รายได้ลดรายจ่าย (activity) พฤติกรรมการใช้จ่าย (spend) และ การไม่ประสบเหตุการณ์ภัยธรรมชาตใิ นช่วง 5 ปีทีผ่ า่ นมา (shock) 1 ������������ = ∝ +������1������������ + ������2������������������������ + ������3������������ + ������������ (3) (4) ������������������������ = ������0 + ������1������������������������������������ + ������2������������������������ + ������3������������������������������������������������������ + ������4������������������������������������+������5������ℎ������������������������ + ������������ จากสมการที่ (1) และ (3) จัดให้อยู่ในรูปสมการที่ (5) ได้ดงั นี้ ������(∝ +������1���������0��� + ������2���������������������0��� + ������3���������1��� + ������������) = ������(∝ +������1���������0��� + ������2(���������������������0��� + WTP) + ������3���������0��� + ������������) (5) จดั รปู แบบสมการที่ (5) จะไดค้ า่ ความเตม็ ใจจา่ ย ������������������ = ������3(���������1��� −���������0��� ) (6) ������2 เม่ือกาหนดให้ตัวแปรอื่น ๆ มีค่าคงที่ ความเต็มใจจ่ายวิเคราะห์ได้จากอัตราหน่วยสุดท้ายของการ ทดแทนกนั ระหว่างสินค้า 2 ชนดิ (Marginal Rate of Substitution: MRS) ระหวา่ งรายได้และตวั แปรที่สนใจ ศึกษา (Explanatory Variables) ยกตัวอย่างเช่น ตัวแปรท่ีสนใจประเมินมูลค่าราคาเงา คือ สุขภาพจิตท่ีดี สามารถคานวณไดจ้ าก การนาค่าสมั ประสทิ ธ์ิ ������3 หารด้วย ������2 (จากสมการที่ 3) ������3 สะท้อนการเปลี่ยนแปลง ของปัจจัยทางด้านสขุ ภาพจิตที่สง่ ผลต่อความพึงพอใจในชีวิต หรือเรียกได้ว่า คือ อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มของ การเปลี่ยนแปลงภาวะสขุ ภาพจติ (������������������) เมือ่ นามาหารดว้ ย ������2 ทแี่ สดงถึงอรรถประโยชน์ส่วนเพิม่ เมอื่ รายได้ เปล่ียนแปลง (������������������) ผลที่ได้คืออัตราหน่วยสุดท้ายของการทดแทนกันระหว่างรายได้และสุขภาพจิตที่ดีข้ึน (������������������������������) ซึ่งสะท้อนว่าหากภาวะสุขภาพจิตเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีข้ึน คนเราจะยินดีจ่ายเงินเท่าไหร่ ค่า ดังกล่าวสะทอ้ นราคาเงาของภาวะสุขภาพจิตท่ดี ี เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในชีวิตและรายได้ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง ในท่ีน้ี ตัวแปรรายได้จึงจัดอยู่ในรูปแบบ Logarithm เพราะพิจารณาถึงการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ของ ส่วนเพ่ิมเมื่อรายได้เปล่ียนแปลงไป การประเมินค่าทางการเงินหรือราคาเงา โดยอ้างอิงหลัก Compensating Surplus (CS) จึงใชส้ ตู รในการคานวณดังนี้ (กาหนดให้ ������0 = ���̅��� คอื รายได้ของครัวเรอื นเฉลีย่ ต่อเดอื น) กรณสี ินค้าทีส่ ง่ ผลกระทบเชงิ บวก: ������������������������������������������������ ������������������������������ = ���̅��� − e[ln(���̅���)−(������3/������2)] (7) กรณีสินคา้ ท่สี ่งผลกระทบเชงิ ลบ:������������������������������������������������ ������������������������������ = e[ (−������3/������2)+ ln(���̅���)] − ���̅��� (8) ข้อสงั เกตจากการศึกษาของ Blanchflower and Oswald (2004) พบว่า ความสขุ และความพึงพอใจ ในชีวิตมีความสัมพันธ์กับอายุ มีลักษณะเป็นรูป U-Shaped ท้ังในกรณีศึกษาของสหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา โดยความพึงพอใจต่อชีวิตจะมีค่าต่าสุดเม่ืออายุประมาณ 40 ปี เม่ือกาหนดให้ปัจจัยอ่ืน ๆ คงที่ ดังน้ัน แบบจาลองความพึงพอใจในชีวิตในส่วนตัวแปรอายุ ได้เพิ่มตัวแปรอายุยกกาลังสอง เข้าไปใน 1 เขตการปกครอง (urban) กาหนดให้ 1= พ้ืนที่ในเขตเทศบาล จานวนการทากจิ กรรมเพ่มิ รายไดล้ ดรายจา่ ย (activity) เชน่ ลดการใช้สินค้าฟ่มุ เพอื ย การทาสิง่ ของในชวี ติ ประจาวนั ใช้เอง เป็นต้น พฤติกรรมการใชจ้ า่ ย (spend) กาหนดให้ 1 = การมพี ฤติกรรมการใช้จา่ ย ทม่ี ักพิจารณากอ่ นซ้อื วา่ ส่งิ ท่ซี อ้ื มคี วามจาเปน็ และมีประโยชน์ 51
แบบจาลองด้วย ท้ังนี้ ในการประเมิณราคาเงาจะใช้ค่าสัมประสิทธ์ิท่ีได้จากการประมาณค่าจากแบบจาลอง GMM หลังจากน้ันนาค่าดังกล่าวมาแทนในสมการที่ 7 และ 8 เพื่อคานวณหาราคาเงาของตัวแปรที่ต้องการ ศกึ ษาต่อไป 2.4 ผลการศกึ ษา 2.4.1 ขอ้ มูลการสารวจคุณภาพชวี ติ ของประชาชนอย่างยั่งยืนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง การวิเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่างจานวน 69,792 คน (เลือกเฉพาะตัวอย่างท่ีตอบคาถามเกี่ยวกับการ ประเมินความพึงพอใจในชีวิต) เป็นเพศชาย 58.5% อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร 3% ภาคกลาง (ยกเว้น กทม.) 29.9% ภาคเหนือ 22.8% ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื 26.9% และภาคใต้ 17.5% รายได้ครัวเรือนเฉลีย่ ต่อเดือนของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 20,317 บาท จานวนสมาชิกเฉลี่ยต่อครัวเรือน 3.16 คน รายได้เฉล่ียต่อคน เทา่ กับ 6,429.43 บาทตอ่ เดอื น ค่าเฉลย่ี และคา่ มธั ยฐานของความพึงพอใจในชวี ติ ของคนไทยมีคา่ เทา่ กบั 7.7 และ 8.0 ตามลาดบั จาก รปู ท่ี 2-3 จะเห็นว่าประมาณ 63% ของกลุ่มตวั อย่างประเมินวา่ ตนมคี วามสขุ ในระดบั 7 - 8 และประมาณ 4% ท่ีประเมินว่าตนเองมีความพึงพอใจในชีวิตที่ระดับคะแนน 0 - 5 จังหวัดที่มีความพึงพอใจในชีวิตเฉล่ียสูงคือ พังงา กาญจนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ น่าน และหนองคาย ส่วนจังหวัดท่ีมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิตต่าคือ ร้อยเอ็ด ศรสี ะเกษ และปราจนี บรุ ี (รูปที่ 2-4) ตารางท่ี 2-3 แสดงการกระจายของตัวแปรด้านคุณลักษณะชุมชนท่ีอยู่อาศัย และการเผชิญกับ เหตุการณ์ที่มีผลกระทบเชิงลบต่อครัวเรือน ตัวแปรด้านทุนทางสังคม แสดงให้เห็นว่า 23% ประเมินว่า ครอบครัวของตนเองมีความอบอุ่นมากท่ีสุด และเกินคร่ึงหน่ึงของกลุ่มตัวอย่าง (58%) คิดว่าจะไม่ได้กระเป๋า เงินคืน ในด้านความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน พบว่า 54% ตอบว่าชุมชนมีความใกล้ชิดกันพอสมควร ถึงมาก กลุม่ ตัวอยา่ ง 26% คิดเหน็ ว่าคนในชมุ ชนของตนมสี ่วนรว่ มทาโครงการเพ่ือสว่ นรวมในระดบั มาก 43% ตอบวา่ ชมุ ชนของตนยังมีกจิ กรรมการลงแขก/เอาแรงกนั เกิดข้ึน ประเดน็ ทน่ี ่าสนใจ คือ มีเพยี ง 20% ของกลุ่ม ตัวอย่างที่คิดว่าในชุมชนของตนมีความแตกต่างด้านรายได้ต่า ในด้านพฤติกรรมการจัดการส่ิงแวดล้อมใน ชุมชน พบว่า 37% มีการแยกขยะเป็นประจา และ 38% มีการมีการลดใช้โฟมหรือถุงพลาสติก สาหรับ เหตุการณ์สาคัญเชิงลบท่ีเคยเกิดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาท่ีส่งผลต่อครอบครัว พบว่า กลุ่มตัวอย่างน้อยมากเคย ประสบเหตุการณ์ด้านลบต่อครัวเรือน กล่าวคือ 3.8% เคยประสบกับภัยธรรมชาติ 20.5% เคยประสบกับ เหตุการณร์ าคาผลผลติ ตกต่า 6.4% ประสบกับการเจบ็ ปว่ ยคร้งั สาคัญของบุคคลในครัวเรือน และกลมุ่ ตวั อย่าง 3.4% ระบุว่าในช่วง 5 ปที ่ีผา่ นมา สมาชกิ ในครัวเรอื นเคยว่างงาน 52
รูปท่ี 2-3 ร้อยละของคนไทยทมี่ ีความพงึ พอใจในชีวติ ระดับตา่ งๆ ที่มา: ข้อมลู การสารวจคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนอย่างยงั่ ยนื ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ปี 2561 หมายเหตุ: ที่ระดบั น้อย (0 - 5) ถงึ มากที่สดุ (10) 53
รปู ที่ 2-4 คา่ เฉลี่ยความพึงพอใจในชวี ติ รายจังหวดั ที่มา: ขอ้ มูลการสารวจคุณภาพชวี ิตของประชาชนอย่างยัง่ ยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ปี 2561 หมายเหตุ: ระดับความพงึ พอใจในชวี ติ 0 - 10 โดยที่ 0 คือ ตา่ ทสี่ ุด และ 10 คอื สงู ท่ีสดุ 54
ตารางที่ 2-3 คณุ ลักษณะของชมุ ชนท่อี ยูอ่ าศัย และเหตุการณ์ทมี่ ผี ลกระทบกับครอบครวั ความอบอุ่นในครอบครวั ไม่อบอ่นุ ความถี่ อบอุน่ เล็กนอ้ ย (ร้อยละ) ความสัมพันธ์ในชมุ ชน อบอ่นุ มาก 0.3% อบอุ่นมากทีส่ ุด ใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้อืน่ เมื่อมีโอกาส ห่างเหนิ มาก 5% ห่างเหนิ 71% ชมุ ชนยังมีการลงแขก/เอาแรงกัน กลางๆ 23% ถ้าทากระเปา๋ เงนิ หายทา่ นคิดวา่ จะไดค้ นื หรือไม่ ใกลช้ ดิ พอสมควร 1% ใกล้ชดิ มาก 7% ความเหล่อื มลา้ ทางรายได้ ไมเ่ ลย 35% นานๆ คร้งั 46% การมีสว่ นร่วมลดใช้โฟมหรอื ถุงพลาสตกิ บอ่ ยครงั้ 8% แยกขยะเป็นประจา เปน็ ประจา 0.8% ประสบกบั ภยั ธรรมชาติ มี 21% ประสบกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่า ไม่มี 67% การเจบ็ ป่วยของบุคคลในครวั เรือน ไมไ่ ดค้ ืน 8% ไดค้ นื 43% ไมแ่ นใ่ จ 53% ไม่ทราบ 58% ไมม่ าก 12% มาก 29% มากที่สดุ 1% ไม่ทราบ 20% มี 60% ไม่มี 15% ไม่ทาเป็นประจา 4% ทาเปน็ ประจา 37.5% ไมเ่ กิด 61.3% เกิด 63.1% ไม่เกิด 36.9% เกดิ 96.2% ไมเ่ กิด 3.8% เกดิ 79.5 20.5% 93.6 6.4% 55
บคุ คลในครวั เรือนตกงาน ไมเ่ กิด ความถ่ี (รอ้ ยละ) เกดิ 96.6 3.4% ทม่ี า : การสารวจคุณภาพชวี ิตของประชาชนอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ปี 2561 (1) การวเิ คราะห์แบบจาลองความพึงพอใจในชวี ติ ตารางท่ี 2-4 แสดงผลการวิเคราะห์แบบจาลองความพึงพอใจในชีวิต ด้วยวิธี Ordered Probit Regression และ GMM (ผลการประเมินด้วยแบบจาลอง 2SLS ได้ค่าใกล้เคียงกับแบบจาลอง GMM ซึ่งแสดง ไว้ในส่วนภาคผนวก ก) ค่าสัมประสิทธ์ที่ได้วิธี GMM จะถูกนาไปใช้ในการคานวณราคาเงาในลาดับถัดไป ส่วน ค่าสัมประสิทธ์ิที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วย Ordered Probit Regression จะไม่ถูกนามาใช้คานวณราคาเงา โดยตรงจากการแทนคา่ ในสูตรการคานวณ Compensating Surplus (CS) (อ้างอิงไวใ้ นสมการท่ี 6) เน่ืองจาก คา่ ดงั กลา่ วไม่ใชค่ า่ ท่ีสะท้อนการเปล่ียนแปลงของตวั แปรอสิ ระที่มผี ลต่อตวั แปรตาม แบบจาลอง GMM มีคา่ R-squared เท่ากบั 0.20 แบบจาลอง Ordered Probit มคี ่า “pseudo” R- squared เท่ากับ 0.071 ข้อสังเกต คือ ค่า “pseudo” R-squared ไม่ได้แปลความหมายเหมือนกับ ค่า R- squared ท่ีได้จาก GMM ท่ีเป็นการสะท้อนสัดส่วนของความแปรปรวนของตัวแปรตอบสนองที่อธิบายโดยตัว แปรทานาย (Predictor Variable)2 แบบจาลอง Ordered Probit ได้ทาการทดสอบ Goodness of Fit ของ แบบจาลอง โดยพิจารณาจากค่า Likelihood ratio Chi-square มีค่า P-value เท่ากับ 0.000 หมายความวา่ อย่างน้อยมีค่าสัมประสิทธิ์อย่างน้อย 1 ตัว ท่ีไม่เท่ากับศูนย์ ความสัมพันธ์ของตัวแปรอธิบาย (Explaining Variable) ท่สี ง่ ผลตอ่ ความพงึ พอใจในชวี ิต จาก Ordered Probit จะถูกอธบิ ายผลการศึกษา จากเครอื่ งหมาย ของค่าสัมประสิทธิ์ ท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม และผลการทดสอบระดับ นัยสาคญั ทางสถติ ิเท่านนั้ สว่ นการอธิบายการเปล่ียนแปลงของตวั แปรอสิ ระทสี่ ่งผลต่อการเปลยี่ นแปลงของตัว แปรตามจะถูกคานวณใหเ้ ป็น คา่ Marginal Effect และทาการแปรผลในลาดบั ถดั ไป การทดสอบความเหมาะสมของแบบจาลอง GMM เร่ิมจากการทดสอบ Endogeneity ของตัวแปร รายได้ พจิ ารณาจากค่า C statistic มี คา่ เทา่ กับ 13.695 (p-value = 0.0002) หมายความวา่ ตวั แปรรายได้ ควรพิจารณาให้เป็นตัวแปรภายใน จากนั้นทาการทดสอบความเหมาะสมของตัวแปร Instrument (ประกอบด้วย เขตการปกครอง ภาค การทากิจกรรมเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย พฤติกรรมการใช้จ่ายและ การไม่ ประสบเหตุการณ์ภัยธรรมชาติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) ท่ีใช้ในการอธิบายตัวแปรรายได้ ด้วย Hansen’s J statistic มีค่าเท่ากับ 13.2988 (p-value = 0.0652) ซึ่งแสดงว่า ตัวแปร Instrument ท่ีพิจารณาว่าส่งผลต่อ รายไดม้ คี วามเหมาะสม 2 ค่าสถิติ R-squared และ “pseudo” R-squared ของการศึกษาน้ี มคี วามใกล้เคียงกบั งานวจิ ยั ของ Pawdthvee (2008) ทไ่ี ด้ศกึ ษามูลคา่ ราคา เงาของความสัมพันธ์ทางสังคมโดยใช้เครื่องมือ LSA โดยใช้ข้อมูล BHPS พบว่า ค่า R-Squared จากการวิเคราะห์ด้วยวิธี OLS และ Ordered Probit มีค่าเท่ากับ 0.184 และ Pseudo R-squared เท่ากับ 0.058 และ Chandoevwit & Thampanishvong (2016) ทศ่ี ึกษาการประเมินราคา เงาของความสัมพันธ์ในสังคม กรณศี ึกษาของประเทศไทย พบว่า Pseudo R-squared เท่ากับ 0.0343 56
ผลการศึกษาในตารางที่ 2-4 แสดงให้เห็นว่า ทุนทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวที่อบอุ่น ความสัมพันธ์ในสังคมที่ใกล้ชิด การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส ความสามัคคีในชุมชนสะท้อนผ่าน กิจกรรมลงแขก และความไว้วางใจกันในสังคม ล้วนส่งผลกระทบทางบวกต่อความพึงพอใจในชีวิตอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ นอกจากนั้น ความเหลื่อมล้าทางรายได้ในชุมชนท่ีต่า และการจัดการส่ิงแวดล้อมในชุมชน เช่น การลดใช้โฟมหรือถุงพลาสติก และพฤตกิ รรมการแยกขยะเป็นประจา ล้วนสง่ ผลกระทบทางบวกต่อความ พึงพอใจในชีวิตอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และ 99% ส่วนกลุ่มตัวแปรเหตุการณ์ สาคญั ทมี่ ีผลกระทบเชิงลบกบั ครอบครวั พบว่า การไม่ประสบเหตกุ ารณ์ราคาผลผลติ ตกต่า และการท่บี ุคคลใน ครัวเรือนไม่เจ็บป่วยหรือตกงาน มีผลทางบวกต่อความพึงพอใจในชีวิตของบุคคลในครอบครัวในปัจจุบัน ส่วน ประสบการณท์ ่เี ผชญิ ภยั ธรรมชาตใิ นอดีต 5 ปีท่ผี ่านมาไม่มีผลตอ่ ความพงึ พอใจในชวี ติ ในปัจจุบัน ปัจจัยทางด้านการเงินส่วนบคุ คล เช่น รายได้ การออมเงิน และการไม่มีหน้ี มีผลทางบวกต่อความพึง พอใจในชีวิต เพศท่ีแตกต่างกันไม่มีผลในการอธิบายความพึงพอใจในชีวิต การหย่าร้าง และแยกกันอยู่ ทาให้ ความพึงพอใจในชวี ิตลดลงเม่อื เทียบกบั กลมุ่ คนโสด สว่ นสุขภาพท่ดี ี สมรรถภาพทางจิตใจท่ีเขม้ แข็ง พฤติกรรม การไม่เล่นการพนันหรือหวย การไม่ดื่มสุราหรือด่ืมเป็นบางครั้ง มีผลทาให้ความพึงพอใจในชีวิตเพ่ิมมากข้ึน (ผลการประมาณการแบบจาลองครบทกุ ตัวแปรดูในตารางภาคผนวก ก) ตารางที่ 2-4 ผลการวิเคราะห์แบบจาลองความพงึ พอใจในชีวิต: การสารวจคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนอย่าง ยง่ั ยืนตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ตวั แปร Ordered Probit IV-GMM ทนุ ทางสงั คม ความเหลอ่ื มล้า และสง่ิ แวดลอ้ ม ค่าสัมประสทิ ธิ์ ค่าสัมประสิทธิ์ ครอบครัวอบอุน่ มาก ครอบครัวอบอุน่ มากทส่ี ุด 0.604*** 0.639*** ชมุ ชนใกล้ชิดปานกลาง (0.021) (0.023) ชมุ ชนใกล้ชิดกนั พอสมควร ถงึ มาก 0.934*** 0.966*** ใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้อ่นื บ่อยครงั้ (0.023) (0.026) ใหค้ วามช่วยเหลอื เป็นประจา 0.118*** 0.131*** มกี ิจกรรมลงแขก (0.018) (0.020) มน่ั ใจวา่ ไดก้ ระเปา๋ เงนิ คืน 0.210*** 0.242*** ความเหลอ่ื มล้าทางรายไดไ้ ม่มาก (0.018) (0.021) ลดใช้โฟมหรือถงุ พลาสติก 0.208*** 0.215*** แยกขยะเปน็ ประจา (0.011) (0.012) 0.335*** 0.342*** (0.019) (0.021) 0.073*** 0.082*** (0.009) (0.010) 0.085*** 0.094*** (0.013) (0.013) 0.086*** 0.088*** (0.011) (0.011) 0.027*** 0.032*** (0.005) (0.006) 0.138*** 0.135*** 57
ตัวแปร Ordered Probit IV-GMM คา่ สัมประสิทธ์ิ ค่าสมั ประสทิ ธิ์ ประสบการณด์ า้ นลบของครัวเรือน ไมป่ ระสบเหตุการณภ์ ยั ธรรมชาติ (0.009) (0.010) ไมป่ ระสบเหตุการณร์ าคาผลผลติ ตกต่า ไม่ประสบเหตกุ ารณก์ ารเจบ็ ปว่ ยของบคุ คลในครวั เรอื น 0.021 0.051*** ไมป่ ระสบเหตกุ ารณบ์ คุ คลในครัวเรอื นตกงาน (0.023) (0.013) เศรษฐกิจและสังคม 0.062*** 0.213*** ln รายไดค้ รัวเรอื น (0.013) (0.020) มเี งนิ ออม 0.212*** 0.338*** ไมม่ ีหนี้ (0.018) (0.026) ประกอบอาชพี เกษตรกร 0.32*** สมรส (0.024) 0.268*** หม้าย (0.025) หยา่ ร้าง 0.170*** 0.225*** แยกกนั อยู่ (0.006) (0.015) ลักษณะสว่ นบคุ คลและสุขภาพ 0.247*** 0.154*** สขุ ภาพปานกลาง (0.010) (0.011) สุขภาพดี 0.123*** 0.075*** สุขภาพดมี าก (0.009) (0.012) ด่มื เครื่องดม่ื แอลกอฮอล์บางครง้ั 0.07*** 0.009 ไมด่ มื่ เคร่อื งดมื่ แอลกอฮอล์ (0.011) (0.020) ยอมรบั ปัญหาได้ในระดบั มาก 0.043** -0.034 ยอมรับปญั หาได้ในระดับมากทีส่ ดุ (0.017) (0.022) -0.022 -0.127*** (0.020) (0.032) -0.115*** -0.109*** (0.029) (0.030) -0.100*** (0.028) 0.274*** (0.024) 0.261*** 0.45*** (0.020) (0.024) 0.432*** 0.647*** (0.020) (0.027) 0.627*** 0.054*** (0.024) (0.020) 0.049** 0.092*** (0.019) (0.020) 0.09*** 0.055*** (0.019) (0.014) 0.05*** 0.178*** (0.014) (0.027) 0.184*** (0.026) 58
ตวั แปร Ordered Probit IV-GMM คา่ สัมประสิทธิ์ คา่ สัมประสทิ ธ์ิ ควบคุมอารมณไ์ ดม้ าก 0.053*** 0.057*** (0.017) (0.018) ควบคุมอารมณไ์ ดม้ ากทส่ี ุด 0.103*** 0.102*** (0.028) (0.029) มน่ั ใจท่จี ะเผชญิ เหตุการณร์ า้ ยแรงไดใ้ นระดบั มาก 0.16*** 0.164*** (0.016) (0.017) มน่ั ใจท่จี ะเผชญิ เหตกุ ารณ์ร้ายแรงได้ในระดบั มากทสี่ ุด 0.217*** 0.223*** (0.027) (0.028) เลน่ การพนนั หรอื หวย -0.118*** -0.138*** (0.034) (0.037) จานวนกล่มุ ตวั อยา่ ง 61,302 60,493 Pseudo R-squared 0.0711 Log-likelihood -89,573.26 R-squared 0.198 Likelihood Ratio (LR) Chi-Square 13,708.58 LR Chi-square (P-value) 0.000 Wald statistic 14,795.07 หมายเหตุ : *** ระดับนัยสาคัญทางสถิติท่ี 1% ** ระดบั นัยสาคัญทางสถิติท่ี 5% * ระดับนัยสาคัญทางสถิตทิ ่ี 10% ดูผลประมาณการครบตัวแปรในภาคผนวก ก ค่าในวงเล็บ แสดงคา่ Standard error กลุม่ อ้างอิง (Reference Group) คือ ครอบครวั ไมอ่ บอนุ่ ถงึ อบอุ่นเล็กน้อย ชุมชนห่างเหนิ กัน ไม่ให้ความชว่ ยเหลือผู้อืน่ เมอื่ มี โอกาสถึงให้ความช่วยเหลอื เลก็ นอ้ ย การไมแ่ นใ่ จหรอื ไม่ม่ันใจว่าได้รับกระเป๋าเงนิ คืน ความเหลอื่ มล้าทางรายไดม้ าก การไม่ได้ ลดการใชโ้ ฟมหรือถงุ พลาสตกิ ไม่แยกขยะเปน็ ประจา ไมม่ ีกจิ กรรมลงแขกในชุมชน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปน็ ประจา เพศหญิง การเป็นโสด สุขภาพแย่ การศกึ ษาต่ากว่าระดับประถมศึกษา เกิดภยั ธรรมชาติ เกิดราคาผลผลิตตกต่า เกิดการ เจบ็ ป่วยของบคุ คลในครัวเรือน บคุ คลในครวั เรอื นตกงาน (2) การวเิ คราะหผ์ ลกระทบสว่ นเพิม่ (Marginal Effect) ผลของแบบจาลอง Ordered Probit ถูกนามาวิเคราะห์ผลกระทบส่วนเพิ่ม สาหรับอธิบายการ เปลี่ยนแปลงของตัวแปรอิสระท่ีส่งผลต่อตัวแปรตาม เพื่อความง่ายต่อการอธิบายค่า Marginal Effect การ วิเคราะห์ส่วนนี้ได้ทาการจัดกลุ่มตัวแปรความพึงพอใจในชีวิตใหม่เป็น 3 กลุ่ม คือ พอใจในชีวิตน้อย (คะแนน 0-5) พอใจในชีวิตปานกลาง (คะแนน 6-7) และพอใจในชีวิตมาก (คะแนน 8-10) ผลในตารางท่ี 2-5 แสดงค่า Marginal Effects ของตวั แปรทุนทางสังคม และตวั แปรเหตุการณส์ าคญั ท่ีมผี ลกระทบทางลบกับครอบครัว มี เครื่องหมายเป็นลบในกลุ่มพึงพอใจในชีวิตน้อย และพึงพอใจในชีวิตปานกลาง ส่วนกลุ่มพึงพอใจในชีวิตมากมี เครื่องหมายเป็นบวก การแปรผลตัวแปรทุนทางสังคม สอดคล้องกับตารางที่ 2-4 ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ใน ชมุ ชนทสี่ ามารถไวว้ างใจกันได้มคี วามนา่ จะเป็นทมี่ คี วามพึงพอใจในชีวติ มาก เมอ่ื เทยี บกบั คนในชมุ ชนท่มี คี วาม ไว้วางใจในสังคมต่า คนในชุมชนท่ีมีความแตกต่างทางด้านรายได้น้อยจะมีความน่าจะเป็นท่ีจะอยู่ในกลุ่มท่ีมี ความพึงพอใจในชีวิตมาก เม่ือเทียบกับคนในชุมชนที่มีความแตกต่างทางด้านรายได้มาก คนที่อยู่ในครอบครวั ทไ่ี มม่ ใี ครตกงานในชว่ ง 5 ปที ่ีผา่ นมาจะมคี วามนา่ จะเป็นทีจ่ ะอยใู่ นกลมุ่ ทมี่ ีความพึงพอใจในชีวิตมาก เมอื่ เทยี บ กับคนท่ีมีสมาชิกในครัวเรือนเคยมีประสบการณ์การตกงาน สาหรับตัวแปรทางรายได้ พบว่า หากรายได้ 59
เพ่ิมขึ้น 1% จะเพ่ิมความน่าจะเป็นที่จะอยู่ในกลุ่มท่ีมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น 7% และมีความน่าจะเป็น นอ้ ยลง 1.5% ท่ีจะอยู่ในกลุ่มท่มี ีความพึงพอใจในชวี ติ ต่า 60
ตารางท่ี 2-5 Marginal Effects ของแบบจาลอง Ordered Probit พอใจในชวี ติ น้อย พอใจในชวี ติ ปานกลาง พอใจในชีวติ มาก ln รายไดค้ รัวเรือน -0.015*** -0.057*** 0.072*** ครอบครวั อบอ่นุ มาก -0.046*** -0.176*** 0.222*** ครอบครัวอบอุน่ มากทสี่ ุด -0.070*** -0.266*** 0.336*** ชมุ ชนใกล้ชดิ กนั ปานกลาง -0.012*** -0.044*** 0.056*** ชมุ ชนใกล้ชิดกนั พอสมควร ถึงมาก -0.019*** -0.073*** 0.093*** ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้อ่ืนบอ่ ยครงั้ -0.017*** -0.064*** 0.080*** ใหค้ วามช่วยเหลือผู้อ่นื เป็นประจา -0.024*** -0.092*** 0.116*** มกี ิจกรรมลงแขก -0.009*** -0.034*** 0.043*** มน่ั ใจวา่ ไดก้ ระเปา๋ เงินคืน -0.009*** -0.033*** 0.041*** ความเหล่อื มล้าทางรายไดไ้ มม่ าก -0.008*** -0.030*** 0.038*** ลดใชโ้ ฟมหรือถุงพลาสตกิ -0.003*** -0.011*** 0.014*** แยกขยะเป็นประจา -0.007*** -0.027*** 0.034*** ไม่ประสบเหตกุ ารณภ์ ยั ธรรมชาติ -0.002 -0.006 0.007 ไม่ประสบเหตุการณร์ าคาผลผลติ ตกตา่ -0.004*** -0.014*** 0.018*** ไมป่ ระสบเหตกุ ารณ์การเจบ็ ป่วยของบุคคลในครัวเรอื น -0.019*** -0.072*** 0.091*** ไม่ประสบเหตุการณบ์ คุ คลในครวั เรอื นตกงาน -0.028*** -0.105*** 0.133*** หมายเหตุ : *** ระดับนยั สาคญั ทางสถติ ิท่ี 1% ** ระดับนยั สาคัญทางสถิตทิ ่ี 5% * ระดับนยั สาคัญทางสถิตทิ ่ี 10% (3) การวิเคราะหร์ าคาเงาของคุณลักษณะของชุมชนท่ีอยู่อาศยั และเหตุการณส์ าคัญท่ีมผี ลกระทบทางลบ กับครอบครัว ค่าสัมประสิทธ์ิท่ีได้จากการวิเคราะห์แบบจาลองความพึงพอใจในชีวิตด้วยวิธี GMM ในตารางท่ี 2-4 ถูกนามาประเมินมูลค่าราคาเงา ค่าสัมประสิทธ์ิของตัวแปรที่สนใจศึกษาและรายได้ถูกนามาแทนค่าเพ่ือหา มูลค่าทางการเงิน ( ������������������������������������������������ ������������������������������ = )���̅��� − e[ln(���̅���)−(������3/������2)] โดยรายได้เฉล่ียต่อคนเท่ากับ 6,429.43 บาทตอ่ เดอื น ตารางที่ 2-6 แสดงผลการคานวณราคาเงาพบว่า คนไทยให้ความสาคัญกับตัวแปรทางด้านครอบครัว ค่อนข้างมาก ซ่ึงสะทอ้ นผา่ นราคาเงาที่สูงกว่าตัวแปรด้านอื่น ๆ ราคาเงาของการมีครอบครัวอบอนุ่ มากถึงมาก ทส่ี ดุ มคี า่ 5,839 - 6,255 บาทต่อเดือน (คดิ เป็นสดั สว่ น 0.91-0.97 เทา่ ของรายได้ต่อเดอื น) ซงึ่ สามารถอธิบาย ไดว้ า่ ความรู้สึกว่าครอบครวั ของตนเป็นครอบครัวที่ไม่อบอุ่นหรืออบอ่นุ น้อย ทาใหม้ คี วามพึงพอใจในชีวิตน้อย กว่าคนที่ครอบครัวอบอุ่น และต้องใช้เงินเกือบเท่ากับรายได้ต่อเดือน จึงจะทาให้เขามีความพึงพอใจในชีวิต เพม่ิ ขึ้นเท่ากบั คนทีม่ คี รอบครัวอบอนุ่ มากที่สุด 61
ตัวแปรท่ีคนไทยให้ความสาคัญรองลงมา คือ การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส (มีราคาเงาคิด เป็นสัดส่วน 0.72 เท่าของรายได้ต่อเดือน) เมื่อพิจารณาเหตุการณ์สาคัญท่ีมีผลกระทบทางลบกับครอบครัว พบว่า การไม่ต้องเผชิญกับการว่างงานมีราคาเงาที่สูงกว่าการไม่ต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยของบุคคลใน ครวั เรือน ในส่วนความใกลช้ ิดในชุมชนในระดับพอสมควรถึงมากท่สี ุด ความรู้สึกวา่ สงั คมมคี วามไวว้ างใจ ความ เหลอ่ื มลา้ ทางรายได้น้อย มรี าคาเงาเทา่ กับ 3,822 บาท 1,906 บาท และ 1,805 บาทต่อเดอื น คิดเปน็ สดั ส่วน 0.59 0.30 และ 0.28 เท่าของรายได้ต่อเดือน (ตามลาดับ) หากประเมนิ มูลคา่ ทีเ่ ปน็ ตัวเงินเรียงจากมากไปน้อย พบว่า 5 อนั ดับแรกคือ มติ ิทางดา้ นครอบครวั การให้ การมีงานทา ความใกลช้ ดิ กนั ในชุมชน และการเจบ็ ป่วย ตารางท่ี 2-6 การประเมนิ มลู คา่ ที่เป็นตัวเงินเรยี งจากมากไปนอ้ ย (บาท/เดอื น) จากแบบจาลอง GMM ราคาเงา สัดสว่ นตอ่ รายได้เฉล่ียต่อเดือน ครอบครัวอบอนุ่ มากท่ีสุด 6,255 0.97 ครอบครัวอบอุน่ มาก 5,839 0.91 ให้ความชว่ ยเหลือผูอ้ ่ืนเปน็ ประจา 4,637 0.72 ไม่ประสบเหตุการณ์บคุ คลในครัวเรอื นตกงาน 4,613 0.72 ชุมชนใกลช้ ดิ กนั พอสมควรถงึ มาก 3,822 0.59 ให้ความชว่ ยเหลือผอู้ ่นื บ่อยครั้ง 3,552 0.55 ไม่ประสบเหตุการณ์การเจ็บป่วยของบคุ คลในครัวเรอื น 3,523 0.55 แยกขยะเปน็ ประจา 2,547 0.40 ชุมชนใกล้ชดิ กันปานกลาง 2,492 0.39 มั่นใจว่าได้กระเปา๋ เงนิ คนื 1,906 0.30 ความเหลื่อมล้าทางรายไดไ้ มม่ าก 1,805 0.28 มกี จิ กรรมลงแขก 1,698 0.26 ไม่ประสบเหตุการณร์ าคาผลผลติ ตกตา่ 1,121 0.17 ลดใชโ้ ฟมหรือถุงพลาสตกิ 721 0.11 หมายเหต:ุ รายไดเ้ ฉลย่ี ต่อคนเท่ากับ 6,429.43 บาทต่อเดอื น (4) การวิเคราะห์ราคาเงา (Shadow Price) ของคุณลักษณะของชุมชนที่อยู่อาศัยและเหตุการณ์สาคัญท่ี เคยเกดิ ข้ึนกับครอบครัว จาแนกตามรุน่ คนไทยรุ่น Baby Boomer (อายุ 56 - 74 ปี) รุ่น Gen X (อายุ 40 - 55 ปี) และรุ่น Gen Y (อายุ 24 - 39 ป)ี อาจมคี วามคิด ทศั นคติ ความพึงพอใจในชีวิตและการให้คุณค่าต่อเหตุการณใ์ นชวี ิตที่แตกต่างกนั การ วิเคราะห์ในส่วนน้ีต้องการตอบคาถามว่า คุณลักษณะของชุมชนท่ีอยู่อาศัยและเหตุการณ์สาคัญท่ีเคยเกิด ขน้ึ กบั ครอบครัว คนแตล่ ะรุ่นให้คุณค่ากับปัจจัยใดมากกวา่ กนั มคี วามเหมือนและต่างกนั อยา่ งไร (ผลประมาณ การแบบจาลองความพงึ พอใจในชีวิตของคนทั้งสามรุ่นแสดงในภาคผนวก ตารางท่ี ก2) รายได้เฉล่ยี ระหว่างรุ่น แตกต่างกันในการคานวณราคาเงา รายได้เฉล่ียต่อคนต่อเดือนของคนกลุ่ม Baby Boomer เท่ากับ 6,332.24 บาท กล่มุ Gen X เท่ากบั 7,102.33 บาท และกลมุ่ Gen Y เทา่ กับ 6,461.18 บาท 62
ตารางท่ี 2-7 แสดงผลของราคาเงาที่แบง่ ตามรุน่ (คัดเลือกบางตัวแปรที่สามารถอธิบายตัวแปรตามได้ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ) พบว่า คนไทยท้ัง 3 รุ่น ยังคงให้มูลค่ากับความสัมพันธใ์ นครอบครัวมากกว่าตัวแปร อื่น ๆ รองลงมาคือ การมีความสุขจากการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในสังคม และการมีงานทา ซึ่ง สอดคล้องกบั ผลการวเิ คราะห์ราคาเงาของคนไทยในภาพรวม กลุ่มคนรุ่น Baby Boomer ประเมินมูลค่าการมีงานทาของคนในครอบครัวท่ีสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ และให้ มลู ค่ากับความสมั พันธ์ในชุมชนต่ากวา่ รุน่ อนื่ ๆ กลา่ วได้ว่าคนรุ่น Baby Boomer ท่ีเป็นกลุม่ ผู้สงู อายแุ ละกาลัง ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ มีความต้องการพ่ึงพิงครอบครัวมากกว่ารุ่นอื่น ๆ เนื่องจาก มีความเปราะบางทางสุขภาพ และมีความต้องการความเก้ือหนุนทางด้านรายได้จากครอบครัวมากกว่า จากการสารวจประชากรสูงอายุใน ประเทศไทย ปี 2560 โดยสานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แหล่งรายได้หลกั ของผู้สงู อายุไทยสว่ นใหญ่ (34.7%) มาจากบุตร ดังนั้น หากคนในครอบครัวว่างงาน จึงมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อความพึงพอใจในชีวติ ท่ีสะท้อนผ่าน ราคาเงาของกลุ่ม Baby Boomer ที่สูงกวา่ กลมุ่ Gen X และ Gen Y กลมุ่ คนรุน่ Baby Boomer ให้มูลคา่ กับ ความสัมพันธ์ในชุมชนต่ากว่ารุ่นอ่ืน ๆ อาจสืบเน่ืองจาก ปัญหาทางสุขภาพที่เปราะบางอาจทาให้การ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทในการอธิบายความพึงพอใจในชีวิตน้อยกว่ารุ่นอ่ืน ๆ ผลการศึกษานี้สอดคล้อง กับ Suriyanrattakorn (2019) ท่ีพบว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของ ความพงึ พอใจในชวี ิตของผู้สูงอายุทม่ี ภี าวะตดิ บ้านติดเตียงไดอ้ ย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ กลุ่มคนรุ่น Gen Y ประเมินมูลค่าความไว้วางใจกันในสงั คม ความเหล่ือมลาทางรายได้ต่า การจัดการ ส่ิงแวดล้อมในชุมชน มากกว่ารุ่นอ่ืนๆ ราคาเงาของความไว้วางใจกันในสังคมของกลุ่มคน Gen Y เท่ากับ 2,749 บาท (คิดเป็นสัดส่วน 0.43 เท่าของรายได้ต่อเดือน) ส่วนกลุ่ม Baby Boomer และ Gen X เท่ากับ 1,358 และ 2,217 บาท (ตามลาดับ) สาเหตุที่คนรุ่น Gen Y ประเมินมูลค่าความไว้วางใจกันในสังคมมากกว่า รุน่ อื่น ๆ อาจพจิ ารณาไดจ้ ากคนรนุ่ Gen Y หรือ คนยคุ Millennials เกดิ ในชว่ ง ปี พ.ศ. 2523 - 2540 ซึง่ เป็น ช่วงที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ส่งผลให้พ่อแม่ของเด็กที่เกิดในช่วงนี้มักมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ ดีกว่าคนรุ่นก่อน เด็กยุค Millennials เติบโตมาพร้อมกับความกังวลท่ีน้อยลงเก่ียวกับการจัดหาความต้องการ พื้นฐานท่ีจาเป็น (Basic Needs) เนื่องจากรุ่นพ่อแม่ได้จัดสรรไวใ้ ห้แล้ว ตามทฤษฎีลาดับข้ันความต้องการของ มาส์โลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs Theory, Maslow, 1943)) ความตอ้ งการในลาดบั ถดั มาคือ ความ ตอ้ งการความปลอดภัยในสงั คม Wike (2008) พบว่าความไวว้ างใจในสังคม มีความเช่อื มโยงกับความปลอดภัย ในสังคม โดย การสารวจ Pew Global Attitudes Survey ปี 2007 ท่ีเก็บข้อมูลจากหลากหลายประเทศ พบว่า สงั คมท่มี ีความไว้วางใจในสังคมค่อนข้างสงู สง่ ผลตอ่ อัตราการเกดิ อาชญากรรมทีต่ ่าในสงั คมน้ัน ๆ ตารางที่ 2-7 การประเมนิ ราคาเงา (บาท/เดือน) จาแนกตามรุน่ Baby Boomer Gen X Gen Y 56-74 ปี 40-55 ปี 24-39 ปี ราคาเงา สดั ส่วนตอ่ รายได้ ราคาเงา สดั สว่ นตอ่ รายได้ ราคาเงา สดั สว่ นต่อรายได้ ครอบครวั อบอนุ่ มาก 5,914 0.93 6,266 0.88 5,309 0.82 ครอบครัวอบอุ่นมากทส่ี ดุ 6,226 0.98 6,803 0.96 5,986 0.93 ชุมชนใกลช้ ิดกนั ปานกลาง 1,604 0.25 3,124 0.44 2,523 0.39 ชุมชนใกลช้ ิดกันพอสมควรถงึ มาก 3,314 0.52 4,316 0.61 3,593 0.56 ให้ความชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ บอ่ ยครั้ง 3,366 0.53 3,633 0.51 3,608 0.56 63
Baby Boomer Gen X Gen Y 56-74 ปี 40-55 ปี 24-39 ปี ราคาเงา สดั สว่ นตอ่ รายได้ ราคาเงา สดั ส่วนตอ่ รายได้ ราคาเงา สัดสว่ นต่อรายได้ ให้ความช่วยเหลือผ้อู ่นื เปน็ ประจา 4,547 0.72 4,932 0.69 4,650 0.72 มกี ิจกรรมลงแขก 1,389 0.22 2,053 0.29 1,698 0.26 ม่ันใจวา่ ได้กระเป๋าเงนิ คืน 1,358 0.21 2,217 0.31 2,749 0.43 ความเหล่ือมลา้ ทางรายได้ไมม่ าก 1,775 0.28 1,567 0.22 2,303 0.36 ลดใช้โฟมหรอื ถุงพลาสติก 500 0.08 788 0.11 920 0.14 แยกขยะเปน็ ประจา 2,510 0.40 2,461 0.35 3,101 0.48 ไม่ประสบเหตุการณ์ราคาผลผลิตตกต่า 1,395 0.22 1,465 0.21 n.s. n.s. ไม่ประสบเหตกุ ารณ์การเจบ็ ปว่ ยของบคุ คลใน 3,604 0.57 3,764 0.53 n.s. n.s. ครวั เรอื น ไมป่ ระสบเหตุการณ์บุคคลในครวั เรอื นตกงาน 4,710 0.74 4,714 0.66 4,081 0.63 หมายเหต:ุ n.s. คอื ความแตกตา่ งไมม่ ีนยั สาคัญทางสถติ ิ 2.4.2 ข้อมูลการสารวจการบริโภคและการออม ข้อมูลท่ีนามาศึกษา คือกลุ่มตัวอย่างจานวน 589 คน ท่ีมีอายุต้ังแต่ 18 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นเพศหญิง 68% และชาย 32% คา่ เฉลย่ี และมธั ยฐานของความพงึ พอใจในชวี ติ เท่ากับ 7.5 และ 8.0 (ตามลาดบั ) ตวั อยา่ ง 57% ประเมนิ ความพึงพอใจในชวี ิตของตนอยู่ในระดับ 8 - 10 ตวั อย่าง 44% มีภาวะน้าหนกั เกนิ (ตารางท่ี 2- 8) ตวั อยา่ ง 25% มีพฤติกรรมการน่ังนาน ๆ เกิน 2 ชั่วโมง ทกุ วนั ในสัปดาห์ และประมาณ 27% มีการออมเงิน เป็นประจา ตารางที่ 2-8 ลกั ษณะของตัวแปรทางสุขภาพและการวางแผนทางการเงิน ดัชนมี วลกาย (BMI) มากกว่า 25 สดั ส่วน (%) ดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 25 43.97 ความพงึ พอใจในนา้ หนักตนเอง 56.03 ไม่พอใจมาก 32.43 คอ่ นข้างไม่พอใจ 32.09 ค่อนขา้ งพอใจ 19.02 พอใจมาก 16.47 จานวนวนั ที่มีพฤติกรรมเนือยน่งิ นง่ั ติดต่อกนั เกนิ 2 ช.ม. ไม่มี 28.86 1 - 3 วัน 29.71 4 - 6 วัน 16.81 ทกุ วนั 24.62 64
การประเมนิ สุขภาพตนเอง สัดสว่ น (%) แย่มาก ค่อนขา้ งแย่ 1.02 สขุ ภาพใกล้เคยี งกับคนทวั่ ไป 3.9 ดีกว่าคนท่วั ไป 54.16 ดกี วา่ คนท่วั ไปมาก 35.31 5.6 พฤติกรรมการสูบบหุ รี่ สบู 10.53 ไมส่ ูบ 89.47 ดแู ลการเงินของตนเอง 2.21 ไมเ่ ลย 9.51 คอ่ นข้างน้อย 16.98 บางครั้ง 19.19 คอ่ นขา้ งบ่อย 52.12 เป็นประจา 14.09 การออม 58.74 ไม่มีการออม 16.98 ออมบ้างไม่ออมบ้าง 10.19 ออมประจาทุกเดอื นโดยมจี านวนเงินทีแ่ นน่ อน ออมประจาทกุ เดือน แลว้ เพม่ิ สัดส่วนตามรายได้ท่เี พิ่มข้ึน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรที่มีผลต่อความพึงพอใจในชีวิต พบว่า สุขภาพที่ดีเมื่อ เปรียบเทียบกับคนทั่วไป การมีวินัยทางการเงิน เช่น การดูแลการเงินของตนเองอย่างใกล้ชิดเป็นประจา การ ออมเงินทุกเดือนเป็นประจา (โดยเพิ่มสัดส่วนการออมตามรายได้ที่เพ่ิมข้ึน) มีผลทางบวกต่อความพึงพอใจใน ชีวิต ในขณะท่ีพฤติกรรมเนือยน่ิงมีผลทางลบต่อความพึงพอใจในชีวิต ส่วนภาวะน้าหนักเกิน และการสูบบุหรี่ ไมพ่ บวา่ มีความสมั พันธ์กบั ความพงึ พอใจในชวี ิตอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิ ตารางที่ 2-9 ผลการวเิ คราะห์แบบจาลองความพึงพอใจในชีวิต: การสารวจการบริโภคและการออม ดชั นมี วลกาย (BMI) มากกวา่ 25 (1) Ordered Probit z-ratio OLS ค่าสัมประสิทธิ์ พอใจมากกับน้าหนกั ตนเอง (2) -0.93 (3) นัง่ ตดิ ต่อกันเกิน 2 ช.ม. -0.001 z-ratio คา่ สมั ประสิทธิ์ 1.61 คา่ สัมประสทิ ธ์ิ t-ratio สุขภาพใกลเ้ คยี งกับคนท่วั ไป 0.235* -1.9 สุขภาพดกี วา่ คนทว่ั ไป -0.118** -0.01 -0.088 2.94 -0.181 -1.17 สขุ ภาพดกี ว่าคนทวั่ ไปมาก 0.558** 1.92 0.206 3.25 0.298 1.43 0.672** -3.03 -0.080* 4.61 -0.129* -1.86 1.290** 2.76 0.600** 1.024** 3.03 3.25 0.682** 1.158** 3.34 4.71 1.293** 1.999** 4.44 65
(1) Ordered Probit OLS (2) (3) คา่ สัมประสิทธิ์ z-ratio ค่าสัมประสทิ ธ์ิ t-ratio z-ratio คา่ สัมประสทิ ธิ์ 0.17 0.043 0.09 สูบบุหร่ี -0.097 -0.35 0.049 -0.87 -0.041 -0.85 -0.28 -0.025 2.01 0.319** 2.13 จานวนบุหรท่ี สี่ ูบต่อวนั -0.008 2.58 0.183** 2.24 0.462* 1.9 2.67 0.338** -0.54 -0.112 -0.61 ดูแลการเงนิ ของตนเองเปน็ ประจา 0.229** 0.5 0.045 0.81 -0.060 -0.37 -0.047 -0.69 ออมเงนิ ทกุ เดอื นเปน็ ประจา 0.397** 0.017 1.93 0.224** 1.97 -0.015 0.03 -0.050 -0.21 เพศชาย 0.133* -0.42 -0.250 -0.65 0.004 -0.48 -0.312 -0.74 อายุ -0.097 0.39 0.129 0.48 อาย2ุ / 100 -0.122 -3.45 -0.707** -3.25 0.064 -1.65 -0.492 -1.48 ln รายไดส้ ว่ นบคุ คล -0.460** -2.75 -0.641** -2.44 -0.332 -2.65 -1.081** -2.57 สมรส -0.439** -0.45 -0.032 -0.73 -0.669** 4.367 3.15 หย่า -0.012 0.86 0.86 589 หมา้ ย 0.32 -1.240 0.85 0.30 -1.087 0.84 0.135 มธั ยมศึกษาตอนต้น 0.27 -0.731 0.84 0.24 -0.189 0.84 มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 0.23 0.782 0.84 0.23 1.092 0.84 อนปุ รญิ ญา/ปวส. 0.23 1.528 0.84 0.23 2.305 ปริญญาตรี 0.24 2.762 ปริญญาโทขน้ึ ไป 589 0.042 จานวนสมาชิกในครัวเรือน -1051.14 ค่าคงที่ 91.73 0.0000 /cut1 -2.348 /cut2 -2.208 /cut3 -1.880 /cut4 -1.368 /cut5 -0.411 /cut6 -0.104 /cut7 0.323 /cut8 1.077 /cut9 1.519 จานวนกลุ่มตวั อยา่ ง 589 Pseudo R-squared 0.029 Log-likelihood -1065.78 R-squared Likelihood Ratio (LR) Chi-Square 62.46 LR Chi-square (p-value) 0.0000 หมายเหตุ : ** ระดับนัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ 5% * ระดับนัยสาคญั ทางสถิติท่ี 10% ค่าสัมประสิทธท์ิ ไ่ี ดจ้ ากการวิเคราะหแ์ บบจาลองความพึงพอใจในชวี ิตโดยการประมาณค่าดว้ ยวธิ ี OLS ในตารางท่ี 2-9 ถูกนามาประเมินราคาเงา (ตารางท่ี 2-10) ราคาเงาของพฤติกรรมเนือยน่ิง มคี า่ ทางลบเท่ากับ 4,691 บาทต่อเดือน (คิดเป็นสัดส่วน 0.78 เท่าของรายได้เฉล่ียต่อเดือน) การประเมินราคาเงาของการมีวินัย ทางการเงินด้วยการดูแลการเงินของตนเองเป็นประจา และพฤติกรรมออมเงินทุกเดือนเป็นประจามีค่าเทา่ กบั 4,577 บาท และ 5,257 บาทตอ่ เดือน ตามลาดับ สาหรบั การประเมินว่าสุขภาพของตนเองดีกว่าคนท่วั ไปมาก 66
มีราคาเงาถึง 6,019 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าสุขภาพดีเป็นผลลพั ธ์สุดท้ายท่ีคนให้คุณค่าสงู กว่าพฤติกรรม สขุ ภาพและการเงนิ ตารางที่ 2-10 การประเมินราคาเงาของพฤติกรรมสุขภาพและการเงนิ (บาท/เดือน) ตวั แปร OLS ราคาเงา น่ังติดต่อกนั เกิน 2 ช.ม. -4,691 สัดส่วนตอ่ รายไดเ้ ฉลย่ี ต่อเดือน สุขภาพใกลเ้ คียงกับคนท่วั ไป 5,958 -0.78 สขุ ภาพดกี ว่าคนทว่ั ไป 5,986 0.99 0.99 สุขภาพดกี วา่ คนทว่ั ไปมาก 6,019 1.00 ดแู ลการเงินของตนเองเปน็ ประจา 4,577 0.76 0.87 ออมเงนิ ทุกเดือนเป็นประจา 5,257 หมายเหต:ุ รายได้เฉล่ยี ต่อคนมคี ่าประมาณ 6,019.35 บาทต่อเดอื น 2.5 สรุปผลการศึกษา การมีทุนทางสังคม เช่น ความไว้วางใจกันในสงั คม ความใกล้ชิดกันในชุมชน การช่วยเหลือซ่ึงกันและ กันในชุมชน และความสามัคคีในชุมชน การมีความเหล่ือมล้าทางรายได้ต่า การมีการจัดการสิ่งแวดล้อมใน ชุมชน เช่น การลดใช้โฟมหรือถุงพลาสติก และการแยกขยะเป็นประจา และการท่ีบุคคลในครัวเรือนไม่ เจ็บป่วยหรือตกงาน ล้วนมีผลทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย และเป็นส่ิงท่ีคนไทยให้คุณค่า การศึกษาราคาเงาทาให้ทราบว่าคนไทยให้คุณค่ากับพฤติกรรมหรือสถานการณท์ างสุขภาพ สังคม และทุนทาง สงั คม และการอยู่รว่ มกนั ในสังคมมากน้อยเพยี งใด ผลการวเิ คราะห์ที่ใช้หน่วยเดยี วกนั คอื บาทต่อเดอื น ทาให้ สามารถเปรียบเทยี บขนาดของผลกระทบทส่ี ะท้อนผ่านราคาเงาของปจั จยั นน้ั ๆ ผลการศกึ ษาในประเดน็ ด้านคุณลักษณะของชุมชนท่ีอยู่อาศัย พบว่า คนไทยใหค้ วามสาคัญกับตัวแปร ด้านครอบครัวค่อนข้างมาก และมีราคาเงาท่ีสูงกว่าตัวแปรด้านอื่น ๆ โดยราคาเงาของการมีครอบครัวอบอุ่น มากถึงมากที่สุดเท่ากับ 5,839 - 6,255 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 0.91-0.97 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน รองลงมาคือ การให้ความช่วยเหลือผู้อื่น การมีงานทา ความใกล้ชิดกันในชุมชน และการท่ีคนในครอบครัวมี สุขภาพท่ีแข็งแรงไม่เจ็บป่วย หากสมาชิกในครอบครัวตกงานจะส่งผลต่อความสุขของคนในครอบครัวท่ีลดลง ซึ่งลดลงมากกว่าการที่คนในครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งสอดคล้องกับ Clark and Georgellis (2013) ที่พบว่า การ ว่างงานของบุคคลในครอบครัวในประเทศอังกฤษ ส่งผลกระทบทางด้านลบต่อความพึงพอใจในชีวิตในปีที่ 0 คือปีท่เี กิดการวา่ งงาน และสง่ ผลต่อความพงึ พอใจในชีวิตทล่ี ดลงอยา่ งตอ่ เน่ืองแมเ้ วลาผา่ นไป การวิเคราะห์ราคาเงาท่ีแบ่งคนตามรุ่น 3 รุ่น คือ กลุ่ม Baby Boomer กลุ่ม Gen X และ Gen Y พบว่า คนไทยท้ัง 3 รนุ่ ยงั คงใหม้ ลู คา่ กบั ความสัมพันธใ์ นครอบครวั มากกวา่ ประเด็นอน่ื ๆ รองลงมาคือ การให้ ความช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในสังคม และการมีงานทา กลุ่มคนรุ่น Baby Boomer ประเมินมูลค่าการมีงานทา ของคนในครอบครัวที่สูงกว่ารุ่นอ่ืน และให้มูลค่ากับความสัมพันธ์ในชุมชนต่ากว่ารุ่นอ่ืน กลุ่มคนรุ่น Gen Y ประเมินมูลค่าความไว้วางใจกันในสังคม ความเหล่ือมล้าทางรายได้ต่า การจัดการส่ิงแวดล้อมในชุมชน มากกว่ารุ่นอ่ืน 67
การศึกษาด้วยข้อมูลการสารวจการบริโภคและการออม พบว่า สุขภาพที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคน ทั่วไป การมีวินัยทางการเงิน เช่น ดูแลการเงินของตนเองอย่างใกล้ชิดเป็นประจา การออมเงินทุกเดือนเป็น ประจา มีผลทางบวกต่อความพึงพอใจในชีวิต ในขณะที่พฤติกรรมเนือยนิ่ง มีผลทางลบต่อความพึงพอใจใน ชวี ิต การประเมนิ ว่าสุขภาพของตนเองดีกว่าคนทัว่ ไปมาก มรี าคาเงาสงู ถึง 6,019 บาทต่อเดอื น หรอื พอ ๆ กบั รายได้เฉล่ียต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าสุขภาพดีเป็นผลลัพธ์สุดท้ายท่ีคนให้คุณค่าสูงกว่าพฤติกรรมสุขภาพและ การเงิน การประเมินราคาเงาของการดูแลการเงินของตนเองเป็นประจา และพฤติกรรมออมเงินทุกเดือนเป็น ประจาคิดเป็นสดั สว่ น 0.76 และ 0.87 เทา่ ของรายได้เฉลีย่ ตอ่ เดอื น ตามลาดบั ประโยชน์ของราคาเงาท่ีคานวณในบทน้ีสามารถนาไปใช้อ้างอิงในงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการประเมิน ต้นทุนและผลประโยชน์ของโครงการ ในการคิดต้นทุนและผลประโยชน์ให้รอบด้าน ครอบคลุมมิติท้ังทางด้าน เศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดล้อม ซ่ึงจะทาให้ข้อสรุปเก่ียวกบั ความคุ้มคา่ ในการลงทุน สะทอ้ นการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนได้มากกว่าการคานึงเฉพาะต้นทุนและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเท่าน้ัน ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าใน การลงทุนของโครงการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ควรใช้ราคาเงาในการพิจารณา ต้นทนุ และผลประโยชน์ของโครงการในกรณกี ารประเมินสินคา้ และบริการที่ไม่มีราคาในระบบตลาด การดาเนินนโยบายสาธารณะของภาครัฐ หากต้องการดาเนินไปในเป้าหมายเพ่ือให้ประชาชนมี ความสุข จาเป็นต้องฟังเสียงและคานึงถึงความชอบของประชาชน ผลการศึกษาในบทนี้ให้ข้อสรปุ ว่า นโยบาย สาธารณะท่ีช่วยลดความเสี่ยงต่อความม่ันคงในชีวิตเป็นนโยบายท่ีช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตให้คนไทย นโยบายทสี่ าคญั คือ การหลกี เลี่ยงความเสี่ยงต่อการตกงานและการเจ็บป่วย แต่ถ้าหากประชาชนต้องเผชิญกับ ความเส่ียงนั้นแล้ว การมีระบบความคุ้มครองทางสังคม (Social Safety Net) เช่น ระบบประกันการว่างงาน และระบบประกันสุขภาพท่ัวหน้า เป็นส่ิงที่ช่วยให้ความพึงพอใจในชีวิตไม่ตกต่าลง นโยบายสาธารณะท่ีช่วย สรา้ งทุนทางสงั คมเปน็ อกี นโยบายหนง่ึ ท่ีคนไทยใหค้ วามสาคญั โดยเฉพาะกับคนในรุ่น Gen X และ Gen Y 2.6 ข้อจากดั ในการศึกษา และขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครง้ั ตอ่ ไป 1) การวิเคราะห์ในบทนี้ทาให้เห็นความสัมพันธ์ของมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ทุนทางสังคม ความ เหล่ือมลา้ และด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมต่อความพงึ พอใจในชีวิตของคนไทย อย่างไรก็ดี การใชป้ ระโยชน์จาก ข้อมูลการสารวจคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ยังไม่ครอบคลุมประเด็น ความเชอ่ื และบรรทดั ฐานทางสงั คม ซ่งึ อาจเปน็ ประเด็นทส่ี าคญั ต่อความพงึ พอใจในชวี ิตของคนไทยและควรมี การศึกษาเพอื่ เสนอนโยบายสาธารณะทเี่ กี่ยวข้องในลาดับต่อไป 2) การวิเคราะห์ราคาเงาโดยใช้ข้อมูลการสารวจการบริโภคและการออม ในปี 2561 ท่ีจัดทาโดย สถาบนั วิจยั เพอ่ื การพฒั นาประเทศไทย มขี นาดตวั อยา่ งน้อยและการสารวจครอบคลุมเขตเมืองและชนบทของ ประชากรในจังหวัดขอนแก่นเท่านั้น จากข้อจากัดของขนาดของตัวอย่างที่จัดเก็บเพียงจังหวัดเดียว อาจยังทา ให้ไม่สามารถเช่ือมโยงผลการศึกษาราคาเงาของพฤติกรรมท่ีมีผลต่อสุขภาพ สู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายใน ระดบั ประเทศไดเ้ ทา่ ท่ีควร 3) การศึกษาคร้ังนี้ใช้ข้อมูลภาคตดั ขวาง ในการวิเคราะห์ความสมั พันธ์ของตัวแปรท่ีส่งผลต่อความพงึ พอใจในชีวิตและการคานวณราคาเงา การศึกษาในอนาคตควรพิจารณาถึงการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูล Panel Data ซง่ึ อาจทาให้สามารถอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลของตัวแปรส่งผลตอ่ ความพึงพอใจในชวี ติ ไดด้ ยี งิ่ ขึน้ 4) เทคนิค LSA มีจุดเด่น หลายประการ เม่ือเปรียบเทียบกับการประเมินโดยการวัดความพึงพอใจ แบบเปิดเผย (RP) และการประเมินมลู คา่ ทางตรง (SP) อย่างไรก็ตาม งานวจิ ยั ทใ่ี ชเ้ ทคนิค LSA อาจมขี อ้ จากัด 68
เก่ียวกับความเที่ยงตรง (Validity) และความเช่ือมั่น (Reliability) ของตัวแปรความพึงพอใจในชีวิตท่ีนามา วิเคราะห์ ในการศึกษาถัดไป หากสามารถทาการเปรียบเทียบการประเมินราคาเงาโดยใช้วิธี LSA และวิธี RP หรือ SP ก็จะทาให้เพิ่มความเชอ่ื มัน่ ตอ่ ผลการประเมินราคาเงา 69
บรรณานกุ รม บทท่ี 2 ณัฏฐพงศ์ ทองภักด.ี (2551). เศรษฐศาสตรน์ โยบายสาธารณะ. กรงุ เทพฯ: ไทยพัฒนรายวันการพมิ พ.์ ประสิทธ์ิ ตงยง่ิ ศิริ. (2535). การวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ โครงการ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาพรา้ ว. มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2006, กนั ยายน 16). มลู ค่าทางเศรษฐกจิ และการประเมนิ มลู ค่าสิ่งแวดล้อม (Economic Values And Environmental Valuation Methods). เขา้ ถึงจาก Https://Www.Stou.Ac.Th/Stouonline/LOM/Data/Sec/Lom21/02-02-01.Html. Blanchflower, D. G., & Oswald, A. J. (2004). Well-being over time in Britain and the USA. Journal of Public Economics, 88(7-8), 1359-1386. Brenig, M., & Proeger, T. (2018). Putting a Price Tag on Security: Subjective Well-Being and Willingness-to-Pay for Crime Reduction in Europe. Journal of Happiness Studies, 19(1), 145-166. Brereton, F., Clinch, J. P., & Ferreira, S. (2008). Happiness, geography and the environment. Ecological Economics, 65(2), 386-396. Brown, T. T. (2015). The Subjective Well-Being Method of Valuation: An Application to General Health Status. Health Services Research, 50(6), 1996-2018. Carroll, N., Frijters, P., & Shields, M. (2009). Quantifying the costs of drought: new evidence from life satisfaction data. Journal of Population Economics, 22(2), 445-461. Chandoevwit, W., & Thampanishvong, K. (2016). Valuing Social Relationships and Improved Health Condition Among the Thai Population. Journal of Happiness Studies, 17(5), 2167–2189. Clark, A. E., & Oswald, A. J. (2002). A simple statistical method for measuring how life events affect happiness. International Journal of Epidemiology, 31, 1139- 1144. Clark, A. E., Flèche, S., Layard, R., Powdthavee, N., & Ward, G. (2018). The Origins of Happiness:The Science of Well-Being over the Life Course. New Jersey: Princeton University Press. Clark, A. E. (2018). Four Decades of the Economics of Happiness: Where Next?” Review of Income and Wealth. 64(2), 245–69. Clark, A. E., Frijters, P. & Shields, M.A. (2008). Relative Income, Happiness, and Utility: An Explanation for the Easterlin Paradox and Other Puzzles. Journal of Economic Literature, 46(1), 95-144. Clark, A. E., & Georgellis, Y. (2013). Back to Baseline in Britain: Adaptation in the British Household Panel Survey. Economica, 80(319), 496–512. Cohen, M. A. (2008). The Effect of crime on life satisfaction. Journal of Legal Studies, 37(2), 325-353. Dolan, P., & Metcalfe, R. (2008). Comparing willingness to pay and subjective wellbeing in the context of non-market goods. Centre for Economic Performance (London School of Economics) Discussion paper 890. 70
Dolan, P., Fujiwara, D., & Metcalfe, R. (2011). A Step towards Valuing Utility the Marginal and Cardinal Way (No. dp1062; CEP Discussion Papers). Centre for Economic Performance, LSE. Fleming, C. and Ambrey, C. (2017). Life Satisfaction Approach to Environmental Valuation, In Oxford Encyclopaedia of Environmental Economics, New York, USA: Oxford University Press. Frey, B.S., Luechinger, S., & Stutzer, A. (2009). The Life Satisfaction Approach to Valuing Public Goods: The Case of Terrorism. Public Choice, 138(3), 317–45. Fujiwara, D. (2019). Valuing Non-Market Goods using Subjective Wellbeing Data (Unpublished doctoral dissertation). London School of Economics and Political Science, London. Fujiwara, D., & Campbell, R. (2011). Valuation techniques for social cost-benefit analysis: Stated preference, revealed preference and subjective well-being approaches: a discussion of the current issues. London: HM Treasury. Groot, W., & van den Brink, H. M. (2006). The compensating income variation of cardiovascular disease. Health Economics Letters, 15, 1143-1148. Gwozdz, W. & Sousa-Poza (2010) A. Ageing, Health and Life Satisfaction of the Oldest Old: An Analysis for Germany. Social Indicators Research. 97(3), 397-417. Helliwell, J. F., & Huang, H. (2005). How's the job? Wellbeing and social capital in the workplace. NBER Working Paper Series. Helliwell, J. F., Huang, H., & Wang, S. (2016). New Evidence on Trust and Well-Being. NBER Working Paper 22450, National Bureau of Economic Research, Inc. Helliwell, J., Layard, R., & Sachs, J. (2019). World Happiness Report 2019. New York: Sustainable Development Solutions Network. HM Treasury (2018, September 20). The Green Book Central Government Guidance on Appraisal and Evaluation. Retrieved from https://assets.publishing.service.gov.uk/government/uploads/system/uploads/attach ment_data/file/685903/The_Green_Book.pdf Holmes, T., & Koch, F. (2019). Bark Beetle Epidemics, Life Satisfaction, and Economic Well- Being. Forests, 10(8), 1-15. Jones, B. A. (2017). Are we underestimating the economic costs of wildfire smoke? An investigation using the life satisfaction approach. Journal of Forest Economics, 27, 80- 90. Kamp Dush, C. & Amato, P. (2005). Consequences of relationship status and quality for subjective well-being. Journal of Social and Personal Relationships, 22, 607-627. Kuroki, M. (2013). Crime Victimization and Subjective Well-Being: Evidence from Happiness Data. Journal of Happiness Studies, 14(3), 783-794. 71
Luechinger, S., & Raschky, P. A. (2009). Valuing flood disasters using the life satisfaction approach. Journal of Public Economics, 93(3-4), 620-633. Levinson, A. (2009). Valuing Public Goods Using Happiness Data: The Case of Air Quality. NBER Working Papers 15156, National Bureau of Economic Research, Inc. MacKerron, G., & Mourato, S. (2009). Life satisfaction and air quality in London. Ecological Economics, 68(5), 1441–1453. Maslow, A. (1943). A Theory of Human Motivation. Psychological Review, 50(4), 370-396. Mendoza, Y., Loyola, R., Aguilar, A. & Escalante, R. (2019). Valuation of air quality in Chile: The life satisfaction approach. Social Indicators Research, 145, 367-387. OECD (2013). OECD Guidelines on Measuring Subjective Well-being. Paris: OECD Publishing. Okuyama, N. (2019). A valuation of viewing public broadcasting with endogeneity: The life satisfaction approach. Telecommunications Policy, 43(9), 1-12. Ouzzani, M., Hammady, H., Fedorowicz, Z., & Elmagarmid, A. (2016). Rayyan—A web and mobile app for systematic reviews, Systematic Reviews, 5(1), 1-10. Powdthavee, N. (2008). Putting a price tag on friends, relatives, and neighbours: Using surveys of life satisfaction to value social relationships. Journal of Socio-Economics, 37(4), 1459-1480. Rehdanz, K., & Maddison, D. (2005). Climate and happiness. Ecological Economics, 52(1), 111–125. Shi, Yi., Joyce, C., Wall, R., Orpana, H., & Bancej, C. (2019). A Life Satisfaction Approach to Valuing the Impact of Health Behaviours on Subjective Well-Being. BMC Public Health, 19(1547), 1-12. Suriyanrattakorn S. (2019). Happiness among the Disabled Elderly: A study based on micro data in Udonthani Thailand. Thammasat Economics Journal. 37(1), 83-91. Tolsma, J., & van der Meer, T. W. G. (2017). Losing Wallets, Retaining Trust? The Relationship Between Ethnic Heterogeneity and Trusting Coethnic and Non-coethnic Neighbours and Non-neighbours to Return a Lost Wallet. Social Indicators Research, 131(2), 631– 658. Van den Berg, B., & Ferrer-i-Carbonell, A. (2007). Monetary valuation of informal care: the well-being valuation method. Health Economics, 16(11), 1227-1244. Wang, E. D., Kang, N. N., & Yu, Y. (2018). Valuing Urban Landscape Using Subjective Well- Being Data: Empirical Evidence from Dalian, China. Sustainability, 10(1), 1-20. Welsch, H. (2008). The welfare costs of corruption. Applied Economics, 40(14), 1839-1849. Wike, R. (2008, September 20). Where Trust Is High, Crime and Corruption Are Low Pew. Retrieved from https://www.pewresearch.org/global/2008/04/15/where-trust-is-high- crime-and-corruption-are-low/. 72
73
บทท่ี 3 การสารวจความพึงพอใจในชีวติ ทัศนคติ และบรรทดั ฐานทางสงั คม ระดับความพึงพอใจในชีวิตเป็นแนวทางหนึ่งท่ีใช้ในการวัดคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ และเป็น เป้าหมายหนึ่งของการพัฒนาประเทศ ท่ีนอกเหนือไปจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ คนในแต่ละรุ่น หรือ Generations มักมีประสบการณ์และเติบโตในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมท่ีแตกต่าง กันไป ซึ่งมีผลให้การปลูกฝังและการหล่อหลอมวิธีคิด ทัศนคติ ความเช่ือ ค่านิยม มุมมองต่อสังคม และการใช้ ชีวิตของคนในแต่ละรุ่นไม่เหมือนกัน ปัจจัยดังกล่าวอาจจะมีผลต่อความพึงพอใจในชีวิต รวมไปถึงความชอบ ตอ่ นโยบายสาธารณะท่แี ตกต่างกนั ระหว่างรุ่นได้ ในประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ ให้ความสาคัญกับการสารวจความพึงพอใจในชีวิตของคนในประเทศเป็นอย่าง มาก และมีการสารวจกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อนาข้อมูลท่ีได้มาประเมินความพึงพอใจของคนต่อเหตุการณ์สาคัญ ท่ีเกิดขึ้นในแต่ละปี รวมไปถึงการติดตามความก้าวหน้าด้านนโยบาย การออกแบบนโยบาย และการประเมิน นโยบายของภาครัฐ สาหรับประเทศไทยข้อมูลทางการที่เก่ียวข้องกับความพึงพอใจในชวี ิตหรือความอยู่ดีมสี ุข เชิงอัตวิสัยของคนไทยยังเป็นข้อมูลภาคตัดขวาง การสารวจหลายชดุ มีคาถามการวัดความพึงพอใจในชีวิต แต่ การสารวจเหล่านัน้ นามาใช้แบบดแู นวโน้มไม่ได้ และมกั มกี ารเนน้ เนื้อหาการสารวจทแ่ี ตกต่างกัน จงึ มขี ้อจากัด ในการนาข้อมูลไปวเิ คราะหเ์ พอ่ื ใชป้ ระโยชน์ เนื่องจากคนไทยมีวัฒนธรรม โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมท่ีค่อนข้างแตกต่างไปจากประเทศ พัฒนาแล้ว จึงจาเป็นท่ีจะต้องพัฒนาเคร่ืองมือในการเก็บข้อมูลท่ีครอบคลุมบริบททางวัฒนธรรม ความเชื่อ บรรทัดฐานทางสังคม การร่วมมือกันในยามยากลาบาก ความไว้วางใจที่มีต่อภาครัฐ รวมถึงความเหล่ือมล้าใน สงั คม ทีอ่ าจจะมีผลตอ่ ความพึงพอใจในชีวติ ของคนไทย ซ่งึ อาจจะมผี ลตอ่ การสนับสนนุ นโยบายสาธารณะของ ภาครัฐได้ การศึกษาในบทนจ้ี งึ มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อสารวจความพึงพอใจในชวี ิตของคนไทย ที่ครอบคลมุ ปจั จยั ด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และบรรทัดฐานทางสังคม โดยเน้นความแตกต่างระหว่างคน 3 รุ่น (รุ่น Baby Boomer รุ่น Gen X และรุ่น Gen Y) ซึ่งจะช่วยทาให้สามารถนาไปวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และบรรทัดฐานทางสังคมต่อความพึงพอใจในชีวิตของคนไทยระหว่างรุ่นได้ใน ลาดบั ตอ่ ไป 3.1 ทบทวนวรรณกรรมด้านการสารวจความพึงพอใจในชวี ติ 3.1.1 การให้คาจากัดความของความพึงพอใจในชวี ิต ความพึงพอใจในชีวิตหรือความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย (Subjective Well–being) เป็นคาที่ใช้ใน ความหมายเดียวกัน การวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยเป็นการวัดเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และความพึง พอใจในชีวิตโดยรวม โดยการให้แต่ละบุคคลประเมินด้วยตัวเอง ในขณะที่ความอยู่ดีมีสุขเชิงภาวะวิสัย (Objective Well–being) มักเน้นประเด็นด้านรายได้เป็นหลัก OECD (2013) ได้ให้ความหมาย ความอยู่ดีมี สุขเชิงอัตวิสัย หมายถึง สภาพจิตใจที่ดี ซึ่งเป็นการประเมินชีวิตโดยปัจเจกท้ังด้านความรู้สึกทางบวกและทาง ลบผ่านประสบการณข์ องการดาเนนิ ชวี ติ ของแตล่ ะคน 74
Diener, Suh, Lucas, and Smith (1999) แบง่ ความอยู่ดมี ีสุขเชิงอตั วสิ ัยเป็น 4 มติ ิ คือ 1) อารมณพ์ ึงพอใจ (Pleasant Emotion) เช่น ความสนุก ความสุข ความรกั ความพงึ พอใจ 2) อารมณไ์ ม่พงึ พอใจ (Unpleasant Emotion) เชน่ ความเศรา้ ความโกรธ ความกังวล 3) การวิเคราะห์ชีวิตในภาพรวม (Global life judgment) เช่น ความพอใจหรือการบรรลุเป้าหมาย ในชวี ิต 4) ความพงึ พอใจเฉพาะดา้ น เชน่ ดา้ นชีวิตครอบครัว ดา้ นสุขภาพ และการใช้เวลาว่าง เปน็ ตน้ OECD (2013) จาแนกการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยเป็น 3 ด้าน คือ ด้านการประเมินชีวิต (Life Evaluation) ด้านอารมณ์ (Affect) และดา้ นการมีคุณค่าและเปา้ หมายในชีวติ (Eudaimonia) การประเมินชีวิต (Life Evaluation) คือการให้แต่ละบุคคลประเมินชีวิตของตนเองในภาพรวม หรือ จาแนกตามหัวข้อ เช่น การประเมินความพึงพอใจในชีวิตในภาพรวม หรือการประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อ สุขภาพ สถานะทางการเงิน เป็นต้น การวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสยั โดยใชก้ ารวดั ความพึงพอใจในชีวิตมีการ ใชอ้ ยา่ งแพร่หลาย การประเมินชีวติ ของแตล่ ะบุคคลตามหลัก Peak-end Rule อาจข้ึนอยกู่ บั การเปรยี บเทียบ ประสบการณ์ในอดีตเฉพาะตอนท่ีเข้มข้นที่สุด (Peak) และตอนจบ (End) กับประสบการณ์ในปัจจุบัน หรือ สถานการณ์ปกติ การประเมินภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก (Affect) เป็นการประเมินจากประสบการณ์ที่บุคคลนั้น ๆ รู้สึก ตามจุดของช่วงเวลาหรือการทากิจกรรมท่ีแตกต่างกันออกไป อารมณ์แบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 2 มิติ คือ อารมณ์ทางด้านบวก (Positive Affect) เช่น ความสุข ความเบิกบานใจ และอารมณ์ทางด้านลบ (Negative Affect) เชน่ ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความกระวนกระวายใจ เปน็ ตน้ การมีคุณค่าและเป้าหมายในชีวิต (Eudaimonia) แตกต่างจากการประเมินชีวิตและอารมณ์ ตรงที่ ความอยู่ดีมีสุขในมิติ Eudaimonia ให้ความสาคัญกับผลลพั ธ์ท่ีเกี่ยวกับการทาหน้าที่ (Functioning) และการ ตระหนักรู้ในศักยภาพของแต่ละบุคคล การรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย มีขอบเขตท่ีเกี่ยวข้องกับความเข้าใจและ ความเขม้ แขง็ ทางดา้ นจิตใจ (Steptoe & Fancourta, 2019) เน่ืองด้วยความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยมีขอบเขตที่กว้างกว่าคาว่า ความสุข ความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยมี องค์ประกอบทางด้านอารมณ์ทั้งบวกและลบ รวมท้ังประเด็นทางด้านคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตแต่ละ องค์ประกอบมปี ัจจัยท่ีส่งผลกระทบทแ่ี ตกต่างกัน ดังน้ัน องค์ประกอบของความอยดู่ ีมีสขุ เชงิ อัตวิสัยแตล่ ะด้าน ควรวดั แยกจากกัน (Dolan & Metcalfe, 2012 และ Stigliz, Sen & Fitoussi, 2009) Helliwell and Putman (2004) วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างการประเมินความสุขและความพึง พอใจในชีวิต ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความสุขท่ีประเมินด้วยตนเองสะท้อนภาวะการณ์ในระยะส้ัน และขึ้นอยู่กับอารมณ์ ณ ช่วงเวลาน้ัน ๆ ในขณะที่ความพึงพอใจในชีวิตเป็นการประเมินในระยะยาวและมี ความน่ิงมากกว่า Peiro (2006) ศึกษาข้อมูล the World Values Survey ในช่วงปี 1995 ถึง 1996 พบว่า ความสุขไม่ได้ข้ึนอยู่กับตัวแปรทางเศรษฐกิจ ซ่ึงต่างกับความพึงพอใจในชีวิตท่ีตัวแปรทางเศรษฐกิจส่งผล กระทบอยา่ งมีนัยสาคัญ 75
3.1.2 เคร่ืองมอื ในการวัดความอยู่ดีมสี ขุ เชงิ อตั วิสยั เครื่องมือในการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยมักเป็นแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นลักษณะคาถามที่ให้ ผู้ตอบแบบสอบถามประเมินด้วยตนเอง ซึ่งการประเมินของผู้ตอบอาจมีการอ้างอิงประสบการณ์ ความรู้สึก หรือการคาดหวัง ท่ีอาจเชื่อมโยงกับส่ิงท่ีเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตของบุคคลนั้น ๆ เคร่ืองมือใน การวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย อาจถูกออกแบบมาเพ่ือใช้วัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยในมิติท่ีแตกต่างกัน ออกไป เช่น คาถามที่เกี่ยวกับการประเมินความพึงพอใจในชีวิต เป็นเคร่ืองมือในการวัดมิติด้านการประเมิน ชีวิต คาถามเกี่ยวกับความรูส้ ึกมีความสุข หรือความเครียด ใช้วัดมิติด้านประสบการณ์หรืออารมณ์ สว่ นคาถาม ท่เี กีย่ วกบั ความรสู้ ึกมคี ุณคา่ ในตนเอง ประเดน็ ดงั กลา่ วก็จะตอบโจทยม์ ิติ Eudaimonia ในสว่ นตอ่ ไปนเ้ี ปรียบเทียบเครอ่ื งมือในการวัดความอยู่ดมี สี ขุ เชงิ อตั วสิ ัยของขอ้ มูล 5 แหลง่ 1) รายงานความสุขโลก (World Happiness Report, WHR) ให้ความสาคัญในการประเมินความอยู่ ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยใน 2 ประเด็นคือ ก) การประเมินความพึงพอใจในชีวิต จากขั้นบันไดแห่งความสุข (The Cantril Ladder) และ ข) การประเมินภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก แบ่งเป็นความรู้สึกด้านบวก และด้านลบ ข้อสังเกต คือ Gallup World Poll ไม่ได้มีข้อคาถามเก่ียวกับจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เฉพาะเจาะจง (ดังสรุปใน ตารางที่ 3-1) มิติการประเมินชีวิต การประเมินความสุขของแต่ละประเทศ ใช้การประเมินแบบข้ันบันไดแห่ง ความสุข หรอื ที่เรียกว่า “The Cantril Ladder” มาตรวัด Cantril พฒั นาโดย Hadley Cantril มีการใช้อย่าง แพร่หลาย ซงึ่ ถอื เป็นเครื่องมอื หน่ึงใน การประเมินชวี ิตท่ีเปน็ การประเมนิ ระยะยาว มิติทางประสบการณ์เชิงบวก ประเมินจากการถามคาถามเกี่ยวกับ การผ่อนคลาย (Well- Rested) การหัวเราะ (Laughter) การได้เรียนรู้และทาสิ่งท่ีน่าสนใจ และความเบิกบานใจ (Enjoyment) โดย เปน็ การประเมินจากประสบการณท์ ี่เกิดขึน้ เมื่อวานน้ี (คาตอบของคาถามมีสองทางเลือก คอื ใช่ กับ ไม่ใช)่ มิติทางประสบการณ์เชิงลบ ประเมินจากการถามเกี่ยวกับการประเมินความเจ็บปวดทางกาย ความกังวล ความเศร้า ความเครยี ด และความโกรธ (คาตอบของคาถามมีสองทางเลือก คือ ใช่ กับ ไมใ่ ช่ ) 2) World Values Survey (WVS) เป็นฐานข้อมูลระดับโลกโดยเก็บข้อมูลจากกว่า 80 ประเทศ การ เก็บข้อมูลได้อาศัยความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น United National Development Program World Bank; Bill and Melinda Gates Foundation และ European Values Study เป็นต้น ในแบบ สัมภาษณ์ World Values Survey เริ่มจากการวางคาถามเก่ียวกับการประเมินความสุขในชีวิต ตามมาด้วย การประเมินความพึงพอใจในชวี ิตไว้ในสว่ นต้น ๆ ของแบบสอบถาม (ดูตารางท่ี 3-1) 3) British Office for National Statistics (ONS) ได้จัดทาโครงการการวัดความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ หรอื ท่เี รยี กว่า Measuring National Well-being Programme (MNWP) โดยมเี ป้าหมายเพือ่ พัฒนาเครื่องมือ ในการวัดความอยู่ดีมีสุขที่เป็นท่ียอมรับในวงกว้างและน่าเชื่อถือ การถามความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยมีสี่คาถาม และให้ตอบตามสเกล 0 คอื “ไมพ่ งึ พอใจ หรือไม่รูส้ ึกเลย” ถงึ 10 คอื “พึงพอใจมากท่ีสดุ หรือรูส้ กึ มากท่ีสุด” 4) Socio-Economic Panel (SOEP) จัดทาโดย the German Institute for Economic Research (DIW Berlin) เป็นการเก็บข้อมูลระดับครัวเรือนและบุคคลในประเทศเยอรมนี รวมท้ังมีการเก็บข้อมูลติดตาม ตามรุ่น (Birth Cohort) แบบข้อคาถามที่เก่ียวข้องกับประเด็นในส่วนความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยครอบคลุมทั้ง สามมติ ิ คอื การประเมนิ ชีวิต อารมณ์ และคณุ ค่าของชวี ติ 76
คาตอบในการวัดความพึงพอใจในชีวิตเป็นสเกล เริ่มตั้งแต่ 0 - 10 โดย 0 คือ ไม่พอใจเลย 10 คือ พอใจมากท่สี ุด สว่ นดา้ นอารมณค์ วามรูส้ ึก คาตอบเปน็ มาตรวดั อันดบั เริ่มต้ังแต่ 1 - 5 โดย 1 คือ แทบไม่เคย 5 คือ บ่อยมาก ประเมินในมิติ Eudaimonia คาตอบเร่ิมจาก 0 - 10 โดยที่ 0 หมายถึง ไม่มีคุณค่าหรือไม่มี ประโยชน์เลย และ 10 หมายถงึ มคี ุณคา่ และมปี ระโยชน์อย่างมาก 5) British Household Panel Survey (BHPS) ส นั บ ส นุ น โ ด ย Economic & Social Research Council (ESRC) จัดทาโดย Institute for Social and Economic Research: University of Essex BHPS มีการออกแบบข้อคาถามท่ีใช้วัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย จากการสอบถามเก่ียวกับความพึงพอใจในชีวิต รวมทั้งมีการใช้เคร่ืองมือการประเมินทางสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต ที่เรียกว่า แบบสอบถามสุขภาพท่ัวไป (The General Health Questionnaire, GHQ-12) และแบบสอบถามการประเมนิ คุณภาพชวี ติ ของผู้สงู อายุท่ี เรยี กว่า CASP-19 BHPS มีข้อคาถามที่สะท้อนมิติในการประเมินชีวิต รวมท้ังมิติเชิงคุณค่าและมิติทางด้านอารมณ์ เช่น คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าหรือไม่ คุณรู้สึกว่าคุณได้มีส่วนร่วมในการทาส่ิงที่เป็นประโยชน์มากน้อยแค่ ไหน คณุ รูส้ กึ ไม่มคี วามสขุ หรือหดหหู่ รือไม่ คุณรู้สกึ เครยี ดหรอื ไม่ ตารางที่ 3-1 สรปุ คาถามท่ีใช้วดั ความอยู่ดมี ีสุขเชิงอัตวสิ ัยแบ่งตาม 5 แหลง่ ข้อมูล องค์ประกอบความอยู่ดี แหล่งท่มี า คาถาม มสี ขุ เชงิ อัตวิสัย WHR โปรดจินตนาการบันไดทั้งหมด 10 ขั้น เรม่ิ ตั้งแต่ขั้นที่ 0 - 10 ขั้นท่ี 10 การประเมินชวี ติ แสดงถงึ ชวี ิตทด่ี ีท่สี ดุ สาหรบั คณุ และขนั้ ที่ 0 ของบนั ไดแสดงถึงชวี ติ ท่ี (Life Evaluation) เลวร้ายทส่ี ดุ คณุ รสู้ ึกวา่ ตอนนี้ คณุ ยืนอยู่ ณ บนั ไดข้นั ท่ีเท่าไหร่ เมื่อพิจารณาจากทุกสง่ิ แลว้ คณุ มคี วามพึงพอใจต่อชวี ติ ของคุณทุกวนั นี้ใน WVS ภาพรวมอย่างไร โดยรวมแลว้ ปจั จบุ ันนคี้ ณุ พงึ พอใจในชวี ิตของคณุ มากแค่ไหน ONS วนั นีค้ ุณรสู้ กึ พึงพอใจเพยี งใดในชีวิตของคุณ SOEP โดยรวมแล้ว คณุ พึงพอใจ หรอื ไมพ่ ึงพอใจ กบั ชีวิตของคุณ BHPS เมื่อเทยี บกับปีทแี่ ล้ว คณุ พอใจกบั ชวี ติ มากขึน้ นอ้ ยลง หรือเทา่ เดมิ เมื่อวานน้ี คุณรูส้ กึ ผอ่ นคลายหรอื ไม่” ประสบการณ์ หรือ WHR เม่ือวานนี้ท้ังวัน คณุ ไดร้ ับการปฏบิ ัติด้วยความเคารพหรือไม่ อารมณด์ า้ นบวก เมอื่ วานน้ี คณุ ยม้ิ หรือ หัวเราะบ่อย ๆ ใชห่ รือไม่ เม่อื วานนี้ คณุ ได้เรยี นรหู้ รือทาสง่ิ ท่ีน่าสนใจหรือไม่ WVS เมอื่ วานน้ี คุณรู้สึก เบกิ บานใจ คอ่ นขา้ งมากใช่หรือไม่ เมอื่ พิจารณาทุก ๆ อย่างแลว้ คณุ จะบอกว่าคณุ มีความสุขมากนอ้ ย ONS อย่างไร SOEP โดยรวมแลว้ เมือ่ วานนคี้ ณุ รสู้ ึกมคี วามสขุ มากนอ้ ยแคไ่ หน BHPS โปรดระบวุ ่าคณุ มีความสขุ บ่อยเพยี งใดในชว่ งสี่สัปดาห์ทีผ่ ่านมา ขอ้ คาถามส่วนหนึง่ ในแบบสอบถามสขุ ภาพทั่วไป ประสบการณ์ หรือ WHR คุณสามารถสนกุ กบั กจิ กรรมปกติในชวี ิตประจาวนั ไดห้ รือไม่ อารมณด์ ้านลบ WVS เม่ือพิจารณาจากทกุ ส่ิง คณุ รสู้ กึ มคี วามสขุ หรือไม่ เมื่อวานนี้ คณุ รู้สกึ เกยี่ วกับอารมณเ์ หล่านี้ (ความเจบ็ ปวดทางกาย/ กงั วล / เศร้า / เครยี ด / โกรธ) มากหรือไม่ ไมร่ ะบุชัดเจน 77
องค์ประกอบความอยู่ดี แหลง่ ทีม่ า คาถาม มสี ขุ เชงิ อัตวิสยั ONS โดยรวมแล้ว เมือ่ วานนีค้ ณุ รสู้ ึกวติ กกงั วลมากนอ้ ยแค่ไหน SOEP โปรดระบวุ ่าคณุ รสู้ กึ โกรธ / กังวล / เศร้า บอ่ ยเพียงใดในช่วงส่สี ปั ดาห์ที่ ผ่านมา BHPS ข้อคาถามสว่ นหน่ึงในแบบสอบถามสุขภาพทั่วไป คณุ นอนไมห่ ลบั เพราะกังวลหรอื ไม่ คุณค่าและความหมายใน WHR คุณรสู้ ึกเครยี ดหรือไม่ ชวี ติ (Eudaimonia) WVS คณุ รสู้ ึกไมม่ คี วามสขุ หรอื หดหู่หรอื ไม่ ONS ไม่ได้ระบุอยา่ งชัดเจน SOEP คุณคดิ เกย่ี วกับความหมายและจดุ ประสงคข์ องชวี ิตบ่อยแค่ไหน BHPS โดยรวมแลว้ คณุ รสู้ ึกวา่ สิง่ ท่ีคณุ ทาในชวี ติ มคี ุณคา่ มากน้อยเพยี งใด คุณมคี วามรสู้ กึ ว่าส่ิงทีค่ ณุ ทาในชีวิตมคี ณุ ค่าและมีประโยชนห์ รอื ไม่ ขอ้ คาถามสว่ นหนงึ่ ในแบบสอบถามสุขภาพทัว่ ไป คุณรสู้ ึกวา่ คณุ ไดม้ สี ่วนร่วมในการทาส่ิงทีเ่ ปน็ ประโยชน์มากน้อยแคไ่ หน คณุ เคยคิดว่าตวั เองเปน็ คนไร้ค่าหรือไม่ 3.1.3 การสารวจความอยดู่ มี ีสขุ เชิงอัตวิสยั ในประเทศไทย ข้อมูลทางการท่ีเกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขเชงิ อัตวสิ ัยในประเทศไทยท้ังหมดเป็นข้อมูลภาคตดั ขวาง ซึ่งมี ทั้งการเก็บต่อเนื่องทกุ ๆ ปีและไม่เก็บต่อเน่ือง ช่วงข้อมูลค่อนขา้ งส้ันมีขอ้ จากัดในการนาข้อมูลมาวเิ คราะหใ์ น เชิงอนุกรมเวลา การสารวจท่ีออกแบบมาเพื่อให้สามารถนาเข้ามูลมาวิเคราะห์ความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยและ ภาวะวิสัย ประกอบด้วย 5 ฐานการสารวจหลักๆ คือ 1) การสารวจความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย 2) การ สารวจความสขุ คนทางาน (ในองค์กร) 3) การสารวจสขุ ภาพจิต 4) การสารวจคณุ ภาพชีวิตของประชาชนอย่าง ย่ังยืนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง และ 5) การสารวจการบริโภคและการออม รายละเอียดแสดงในตารางท่ี 3- 2 1) การสารวจความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย จัดทาขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลและหน่วยงาน ที่ เก่ียวข้องนาไปใช้ในการวางแผน พัฒนา และขับเคล่ือนกลไกการสร้างความสุขและความอยู่ดีมีสุขของ ประชาชนในประเทศที่แท้จริง และยั่งยืน การออกแบบข้อคาถามความพึงพอใจในชีวิต ถามว่า “ท่านมีความ พึงพอใจในชีวิตของท่านมากน้อยเพียงใด” คาตอบแบ่งเป็น 1 - 10 (1 เท่ากับไม่พอใจเลย และ 10 พึงพอใจ มากท่ีสุด) นอกจากนั้นยังมีการประเมินความพึงพอใจในชีวิตแยกตามองค์ประกอบย่อย (แบ่งเป็น การศึกษา การทางาน ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน บ้าน/ท่ีพักอาศัย ชีวิตครอบครัว สุขภาพ และสังคม) และมีการประเมิน อารมณ์เชงิ บวก และลบ 2) การสารวจความสุขคนทางาน (ในองค์กร) มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) จัดเก็บข้อมูลพ้ืนฐานเก่ียวกับ ความสุขของประชากรวัยแรงงานที่ทางานเป็นลูกจ้างในองค์กร ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และ ลูกจ้างภาคเอกชน 2) เพื่อนาข้อมูลไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน เสริมสร้าง “ความสุขคนทางาน” และ “องค์กรแห่งความสุข”และ 3) เพื่อให้ประเทศมีฐานข้อมูลความสุขคนทางานในประเทศไทย การประเมิน ระดบั ความสุข ประเมินจากกลุม่ ชุดคาถาม ทีแ่ บง่ เป็น 9 มิติ คอื มิติสขุ ภาพดี ผอ่ นคลายดี น้าใจดี จิตวญิ ญาณ 78
ดี ครอบครัวดี สังคมดี ใฝ่รู้ดี สุขภาพเงินดี และการงานดี จากน้ันแปลงค่าคะแนนให้เป็นเลขดัชนีเดียวท่ีมี คะแนนเต็ม 100 3) การสารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรมและสุขภาพจิต (ความสุข) คนไทย โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่อื สะทอ้ นสภาพสังคมไทยเก่ยี วกบั พฤติกรรม คา่ นิยม วัฒนธรรม และสุขภาพจติ ของคนไทย สาหรบั นาไปใช้ ในการตดิ ตาม ประเมนิ สถานการณ์ และทิศทางการเปล่ยี นแปลงของสงั คมในอนาคต และให้หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องนาไปกาหนดนโยบาย และวางแผนในการแก้ปัญหาสงั คมและสุขภาพจติ ได้อย่างตรงจุด การประเมินความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยจากการสารวจนี้ เป็นการวัดผ่านข้อคาถามการประเมินสุขภาพจิต 15 ขอ้ ทีว่ ัดสภาพจิตใจ สมรรถภาพของจติ ใจ คุณภาพของจติ ใจ และปจั จยั สนบั สนนุ ตารางที่ 3-2 ขอ้ มลู การสารวจความอยดู่ ีมสี ุขเชิงอัตวิสยั ในประเทศไทย ช่อื ฐานข้อมลู ขนาดตัวอยา่ ง ลกั ษณะขอ้ มลู หน่วยงาน ปีทีส่ ารวจ แบบสอบถามประกอบ ปี 2555 1. การสารวจความ 54,000 คน ข้อถาม 11 ดา้ นที่มี - สานักงานสถติ ิแหง่ ชาติ พงึ พอใจในชีวิตของ (สุ่มตัวอยา่ งจากทุก ความสาคญั ตอ่ ความพึง - มูลนธิ ินโยบายสุขภาวะ ปี 2561 คนไทย จงั หวดั ) พอใจในชีวิต - สานักงานกองทุนสนับสนนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ ปี 2551 2. การสารวจ 83,880 ครัวเรอื น ข้อคาถามประเมนิ ความสุข (สสส.) 2554 ความสขุ คนทางาน (สุ่มตวั อยา่ งจากทกุ คนทางานแบ่งเป็น 9 มติ ิ 2557 และ (ในองค์กร) จงั หวดั ) - สานกั งานสถติ ิแห่งชาติ 2561 แบบการสอบถามแบง่ เป็น - สถาบันวจิ ัยประชากรและ 3. การสารวจสภาวะ 27,960 ครัวเรอื น 7 ตอน ประเด็นทางด้าน สังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ทางสังคมและ (สุ่มตวั อยา่ งจากทุก สุขภาพจิตถกู แทรกไว้ใน วัฒนธรรมและ จังหวดั ) สว่ นสดุ ท้ายของ - สถาบนั วจิ ยั ประชากรและ สขุ ภาพจติ (ความสขุ ) แบบสอบถาม สงั คม มหาวิทยาลยั มหดิ ล คนไทย - สานักงานสถติ ิแหง่ ชาติ - กรมสุขภาพจติ - แผนงานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพจิตเพอ่ื สขุ ภาวะ สงั คมไทย สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการสร้างเสริม สขุ ภาพ 4. การสารวจคณุ ภาพ 69,792 ตัวอยา่ ง แบบสอบถามแบ่งออกเปน็ สานักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2561 ชวี ติ ของประชาชน (สุ่มตัวอยา่ งจากทกุ 7 ตอน ทสี่ ะทอ้ นขอ้ มลู จดั ทาทกุ 3 อย่างยง่ั ยนื ตามหลกั จงั หวดั ) ชีวิตความเปน็ อยู่ของ ปี เศรษฐกิจพอเพียง ประชาชน 5. การสารวจการ 589 ตัวอยา่ ง แบบสอบถามแบ่งเปน็ 3 สถาบนั วิจยั เพอื่ การพัฒนา 2561 บรโิ ภคและการออม (เฉพาะจังหวัด ตอน คอื การบรโิ ภค การ ประเทศไทย ออม และข้อมูลทว่ั ไปของ ขอนแกน่ ) บคุ คล 4) การสารวจคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างย่ังยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาข้อมูลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม สุขภาพ ความสุข การเรียนรู้ 79
และวัฒนธรรม เพื่อเปน็ พนื้ ฐานในการดารงชีวติ อย่างพอเพียงและย่ังยืน และใหป้ ระเทศมีข้อมูลสาหรับพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การประเมินความสุขและความพึงพอใจในชีวิตวัดจาก แบบสอบถามสุขภาพจิต ตามแนวทางของกรมสุขภาพจิต และการประเมินความสุขและความพึงพอใจในชวี ิต ในภาพรวม 5) การสารวจการบริโภคและการออม มวี ตั ปุ ระสงคห์ ลกั เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรม ความรู้ และทศั นคติ เกี่ยวกับการบริโภคและการออม ในการประเมินความอยู่ดีมีสขุ เชิงอัตวิสัยวดั จากมิติเดียว คือ มิติการประเมิน ความพึงพอใจในชวี ิต จากการถามคาถามว่า “ทกุ วนั น้ที ่านมคี วามพงึ พอใจในชวี ติ อยู่ในระดับใด” จากระดบั 1 นอ้ ยทส่ี ุด ถึง 10 มากทส่ี ดุ การสารวจทั้ง 5 แหลง่ ดังกลา่ ว มมี ติ ิ องค์ประกอบ การออกแบบขอ้ คาถามที่สะทอ้ น การประเมินชีวิต อารมณ์ และการมีคุณค่าและเป้าหมายในชีวติ ท่ีแตกต่างกันออกไป ข้อมูลสถิติจากฐานข้อมูลดังกล่าว ไม่ได้มี การนาเสนอขอ้ มูลสถิติท้งั หมดในระดบั บุคคลอย่างเปน็ ทางการบนหนา้ Website ทีเ่ ปดิ เผยต่อประชาชนท่ัวไป ประเด็นการอานวยความสะดวกในการใช้ข้อมูล และการเผยแพร่ต่อสาธารณะถือเป็นข้อจากัดของประเทศ ไทย ขอ้ จากัดของการเข้าถึงข้อมลู ส่งผลต่องานวจิ ัยเชิงลกึ ในระดับประเทศ ในสว่ นการนาเสนอผลการสารวจที่ ได้จากการสารวจ ส่วนใหญ่เป็นการสรุปโดยวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความสุขหรอื ความพงึ พอใจตอ่ ชีวติ ซ่งึ จาแนกตามลกั ษณะกลุ่มย่อยของประชากร ยกตวั อย่าง เช่น รายงานการสารวจความ พึงพอใจในชีวิตของคนไทย ในปี พ.ศ. 2555 ผลการสารวจพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความสขุ มีค่ามากกวา่ ความพึง พอใจในชวี ติ ในภาพรวมและเม่ือจาแนกตามกลุ่มย่อย สว่ นดา้ นทค่ี นไทยมคี วามสาคญั ต่อชีวติ เรียงลาดบั มากไป น้อย คือ สุขภาพ ชีวิตครอบครัว คุณภาพชีวิต งานที่ดี ท่ีอยู่อาศัย สังคม และด้านการศึกษา ในส่วนความพึง พอใจครอบครัวมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองมาคือด้านสุขภาพ ท่ีอยู่ อาศัย คุณภาพชีวิต สังคม การทางาน และ การศกึ ษา ตามลาดับ จงั หวัดท่มี ีความสขุ ท่ีสุดคอื บึงกาฬ และมคี วามสขุ น้อยที่สุดคอื นราธิวาส 3.1.4 การวัดความอยู่ดมี สี ุขเชงิ อตั วิสยั กับนโยบายสาธารณะ Dolan and Metcalfe (2012) กล่าวถึงการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยเพื่อเป้าหมายเชิงนโยบาย และตัวชี้วัดที่สามารถนามาอ้างอิงในการออกแบบนโยบายวา่ ควรมีคุณสมบัติหลกั 3 ประการดังน้ี ก) มีทฤษฎี ท่ีน่าเชื่อถือในการอ้างอิง ข) เป็นที่ยอมรับได้ในสังคม และ ค) เป็นการวัดเชิงปริมาณ ซ่ึงสามารถตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลที่ทาการจัดเก็บได้ ข้อมูลความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยที่มีคุณภาพ เพียงพอ สามารถใช้เป็นเคร่ืองมือของภาครัฐในการติดตามความก้าวหน้าของนโยบายหรือโครงการ (Monitoring Progress) การออกแบบนโยบาย (Informing Policy Design) และ การประเมินนโยบาย (Policy Appraisal) เคร่ืองมือท่ีมีเป้าหมายใน “การติดตามความก้าวหน้า” หรือการเปลี่ยนแปลงของความอยู่ดีมีสุข เชิงอัตวิสัย จาเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเน่ืองและควรเป็นการเก็บข้อมูลระดับประเทศ (National Level) เพ่ือวัดความผันผวนของตัวแปรตามช่วงเวลา การติดตามตัวแปรความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยยังสามารถ นาข้อมูลมาเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น การ เปรียบเทียบทิศทางการเปล่ียนแปลงตัวแปรความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยกับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ การ เปรียบเทียบดังกล่าวทาให้ม่ันใจว่าการเปล่ียนแปลงด้านอื่น ๆ ท่ีเกิดข้ึน ไม่ได้ลดความสุขของประชาชนใน ภาพรวม 80
ในขณะท่ีเป้าหมายเพื่อ “การออกแบบและการประเมินผลของนโยบาย” จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่มี ความลึกมากขึ้นในระดับพื้นที่ หรือจาแนกตามลักษณะตามประชากรศาสตร์ เช่น เป้าหมายเพ่ือการออกแบบ นโยบาย จาเป็นต้องเก็บข้อมูลโดยจาแนกความอยู่ดีมีสุขตามองค์ประกอบย่อย เช่น เก็บข้อมูลความพึงพอใจ ในชีวติ ท่ีมตี อ่ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจติ และสถานการณก์ ารทางาน เปน็ ต้น เพื่อนาไปสูก่ ารออกแบบนโยบาย ทม่ี ีความเฉพาะเจาะจงมากข้ึน เชน่ นโยบายเกี่ยวกบั สขุ ภาพจิต หรือนโยบายในการแก้ปัญหาการว่างงาน ส่วน เป้าหมายเพื่อการประเมินนโยบาย ควรมีการวัดเพื่อสะท้อนต้นทุนและผลประโยชน์ของการจัดทานโยบาย โดยการเกบ็ ขอ้ มลู ความพึงพอใจในชีวิตของกลุม่ ควบคุม และกลมุ่ ทดลองเพอื่ ประเมนิ ผลของนโยบาย Dolan and Metcalfe (2012) ได้เสนอเพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติให้กับสานักงานสถิติแห่งชาติของ สหราชอาณาจักร และ OECD ในการติดตาม ออกแบบ และประเมินนโยบาย โดยใช้เคร่ืองมือในการออก แบบสอบถามท่ีจาแนกตามวตั ถุประสงค์ ดงั แสดงในตารางท่ี 3-3 81
ตารางที่ 3-3 แนวคาถามในการวัดความอยดู่ ีมีสขุ เชงิ อตั วิสัย องค์ประกอบความอยดู่ ีมี การตดิ ตามความกา้ วหนา้ ของโครงการ การอ สุขเชิงอัตวิสยั โดยภาพรวมคณุ พอใจกับชีวติ ของคณุ ทุก คุณพอใจกับดา้ นต การวัดการประเมนิ ชวี ติ วันนมี้ ากน้อยแค่ไหน เพียงใด: ความสัมพนั ธส์ ่วนบ การวัดประสบการณท์ ม่ี ีผล โดยภาพรวม เม่อื วานนคี้ ุณรู้สึกมคี วามสุข สขุ ภาพจิต / สถาน ตอ่ ภาวะทางอารมณ์ มากนอ้ ยแคไ่ หน สถานการณ์ทางกา เวลาทาในสง่ิ ทช่ี อบ โดยภาพรวม เมอื่ วานนคี้ ณุ รู้สึกกงั วลมาก น้อยแคไ่ หน ถามเกี่ยวกับการป เพม่ิ ความรสู้ กึ อื่น โดยภาพรวม คณุ คิดวา่ สิง่ ท่ีคณุ ทาในชวี ติ มี - โดยภาพรวม เมื่อ คุณค่ามากน้อยแคไ่ หน กงั วล / ผ่อนคลาย เพียงใด การวัดความมีคณุ คา่ ชีวิต ทม่ี า: Dolan and Metcalfe (2012) 8
การใช้ประโยชนใ์ นด้าน ออกแบบนโยบาย การประเมนิ นโยบาย ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ของคณุ มากนอ้ ย ความพึงพอใจในชีวิตท่ีแบ่งตามองค์ประกอบยอ่ ย และ จาแนกตามพืน้ ที่ เชน่ บุคคล / สขุ ภาพรา่ งกาย / ความพงึ พอใจทม่ี ีต่อการให้บรกิ ารสุขภาพ นการณ์การทางาน / การใหบ้ รกิ ารของรฐั บาลทอ้ งถิ่น เป็นตน้ ารเงนิ / ทีอ่ ยอู่ าศัย / การมี บ / ชวี ิตความเป็นอยูข่ องบุตร ประเมนิ ความสุขเมือ่ วานน้ี และ ถามเกีย่ วกบั ความสุขและความวติ กกังวล และเพิม่ คาถาม ๆ ท่ีตอ้ งการตดิ ตาม เชน่ จาแนกตามกจิ กรรมท่ีทา อวานนี้คณุ รสู้ ึกมพี ลัง / วติ ก หรอื เพิม่ การประเมนิ อารมณจ์ าแนกตามองคป์ ระกอบยอ่ ย ย ในการทาสงิ่ ตา่ ง ๆ มากน้อย เชน่ ความกงั วลทมี่ ตี อ่ สถานะทางการเงนิ เปน็ ตน้ ถามเกีย่ วกบั การประเมนิ คณุ คา่ ในชวี ติ ในภาพรวม และเพิม่ ประเด็นเกีย่ วกับคุณคา่ ในชวี ติ จาแนกตามกิจกรรมท่ี ทา 82
ณัฐวุฒิ เผ่าทวี (2559) กล่าวว่าหลักการวิจัยสาคัญในการหาตัวแปรความสุขที่สามารถนามาใช้ ออกแบบนโยบายของรัฐบาล คือ การวิเคราะห์ตามหลักวิชาการเพื่อแยกแยะว่าอะไรคือความสัมพันธ์ (Correlation) และอะไรคือความเปน็ เหตุเป็นผล (Causation) ของตัวแปรที่ต้องการศึกษากบั ตวั แปรทางด้าน ความสุข การวิเคราะห์ความเป็นเหตุเป็นผลของตัวแปรควรใช้ข้อมูลที่เก็บจากประชากรจานวนมาก มีการ จดั เกบ็ อย่างสม่าเสมอ และมรี ะเบียบวธิ วี ิจยั ที่ถกู ต้อง ข้อมูลความพึงพอใจในชีวิตสามารถนาไปใช้ในการตอบคาถามงานวิจัยได้ 3 ประเด็น คือ (Clark et al., 2018) 1) การกาหนดให้ความพึงพอใจในชีวิตเป็นตัวแปรตาม ในกรณีนี้เพ่ือศึกษาว่า ปัจจัยใดที่ทาให้คนใน สังคมมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้นหรือน้อยลง ปัจจัยที่มีการศึกษาอย่างแพร่หลาย เช่น รายได้ และการ วา่ งงาน 2) กาหนดให้ตวั แปรความพึงพอใจในชีวิตเป็นตัวแปรอสิ ระในการวิเคราะห์ เพอื่ ตอบคาถามว่าเม่ือคน มีความพึงพอใจในชีวิตแล้ว จะส่งผลต่อตนเองและสังคมอย่างไร เช่น การศึกษาว่าหากพนักงานมีความพึง พอใจในงานท่ที าจะส่งผลต่อผลิตภาพในการทางานอย่างไร หรือระดับความพงึ พอใจในชีวิตของปัจเจกบุคคลมี ผลเชอ่ื มโยงตอ่ รายได้ หรอื อัตราการฆ่าตวั ตายหรือไม่ 3) การนาขอ้ มูลความพงึ พอใจในชวี ิตมาประเมินมูลค่าสินค้าสาธารณะ หรอื สินค้าที่ไม่มีราคาในตลาด ได้ วิเคราะห์โดยใช้แนวคิด Life Satisfaction Approach ในการคานวณ ซ่ึงเป็นการนาผลท่ีได้จากการ วิเคราะห์สมการถดถอยและทาการเปรียบเทียบค่าสัมประสิทธิ์ตัวท่ีสนใจท่ีไม่มีราคาตลาดกับตัวแปรทาง ด้าน รายได้ สินค้าและบริการท่ีไม่มีราคาตลาด เช่น ความไว้วางใจในสังคม มลพิษทางอากาศ ความสัมพันธ์ใน ครอบครัว เป็นต้น งานวิจัยท่ีใช้แนวคิดดังกล่าวในการวิเคราะห์ เช่น การศึกษาของ Van Praag and Baarsma (2005) ที่ใช้แบบสารวจความพึงพอใจในชีวิตเพ่ือประเมินมูลค่ามลพิษทางเสียงจากเคร่ืองบิน Luechinger (2009) ประเมินคุณภาพทางอากาศ Chandoevwit and Thampanishvong (2015) ประเมิน ราคาเงาของการมีสุขภาพดี การช่วยเหลือผู้อ่ืน และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม Powdthavee (2008) ประเมินราคาเงาของความถใ่ี นการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเพ่ือน ญาติ และเพ่อื นบ้าน แบบสอบถามที่วัดความพึงพอใจในชีวิตมักมีประเด็นคาถามด้านอ่ืน ๆ ประกอบเพื่อประโยชน์ในการ วเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องหลายปจั จัยกบั ระดับความพงึ พอใจในชวี ิต ข้อคาถามท่ีเกย่ี วกับด้านเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม ประกอบด้วย ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลและครอบครัว เศรษฐานะและการจัดลาดับของ ตนเองเทียบกับคนในชุมชนและเทียบกับคนในระดับประเทศ (Relative income และ Absolute income) การมอี าชพี ที่ม่ันคง (มีรายได้จากเงินเดือนประจา) หรอื อาชพี ท่ีไมม่ ่ันคง (แรงงานนอกระบบและ Gig worker) การมี Long Working Hour หรือการทาหลายอาชีพ ตัวแปรเหล่านี้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานท่ัวไปท่ีมักจะถูก สอบถามและเก็บข้อมูลไว้ในการสารวจข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในระดับประเทศ เช่น การ สารวจของ ONS, BHPS และ SOEP หรืองานวจิ ยั ของ Clark, Frijters and Shields (2008) ก็มีการเกบ็ ข้อมูล รายได้ การศกึ ษา การมงี านทา การไมม่ ปี ระวัติทางอาชญากรรม ความสัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คล สุขภาพกาย และ สุขภาพจติ เพือ่ ใช้วเิ คราะหค์ วามสมั พันธ์ของตวั แปรดงั กลา่ วทส่ี ่งผลต่อความพึงพอใจในชีวติ 83
ความเป็นอยู่และความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง เป็นอีกประเด็นที่มีการสอบถามและ เก็บข้อมูลในการสารวจเกี่ยวกับความพึงพอใจในชีวิต เช่น การสารวจของ World Happiness Report และ World Values Survey รวมไปถึงการสอบถามเร่ืองของการจัดลาดับชั้นของตนเองในชุมชนหรือสังคม และ ความคาดหวังในการขยับลาดับชั้นของตนเองในอนาคต งานวิจัยต่างประเทศ เช่ น The Brookings Institution (Julia, 2001) เก็บข้อมูลและวิเคราะห์การเปลี่ยนลาดับชั้นทางเศรษฐกิจของบุคคล โดยการ เปรียบเทียบรายได้ของพ่อแม่กับลูก หรือการศึกษาของ World Bank Group (2018) เปรียบเทียบในแง่ของ การศกึ ษาและโอกาสทางการศกึ ษาของร่นุ พอ่ แมเ่ ปรียบเทียบกับคนรนุ่ ลูก เปน็ ตน้ ความเช่ือ พฤติกรรม หรือทัศนคติท่ีอ้างเพ่ือให้เกิดการปรับตัว (Adaptation) ความไม่เท่าเทียมกัน ของคนในสงั คม ความทกุ ขห์ รือความโชคร้าย เช่น ความเชอ่ื เกยี่ วกบั บาป บุญ การเวียนวา่ ยตายเกิด พฤติกรรม ทาบุญทาทานเพื่อชาติหน้า ความเช่ือและความศรัทธาในพระเจ้า รวมไปถึงบรรทัดฐานทางสังคม การสารวจ ของ World Happiness Report และ World Values Survey สอบถามถึงเร่ืองความเช่ือที่เกี่ยวโยงในทาง ศาสนา พระเจ้า การเป็นผู้นาทางศาสนา เป็นต้น งานวิจัยของ Clark et al. (2008) สอบถามและเก็บข้อมูล บรรทดั ฐานทางสงั คมและสถาบนั มผี ลต่อความสขุ ของคนในประเทศ ทุนทางสังคม ความไว้วางใจกันของคนในชุมชน สังคม และความไว้ใจต่อภาครัฐ เป็นอีกหน่ึงตัวแปร สาคัญท่ีมีผลต่อความพึงพอใจในชีวิตของคน ในการสารวจ World Value Survey มีการเก็บข้อมูล เปรียบเทียบระหว่างประเทศด้วยการถามคาถามว่า “คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่สามารถไว้วางใจได้ หรือต้อง ระมัดระวังในการติดต่อกับผู้อ่นื ” ซง่ึ SOEP ของประเทศเยอรมนีมีการสอบถามความคิดเหน็ ของประชาชนต่อ ความไว้วางใจในสงั คมด้วยลักษณะคาถามดงั กล่าวเช่นกนั ทัศนคตติ อ่ การโกง การคอร์รปั ชนั คาถามท่ีเกยี่ วกบั การโกงหรือการคอร์รัปชันจะเป็นคาถามที่ถามถึง ความสาคัญของระบบการปกครองในประเทศ เช่น ความสาคัญของระบบประชาธิปไตย การจัดการเงินภาษี ของประชาชนโดยภาครัฐ รวมถงึ ความเต็มใจจะจา่ ยภาษีของประชาชน เชน่ ในการสารวจของ World Values Survey 3.1.5 อะไรทาให้คนมคี วามพึงพอใจในชวี ิตตา่ งกนั Wiking (2017) กล่าวว่า หากมองในมุมมองทางด้านการออกแบบนโยบายเพื่อทาให้ประชาชนมี คุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน นโยบายท่ีส่งผลชัดเจนมากท่ีสุดนโยบายหนึ่งคือ ระบบการดูแลสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Care) การจัดอันดับของ World Happiness Report พบว่า กลุ่มประเทศนอร์ดิกที่มี ระดับความสุขสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ล้วนแต่มีระบบประกันหรือการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าที่ประชาชน สามารถเข้าถึงบริการได้ท้ังสิ้น ในทางตรงกันข้ามการไม่สามารถไปพบแพทย์เน่ืองมาจากข้อจากัดทางด้าน การเงนิ สง่ ผลดา้ นลบต่อความพึงพอใจในชวี ติ ของคนสหรฐั อเมรกิ า (Blanchflower, 2009) Clark et al. (2008) เห็นว่าบรรทัดฐานทางสังคมและสถาบันมีผลต่อความสุขของคนในประเทศ ประชาชนจะมีความสุขน้อยลงในสังคมท่ีคนในสังคมไม่ค่อยมีความไว้วางใจกัน สังคมท่ีมีการกดขี่ มีความไม่ เสมอภาค และมีรัฐบาลท่ีลม้ เหลว บรรทัดฐานทางสังคมสามารถนยิ ามได้วา่ เปน็ “มาตรฐานพฤติกรรมที่ตั้งอยู่ บนพื้นฐานของความเชื่อร่วมกันในวงกว้างว่าสมาชิกในกลุ่มควรประพฤติตนอย่างไรในสถานการณ์ที่กาหนด ” บรรทดั ฐานทางสงั คมท่แี ตกตา่ งกันในแตล่ ะประเทศ มีผลตอ่ พฤตกิ รรมและกระบวนการประเมนิ ความพงึ พอใจ ในชีวิตในแต่ละสังคมที่แตกต่างกันออกไปด้วย (Fehr & Fischbacher, 2004) ในรายงาน The World 84
Happiness Report 2019 กล่าวว่า คนในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียส่วนใหญ่ประเมินความพึงพอใจในชีวิต ในระดับที่มากกว่า 7 ส่วนประเทศที่มีบรรทัดฐานทางสังคมท่ีตึงเครียดและอยู่ในสถานการณ์ความไม่ม่ันคง ทางการเมือง เช่น ซีเรีย อัฟกานิสถาน คนในประเทศนั้น ๆ ประเมินความพึงพอใจในชีวิตเฉลี่ยของประเทศ 3.2 - 3.5 คะแนนเทา่ นนั้ ความไว้วางใจเป็นองค์ประกอบหน่ึงของทุนทางสังคม (Social Capital) ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญในการ สร้างความอยดู่ ีมสี ขุ รวมถึงการพัฒนาทางเศรษฐกจิ (Grootaert, 1998) The World Value Survey ไดม้ กี าร เกบ็ ข้อมลู เปรียบเทยี บระหว่างประเทศด้วยการถามคาถามว่า “คุณคดิ ว่าคนส่วนใหญ่สามารถไวว้ างใจได้ หรือ ต้องระมัดระวังในการติดต่อกับผู้อื่น” คาตอบแบ่งเป็น ก) คนส่วนใหญ่สามารถไว้ใจได้ ข) ไม่แน่ใจ ค) ต้อง ระมัดระวัง ในส่วน Eurostat และ European Social Survey มีการสอบถามในลักษณะเดียวกันแต่คาตอบ แบ่งเป็นสเกล ต้ังแต่ 0 - 10 การแบ่งสเกล เป็น 11 จุด ทาให้สามารถอธิบายระดับความไว้วางใจของผู้ตอบ แบบสอบถามแต่ละคนได้ละเอียดมากข้ึน ซึ่งสามารถนามาวิเคราะห์การกระจายของข้อมูลหรือความไม่เท่า เทยี มดา้ นความไวว้ างใจ (Trust Inequality) ภายในชุมชนหรือของประเทศได้ การวเิ คราะหจ์ ากหลายประเทศ พบว่า ความไว้วางใจกันต่อคนในสังคม ตารวจ กระบวนการทางกฎหมาย รัฐสภา และนักการเมือง มีผลเชิง บวกตอ่ ความพงึ พอใจในชีวติ (Helliwell, Huang, & Wang, 2016; Hudson, 2006) Tavits (2008) ศึกษาผลกระทบของการทุจริตคอร์รัปชัน (Corruption) ท่ีมีต่อความพึงพอใจในชีวิต ของคนใน 68 ประเทศ จากฐานข้อมูล Eurobarometer ผลการวิเคราะห์พบว่าคนในประเทศจะประเมิน ความพึงพอใจในชีวิตสูงเม่ือรัฐบาลของตนมีระดับการทุจริตท่ีต่า Tay, Herian, and Diener (2014) ศึกษา ข้อมลู 150 ประเทศพบว่าการคอรร์ ัปชนั ของภาครฐั มีความสัมพนั ธก์ ับรายได้ประชาชาติและความไว้วางใจต่อ สถาบันในทิศทางตรงกันขา้ มกนั และส่งผลให้ความพงึ พอใจในชวี ิตลดลง 3.2 การพัฒนาเครื่องมือวิจัย การศึกษาน้ีได้พัฒนาเคร่ืองมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามเพ่ือสารวจความพึงพอใจในชี วิตของคนไทย การวัดความพึงพอใจในชีวิต แยกออกเป็น 4 มิติ คือ (1) มิติทางด้านการประเมินชีวิต (2) มิติทางอารมณ์ด้าน บวก (3) มิติทางอารมณ์ด้านลบ และ (4) มิติทางคุณค่าและการมีเป้าหมายในชีวิต โดยการศึกษาครั้งน้ี ประยุกตใ์ ช้ข้อคาถามของ ONS มี 4 ข้อคาถาม รวมท้ังประเด็นข้อถามเกย่ี วกับดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม และบรรทดั ฐานทางสังคม แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 4 ส่วน (ดใู นภาคผนวก ข) ส่วนท่ี 1 คือ ข้อมูลท่ัวไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 คอื ความพึงพอใจในชีวติ สว่ นที่ 3 คือ ขอ้ มูลทว่ั ไปดา้ นเศรษฐานะ ส่วนที่ 4 คอื ความคิดเหน็ ในด้านตา่ ง ๆ แบง่ เปน็ ดา้ น ดงั นี้ - ด้านความไวว้ างใจต่อรฐั ทัศนคติตอ่ การโกงและการคอรร์ ปั ช่ัน - ดา้ นการมีเสรภี าพ - ดา้ นทัศนคตแิ ละบรรทัดฐานทางสังคม - ด้านความม่ันคงและความปลอดภัยในชวี ติ และทรัพยส์ นิ 85
- ด้านโอกาสทางสังคม - ดา้ นการประพฤตปิ ฏบิ ัติตน ดว้ ยสถานการณโ์ รคอุบัติใหม่ “โควดิ -19” ทเ่ี กิดขนึ้ ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทว่ั โลก ทาให้ รัฐมมี าตรการ “อย่บู า้ น หยุดเชอ้ื เพอื่ ชาติ” และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมถึงการ ประกาศภาวะฉุกเฉินปิดสถานประกอบการจานวนมากเป็นการช่ัวคราว การใช้ชีวิตประจาวันของคนไทย เปล่ียนไปกระทนั หันในชว่ งเดือน มีนาคม - เมษายน 2563 ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาท่ีมีการพัฒนาเครอ่ื งมอื วจิ ยั นกั วจิ ยั จึงได้เพ่ิมข้อถามเกี่ยวกับ “โควิด-19” ท่ีอาจจะกระทบกับความพึงพอใจในชีวิตของคนไทยจานวน 2 ข้อ ใน สว่ นที่ 2 3.3 การเก็บข้อมูลด้วยการสารวจ 3.3.1 ขนาดตวั อยา่ งและการส่มุ ตวั อยา่ ง ประชากรเป้าหมายในการศึกษาครั้งน้ี หมายถึง ประชาชนไทยอายุต้ังแต่ 24 – 74 ปีในปี พ.ศ. 2563 จาแนกเป็นกลุ่มตามรุ่น (Generations)3 ได้แก่ รุ่น Baby Boomer มีอายุ 56 - 74 ปี รุ่น Gen X มีอายุ 40 - 55 ปี และรุ่น Gen Y มีอายุ 24 - 39 ปี และเป็นผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเขตเมือง (ในเขตเทศบาล) ในภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และกรุงเทพฯ และปริมณฑล การกาหนดตัวอย่างภายใต้ทรัพยากรและเวลาที่ จากัดจึงเปน็ แบบเจาะจงคอื ภาคละ 600 ตวั อยา่ ง แผนการเกบ็ ตวั อย่างท้งั หมดจงึ เป็น 2,400 ตัวอย่าง การสุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนประชากรเป้าหมายในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และ กรงุ เทพฯ และปริมณฑล ใชว้ ิธีการสมุ่ แบบหลายขัน้ ตอน (Multi-Stage Sampling) โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี ขั้นท่ีหนง่ึ เลือกจังหวัดทเี่ ป็นตวั แทนภาค ขน้ั น้ใี ชก้ ารเจาะจงจงั หวัดตวั แทนภาคละ 1 จงั หวัด โดยเนน้ ความเป็นเมืองหลักของภาคท่ีมักมีประชากรย้ายถิ่นเข้าไปอยู่อาศัย ประชากรในเมืองน่าจะเป็นคุณลักษณะ ของคนไทย 4.0 ในอนาคต จังหวัดท่ีเลือก คือ เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเลือก ทุกจังหวัด ไดแ้ ก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทมุ ธานี สมุทรปราการ สมทุ รสาคร และนครปฐม ขั้นท่ีสอง เลือกเทศบาลเพื่อเป็นตัวแทนจังหวัด โดยแบ่งกลุ่มตามขนาดของเทศบาล ได้แก่ เทศบาล นคร (ทน.) เทศบาลเมอื ง (ทม.) และเทศบาลตาบล (ทต.) ขั้นนใี้ ช้การเลือกเทศบาลนครจังหวดั ละ 1 แหง่ การ สุ่มด้วยการจับฉลาก เทศบาลเมืองจังหวัดละ 2 แห่ง และเทศบาลตาบลจังหวัดละ 3 แห่ง ส่วนกรุงเทพฯ สุ่ม ดว้ ยการจบั ฉลากจานวน 5 เขต และปรมิ ณฑลเลอื กเทศบาลนครจังหวัดละ 1 แหง่ ขั้นสุดท้าย ทาการสมุ่ ตวั อย่างครัวเรือนตามความสะดวก และให้คนหนึง่ คนในครัวเรือนเปน็ ตัวแทนใน การตอบคาถาม โดยเกบ็ ขอ้ มลู เทศบาลละ 100 คน รวมเปน็ จังหวัดละ 600 คน สว่ นกรุงเทพฯ เกบ็ ข้อมูลใน 5 เขตจานวน 100 คน และปรมิ ณฑลเก็บภายในเขตเทศบาลนครละ 100 คน รวมเป็น 600 คน การกระจายของ ตัวอย่างทั้งหมดให้ใกล้เคียงกับโครงสร้างอายขุ องประชากรของประเทศ คือ รุ่น Gen Y 40% รุน่ Gen X 30% และรนุ่ Baby Boomer 30% (ตารางท่ี 3-4) 3 การจาแนกคนเปน็ กลุ่มตามยุคสมัยทค่ี น ๆ นั้นเกิดเปน็ รนุ่ ๆ ดว้ ยสมมตฐิ านท่วี า่ สภาพแวดลอ้ มและสถานการณ์ท่คี นแตล่ ะ ยคุ เผชญิ ทาใหผ้ ู้คนที่เกดิ ในแต่ละชว่ งเวลามลี ักษณะนสิ ยั และทัศนคติทแ่ี ตกต่างกันออกไป (Mannheim, 1923) 86
อย่างไรกด็ ี แม้วา่ การออกแบบการสุม่ ตวั อย่างจะได้พยายามให้ไดต้ วั แทนของคนไทยในท้ัง 4 ภาค แต่ ก็ยังมีข้อจากัดเรื่องการกระจายของตัวอย่างท่ีกระจายเพียง 9 จังหวัดท่ีทาการสารวจ ดังน้ัน การวิเคราะห์ผล จึงอาจจะไมส่ ามารถเป็นตัวแทนของคนไทยทง้ั ประเทศได้อยา่ งแท้จริง ตารางที่ 3-4 ขนาดตวั อยา่ งและพน้ื ที่แจงนบั จงั หวัด เทศบาล จานวนตวั อย่าง (คน) Gen Y Gen X Baby Boomer รวม เชยี งใหม่ เทศบาลนครเชยี งใหม่ (อ.เมือง) 32 35 33 100 100 เทศบาลเมอื งแม่เหียะ (อ.เมอื ง) 32 35 33 100 100 เทศบาลเมอื งตน้ เปา (อ.สันกาแพง) 32 35 33 100 เทศบาลตาบลสันกาแพง (อ.สันกาแพง) 32 35 33 100 100 เทศบาลตาบลแมแ่ ตง (อ.แม่แตง) 32 35 33 100 100 เทศบาลตาบลสันมหาพน (อ.แม่แตง) 32 35 33 100 100 สงขลา เทศบาลนครสงขลา (อ.เมอื ง) 34 32 34 100 เทศบาลเมอื งม่วงงาม (อ.สงิ หนคร) 34 32 34 100 100 เทศบาลเมืองควนลัง (อ.หาดใหญ่) 34 32 34 100 100 เทศบาลตาบลพะตง (อ.หาดใหญ่) 34 32 34 100 100 เทศบาลตาบลนาสที อง (อ.รตั ภมู )ิ 34 32 34 100 เทศบาลตาบลเกาะแต้ว (อ.เมือง) 34 32 34 100 100 ขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น (อ.เมอื ง) 34 33 33 100 100 เทศบาลเมืองบา้ นไผ่ (อ.บ้านไผ)่ 34 33 33 100 2,400 เทศบาลเมืองกระนวน (อ.กระนวน) 34 33 33 เทศบาลตาบลสะอาด (อ.น้าพอง) 34 33 33 เทศบาลตาบลนา้ พอง (อ.น้าพอง) 34 33 33 เทศบาลตาบลเขือ่ นอุบลรตั น์ (อ.อบุ ลรตั น์) 34 33 33 กรุงเทพฯ และ กรงุ เทพฯ 5 เขต 34 38 28 34 38 28 ปริมณฑล เทศบาลนครนครปฐม เทศบาลนครนนทบุรี 34 38 28 เทศบาลนครรังสติ 34 38 28 เทศบาลนครสมทุ รปราการ 34 38 28 เทศบาลนครสมทุ รสาคร 34 38 28 รวม หมายเหตุ ขอ้ มูลเทศบาล ณ วันท่ี 20 ธนั วาคม 2562 ทีม่ า กลมุ่ งานกฎหมายและระเบยี บทอ้ งถ่ิน กองกฎหมายและระเบยี บทอ้ งถ่นิ (สบื ค้นเม่ือ 20 มกราคม 2563) 3.3.2 การขอรบั รองจรยิ ธรรมการวิจยั ในมนุษย์ การศึกษาน้ีเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการวัดความพึงพอใจในชีวิต โดยใช้แบบสอบถามในการสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล นักวิจัยตระหนักถึงหลักการเคารพต่ออาสาสมัครท่ีให้ ข้อมลู การปกปอ้ งความลบั ด้านข้อมูลส่วนบุคคล และความเสี่ยงท่จี ะส่งผลต่ออาสาสมคั ร ดงั น้ัน นกั วิจัยจึงขอ 87
การรับรองตามหลักการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โดยดาเนินการผ่านศูนย์จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการน้ีไดร้ บั การรับรองเมือ่ วันท่ี 21 เมษายน 2563 เลขที่โครงการ HE633030 3.3.3 การทดสอบแบบสอบถามและการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ นักวิจัยนาแบบสอบถามท่ีพัฒนาขึ้น โดยมีผู้เช่ียวชาญตรวจสอบและให้คาแนะนาในการปรับปรุง แบบสอบถาม จากนั้นนักวิจัยทาการทดสอบเคร่ืองมือ จานวน 36 ตัวอย่าง ในกลุ่มคนที่มีลักษณะคล้ายกลุ่ม ตัวอยา่ งตามแผนการเก็บข้อมูล และนาผลจากการตอบคาถามมาทดสอบความเชื่อมนั่ (Reliability) โดยวิธีหา สมั ประสทิ ธิ์แอลฟา่ ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ไดค้ ่าเทา่ กับ 0.806 ซึง่ อยู่ในเกณฑ์เป็น ที่ยอมรับและเป็นที่เช่ือถือ (George & Mallery, 2003) รายละเอียดของผลการทดสอบท้ังหมดแสดงใน ภาคผนวก ค 3.4 ผลการสารวจความพึงพอใจในชีวิตของตัวอยา่ งใน 9 จงั หวดั 3.6.1 การสารวจ เนื่องจากรัฐบาลได้ออกพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เร่ิมตั้งแต่ 26 มีนาคม 2563 เพ่ือควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทาให้นักวิจัยไม่สามารถเดินทางลง พื้นที่เพ่ือเก็บข้อมูลได้ตามแผนการดาเนินงานท่ีวางไว้ จึงจาเป็นต้องปรับวิธีการเก็บข้อมูล โดยช่วงแรก ต้น เดือน พฤษภาคม 2563 ได้เปล่ียนจากการสัมภาษณ์ที่บ้านอาสาสมัครเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by Telephone) นักวิจัยดาเนินการประสานงานขอความอนุเคราะห์รายช่ือและเบอร์ โทรศัพท์ประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล/เขตกทม. ท่ีสุ่มตัวอย่างท้ังหมด 23 เทศบาลและ 5 เขตกทม. อย่างไรก็ดี นักวิจัยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากเทศบาล/เขตกทม.เพียง 11 แห่ง นักวิจัยโทรศัพท์ สัมภาษณ์ตัวอย่างทั้งหมด 560 คน ได้รับความยินยอมให้สัมภาษณ์ 288 คน ปฏิเสธ 114 คนและไม่สามารถ ติดต่อได้ 158 คน อัตราการตอบกลับ (Response Rate) ของวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เท่ากับ 58% เท่าน้ัน เม่ือรัฐบาลผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะแรก นักวิจัยได้ปรับวิธีการเก็บข้อมูลเป็นการสารวจในพื้นที่ตาม แผนการทางานเดิม นักวิจัยจึงประสานผู้นาชุมชนและผู้นาอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ใน พื้นท่ีเพ่ือลงเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์โดยตรง (Face to Face Interview) โดยนักวิจัยดาเนินการตาม มาตรการควบคุมป้องกันโรคของภาครฐั และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครดั การลงพ้ืนท่ีเก็บข้อมูลด้วยการ สัมภาษณ์วันที่ 15 พฤษภาคม – 20 มิถุนายน 2563 จากตัวอย่าง 2,200 คน มีผู้ปฏิเสธการให้ข้อมูลประมาณ 47 คน อัตราการตอบจึงเท่ากับ 98% โดยรวมได้ข้อมูลท่ีสมบูรณ์จานวนทั้งหมด 2,476 ตัวอย่าง เป็นจานวน มากกวา่ เป้าหมายทีว่ างแผนไว้เล็กน้อย 3.6.2 ผลการสารวจด้านประชากร เศรษฐกจิ และสังคม ตารางท่ี 3-5 แสดงจานวนตวั อยา่ งทั้งหมดท่ีสารวจ 2,476 คน จาแนกตามลกั ษณะทางประชากร เป็น คนท่ีอาศัยและทางานในกรงุ เทพฯ และปริมณฑล 607 คน คนภาคเหนือ 609 คน คนภาคใต้ 635 คน และคน ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 625 คน ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญงิ ประมาณ 66% การกระจายของตวั อยา่ งใกลเ้ คียงกับ 88
โครงสร้างอายุประชากรในแต่ละภาค ตัวอย่างส่วนใหญ่สมรสหรืออยู่ด้วยกันกับคู่ครองประมาณ 58% จบ การศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ากวา่ ประมาณ 31% รองลงมาคือจบการศึกษาระดับปรญิ ญาตรีประมาณ 27% ตัวอย่างมากกว่าครึ่ง (52%) มีสถานะเป็นหัวหน้าครอบครัว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ยกเว้นภาคเหนือทส่ี ่วนใหญจ่ ากการสารวจพบวา่ ไม่ไดเ้ ปน็ หัวหนา้ ครอบครวั ตารางที่ 3-5 ลกั ษณะทางประชากรของครัวเรือนตัวอย่าง (รอ้ ยละ) กรงุ เทพฯ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาค รวม และปรมิ ณฑล ตะวนั ออกเฉียงเหนอื เพศ (%) ชาย 36.74 33.17 35.28 28.80 33.48 หญิง 62.93 65.35 64.72 70.72 65.95 อนื่ ๆ เช่น LGBTQI 0.33 1.48 0.00 0.48 0.57 รวม 100 100 100 100 100 อายุ (%) 24-39 ปี 30.81 33.17 32.91 31.20 32.03 40-55 ปี 40.36 31.86 30.87 35.20 34.53 56-74 ปี 28.83 34.98 36.22 33.60 33.44 รวม 100 100 100 100 100 สถานภาพสมรส (%) โสด 32.13 29.06 23.62 19.36 25.97 สมรส/อยดู่ ว้ ยกัน 49.59 53.53 63.62 63.04 57.55 หมา้ ย/หย่า/แยกกันอยู่ 18.29 17.41 12.76 17.60 16.48 รวม 100 100 100 100 100 ระดับการศกึ ษา (%) ประถมศึกษาหรือต่ากวา่ 30.31 33.17 25.51 35.20 31.02 มัธยมศึกษาตอนต้น 15.32 11.33 10.39 10.72 11.91 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย หรอื ปวช. 17.79 16.58 13.70 19.20 16.80 อนุปริญญา หรือ ปวส. 6.59 6.90 6.93 10.40 7.71 ปรญิ ญาตรี 23.06 26.77 36.85 20.96 26.98 ปริญญาโทข้นึ ไป 6.92 5.25 6.61 3.52 5.57 รวม 100 100 100 100 100 สถานะในครัวเรือน (%) เป็นหวั หนา้ ครอบครวั 51.89 45.81 53.23 55.20 51.58 ไม่เป็นหัวหน้าครอบครวั 38.88 50.08 41.57 42.88 43.34 ไมม่ หี ัวหนา้ ครอบครัว เพราะแยกกัน 9.23 4.11 5.20 1.92 5.09 ใช้จา่ ย รวม 100 100 100 100 100 จานวนกลุม่ ตัวอย่าง (คน) 607 609 635 625 2,476 ตารางที่ 3-6 แสดงให้เห็นวา่ ครอบครัวโดยเฉล่ียมีสมาชกิ ที่อาศัยอยู่รว่ มกันประมาณ 3 - 4 คน และมี บตุ รประมาณ 1 - 2 คน และบุตรส่วนใหญย่ งั คงอย่อู าศยั กบั พ่อแมแ่ ละครอบครัว 89
ตารางที่ 3-6 จานวนสมาชิกในครัวเรือนและจานวนบุตร กรงุ เทพฯ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาค รวม และปรมิ ณฑล ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 3.88 1.79 จานวนสมาชกิ ในครัวเรอื น (คน) 1.46 คา่ เฉลย่ี 3.79 3.43 4.06 4.23 1.23 s.d. 1.90 1.54 1.80 1.81 1.28 0.97 จานวนบุตรทัง้ หมด (คน) ค่าเฉลี่ย 1.35 1.10 1.71 1.67 s.d. 1.30 0.95 1.40 1.11 จานวนบุตรทยี่ ังอยอู่ าศยั ในบา้ นเดยี วกับครอบครัวเปน็ ประจาเกินกวา่ 3 เดอื น (คน) ค่าเฉล่ีย 1.26 0.96 1.58 1.28 s.d. 0.98 0.74 1.15 0.86 ตวั อยา่ งส่วนใหญ่เปน็ แรงงานนอกระบบประมาณ 55% ( 90
ตารางท่ี 3-7) ได้แก่ อาชีพค้าขายอาหาร เส้ือผ้าที่เป็นธุรกิจสว่ นตัวไม่ได้มีนายจ้าง อาชีพรับจ้างท่วั ไป รับจ้างเหมา อาชีพเกษตรกร ทาไร่ ทานา ทาประมง อาชีพอิสระที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการทางาน เช่น ขาย ของออนไลน์ นักออกแบบกราฟิก รวมถึงเจ้าของกิจการ ช่วยธุรกิจในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และการ รวมกลุ่มอาชีพในชุมชน เช่น กลุ่มแม่บ้านทาน้าพริกส่งขาย เป็นต้น อีกประมาณ 32% เป็นแรงงานในระบบ ไดแ้ ก่ ขา้ ราชการ ลูกจา้ งของรฐั ลกู จ้างเอกชน และลกู จ้างรฐั วิสาหกจิ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีตัวอยา่ งประมาณ 2% ท่ีกาลังหางาน ว่างงาน และตกงาน ซ่ึงจากการสอบถามคนกลุ่มน้ีพบว่า สาเหตุที่ต้องว่างงานและตกงาน เกิดจากเลิกจ้างและพักงานไม่มีกาหนดของนายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซ่ึง พบมากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื สาหรับผทู้ ่มี งี านทาสว่ นใหญ่ (เป็นแรงงานในระบบ) ประมาณ 33% ทางานประจาเพยี งงานเดียวแบบ เตม็ เวลา 35-48 ชวั่ โมงต่อสัปดาห์ และอีกประมาณ 23% ทางานเดียวมากกวา่ 48 ช่วั โมงต่อสัปดาห์ และท่ีน่า สังเกตคือ 1 ใน 5 ของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ต้องทางานหลายงานและใช้เวลาทางานมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณ 58% ของตัวอย่างท้ังหมดมีค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉล่ียน้อยกว่า 20,000 บาทต่อ เดือน เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบรายได้ของครัวเรอื นกับคนในชุมชน หรือผู้ท่ีอาศัยละแวกที่พักรัศมีไม่ เกนิ 5 กโิ ลเมตร โดยกาหนดให้กลุม่ ท่ี 1 คอื กลมุ่ คนทีม่ ีรายไดต้ า่ ทสี่ ดุ ในชมุ ชน จนถงึ 10 คอื กลุม่ คนทม่ี ีรายได้ สูงที่สุดในชุมชน กลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบว่าครัวเรือนตนเองมีระดับรายได้โดยเปรียบเทียบเฉลี่ยอยู่ท่ี 5.27 หรอื มีฐานะปานกลางในละแวกบา้ นตนเอง ( ตารางท่ี 3-8) แต่เม่ือให้เปรียบเทียบกับประชากรทั้งประเทศ กลุ่มตัวอย่างจะประเมินว่าครัวเรือน ตนเองมีระดับรายได้โดยเปรียบเทียบเฉลยี่ 4.20 หรืออยู่ต่ากว่าคนฐานะปานกลางทั่วไป โดยเฉพาะคนในภาค อื่น ๆ ท่ีไม่ใช่กรุงเทพและปรมิ ณฑล เม่ือถามถึงความพึงพอใจทางการเงนิ โดยกาหนดให้มี 10 ระดับคือ 1 คือ ไม่พึงพอใจเลย ระดับเพิ่มขึ้นจนถึง 10 คือ พึงพอใจมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างให้ระดับความพึงพอใจทางการเงิน ของครวั เรอื นเฉลยี่ อยทู่ ่ี 5.41 รูปท่ี 3-1 และรูปที่ 3-2 แสดงให้เห็นว่าตัวอย่างในภาคใต้ค่อนข้างพอใจกับฐานะทางการเงินของ ครัวเรือนตนเองวา่ พอ ๆ กันกับคนในชุมชน ส่วนคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้สึกว่าตนเองแย่กว่าคนอื่น ๆ ถา้ เทียบกบั คนทงั้ ประเทศ คนในกรุงเทพและปริมณฑลและภาคใต้คอ่ นข้างพงึ พอใจทางการเงินของตนเอง คน ท้ังสามรุน่ มกี ารกระจายของความพอใจทางการเงนิ ของตนเองคลา้ ยกัน 91
ตารางที่ 3-7 ลกั ษณะทางเศรษฐานะของครัวเรือน (ร้อยละ) อาชีพ (%) กรงุ เทพฯ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาค รวม และ ตะวนั ออก แรงงานในระบบ เฉียงเหนือ 31.46 แรงงานนอกระบบ ปริมณฑล 54.81 นกั เรียน นักศกึ ษา 28.16 0.77 แม่บ้าน ทางานบ้าน เกษยี ณอายุ 30.48 27.59 39.37 58.40 9.33 พักผอ่ นยังไมห่ างาน 55.85 55.83 49.29 0.32 1.78 กาลังหางาน ว่างงาน ตกงาน 0.99 1.31 0.47 9.44 1.86 รวม 9.56 10.02 8.35 0.96 100 ชว่ั โมงการทางานต่อสัปดาห์ (%) 1.15 4.11 0.94 2.72 ไมไ่ ด้ทางาน 1.98 1.15 1.57 100 11.19 ทางานงานเดยี วหรอื หลายงาน นอ้ ยกวา่ 40 ชัว่ โมงตอ่ 100 100 100 18.58 สปั ดาห์ 11.20 ทางานเดยี วเตม็ เวลา 35 - 48 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์ 10.87 12.81 9.92 15.20 32.59 ทางานเดยี วเตม็ เวลา มากกว่า 48 ช่วั โมงต่อสปั ดาห์ 14.33 21.02 23.62 23.10 ทาหลายงาน มากกว่า 48 ชั่วโมงตอ่ สปั ดาห์ 29.44 14.54 รวม 38.55 29.06 33.39 23.36 100 คา่ ใช้จา่ ยทั้งครัวเรือนต่อเดอื น (%) 26.52 22.99 19.69 20.80 น้อยกวา่ 5,000 บาท/เดือน 9.72 14.12 13.39 100 5.17 5,001 - 10,000 บาท/เดือน 100 100 100 21.08 10,001 - 20,000 บาท/เดือน 2.88 32.03 20,001 - 30,000 บาท/เดอื น 5.27 7.22 5.35 13.92 20.19 30,001 - 40,000 บาท/เดือน 25.04 23.65 21.89 30.56 10.42 40,001 - 50,000 บาท/เดอื น 31.80 34.98 30.87 25.44 4.85 50,001 - 60,000 บาท/เดอื น 17.46 17.41 20.31 13.92 1.98 60,001 - 70,000 บาท/เดอื น 8.07 9.69 9.92 7.36 1.29 70,001 - 80,000 บาท/เดอื น 3.13 3.12 5.67 2.08 0.61 80,001 - 90,000 บาท/เดอื น 2.31 1.48 2.05 0.96 0.61 90,001 - 100,000 บาท/เดือน 2.14 0.49 1.57 0.48 0.61 มากกว่า 100,000 บาท/เดอื น 0.99 0.16 0.79 0.80 1.17 รวม 0.82 0.49 0.31 0.48 100 0.82 0.66 0.47 1.12 2.14 0.66 0.79 100 100 100 100 ตารางที่ 3-8 รายไดโ้ ดยเปรียบเทียบและความพึงพอใจทางการเงิน รายได้โดยเปรยี บเทียบกบั คนในชมุ ชน กรงุ เทพฯ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาค รวม ค่าเฉลย่ี และปรมิ ณฑล ตะวันออกเฉียงเหนือ s.d. 5.13 5.69 5.27 5.20 1.50 1.54 5.06 1.61 1.66 1.64 92
กรงุ เทพฯ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาค รวม และปรมิ ณฑล ตะวนั ออกเฉียงเหนือ รายได้โดยเปรยี บเทียบกบั ตัวอย่างทัง้ ประเทศ ค่าเฉลี่ย 4.62 4.09 4.34 3.74 4.20 s.d. 1.69 1.79 1.62 1.67 1.72 ความพงึ พอใจทางการเงนิ ของครัวเรือน คา่ เฉลย่ี 5.18 5.11 5.82 5.51 5.41 s.d. 2.13 2.20 2.09 2.24 2.18 รปู ท่ี 3-1 ลาดับรายไดเ้ มื่อเปรียบเทียบกบั ผูอ้ ่ืน หมายเหตุ สเกลคาตอบ 1 คือ กลุ่มคนทมี่ ีรายได้ตา่ ที่สดุ ระดบั เพม่ิ ข้ึนจนถงึ 10 คือ กลุ่มคนท่มี รี ายได้สงู ทีส่ ุด 93
รูปที่ 3-2 ระดบั ความพึงพอใจทางการเงินของตนเอง หมายเหตุ สเกลคาตอบ 1 คือ ไมพ่ ึงพอใจเลย ระดบั เพิม่ ขึน้ จนถึง 10 คอื พงึ พอใจมากท่ีสดุ 3.6.3 ผลการสารวจความพงึ พอใจในชีวิต กลุ่มตัวอย่างประเมินระดับความพึงพอใจในชีวิตเฉล่ีย 7.3 (ตารางที่ 3-9) ต่ากว่าข้อมูลการสารวจ คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างย่ังยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในปี พ.ศ. 2561 เล็กน้อย ท่ีมีค่าเฉลี่ย 7.7 แต่สาหรับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความพึงพอใจในชีวิตเฉล่ียประมาณ 7.0 ซ่ึงต่ากว่าคนในภาคอ่ืน ๆ รูปท่ี 3-3 แสดงความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมจาแนกตามภาคและกลุ่มอายุ การกระจายของระดับความพึง พอใจในชีวิตค่อนข้างแตกต่างกันระหว่างภาคและรุ่น ตัวอย่างในรุ่น Baby Boomer เป็นรุ่นที่มีสัดส่วนความ พึงพอใจในชีวติ ระดับ 10 มากที่สดุ ความสุขและความวิตกกังวลในชีวิตเปน็ การประเมินภาวะทางอารมณ์ จากความรสู้ กึ ในปจั จุบนั พบวา่ ตัวอย่างมีความสุขเฉล่ีย 7.0 ยกเว้นคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลท่ีประเมินว่า ตนเองมีความสุขเฉลี่ย 6.5 ซึ่ง หมายถึงมีความสุขต่ากว่าคนในภาคอ่ืน ๆ ทาให้ระดับความวิตกกังวลเฉลี่ย 4.6 สูงกว่าค่าเฉล่ียของท้ังส่ีภาค การประเมินถึงคุณค่าและความหมายในชีวิต กลุ่มตัวอย่างประเมินว่า ตนเองรู้สึกถึงการมีคุณค่าในชีวิตเฉลี่ย 8.0 โดยคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือประเมินตนเองมีคุณค่าในชีวิตเฉล่ีย 8.5 ซ่ึงสูงกว่าคนในภาคอ่ืน ๆ น่า สังเกตว่า คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และรุ่น Baby Boomer ซ่ึงเป็นกลุ่มท่ีมีรายได้เฉล่ียต่า แต่สัดส่วน 94
ของตัวอย่างที่ตอบว่า มีความพึงพอใจในชีวิตมากที่สุด (ระดับ 10) ในวันท่ีผ่านมามีความสุขมากท่ีสุด (ระดับ 10) และไม่มีความวิตกกังวลเลย (ระดับ 0) และส่ิงท่ีทาอยู่น้ันเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าในชีวิตมากที่สดุ (ระดับ 10) สูง กว่าภาคอน่ื และรุน่ อื่นมาก (รปู ท่ี 3-3 ถึงรูปท่ี 3-6) ตารางที่ 3-9 ความพงึ พอใจในชีวติ และความวติ กกงั วลต่อโควิด-19 กรุงเทพฯ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาค รวม ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และปรมิ ณฑล 7.32 7.79 2.04 ระดับความพึงพอใจกบั ชวี ติ โดยภาพรวม 1.93 7.00 คา่ เฉลี่ย 6.97 7.05 7.45 7.37 2.18 2.30 s.d. 2.06 2.08 1.97 3.86 3.37 2.93 ระดบั ความสขุ โดยภาพรวม ในวันทผี่ ่านมา 3.13 7.96 คา่ เฉลีย่ 6.50 7.04 7.06 8.49 1.94 1.78 s.d. 2.25 2.02 2.03 6.28 6.69 2.87 ระดบั ความวิตกกังวลโดยภาพรวม ในวนั ทผ่ี ่านมา 3.03 8.48 คา่ เฉล่ีย 4.59 3.63 3.84 13.12 23.83 18.08 45.84 s.d. 2.89 2.85 2.69 43.04 21.85 25.76 100 ระดับของความรูส้ กึ ถงึ การมคี ุณค่าในชีวติ โดยภาพรวม 100 ค่าเฉลี่ย 7.68 7.68 7.97 s.d. 2.15 2.01 1.70 ระดบั ความวิตกกงั วลโดยภาพรวม ทีม่ ีผลมาจากเหตุการณ์โรคระบาดโควดิ -19 คา่ เฉล่ยี 6.18 6.13 6.09 s.d. 2.76 2.88 2.76 ผลกระทบทางลบของเหตุการณโ์ รคระบาดโควิด-19 ต่อความพงึ พอใจในชวี ติ (%) ไมม่ ผี ล 6.26 7.72 6.77 นอ้ ย 27.18 24.14 25.98 มาก 44.15 45.48 50.55 มากท่ีสุด 22.41 22.66 16.69 รวม 100 100 100 95
รูปที่ 3-3 ระดับความพึงพอใจกบั ชีวติ โดยภาพรวม หมายเหตุ สเกลคาตอบ 0 คือ ไมพ่ งึ พอใจในชีวติ เลย ระดับเพ่ิมขนึ้ จนถงึ 10 คือ พึงพอใจในชวี ติ มากท่สี ดุ 96
รูปท่ี 3-4 ระดับความสุขโดยภาพรวม ในวันทผ่ี ่านมา หมายเหตุ สเกลคาตอบ 0 คอื ไมม่ คี วามสขุ ในชวี ติ เลย ระดับเพ่ิมขนึ้ จนถงึ 10 คือ มคี วามสขุ ในชวี ติ มากท่สี ดุ 97
รปู ท่ี 3-5 ระดบั ความวติ กกังวลโดยภาพรวม ในวนั ที่ผา่ นมา หมายเหตุ สเกลคาตอบ 0 คือ ไมร่ ู้สึกวติ กกงั วลในชีวิตเลย ระดับเพม่ิ ขนึ้ จนถงึ 10 คอื มวี ติ กกงั วลในชวี ติ มากท่สี ดุ 98
รปู ที่ 3-6 ระดบั ของความรู้สกึ ถงึ การมีคณุ คา่ ในชวี ิตโดยภาพรวม หมายเหตุ สเกลคาตอบ 0 คอื ไมม่ คี ุณคา่ ในชวี ิตเลย ระดับเพ่มิ ข้นึ จนถึง 10 คอื มคี ณุ ค่าในชีวติ มากท่สี ดุ 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150