช่วยเจ้าชมพู คนพวนจึง สอนลูกหลานว่า “อย่าม้างฮตี ” ม้าง แปลวา่ “เลกิ ” อย่าเลิกทา� ถ้าเลิกทา� จะไมเ่ จริญร่งุ เรือง ถือวา่ ไม่กตญั ญรู คู้ ณุ ตอ่ บรรพชนคนพวน (อ้างถึงใน ถนดั ยนั ต์ทอง. ผู้ทรงคุณวุฒทิ างวิชาการ ชมรมไทย พวนแห่งประเทศไทย.) 34 เสน้ ทางท่องเทีย่ ว มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม

รา� ฟ้อนบวงสรวงก�าฟา้ ไทพวนบา้ นผอื รา� บวงสรวงหอนางอุษาทภ่ี ูพระบาท ในวันก�าฟ้าจะมกี ารทา� นายเสยี งฟา้ รอ้ ง คือ ถา้ ฟ้ารอ้ งทางตะวันตกเฉียงใต ้ ท�านายว่า ๓.๒ ประเพณีไทพวนบ้านผือ ชวนเที่ยวภูพระบาท เปิดประตูลม ประตูน้�า ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ท�านายว่า พายุลมแรง ทางทิศใต้ ท�านายว่า จัดข้ึนเพื่อส่งเสริมประเพณีอันดีงามและส่งเสริมการท่องเท่ียวของอ�าเภอบ้านผือ ให้ประชาชน ชาวบ้านอดเกลือ ทางทิศเหนือ ท�านายว่า ชาวบ้านอดข้าว ถ้าฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ท�านายว่า ได้รู้ถึงความส�าคัญของวถิ ีชวี ติ ไทพวน รู้จักแหล่งโบราณสถานอทุ ยานประวัตศิ าสตร์ภูพระบาท จะเกิดศึกสงคราม ทางทศิ ตะวนั ออก ทา� นายวา่ จะอย่รู ่มเยน็ เปน็ สขุ ซงึ่ ในวนั ข้นึ ๓ ค่�า เดือน ๓ นั้น การประกอบพธิ บี วงสรวงสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ หี่ อนางอษุ าบนภพู ระบาท จะไดร้ บั ความรเู้ กย่ี วกบั ตา� นาน จะมีปรากฏการณท์ างธรรมชาติของกา� ฟ้าเพียงวนั เดียว ถ้านอกเหนือจากวันนนั้ แลว้ ฟ้าจะรอ้ งทาง พนื้ บา้ น “นางอษุ า-ทา้ วบารส” และสามารถเทย่ี วชมอทุ ยานประวตั ศิ าสตรภ์ พู ระบาท อกี ทง้ั ยงั ไดอ้ มิ่ บญุ ทศิ ไหนก็ไม่มีความหมาย กับการนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทบัวบก ชมการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ชิมอาหารพ้ืนบ้าน ตอนเชา้ วันข้นึ ๓ คา่� เดอื น ๓ ให้สังเกตดวงอาทิตย์ มีก้อนเมฆบดบังหรือไม ่ ถ้าบดบงั มาก การประกวดผลผลิตทางการเกษตร ปศุสัตว์ การแสดงบนเวที นิทรรศการและเลือกซ้ือสินค้า จะทา� นายวา่ ฝนฟ้าจะด ี หรอื ถา้ กอ้ นเมฆบดบงั เพยี งเลก็ น้อย จะท�านายวา่ ปีนั้นฝนฟา้ จะไมต่ กต้อง ผสู้ นใจตดิ ตอ่ สอบถามไดท้ ี่ การทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) จงั หวดั อดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ ๕๔๐๖-๗ ตามฤดกู าล หรอื ถา้ ปราศจากกอ้ นเมฆ จะทา� นายวา่ ฝนฟา้ จะมาชา้ กวา่ ปกต ิ ตน้ ปนี า้� จะนอ้ ย ปลายปี หรือติดต่อสอบถาม นางพรพิตร พิมพิศาล ประธานชมรมไทยพวนอ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธาน ี นา้� จะมาก หรอื ถา้ ปใี ดดวงอาทติ ยม์ กี อ้ นเมฆลอยวน ทา� นายวา่ ตน้ ปนี า�้ จะมาก แตป่ ลายปจี ะขาดแคลน โทร. ๐๘ ๙๖๑๘ ๖๕๕๑ ซึ่งภูมิปัญญาของคนโบราณจะสอนให้เรารู้จักสังเกต เรียนรู้จากธรรมชาติท่ีมีอยู่ ซึ่งมีท้ังวิชา ดาราศาสตรห์ รือวทิ ยาศาสตร์ เพราะต้องอาศัยธรรมชาติในการประกอบอาชีพ อดุ รธานี 37 ผนู้ า� ในการทา� กา� ฟา้ คอื ผนู้ า� หมบู่ า้ น พวนบา้ นจะไปถามหาคนในหมบู่ า้ นวา่ ไดย้ นิ เสยี งฟา้ รอ้ งไหม ไดย้ นิ ทางทศิ ไหน และจะประกาศใหช้ าวบา้ นร ู้ เปน็ การสอนลกู หลานใหเ้ ปน็ คนชา่ งสงั เกต ใหร้ เู้ รอ่ื ง ดิน ฟา้ อากาศ หรือภาษาสมยั ใหม่เรียกวา่ อตุ นุ ยิ มวิทยา พอถึงวันข้ึน ๙ ค่�า จะท�าพิธกี �าดิน โดยผู้หยงั่ นา�้ ใหก้ นิ ผคู้ �้าดนิ ให้อยู่ หมายถงึ ตน่ื เช้ามา หา้ มไมใ่ หข้ ดุ ดนิ ถา้ มขี า้ วเหนยี วรอ้ น นา้� ออ้ ย นา�้ ตาล นา้� ผงึ้ กใ็ หน้ า� มาคละเคลา้ กนั ใสก่ ะลามะพรา้ ว ท�าเป็นของหวานแล้วนา� เอาไปวางกับดนิ เพอื่ บชู าพระแม่ธรณี และให้น�าดอกไมห้ นึง่ คู่ เทยี นหนงึ่ คู่ ธปู หนึ่งดอก ไปเสยี บปกั ใส่ดินนอกชายคาบา้ น ฉกี ใบตองมาวางก็ได้ หนง่ึ ใบใสส่ ามค�า ใหท้ �าเชน่ น้ี จา� นวนเกา้ สา� รบั แล้วกป็ ักธูปเทียน เพือ่ บวงสรวงต่อฟา้ เบอรต์ ิดต่อ : หากสนใจเรยี นรู้ประเพณกี า� ฟา้ ติดตอ่ สอบถามได้ที่ นางโควิน ศรสี ว่าง หรอื นางลาวลั ย์ พรา้ วหอม โทร. ๐๘ ๙๕๗๕ ๕๘๔๗ ทตี่ ง้ั : เลขท ่ี ๑๑๓ หมทู่ ี่ ๑๔ คมุ้ วดั จนั ทราราม ชมุ ชนบา้ นผอื ใน ตา� บลบา้ นผอื อา� เภอบา้ นผอื จงั หวดั อดุ รธาน ี (สมชยั คา� เพราะ.นาฏลลี าเยยี วยาสขุ ภาวะ.สนบั สนนุ โดยแผนงานสอื่ ศลิ ปวฒั นธรรม สร้างเสรมิ สขุ ภาพ ส�านักงานกองทนุ สนับสนุน การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ(สสส.).๒๕๕๖.หนา้ ๔๔-๕๔) 36 เสน้ ทางทอ่ งเท่ียว มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม

38 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 39

(๔) ความรู้และการปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล สา� หรบั การทา� พานบายศรที พี่ บในภาคอสี าน เปน็ บายศรขี นาดใหญ ่ ประดษิ ฐใ์ สภ่ าชนะ เชน่ โตก ประกอบดว้ ย ตวั บายศรีช้ันละ ๖ ตวั แตล่ ะชัน้ จะลดหล่ันกนั ชั้นบนมพี มุ่ ยอดบายศรี อุปกรณใ์ นการทา� ๔.๑ การทําพานบายศรีดัง้ เดิมและววิ ฒั นาการ พานบายศรี ประกอบด้วยใบตอง พานขนาดเลก็ กลาง ใหญ่ นา�้ มันมะกอก ไมป้ ลายแหลม หรอื เขม็ หมุด บายศร ี แปลวา่ ขา้ วอนั เปน็ สริ ิ ขวญั ขา้ ว หรอื ภาชนะใสเ่ ครอื่ งสงั เวย ตามความเชอ่ื ทวี่ า่ คนเกดิ มา ก้านมะพร้าว อปุ กรณเ์ ย็บผา้ ดอกพทุ ธรกั ษา ดอกดาวเรอื ง ดอกบานไมร้ โู้ รย ดอกกุหลาบ เครื่องสังเวย มขี วญั ประจา� กาย ถา้ ขวญั อยกู่ บั ตวั กจ็ ะมคี วามสขุ กายสบายใจ แตถ่ า้ ขวญั หายไปกจ็ ะมอี าการตรงกนั ขา้ ม เชน่ ไขต่ ้ม ขา้ วตม้ มดั เทียน และสายสญิ จน์ ซึง่ การทา� พานบายศรีจะมีความแตกต่างหลากหลายไปตาม คนไทยจึงเช่ือว่าพิธีสู่ขวัญเป็นพิธีท่ีจะช่วยให้เข้มแข็งขึ้น เมื่อมีขวัญท่ีมั่นคงก็จะส่งผลในการประกอบ วตั ถุประสงคข์ องการใชง้ าน และมผี ู้น�าทา� พธิ เี รยี กวา่ หมอสดู ขวัญ หรอื พอ่ พราหมณ์ ภารกจิ ใหบ้ รรลผุ ลสา� เรจ็ ตามความมุ่งหมาย พานบายศรีบชู าพญานาคที่คําชะโนด เป็นพานบายศรีรูปเศียรพญานาคที่ประณีตงดงาม จากการสอบถามผู้ขายน้ัน บายศรีชิ้นเล็ก พานบายศรีในพธิ ีบวงสรวงทีภ่ พู ระบาท จะใช้เวลาทา� ประมาณ ๒๐ นาท ี ช้ินใหญ่ใชเ้ วลาทา� ประมาณ ๑ ชั่วโมง และขนาดใหญม่ ากจะใช้เวลาทา� ทงั้ วนั โดยเฉพาะการทา� เศยี รพญานาคขนาดตง้ั แต ่ ๑ เศยี ร จนถงึ เศยี รพญานาค ๙ เศยี ร จา� หนา่ ยในราคา เริ่มต้นที่ ๔๙ บาท จนถงึ ราคา ๙๙๐ บาท มรี ายไดต้ ั้งแต ่ ๔๐๐ บาทถงึ ๕,๐๐๐ บาทต่อวัน พานบายศรีในพิธีร�าบวงสรวง ครบรอบ ๑๒๖ ป ี จงั หวัดอดุ รธานี พานบานศรีพญานาค ๙ เศยี ร ท่คี า� ชะโนด (เครดิตภาพจากเฟชบกุ๊ วงั นาคนิ คา� ชะโนด) 40 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม ท่ตี ั้ง ปา่ ค�าชะโนด วดั ศริ สิ ทุ โธ บา้ นโนนเมอื ง หมู่ท ่ี ๑๑ ตา� บลบา้ นม่วง อา� เภอบ้านดุง จงั หวัดอดุ รธาน ี อุดรธานี 41

๔.๒ ภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ๔.๓ ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการดูฤกษ์ยาม บา้ นจนั ทราราม ชมุ ชนบา้ นผือ เปน็ พน้ื ทเี่ รยี นรภู้ มู ปิ ญั ญาการกา� หนดฤกษง์ ามยามดที บ่ี นั ทกึ ไวใ้ นใบลานอกั ษรไทนอ้ ย การทา� นาย ข้าวงาโค เสยี งฟ้ารอ้ งในพธิ กี �าฟา้ และรับบรกิ ารตดั เยบ็ เสือ้ ผา้ และจา� หนา่ ยผลิตภัณฑผ์ า้ ไทยพวนบ้านผือ นางลาวัลย์ พร้าวหอม ปราชญ์ชาวบ้านด้านการท�าข้าวงาโคของชาวไทพวน อ�าเภอบ้านผือ บอกว่า ในสมัยก่อนชาวไทพวนมีการฉลองปีใหม ่ ในชว่ งสงกรานต์ตงั้ แตว่ ันท่ี ๑๓ เมษายนถงึ วนั ท่ี ๓๐ ทต่ี งั้ : เลขท่ี ๑๑๓ หมทู่ ี่ ๑๔ เทศบาลตา� บลบ้านผอื อา� เภอบา้ นผอื จังหวดั อดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ เมษายนของทุกปี เม่ือชาวพวนประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าว เม่ือมีข้าวจ�านวนมาก จึงน�ามา ปกั หมดุ สถานท ี่ ตง้ั พิกดั ๑๗.๖๙๒๘๘๐,๑๐๒.๔๕๙๗๑๖ ๙ ปรุงอาหารหวานเป็นขา้ วงาโค เบอรต์ ิดต่อ : นางลาวลั ย์ พรา้ วหอม โทร. ๐๘๙ ๕๗๕ ๕๘๔๗ (อา้ งถึงแล้วใน สมชัย ค�าเพราะ มีกรรมวิธ ี ดงั น้ี นา� ขา้ วสารเหนยี วใสก่ ระทะ และคณะ. รายงานผลการดา� เนนิ งานโครงการสอ่ื ศลิ ปส์ ามด ี ใสใ่ จสอื่ เดมิ สรา้ งเสรมิ สอื่ ด ี จงั หวดั อดุ รธาน.ี ต้มใส่น�้าใบเตย น�้าอัญชัน แล้วน�างาขาว งาด�า ถ่ัว ๒๕๖๑.(อดั สา� เนา). ขา้ วโพด เผอื ก ลกู เดอื ย มากวนดว้ ยไมพ้ ายจนนา้� แหง้ และน�าไปถวายแด่พระสงฆ์ในช่วงเวลากลางคืน ส่วนประกอบขา้ วงาโคและการกวนขา้ วงาโค หากนา� ขา้ วงาโคไปถวายวดั ใด จะมกี ารแหข่ า้ ววนรอบ พระอโุ บสถ ๓ รอบกอ่ น ระหวา่ งนนั้ ชาวบา้ นจะนา� นา�้ ไปรดสรงให้แก่กันและกันด้วย ท้ังฝ่ายชาวบ้าน ทนี่ า� ข้าวงาโคไปถวายวัดในหมูบ่ ้านอ่นื และชาวบา้ น อ่ืนนั้นจะคอยต้อนรับ เพ่ืออวยพรแก่กันให้อยู่ดีมี ความสขุ โดยมชี าวบา้ นผอื ในคมุ้ วดั จนั ทราราม ยดึ ถอื ประเพณกี วนข้าวงาโคเปน็ ประจา� ทกุ ปี หอ่ ใส่ใบตองพรอ้ มส่ง หนังสือผกู หรือต�าราดูฤกษย์ ามจารึกอกั ษรไทนอ้ ย อดุ รธานี 43 ท่ีตงั้ : เลขท ่ี ๑๑๓ หมูท่ ี่ ๑๔ ตา� บลบ้านผอื อา� เภอบา้ นผือ จังหวัดอดุ รธานี ๔๑๐๐๐ การเดินทาง : จากตัวเมืองอุดรธานีไปตามทางหลวงหมายเลข ๒ ก่อนถึงบ้านนาข่าจะมีทาง เล้ียวซ้ายไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข ๒๐๒๑ ถึงไปอ�าเภอบ้านผือตามเส้นทางไปพบสี่แยกไฟแดง ปอ้ มตา� รวจบ้านผอื แล้วเลยี้ วขวาประมาณ ๕๐๐ เมตร ถงึ วัดลุมพลวี นั แลว้ เล้ยี วซา้ ยอกี ครัง้ กอ่ นตรงไป ผ่านสี่แยกแล้วตรงไปอีกจะถงึ วดั จนั ทรารามบ้านผอื ใน ระยะทางประมาณ ๑ กโิ ลเมตร เบอร์ติดต่อ : นางลาวลั ย ์ พร้าวหอม โทร. ๐๘ ๙๕๗๕ ๕๘๔๗ (สมชยั คา� เพราะ. อ้างถึงแลว้ ใน นาฏลลี าเยยี วยาสขุ ภาวะ) 42 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม

44 เสน้ ทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม อุดรธานี 45

(๕) งานชา่ งฝีมอื ด้งั เดิม กรรมวธิ กี ารผลติ ผา้ ทอไทพวน ดงั นี้ ๑. การตากดอกฝา้ ย เมื่อผลฝา้ ยแก่เต็มทีก่ แ็ ตกออก ๕.๑ ผา้ ทอมือของกลมุ่ ชาติพันธ์ุไทพวนบา้ นผอื เปน็ ดอกฝา้ ยสขี าว เลอื กเกบ็ มาทา� ความสะอาดแลว้ นา� กลา่ วโดยเฉพาะวถิ วี ฒั นธรรมผา้ ทอของชาวไทพวนอา� เภอบา้ นผอื ไมว่ า่ จะเปน็ กรรมวธิ กี ารผลติ ไปตากแหง้ ไวป้ ระมาณ ๑ วนั /แดด แลว้ เลอื กเอาเฉพาะ การออกแบบลวดลาย การมดั หม ่ี การควบเสน้ ดา้ ย การขดิ การจก และการยอ้ มสสี นั จากวสั ดธุ รรมชาติ ปยุ ฝ้าย ๒. การอ้ิวฝ้าย สัมผัสความนิ่มของฝ้าย และถ้าใช้ วิถวี ัฒนธรรมผ้าไทพวนอ�าเภอบา้ นผอื เป็นผ้าซับมนั กจ็ ะซบั ออกไดง้ ่าย ๓. การดีดฝ้าย เม่ืออ้ิวเสร็จน�าไปตากแดดให้แห้ง ซ่ึงมีภูมิปัญญาการผลิตผ้าทอมือด้ังเดิม ประกอบด้วย ลายผ้าฝ้ายสีขาว สีน�้าเงินเข้ม หรือสีด�า แล้วก็เอามาดีดด้วยคันไม้ผูกโยงเชือกคล้ายคันธนูให้ และลายผา้ มดั หมล่ี วดลายตา่ ง ๆ เชน่ ลายตน้ สน ลายดอกพกิ ลุ ลายสเี่ หลย่ี มขา้ วหลามตดั และลายผา้ ทอ ฝา้ ยแตกกระจายเป็นปยุ ฝ้ายก่อน ชายผา้ ถุงหรือตีนซนิ่ เรยี กว่า “ต�าแนะ” อกี ท้ังผา้ ขาวมา้ หรือ ผา้ ขะม้าอโี ป ้ คดิ คน้ ลายผา้ ทอ เน้นลวดลาย ๔. การล้อฝ้าย โดยพนั ฝ้ายใสแ่ กนไม้หมุ้ ด้วยปยุ ฝา้ ย ทีเ่ ก่ียวข้องกบั ธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ลายผา้ เจดีย์ภพู ระบาท ลายผา้ หอนางอษุ า ลายผา้ กรอม้วนเป็นแท่ง คนแดง ลายผ้าต้นผือ ลายผา้ ต้นขา้ ว ลายผา้ สายฝน และลายผ้าขะมา้ อโี ป ้ ๙ สี เป็นตน้ ๕. การเปยี ฝา้ ย-เขน็ ฝา้ ย เปน็ การนา� มาเขน็ เปน็ เสน้ ฝา้ ยดว้ ยจงั หวะดงึ เขา้ ออกใหส้ มา่� เสมอ พอเปยี ฝา้ ยได้ การเปียฝา้ ย-เข็นฝ้าย แล้วเราก็จะถอดออกจากกงไม้ ถอดออกแล้วก็จะได้ 46 เสน้ ทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม เป็นปอยฝา้ ย ๖. การย้อมสีฝา้ ย น�าเสน้ ฝ้ายท่ีได้มากวกั ใส่รอบอกั ไม้ จากนั้นจึงมาปนั่ ใสก่ งหลา จะไดป้ อยฝ้ายเปน็ มว้ น นา� มายอ้ มกบั แกน่ ไม ้ เปลอื กไม ้ ทต่ี ม้ นา้� ใสห่ มอ้ ไวใ้ นจนนา้� เดอื ด จากนนั้ จงึ นา� ปอยฝา้ ยลงคลกุ เคลา้ แชไ่ ว ้ จะไดฝ้ า้ ยที่ย้อมออกมาเป็นสีธรรมชาติ ๗. การปั่นหลอด เมื่อได้ปอยฝ้ายที่แห้งแล้ว น�ามา สวมใส่กงหลากางเป็นรูปวงกลม จึงหยิบเอาปลาย เสน้ ฝา้ ยมาพนั ใสห่ ลอดเลก็ ทท่ี า� จากเถาวลั ย ์ แลว้ เสยี บ หลอดกับปลายเขม็ ทีม่ ฐี านต่อเชอื่ มกบั กงหลา ปนั่ เส้น ฝ้ายใส่กับหลอดไม้ใหแ้ นน่ เพื่อนา� หลอดฝา้ ยไปสวมใส่ กระสวยไม ้ กอ่ นสอดเสน้ ดา้ ยเปน็ แนวขวางกบั เครอื หกู ส�าหรับเส้นฝ้ายท่ีปั่นใส่ตัวอักไม้ที่มีเส้นฝ้ายเป็นสี ธรรมชาติส่วนหนึ่งก็จะน�ามาท�าค้นเป็นเครือหูกยาว เพ่ือใช้เป็นแนวต้ังของเครือหูกท่ีน�ามาสืบหรือต่อ สอดเข้ากับตัวไม้ฟืมเรียบร้อยแล้ว น�าเครือหูกท่ีได้ไป กางหูกกับกี่กระตุก เพ่ือเตรียมการสอดกระสวย ทอเปน็ ผา้ ผืนตอ่ ไป อุดรธานี 47

๘. การย้อมสีผ้า น�าปอยฝ้ายมาย้อมสี ซ่ึงมีการมัดหม่ีเป็นลวดลาย แล้วน�าฝ้ายท่ีมัดหมี่แล้วไปย้อมสี ผลติ ภัณฑ์ผ้าทอมอื ลายผ้าขะมา้ อโี ป้ ๙ สี “พวนกะเลอ” ด้วยการต้มเปลือกหรือแก่นไม้ไปต้มให้เดือดก่อน แล้วน�าฝ้ายลงไปย้อมสีต่าง ๆ และด้วยวิธีย้อมเย็น เป็นแหล่งผลิตจ�าหน่ายผ้าทอลายผ้าขะม้าอีโป้ ๙ สี และผ้าทอลายผ้าหอนางอุษา ลายผ้าต�านาน เช่น ย้อมคราม เป็นตน้ แล้วนา� ไปตากใหแ้ ห้ง กอ่ นนา� ไปปั่นหลอดเส้นดา้ ย น�าไปใสก่ ระสวย สอดด้าย ภูพระบาท ลายตน้ ข้าว ลายตน้ ผือ ลายคนแดงภพู ระบาท และลายอื่น ๆ และพ้นื ทเ่ี รยี นร้ดู ้านการทอผ้า เพอ่ื ทอเป็นลายขวางต่อไป “พวนกะเลอ” และรวมตวั ในการทา� กจิ กรรมทอผา้ และเปน็ OTOP ของชมุ ชนบา้ นถอ่ น หมทู่ ี่ ๒ ตา� บลบา้ นผอื ๙. การทอผ้า ขั้นตอนการทอผ้าเป็นผืน โดยมีเครือหูกเป็นเส้นตั้ง แล้วน�ามาสืบเส้นด้ายต่อเข้ากับ ร่องฟืมเรียบร้อยแล้ว ก็จะน�าเครือหูกมาขึงกับก่ีกระตุก และจากการปั่นด้ายใส่หลอด ปั่นหลอดเสร็จ ผลติ ภณั ฑ์ผ้าพวนกะเลอ ผ้าขาวมา้ อีโป้ลายตาหมากรุกพวนกะเลอ ผา้ ขะมา้ อโี ป้มงคล ๙ ส ี พวนกะเลอ แล้วน�าหลอดด้ายมาใส่กระสวย สอดกระสวยไปมาสลับกับการเหยียบกี่ จนได้ผ้าทอเป็นผืน การทอ เป็นผ้าขาวม้าสมัยก่อนจะเป็นลายตารางใหญ่ ๆ รูปส่ีเหลี่ยม เรียกว่าผ้าขาวม้าอีโป้ น�ามาดัดแปลง มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาลายผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ ได้แก่ ผ้าขะม้าอีโป้มงคล ๙ สี (สีธรรมชาติ) โดย เป็นลายตารางคู่หรือตารางเล็กลง แล้วก็ให้มีลายตารางย�้าประสม ผ้าท่ีเป็นอัตลักษณ์คือ ผ้าขะม้าอีโป้ ใชช้ ่อื ผลติ ภณั ฑ์ผา้ วา่ “พวนกะเลอ” มงคล ๙ สี ท�าลายผ้าโดยการมดั หมี่ ถ้าเปน็ ลายผา้ เฉพาะของบา้ นผือ กจ็ ะเป็นลายตน้ ผือ ลายตน้ ข้าว อีกทั้งมีองค์ความรู้ภูมิปัญญาด้านลายผ้าประยุกต์ ให้เช่ือมโยงกับแหล่งอุทยานประวัติศาสตร์ ภพู ระบาท เชน่ ผา้ ทอลายผา้ หอนางอษุ า ลายผา้ ตา� นานภพู ระบาท ภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ ไทยพวนดงั้ เดมิ ที่ตั้ง : เลขที่ ๔๓ บ้านถ่อน หมทู่ ่ี ๒ ตา� บลบา้ นผอื อา� เภอบา้ นผือ จังหวัดอุดรธานี ๔๑๑๖๐ เชน่ การทอตนี ซิ่น ที่เรียกว่า “ตา� แหนะ” การเดนิ ทาง : จากตวั จงั หวดั อดุ รธานมี งุ่ หนา้ ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒ กอ่ นถงึ บา้ นนาขา่ จะมที าง นางพรพิตร พิมพิศาล ประธานกลุ่มฯ บอกว่า ได้มีการฟื้นฟูให้มีการทอผ้า แล้วก็ดัดแปลง เลีย้ วซ้ายตรงไปอ�าเภอบ้านผือ ตามทางหลวงชนบทหมายเลข ๒๐๒๑ ระยะทางประมาณ ๕๘ กโิ ลเมตร มาประยุกต์ท�าเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าต่าง ๆ เป็นผ้าพันคอและตัดเส้ือ ลายมัดหมี่จะเป็นของดั้งเดิม เลย้ี วขวาตรงสแี่ ยกปอ้ มตา� รวจตรงไปอกี ๕๐๐ เมตร สนใจตดิ ตอ่ ซอื้ ผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไดท้ นี่ างพรพติ ร พมิ พศิ าล และมมี าตงั้ แตส่ มยั โบราณ สา� หรบั กจิ กรรมเรยี นรกู้ ารทอผา้ ในปจั จบุ นั เปน็ การอนรุ กั ษแ์ ละสง่ ตอ่ ใหช้ นรนุ่ หลงั กลมุ่ ทอผ้าขะม้าอโี ป้มงคล ๙ ส ี ได้เรียนรขู้ ัน้ ตอนการทอผา้ จากคนรุน่ พ่อร่นุ แม่ เบอร์ตดิ ต่อ : โทร. ๐๘ ๙๖๑๘ ๖๕๕๑ ทีต่ งั้ : ชมรมไทยพวนอา� เภอบ้านผือ “พวนกะเลอ” และกลุ่มทอผ้าขะมา้ อีโป้มงคล ๙ ส ี เลขท ี่ ๔๓ ถนนบริบาลภูมิเขต ต�าบลบ้านผือ อ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ๔๑๑๖๐ https://goo.gl/maps/ k7wndhtCq192 สถานท่ตี ั้งปกั หมดุ พกิ ดั ๑๗.๖๙๕๐๙๒,๑๐๒๔๖๖๙๔๐๑ เบอร์ตดิ ต่อ : นางพรพิตร พมิ พิศาล โทร. ๐๘ ๙๕๗๕ ๕๘๔๗ ผ้ามัดฝ้ายขิดลายหอนางอุษา ผ้ามัดฝ้ายขดิ ลายต้นผอื พวนกะเลอ 48 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 49

กลมุ่ ผา้ ทอมือ ชมุ ชนคุณธรรม วดั ศรโี สภณ ตําบลบา้ นผือ ผลติ ภณั ฑ์ผ้าขาวมา้ ๗ สี ของกลมุ่ สืบสานต่อผา้ ทอมอื บา้ นผือ ผ้ามดั ฝ้ายขิดลายหอนางอษุ า หลอดดา้ ย ๗ สี เป็นพื้นที่รวมตัวในการท�ากิจกรรมทอผ้าของปราชญ์ชาวบ้าน กลุ่มผ้าทอมือชุมชนคุณธรรม วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสืบสานต่อผ้าทอมือไทยพวนบ้านผอื ผา้ ขาวม้า ๗ ส ี เปน็ แหล่งผลติ จ�าหนา่ ย วดั ศรโี สภณ ตา� บลบา้ นผอื และเปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรใู้ หก้ บั เดก็ และเยาวชนทมี่ คี วามสนใจ ในดา้ นงานการผลติ ผา้ ทอลาย ผา้ ขะมา้ อโี ป ้ ๗ ส ี ผา้ ทอลายผา้ หอนางอษุ า ลายผา้ ตา� นานภพู ระบาท และลายอน่ื ๆ ประกอบกบั และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทพวนบ้านผือ ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตและจ�าหน่ายผ้าทอ เป็นพ้ืนท่ีเรียนรู้ด้านการทอผ้ามือของเด็กเยาวชนท่ีมีความสนใจ และเป็นพื้นท่ีรวมตัวท�ากิจกรรมทอผ้า ลายผ้าขะมา้ ลายท่วั ไป ของปราชญช์ าวบ้านไทยพวนบ้านผอื ผา้ ฝ้ายลายขิด ผา้ ขาวม้า ๗ สี อีกท้ังมีองค์ความรู้ภูมิปัญญาลายผ้าท่ีเป็นอัตลักษณ์ ได้แก่ ผ้าขะม้าอีโป้หลากสี และการทอผ้า มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาลายผ้าท่ีเป็นอัตลักษณ์ ได้แก่ ผ้าขะม้าอีโป้มงคล ๗ สี (สีธรรมชาติ) ลายตีนซ่นิ หรือตา� แหนะ ชุมชนคุณธรรม วัดศรโี สภณ เทศบาลต�าบลบา้ นผือ ประกอบกับมีองค์ความรู้ภูมิปัญญาการออกแบบลวดลาย การมัดหม่ี การย้อมสีธรรมชาติ มีการ ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้า ซ่ึงเป็นผ้าทอแบบดั้งเดิมและแบบประยุกต์ และภูมิปัญญาด้านลายผ้า ทต่ี ง้ั : วดั ศรโี สภณ หมทู่ ี่ ๓ เทศบาลตา� บลบา้ นผอื อา� เภอบา้ นผอื จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ https:// มัดย้อมสปี ระยุกต์ ภูมิปญั ญาการทอผา้ ไทยพวนบ้านผอื goo.gl/maps/svUZbwqhK272 ปักหมดุ พกิ ัด ๑๗.๖๙๖๑๕๐,๑๐๒.๔๕๘๖๑๒ เบอรต์ ดิ ตอ่ : นายสมศกั ด ์ิ กองมณ ี (ประธานชมุ ชนคณุ วดั ศรโี สภณบา้ นผอื ) โทร. ๐๘ ๑๑๑๗ ๙๗๖๘ ท่ีตั้ง : คุ้มวัดจันทราราม หมู่ที่ ๑๔ ต�าบลบ้านผือ อ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ๔๑๑๖๐ https://goo.gl/maps/J2vy7WTyKeQ2 ปกั หมดุ สถานท่ตี ั้ง พิกัด ๑๗.๖๙๔๘๑๑,๑๐๒.๔๖๙๓๙๕ 50 เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม เบอรต์ ดิ ตอ่ : นางจรี วรรณ จนั ทะเลศิ (ประธานกลมุ่ สบื สานตอ่ ผา้ ทอมอื บา้ นผอื ) โทร. ๐๘ ๗๙๔๔ ๗๒๑๑ อุดรธานี 51

52 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 53

(๖) การเล่นพ้ืนบ้าน กฬี าพน้ื บา้ น และศลิ ปะการตอ่ สู้ปอ้ งกันตวั สา� หรบั ตา� นานการละเลน่ มา้ คา� ไหล เปน็ การละเลน่ ทคี่ ลา้ ยกบั มา้ กา้ นกลว้ ย มา้ ทา� จากเหงา้ ไมไ้ ผ่ มลี กั ษณะคลา้ ยหวั มา้ ตกแตง่ ใหม้ หี ู มตี า ลา� ตวั มคี วามยาวประมาณ ๗๒ เซนตเิ มตร และมคี นถอื เชอื กวง่ิ ๖.๑ บุญบั้งไฟล้าน และตาํ นานการละเล่นม้าคาํ ไหล บา้ นธาตุ อาํ เภอเพ็ญ ตามหลงั เปรยี บเสมอื นคนขมี่ า้ ผลู้ ะเลน่ มา้ คา� ไหลจะมเี ฉพาะผชู้ าย นยิ มเลน่ เปน็ คณะ รา� เซงิ้ ไปทวั่ หมบู่ า้ น ในชว่ งกลางคนื กจ็ ะวง่ิ ไปตามบา้ น และชาวบา้ นจะถวายจตปุ จั จยั ถอื วา่ เปน็ การเปน็ กา� ลงั ใจใหผ้ ลู้ ะเลน่ ดว้ ย ตามตา� นานเลา่ วา่ พระศรธี าต ุ ซง่ึ เปน็ ผู้ปกครองบ้านธาตุในอดีตได้ร่วมกับราษฎร ที่ตงั้ : ตา� บลบา้ นธาตุ อ�าเภอเพญ็ จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๑๕๐ บูรณะซ่อมแซมองค์เจดีย์ พระศรีมหาธาต ุ การเดินทาง : จากตัวจังหวัดอุดรธานีไปตามถนนมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ และมีการจัดงานเฉลิมฉลองในวันเพ็ญ อดุ รธานี-หนองคาย) เลีย้ วขวาเข้าอ�าเภอเพ็ญ ระยะทาง ๓๗ กิโลเมตร เดือนหก โดยจุดบ้ังไฟถวาย มาจนกระทั่ง เบอรต์ ิดตอ่ : การทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สา� นักงานจังหวัดอุดรธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ ปัจจุบัน ต่อมาชาวบ้านได้สร้างรูปจ�าลองม้า ๕๔๐๖-๗ หรือตดิ ตอ่ ส�านักงานวัฒนธรรมจังหวดั อดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๒๔ ๗๘๐๒, ๐ ๔๒๑๒ ๕๓๘ หรอื คา� ไหลเพอ่ื บวงสรวงสิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์แิ ละอัญเชญิ ดวงวิญญาณของมา้ เข้าสงิ สถติ และนา� มาตงั้ ไว้ขา้ งองค์พระ ทวี่ า่ การอา� เภอเพญ็ โทร. ๐ ๔๒๒๗ ๙๑๕๑ ให้คนท่ัวไปได้บนบานศาลกล่าว เม่ือได้ในส่ิงที่ตนปรารถนาแล้วให้จุดบั้งไฟถวาย จึงเกิดเป็นประเพณี บั้งไฟลา้ นขน้ึ ในวันขึ้น ๑๕ คา�่ เดอื น ๖ ของทกุ ปี อดุ รธานี 55 54 เสน้ ทางทอ่ งเที่ยว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม

๖.๒ การละเล่นดนตรีพ้นื บา้ น “กับ๊ แก๊บ” กบั การราํ ฟอ้ นไทพวนบา้ นผอื เครื่องดนตรกี ับ๊ แก๊บ อุปกรณ์ดนตรีก๊บั แกบ๊ ทา� จากไม ้ โดยไม้ท่ีนา� มาทา� ทา่ ประกอบการละเล่นกั๊บแก๊บ ต้องเป็นไม้เนอ้ื แข็ง จะทา� ใหเ้ สียงก้องกังวาน ไพเราะ เช่น ไม้พะยงู ไม้ชิงชนั ไม้ประดู่ รองลงมาคอื ไมม้ ะขาม เป็นตน้ ประกอบด้วย ๑) ไม้เนื้อแข็ง ขนาดความยาว ๓๕-๕๐ นิว้ กวา้ ง ๓ ซม. หนา ๑ นวิ้ ครง่ึ - ๒ นวิ้ จา� นวน ๒ อนั ทา� เปน็ รอ่ งหยกั ฟันปลาเป็นแนวขวางตามความยาวของไม้ เพ่ือครูดหรือ รูดกันให้เกิดเสยี ง ๒) ไม้เน้อื แข็ง ท�าเป็นแผน่ บางขนาด ๑ x ๓ น้วิ จา� นวน ๑ อนั สา� หรบั ครดู หรอื รดู ตามร่องไม้ พอ่ สวสั ดิ์ แมนสถิตย ์ ปราชญด์ า้ นดนตรีกั๊บแก๊บชาวไทพวนบ้านผือ สา� หรบั ทา่ ประกอบการละเลน่ กบ๊ั แกบ๊ ม ี ๙ ทา่ ประกอบดว้ ย ๑) ทา่ หงสเ์ หนิ ฟา้ ๒) ทา่ มา้ กระทบื โรง ๓) ท่ากวางเหลียวหลัง ๔) ท่าแร้งกระพือปีก/กากระพือปีก ๕) ท่าเสือออกเหล้าหรือเต่าลงหนอง นายสวสั ด ิ์ แมนสถติ ย ์ รองประธานชมรมไทยพวนอา� เภอบา้ นผอื และเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญการละเลน่ ๖) ท่าหนมุ านถวายแหวน ๗) ท่าแม่หม้ายขุดป ู ๘) ท่ากาเต้นกอ้ น และ ๙) ท่าหมาย�่าหาด การแต่งกาย ดนตรีพื้นบ้านก๊ับแก๊บ บอกว่า เคร่ืองดนตรีพื้นบ้านกั๊บแก๊บเป็นการแสดงดนตรีมาต้ังแต่โบราณของ ผหู้ ญงิ ใสช่ ดุ ไทยพวนหรอื ชดุ พนื้ บา้ น ผชู้ ายสวมชดุ มอฮอ่ ม และตกแตง่ ดว้ ยผา้ ขาวมา้ ผกู ศรี ษะหรอื ผกู เอว ผู้คนในดินแดนลุ่มแม่น�้าโขง ส�าหรับตนได้รับการสืบทอดมาจากปู่ทวดซึ่งเป็นชาวพวนจากเมืองค�าม่วน ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารการเปดิ สอนหลกั สตู รการละเลน่ ดนตรกี บั๊ แกบ๊ ในสถาบนั การศกึ ษา สา� หรบั ชมรม ที่ย้ายมาอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อครอบครัวย้ายมาอยู่ที่อ�าเภอบ้านผือ ก็น�าเอาการละเล่นน้ีมาเผยแพร่ ไทพวนอ�าเภอบา้ นผือ ไดน้ �าเสนอโครงการการถ่ายทอดศิลปะพื้นบา้ นกับ๊ แกบ๊ โดยส�านักงานวฒั นธรรม ด้วยการละเล่นดนตรีพ้ืนบ้านกั๊บแก๊บ สามารถน�ามาเล่นประกอบจังหวะเครื่องดนตรีพื้นบ้าน จังหวัดอุดรธานีให้ความอนเุ คราะห์ ชนดิ อนื่ ๆ เชน่ พณิ แคน กลอง การแสดงบนเวทโี ดยทมี งานดนตรชี มรมไทยพวนจงึ ไดน้ า� ศลิ ปะการแสดง มาประกอบเคร่ืองดนตรีและใช้แสดงร่วมกับการฟ้อนร�า “แอระแน” และการขับล�าพวนเล่นประกอบ ทต่ี ัง้ : เลขท ่ี ๑๗๘ หมู่ท ี่ ๑๐ บา้ นค�าบง อ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ จงั หวะอนื่ ๆ นอกจากนย้ี งั มกี ารเลน่ กบั๊ แกบ๊ ในงานแสดงหมอลา� เพลนิ หรอื งานบญุ ประเพณเี ทศกาลตา่ ง ๆ การเดินทาง : จากตัวจังหวัดอุดรธานีมุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข ๒ ก่อนถึงบ้านนาข่า จะมีทางเล้ียวซ้ายตรงไปอ�าเภอบา้ นผอื ตามทางหลวงชนบทหมายเลข ๒๐๒๑ ถงึ บ้านค�าบง ระยะทาง 56 เส้นทางท่องเทีย่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ประมาณ ๖๕ กโิ ลเมตร เบอรต์ ดิ ตอ่ : นายสวสั ด ์ิ แมนสถติ ย ์ โทร. ๐๘ ๙๙๔๒ ๕๙๕๙ (เอกสารเผยแพรข่ องชมรมไทยพวน อา� เภอบา้ นผอื จงั หวัดอดุ รธาน.ี (อัดสา� เนา) อุดรธานี 57

58 เส้นทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 59

(๗) ลักษณะอนื ตามท่กี ําหนดในกฎกระทรวง ๑. สมยั ตน้ ของบา้ นเชยี ง (Early Period) มอี ายรุ ะหวา่ ง ๕,๖๐๐-๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ มกี ารเพาะปลกู ขา้ ว และสถานที่ทอ่ งเท่ยี วทางประวัติศาสตร์ วฒั นธรรม และการเลี้ยงสัตว์ การฝังศพของคนสมัยนี้มีอย่างน้อย ๓ แบบคือ วางศพลักษณะนอนงอเข่า วางศพ และแหลง่ เรียนรู้วถิ ชี ุมชน ในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว และบรรจุศพในภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ก่อนแล้วจึงน�ามาเผากับเด็ก เทา่ นน้ั สว่ นใหญม่ กี ารบรรจภุ าชนะดนิ เผาลงไปในหลมุ ศพ และมกี ารใชเ้ ครอื่ งประดบั ตกแตง่ ใหผ้ ตู้ ายดว้ ย ๗.๑ แหล่งวฒั นธรรมบ้านเชียง ตําบลบา้ นเชียง อาํ เภอหนองหาน จงั หวดั อุดรธานี ภาชนะดินเผาทีฝ่ งั อย่ใู นหลุมฝงั ศพสมยั ตน้ มกี ารเปล่ียนแปลงประเภทไปตามช่วงเวลาต่าง ๆ ด้วย ดงั น้ี แหล่งโบราณคดบี า้ นเชียง ในระยะท ่ี ๑ ของสมัยตน้ หรอื ราว ๕,๖๐๐-๔,๕๐๐ ปมี าแล้ว มีภาชนะดนิ เผาประเภทเด่น คือ หลกั ฐานทางโบราณคดที พ่ี บในการขดุ คน้ ทแี่ หลง่ โบราณคดบี า้ นเชยี ง แสดงใหเ้ หน็ วา่ พน้ื ทแ่ี หง่ นี้ ภาชนะดนิ เผาสดี า� -เทาเขม้ มเี ชงิ หรอื ฐานเตย้ี ๆ ครงึ่ บนมกั ตกแตง่ ดว้ ยลายขดี เปน็ เสน้ คดโคง้ แลว้ ตกแตง่ มรี อ่ งรอยของคนสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรเ์ ขา้ มาอยอู่ าศยั โดยครงั้ แรกสดุ นน้ั อาจเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ราว ๕,๖๐๐ ปี เพ่มิ เตมิ ด้วยลายกดประทับเปน็ จุด หรอื เป็นเส้นส้นั ๆ เติมในพนื้ ท่ีระหว่างลายเสน้ คดโคง้ ส่วนเส้นลา่ ง มาแลว้ สว่ นการอยอู่ าศยั สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรค์ รงั้ สดุ ทา้ ยทบี่ า้ นเชยี งมอี ายรุ ะหวา่ ง ๒,๓๐๐-๑,๘๐๐ ปี ของตัวภาชนะมักตกแต่งด้วยลายเชือกทาบซ่ึงหมายถึง มาแลว้ วฒั นธรรมสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ บี่ า้ นเชยี ง สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๓ ระยะใหญ ่ ตามลกั ษณะ ลวดลายทเ่ี กดิ จากการกดประทบั ผวิ ภาชนะดว้ ยเสน้ เชอื ก การฝังศพและภาชนะดินเผาท่ีบรรจุลงเป็นเครื่องเซ่นในหลุมฝังศพ ดังนี้ (มรดกโลกบ้านเชียง น่ันเอง ส�านักพพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาต ิ กรมศิลปากร กระทรวงวฒั นธรรม : กรงุ เทพฯ. ๒๕๕๐ หนา้ ๓๙-๔๒) ในระยะที่ ๒ ของสมัยต้นหรือราว ๔,๕๐๐- ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว เรม่ิ ปรากฏมภี าชนะดนิ เผาแบบใหม่ 60 เส้นทางท่องเท่ียว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพิ่มข้ึนมาคอื ภาชนะดินเผาขนาดใหญท่ ่ีใช้บรรจศุ พเด็ก ก่อนน�าไปฝัง นอกจากน้ียังมีภาชนะดินเผาขนาดสามัญ ซ่ึงมีการตกแต่งพื้นที่ส่วนใหญ่บนผิวภาชนะด้านนอก ด้วยเสน้ ขดเปน็ ลายคดโค้ง จึงดเู ปน็ ภาชนะท่มี ีปรมิ าณ ลวดลายขีดตกแต่งหนาแน่นกว่าบนภาชนะของสมัยต้น ภาชนะดินเผาสมยั ตน้ ของบา้ นเชียง ชว่ งแรก อดุ รธานี 61

ภาชนะดนิ เผาขนาดใหญ่บรรจศุ พเด็กกอ่ นฝัง ภาชนะดนิ เผาสมัยปลายของบา้ นเชยี ง ในระยะท ่ี ๓ ของสมยั ตน้ หรอื ราว ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปมี าแลว้ เรมิ่ ปรากฏภาชนะแบบทม่ี ผี นงั ดา้ นขา้ ง ๓. สมัยปลายของบ้านเชียง (Late Period) มีอายุระหว่าง ๒,๓๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว ตรงถึงเกือบตรง ท�าให้มีรูปร่างเป็นภาชนะทรงกระบอก (Beaker) และยังเป็นภาชนะหม้อก้นกลม ช่วงเวลาน้ีจัดเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายระยะท่ีมีการใช้เหล็กท�าเคร่ืองมือใช้สอยกันแล้ว คอภาชนะส้ัน ๆ ปากตั้งตรง ตกแต่งด้วยลายเชอื กทาบตลอดทั้งใบ อย่างแพร่หลาย ส่วนส�าริดนั้นยังคงใช้ท�าเครื่องประดับ ซ่ึงมีรูปแบบและลักษณะท่ีประณีตมากข้ึน ในระยะท ี่ ๔ ของสมยั ตน้ หรอื ราว ๓,๕๐๐-๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ เรมิ่ ปรากฏภาชนะดนิ เผาประเภทหมอ้ กว่าสมัยที่ผ่านมา ประเพณีการฝังศพเป็นแบบวางศพนอนหงายเหยียดยาวแล้ววางภาชนะดินเผาทับ กลมตกแตง่ บรเิ วณไหลภ่ าชนะดว้ ยลายเสน้ ขดี ผสมการระบายดว้ ยสแี ดง สว่ นบรเิ วณลา� ตวั ภาชนะตกแตง่ บนศพ ภาชนะดินเผาท่ีพบได้แก่ ภาชนะเขียนลายสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ต่อมาในช่วงกลางสมัยเริ่มมี ดว้ ยลายเชอื กทาบ ภาชนะดนิ เผาแบบนม้ี กี ารตง้ั ชอ่ื วา่ ภาชนะแบบบา้ นออ้ มแกว้ เพราะเปน็ ประเภทหลกั ภาชนะดินเผาเขียนสีแดงบนพ้ืนสีแดง ถัดมาในช่วงสุดท้ายของสมัยจึงเริ่มมีภาชนะดินเผาฉาบด้วย ที่พบในชั้นที่อยู่อาศัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงแรกที่แหล่งโบราณคดีบ้านอ้อมแก้ว ซ่ึงอยู่ไม่ไกล น้�าดนิ สีแดงแล้วขัดมนั จากบ้านเชียง เคร่ืองมือมีคมที่ใช้กนั ส่วนใหญ่นั้นคือ ขวานหินขดั เคร่ืองประดบั รา่ งกายที่ใช้ก็ทา� จากหนิ และเปลอื กหอยทะเล แตต่ ่อมาในชว่ งระยะท่ี ๓ ของสมยั ต้นหรอื ราว ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปีมาแล้ว จึงเรม่ิ อดุ รธานี 63 มกี ารใชโ้ ลหะสา� รดิ บา้ ง โดยใชท้ ง้ั เครอื่ งประดบั เชน่ แหวนและกา� ไลและใชท้ า� เครอ่ื งมอื อน่ื เชน่ หวั ขวาน และใบหอก เปน็ ต้น ๒. สมัยกลางของบ้านเชียง (Middle Period) มีอายุระหว่าง ๓,๐๐๐-๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว ในช่วงเวลาน้ีคนท่ีบ้านเชียง เป็นเกษตรกรท่ีมีการใช้โลหะท�าเครื่องมือใช้สอยและเครื่องประดับแล้ว มกี ารใชโ้ ลหะสา� รดิ ซง่ึ เปน็ โลหะผสมทม่ี ที องแดงและดบี กุ เปน็ องคป์ ระกอบหลกั จนตอ่ มาในชว่ งกลางสมยั ซึ่งอย่ใู นช่วงราว ๒,๗๐๐-๒,๕๐๐ ปี มาแลว้ จึงเร่มิ ปรากฏการใชเ้ หลก็ ทีบ่ ้านเชียง ประเพณกี ารฝังศพ สมัยกลางเปน็ การวางศพนอนหงายเหยียดยาว บางศพมีการนา� ภาชนะดินเผามากกว่า ๑ ใบมาทุบแล้ว ใช้เศษโรยทับบนศพ ภาชนะดินเผาประเภทเด่นท่ีพบในหลุมศพสมัยกลางของบ้านเชียง ได้แก ่ ภาชนะ ดนิ เผาขนาดใหญ่ ผวิ นอกสีขาว ทา� สว่ นไหล่ภาชนะ หักเป็นมุมหรือโค้งมากจนเกือบเป็นมุมค่อนข้างชัด บางใบมีการตกแต่งด้วยลายขีดผสมกับลายเขียนสี ท่ีบริเวณใกล้ปากภาชนะในช่วงปลายสุดเริ่มมีการ ตกแตง่ ปากภาชนะดว้ ยการทาสแี ดง ภาชนะสมยั กลางของบ้านเชยี ง 62 เสน้ ทางทอ่ งเที่ยว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม

พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติบา้ นเชยี ง นางสาวพรศิริ เลศิ เสถยี รชยั ตา� แหน่งภณั ฑารกั ษป์ ฏบิ ัตกิ าร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตบิ า้ นเชยี ง พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง (นา� ชมพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง กรมศลิ ปากร สา� นกั บอกว่า งานของพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชียงปัจจบุ ัน จะดูแลรบั ผดิ ชอบในการสา� รวจวัตถุโบราณ ศลิ ปากรท ่ี ๙ ขอนแกน่ สา� นกั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต ิ : กรงุ เทพฯ. ๒๕๕๓. หนา้ ๙) ถอื กา� เนดิ ขนึ้ ภายหลงั ที่ชาวบ้านค้นพบในแหล่งใหม่ ๆ ในพื้นท่ีภาคอีสานตอนบน และร่วมก�าหนดพื้นที่ก่อสร้างอาคาร จากการเสด็จพระราชด�าเนินการขุดค้นทางโบราณคดีท่ีบ้านเชียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพนื้ ที่เขตเทศบาลต�าบลบา้ นเชียงเพอื่ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งโบราณสถาน ส่วนชาวบา้ นสามารถ ภมู ิพลอดุลยเดชและสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกิติ ์ พระบรมราชินีนาถ เมอื่ วนั ที ่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ จงึ ได้ น�าลวดลายท่ีปรากฏอยู่บนภาชนะดินเผาของบ้านเชียงไปประยุกต์ออกแบบลายผ้าหรือท�าของที่ระลึก มกี ารจัดต้งั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ ้านเชยี งในความดแู ลของกรมศลิ ปากรขน้ึ ท่บี งึ นาค�าขนาด ๑๕ ไร่ เปน็ ผลิตภณั ฑ์สนิ คา้ เพ่ือจา� หนา่ ยได ้ จดั แสดงหลกั ฐานทไี่ ดจ้ ากการสา� รวจขดุ คน้ ทบี่ า้ นเชยี งและแหลง่ ใกลเ้ คยี ง ประกอบดว้ ยกลมุ่ ภาชนะดนิ เผา ลายเขียนส ี เคร่อื งมอื โลหะส�ารดิ มอี าย ุ ๕,๖๐๐ ปี และเครอ่ื งมอื เหล็กอาย ุ ๓,๖๐๐ ปี ทีต่ ้ัง : หมู่ท่ี ๑๓ ถนนสุทธิพงษ ์ ตา� บลบ้านเชียง อ�าเภอหนองหาน จังหวัดอดุ รธาน ี ๔๑๓๒๐ ดว้ ยเหตนุ ้เี มอื่ เดือนธันวาคม ๒๕๓๕ จากการประชุมสมยั สามญั คร้ังท ่ี ๑๖ ระหวา่ งวนั ท ่ี ๗-๑๕ เบอรต์ ดิ ตอ่ : โทร. ๐ ๔๒๒๐ ๘๓๔๐ เวลาทา� การ เปดิ วนั องั คาร-วนั อาทติ ยแ์ ละวนั หยดุ นกั ขตั ฤกษ ์ ธันวาคม ณ เมอื งซานตาเฟ รัฐนิวเมก็ ซโิ ก ประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการมรดกโลก จงึ ไดย้ อมรบั เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ การบริการน�าชมเป็นหมู่คณะโดยการนัดหมาย ให้บริการยืม ขึน้ บัญชแี หล่งวัฒนธรรมบา้ นเชียงไว้เปน็ มรดกโลก (อ้างถงึ แล้วใน มรดกโลกบ้านเชียง, หนา้ ๘๐-๘๒) นทิ รรศการหมนุ เวยี น ภาพถา่ ย หนงั สอื หอ้ งสมดุ จดั บรรยายทางวชิ าการ จา� หนา่ ยหนงั สอื ภาพโปสการด์ และของท่ีระลึก อัตราคา่ เขา้ ชม คนไทย ๓๐ บาท ชาวตา่ งชาต ิ ๑๕๐ บาท ยกเวน้ นักเรียน นักศึกษา ในเคร่ืองแบบ ผู้สงู อายุ (ชาวไทย) ภิกษุ สามเณร และนกั บวชในศาสนาตา่ ง ๆ การเดนิ ทาง : จากตวั จงั หวดั อดุ รธานไี ปตามทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข ๒๒ (อดุ รธาน-ี สกลนคร) ถึงเทศบาลต�าบลหนองเม็ก เลี้ยวซ้ายไปยังเทศบาลต�าบลบ้านเชียง และเล้ียวซ้ายตรงไปถึงพิพิธภัณฑ์ ระยะทางประมาณ ๕๖ กิโลเมตร สิง่ ของเคร่ืองใชใ้ นครวั เรอื นของไทพวนบ้านเชียง แบบจา� ลองการเขียนสีแดงบนภาชนะดินเผา อุดรธานี 65 64 เสน้ ทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม

หลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดที ีว่ ัดโพธิ์ศรีใน หลมุ ขดุ คน้ มนตรพี ิทักษ์ กรมศิลปากรได้ด�าเนินการปรับปรุงหลุมขุดค้นท่ีวัดโพธิ์ศรีใน และเก็บรักษาหลักฐาน บริเวณมนตรีพิทักษ์ เป็นช่ือเรียกพ้ืนท่ีขุดค้นทางโบราณคดี โดยต้ังเป็นเกียรติแก่ นายพจน ์ ทางโบราณคดีไว้ในสภาพดั้งเดิม เป็นหลุมขุดค้นทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะ มนตรีพิทักษ์ ผู้มอบท่ีดินให้กรมศิลปากรด�าเนินการขุดค้นทางโบราณคดีเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๕ และให้ พิพิธภัณฑสถานกลางแจ้ง แสดงถึงพิธีกรรมการฝังศพรวมทั้งโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบร่วมกับ อกั ษรย่อ M.P. โดยพบโครงกระดูกมนษุ ย์สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตรจ์ า� นวน ๔ โครง มีเครื่องปัน้ ดินเผาลาย โครงกระดูก ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ได้รับการจดทะเบียนให้เป็น เชือกทาบ เครื่องมือและเคร่ืองประดับท�าจากหิน เคร่ืองปั้นดินเผาลายเขียนสีแดง เคร่ืองมือเครื่องใช้ มรดกทางประวัติศาสตร์โดยองค์การยูเนสโก เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีการจัดแสดงหลักฐานจากการส�ารวจ การเกษตรท่ีท�าจากเหลก็ เช่น ขวาน เคียว เครอ่ื งประดบั เปน็ ต้น ทา� จากส�าริด เชน่ กา� ไลข้อมือลกู ปัด ขุดค้น ประกอบด้วยภาชนะดนิ เผา เคร่ืองมอื เคร่อื งใช ้ โบราณวัตถุ ฯลฯ แกว้ สเี ขียว เปน็ ต้น โดยกา� หนดอายุอยู่ในช่วงสมยั หินใหม ่ สมัยสา� ริด และสมัยเหลก็ เปน็ ล�าดับ (มานดิ รตั นกุล ผ้เู ขียน และนิคม สุทธิรักษ์ ผสู้ า� รวจ, แผนกส�ารวจ กรมศลิ ปากร,๒๕๑๕.(ป้ายแนะน�าสถานท่)ี ) ท่ตี ั้ง : หมู่ท ี่ ๑๓ ถนนสุทธิพงษ์ ตา� บลบา้ นเชียง อา� เภอหนองหาน จังหวดั อดุ รธานี ๔๑๓๒๐ การเดินทาง : หลุมขุดค้นภายในวัดโพธ์ิศรีใน อยู่ห่างจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง หลมุ ขุดคน้ มนตรพี ทิ กั ษ์บริเวณหน้าบ้านไทพวน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕๐๐ เมตร ติดต่อพพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาตบิ ้านเชียง เบอร์ติดต่อ : โทร. ๐ ๔๒๒๐ ๘๓๔๐-๔๑ (คู่มือเส้นทางท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม.ส�านักงาน วัฒนธรรมจังหวดั อุดรธาน,ี ๒๕๖๐.หน้า ๓๖) 66 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม อุดรธานี 67

สถาปตั ยกรรมบา้ นไทพวนบา้ นเชยี ง ๗.๒ สถานทท่ี อ่ งเท่ยี ววิถีชมุ ชนตาํ บลบา้ นเชยี ง กลุ่มชาติพันธุ์ไทพวน ซึ่งอาศัยอยู่ในสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว เมืองหลวงของพวน เรือนไทพวนบา้ นเชยี ง/โบราณสถานบ้านไทพวน คือ เมืองเชียงขวาง ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์เจ็ดเจือง พวนจึงมีวัฒนธรรมความเป็นมายาวนาน เดิมเป็นบ้านของนายพจน์ มนตรีพิทักษ์ ต่อมาได้มอบบ้านและท่ีดินให้กับกรมศิลปากร ชาวพวนมกั จะมีผูน้ �าท่มี คี วามสามารถในการรบและฝมี ือในการประกอบอาชพี เชน่ การท�าทอง ตเี หล็ก เพอ่ื ปรับปรงุ เปน็ อนุสรณส์ ถานเมือ่ คร้ังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ภูมพิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ ๙ และ ทอผา้ มีพืน้ ฐานการทา� เกษตรกรรมเป็นหลัก ชาวไทพวนไดเ้ ขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในประเทศไทย ครง้ั ที่ ๑ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ พระราชดา� เนนิ มายงั หลมุ ขดุ คน้ และเรอื นไทพวนหลงั น ี้ ราวป ี พ.ศ. ๒๓๒๒ สมยั กรุงธนบุรี ครง้ั ท่ี ๒ ราวป ี พ.ศ. ๒๓๓๕ สมยั รัชกาลท ่ี ๑ คร้งั ท่ี ๓ ราวป ี พ.ศ. เมอื่ วนั ท ่ี ๒๐ มนี าคม ๒๕๑๕ และตอ่ มาไดร้ บั รางวลั พระราชทานทางดา้ นการอนรุ กั ษศ์ ลิ ปะสถาปตั ยกรรม ๒๓๖๙-๒๓๗๑ สมัยรชั กาลท ่ี ๓ และครั้งท่ี ๔ สมัยรัชกาลท ี่ ๕ ช่วงจีนฮ่อรกุ ราน (อา้ งถึงแล้วใน น�าชม ดีเด่นประจ�าป ี พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยสมาคมสถาปนกิ สยามในพระบรมราชปู ถมั ภ ์ (เรอื นไทพวนบ้านเชยี ง/ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาต ิ บา้ นเชยี ง : กรุงเทพฯ. ๒๕๕๓. หนา้ ๑๓๖-๑๓๗) โบราณสถานบา้ นไทพวน.พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติบา้ นเชยี ง กรมศลิ ปากร, ๒๕๖๒.(เอกสารแผน่ พับ)) ภาชนะเครอ่ื งใชใ้ นครัวเรอื นของไทพวนบา้ นเชยี ง แหลง่ โบราณคดีบา้ นนาดี จังหวดั อดุ รธานี โบราณคดีบา้ นนาดี แหลง่ โบราณคดบี า้ นนาด ี เปน็ แหลง่ โบราณคดี ไทพวนบ้านเชียง อําเภอหนองหาน ในกลุ่มหนองหาน กุมภวาปี ด�าเนินการขุดค้นทาง ส�าหรับกลุ่มชาติพันธุ์ไทพวนท่ีอาศัยอยู่บริเวณต�าบลบ้านเชียง อ�าเภอหนองหาน จังหวัด โบราณคดี โดยกองโบราณคดี กรมศิลปากร ระหว่าง อุดรธานี คือ กลุ่มท่ีคนอพยพมาจากเมืองเชียงขวาง เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๖๐ ในรัชสมัยของรัชกาลท่ี ๖ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓-๒๕๒๔ พบโบราณวตั ถใุ นวฒั นธรรม โดยมผี นู้ า� การอพยพอย ู่ ๕ คน คอื ๑. ทา้ วตอ่ นบญุ จากเชยี งใหม ่ ซงึ่ เปน็ ตน้ ตระกลู สทุ ธบิ ญุ ๒. ทา้ วเชยี งคะ บ้านเชียง อายุประมาณ ๕,๖๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว ๓. ทา้ วเชยี งพณิ ๔. ทา้ วเชยี งบญุ มา ตน้ ตระกลู ศรสี นุ าครวั ๕. พระยาเพยี ราช ตน้ ตระกลู มนตรพี ทิ กั ษ ์ (อ้างถึงแล้วในน�าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยชาวไทพวนบ้านเชียงนั้นจะมีอัตลักษณ์โดดเด่นในด้านภาษาพูด การแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรม บา้ นเชียง.๒๕๕๓) และประเพณ ี 68 เส้นทางทอ่ งเท่ยี ว มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม ท่ีต้งั : หมบู่ ้านเชยี ง ตา� บลบ้านเชยี ง อา� เภอหนองหาน จังหวดั อุดรธาน ี ๔๑๓๒๐ การเดนิ ทาง : ใชเ้ สน้ ทางหมายเลข ๒๒ (อดุ รธานี-สกลนคร) ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร เล้ียวซ้าย เขา้ มายังบ้านเชียงอกี ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร (รวมระยะทาง ๕๖ กโิ ลเมตร) เบอรต์ ิดตอ่ : อาจารยช์ ุมพร ศิริบุญ (รองประธานโฮมสเตย์บา้ นเชยี ง) โทร. ๐๘ ๑๔๘๕ ๑๘๖๔ (อา้ งถงึ แลว้ ในคมู่ อื เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรม สา� นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั อดุ รธาน.ี ๒๕๖๐. หนา้ ๕๐) อดุ รธานี 69

พพิ ธิ ภัณฑ์ไทพวน บา้ นเชียง กล่มุ โฮมสเตย์เชิงอนุรกั ษว์ ัฒนธรรม บา้ นเชยี ง จัดต้ังขึ้นเพ่ือเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดนิทรรศการวิถีชีวิตชาติพันธุ์ไทพวนบ้านเชียง ประกอบด้วย ส่วนท่ี ๑ ชุมชนชาวบ้านเชียงได้เปิดบ้านพักของ ประวตั บิ คุ คลสา� คญั ของชมุ ชนไทพวนบา้ นเชยี ง งานประเพณ ี ฯลฯ สว่ นท ่ี ๒ ภมู ปิ ระเทศและการตง้ั ถนิ่ ฐาน ตนเองเพ่ือใช้เป็นโฮมสเตย์ต้อนรับนักท่องเท่ียว ประวัตคิ ้มุ ต่าง ๆ เคร่ืองมือเครอ่ื งใชใ้ นครัวเรอื น เครอ่ื งดนตรพี ้นื บ้าน ฯลฯ และสว่ นท ี่ ๓ จดั แสดงเกวยี น ให้มาสัมผัสวิถีชีวิตแห่งอ�าเภอบ้านเชียง ก่อตั้ง ซง่ึ ในอดตี ใชบ้ รรทุกขา้ ว เครอื่ งมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ กีห่ รือหกู ทอผา้ ประวตั ิย้อมผ้าคราม เครอ่ื งมือในการ เมื่อปี ๑ เมษายน ๒๕๔๗ มีสมาชิก ๖๔ คน ท�านาเกษตรพอเพยี ง บ้านพัก ๑๖ หลงั สามารถรับนักทอ่ งเที่ยวเป็น กลมุ่ จา� นวน ๑๐๐ คน ป ี ๒๕๖๑ ไดร้ บั การรบั รอง ทีต่ ้ัง : ต�าบลบา้ นเชียง อา� เภอหนองหาน จังหวดั อดุ รธานี ๔๑๓๒๐ เป็นชุมชนชวนเท่ียวเมืองรองซีซั่นพิเศษ ได้รับ การเดินทาง : มาตามถนนหมายเลข ๒๒ (อดุ รธานี-สกลนคร) ผา่ นหนองหานผ่านส่แี ยกไฟแดง มาตรฐานโฮมสเตยร์ างวลั กนิ รไี ทย ๒ ปซี อ้ น และ บ้านหนองเมก็ ประมาณ ๑๐๐ เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านเชียงส่แี ยกท ่ี ๑ เลี้ยวซา้ ยประมาณ ๑๐๐ เมตร ถงึ รางวลั โฮมสเตยร์ ะดบั อาเซยี นอะวอรด์ สี่แยกเล้ียวซา้ ยประมาณ ๑๐ เมตร ถงึ สามแยกเลี้ยวขวาประมาณ ๑๐๐ เมตร ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านไทพวนในอดีต เบอรต์ ดิ ตอ่ : โทร. ๐๘ ๕๐๐๑ ๘๘๗๘, ๐๙ ๐๐๒๕ ๔๘๔๔ (อ้างถึงแลว้ ในคู่มือเสน้ ทางทอ่ งเท่ียว เช่น การแต่งกายแบบไทพวน ชมวิถีชีวิต เชิงวัฒนธรรม สา� นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั อุดรธาน.ี ๒๕๖๐.หนา้ ๔๐) หัตถศิลป์และภูมิปัญญาของชาวบ้านเชียง เช่น เขียนลายสี ทอผ้าย้อมคราม กลุ่มจักสาน 70 เสน้ ทางท่องเท่ียว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม บา้ นดงเยน็ แสดงดนตรอี สี านรา� ฟอ้ น ชมแหลง่ โบราณสถานบา้ นเชยี ง พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง หลุมขดุ คน้ วดั โพธศิ์ รใี น บา้ นโบราณไทพวน ชมิ อาหารข้าวผดั แจว่ หอม ข้าวโลง่ ไส้กรอก เป็นตน้ โดยมีการต้อนรับเมื่อมาถึงบ้านเชียงด้วยการมอบผ้าคล้องใจ ร่วมกิจกรรมช่วงเช้าคือน่ึงข้าว ตักบาตรข้าวเหนียว รับประทานอาหารเช้าที่บ้านพักหรือรวมกลุ่มก็ได ้ แล้วน�าพานั่งรถชมเมืองเท่ียว ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง แล้วไปเย่ียมกลุ่มอาชีพ ๕ กลุ่ม รับประทานอาหารเช้า-เท่ียง พรอ้ มเบรก ๒ ครง้ั ตอ่ วนั และนา� เยยี่ มชมพพิ ธิ ภณั ฑพ์ น้ื บา้ นพรอ้ มมคั คเุ ทศก ์ อาหารเยน็ จดั พาแลงอาหาร พื้นบ้าน ประกอบด้วย ต้มไก่บ้านใสย่ อดมะขามอ่อน น่งึ ปลาจิม้ แจ่วหอม เนื้อหมูแดดเดียว ไส้กรอกสตู ร สมุนไพรห้าพันป ี สม้ ตา� ขนมพนื้ บา้ น หรือสามารถสั่งอาหารเพ่ิมเตมิ ได ้ พร้อมการแสดงร�าฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ มีท่าร�าฟ้อนเฉพาะท่าร�าบ้านเชียงท่ีออกแบบท่าร�า โดยกรมศลิ ปากร คา่ ทพี่ กั หอ้ งละ ๖๐๐ บาท/คน ถา้ มาเปน็ กลมุ่ มากกวา่ ๕๐ คน คดิ คา่ ใชจ้ า่ ยคนละ ๘๐๐ บาท หรือถ้ามาน้อยกว่า ๕๐ คน คิดค่าใช้จ่ายคนละ ๑,๐๐๐ บาท ส่วนกิจกรรมที่ต้องจ่ายเอง คือ ค่าชม พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง ๓๐ บาท และรว่ มทา� ตกุ๊ ตานางรา� หรอื เขยี นลายปน้ั หมอ้ ชนิ้ ละ ๒๐ บาท และสามารถน�าช้ินงานท่ีท�ากลับบ้านได้ หรือหากเป็นกิจกรรม “ตามรอยดินด�า อารยธรรมบ้านเชียง หรือ ไปวนั เดยี วเที่ยวสองดง” ทบ่ี า้ นดงเย็นและบ้านดงยาง น�าไปเทีย่ วชมการจักสานไมไ้ ผ่ พร้อมดแู หลง่ ดินท่ีนา� มาใช้ปน้ั หมอ้ บา้ นเชยี งท่ีห้วยหนองดนิ ด�า ทตี่ ง้ั : เลขท ่ี ๓๓ หมทู่ ่ี ๑๓ บา้ นเชยี ง ตา� บลบา้ นเชยี ง อา� เภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๓๒๐ การเดินทาง : ใชเ้ ส้นทางหมายเลข ๒๒ (อดุ รธานี-สกลนคร) ประมาณ ๕๐ กโิ ลเมตร ถึงแยก หนองเมก็ เลย้ี วซ้ายเข้ามายังบ้านเชียงอีกประมาณ ๖ กิโลเมตร (รวมระยะทางจากตัวเมอื งถึงบา้ นเชียง ๕๖ กิโลเมตร) เลี้ยวซา้ ยตรงไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เบอร์ติดตอ่ : คณุ ชุมพร สทุ ธบิ ุญ โทร. ๐๘ ๑๔๘๕ ๑๘๖๔ อดุ รธานี 71

กลมุ่ วสิ าหกจิ ชุมชนป้ันหม้อเขยี นสี บา้ นเชียง นายชาตรี ตะโจประรัง ประธานกลุ่มบอกว่า สิ่งที่บ้านเชียงมี คือภาชนะดินเผาลายเขียนส ี ซง่ึ ตอ้ งอยคู่ กู่ บั บา้ นเชยี งตลอดไป เดมิ ตนไดเ้ ปดิ รา้ นขายกาแฟสดอยหู่ นา้ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชยี ง ต่อมาเมื่อปี ๒๕๔๕ จึงได้ฝึกเขียนลายเส้นสีบนภาชนะดินเผา เร่ิมต้นจากลายก้นหอย ลายก้นขด ลายเรขาคณิต ลายรปู สัตว์ ต่อมาจดั ต้ังกลมุ่ ข้นึ เมอ่ื ปี ๒๕๔๗ คณุ ชาตรี ตะโจประรงั ประธานกลุ่มฯ ของเล่นเด็กสมัยกอ่ นประวตั ศิ าสตรบ์ ้านเชียง เน้นการปั้นภาชนะดินเผาและเขียนลายเส้นสีแดงเป็นหลัก เร่ิมต้นจากตนเอง ต่อมามีสมาชิก เม่ือในหลวงรัชกาลท่ี ๙ เสด็จมาบ้านเชียงเมื่อปี ๒๕๑๕ จึงเกิดความคิดจะรักษามรดกทาง กลุ่มจ�านวน ๑๐ คน ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มเป็นจ�านวน ๒๑ คน ช่วงแรกก็เปิดสอนการปั้น และการ วฒั นธรรมบา้ นเชียง โดยฟน้ื ฟกู ารป้ันภาชนะดนิ เผา โดยยายคา� บัวบปุ ผา ชาวบ้านคา� ออ้ ทเี่ คยรบั เสดจ็ ฯ เขยี นลายสใี หก้ บั ลูกหลานในชุมชน สที ใ่ี ช้เปน็ สฝี นุ่ สีแดง สเี หลือง น�ามาผสมกนั กเ็ ปน็ สสี ม้ หรือแดงเขม้ ได้ริเริ่มการปั้นตามรูปแบบภาชนะดินเผาบ้านเชียงเพ่ือสืบทอดมาจนปัจจุบัน และมีบุตรหลานคือยาย เพ่ือต้อนรับและเขียนลายสีบนภาชนะดินเผาให้กับนักท่องเท่ียวบ้านเชียง ต่อมารับเป็นวิทยากรให้กับ เหรยี ญและตาเคน ที่ยา้ ยไปอยูบ่ า้ นโนนสวรรค์ จงั หวัดหนองบวั ลา� ภู ยังคงยดึ อาชพี ปัน้ หมอ้ ไหบ้านเชยี ง เดก็ เยาวชนทีเ่ ข้ามาเรียนรู้ โดยทางกลมุ่ ได้ผลิตปน้ั ภาชนะดนิ เผา เตาเผา ภาชนะแจกันขนาดเล็ก ขนาด เพ่ือส่งขายให้กับร้านค้าเพ่ือจ�าหน่ายที่บ้านเชียง ซ่ึงแต่ละร้านค้าจะมีช่างลายเขียนสีบ้านเชียงประจ�า ใหญ ่ นา� มาเขยี นลายเสน้ สแี ดง ทา� ทกุ อยา่ งแบบครบวงจร จดั ทา� เปน็ ศนู ยเ์ รยี นร ู้ เรม่ิ จากการจดั หาวสั ดคุ อื เปน็ ผู้เขียนลายใหก้ ่อนนา� มาวางจา� หน่าย และเหลอื คนเขยี นลายเส้นสีทมี่ ฝี ีมอื จรงิ ๆ มีอยูไ่ ม่ถงึ ๕ คน ดินส�าหรับปั้นจากห้วยดินด�า น�ามาตากแดดแล้วบดดิน นวดดินหรือใช้เครื่องปั่นดิน น�าดินมาขึ้นรูป และหลายคนท่ีเคยท�าก็เลิกเสียไปทา� งานอย่างอื่นเพราะรายได้ไมเ่ พียงพอตอ่ การดา� รงชพี ปั้นเป็นแจกัน ตีเป็นหม้อไหขนาดใหญ่ แล้วน�าไปตากแดด จนเต็มเตาเผาใช้เวลาประมาณ ๔ ช่ัวโมง จนเป็นสีแดง หรือภาชนะดินเผาจะน�ามาเขยี นลายก่อนแล้วจงึ นา� ไปเผา เชน่ แก้วกาแฟ ตุ๊กตาเดก็ เลน่ โลโก้ประจ�ากลุ่มคือ ลีลาลาย เป็นรูปกินรีถือไฟ ที่เกิด ภาพเขยี นสีลายกนิ รถี ือไฟ หรอื ของที่ระลึก เปน็ ตน้ ราคาทจี่ �าหนา่ ยจะขึน้ อยทู่ ่ีขนาดเลก็ -ใหญเ่ ริม่ ต้นท่ชี ้นิ ละ ๒๕ บาทขึ้นไป แรงบันดาลใจจากลายเส้นภาพเขียนสีบนภาชนะดินเผาโบราณ เมอ่ื กอ่ นทบ่ี า้ นเชยี งเวลามฝี นตกนา�้ ไหลบา่ หนา้ ดนิ จะเหน็ บ้านเชียง มีผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่ม คือ เครื่องปั้นดินเผาลายมือ หม้อดินโผล่ข้ึนมา ส่วนมากจะเป็นในบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน และมี เขยี นสที ป่ี น้ั และเผาดว้ ยเตาเผาและเขยี นลายสที ผ่ี ลติ และจา� หนา่ ย การขดุ คน้ โดยคนในหมบู่ า้ นรนุ่ กอ่ น ๆ นา� เอาไปขายใหก้ บั ฝรงั่ และ ทก่ี ลุ่มฯ แบบครบวงจร จากเดมิ ชาวบา้ นบางคนทเ่ี คยขดุ กลบั มาเปน็ ชา่ งเขยี นลายหมอ้ ไห ในภาชนะดนิ เผาสมยั ใหม ่ เพราะจดจา� ลายเขยี นจากทเี่ คยเหน็ มา ที่ตั้ง : เลขท่ี ๒๐๗ หมู่ท่ี ๑๓ ต�าบลบ้านเชียง ในอดีตได้มาเขียนอยา่ งสวยงาม อา� เภอหนองหาน จังหวัดอดุ รธาน ี ๔๑๓๒๐ การเดินทาง : มาตามถนนหมายเลข ๒๒ (อุดรธานี- สกลนคร) ผ่านแยกอ�าเภอหนองหานถึงส่ีแยกไฟแดงหนองเม็ก ประมาณ ๑๐๐ เมตร เล้ยี วซ้ายไปยังตา� บลบา้ นเชยี ง ประมาณ ๕๖ กิโลเมตร เบอรต์ ดิ ตอ่ : วสิ าหกจิ ชมุ ชนกลมุ่ ปน้ั หมอ้ เขยี นส ี นายชาตร ี ตะโจประรงั โทร. ๐๘ ๙๔๒๑ ๐๐๖๘ มาฝกึ เขยี นลีลาลายกน้ หอยบา้ นเชยี ง 72 เสน้ ทางท่องเท่ียว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม อดุ รธานี 73

ผ้าฝา้ ยยอ้ มครามมดั หมล่ี ายจากลกู กล้งิ ตราประทบั ภาชนะดินเผา บ้านเชียง ปี ๒๕๖๒ ได้ออกแบบและทอผ้าลายก้นหอยใหญ่ และลายตรงกลางผืนผ้าเป็นลายท่ีแกะจาก ต้นแบบภาชนะดินเผาท่ีใช้กล้ิงเป็นลายประทับบนภาชนะดินเผาบ้านเชียงสมัยก่อนประวัติศาสตร ์ กห่ี รือหูกทอผา้ ย้อมคราม มีคุณพ่อสมบัติ มัญญะหงส์ เป็นผู้ออกแบบและแกะลาย นอกจากน้ียังมีผ้าทอลายเลขาคณิต และลายรูปสัตว์ โดยมีสมาชิกกลุ่มเป็นลูกมือในการทอเป็นผืนผ้า และมีคุณแม่สุนทรีย์ มัญญะหงส์ ผ้าทอบ้านเชียง (Banchiang textile) มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมการแต่งกายชุมชนไทพวน เปน็ ผ้ทู า� หน้าท่ยี อ้ มคราม และด้านการตลาดและการจัดจ�าหน่ายจะมลี ูกสาวเปน็ ผูส้ ืบทอด บ้านเชียงท่ีถักทอและตัดเย็บสวมใส่เอง ปัจจุบันน�ามาสานต่อให้เกิดเป็นชิ้นงานท่ีมีคุณค่า สร้างงาน ซงึ่ มีลกั ษณะพเิ ศษกว่าผา้ ชนดิ อืน่ ๆ คอื ย้อมสจี ากต้นและใบคราม ผา้ จะนมุ่ สวมใส่เย็นสบาย มี สร้างอาชีพ จนมชี อ่ื เสยี ง เปน็ สนิ ค้าผา้ ทอพน้ื เมอื งยอ้ มครามทมี่ จี ิตวญิ ญาณและพลัง การมดั ลายฝา้ ยขดิ ลายอตั ลกั ษณล์ ายเขยี นสที ปี่ รากฏอยใู่ นภาชนะดนิ เผาบา้ นเชยี ง เลา่ เรอื่ งผา่ นผลติ ภณั ฑ์ กลมุ่ ทอผ้าพนื้ เมืองเทศบาลตา� บลบ้านเชยี ง มกี ารดา� เนินงานแบง่ ออกเปน็ ๓ สมยั คือ สมัยแรก ผา้ ทอมือท่เี ชอ่ื มโยงกับวถิ ีชีวติ ชุมชน และเปน็ ศูนย์เรยี นรใู้ ห้กับนักเรยี น นักศกึ ษา และนักท่องเท่ยี วทั้ง เริ่มตน้ เมื่อปี ๒๕๑๔ มคี ณุ ยายทองลว้ น สทิ ธพิ รหม เปน็ ประธานกลุม่ ฯ ซึ่งมกี ารทอผา้ แบบพ้นื เมืองและ ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศด้วย มสี ญั ลกั ษณห์ รอื โลโกป้ ระจา� กลุ่มคอื ภาพลายเส้น ส.หงสแ์ ดง ย้อมสีธรรมชาติ ต่อมาปี ๒๕๑๖ ได้พัฒนารูปแบบเป็นกี่กระตุกที่ได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์จาก กรมสง่ เสริมอตุ สาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมและกรมพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย จดั ฝกึ อบรม ผา้ มัดหมีข่ ิดยอ้ มครามบา้ นเชยี ง พฒั นาคณุ ภาพผลติ ภัณฑผ์ า้ ทอพ้ืนเมอื งย้อมสธี รรมชาต ิ สมยั ทส่ี อง เร่มิ ตัง้ แตป่ ี ๒๕๔๗ มีคุณแมจ่ ินตนา คา� พมิ าน เปน็ ประธานกลมุ่ ฯ และสมยั ทส่ี าม พฒั นาตอ่ เนอื่ งมาจากสมยั ทสี่ อง โดย คณุ แมส่ นุ ทรยี ์มญั ญะหงส์ ทีต่ ้ัง : เลขท ่ี ๑๐๘ หมู่ท่ ี ๑ ตา� บลบ้านเชยี ง อ�าเภอหนองหาน จงั หวดั อุดรธาน ี ๔๑๓๒๐ เปน็ ประธานกลมุ่ ฯ เรมิ่ ตง้ั แตป่ ี ๒๕๕๕ ซง่ึ จดั เปน็ ศนู ยเ์ รยี นรดู้ า้ นสงิ่ ทอและหตั ถกรรมไทย มสี มาชกิ ๓๐ คน การเดินทาง : ไปจากตวั เมอื งอดุ รธานีมุง่ ไปตามถนนหมายเลข ๒๒ (อดุ รธาน-ี สกลนคร) เลย ทอผา้ ดว้ ยกแ่ี บบพนื้ เมอื งและกกี่ ระตกุ มกี แ่ี บบประยกุ ตค์ อื กพี่ น้ื เมอื งผสมกกี่ ระตกุ ทอผา้ ดว้ ยมอื และยอ้ ม สีธรรมชาตดิ ้ังเดิมคือยอ้ มคราม (อา้ งถึงในกลุม่ ทอผา้ พนื้ เมืองเทศบาลตา� บลบา้ นเชียง.(เอกสารแผน่ พบั ). จากแยกอา� เภอหนองหานไปถงึ แยกหนองเมก็ แลว้ เลยี้ วซา้ ยไปยงั ตา� บลบา้ นเชยี งประมาณ ๕๖ กโิ ลเมตร เบอร์ติดต่อ : สนใจติดต่อสินค้าผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามลายบ้านเชียง ส.หงส์แดง ได้ท ่ี นางสนุ ทรยี ์ มญั ญะหงส ์ กลมุ่ ทอผา้ พน้ื เมอื ง แม่สุนทรยี ์ มัญญะหงส ์ กบั ลายก้นหอยใหญ่ เทศบาลต�าบลบ้านเชียง หรือกลุ่มทอผ้าลายย้อม นายสมบตั ิ มญั ญะหงส ์ โทร. ๐๘ ๖๒๒๑ ๗๒๖๘, ๐๘ ๓๓๓๗ ๑๒๙๗. Email : Sombatlungbut@ ครามบา้ นเชยี ง ส.หงส์แดง บอกว่า ผลติ ภณั ฑ์ผ้าทอ gmail.com ลายยอ้ มครามบา้ นเชียง ส.หงส์แดง ปัจจุบัน ไดแ้ ก ่ ผ้าพันคอ ผ้าตัดเส้ือ ผ้าซ่ินมัดหมี่ ๒ ตะกอ และ อดุ รธานี 75 ๔ ตะกอ ผ้าขาวม้า ผ้าคลุมไหล่ และผ้าสีพื้นเรียบ ส�าหรับตัดชดุ ไทพวน และรับทา� ผ้าตามสงั่ ทั่วไป 74 เสน้ ทางท่องเที่ยว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม

“จกั สานตอกตวั อกั ษรไม้ไผ่” ของกลุ่มจกั สานมูลแมพ่ านิช วสั ดทุ ใี่ ชป้ ระกอบดว้ ย ไมไ้ ผบ่ า้ นทา� ตอกกวา้ ง ๑ นวิ้ ใชส้ านพน้ื กระตบิ หรอื ไมไ้ ผไ่ รจ่ กั ตอกขนาดเลก็ หวายใช้ร้อยเชื่อมตัวกระติบหรือเคร่ืองจักสาน นอกจากนั้นต้องใช้มีดอีโต้ หรือเลื่อยตัดไม้ไผ่ มีดตอก ใช้ส�าหรับจักตอก กบรูดหรือขูดตอกให้เรียบ และก้านตาลท�าเป็นขาต้ัง ส่วนลายกระติบข้าวโบราณ ท่ีจักสาน คือ ลายคุปท้ังลายสองและลายสามส�าหรับเป็นพื้นกระติบข้าวและลายท่ีเป็นตัวกระติบข้าว เป็นลายกระแตนอ้ ยและลายกระแตใหญ ่ นางหนูเจยี ง ประทุมสาย ประธานกล่มุ จกั สานมูลแม่พานชิ บอกวา่ เดิมตายายสานกระตบิ ข้าว จดุ เดน่ ของกลมุ่ คอื การจกั สานไมไ้ ผเ่ ปน็ ลายตวั อกั ษรไทย หรอื ลายตวั หนงั สอื เชน่ นา� ลายคปุ ผสาน ไม้ไผ่เพ่ือใช้เองในครัวเรือน ต่อมาปี ๒๕๑๐ เร่ิมท�าขายใบละ ๕ บาท เมื่อเห็นแม่จักสานกระติบข้าว กับลายสามโบราณ ท่ปี รากฏอยู่ในภาชนะดนิ เผาบา้ นเชยี ง มาประยุกต์เป็นลายใหญ่ชื่อ ลายข้างกระแต และพาไปดงู านนอกสถานท ี่ จงึ นง่ั ดแู ลว้ จดจา� และเรมิ่ จกั สานไปดว้ ยจนมคี วามชา� นาญ ตอ่ มาป ี ๒๕๓๗ และไดค้ ดิ คน้ เรมิ่ กอ่ สานโดยใชล้ ายสอง ตอ่ ดว้ ยลายขา้ วหลามตดั ลายใหญเ่ พอื่ สานตวั อกั ษรภาษาองั กฤษ รวมกลมุ่ แมบ่ า้ นสง่ เสรมิ บทบาทสตร ี มสี มาชกิ ๑๐ คน ตอ่ มาเพมิ่ เปน็ ๓๗ คน โดยจกั สานกระตบิ ขา้ วไมไ้ ผ่ คา� วา่ THAILAND ตอ่ ดว้ ยลายลกู แกว้ ดา้ นขา้ ง หรอื ทา� เปน็ ลายดอกพกิ ลุ เลก็ สว่ นลายดา้ นลา่ งรองเปน็ พนื้ เพ่อื จ�าหนา่ ย มีพ่อค้าคนกลางมารบั กระตบิ ขา้ วสง่ ขายตลอดท้งั ป ี ตอ่ มาได้รบั สนบั สนุนจากหนว่ ยงาน ได้จกั สานเปน็ ลายสามขดั ดีสลับตอกสีดา� แดง ราชการและเอกชนต่าง ๆ พาไปอบรมดูงาน ประกอบด้วย กองทุนมิยาซาวา เทศบาลต�าบลบ้านเชียง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้มาอบรมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เช่น มีเทคนคิ การจกั สานเปน็ ตัวหนงั สอื เช่น สานกล่องบรรจุกระดาษ ท�าตะกร้าผลไม้ ตะกร้าใส่ของไปตักบาตร กระเป๋าผ้าผสมเครื่องจักสานไม้ไผ่ กล่องกระดาษช�าระ ทิชชู่ สานตะกร้าผลไม้ เป็นการสานกลับหัวตัวหนังสือหรือด้านบนลงไป เป็นต้น ปัจจุบันรับงานจักสานเป็นตัวหนังสือตามที่ลูกค้าสั่งให้ท�า และท�างานจักสานเป็นอาชีพ หาด้านล่าง ส่วนการสานตัวหนังสือกระติบข้าว หรือสานเป็นรูปลวดลาย ในครอบครัวเพียงอยา่ งเดียว โดยมีหลานสาว ๒ คนเป็นผู้สืบทอดอาชีพ บ้านเชียง จะสานจากล่างข้ึนบน หรือลายจักสานลายดอกขิดเป็นรูปไห โบราณบ้านเชียง หรือลายมงกุฎดอกพิกุลท่ีประยุกต์จากตีนซิ่นไหมจาก 76 เส้นทางท่องเท่ยี ว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม การดลู ายผ้าซิน่ ของเจา้ หญิงมณีรนิ ทรท์ เ่ี หน็ ในภาพยนตร์โทรทศั น์ เป็นต้น ในกลมุ่ มเี พยี งจา� นวน ๓ คนเทา่ นนั้ ทส่ี านเปน็ ตวั หนงั สอื ได ้ และสมาชกิ กลมุ่ ส่วนใหญ่นิยมสานกระติบข้าวเพราะท�าได้ง่าย มีสัญลักษณ์ประจ�ากลุ่มคือ ตวั ม.มา้ กลบั หัว ท่ตี ง้ั : กลมุ่ จักสานแมม่ ลู พานิช เลขท ่ี ๗๔ หมู่ท่ี ๖ ตา� บลบา้ นเชยี ง อา� เภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๓๒๐ การเดนิ ทาง : จากอา� เภอหนองหาน มงุ่ หน้าทางตะวันออกเฉยี ง เหนือตามทางหลวงแผ่นดนิ หมายเลข ๒๒ (อดุ รธาน-ี สกลนคร) ขบั ตรงไป อีก ๑๘ กิโลเมตร หรือห่างจากบ้านเชียงทางทิศตะวันออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เบอร์ติดต่อ : นางหนูเจียง ประทุมสาย (ประธานกลุ่ม) โทร. ๐๘ ๙๑๑๖ ๑๙๙๖, ๐๖ ๑๐๒๙ ๐๙๗๔ อดุ รธานี 77

กลุ่มจกั สานกระตบิ ขา้ ว ไม้ไผ่ บ้านดงเย็น เดมิ ไดเ้ รยี นจกั สานกระตบิ ขา้ วมาจากปยู่ า่ ตายาย ทสี่ านกระตบิ ขา้ วขายทวั่ ไปใบละ ๕ บาท วสั ดุ มีจุดเร่ิมต้นมาจากการผลิตสินค้าท�าเองส�าหรับ ทใ่ี ชค้ อื ไม้ไผบ่ า้ น ต่อมาใชไ้ มไ้ ผไ่ รเ่ พราะไมอ้ ่อนนุ่มและยาวกว่า สานง่ายกว่าไมไ้ ผบ่ า้ น โดยสั่งซ้อื มาจาก ใช้ในครวั เรอื น ไม่วา่ จะเปน็ การสานกระตบิ ขา้ ว หวดน่งึ อ�าเภอนา�้ โสมท่อนละ ๕ บาท รวม ๑๐ ท่อน ๕๐ บาท ถ้าท่อนใหญก่ วา่ ราคาท่อนละ ๖ บาท มัดรวม ขา้ ว เปลเดก็ ตะกรา้ ไซจบั ปลา ขอ้ งใสป่ ลา จากนน้ั ในป ี ๑๐ ทอ่ นราคารวม ๖๐ บาท สว่ นไมไ้ ผบ่ า้ นใชส้ านเปน็ กน้ กระตบิ ขา้ วเพราะแขง็ แรงรบั นา�้ หนกั ไดด้ ี และสงั่ ๒๕๕๒ หนว่ ยงานทางภาครฐั เขา้ มาใหก้ ารสนบั สนนุ จงึ มี ซื้อหวายมาทา� เป็นเส้นเล็ก ๆ ใช้รอ้ ยเยบ็ ยดึ ขาตง้ั กระติบทท่ี า� จากก้านตาลจากรา้ นคา้ ในตวั เมอื งอดุ รธานี การรวมกลมุ่ จกั สานและพฒั นาสนิ คา้ ดว้ ยการคดิ คน้ ลาย ซึ่งน�าเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราคาใบเล็กขายส่งใบละ ๑๗๐ บาท ใหม่ ๆ จน “กลุ่มจักสานไม้ไผ่กระติบข้าวบ้านดงเย็น” และใบใหญ่ขายส่งใบละ ๒๕๐ บาท โดยมีพ่อค้าจากจังหวัดสกลนคร นครพนม มารับซื้อไปจ�าหน่าย ไดร้ บั รางวัลผลิตภัณฑ ์ OTOP ระดบั ๓ ดาว และไดร้ ับ สว่ นการสบื ทอดกม็ ีลกู ชายคนสานตอ่ และเป็นห่วงวา่ อนาคตจะหาวสั ดยุ ากข้ึน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ในป ี ๒๕๕๔ (อ้างถงึ แล้วในคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส�านักงาน ท่ีตั้ง : เลขที่ ๙๓ หมูท่ ่ี ๔ ต�าบลบา้ นเชยี ง อา� เภอหนองหาน จงั หวัดอุดรธานี ๔๑๓๒๐ วฒั นธรรมจังหวดั อุดรธาน.ี ๒๕๖๐.หนา้ ๖๙) การเดินทาง : จากอ�าเภอหนองหาน มุ่งหน้าทางตะวันออกเฉียงเหนือตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๒๒ (อดุ รธานี-สกลนคร) ขับตรงไปอกี ๑๘ กิโลเมตร หรือห่างจากบา้ นเชยี งทางทิศตะวนั ออก คณุ แม่ไพจิตร จันดาดาล ประธานกลุ่มฯ บอกวา่ เรม่ิ ก่อตั้งกลมุ่ ไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เม่ือป ี ๒๕๔๒ แรก ๆ มีสมาชิก ๑๘ คน ปัจจบุ ันมสี มาชกิ กลุ่ม ๓๐ คน เบอรต์ ิดตอ่ : นางไพจติ ร จันดาดาล (ประธานกล่มุ ) โทร. ๐๘ ๙๙๘๔ ๕๔๖๖ เน้นการจักสานกระติบข้าวเป็นหลัก เวลารวมกลุ่มกันท�าโดยกลุ่มซ้ือ วัสดุอุปกรณ์ให้สมาชิกรวมตัวกันจักสานกระติบข้าวจนแล้วเสร็จ เม่ือ อดุ รธานี 79 ขายได้แล้วหกั เงินเข้ากลุ่ม ๓๐ บาท หกั ตน้ ทนุ เข้ากลมุ่ ไว ้ ทเ่ี หลอื จงึ แบง่ ปันก�าไรกัน อาชีพหลักคือท�านา และสานกระติบข้าวเป็นอาชีพเสริมใน ช่วงเดือนมกราคม-เดือนมิถุนายนของทุกปี บางครอบครัวก็จักสานเอง ไม่เข้ากลุ่ม หรือบางครอบครัวท�าขายได้ตลอดปี ต่อมามีหน่วยงาน ของรัฐเข้ามาส่งเสรมิ ทง้ั อบรม ดูงาน และออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เชน่ ทา� ตะกรา้ ส�าหรบั ใส่สา� รับไปตกั บาตร ท�ากลอ่ งใสก่ ระดาษชา� ระ เปน็ ตน้ 78 เสน้ ทางท่องเทยี่ ว มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม

กลุม่ รําออนซอนไทพวน และกลุ่มกลองยาวสิบสามแสน บา้ นเชยี ง ตุ๊กตาฟอ้ นราํ บ้านเชยี ง ตั้งข้ึนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีสมาชิกอยู่ ๑๕๕ คน เป็นการแสดงสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาท่าร�าจากท่าปั้นหม้อเขียนลายซ่ึงเป็นวัฒนธรรมท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน โดยการรา� ไทพวนนเี้ ปน็ เครอื ขา่ ยของกลมุ่ โฮมสเตยบ์ า้ นเชยี ง เพอ่ื ตอ้ นรบั แขกทม่ี าเยย่ี มเยอื นและพกั ผอ่ น ท่ีโฮมสเตย์บ้านเชียง โดยมีกลุ่มพ่อบ้านที่ท�างานอยู่เทศบาลต�าบลบ้านเชียงได้รวมกลุ่มกันตีกลองยาว ทแี่ ตล่ ะคนมศี รี ษะลา้ นรวมจา� นวน ๑๓ คน จงึ เปน็ ทมี่ าของกลมุ่ กลองยาว สบิ สามแสน ทา� หนา้ ทตี่ กี ลองยาว เป็นจังหวะให้แม่บ้านกลุ่มฟ้อนร�าแสดงร�าฟ้อน ประกอบด้วย ท่าร�าออนซอนไทพวน ร�าฟ้อนบายศรี สู่ขวัญ ระบ�าบ้านเชียง ร�าบูชาเชียงสวัสด์ิ และแสดงกลองยาวสิบสามแสน บ้านเชียง ออกแบบท่าร�า โดยนางฉนั ทนา ศริ ชิ มุ แสง มสี ญั ลกั ษณ ์ หรอื โลโกป้ ระจา� กลมุ่ คอื ตกุ๊ ตาฟอ้ นรา� และภาพตวั หนงั สอื ลายเสน้ สิบสามแสน ที่ตั้ง : เลขท่ี ๒๘๓ หมทู่ ่ี ๑๕ ตา� บลบ้านเชยี ง อา� เภอหนองหาน จังหวัดอุดรธาน ี ๔๑๓๒๐ การเดนิ ทาง : สามารถเดนิ ทางไปจากตวั เมอื งอดุ รธานีม่งุ ไปตามถนนหมายเลข ๒๒ (อดุ รธาน-ี สกลนคร) เลยจากแยกอา� เภอหนองหานไปถงึ แยกหนองเมก็ แลว้ เลยี้ วซา้ ยไปยงั ตา� บลบา้ นเชยี งประมาณ ๕๖ กโิ ลเมตร เบอร์ติดต่อ : นางฉนั ทนา ศิริชมุ แสง โทร. ๐๖ ๑๔๒๖ ๒๙๔๕ นางปราณี โคตรนา�้ เนาว ์ โทร. ๐๖ ๕๒๖๐ ๓๘๑๔ 80 เส้นทางท่องเที่ยว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม ต้ังข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ ๑๕ คน เป็นเครือข่ายกลุ่มโฮมสเตย์บ้านเชียง เพ่ือสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่ม จึงได้ท�าสินค้าของฝากที่ระลึกจากวัสดุที่เป็นผ้าโดยการเอาท่าร�าและ การแตง่ กายของชาวไทพวนมาเปน็ แบบในการทา� ของทร่ี ะลกึ ซง่ึ กค็ อื ตกุ๊ ตาฟอ้ นรา� จา� หนา่ ยตวั ละ ๔๕ บาท นอกจากน้ันยงั เปดิ ใหเ้ ป็นศนู ย์การเรียนรแู้ กน่ กั ท่องเที่ยว ใหไ้ ดเ้ ขา้ มาเยยี่ มชมและศึกษาดงู านด้วย ทต่ี ัง้ : เลขท่ี ๑๑๑ หมู่ท ่ี ๑๓ ตา� บลบา้ นเชยี ง อา� เภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธานี ๔๑๓๒๐ การเดนิ ทาง : สามารถเดินทางไปจากตวั เมืองอุดรธานีมุ่งไปตามถนนหมายเลข ๒๒ (อุดรธานี- สกลนคร) เลยจากแยกอา� เภอหนองหานไปถงึ แยกหนองเมก็ แลว้ เลย้ี วซา้ ยไปยงั ตา� บลบา้ นเชยี งประมาณ ๕๖ กโิ ลเมตร เบอร์ตดิ ต่อ : นางฉันทนา ศริ ชิ ุมแสง โทร. ๐๖ ๑๔๒๖ ๒๙๔๕ และนางปราณี โคตรนา�้ เนาว ์ โทร. ๐๖ ๕๒๖๐ ๓๘๑๔ อดุ รธานี 81

ข้าวผัดขา่ แจ่วหอมบา้ นเชียง อดุ รธานี 83 นางอภิญญา เสมอวงษ์ นางดาหวัน หัสเดชะ และนางยุวณี จันทะแสน กลุ่มแปรรูปอาหาร บ้านเชียง บอกว่า ตั้งกลมุ่ มาตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และมสี มาชิกทง้ั สิน้ ๑๐๔ คน เป็นชาติพนั ธไุ์ ทพวน ที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เรื่องอาหาร ซ่ึงแตกต่างจากท่ีอ่ืน ๆ มีผลิตภัณฑ์แจ่วหอม และข้าวโล่ง เนอื่ งจากทบ่ี า้ นดงเยน็ บา้ นดงยางมวี ตั ถดุ บิ คอื หวั ขา่ ทช่ี าวบา้ นปลกู ไวจ้ า� นวนมาก จงึ คดิ คน้ สตู รทา� อาหาร โดยอาจารย์ ดร.อรุณศรี อ้ือศรีวงศ์ สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ฝกึ สอนใหท้ �าอาหารข้าวผัดแจ่วหอมหรอื ข้าวผัดสมนุ ไพรขน้ึ เพอื่ ใหก้ บั เครือข่ายกลุ่มโฮมสเตยบ์ า้ นเชียง กลุ่มฟ้อนร�าบ้านเชียง ท�าเป็นเมนูอาหารต้อนรับนักท่องเท่ียวท่ีมาชมบ้านเชียงที่มาเป็นกลุ่มทัวร์ โดยมี วตั ถดุ บิ ประกอบดว้ ย หงุ ขา้ วเจา้ หอมมะลขิ า้ มป ี แลว้ นา� มาผดั กบั นา�้ มนั หม ู ผดั ใสพ่ รกิ ลกู ใหญ ่ หอมหวั แดง กระเทยี มหนั่ เปน็ แวน่ นา้� ตาลทรายแดง น้า� ปลารา้ มะขามเปยี ก เกลอื และหัวข่าแบบกลาง ๆ ไมแ่ กแ่ ละ ไม่อ่อนมากผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน มีผักเครื่องข้างเคียง ประกอบด้วย ชี หอม ใบมะกรูด ใบชะพลู ใบโมงหรือชะมวง แตงกวา วางเป็นเคร่อื งข้างเคียงกนิ กับขา้ วผัด รสชาตหิ อมนุ่มไม่เผ็ดมาก การเดนิ ทาง : ใชเ้ สน้ หมายเลข ๒๒ (อุดรธาน-ี สกลนคร) ประมาณ ๕๐ กโิ ลเมตร เลี้ยวซา้ ยเขา้ มายังบ้านเชียงอกี ประมาณ ๖ กิโลเมตร (รวมระยะจากตัวเมืองถงึ บา้ นเชยี ง ๕๖ กิโลเมตร) เบอรต์ ดิ ตอ่ : นางอภญิ ญา เสมอวงษ ์ นางดาหวนั หสั เดชะ และนางยวุ ณ ี จนั ทะแสน กลมุ่ แมบ่ า้ น ร�าฟ้อนไทพวนบ้านเชยี ง ตา� บลบ้านเชียง อา� เภอหนองหาน จงั หวัดอุดรธานี โทร. ๐๙ ๙๑๗๐ ๑๓๔๐ หรือนางบุญเรือง คา� พิมาน โทร. ๐๘ ๑๗๓๙ ๙๒๗๓ 82 เส้นทางท่องเที่ยว มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม

๗.๓ สถานทท่ี างโบราณคดแี ละโบราณสถานในอทุ ยานประวตั ศิ าสตรภ์ พู ระบาทและในพนื้ ทตี่ าํ บล ทน่ี ปี่ รากฏรอ่ งรอยการปกั ใบเสมาหนิ เมอ่ื ราวพทุ ธ เมืองพาน อาํ เภอบา้ นผอื จงั หวดั อดุ รธานี ศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ แบบเรียบไม่มีลวดลายทรงกลีบบัว อทุ ยานประวตั ิศาสตร์ภูพระบาท และทรงกระโจม เพื่อก�าหนดขอบเขตของพื้นที่ศักด์ิสิทธิ์ ห่างจากชุมชนไทพวนบ้านผือไปทางทิศตะวันตกราว ๑๕ กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในบริเวณเทือกเขา จงึ ทา� ให้สนั นษิ ฐานได้ว่าชมุ ชนบรเิ วณรอบ ๆ ภพู ระบาทมี ภูพานตะวันตกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขือน�้า” อันเป็นที่ต้ังของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท การรบั นับถอื พทุ ธศาสนาแลว้ ท่ีนี่ปรากฏร่องรอยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอยู่ในหมวดหินภูพานในหินชุดโคราช เป็นหินทราย สีแดงของมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) มีอายุตั้งแต่ปลายยุคไทแอสซิก (๒๔๕-๒๐๘ ล้านปี) จนถึง ภาพเขยี นสีวัวแดง ภูพระบาท ยุคเทอร์เชียรีของมหายุคซีโนโซอิก (๖๕-๕ ล้านปี) โดยชั้นหินทรายนี้วางตัวอยู่บ้านช้ันของหินมหายุค ซีโนโลอิกตอนบน (๒๔๖-๒๘๕ ล้านปี) หินต้ังเกิดการกัดเซาะของน�้าและลม จนเกิดเป็นรูปร่าง ที่น่ีปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีอยู่หลายแห่ง อย่างทป่ี รากฏเหน็ ในปจั จุบนั ได้แก ่ ภาพแกะสลักหนิ พระพุทธรูปแบบมหายาน บนผนงั ถ�้าพระวัดพ่อตา และท่ีวัดลูกเขย ซึ่งเป็นหลักฐานใน ช่วงระหว่างปลายสมัยทวารวดี ถึงสมัยละโว้หรือลพบุรี เมือ่ ราวพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๗-๑๙ เสมาหนิ ทรงกลีบบวั บาน เสมาหินทรงกระโจม หินตงั้ บนภูพระบาท ภาพแกะสลักหนิ พระพทุ ธรูปแบบมหายาน บนผนังถ้�าพระวัดพอ่ ตา ท่ีน่ีปรากฏร่องรอยแหล่งอารยธรรมมนุษย์สมัย ๓,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีก่อนประวัติศาสตร์ ทน่ี ปี่ รากฏงานสถาปตั ยกรรมแกะสลกั หนิ เปน็ ชอ่ งหนา้ ตา่ ง และมพี ระพทุ ธรปู ทว่ี ดั ลกู เขย ซงึ่ เปน็ มีภาพเขยี นสแี ดง รูปวัว รปู คน รูปเลขาคณติ รปู ฝ่ามอื ท่ีแสดงถงึ กจิ กรรมการลา่ สตั ว ์ เพาะปลูก มีการ หลักฐานส�าคัญในสมัยอาณาจักรลาวลา้ นช้าง เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖-๒๒๕๐ มาแล้ว ประกอบพิธีกรรมบางอย่างอยู่บนเพิงผาหิน ในท่ีราบลุ่มใกล้แหล่งน�้า รู้จักการเพาะปลูกพืช (ปลูกข้าว) เลี้ยงสัตว์ และรจู้ ักการทา� เครื่องมือเครือ่ งใช้จากโลหะ อดุ รธานี 85 84 เส้นทางท่องเทีย่ ว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม

ชอ่ งหนา้ ตา่ ง/ช่องแสง/ชอ่ งลม ทวี่ ัดลูกเขย สถาปตั ยกรรมสมยั ล้านชา้ งทบ่ี รู ณะข้นึ ใหม่ กลุ่มภาพเขยี นสโี นนสาวเอ้ ลายเรขาคณิต พระพุทธรปู ศลิ ปะสมัยล้านช้าง นายนมสั วิน นาคศิริ นักวชิ าการโบราณคดปี ฏิบตั กิ าร ประจา� อุทยานประวัตศิ าสตรภ์ พู ระบาท บอกว่า โดยแท้จรงิ แลว้ ภพู ระบาทถอื เป็นทรพั ยากรท่ีมีคณุ คา่ ดว้ ยองค์ความรู้ของอารยธรรมมนษุ ย์สมยั นอกจากน้ียังมีการกล่าวถึง “เมืองพาน” ในต�านานอุษา-บารส และต�านานอุรังคธาตุหรือ ก่อนประวัติศาสตร์ ที่ต่อเน่ืองเช่ือมโยงมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร ์ ซ่ึงควรส่งต่อองค์ความรู้ให้กับคนใน พระธาตพุ นม และชอ่ื ของตวั ละครไดถ้ กู นา� มาเรยี กหนิ ตงั้ ในโบราณสถานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานที่ ท้องถ่ินเพ่ือบอกต่อกับคนอื่นให้มีจิตส�านึกอนุรักษ์ ในปัจจุบันภูพระบาทเป็นโบราณสถานท่ีคนไทพวน ในตา� นาน และเป็นกศุ โลบายของคนในอดีตอยา่ งหนง่ึ ทที่ �าให้จดจ�าสถานทต่ี า่ ง ๆ ได้ดีย่งิ ขึ้น บ้านผอื ได้ขน้ึ มาใช้พื้นที่ศักด์ิสิทธ์บิ ริเวณหอนางอษุ าในการทา� พธิ บี วงสรวงบูชาเปน็ ประจ�าทกุ ป ี ในส่วน อันแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์เฉพาะถ่ินท่ีมีลักษณะเป็นพื้นท่ีทางภูมิสัณฐานทางธรณีวิทยาและ อุทยานฯ น้ันจะได้มีด�าเนินกิจกรรมต่าง ๆ คือ จัดท�าข้อมูลเอกสาร ประชาสัมพันธ์ จัดนิทรรศการ ทางภมู ิวัฒนธรรม ในดา้ นการคดิ ค้น ดัดแปลง ปรับตวั ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่มอี ยู่เดมิ จากกลุ่มหินตัง้ ให้ความรอู้ ยา่ งสม่�าเสมอ เชน่ งานไทพวนบา้ นผือชวนเท่ียวภพู ระบาท และน�าเสนอใหเ้ ป็นมรดกโลก ได้ก�าหนดเป็นพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิ ด้วยการสกัดหินทรายเป็นใบเสมาหินแล้วน�ามาปักล้อมรอบเพิงผาหินตั้ง ทัง้ แปดทศิ รวมถึงการดดั แปลงเพงิ ผาหนิ ดว้ ยการสกัดพ้ืนหนิ ให้เรยี บทา� เปน็ ห้อง และมกี ารน�าหนิ ทราย ทต่ี งั้ : บา้ นตวิ้ หมู่ท ่ี ๖ ตา� บลเมอื งพาน อา� เภอบา้ นผอื จังหวัดอดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ มาก่อกั้นเป็นผนังทั้งสามด้านเพื่อแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูป ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ในพื้นท่ีท่ีด�ารงอยู่ การเดินทาง : เดินทางตามทางหลวงหมายเลข ๒ (อุดรธาน ี – หนองคาย) กโิ ลเมตรที่ ๑๓ เลี้ยว อยา่ งสงา่ งาม และยงั คงไมส่ าบสญู ไปตามกาลเวลา (อา้ งถงึ แลว้ ใน สมชยั คา� เพราะ.รายงานผลการดา� เนนิ งาน ซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๒๑ ไปทางอ�าเภอบ้านผอื ระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร เล้ยี วขวาประมาณ โครงการส่ือศลิ ปส์ ามดี ใสใ่ จสอ่ื เดมิ สร้างเสรมิ สื่อด ี จงั หวัดอดุ รธาน)ี ๕๐๐ เมตร และตรงไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๔๘ อีก ๑๒ กิโลเมตร เล้ียวขวาเข้าไปท่ีท�าการ อุทยานฯ ประมาณ ๒ กิโลเมตร และเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. ส�าหรับคนไทย 86 เสน้ ทางทอ่ งเท่ียว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม คา่ เขา้ ชมคนละ ๒๐ บาท สา� หรบั ชาวตา่ งชาตคิ นละ ๑๐๐ บาท ผสู้ งู อายแุ ละนกั เรยี นสามารถเขา้ ชมไดฟ้ รี เบอร์ตดิ ตอ่ : การท่องเท่ยี วแห่งประเทศไทย (ททท.) สา� นักงานจังหวดั อดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ ๕๔๐๖-๗ หรอื อุทยานประวัตศิ าสตรภ์ ูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ อดุ รธานี 87

๗.๔ ตามรอยพระพทุ ธบาท ๗ แห่ง และเสมาหนิ กลุ่มเมอื งพาน ตามหนงั สอื ประวตั พิ ระพทุ ธบาทบวั บก จดั พมิ พโ์ ดยมหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั ป ี พ.ศ. ๒๕๓๒ รอยพระพุทธบาท เสมาหิน และภาพเขียนสี ที่ค้นพบในพื้นท่ีโดยรอบภูพระบาทหรือภูกูเวียน กล่าวถึงประวัติของรอยพระพุทธบาทบัวบกไว้อย่างพิสดาร โดยอ้างอิงกับหนังสือพระเจ้าเหยียบโลก ซ่ึงนักวิชาการด้านโบราณคดีได้ต้ังชื่อให้ว่า กลุ่มเมืองพาน ในพื้นท่ีต�าบลเมืองพาน อ�าเภอบ้านผือ ของประเทศลาว ว่าพระพุทธเจ้ามาเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ภายหลังจากพระองค์ได้เสด็จ จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ ปรินิพพาน จึงมีนายพรานพบเข้า บรรยายลักษณะว่าเป็นรอยลึกจมอยู่ในแผ่นศิลาแลง มีรูปกงจักร ตอ่ เนือ่ งกนั มา ดังน้ี และสัตวต์ ่าง ๆ กว่า ๕๐๐ ชนดิ อยทู่ ่ีกลางรอยนั้น กษัตรยิ ์ขอมเรืองอ�านาจอยู่จงึ ซอ่ มบูรณะ และบรรจุ • รอยพระพุทธบาทบัวบกและพระธาตุเจดยี ์พระพุทธบาทบัวบก พระบรมสารรี กิ ธาตทุ องคา� ไวภ้ ายในอโุ มงคก์ อ่ ใหมเ่ พอ่ื ครอบรอยพระพทุ ธบาทแทนองคเ์ ดมิ หลงั จากหมด ยุคขอม ลว่ งเข้าพุทธศักราช ๑๑๑๘ มกี ารสรา้ งเจดยี ์ขนาด ๑๕ วา ๖ ศอก ครอบซ้อนอุโมงคไ์ ว ้ ตอ่ มาป ี พ.ศ. ๒๔๖๑ พระศรีสตั นน์ �าชาวบา้ นรือ้ ถอนอุโมงค์และเจดยี เ์ พอื่ บูรณะใหม่ ขณะรือ้ ถอนพบผอบทองคา� บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในอุโมงค์ส่ีเหล่ียมใต้เจดีย์องค์เก่า ความต่อมาเป็นเรื่องอภินิหารระหว่าง การสร้างจนแลว้ เสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ดังสภาพท่เี ห็นในปัจจบุ ัน (บรริ ักษ ์ : ๒๕๓๒ ; หน้า ๔-๓๐) รอยพระพทุ ธบาทบัวบก รอบพระพทุ ธบาทบวั บกมีดอกบัวบานอยตู่ รงกลางฝา่ พระบาท ส�าหรับรอยพระพุทธบาทบัวบก เป็นหนึ่งในกลุ่มพระพุทธบาทเมืองพาน ประดิษฐานอยู่ พระธาตเุ จดยี ์วดั พระพทุ ธบาทบวั บก เทอื กเขาภพู าน ตงั้ อยใู่ นเขตอทุ ยานประวตั ศิ าสตรภ์ พู ระบาท บา้ นตว้ิ หมทู่ ่ี ๖ ตา� บลเมอื งพาน อา� เภอบา้ นผอื สภาพปัจจุบันคือองค์จ�าลองท่ีท�าข้ึนใหม่และวางซ้อนทับรอยพระพุทธบาทเดิม พร้อม ๆ กับการสร้าง พระธาตุเจดีย์วัดพระพุทธบาทบัวบก ต้ังอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เทือกเขา พระธาตเุ จดยี ค์ รอบ ในชว่ ง พ.ศ. ๒๔๖๓-๒๔๗๙ โดยพระอาจารยศ์ รที ตั ย ์ สวุ รรณมาโจ (บรริ กั ษ ์ : ๒๕๓๒, ภูพาน จังหวดั อดุ รธาน ี สรา้ งขึ้นเมอื่ พ.ศ. ๒๔๖๕ โดยพระอาจารย ์ ศรีทตั ย ์ สวุ รรณมาโจ ครอบรอบ หนา้ ๒๖-๒๗) ซงึ่ รอยพระพทุ ธบาทจา� ลอง กอ่ ดว้ ยปนู เปน็ แอง่ เรยี บรปู ฝา่ เทา้ ขนาดยาว ๑๖๙ เซนตเิ มตร พระพทุ ธบาท รปู แบบพระธาตเุ จดยี เ์ ปน็ ทรงปราสาทยอดอยใู่ นผงั สเ่ี หลย่ี มจตรุ สั มเี รอื นธาตซุ อ้ นกนั ๒ ชนั้ กว้าง ๘๔ เซนติเมตร มลี ายวงกลมหมุนคลา้ ยจักรสลกั นูนบนปลายนิ้ว กลางฝา่ พระบาทสลกั รูปดอกบวั ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังที่มีลักษณะเป็นบัวเหล่ียมและมีส่วนยอดท่ีมีลักษณะเป็นบัวเหล่ียมขนาดเล็ก บานซ้อนกลีบ ๓ ช้ัน นอกขอบรอยพระบาทตกแต่งด้วยลายพรรณพฤกษา และทาสีทองท่ัวพระบาท มีทางเข้าจากทางทิศตะวันออกเพียงทางเดียว ภายในเรือนธาตุทึบตัน (ฐานข้อมูลโบราณสถาน สว่ นองคพ์ ระธาตเุ จดยี พ์ ระพทุ ธบาทบวั บกสรา้ งจา� ลองแบบจากองคพ์ ระธาตตุ ามรปู แบบกอ่ นบรู ณะในปี ส�าคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.Posted by Rungnapa on Friday, 4 January 2013.อ้างถึง พ.ศ. ๒๔๘๓ (พเยาว์ นาคเข็ม และมนต์จันทร ์ น้�าทิพท์ : ๒๕๓๓ ; หนา้ ๔๗ ,พเิ ศษ เจียจนั ทร์พงษ์ : ใน http://archae.su.ac.th/art_in_thailand/?q=node/785) ๒๕๓๒ ; หนา้ ๑๐๑) เบอร์ตดิ ตอ่ : อุทยานประวัตศิ าสตร์ภูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ 88 เสน้ ทางท่องเที่ยว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม อดุ รธานี 89

• รอยพระบาทเจดีย์ร้างอปุ โมงค์ เจดีย์ร้างอุปโมงค์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดลูกเขย เป็นซากอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้างประมาณ ๔.๗ เมตร ยาวประมาณ ๓.๘ เมตร ก่อเรียงดว้ ยอิฐบนลานหินกวา้ ง จากการขดุ แตง่ เม่อื ราว พ.ศ. ๒๕๓๓ พบรอยสลักหนิ บนหลมุ กลมเรยี งตามแนวโดยรอบองค์ธาต ุ ภายในมีร่องรอย ส่ิงก่อสร้างด้วยปูนสันนิษฐานว่าเป็นรอยพระพุทธบาท ขนาดโดยประมาณ คือ ยาว ๑๘๔ เซนติเมตร ปลายกว้าง ๙๐ เซนติเมตร หันชไ้ี ปทางทิศตะวันตก คงเหลือรอ่ งรอยบางส่วนของนว้ิ พระบาทและเส้น นนู ๒ เส้น นอกจากนยี้ งั มรี อยทาสีแดงและปิดทอง เมอ่ื พจิ ารณาจากรอยพระบาท องคธ์ าต ุ และหลุม กลมท่ีพบอยู่โดยรอบธาตุร้างอุปโมงค์น่าจะเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งท่ีมีความส�าคัญทางพระพุทธศาสนา ในสมัยล้านช้าง ต้งั แต่ราวพุทธศตวรรษท ี่ ๒๑-๒๓ บรเิ วณด้านหนา้ เจดียท์ างเขา้ สักการะรอยพระพุทธบาทบวั บก เจดยี ์รา้ งอปุ โมงค ์ ทีค่ น้ พบร่องรอยพระพทุ ธบาทอยภู่ ายใน (เครดติ ภาพจากอุทยานประวัตศิ าสตรภ์ พู ระบาท) ทีต่ ้ัง : บ้านติ้ว หมทู่ ี่ ๖ ตา� บลเมืองพาน อา� เภอบา้ นผือ จังหวัดอดุ รธานี ๔๑๑๖๐ ทีต่ ้งั : บา้ นตว้ิ หมู่ท ่ี ๖ ต�าบลเมืองพาน อ�าเภอบ้านผอื จงั หวัดอดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ การเดินทาง : เดินทางตามทางหลวงหมายเลข ๒ (อดุ รธานี-หนองคาย) กโิ ลเมตรท ี่ ๑๓ เลี้ยว การเดนิ ทาง : เดนิ ทางตามทางหลวงหมายเลข ๒ (อุดรธาน-ี หนองคาย) กโิ ลเมตรที่ ๑๓ เลย้ี ว ซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๒๑ ไปทางอ�าเภอบ้านผอื ระยะทาง ๔๒ กโิ ลเมตร เลีย้ วขวาประมาณ ซา้ ยเขา้ ทางหลวงหมายเลข ๒๐๒๑ ไปทางอ�าเภอบ้านผือ ระยะทาง ๔๒ กโิ ลเมตร เลี้ยวขวาประมาณ ๕๐๐ เมตร และตรงไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๔๘ อกี ๑๒ กโิ ลเมตร เลย้ี วขวาเขา้ ไปทท่ี า� การอทุ ยานฯ ๕๐๐ เมตร และตรงไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๔๘ อกี ๑๒ กโิ ลเมตร เลยี้ วขวาเขา้ ไปทที่ า� การอทุ ยานฯ ประมาณ ๒ กโิ ลเมตร และเปิดให้ชมทกุ วันตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. ประมาณ ๒ กิโลเมตร และเปดิ ใหช้ มทกุ วนั ต้งั แตเ่ วลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. 90 เสน้ ทางท่องเทย่ี ว มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม อดุ รธานี 91

• รอยพระพุทธบาทหลงั เตา่ • รอยพระพทุ ธบาทบวั บาน ในเจดยี ์วัดพระพทุ ธบาทบัวบาน รอยพระพุทธบาทหลังเต่า ต้ังอยู่ทางใต้สุดของกลุ่มแหล่งโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตร์ ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน กรมศิลปากร เป็นมณฑปท่ีประดิษฐานพระพุทธบาทจ�าลอง ซึ่งเดิมมีลักษณะเป็นแอ่งเว้าบนพ้ืนหินธรรมชาติรูปร่างคล้ายฝ่าเท้า ต่อมาจึงได้มีการสร้างรอย ภูพระบาท รูปร่างคล้ายฝ่าเท้าเป็นรอยเว้าลงบนพ้ืนหิน ปลายเท้าชี้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พระพุทธบาทจ�าลองเลียนแบบ ด้วยการก่ออิฐถือปูน ผิวเรียบทาสีทอง ขอบพระบาทเป็นเส้นตรง มรี อยสลกั นวิ้ เทา้ ตรงกลางฝ่าพระบาทสลกั นนู รูปดอกบวั ซ้อนกลบี ชัน้ ใน ๘ กลบี ช้ันถดั ไป ๑๖ กลีบ ยาว ๑๔๐ เซนติเมตร ปลายพระบาทกว้าง ๖๕ เซนติเมตร ส้นพระบาทกว้าง ๕๓ เซนติเมตร รอยพระบาทยาว ๑๖๘ เซนติเมตร ปลายเท้ากว้าง ๗๑ เซนติเมตร และส้นเท้ากว้าง ๔๔ เซนตเิ มตร แลว้ จงึ สรา้ งพระธาตคุ รอบไวอ้ กี ชนั้ หนง่ึ มศี ลิ ปะแบบลา้ นชา้ ง ทรงรปู เหลย่ี มยอ่ เกจ็ มปี ระตทู างเขา้ ทางทศิ บริเวณขา้ งเคียงพบรอย ตะวนั ออกดา้ นเดยี ว องคพ์ ระธาตเุ จดยี ม์ คี วามกวา้ งดา้ นละ ๒ เมตร สงู ประมาณ ๖ เมตร อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท ี่ ๒๒-๒๔ และภายในบริเวณวัดยังมีการขุดค้นพบใบเสมาหินทราย สลักเป็นรูปเทวดา และนางอัปสร รอยพระพุทธบาทหลงั เตา่ ซง่ึ สรา้ งไวเ้ พอื่ แสดงเขตพนื้ ทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธ ์ิ ใบเสมาทรงใบบวั เปน็ ศลิ ปะทวารวดผี สมศลิ ปะลพบรุ ี นอกจากนนั้ ยงั มีการสลักภาพบคุ คลบริเวณโคนเสมา (อา้ งถงึ ใน ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๕๒ วนั ท ี่ ๘ มนี าคม ๒๔๗๘) สกดั หนิ เปน็ หลมุ กลมและสเี่ หลยี่ มจตั รุ สั ขนาดเลก็ คาดวา่ เกย่ี วกบั การกนั้ แนวเขตหรอื ทา� หลงั คาคลมุ ท่ีต้ัง : วัดพระพุทธบาทบัวบาน บ้านไผ่ล้อม ต�าบลเมืองพาน อ�าเภอเมืองอุดรธาน ี จากขอ้ มลู การสา� รวจของ รศ.ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๐๘ ประกอบกบั คา� บอกเลา่ ของชาวบา้ น จังหวดั อดุ รธาน ี ๔๑๐๐๐ ท�าให้ทราบว่า แต่เดิมเป็นเพียงรอยสกัดบนพ้ืนหินอย่างหยาบ ๆ เม่ือชาวบ้านมาพบ จึงโบกปูนทับ ท�ารูปน้วิ เทา้ ให้ครบ ซึง่ ไม่ทราบแน่ชัดวา่ รูปดอกบัวบานบริเวณกลางฝ่าพระบาทนัน้ ประดิษฐ์ข้ึนในคราว การเดนิ ทาง : จากจงั หวดั อดุ รธานไี ปตามเสน้ ทางสาย อดุ รธาน-ี บา้ นตวิ้ ระยะทาง ๖๔ กโิ ลเมตร เดียวกันนีห้ รอื ไม่ อย่างไรกต็ าม ควรถกู สลักเพิม่ ขน้ึ ไมเ่ กิน ๓๐ ปี การก�าหนดอาย ุ รศ.ศรศี กั ด ิ์ วัลลโิ ภดม และเล้ียวซา้ ยจากบ้านต้ิวไปตามเส้นทางสาย บา้ นติ้ว-บา้ นไผล่ ้อม ระยะทาง ๑๔ กโิ ลเมตร สนั นษิ ฐานว่า เปน็ หลกั ฐานในสมัยทวารวด ี ส่วนเมธา วจิ กั ขณะ เสนอวา่ ไม่นา่ เกา่ เกนิ กว่าสมัยลา้ นชา้ ง เบอรต์ ดิ ตอ่ : การทอ่ งเทย่ี วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สา� นกั งานอดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ ๕๔๐๖-๗ โดยพจิ ารณาจากเศษเครอ่ื งถว้ ยทพี่ บในระหวา่ งการขดุ แตง่ (ศรศี กั ด ิ์ วลั ลโิ ภดม. ๒๕๓๓. หนา้ ๒๙๕-๒๙๗, หรอื อุทยานประวัตศิ าสตรภ์ ูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ เมธา วิจกั ขณะ. ๒๕๓๗.หน้า ๒๑) เจดียส์ มัยลา้ นชา้ งท่ีก่อสร้างครอบรอยพระพทุ ธบาทบวั บาน รอยพระพทุ ธบาทบัวบาน ทต่ี ั้ง : บา้ นต้วิ หมู่ท ่ี ๖ ต�าบลเมอื งพาน อ�าเภอบ้านผอื จังหวดั อดุ รธานี ๔๑๑๖๐ การเดนิ ทาง : เดนิ ทางตามทางหลวงหมายเลข ๒ (อดุ รธาน-ี หนองคาย) กโิ ลเมตรท ่ี ๑๓ เลยี้ วซา้ ย นอกจากน้ียังมีรอยพระพุทธบาทแห่งท่ี ๕ คือ รอยพระพุทธบาทวัดหนองด้วง บ้านใหม ่ เข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๒๑ ไปทางอ�าเภอบ้านผือ ระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร เลี้ยวขวาประมาณ ตา� บลเมอื งพาน อา� เภอบา้ นผือ จังหวดั อุดรธาน ี และแหง่ ท ่ี ๖ คือ รอยพระพทุ ธบาทวัดพระพุทธบาท ๕๐๐ เมตร และตรงไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๔๘ อกี ๑๒ กโิ ลเมตร เลยี้ วขวาเขา้ ไปทที่ า� การอทุ ยานฯ ภูผาแดง บ้านอ่าง หมู่ท่ี ๒ ต�าบลจ�าปาโมง อ�าเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ให้ได้ศึกษาและเที่ยวชม ประมาณ ๒ กิโลเมตร และเปิดให้ชมทุกวันต้งั แตเ่ วลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. ในพน้ื ทอ่ี ีกดว้ ย เบอรต์ ดิ ตอ่ : อุทยานประวตั ิศาสตรภ์ พู ระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ เบอรต์ ิดต่อ : สอบถามขอ้ มลู ไดท้ ่ี อุทยานประวตั ศิ าสตร์ภูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ 92 เสน้ ทางทอ่ งเที่ยว มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม อุดรธานี 93

• รอยพระพุทธบาททคี่ ้นพบแห่งใหม่ และห่างออกไปราว ๕๐ เมตร บนโขดหิน ภเู ขอื นา�้ ในเทอื กเขาภพู านตะวนั ตกทอี่ ยหู่ า่ งจากบา้ นใหม ่ ตา� บลเมอื งพาน อา� เภอบา้ นผอื จงั หวดั ด้านทิศเหนือข้ึนไปอีก จะปรากฏว่ามีร่องหินรูปทรง อุดรธานี ไปทางทิศเหนอื ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร หรือถา้ วัดระยะทางจากบรเิ วณผาเสด็จ หา่ งออกไปทาง คล้ายรอยเท้า ยาวจากส้นเท้าถึงปลายเท้า ๙๘ ทิศตะวันตกประมาณ ๓ กโิ ลเมตร มีการคน้ พบรอยพระพทุ ธบาท โดยชาวบา้ น เมื่อวนั ท่ี ๔ พฤษภาคม เซนติเมตร กว้าง ๓๔ เซนติเมตร อุ้งเท้ากว้าง ๓๕ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซ่งึ ยังไมม่ ีในบนั ทึกเป็นหลกั ฐานทางโบราณคดีของกรมศิลปากร เซนติเมตร ปลายเท้ากว้าง ๔๙ เซนติเมตร แต่ไม่มี ลวดลายการแกะสลักหินเป็นรูปบนฝ่า และมีขนาด เล็กกว่ารอยแรกท่ีพบอย่างชัดเจน ที่ชาวบ้านค้นพบ เม่ือวันท ่ี ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๖๑ ข้นึ ๑๓ ค�่า เดือน ๘ รอยพระพุทธบาททค่ี น้ พบใหม่ รปู ธรรมจักรกลางฝ่าพระพุทธบาท รอ่ งหนิ มีรปู ทรงคล้ายรอยเทา้ นว้ิ พระพุทธบาท สภาพรอยเดมิ ก่อนทาสที อง ภาพเขียนสแี ดงรูปกน้ หอย มรี ศั มีรอบวงคล้ายแสงพระอาทติ ยอ์ ย่บู นผาหนิ ลักษณะรอบพระพุทธบาทที่พบ คือ ตรงจุดกึ่งกลางฝ่าพระบาทจะสลักหินเป็นรูปธรรมจักร โดยแกะสลกั เปน็ รปู แกนกลางนนู ลอ้ มรอบดว้ ยวงกลม ตอ่ ดว้ ยกลบี บวั บานลอ้ มรอบ ๑๗ กลบี แลว้ มวี งกลม โดยกอ่ นจะเดนิ เทา้ ขึน้ มาถึงจุดท่ีรอยพระพุทธบาทประทบั อยปู่ ระมาณ ๒๕๐ เมตร จะเหน็ ภาพ ลอ้ มอกี รอบ และถดั ออกมาอกี จะแกะเปน็ ขาธรรมจกั รจา� นวน ๘ ขา มลี ายรปู สเี่ หลย่ี มขา้ วหลามตดั ประดบั เขียนสีแดงรูปลายก้นหอย ประทับอยู่บนหน้าผาโขดหิน คล้ายกลุ่มภาพเขียนสีแดงรูปลายเรขาคณิต อยดู่ ว้ ย ดา้ นนอกสุดล้อมรอบด้วยวงกลมมีเส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง ๓๐ เซนตเิ มตร และสลกั รปู ธรรมจักรบนหวั ทก่ี ระจดั กระจายอยบู่ นพนื้ ทอี่ ทุ ยานประวตั ศิ าสตรภ์ พู ระบาท และมลี กั ษณะคลา้ ยกบั ภาพเขยี นสแี ดงลาย นว้ิ เทา้ ทงั้ หา้ และตรงขอ้ นวิ้ แตล่ ะนวิ้ สลกั เปน็ รปู ลายสเ่ี หลยี่ มขา้ วหลามตดั เวน้ ระยะไวเ้ ปน็ ชอ่ งจา� นวน ๓ รปู กน้ หอยและลายเรขาคณติ ทแี่ หลง่ โบราณสถานบา้ นเชยี ง มอี ายรุ าว ๕,๖๐๐-๑,๘๐๐ ปกี อ่ นประวตั ศิ าสตร ์ ตอ่ ๑ น้วิ ข้อนวิ้ ยาว ๒๕ เซนติเมตร ความยาวจากปลายน้ิวถงึ สน้ ๑.๐๕ เมตร และกว้าง ๔๕ เซนตเิ มตร ทีอ่ ยหู่ า่ งออกไปจากทน่ี ี่ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร ความลกึ องุ้ เทา้ ๔ เซนตเิ มตร สน้ พระบาทกวา้ ง ๔๐ เซนตเิ มตร วดั ระยะความยาวจากสน้ ถงึ ธรรมจกั ร ๓๘ เซนติเมตร ดา้ นข้างสลกั เปน็ สนั นนู ล้อมรอบกวา้ ง ๔ เซนติเมตร ดา้ นขา้ งสกัดหนิ ลกึ ลง ๒-๓ เซนติเมตร ที่ตงั้ : เทือกเขาภพู าน บ้านใหม่ ตา� บลเมืองพาน อา� เภอบ้านผอื จงั หวัดอุดรธาน ี ๔๑๑๖๐ และบริเวณโดยรอบด้านข้าง มีรอยการเจาะเป็นรูกลมบนแผ่นหินกระจายอยู่เป็นจุด ๆ สันนิษฐานว่า การเดนิ ทาง : จากจังหวดั อุดรธานีไปตามเสน้ ทางสาย อุดรธาน-ี บ้านผือ-บ้านตว้ิ ระยะทาง ๗๐ น่าจะเป็นที่ต้ังของเสาไม้โครงหลังคา ท่ีตรงกลางพระพุทธบาทบัวบกจะมีลักษณะเป็นกลีบบัวบาน กิโลเมตร และเล้ียวซ้ายจากบ้านต้ิวไปตามเส้นทางผ่านบ้านเมืองพานตรงไปถึงบ้านใหม่ ระยะทาง ๔ แต่ตรงกลางรอยพระพุทธบาทหลังเต่าจะมีลักษณะเป็นกลีบบัวตูมนูนเล็กเรียวกว่า และต่อมาชาวบ้าน กโิ ลเมตร เรม่ิ ตน้ จากศนู ยเ์ ดก็ เลก็ บา้ นใหมต่ ามถนนลาดยางประมาณ ๓ กโิ ลเมตร เหน็ ทางแยกถนนลกู รงั ได้น�าสที องมาทาทับรอยพระพทุ ธบาทไว้ เลยี้ วขวาตรงไปประมาณ ๒.๒ กิโลเมตร ตรงไปจะพบทางแยกเลี้ยวซา้ ยลงสวนยางประมาณ ๑๐๐ เมตร แลว้ เดนิ ไปทางทิศเหนอื ข้ึนเนนิ เขาอีก ๒๕๐ เมตร ไปยังจดุ ทพ่ี บภาพเขียนสแี ดงบนหน้าผาโขดหิน และ 94 เส้นทางทอ่ งเทีย่ ว มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม หากเดนิ ต่อไปอกี ๒๕๐ เมตร กถ็ งึ ท่ีตั้งของรอยพระพุทธบาท สอบถามขอ้ มลู ไดท้ ี่ อุทยานประวตั ิศาสตร์ ภพู ระบาท เบอร์ตดิ ต่อ : โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗–๓๘ อุดรธานี 95

กล่มุ ใบเสมาแกะสลกั ภาพนูนตํ่าเลา่ เรืองราวในพทุ ธชาดก พบกลุม่ ใบเสมาจารกึ อกั ษรมอญโบราณสมัยทวารวดที ่ขี ดุ คน้ ขนึ้ ใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอดีตกาลราวพนั กวา่ ปที ี่แล้ว นยิ มทา� หลักหินขนาดต่าง ๆ มกั เรยี ก ใบเสมากล่มุ เมอื งพาน หลักหินเหล่านี้ว่า ใบเสมา หลักหินทวารวดีอีสานส่วนหนึ่งสร้างขึ้นเน่ืองในประเพณีพุทธศาสนาชัดเจน เห็นได้จากการปักล้อมรอบพัทธสีมาขอบเขตของสงฆ์ สลักด้วยภาพพุทธประวัติ และชาดก ฯลฯ แต่ก็ ห่างจากพระพุทธบาทบัวบาน พบกลุ่มใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่กระจายอยู่ในบริเวณกว้าง พบหลกั หนิ ส่วนหนง่ึ เก่ียวข้องกบั ประเพณคี วามเชือ่ ทอ้ งถิ่นอนื่ ๆ ดว้ ย โดยเฉพาะกับสิ่งศักดสิ์ ทิ ธต์ิ ่าง ๆ เปน็ ศลิ ปกรรมสมยั ทวารวดตี อนปลายถงึ ลพบรุ ตี อนตน้ หรอื ราวพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๕-๑๖ ปกั อยใู่ นซมุ้ ศาล หลกั ฐานทร่ี องรบั ขอ้ สนั นษิ ฐานนมี้ มี ากมายหลายอยา่ ง เชน่ การปกั อยบู่ นสถานทท่ี พี่ บโครงกระดกู มนษุ ย์ ครอบจา� นวน ๙ ซมุ้ ซมุ้ ละ ๓ ใบ รวม ๑๘ ใบ และปกั อยดู่ า้ นนอกหา่ งจากกลมุ่ ทที่ า� หลงั คาคลมุ อกี ๖ ใบ หรือภาชนะบรรจุกระดูก การน�ามาเป็นศาลหลักเมือง และจากการส�ารวจของ รศ.ศรีศักด์ิ วัลลิโภดม และห่างออกไปอีกที่เบียดกันอยู่ ๓ ใบ เป็นใบเสมาแบบรูปทรงใบบัวบานและบัวเหล่ียม รวม ๒๕ ใบ ยง่ิ ทา� ใหไ้ ดพ้ บหลกั หนิ ทอ่ี ยเู่ หนอื เนนิ ดนิ ฝงั ศพ เชน่ ทเี่ มอื งฟา้ แดดสงยาง ตา� บลหนองแปน อา� เภอกมลาไสย มีทั้งแบบสลักเป็นรูปคนบอกเล่าเรื่องราวพุทธชาดก แบบรูปสลักเป็นยอดเจดีย์ และแบบใบบัวเรียบ จงั หวัดกาฬสนิ ธ ุ์ เมอื งคอนสวรรค ์ อ�าเภอคอนสวรรค์ จงั หวดั ชยั ภมู ิ แหลง่ โบราณสถานแหลง่ โนนเมอื ง ปักเป็น ๘ ทิศ บางแห่งปักซ้อนกัน ๒ ใบและ ๓ ใบก็มี นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปแกะสลักหิน อ�าเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม.เสมาหินอีสาน.หน้า ๖-๓๓) และท่ีมีการขุดค้น สมยั ลา้ นช้าง ราวพุทธศตวรรษท ่ี ๒๑-๒๓ ตงั้ รวมอยู่ด้วย ทางโบราณคดที ่ีเนินดนิ บา้ นตาดทอง อ�าเภอเมอื ง จงั หวดั ยโสธร ดา� เนินการโดยกรมศิลปากร แสดงว่ามี การอยอู่ าศยั มาอยา่ งตอ่ เนอื่ งนบั แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร ์ โดยหลกั ฐานสา� คญั ในสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ท่ีตง้ั : ลานธรรมวดั พระพุทธบาทบัวบาน บ้านไผ่ล้อม อา� เภอบ้านผอื จงั หวัดอดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ ได้แก่ โครงกระดูกมนุษย์ฝังในท่าเหยียดยาว ส่วนหลักฐานในยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น ได้แก่ภาชนะ การเดนิ ทาง : จากจงั หวดั อดุ รธานไี ปตามเสน้ ทางสาย อดุ รธาน-ี บา้ นตวิ้ ระยะทาง ๗๐ กโิ ลเมตร ดินเผาที่มีกระดูกมนุษย์บรรจุอยู่ภายใน (สุรพล ด�าริห์กุล. “บ้านตาดทอง แหล่งโบราณคดีส�าคัญของ และเล้ียวซ้ายจากบ้านติว้ ไปตามเส้นทางสาย บา้ นติ้ว-บ้านไผ่ลอ้ ม ระยะทาง ๑๔ กิโลเมตร และเข้าไปยัง อสี านตอนใต”้ ในแผน่ ดนิ อสี าน.กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ.๒๕๔๙.หนา้ ๓๓-๔๕) นอกจากนบี้ างครง้ั ยงั พบ กลุ่มใบเสมา อีกประมาณ ๒ กโิ ลเมตร ปักรอบเพิงหินธรรมชาติ เช่น ที่หอนางอุสา มีการปักสีมาข้ึนกลายเป็นวัดป่าหรืออรัญวาสี สีมาสมัย ทวารวดีพบหลายแบบ ทงั้ เปน็ แผน่ คล้ายเสมาปจั จบุ ัน เป็นเสากลมหรือแปดเหล่ยี มหรอื รูปสเี่ หลีย่ ม โดย เบอร์ติดต่อ : การท่องเท่ียวแห่ง ทั่วไปสลักจากหินทรายมีขนาดใหญ่สูงต้ังแต่ ๐.๘๐-๓ เมตร มีสลักภาพท่ัวไปเป็นภาพสถูปยอดแหลม ประเทศไทย (ททท.) ส�านักงานอุดรธาน ี หรอื สลักภาพเลา่ เรอ่ื งชาดก และลายผกั กดู กา้ นขด โทร. ๐ ๔๒๓๒ ๕๔๐๖-๗ หรืออุทยาน ประวัติศาสตร์ภูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ เสมาจารึกอกั ษรมอญโบราณสมัยทวารวดี คดั ลอกลายอกั ษรบนเสมาเพอื่ นา� ไปอา่ นและแปลความหมาย ๙๘๓๗–๓๘ หา่ งจากวัดหนองเปง่ บา้ นใหม่ ตา� บลเมืองพาน ออกไปประมาณ ๗๐๐ เมตร ได้มกี ารขดุ คน้ ใบ เสมาหินสลักพุทธชาดก เสมาหินสลกั รปู คล้ายปลายยอดเจดยี ์ เสมาในท่ีดนิ ราชพัสดุ จ�านวนประมาณ ๓๐ ใบ เสมาบางใบมสี ลักตวั อักษรมอญโบราณ และพบพระพุทธรปู ๑ องค์ และเศยี รพระพทุ ธรปู ๑ เศยี ร และคาดว่ายงั หลงเหลืออยู่ใต้ดินอีกจา� นวนมาก แสดงใหเ้ หน็ ว่า วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาสู่ดินแดนภูพระบาทราวพุทธศตวรรษท ่ี ๑๕-๑๖ ซ่ึงสันนิษฐานว่ามีอายุราว ๑,๕๐๐-๑,๗๐๐ ป ี ซึง่ เป็นกล่มุ ใบเสมารว่ มสมัยเดยี วกนั ท่พี บในพ้นื ทอ่ี ทุ ยานประวัติศาสตรภ์ ูพระบาท 96 เส้นทางทอ่ งเทย่ี ว มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม อุดรธานี 97

๗.๕ แหลง่ ท่องเที่ยวประวัตศิ าสตร์ โบราณคดี ในพืน้ ทโี่ ดยรอบหนองหาน กมุ ภวาปี ตามตาํ นานท้าวผาแดง-นางไอ่ พระธาตจุ อมศรีหรอื พระธาตุแชแล (อา้ งอิงจาก http://www.udonthani.com) ตามต�านานเล่าว่า เมืองแถแล (บ้านแชแล ในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นพระยาแลเป็นเจ้าผู้ครองนคร อยู่ทิศตะวันออกของหนองหาน มีเจดีย์ที่พระยาแล สร้างขึ้นเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน คือพระธาตุจอมศรีหรือ พระธาตุแชแล เจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมศรี องค์ปัจจุบัน เล่าว่า วัดแห่งน้ีเริ่มก่อตั้งพร้อมกับบ้านแชแล ต�าบลแชแล โดยมีผู้น�าชุมชนช่ือว่า พ่อใหญ่พระโบราณ มาพบ วัดร้างในป่า และมีพระธาตุในบริเวณวัด โดยพระธาตุเก่า เศยี รพระพทุ ธรูปมหายาน องคพ์ ระ สงู ๗.๘ เมตร กวา้ ง ๔ x ๔ เมตร กอ่ ดว้ ยหนิ ศลิ าแลง ประมาณ พระอาจารย์วิชิต ฐานะวิโร เจ้าอาวาสวัดหนองเป่ง บอกถึงที่มาของการขุดค้นใบเสมาว่า ปี พ.ศ. ๒๔๒๐ ถึง ๒๔๓๐ (ลักษณะคล้ายกับพระธาตุ มนี ายสรุ ศกั ด ์ิ ตธุ รรม ฝันวา่ มผี ชู้ ายโบราณ เดนิ มาชวนใหเ้ ดนิ เข้าไปในปา่ หลงั วดั แลว้ ชล้ี งพน้ื ดนิ จงึ ไดพ้ า บ้านเดยี ม ต�าบลเชยี งแหว อา� เภอกมุ ภวาปี และพระธาตบุ ้าน กนั ไปสา� รวจในสถานทต่ี ามความฝนั โดยใชเ้ หลก็ แหลมแทงลงในดนิ จงึ พบใบเสมาและพาชาวบา้ นมาชว่ ย พระธาตุจอมศรีหรือพระธาตุแชแล ดอนแก้ว ตา� บลกุมภวาปี อา� เภอกมุ ภวาป)ี ชาวบ้านจึงบรู ณะ ขุดค้น ซึ่งพื้นท่ดี งั กลา่ วเปน็ วดั เก่า และเมอ่ื ๖๐ ปที ีผ่ ่านมาเคยพบใบเสมาที่น่ีมาแล้ว ๓ ใบ โดยสรา้ งหลังคาครอบองค์พระธาตุ พระธาตจุ อมศรไี ดร้ บั การบูรณะ ๒ ครงั้ คือ ๑. ในปี ๒๔๗๕ ไดบ้ รู ณะ องคเ์ จดยี ์ และโบสถ ์ โดยชา่ งยวน และสรา้ งศาลาครอบองคพ์ ระธาต ุ ๒. ในป ี พ.ศ. ๒๕๓๖ พระธาตจุ อมศรี ชา� รดุ ยอดเจดยี เ์ อยี ง จงึ ไดบ้ รู ณะใหม ่ โดยม ี พระครสู วุ รรณ ธรรมธาดา เปน็ เจา้ อาวาสวดั การบรู ณะครงั้ น้ี ได้ท�าก่ออิฐ ปูนครอบพระธาตุองค์เดิม แต่ยังคงรูปร่างขององค์เดิมไว้ ซ่ึงในช่วงที่มีการบูรณะพระธาตุ ชา่ งได้ขดุ พบพระพุทธรปู หลอ่ ด้วยเงิน จ�านวน ๓๐๐-๔๐๐ องค์ พระพุทธรปู หมุ้ ทองค�า ๔-๕ องค ์ และ เงินลาดจ�านวนมาก ชาวบ้านแถบนี้มีความศรัทธาในองค์พระธาตุมาก หากลูกหลานไปท�างานต่างถ่ิน หรือสอบบรรจุเข้าท�างาน จะมาบนบานต่อองค์พระธาตุ วัดแห่งน้ีจะเป็นสถานท่ีจุดบ้ังไฟของชาวบ้าน แถบน ี้ โดยชาวบา้ นจะจดั งานบญุ บงั้ ไฟในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ของทกุ ปซี งึ่ จะมผี คู้ นเขา้ มารว่ มงานจา� นวนมาก นา� เสมาหนิ มาเกบ็ ไวท้ ี่วดั หนองเป่ง ขุดค้นเสมาหิน ภาชนะดนิ เผาทก่ีขับุดเพสมบาวหางินอยู่ในหลุมเดียว ทีต่ ัง้ : วดั พระธาตุจอมศรี บ้านแชแล หมูท่ ี่ ๑ ตา� บลแชแล อา� เภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ทตี่ ง้ั : วดั ปา่ หนองเปง่ บา้ นใหม ่ หมทู่ ี่ ๑๔ ตา� บลเมอื งพาน อา� เภอบา้ นผอื จงั หวดั อดุ รธาน ี ๔๑๑๖๐ ๔๑๑๑๐ การเดินทาง : จากจังหวัดอุดรธานีไปตามเส้นทางสาย อุดรธานี-บ้านผือ-บ้านติ้ว ระยะทาง การเดินทาง : จากจังหวดั อุดรธานไี ปตามเส้นทางสายอุดรธาน-ี อา� เภอกุมภวาปี วงิ่ ไปตามถนน ๗๐ กโิ ลเมตร และเลย้ี วซา้ ยจากบา้ นตวิ้ ไปตามเสน้ ทางผา่ นบา้ นเมอื งพานตรงไปถงึ บา้ นใหม ่ ระยะทาง ๔ หมายเลข ๓๐๒๐ อีก ๑.๑ กิโลเมตร เล้ียวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข ๒๓๕๐ ต่อไปอีก ๖.๙ กิโลเมตร กโิ ลเมตร ซ่งึ วดั ปา่ หนองเป่งจะอยรู่ ะหวา่ งบา้ นกาลึมกบั บ้านใหม่ แล้วเล้ียวขวาไปอกี ๗๕๐ เมตร จากนนั้ วงิ่ ตรงไปอกี ๘๐๐ เมตร เขา้ สตู่ า� บลแชแล เบอรต์ ิดตอ่ : การทอ่ งเท่ียวแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สา� นกั งานจงั หวดั อดุ รธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ เบอรต์ ดิ ตอ่ : การท่องเทย่ี วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สา� นกั งานจังหวัดอุดรธาน ี โทร. ๐ ๔๒๓๒ ๕๔๐๖-๗ หรอื อทุ ยานประวตั ศิ าสตรภ์ ูพระบาท โทร. ๐ ๔๒๒๑ ๙๘๓๗-๓๘ ๕๔๐๖-๗ 98 เสน้ ทางท่องเท่ียว มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม อดุ รธานี 99