1. ความสาคญั ของวิธีทาง ประวัติศาสตร์
1. ความสาคญั ของวิธีทางประวตั ิศาสตร์ วิ ธี การทางประวั ติ ศาสตร์ เป็ น กระบวนการ ค้นหาความจริงอย่างเป็น วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการสืบค้นเหตุการณ์ ระบบ โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวและสิ่งสาคัญในอดีต ของมนุษย์ หรือสังคมที่มักเร่ิมต้นจากความ เปน็ ข้อมลู สาคัญ สงสัยใคร่รู้ของผู้ที่ต้องการศึกษา หรือต้องการค้นคว้าหาคาตอบดว้ ยตนเอง วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นคาตอบ วิธีการทางประวัติศาสตร์ เป็นทางเลือก เพราะสามารถใช้เป็นแนวทางแก่ผู้ศึกษา หนึง่ ในยคุ โลกาภิวตั น์ ที่ชว่ ยใหผ้ ู้ฝึกฝนการ จะได้นาไปใช้ค้นคว้าด้วยความรอบคอบ คิดอย่างเป็นกระบวนการ มีวิจารณญาณ ระมัดระวัง และไม่ลาเอียง วิธีการทาง ไม่หลงเชือ่ คาโฆษณาหรืออา่ นหนังสือเพียง ประวัติศาสตร์ จาแนกเป็นลาดับข้ันตอน เลม่ ใดเลม่ หนึง่ แลว้ เชือ่ ว่าเป็นจริง 1. การตั้งประเด็น 2. ปญั หาเรือ่ งราวทีอ่ ยากรู้ค้นหาและรวบรวมหลักฐาน 3. การวิเคราะหแ์ ละประเมินคณุ ค่าหลักฐาน 4. การตีความ การวิเคราะห์ สงั เคราะหแ์ ละการจดั หมวดหมู่ ข้อมูล 5. การเรียบเรียงจดั ทาบรรณานุกรมและการนาเสนอ
2. ข้ันตอนศึกษาวิธีการ ทางประวตั ิศาสตร์
1. การต้ังคาถามทางประวตั ิศาสตร์ ต้งั คาถาม ตามข้อสงสยั ▪ การตั้งคาถามเกิดจากผู้ใคร่รู้ หรือสงสัยเก่ียวกับเหตุการณ์ เรื่องราว หรือสิ่งสาคัญในอดีต จึงทาให้มีการตั้งคาถามขึ้น คาถามพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ คือ ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และทาไม ▪ การตั้งคาถามทางประวตั ิศาสตรเ์ ช่นนี้ เป็นการระบุปัญหาทาง ประวตั ิศาสตร์ ที่อาจนาไปสู่การตั้งหวั ข้อ ในการศึกษาค้นคว้า ต่อไป เครือ่ งปั้นดินเผาบ้านเชียง จงั หวดั อดุ รธานี มีพัฒนาการ ความเป็นมาอย่างไร
2. การรวบรวมหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานท่เี ป็นลายลกั ษณ์อักษร หลักฐานทไ่ี ม่เปน็ ลายลักษณ์อกั ษร ▪ หลักฐานทางประวัติศาสตร์มีอยู่หลายประเภทให้ผู้ศึกษาได้เลือกใช้ เช่น หลกั ฐานที่เปน็ ลายลกั ษณ์อักษร และหลักฐานที่ไมเ่ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษร ▪ การรวบรวมหลักฐานควรทาด้วยความชานาญ โดยคัดเลือกข้อเท็จจริง แต่ละชิ้นออกเป็นจาพวก ที่มีส่วนเก่ียวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ เรือ่ งราว และสิ่งสาคัญทางประวัติศาสตร์ และหลักฐานจาพวกที่เป็นแต่ เพียงส่วนประกอบเท่าน้ัน ▪ การศึกษาประวตั ิศาสตร์ที่ดีควรใช้หลักฐานหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ ศึกษาต้องการศึกษาเรื่องอะไร ▪ ดงั นั้น ในการรวบรวมหลักฐาน จดบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งหลักฐาน และแหล่งข้อมลู ให้ถกู ต้องสมบูรณ์ ทั้งนีเ้ พือ่ การอา้ งองิ ที่น่าเชือ่ ถือ
3. การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าลกั ษณะหลักฐาน ▪ การวิเคราะหแ์ ละประเมนิ คุณค่าลักษณะภายนอกของหลักฐาน (External Critics) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลกั ฐานทไี่ ดค้ ัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามคี วาม น่าเช่ือถือเพียงใด โดยยังไม่ศึกษาเน้ือหาในหลักฐานนั้น ๆ ขั้นตอนนี้ มปี ระโยชน์ คือ เป็นการคัดหลักฐานจาพวกที่เกี่ยวขอ้ งกับเหตุการณ์โดยตรง หรือเป็นหลักฐานส่วนประกอบ รวมทั้งเป็นการออกไปขจัดหลักฐานที่ไม่ นา่ เช่อื ถือ ▪ การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าลักษณะภายในของหลักฐาน (Internal Critice) คือ การพิจารณาเนื้อหา หรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อ ประเมินว่าน่าเช่ือถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจน ความหมายทีแ่ ท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสาคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลาย ลักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในหลักฐาน มีท้ังที่คลาดเคลื่อนอันเกิดจากปัจจัย ต่าง ๆ เช่น ความไมร่ ู้ และการมอี คติของผู้บนั ทึกแฝงอยู่
4. การตีความ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลและจดั หมวดหมู่ข้อมูล ▪ การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาหรือข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้าง ประวตั ิชุมชน หลักฐานมีเจตนาทีแ่ ท้จริงอยา่ งไร จดั หมวดหมวู่ ตั ถุโบราณ ▪ โดยดูจากลลี าการเขียนของผู้บนั ทึก และรูปร่างลักษณะโดยท่ัวไป เป็นต้น ในข้ันตอนการ ตีความหลกั ฐาน ▪ นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายามทาความเข้าใจความหมายจากสานวนโวหาร ทัศนคติ ความเชือ่ ของผู้เขียน และสงั คมในยคุ สมยั นั้นประกอบดว้ ย เพือ่ ที่จะได้ทราบว่าถ้อยความ น้ันนอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแลว้ ยังมีความหมายทีแ่ ท้จริงอะไรแฝงอยู่ ในข้ันตอนนี้ผู้ศึกษาจะต้องนาข้อมูลที่ผ่านการประเมินคุณค่าและการตีความมาวิเคราะห์ แยกแยะ จัดประเภทของเรื่องออกเป็นหัวข้อเรื่องต่าง ๆ โดยเนื้อหาในเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน รวมท้ัง เรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล จากนั้นจึงนาเรื่องท้ังหมดมาสังเคราะห์ รวมเข้าด้วยกนั ซึง่ เปน็ การจาลองภาพบุคคล หรือเหตุการณใ์ นอดีตขึน้ ใหม่
5. การเรียบเรียงและจัดลาดบั บรรณานุกรม ▪ การเรียบเรียงเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาต้องวางโครงเรื่องให้ 1. เรียบเรียงความเปน็ มาชมุ ชน 2. เรียบเรียงแหลง่ โบราณคดี 3. เรยี บเรยี งโบราณวัตถุ ชดั เจน โดยแบ่งเป็นหวั ข้อใหญ่ และหัวข้อยอ่ ย พฒั นาการเครื่องปนั้ ดินเผาบ้านเชียง จังหวดั อดุ รธานี ▪ แลว้ นาผลจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ มาเขียนเรียบเรียงให้เห็นถึง 1.เคร่อื งปั้นดินเผาบ้านเชียงสมัย 2.คร่อื งป้ันดินเผาบ้านเชียงสมยั 3.เครอ่ื งป้นั ดินเผาบ้านเชียงสมยั ความสัมพนั ธ์ และความต่อเนือ่ งของเหตุการณ์ เรื่องราวหรือส่ิงสาคัญ ในอดีตทีท่ าการศึกษา ▪ โดยอธิบายถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ ทาให้เกิดเหตุการณ์ เรื่องราวหรือส่ิง สาคญั ในอดตี เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึ้น และผลทีต่ ามมา ▪ ท้ังนี้ผู้ศกึ ษาอาจ นาเสนอเปน็ เหตกุ ารณ์ เรือ่ งราว หรือสง่ิ สาคญั ในอดตี ที่เป็นพื้นฐาน หรือเป็นเชิงวิเคราะห์ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของ การศึกษา ▪ จากน้ันจึงจัดทาบรรณานุกรม ซึ่งประกอบด้วย รายชื่อหลักฐานต่าง ๆ ทีผ่ ู้ศึกษาใชอ้ า้ งองิ หรือใชเ้ พื่อการศึกษา รวมทั้งโสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ เชน่ รปู ภาพ แผนที่ ▪ จากน้ันจึงนาเสนอในรูปรายงานการวิจยั หรือจดั พิมพ์เป็นหนังสือ หรือ จัดเปน็ นิทรรศการ เปน็ ต้น ต้น(อายุประมาณ5,600–3,000ปี) กลาง (อายปุ ระมาณ3,000–2,300ปี) ปลาย(อายปุ ระมาณ2,300–1,800ปี)
จบเรือ่ งที่ 2 วิธีการทางประวตั ิศาสตร์
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 เรื่องที่ 1 ความเป็นมาของชนชาติไทย วิเคราะห์ประเดน็ สาคัญ และอาณาจกั รโบราณในดินแดนไทย ทางประวัติศาสตร์ไทย
วตั ถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพือ่ เข้าใจแนวคดิ เกย่ี วกับความเปน็ มาของชนชาติไทย 2. เพือ่ เข้าใจอาณาจักรโบราณในดินแดนไทย และอิทธพิ ลทม่ี ีตอ่ สังคมไทย 3. เพื่อเข้าใจปจั จัยทม่ี ีผลต่อการต้ังถ่นิ ฐานของมนษุ ย์ 4. เพือ่ เข้าใจการต้ังถ่นิ ฐานในดินแดนประเทศไทย
1. แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมา ของชนชาติไทย
แนวคิดเกีย่ วกบั ความเปน็ มาของชนชาติไทย แนวคิดเรื่องถิ่นกําเนิดของชนชาติไทยยังเป็นประเด็นที่นักวิชาการหลายๆ คนให้ความสนใจ เสนอประเด็นต่าง ๆ อย่าง กว้างขวาง ซึง่ แต่ละแนวคิดที่นาเสนอได้มหี ลกั ฐาน และข้อมูลสนับสนนุ เพือ่ ความน่าเชื่อถือ แต่ในปัจจุบนั ยังไมส่ ามารถหาข้อยตุ ิได้ว่า แนวคิด ใดเป็นแนวคิดที่น่าเชื่อถือมากที่สุด โดยแนวคิดเรื่อง ถิ่นกําเนิดของคนไทย เท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน และได้มีการนาเสนออยู่ในช่วงเวลานี้ จาแนกได้เป็น 5 แนวคิด ดังนี้ แนวคิดท่ี 1 บริเวณเทือกเขาอัลไต แนวคิดท่ี 2 บริเวณมณฑลเสฉวน แนวคิดท่ี 3 กระจายท่ัวไปทางตอนใต้ แนวคดิ ท่ี 4 ประเทศไทยปจั จุบัน แ น ว คิ ด ที่ 5 บ ริ เ ว ณ ภ า ค ของประเทศจีน ตอนเหนือของ ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ในมองโกเลีย ทางตอนเหนือของ ลุ่มแม่น้าแยงซีเกียง ในตอนกลางของ ภมู ิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ และ ไทย หรืออินโดจีน หรือบริเวณ บรเิ วณแคว้นอัสสมั ในประเทศอนิ เดยี คาบสมทุ รมลายู ประเทศจีน จีน
แนวคิดที่ 1 บริเวณเทือกเขาอลั ไตในมองโกเลีย ทางตอนเหนือของประเทศจีน ผ้เู สนอแนวคิด คือ ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ (William, Clifton Dodd) มิชชันนารี ดร.วลิ เลยี ม คลฟิ ตนั ดอดด์ ขนุ วจิ ิตรมาตรา ชาวอเมริกัน หมอดอดด์ได้เดินทางสารวจอาณาจักรต่าง ๆ ที่อยู่นอกประเทศไทยและเขียน หนังสือชื่อ ชนชาติไทย ใน พ.ศ. 2452 โดยอาศัยหลักฐานประเภท ตานานและพงศาวดาร และจดหมายเหตุของจีนในการค้นคว้า การเผยแพร่แนวคิด แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อนักวิชาการชาวต่างประเทศนักวิชาการ ชาวไทย เชน่ ขุนวิจิตรมาตรา (รองอามาตยโ์ ทสงา่ กาญจนาคพันธ์) ซึ่งไดส้ นับสนนุ แนวคิด ดังกล่าวลงในหนังสือเรื่อง “หลักไทย” ใน พ.ศ. 2471 โดยเสนอว่าคนไทยเคยอยู่บริเวณ เทือกเขาอัลไต หนังสือเล่มนี้ยังมีส่วนทาให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุแนวคิดจากทฤษฎี ดงั กลา่ วลงในตาราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ความน่าเช่ือถืออของแนวคิด ปัจจุบันแนวคิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ เพราะขาดหลักฐานสนับสนุน และที่สาคัญการอพยพผ่านมาทางใต้โดยผ่านทะเลทรายโกบี ซึ่งอยหู่ า่ งไกลและมีสภาพอากาศทีห่ นาวเยน็ มาก
แนวคิดที่ 2 บริเวณมณฑลเสฉวน ลุ่มแม่น้าแยงซีเกียง ในตอนกลางของจีน ผู้เสนอแนวคิด คือ แตเรียง เดอดู เปอร์ลา คงปรี (Terrierde la Couperie) ผู้เชยี วชาญทาง ภาษาศาสตร์ของอนิ โดจีน ไดเ้ สนอแนวความคิดนี้เมือ่ พ.ศ. 2428 โดยเขียนหนงั สือชื่อว่า Cradle of the Shan Race หรือ ถิ่นกําเนิดของชนชาติฉาน ซึ่งได้นาเสนอความเห็นว่า คนไทยอาศัย อยู่ต้ังถิ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวนในประเทศจีนมาก่อน ต่อมาเมื่อถูก ชาวจีนรุกรานจึงถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อย ๆ จนถึงดินแดนสุวรรณภูมิหรืออินโดจีน จน กลายเป็นต้นกาเนิดของบรรพบุรุษของคนไทย ลาว การเผยแพร่แนวคิด งานของเดอคูเปอร์ลา คงปรี ได้รับการสืบทอดต่อมาในสังคมไทย กรมพระยาดํารงราชานุภาพ นักวิชาการไทยหลายท่านที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระยาดํารงราชานภุ าพ ไดเ้ สนอแนวคิดดงั กลา่ วลงใน“แสดงบรรยายพงศาวดารสยามและ ลักษณะการปกครองประเทศสยามโบราณ” (พ.ศ. 2467) ขณะที่พระยาอนุมานราชธน ได้ เสนอในหนังสือ“เรือ่ งของชนชาตไิ ทย”หลวงวิจิตร วาทการ ได้เสนอลงในหนังสือ 2 เล่ม คือ “สยามกับสุวรรณภูมิ” (พ.ศ. 2467) และ “งานค้นคว้า เรื่องชนชาติไทย” (พ.ศ. 2499) และ พระบริหารเทพธานี กลา่ วไว้ในผลงานเรื่อง “พงศาวดารชาตไิ ทย” (พ.ศ. 2496) ความน่าเช่ือถืออของแนวคิด ในปัจจุบันแนวคิดนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันอยู่บ้างแต่ เฉพาะนักวิชาการในบางกลุ่ม และนักวิชาการเหล่านี้ได้พยายามหาหลักฐานเพ่ิมเติมเพื่อให้ แนวคิดนี้เกิดความน่าเชื่อถือมากย่งิ ขึ้น
แนวคิดที่ 3 กระจายทว่ั ไปทางตอนใต้ของประเทศจีน ตอนเหนือของภมู ิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริเวณแคว้นอัสสมั ในประเทศอินเดีย ผู้เสนอแนวคิด คือ อาร์ชบัล อาร์ โคคูอันท์ (Archibal R. Colquhoun) ชาวอังกฤษ เขียน หนังสือชื่อ ไครเซ (Chrysi) แนวคิดนี้สรุปว่า คนไทยเป็นชาติที่อพยพจากถิ่นอื่นก่อนที่จะเข้า มาต้งั ถิ่นฐานในบริเวณทีร่ าบลุ่มแมน่ ํา้ เจา้ พระยา โดยอพยพจากทางเหนือมาทางใต้ การเผยแพร่แนวคิด แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการอย่างมาก และได้มี นักวิชาการหลายท่านนาแนวคิดนี้ดังกล่าว ไปศึกษาหาหลักฐานต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อขยาย แนวคิดใหน้ ่าเชือ่ ถือมากขึ้น เชน่ พระยาประชากจิ กรจกั ร (แชม่ บนุ นาค) ได้เสนอแนวคิดตาม ทฤษฎีลงในหนังสือ “พงศาวดารโยนก” ตีพิมพ์ระหว่าง พ.ศ. 2441-2442 งานช้ินนี้สรุปว่า ถิ่น กาเนิดของชนชาติไทยอยู่กระจัดกระจายในบรเิ วณตอนใต้ของจีนรวมไปถงึ รฐั อัสสัมของอนิ เดยี นอกจากนี้ยงั มีนกั วิชาการต่างประเทศ เชน่ วลู แกรม อีเบอรฮ์ าด (Wolgram Eberhard)วิลเลยี ม เคร์ดเนอร์ (Wilian Credner) เฟรเดอริก โมด (Frederick Mod) และศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (George Coedes) ส่วนนักวิชาการไทย เช่น ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล, ศาสตราจารยข์ จร สขุ พานิช, จติ ร ภมู ิศักด์ิ และบรรจบ พนั ธุเมธา เป็นต้น ความน่าเชอ่ื ถืออของแนวคิด แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับค่อนข้างสงู จากภาษาศาสตร์และ นักประวตั ิศาสตร์ ท้ังนี้เพราะ อาศัยหลักฐานท้ังทางนิรกุ ติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ มานษุ ยวิทยา แลว้ สรุปไดว้ ่าคนไทย
แนวคิดที่ 4 ประเทศไทยปัจจบุ ัน ผู้เสนอแนวคิด แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่ ผู้ที่เสนอ คือ พอล เบนิดดท์ (Paul Benedict) นกั ภาษาศาสตร์และนักมานษุ ยวิทยาชาวอเมริกนั การศึกษาค้นควา้ ตามแนวคิดนี้เขา ใช้หลักฐานทางภาษาศาสตร์เป็นหลักในการสนับสนุน โดยได้ให้ความเห็นว่าภาษาไทยเป็น ตระกูลภาษาหนึ่งของชนชาติในเอเชยี จดั อยใู่ นตระกูลออสตริคหรือออสโตรนีเซียน ที่อาศัย อยใู่ นบริเวณนี้มาก่อน การเผยแพร่แนวคิด แนวคิดดังกล่าวได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนักวิชาการชาว ต่างประเทศ เชน่ ดร.ควอริช เวลล์ (Dr. Quaritch Wales) ส่วนนักวิชาการชาวไทย โดยเฉพาะนัก โบราณคดี เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร, ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี, ศาสตราจารย์พิเศษศรีศักร วัลลิโภดม, พิสิษฐ์ วงษ์เทศ ฯลฯ นักวิชาการกลุ่มนี้ ใช้ หลักฐานทางโบราณคดีในการศึกษา โดยสามารถขดุ พบหลกั ฐานต่าง ๆ ที่ระบุถึงการดารงชีวิต ของมนษุ ยใ์ นอาณาบริเวณประเทศไทย ต้ังแต่สมัยหนิ เก่า (500,000-10,000 ปี ลว่ งมาแลว้ ) ความน่าเช่ือถืออของแนวคิด แนวคิดนี้ใช้หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึง ความต่อเนื่องทางวฒั นธรรม รวมท้ังการศึกษาเปรียบเทียบลกั ษณะโครงกระดูกมนุษย์ที่ขุดพบ ในดินแดนไทยสนบั สนุน ดังน้ัน ตามแนวคิดนี้จึงสรุปได้ว่า บรรพบุรุษของคนไทยอยู่ในดินแดน ประเทศไทยมาโดยตลอด
แนวคิดที่ 5 บริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย หรืออินโดจีน หรือบริเวณคาบสมุทรมลายู ผู้เสนอแนวคิด คือ นายแพทย์สมศักด์ิ พนั ธสุ์ มบุญ และศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้เสนอแนวคิดกลุ่มนี้ ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติไทยด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ บนรากฐาน ของวิชาพนั ธศุ าสตร์ คือ การศึกษาความถี่ของยนี และหมู่เลือดและการศึกษาเรื่องฮโี มโกลบินอี การเผยแพร่แนวคิด แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่สนใจในวงวิชาการไทยอย่างกว้างขวาง และได้มีการนาเอา แนวคิดดังกล่าวไป ขยายผลของการศึกษาเพิ่มขึ้นด้วยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฮีโมโกลบินอี เช่น นายแพทย์ประเวศ วะสี และกลุ่มนักวจิ ัยมหาวทิ ยาลัยมหดิ ล ความน่าเช่ือถืออของแนวคิด ได้ข้อสรุปว่า ฮีโมโกลบินอี พบมากในผู้คนในแถบเอเชียอาคเนย์ คือ ไทย ลาว พม่า มอญ และอื่น ๆ สาหรบั ประเทศไทย ผู้คนทางภาคอีสานมฮี ีโมโกลบินอีมากที่สุด ซึ่งไม่ มีในคนจีนเลย จึงไม่น่าเป็นไปไดท้ ีค่ นไทยจะเคยอาศัยอยใู่ นดนิ แดนประเทศจีน
2. อาณาจกั รโบราณ ในดินแดนไทย และ อิทธิพลที่มีต่อ สังคมไทย
อาณาจักรโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีต่อสังคมไทย ดินแดนประเทศไทยเมือ่ ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 13 ไดเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงสาคญั ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยอยู่ 2 ประการ คือ 1. การคา้ ขาย ทีก่ อ่ นหน้านั้นเคยติดต่อค้าขายกับโรมนั และอนิ เดียส้ินสุดลง ประเทศที่เข้ามามีบทบาทแทน คือ จีน ดังนั้น อาณาจักรต่าง ๆ จึงหันไปค้าขายกับจีนและได้มีการ สง่ เครือ่ งบรรณาการซึง่ เป็นสนิ ค้าพื้นเมืองไปถวายจักรพรรดจิ ีน 2. อาณาจักรฟนู านที่เคยเป็นอาณาจักรที่ย่ิงใหญ่ในช่วงนี้ล่มสลายลง ทาให้อาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อย ที่เคยตกอยู่ภายใต้อานาจของอาณาจักรฟูนานมีความเป็นอิสระ อาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อยที่ได้รับอิสระก็พัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นอาณาจักรใหญ่ ที่มีขอบเขตกว้างขวางขึ้น รวมทั้งได้ขยายขอบเขตของบ้านเมืองจากฝ่ังทะเล ลึกเข้าไปสู่ แผ่นดนิ ใหญ่ภายในเพิม่ ขึ้น ในชว่ งตั้งแต่พทุ ธศตวรรษที่ 13-18 ได้มอี าณาจักรสาคัญเกดิ ขึน้ หลายอาณาจกั ร ดังนี้ อาณาจักรในภาคกลาง อาณาจกั รในภาคใต้ อาณาจกั รในภาคเหนือ อาณาจักรในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
อาณาจกั รในภาคกลาง อาณาจกั รที่เกิดขน้ึ ในภาคกลาง ก่อนการสถาปนาอาณาจกั รสโุ ขทยั ในช่วงเวลานี้เป็นอาณาจักรต่าง ๆ บริเวณ ลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาตอนลา่ ง รวมไปถึงทางภาคตะวนั ตก และภาคตะวนั ออกของลุ่มน้าเจ้าพระยาด้วย โดยมีอาณาจักรสาคญั ดังนี้ อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรอโยธยา อาณาจักรสุพรรณภูมิ ▪ ศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีอยู่ท่ีใดไม่ ▪ เมืองละโว้เป็นชุมชนโบราณ ต้ังอยู่ด้านตะวันออก ▪ เมืองอโยธยาเป็นเมืองท่ีเกิดข้ึนใหม่ และ ▪ เมืองสุพรรณภูมิปรากฏชื่อครั้ง ปรากฏชดั เจน ของแม่นา้ เจ้าพระยาตอนล่าง เป็นเมืองท่ีได้รับการสืบทอดและพัฒนา แรกในศิลาจารึกหลกั ท่ี 1 มาจากอาณาจกั รละโว้ ▪ นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกต่างกันเป็น 3 ▪ มีความเจริญรุ่งเรือง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ▪ เมืองน้ีต้ังอยู่ในเขตตะวันตกของท่ี กลมุ่ คอื กลมุ่ ท่ี 1 เชื่อว่ามีศูนย์กลางท่ีเมืองนคร อาณาจกั รละโว้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ▪ อาณาจักรอโยธยาได้สืบทอดวัฒนธรรม ราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา และอยู่ ชัยศรี จังหวัดนครปฐม กลุ่มที่ 2 เชื่อว่ามี หลายอย่างมาจากเมืองละโว้ ตดิ กับแม่นา้ สุพรรณบรุ ี ศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ▪ ใน ช่วงศตวรรษที่ 13-14 ศูนย์กลางของอาณาจักร และกลุ่มที่ 3 เชื่อว่ามีศูนย์กลางอยู่ท่ีตาบลคูบัว ละโว้ในตอนต้นสนั นิษฐานว่าอยู่ท่เี มืองลพบุรี ▪ ต่อมาตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี 19 ▪ การปกครองอาณาจักรสุพรรณ จังหวัดราชบุรี การมีข้อสันนิษฐานแตกต่างกัน ดินแดนแถบน้ีมีจึงกาลังไพร่พลมากข้ึน ภู มิ อยู่ ในช่ วงควบคู่ ไปกั บการ เช่นนี้เป็นเพราะบริเวณทั้ง 3 แห่งน้ี ต่างก็มี ▪ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักร ท่ีสาคัญมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทาง ปกครองอาณาจกั รสโุ ขทัย ร่องรอยเมืองโบราณ ศิลปวัตถุ และโบราณสถาน ขอมได้ขยายอานาจมาทางตะวันตกและได้เข้ามา การเมือง และทางเครือญาติ กับเมือง แบบทวารวดเี ป็นจานวนมากในหลายทอ้ งท่ี บริเวณน้ี ทาให้ละโว้ไดร้ ับอทิ ธพิ ลศิลปะขอมตามไป สุพรรณภูมิ ▪ ต่อมาพระเจ้าอู่ทองทรงรวม ด้วย อาณาจักรอโยธยาและอาณาจักร ▪ ทวารวดีเริ่มเส่ือมลงราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 16 ▪ จนสามารถรวมตั วกั นก่อตั้งเป็ น สุ พรรณภู มิ ต้ั งเป็ นอาณาจั กร เมื่ออทิ ธพิ ลวัฒนธรรมแบบขอมเขา้ มาแทนท่ี ▪ ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 การคา้ ขายระหว่างละโว้กับ อาณาจักรอยธุ ยาใน พ.ศ. 1883 อยุธยาแล้ว อาณาจักรสุพรรณภู จีนเจริญรุ่งเรืองเพิ่มข้ึน ทาให้อาณาจักรละโว้ได้ มิได้ถูกลดความสาคัญลงเป็นหัว ย้ายราชธานีใหม่ มาตั้งตรงปากแม่น้าลพบุรี และมี ช้ันเมืองเอก ฐานะเป็นเมืองลกู หลวงของ อาณาจกั รอโยธยา
อาณาจักรในภาคใต้ อาณาจักรสําคัญที่เกิดขึ้นในภาคใต้ เป็นอาณาจักรที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ 8-12 และในช่วงเวลานี้เกิดอาณาจักรสาคัญ ๆ ขึ้นอีกหลาย อาณาจักรทีส่ าคญั คือ อาณาจักรตามพรลิงค์ ซึง่ ต่อมาภายหลังพัฒนาเป็นอาณาจกั รนครศรธี รรมราช อาณาจักรตามพรลงิ ค์ อาณาจักรนครศรีธรรมราช ▪ อาณาจักรตามพรลิงค์ตั้งอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายฝ่ังทางภาคใต้ของประเทศ ▪ อาณาจักรนี้สนั นิษฐานวา่ เปน็ อาณาจกั รที่พัฒนามาจากอาณาจกั ร ตามพรลงิ ค์ ไทยในปจั จุบนั ▪ มีความเหมาะสมอย่างย่ิงในด้านการค้าขายดินแดนที่เป็นที่ต้ังของอาณาจักร ▪ โดยประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของ พวกโจฬะหรือพวกทมิฬ ตามพรลงิ ค์ทีเ่ อื้อต่อเศรษฐกิจ ▪ ทาให้กลุ่มคนต่าง ๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่ง ปะปนกับชาวพื้นเมืองจนเกิดการ ▪ ต่อมาได้ถกู ราชวงศ์ศรธี รรมาโศกราชเข้าปกครอง ▪ ในด้านศาสนาสันนิษฐานได้ว่า พุทธศาสนาเข้าสู่แผ่นดินสยาม ผสมผสานท้ังทางด้านเผ่าพันธุ์และวฒั นธรรม ▪ นอกจากนี้ยังเป็นดินแดน ที่มีกลุ่มผลัดเปล่ียนกันเข้ามาครอบครอง ได้แก่ โบราณโดยใช้นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางรับพุทธศาสนามาจาก อาณาจกั รศรีวิชยั อาณาจักรกัมพชู า และพวกโจฬะหรือพวกทมิฬในอนิ เดยี ลงั กา โดยหลักฐานจากศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ของสุโขทยั ยังไดก้ ลา่ วให้ เห็นว่าพระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชได้เผยแพร่พุทธศาสนาไปยัง อาณาจักรสโุ ขทยั
อาณาจกั รในภาคเหนือ อาณาจกั รสาคญั ก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั ในบริเวณภาคเหนือของไทยหรือทีเ่ รียกว่าลา้ นนา หมายถึง บริเวณจังหวัดเชยี งราย แม่ฮ่องสอน เชยี งใหม่ ลาปาง ลาพูน แพร่ และน่าน ซึ่งการรวมตวั กนั เปน็ อาณาจกั รมีลกั ษณะเดยี วกับภาคอื่น ๆ คือ ก่อตวั ขึ้นราวพทุ ธศตวรรษที่11-12 โดยมีอาณาจกั รทสี่ าคัญๆ ไดแ้ ก่ อาณาจักรโยนกเชียงแสน อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรหริภญุ ชัย อาณาจักรล้านนา ▪ เรื่องราวของอาณาจักรนี้ปรากฏใน ▪ อาณาจักรเงินยางเชียงแสน ก่อต้ังขึ้นโดย ▪ อาณาจักรหริภุญชัยก่อต้ังขึ้นเมื่อ ▪ อาณาจักรล้านนาจากเอกสาร ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 พื้นเมืองของภาคเหนือได้กล่าว “ตาํ นานสิงหนวัตกิ ุมาร” พระเจ้าลาวจกมีศูนย์กลางการเมืองการ ว่า ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษ ▪ การปกครองของแควันหริภุญชัยมี ที่ 18-19 พระเจ้ามังราย (พ่อ ▪ โดยอาณาจักรนี้ตั้งขึ้น ในดินแดน ปกครองอยทู่ ีเ่ ชยี งราย ลักษณะคือ เจ้าเมืองจะส่งทายาทไป ขนุ มังราย) ลุ่มแม่น้าโขงทางตอนบนสุดของ ▪ อาณาจกั รนี้มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดใน ครองเมืองที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อรวบรวม เมืองนั้นให้อยู่ภายใต้ในอาณาเขตของ ▪ ประมาณ พ.ศ. 1836 พระเจ้ามัง ประเทศไทย มีเมืองโยนกเชียงแสน สมัยของพ่อขุนมังราย ซึ่งได้ขยายอาณา อาณาจักรตน พระนางจามเทวีก็เช่นกัน รายก็ได้พยายามรวบรวม หัว ได้ส่งพระโอรสไปบูรณะเมือง เขลางค์ เมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือ เช่น (ปัจจุบันคือ อาเภอเชียงแสน เขตออกไปอยา่ งกว้างขวาง (ลาปาง) ซึ่งเป็นเมืองร้าง และได้ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลาปาง จังหวัดเชียงราย) เป็นศูนย์กลาง ▪ จนกระทั่งประมาณพุทธศตวรรษที่ 19ก็ ปกครองเมืองน้ันใหม้ ีความเจริญขึ้นมา ล าพู น และน่ าน เข้ าเป็ น อาณาจักร เรียกว่า “อาณาจักร การเมืองการปกครอง สามารถเข้าโจมตี และยึดครองอาณาจักร ลา้ นนา” ▪ อาณาจักรนี้มีความเจริญรุ่งเรือง หริภุญชัย รวมท้ังเมืองเขลางค์นคร แพร่ อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษ ที่ 16-18มี น่าน ไว้ไดเ้ ป็นเหตุให้อาณาจักรหริภุญชัย อาณาเขตอยู่ในบริเวณจังหวัด ส้นิ สุดลง เชยี งราย และจงั หวดั พะเยา
อาณาจักรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาณาจักรสาคัญก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะแถบลุ่มแม่น้ามูลและแม่น้าชีส่วนใหญ่ อยู่ภายใต้การปกครองและ วัฒนธรรมของอาณาจกั รกัมพชู า โดยในชว่ งพุทธศตวรรษที่ 11-13 อยภู่ ายใต้อทิ ธิพลของอาณาจกั รเจนละ จนพุทธศตวรรษที่ 14 บ้านเมืองบริเวณนี้จึงเปน็ อสิ ระ อาณาจักรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทีส่ าคัญมีอยู่ด้วยกัน 2 อาณาจักร คือ อาณาจกั รศรจี นาศะ อาณาจกั รศรีโคตรบรู ▪ อาณาจักรนี้ก่อตั้งขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณพุทธ ▪ อาณาจักรศรีโคตรบูรนักวิชาการหลายท่านมองว่าเป็นอาณาจักรในอุดมคติ โดย ประวัติความเป็นมาของอาณาจักรศรีโคตรบูรจากหนังสือ “ตํานานอุรังคธาตุ” ศตวรรษที่ 13-14 อาจกาหนดเขตแดนของอาณาจกั รศรีโคตรบรู ไดว้ ่าอยบู่ ริเวณ สองฝ่ังแม่น้าโขง ▪ มีอิทธิพลทางการเมืองอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ามูลและแม่น้าชี มีศูนย์กลางการ ▪ ประชาชนของอาณาจักรศรีโคตรบูรนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างมาก ปกครองอยทู่ ี่เมืองพิมาย จงั หวดั นครราชสมี า เหน็ ไดจ้ ากการ ก่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ หลายแหง่ ▪ อาณาจกั รนี้มคี วามผูกพันทางวฒั นธรรมกับอาณาจกั รเจนละ ▪ นอกจากนี้ยงั ไดม้ ีการสร้างสรรค์ศิลปะแบบทวารวดี ทีเ่ ปน็ ของตนเอง ▪ พุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรขอมเริ่มเสื่อมอานาจลง และพระเจ้าฟ้างุมแห่ง ▪ กษัตริย์และประชาชนท่ัวไปให้ความนับถือพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์- อาณาจักรล้านช้าง ได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ในแถบลุ่มแม่น้าโขงเข้าด้วยกัน ทา ใหด้ นิ แดนบริเวณนี้ตกอยภู่ ายใต้ “อาณาจกั รลา้ นช้าง” ดว้ ย ฮินดู ▪ อาณาจักรนี้มีอิสระอยู่เพียงระยะส้ันๆ ก็ล่มสลายไป เนื่องจากอาณาจักรเจนละ รวมกันเป็นอาณาจักรกัมพูชา ทาให้ดินแดนเหล่านี้ก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของ อาณาจกั รกัมพชู า
3. ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การตงั้ ถ่ินฐาน ของมนษุ ย์
ปจั จัยที่มีผลต่อการต้งั ถิ่นฐานของมนษุ ย์ ปัจจยั ทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการต้ังถิ่นฐานของมนษุ ย์ แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท คือ ปจั จัยทางกายภาพ และปัจจยั ทางสังคม ปัจจัยทางกายภาพ หมายถึง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ปัจจัยทางสังคม หมายถึง เมื่อมีการรวมกลุ่มของมนุษย์มากขึ้น ก็จะมีการ ที่แวดล้อมตัวของมนุษย์ เช่น ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งงานกันทา มีการแลกเปล่ียนผลิตผล สมาชิกมีสถานะที่แตกต่างกันใน มนุษย์จะเลือกต้ังถิ่นฐานในถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยและ สังคมเกิดเป็นชนช้ันต่าง ๆ เกิดระบบการปกครอง มีการกาหนดกติกาควบคุม การดํารงชีวิต ด้านต่าง ๆ ปัจจัยทางกายภาพจึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการ สมาชิกในสังคม กาหนดมาตรฐานต่าง ๆ ในสังคม ก่อให้เกิดระบบจารีต ตัดสนิ ใจเลือกที่ตั้งหลกั แหลง่ ของมนษุ ย์ ประเพณี จนกระทั้งพัฒนามาเป็นกฎหมาย
4. การตงั้ ถ่ินฐานในดินแดน ประเทศไทย
การตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทย การตั้งถน่ิ ฐานในภาคเหนือ การตง้ั ถ่นิ ฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การต้งั ถ่นิ ฐานในภาคกลาง การต้งั ถ่นิ ฐานในภาคใต้
การตั้งถิน่ ฐานในภาคเหนือ ภาคเหนือมีรอ่ งรอยการอยอู่ าศยั ของมนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์ตั้งแต่ยุคหนิ เกา่ เป็นตน้ มา หลักฐาน ที่พบ เชน่ ที่บ้านแม่ทะ และบ้านดอนมูล จังหวัดลาปาง พบเครื่องมือหินกะเทาะอายุกว่า 700,000 ปี ที่ถ้าผี ถ้าปุงฮุงและถ้าผาชัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบเครื่องมือหินกะเทาะ เศษภาชนะดินเผา เมล็ดพืช และกระดูกสัตว์ สันนิษฐานว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่ดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ และ หาของป่า ▪ ในทางโบราณคดีและประวตั ิศาสตร์ ถือวา่ ภาคเหนือเร่มิ ต้ังแต่ จงั หวัดนครสวรรค์ อทุ ัยธานี และตาก ▪ ภาคเหนือตอนบน ไดแ้ ก่ เทือกเขาแดนลาว เทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาผีปนั น้า และเทือกเขาหลวงพระบาง ▪ ภาคเหนือตอนลา่ งพื้นทีส่ ่วนใหญ่เป็นทีร่ าบลมุ่ แม่น้าและทีร่ าบแบบลอนคลืน่ มีภเู ขาโดดและเนินเขา ▪ ลมุ่ แม่น้าสาคัญทีเ่ กิดจากเทือกเขาในภาคเหนือ ไดแ้ ก่ ลมุ่ แม่น้าปิง ลมุ่ แม่น้าวงั ลมุ่ แม่น้ายม ลมุ่ แม่น้าน่าน
การต้ังถิ่นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มี 20 จงั หวดั เหมือนการแบ่งภาคทางภมู ศิ าสตรด์ ินเปน็ ดินทราย จึงไม่เก็บน้าไว้ในดนิ อากาศค่อนข้างแหง้ แลง้ ในฤดูหนาว อากาศหนาวเยน็ กว่าภาคอืน่ แอง่ สกลนคร เปน็ แหลง่ วฒั นธรรมบ้านเชยี งยคุ โลหะ มนษุ ยใ์ นวัฒนธรรมบ้านเชยี งมีการ ตั้งชมุ ชนเปน็ หลกั แหล่ง ตั้งหวั หน้าปกครอง ทาการเกษตร รจู้ กั ทาเครือ่ งป้ันดินเผาลายเขียน สีและรู้จักทาเครื่องมือสาริด และต่อมาสามารถทาเครื่องมือจากเหล็กได้ มีประเพณีทาศพ และมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ แต่ชุมชนเหล่านี้มีพัฒนาการ สงู สดุ แค่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่เท่าน้ัน มีไดข้ ยายตวั ขึ้นเปน็ มืองแต่อยา่ งใด แอง่ โคราช มีพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงมีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหลง่ กันต้ังแต่ยคุ โลหะ เมือ่ ประมาณ 3,000 ปี มาแลว้ สว่ นใหญ่จะอยตู่ ามทีล่ ุ่มตา่ ก่อน แล้วจึงเคลื่อนย้ายไปอยู่บน ที่สูงในภายหลัง อาจแบ่งกลุ่ม ชุมชนในแอ่งโคราชได้เป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะแตกต่างของ เครือ่ งปัน้ ดนิ เผา ไดแ้ ก่ กลมุ่ ในนชยั กลมุ่ ทุ่งกุลาร้องไห้ กลมุ่ ทุ่งสาริด
การต้งั ถิ่นฐานในภาคกลาง ภาคกลางอยู่ถัดภาคเหนือลงไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จงั หวัดในภาคตะวันตกและภาคตะวันออก การต้ังบ้านเมืองสมัยประวัติศาสตร์ในภาคกลาง สันนิษฐานว่ามีรากฐานสืบ เนื่องมาจากแหล่งชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ใกล้เคียง ประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 12 อันเปน็ สมัยทวารวดมี ีเมืองต่าง ๆ เกิดขึ้นหลาย เมืองในภาคกลาง เมืองในภาคกลางได้รับวัฒนธรรมเขมร ซึ่งแผ่อานาจเข้ามาจนถึงลุ่มแม่น้า เจ้าพระยาตอนลา่ งโดยมีละโว้หรือลพบุรีเปน็ ศนู ยก์ ลาง จนเมื่อเขมรเสือ่ มอานาจลง จึงเกิดอาณาจักรและอาณาจักรใหม่ ๆ ของชนชาติ ไทยขึ้น อาณาจักรสาคัญ คือ อาณาจกั รอยธุ ยา
การตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ ภาคใต้ คือ บริเวณต้ังแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนสุดเขตแดนจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา และ นราธวิ าส ซึ่งตดิ ตอ่ กับประเทศมาเลเซีย ภูมิประเทศมีลักษณะเป็นคาบสมุทร ขนาบด้วยทะเลอันดามันและอ่าวไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของทะเลจีนใต้ มีเทือกเขาภูเก็ตและเทือกเขานครศรีธรรมราช ทอดตัวในแนวจากเหนือไปใต้ กับเทือกเขาสันกาลาคีรีกั้นพรมแดนไทยกับมาเลเซีย มีที่ราบชายฝั่งทะเลท้ังสองด้านของ คาบสมุทร ที่ราบชายฝั่งทะเลตะวันออกเป็นที่ราบใหญ่ เกิดจากคลื่นพัดพาเอาดินตะกอนมาทับ ถมกนั
จบเรื่องที่ 1 ความเปน็ มาของชนชาติไทย และอาณาจกั รโบราณในดินแดนไทย
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ งที่ 2 ความเปน็ มาของชาติไทย วิเคราะห์ประเด็นสาคัญ ในด้านการเมืองการปกครอง ทางประวตั ิศาสตร์ไทย
วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพื่อเข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยสโุ ขทัย 2. เพือ่ เข้าใจการเมืองการปกครองในสมยั อยุธยา 3. เพื่อเข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยธนบุรี 4. เพือ่ เข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์
1. การเมืองการปกครอง ในสมยั สโุ ขทัย
1. กษัตริย์อาณาจกั รสุโขทัย การจัดรปู แบบการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยเปน็ แบบกระจายอานาจ มีโครงสร้างค่อนข้างหลวม หวั เมืองตา่ ง ๆ มีอิสระในการปกครอง ตนเอง ส่งผลใหบ้ ้านเมืองมจี ดุ อ่อน และล่มสลายไปในที่สุด ▪ สุโขทัยเมื่อแรกการก่อต้ังอาณาเขตมีการปกครองดูแลพลเมืองเหมือนด่ัง พอ่ บ้านดูแลลูกบ้าน ▪ การปกครองแบบนี้ก่อให้เกิดกษัตริย์แบบปิตุราชา มักใช้คานาหน้าพระนามว่า พ่อขุน อานาจสูงสุดท้ังปกป้องพลเมือง และสู้กับอริราชศรัตรูนั้นคือหน้าที่ของ พ่อขุนทั้งหมด ▪ เมื่อสิ้นราชกาลพ่อขุนรามคาแหงมหาราช อาณาจักรสุโขทัยได้แตกเป็นเมือง เล็กเมืองน้อย ดงั ปรากฏในศิลาจารึกนครชมุ ▪ ในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท สภาพการเมืองเกิดปัญหาทั้งภายในแว่น แคว้น และการเมืองภายนอก ▪ การเมืองภายในพระองค์ทรงใช้กาลังปราบปรามเจ้านายสุโขทัยกลุ่มอื่น เพื่อขึ้น ครองราชยส์ มบัติ ▪ สว่ นการเมืองภายนอก อาณาจักรล้านนากาลังแผ่ขยายอานาจ ด้วยเหตุนี้จึงทา ใหพ้ ระองค์ไดน้ าแนวคิดการปกครองบ้านเมืองที่นับถือศาสนาพุทธ คือ รูปแบบ การปกครองกษัตริย์แบบธรรมราชา หรือการปกครองโดยธรรม แทนการ ปกครอง ปติ รุ าชา
2. การจดั รูปแบบการปกครอง ▪ สุโขทยั ไดม้ ีการแผ่ขยายอานาจ 2 รชั กาล คือ ▪ สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช สุโขทัย มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุม ฟากตะวันตกของลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและ คาบสมทุ รมลายู ▪ และสมยั พระเจา้ ลิไท สโุ ขทยั แผ่ขยายอาณาเขตไปทางลมุ่ แม่น้าป่าสัก ▪ สุโขทัยได้จัดรูปแบบการปกครองแบบเมืองลูกหลวง เมืองต่าง ๆ มีอิสระในการ ปกครองตนเอง ▪ ทาให้เมืองลูกหลวงเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับเมืองหลวงหรือราชธานีเพียง ความสมั พันธ์ทางเครือญาติ หรือผู้อปุ ถมั ภ์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์กนั เฉพาะบุคคล ▪ การปกครองลักษณะนี้จึงทาไม่มีการจัดระบบที่กระชับรัดกุม เป็นจุดอ่อนทาให้ บ้านเมืองแตกสลายง่าย เมืองลูกหลวงที่สาคัญของอาณาจักรสุโขทัย อาทิ เมือง ศรสี ชั นาลัย เมืองพษิ ณโุ ลก และเมืองกาแพงเพชร
3.การควบคมุ กาลงั คน ▪ การจัดระเบียบสังคมของอาณาจักรในสมัยจารีต มีความสาคัญมากเพราะจาเป็นต้องควบคุมแรงงานหรือ กาลังคน เพื่อดา้ นการสร้างผลผลิต การเปน็ ทหารในกองทัพ และการเสริมอานาจทางการเมือง ▪ จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์สมยั สุโขทัย การควบคมุ กาลงั คนไว้ไม่มาก จารึกสมยั สโุ ขทัยหลายหลกั ไดเ้ อยถึงชนชน้ั ไพร่ เชน่ “เจ้าเมืองบเ่ อาจกอบในไพร่ ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย” (ลูท่าง แปลวา่ สะดวก) ▪ ในสมัยสโุ ขทยั อาจมีวิธกี ารควบคุมกาลงั คนทีไ่ มเ่ ครง่ ครัด และไม่กระชับ จึงทาให้เกิดจุดอ่อนส่งผลให้บ้านเมืองไม่ เข้มแขง็ ▪ และสันนิฐานว่าคงจัดให้ไพร่อยู่กันเป็นหมวดหมู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกลุ่ม “เจ้าขุน” เพื่อสะดวกในการเกณฑ์ แรงงานไปใชง้ านเท่านั้น
2. การเมืองการปกครอง ในสมยั อยธุ ยา คลองในเกาะเมืองอยธุ ยาเปน็ แนวตดั กันไปมาเหมือนตาราง เพ่อื การคมนาคมและระบายนา้ ลดลงเร็วๆ ในฤดนู า้ หลาก (แผนทีส่ ีนา้ มนั ฝีมือ ดาวิด วิงโบนส์ และ โยฮนั เนส วิงโบนส์ ชาว ฮอลนั ดา ท้าเมื่อ พ.ศ. 2206 ตรงกบั สมยั พระนารายณ์)
1. กษตั ริย์อาณาจกั รอยธุ ยา ▪ อาณาจักรอยุธยาปกครองด้วยระบอบบราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษตั ริยท์ รงเปน็ ผู้นาสงู สุดของอาณาจักร ▪ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักสาคัญในการปกครองอาณาจักร เป็นศูนย์รวมของ อานาจ ▪ แนวคิดรูปแบบการปกครองสมัยอยธุ ยา คือ คตเิ ทวราชา ที่ได้รับจากศาสนาพราหมณ์ กษัตรยิ ์อยุธยาในระยะแรกจึงมีฐานะเป็นพระโพธิสัตวผ์ ู้มบี ุญบารมี และพระจักรพรรดิ ราช หรือพระราชาธิราชผู้ยิง่ ใหญ่ ▪ หน้าที่ของพระมหากษัตริย์ คือ ทาสงราครามป้องกันราชอาณาจักรพ้นจากภัยของ ศตั รู ทานบุ ารุงพทุ ธศาสนา เป็นต้น นักเดนิ หลายชาติบนเรอื ส้าเภาทม่ี าติดต่อการคา้ และแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมกบั อยุธยา (ภาพจากหนังสอื สมดุ ขอ่ ย จดั พมิ พ์โดย โครงการสบื สานมรดกวฒั นธรรม ไทย พ.ศ. 2542) ภาพแกะสลัก Chakravatin อายุราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑ พบทีอ่ ตั รประเทศ ศลิ ปะแบบอมราวดี เก็บรกั ษาไว้ทีพ่ ิพิธภัณฑ์ กีเมต์ ฝร่ังเศส
2. การจดั รปู แบบการปกครอง 1. การจัดรูปแบบการปกครองชว่ ง พ.ศ. 1893-1998 รปู แบบการปกครองของอาณาจกั รอยุธยายคุ แรกเป็นการกระจายอานาจ แบ่งเขต การปกครองออกเปน็ 4 เขต ดงั น้ี 1.ราชธานี มีกรมสาคัญ 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา ท้ัง 4 กรมนี้เรียกว่า จตุสดมภ์ แปลว่า หลกั ท้ัง 4 2.เมืองที่อยู่ใกล้กรุงศรีอยุธยา เช่น นครนายก ปราจีนบุรี มีขุนนางปกครอง ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง 3.เมืองในดินแดนแกนกลางอาณาจักร ได้แก่ สุพรรณบุรี และลพบุรี อยู่ใน อาณาจกั รสพุ รรณภูมิและอาณาจักรละโว้ ซึง่ เปน็ เมืองลกู หลวง 4.หัวเมืองประเทศราช ได้แก่ สุโขทัย นครศรีธรรมราช และจันทบุรี หัวเมือง เหล่านี้อยู่ถัดจากเมืองลูกหลวงออกไป มีเจ้านายเชื้อสายเจ้าเมืองเดิมเป็น ผู้ปกครอง
2. การจัดรปู แบบการปกครอง 2. การปฏริ ูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) การปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ ในปี พ.ศ.1998 แสดงให้เห็นถึงความเข้มเข็ง ของพระมหากษัตริย์ และเป็นท่ียอมรับนับถือของ บรรดาเจ้าเมืองลูกหลวงตามเมืองต่าง ๆ โดยการ ปฏิรูปการปกครองมีหลกั อยู่ 3 ประการ ดงั น้ี 1. การขยายอานาจส่วนกลางออกควบคุม เมืองตา่ ง ๆ 2. การแบ่งหน่วยงานราชการออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน และแบ่ง พลเมือง (ไพร่) ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ไพร่ฝ่าย ทหาร และไพร่ฝา่ ยพลเรือน 3. แบ่งอานาจขนุ นางออกเปน็ สองฝ่าย เพื่อ ถ่วงดลุ อานาจ
2. การจดั รูปแบบการปกครอง 2. การปฏริ ปู การปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) 2.1 การปกครองส่วนกลาง พระองค์ทรงตั้งกรมขึ้นอกี 2 กรม โดยปรบั ปรงุ จาก หน่วยงานกรมท้ังหมด 6 กรมนี้ มีขุนนางเปน็ ผู้บงั คับบญั ชา เรียกว่า กรมขนุ นาง ระบบจตสุ ดมภ์ คือ กรมกระกลาโหม และกรมมหาดไทย ดงั นี้ 1 กรมพระกลาโหม มีอคั รมหาเสนาบดีตาแหน่ง สมุหพระกลาโหมเป็น ผู้ควบคุมดูแล มีหน้าทีต่ รวจตราว่าการ ฝ่ายทหาร 2 กรมมหาดไทย มีอัครมหาเสนาบดีตาแหน่ง สมุหนายก เป็น ผู้รบั ผิดชอบดูแล กจิ การพลเรือน ในหัวเมืองต่าง ๆ ทุกหวั เมือง 3 กรมเวียง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า กรมนครบาล มีหน้าที่ดูแลปกครอง ท้องที่ รกั ษาความสงบภายในเขตเมือง แลเขตเมืองใกลเ้ คียงราชธานี 4 กรมวัง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า ธรรมาธิกรณ์ มีหน้าที่รับผิดชองงานใน พระราชสานักทั้งหมด 5 กรมคลัง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า โกษาธิบดี มีหน้าที่ เก็บ จ่าย และ รกั ษาพระราชทรัพยท์ ี่ไดจ้ ากภาษีอากร 6 กรมนา เรียกันในชื่อใหม่ว่า เกษตราธิการ มีหน้าที่ตรวจตราส่งเสริม การทานาของประชาชน ออกฉโนดที่นา จดั ซื้อขาวขึน้ ฉางหลวง เป็นต้น
2. การจัดรปู แบบการปกครอง 2. การปฏริ ูปการปกครองในสมัยสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) 2.2 การปกครองหัวเมือง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงปรับปรุงการ ปกครองหัวเมืองในรูปแบบใหม่ ดงั นี้ 1 หัวเมืองช้ันใน คือ เมืองลกู หลวงและเมืองหลานหลวง มีขุนนางปกครอง เรียกว่า ผรู้ ัง้ (ผู้มีอานาจน้อยกว่าเจ้าเมือง) 2 หัวเมืองช้ันนอก คือ เขตหัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร โดย แบ่งออกเป็นหัวเมืองช้ันเอก ชั้นโท และช้ันตรี ตามขนาดและความสาคัญของ เมือง 3 หัวเมืองประเทศราช เชน่ เขมร หวั เมืองมอญ หัวเมืองมลายู เมืองเหล่านี้มี เจ้าเมืองเดมิ ปกครองเช่นเดิม แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้อยุธยา ตามเวลาทีก่ าหนดไว้
2. การจัดรูปแบบการปกครอง 3. การปรับปรงุ การปกครองหลังเสียกรุงศรอี ยธุ ยา ▪ ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรได้ให้เจ้านายและขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงปกครองหัว เมืองท้ังหมดเอง และได้มีการยกเลิกการส่งเจ้านายบางพระองค์ไปปกครองหัวเมือง ชนั้ นอก ระหวา่ งการเสียกรุงศรอี ยุธยาครงั้ ที่ 1 บางส่วน ▪ เหตุเป็นเพราะว่าเจ้าเมืองพิษณุโลก คือ พระมหาธรรมราชา ที่เป็นเจ้านายปกครองหัวเมือง ชนั้ นอก ไดไ้ ปเข้าขา้ งพม่า ซึ่งเปน็ อตั รายต่อการปกครองของอาณาจกั รได้ ยทุ ธหตั ถี
3. การควบคุมกาลงั คน ▪ ในสมัยกอ่ นกาลังคนหรือแรงงานไพรน่ ั้น เป็นทรัพยากรที่สาคญั อย่างยิง่ ▪ คาว่า ไพร่ หมายถึง ราษฎรทัว่ ไปทั้งชายและหญิงทมี่ ิไดเ้ ป็นมูลนายและมิไดเ้ ปน็ ทาส ▪ ไพรท่ ุกคนจะต้องลงทะเบยี นสังกัดกบั มลู นาย ได้แก่ เจา้ นายและขุนนาง
3. การควบคมุ กาลงั คน จิตร ภูมิศกั ดิ์ กบั “โฉมหน้าศกั ดินาไทย” 1. ระบบศักดินา ▪ ในสงั คมโบราณ กาลงั คนหรือแรงงานไพร่ สะท้อนถงึ อานาจทางการเมืองความมง่ั คง่ั ฐานะทางสังคม และมีหน้ามีตาของมลู นายผู้ควบคมุ ดูแล ▪ กษัตริยม์ ีการควบคุมการแจกจ่ายไพร่พล แก่พวกมูลนาย จึงเปน็ ทีม่ าของ ระบบศักดนิ า ในสมยั อยธุ ยา ▪ ระบบศกั ดินามีปจั จยั ทีใ่ ชก้ าหนด คือ ชาตกิ าเนิด และตาแหนง่ หนา้ ทที่ างราชการ ▪ ระบบศักดนิ าจึงเปน็ โครงสรา้ งการจดั ระเบยี บชนชั้นในสงั คมอยธุ ยา
3. การควบคุมกาลงั คน ในสมัยอยุธยาตอนกลาง เกิดไพร่ประเภทใหม่ขึ้น คือ 2. ประเภทของไพร่ ไพร่ส่วย หรือไพร่ส่วยสิ่งของ คือ ไพร่หลวงที่อยู่ไกลราช ธานี ลาบากในการเดินทางมาเกณฑ์แรงงาน จึงส่งส่วยแทน ไพร่ในสมัยอยุธยา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไพร่สมและไพรห่ ลวง เชน่ แร่เงนิ แร่ทอง ดบี ุก รังนก เป็นต้น 2.1 ไพร่สม เป็นไพร่ส่วนตัวของพวกมูลนาย คือ เจ้านายและขุนนาง มีหน้าที่รับใช้ ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย เกิดไพรส่ ว่ ยเงิน คือ หาก มูลนายของตนและไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปทางานโยธาให้รัฐ หน้าที่ของไพร่สม เช่น ดูแล ไพรห่ ลวงคนใดไม่ยากทางานโยธาใหร้ ัฐ ก็จ่ายเงนิ แทนได้ รกั ษาซ่อมแซมทีพ่ ักมูลนาย สรา้ งวดั ของมูลนาน ทางานฝีมือ เปน็ ต้น ในอตั รา 2 บาท ต่อเดือน หรือ 12 บาทต่อปี 2.1 ไพร่หลวง เปน็ ไพรข่ องพระมหากษตั ริย์ โดยใหไ้ พร่หลวงสงั กัดกรมขนุ นางต่าง ๆ ขุนนางผู้เป็นเจ้ากรมจะเป็นผู้ดูแลควบคุมไพร่หลวงที่สังกัดกับกรมของตน ถือว่าไพร่ หลวงเป็นสมบัติของแผ่นดิน หน้าที่ของไพร่หลวงที่ทางานให้รัฐ เช่น ขุดคลอง ถูก เกณฑเ์ ปน็ กองกาลังในยามศึกสงคราม ทางานใหร้ ฐั ปีละ 6 เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออก เดอื น โดยไม่ได้รบั คา่ จ้างจากรัฐ
3. การควบคุมกาลังคน 3. การควบคมุ ไพร่ กรมทท่ี าหนา้ ทค่ี วบคมไพรใ่ นสมัยอยุธยา มี 2 ประเภท คอื กรมขนุ นางและกรมเจ้า 3.1 กรมขนุ นาง เป็นกรมทาหน้าที่ควบกาลังคนและบริหารราชการไพร่ ที่สงั กดั กรมขุนนาง คือ ไพร่หลวง 3.2 กรมเจา้ เป็นกรมทีพ่ ระมหากษัตริย์ทรงตั้งขนึ้ เพือ่ ใหเ้ จา้ นายเปน็ ผู้บังคบั บญั ชา เป็นกรมทีไ่ ม่มหี น้าทีบ่ ริหารงานราชการ ทางานตามที่ พระมหากษตั ริย์มพี ระราชโองการใหท้ า ไพร่ท่สี งั กัดกรมเจ้า คือ ไพรส่ ม หมวกแหลมดงั กล่าวมีชื่อเรียกว่า ลอมพอก เป็นหมวกส้าหรับขุนนางทน่ี ยิ มใช้ในสมยั สมเด็จ พระนารายณ์ ทา้ ด้วยผ้าขาวทพ่ี นั พับเป็นหมวกทรงแหลมอย่างประณีต สนั นษิ ฐานว่ารูปแบบ ของลอมพอกนี ได้อิทธพิ ลมาจากผ้าโพกศรี ษะของชาวเปอรเ์ ซียผสมผสานกบั รูปแบบชฎายอด แหลมของไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125