ชองทรูปลกู ปญญา โทรทศั นค วามรดู สู นกุ ทางทรวู ชิ น่ั ส 6 ทกุ รายการสาระความรู สาระบันเทงิ และการปลูกฝงคณุ ธรรมจริยธรรมตลอด 24 ช่วั โมง พบกับเร่อื งราวสรางแรงบนั ดาลใจ • รายการสอนศาสตร รายการสอนเสริมแนวใหมครบ 8 วชิ า ม.3 ม.6 ตวิ สดทกุ วนั โดยติวเตอรช่อื ดงั • รายการ I AM แนะนาํ อาชพี นาสนใจโดยรุนพีใ่ นวงการ • รายการสารสังเคราะห นําขาวสารมาสังเคราะหอัพเดทกัน ทรูปลกู ปญ ญา แบบไมต กเทรนด หนวยงานเพ่ือการศึกษา ภายใตกลุมบริษัท ทรู คอรปอเรชั่น จาํ กดั (มหาชน) ทีบ่ ูรณาการเทคโนโลยีและความ เชย่ี วชาญดานคอนเทนต พฒั นาเปนสอ่ื ไลฟส ไตลเ พ่อื สง เสรมิ นติ ยสารปลกู plook การศึกษาและคณุ ธรรม สามารถเชื่อมโยงทกุ มิตกิ ารเรยี นรูไ ด อยางครบวงจร นิตยสารสงเสริมความรูคูคุณธรรมสําหรับเยาวชนฉบับแรก ในประเทศไทย วางแผงทุกสัปดาหแรกของเดอื น หยิบฟรไี ดท่ี True Coffee TrueMove Shop สถานศึกษา แหลง การเรยี นรู หอ งสมดุ และโรงพยาบาล ทั่วประเทศ หรอื อา นออนไลนใน www.trueplookpanya.com www.trueplookpanya.com ทรูปลูกปญ ญาดอทคอม คลังความรูคูค ุณธรรมท่ใี หญ ทส่ี ดุ ในประเทศไทย อดั แนน ดว ยสาระความรใู นรปู แบบมลั ตมิ เี ดยี สนกุ กบั การเรียนรดู ว ยตวั เอง ทัง้ ยงั เปดโอกาสใหทกุ คนสราง แอพพลิเคช่นั Trueplookpanya.com เนอ้ื หา แบงปนความรรู วมกัน โดยไมม ีคา ใชจา ย ตอบโจทยไ ลฟส ไตลก ารเรยี นรขู องคนรนุ ใหม ดว ยฟรแี อพพลเิ คชนั่ “Trueplookpanya.com” ใหคณุ พรอ มสําหรบั การเรยี นรใู นทกุ ท่ที ุกเวลา รองรับการใชง านบน iOS (iPhone, iPod, iPad) และ พบกบั ความเปน ท่ีสุดทงั้ 4 ดานแหง การเรียนรู Android • คลงั ความรู รวบรวมเนอ้ื หาการเรียนทุกระดับชน้ั ครบ 8 กลุมสาระการเรียน • คลงั ขอ สอบ ขอสอบออนไลนพรอ มเฉลยทีใ่ หญทีส่ ดุ ใน : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya ประเทศไทย พรอมการประเมินผลสอบทางสถติ ิ • แนะแนว ขอมลู การศกึ ษาตอ พรอมเจาะลกึ ประสบการณ การเรยี นและการทํางาน • ศนู ยข าวสอบตรง/Admissions ขา วการสอบทุกสนาม ทกุ สถาบนั พรอมระบบแจง เตือนเรียลไทม
หนงั สือชดุ “ตวิ เขม O-NET Get 100” สรางสรรคโ ดย ทรปู ลกู ปญญา มีเดีย โครงการเพอื่ สังคมของบริษทั ทรู คอรป อเรชน่ั จํากัด (มหาชน) เลขท่ี 46/8 อาคารรุงโรจนธ นกลุ ตกึ B ชัน้ 9 ถนนรชั ดาภิเษก แขวงหวยขวาง เขตหว ยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร : 02-647-4511, 02-647- 4555 โทรสาร : 02-647-4501 อีเมล : [email protected] : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya หนงั สอื ชดุ “ติวเขม O-NET Get 100” ใชส ัญลักษณอ นญุ าตของครเี อทฟี คอมมอนส แบบ แสดงทีม่ า-ไมใ ชเพือ่ การคา -อนญุ าตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย
คำนำ การสอบ O-NET หรอื ช่อื อยางเปน ทางการวา การจัดการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตขิ น้ั พื้นฐาน (Ordinary National Educational Test) โดย สทศ. ถือเปนอกี สนามสอบทส่ี าํ คัญสําหรับนอ งๆ ในระดบั ป.6, ม.3, ม.6 เพือ่ เปน การประเมินผลการเรยี นรูของนองๆ ในระดับชาตเิ ลยทเี ดียว และยังเปน ตัวชี้วัดคณุ ภาพการเรียน การสอนของแตล ะโรงเรยี นอกี ดวย คะแนน O-NET ก็ยังเปน สวนสาํ คัญในการคิดคะแนนในระบบ Admissions เพอ่ื สมัครเขาคณะท่ีใจปรารถนา ไดค ะแนนดกี ็มชี ยั ไปกวา คร่ึง และเพอ่ื เปน อกี ตัวชว ยหนง่ึ ในการเตรยี มความพรอ มใหน อ งๆ กอ นการลงสนามสอบ O-NET ทาง ทรูปลกู ปญ ญาจงึ ไดจ ัดทําหนงั สอื ชุด “ติวเขม O-NET Get 100” สดุ ยอดคูมอื เตรียมตัวสอบ O-NET สาํ หรบั นอ งๆ ในระดบั ม.3 และ ม.6 ทีเ่ จาะลกึ เนื้อหาทีม่ กั ออกสอบบอยๆ โดยเหลารนุ พเ่ี ซียนสนามในวงการติว รวบรวมแนว ขอ สอบตง้ั แตอ ดีตจนถงึ ปจ จุบนั พรอ มเฉลยอยา งละเอียด และคําอธบิ ายทเ่ี ขาใจงาย จาํ ไดแ มน ยาํ นํานอ งๆ Get 100 ทําคะแนนสเู ปา หมายในอนาคต หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” โดยทรูปลูกปญญา ประกอบดวยวิชาคณิตศาสตร ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาองั กฤษ ท่รี วบรวมเนอ้ื หาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย และวิชา ฟสกิ ส เคมี ชวี วทิ ยา ของระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทงั้ หมด 11 เลม โดยสามารถศกึ ษาเนือ้ หาหรือทาํ ขอ สอบ ออนไลนเ พม่ิ เตมิ ไดจ าก www.trueplookpanya.com ทม่ี ี link ใหในทายบท สามารถดาวนโ หลดหนังสือไดฟ รี ผา นเว็บไซตทรปู ลกู ปญ ญา ที่ www.trueplookpanya.com/onet ทมี งานทรูปลกู ปญญา
สารบัญ หนา เร่ือง 7 26 คุยกอ นอาน 53 บทที่ 1 71 โครงสรา งอะตอมและตารางธาตุ 87 บทท่ี 2 103 สารชวี โมเลกลุ เบ้อื งตน บทท่ี 3 ธาตแุ ละสารประกอบ บทที่ 4 เชอื้ เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ (Fossil) บทท่ี 5 พอลเิ มอร (Polymer) บทที่ 6 ปฏิกิริยาเคมี (Chemical reaction)
คุยกอนอาน หนังสอื ตวิ เขม O-NET Get 100 วชิ าเคมีเลมน้ีไดร วบรวมเนอ้ื หาวิชาเคมพี นื้ ฐานระดบั ช้นั มัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีนองๆจะตองใชในการสอบ O-Net ตอน ม.6 ซ่ึงในหนังสือเลมน้ีพ่ีก็เขียนใหนองอานงายๆ ใชภาษาท่ีเปนกันเอง เสมอื นนอ งนงั่ ฟง พอี่ ธบิ าย สาํ หรบั วชิ าเคมพี นื้ ฐานนนั้ ก็ไมไดเ ปน เรอ� งยากอะไรมาก หากนอ งตงั้ ใจ พยายามทาํ ความ เขา ใจ ไมต อ งทองจาํ อะไรมาก และกอ นสอบนอ งไดทาํ ขอสอบเกามาบา ง พคี่ ิดวา นองๆกน็ า� จะทําขอ สอบไดแ ลว บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ ก็จะกลาวถึงความเปนมาของการคน พบธาตตุ างๆ การทาํ การทดลอง ของนกั วทิ ยาศาสตร การรจู กั องคป ระกอบพน้ื ฐานของธาตุ รจู กั การใชต ารางธาตุ และอา นคา ตา งๆ เปน ซง่ึ บทนถ้ี อื วา เปนพ้นื ฐานทส่ี าํ คญั สําหรบั การเรยี นรูในบทตอๆ ไปเลยนะ ขอใหนองทําความเขาใจดๆี นะ บทที่ 2 สารชีวโมเลกุล ในบทน้ีจะคอนขางคลายกับวิชาชีววิทยาที่นองเคยเรียนมา เชน คารโบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน กรดนิวคลอิ ิก แตจะเนน มาทางโครงสรา งทางเคมีมากขึ้น ในบทน้คี อ นขางจะเปนความรูใหม ซงึ่ นองสามารถ นาํ ความรูไปเชอ� มโยงกับทางชวี วิทยาได ซง่ึ จะทําใหน องๆ เรียนไดอยา งเขาใจมากขนึ้ บทที่ 3 สมบัตธิ าตแุ ละสารประกอบ บทน้ีคอ นขางจะเปน บรรยาย นองสามารถอานไปไดเรอ� ยๆ เหมือนทาํ ความ รูจักกับสมบัติของธาตุตางๆ และท่ีสําคัญคือเร�องของแนวโนมตามตารางธาตุ ในสวนนี้จะสอนลักษณะที่เหมือนกัน หรอื ตา งกนั ตามคาบและหมขู องตารางธาตุ ซง่ึ จะทาํ ใหน อ งสามารถคาดเดาลกั ษณะ สมบตั ติ า งๆ ของธาตไุ ด นอกจาก นี้ยังมีเรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ในส่วนน้ีออกข้อสอบทุกปี เช่น การคํานวณหาค่าคร่ึงชีวิต การคํานวณอายุของ ซากดกึ ดําบรรพ ซ่งึ ตองใชความรูทางดานสารกมั มนั ตรงั สี บทที่ 4 เชื้อเพลิงและซากดึกดําบรรพ ในบทน้ีนองๆ จะไดเรียนรูเกี่ยวกับชนิดของเชื้อเพลิงถานหิน นํามัน ปโ ตรเลยี ม กระบวนการผลติ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพนาํ มนั และแกส ธรรมชาติ ซงึ่ ถอื ไดว า เปน ประโยชนอ ยา งยง่ิ เพราะ เชอ้ื เพลงิ เหลานี้นอ งๆ ก็ใชกันอยูในชวี ติ ประจาํ วนั อยแู ลว บทที่ 5 พอลเิ มอร บทนีจ้ ะกลา วถงึ วสั ดุพอลิเมอรช นิดตางๆ การผลติ ปฏิกริ ิยาทีเ่ กีย่ วขอ งกบั การผลิต ซึ่งพบได ทัว่ ๆ ไป เชน ขวดพลาสติก ยางรถยนต โดยจะทําใหนองๆ เขาใจถึงรายละเอียดของพอลิเมอรแ ตละชนิดไดดยี ง่ิ ขน้ึ
คุยกอนอาน บทที่ 6 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ในบทนถ้ี อื ไดว า เปน บททส่ี าํ คญั มากหนงึ่ บทเลยกว็ า ได นอกจากจะออกขอ สอบในทกุ ๆ ปแ ลว เรอ� งของการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมนี นั้ ยงั เปน พน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ของการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตา งๆ ทน่ี อ งๆ อาจจะไดเ รยี นตอ ไป หรอื เรยี นในวิชาเคมีเพิ่มเติม ในบทนน้ี อ งๆ จะไดรจู กั หลกั การของการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยา พลังงาน ทเ่ี ก่ยี วขอ ง และกฎอตั รา ฟงดูแลว อาจจะคดิ วา ยากมากแน�เลย แตน องๆ อยาเพง่ิ ทอแท จริงๆ แลวไมไดย ากอยา งที่ คดิ นะ ทกุ อยา งเปน เหตเุ ปน ผล และดว ยเทคนิคตางๆ ท่ีพ่ีๆ ให จะทาํ ใหน อ งเขาใจไดม ากข้นึ ครับ พเี่ ขา ใจดวี า “วชิ าเคม”ี อาจเปน ยาขมของนอ งหลายๆ คน แตน อ งลองเปด ใจรบั มนั เขา ใจในหลกั การและเหตผุ ล ทพี่ อี่ ธบิ ายในหนงั สอื เลม น้ี ไมต อ งทอ งจาํ มาก และทาํ ขอ สอบเกา เพยี งเทา นพี้ กี่ เ็ ชอ� วา นอ งทกุ คนจะสามารถเรยี นเคมี ไดอ ยางมคี วามสขุ และประสบความสําเร็จในการสอบแน�นอน ทมี งานทรปู ลกู ปญญา
บทท่ี 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ Introduction สําหรบั บทที่ 1 โครงสรา งอะตอมและตารางธาตุ นบั ไดวาเปน บทพืน้ ฐานทส่ี ุดของการเรียนเคมเี ลยนะ เพราะฉะนน้ั พ่ี อยากใหน อ งๆทําความเขาใจบทนีใ้ หด ีๆ เพราะเปนพนื้ ฐานทสี่ าํ คญั ของบทอื่นๆ ตอไปอีกดว ย เน้ือหาในบทนก้ี ็จะมตี าม Outlines ในหวั ขอตอไปน้ี ซ่งึ เปนเสมอื นกบั จดุ ประสงคก ารเรียนรขู องบทนี้ ทีน่ อ งๆ ตอง เขาใจหลงั จากไดอ า นจบแลว Outlines 1. โครงสรา งอะตอม 2. อนุภาคมูลฐาน 3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเลก็ ทรอนิก 4. คลน่ื แมเ หลก็ ไฟฟา และ สเปก ตรมั เบือ้ งตน 5. การจดั เรียงอิเลก็ ตรอน 6. ตารางธาตแุ ละการใชประโยชนจ ากตารางธาตุ 7. พลงั งานไอออไนเซชัน (Ionization Energy : IE) 8. อเิ ลก็ โตรเนกาติวติ ี (Electronegativity : EN) 1. โครงสรา งอะตอม จรงิ ๆแลวการศึกษาทางดานเคมี มีมาชา นาน ต้ังแตย ุคกรกี โบราณนับจนบัดนี้ ความรทู างดานเคมีก็ยงั ไมส ้ินสุด ดงั นัน้ ในหัวขอ น้ี กจ็ ะเปรยี มเสมอื นกับการสอนประวตั ศิ าสตรของเคมนี ั่นเอง ในสมยั กรกี โบราณมีนักปรัชญาอยหู ลายคน ซง่ึ หน่งึ ในนั้น คือ ลูชิพปุส (Leucippus) และ เดโมครติ ุส(Democritus) ได อธบิ ายไวว า “สสารประกอบดว ยอนุภาคขนาดเล็กทมี่ องไมเห็น” เขาจงึ ใหช่อื วา อะตอม ซง่ึ แปลวา ไมส ามารถแบง แยกไดอีก แตใ นขณะนน้ั มนี กั ปรชั ญาหลายคนไมเ หน็ ดว ย จงึ ยงั ไมเ ปน ทยี่ อมรบั แตแ นวความคดิ ของเดโมครติ สุ กเ็ ปน แรงจงู ใจในการศกึ ษา เคมตี อมา เวลาลว งเลยมาหลายพนั ป ในป ค.ศ. 1808 (พ.ศ. 2351) กไ็ ดมีนกั เคมชี าวอังกฤษชอ่ื วา จอหน ดาลตัน (John Dalton) ก็ไดเ สนอทฤษฏีเกี่ยวกับรปู แบบของอะตอมไวหลายประการ โดยทฤษฏีของดอลตนั ไดก ลา วไววา 1. สารประกอบดวยอะตอม ซึ่งเปนหนว ยทเ่ี ล็กที่สดุ แบงแยกตอไปอกี ไมไ ด และไมส ามารถสรางขน้ึ หรอื ทําลายให สูญหายไป 2. ธาตุเดียวกนั ประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกัน มมี วลและคณุ สมบตั ิเหมือนกัน แตจะแตกตา งจากธาตอุ ื่น 3. สารประกอบเกิดจากการรวมตวั ของอะตอมของธาตุตง้ั แต 2 ชนดิ ขนึ้ ไปดว ยสัดสวนท่คี งที่ 4. อะตอมของธาตุแตละชนดิ จะมรี ูปรา งและนํ้าหนกั เฉพาะตัว 5. น้ําหนักของธาตุที่รวมกนั กค็ ือนา้ํ หนักของอะตอมทั้งหลายของธาตทุ ร่ี วมกนั ซึง่ ทาํ ใหเ ขาคาดคะเนวารปู แบบของอะตอมนา จะเปน “ทรงกลมตัน” มาถึงตรงน้ี นอ งๆ หลายคนอาจจะนึกไมอ อกวา ทรงกลม ตนั มันเปน อยางไร พอี่ ยากใหนอ งนึกถงึ ลกู บอล นนั่ แหละทรงกลมตนั ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 7
ซงึ่ ในปจ จบุ นั กไ็ ดม กี ารพสิ จู นท ฤษฏขี องดาลตนั มาแลว และกพ็ บวา บางขอ กถ็ กู ตอ ง บางขอ กไ็ มถ กู ตอ ง และในเวลาตอ มาก็ไดมนี กั วิทยาศาสตรอีกหลายคนสามารถหาเหตุผล การทดลองตางๆ มาลม ลา งโครงสรางอะตอมของดาลตันได ทรงกลมตัน โครงสรา งอะตอมของดาลตัน กอ นจะไปถงึ โครงสรา งอะตอมแบบตอ ๆ ไป พอ่ี ยากทาํ ความเขา ใจกบั นอ งๆ กอ นวา ในการศกึ ษาเรอื่ งโครงสรา งอะตอม ในสมยั นนั้ ทาํ ไดย ากมาก เพราะวา อะตอมเปน สง่ิ ทค่ี นมองไมเ หน็ การทนี่ กั วทิ ยาศาสตรใ นสมยั กอ นเสนอทฤษฎขี น้ึ มาวา รปู แบบ ของอะตอมจะเปน อยา งไรนน้ั มาจากการทาํ การทดลอง และกค็ าดคะเนถงึ โครงสรา งของอะตอม ดงั นนั้ หากมนี กั วทิ ยาศาสตร ทท่ี ดลองและไดข อ มลู ใหมๆ ซง่ึ ไมส อดคลอ งกบั นกั วทิ ยาศาสตรท เ่ี สนอทฤษฎไี วก อ นหนา กจ็ ะนาํ เหตผุ ลของตนไปลม ลา ง และ ตงั้ ทฤษฎขี องตนข้ึนมาใหม และจะเปน อยางนไ้ี ปเร่อื ยๆ พจี่ ึงบอกวา การเรยี นในหวั ขอ นี้ เหมือนกบั เรานงั่ อา นประวัติศาสตร ของการศึกษาเคมีน่นั เอง ตอมามีนักฟส ิกสช าวอังกฤษชอ่ื วา เจ.เจ. ทอม สนั (Sir Joseph John Thomson) ไดท าํ การทดลองเกย่ี ว กับหลอดรังสีแคโทด (นองอาจจะสงสัยวาหลอดรังสี แคโทดมนั คอื อะไรกนั นะ เอาเปน วา เดย๋ี วพจี่ ะมาอธบิ าย ทีหลังแลวกันนะ) และไดผลการทดลองท่ีไมสอดคลอง กบั ทฤษฎอี ะตอมของดาลตนั จงึ ไดต งั้ โครงสรา งอะตอม ขึ้นมาใหมวา “อะตอมเปนทรงกลม ท่ีเปนกลางทาง ไฟฟา มีประจุบวก และประจุลบกระจายตวั อยางสมา่ํ เสมอและเทา ๆ กนั บนผิวของทรงกลม” ลกั ษณะเปน ดงั รปู นองๆ เคยสงสัยไหมวา ปกติทเ่ี ราเคยเรยี นๆ กนั มา เก่ียวกับการนาํ ไฟฟา นน้ั ประจไุ ฟฟา จะเคลื่อนทไ่ี ด จะตองผา นวสั ดุท่นี ํา ไฟฟา ได เชน โลหะ แตจ ะไมเ คลอ่ื นทใี่ นสง่ิ ของทเี่ ปน ฉนวน เชน อากาศ ยาง ผา เปน ตน แตท าํ ไมเวลาฟา แลบ ฟา ผา ประจไุ ฟฟา สามารถเคลอื่ นท่ีในอากาศได ความสงสยั นไ้ี มไ ดเ กิดขน้ึ กบั นอ งๆ เทา นั้น แตเ กิดข้นึ กบั เจ.เจ. ทอมสัน ดว ย เพียงแตถ าสงสัย แลว ปลอยมนั ผา นไปมนั กไ็ มเกิดประโยชนอ ะไร แต เจ.เจ. ทอมสนั สงสัยแลว อยากคน หาคาํ ตอบ จงึ ไดทาํ การทดลองโดยนาํ หลอดแกว ทเ่ี ปน สญุ ญากาศ ตดิ ขว้ั ไฟฟา ไวท ง้ั สองขา งปลายหลอด และตอ กบั แหลง กาํ เนดิ ไฟฟา ทมี่ คี วามตา งศกั ยส งู ๆ 10,000 โวลตแลว วางฉากเรอื งแสงท่เี คลอื บดว ยซิงสซ ลั ไฟด (ZnS) ไวภ ายในหลอด จะเห็นเสน เรืองแสงสีเขียวพงุ จากแคโทด (ขั้วลบ) ไปยงั แอโนด(ข้วั บวก) (เปนการจาํ ลองการเกิดฟาแลป ฟาผา ) และเรียกหลอดน้ีวา “หลอดรังสแี คโทด” 8 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ทมี่ า : ch-atom.blogspot.com ปรากฏวาเมื่อปลอยกระแสไฟฟาความตางศักยสูงๆ ประจุไฟฟาจากขั้วไฟฟาแคโทดสามารถเคล่ือนที่ไดในหลอดรังสี แคโทด โดยสงั เกตจากรอยบนแผน เรอื งแสงทเ่ี ขาไดด ดั แปลงใสไ วใ นหลอดรงั สี และไดม ที อมสนั ไดท ดลองตอ โดยการนาํ สนาม ไฟฟามาลอ ประจุนัน้ ปรากฏวา ประจุชนดิ น้เี บนเขาหาข้วั บวก นนั่ กแ็ สดงวาประจชุ นิดนเี้ ปน ประจลุ บ (เพราะเปนประจุตา งชนิด กนั จะดงึ ดดู กนั แตถ า เปน ประจชุ นดิ เดยี วกนั จะผลกั กนั ) ซงึ่ ในเวลาตอ มาประจลุ บทวี่ า นน้ั กไ็ ดถ กู ตงั้ ชอ่ื วา อเิ ลก็ ตรอน (electron) นน่ั เอง พเี่ พมิ่ เตมิ ใหส าํ หรบั นอ งๆ ทเ่ี รยี นทางสายวทิ ยาศาสตรอ ยแู ลว (สาํ หรบั นอ งๆ สายศลิ ป ไมต อ งกงั วลหากไมเ ขา ใจเนอื้ หา ในยอ หนานน้ี ะ) สาํ หรับการทดลองของทอมสนั นอกจากจะนาํ สนามไฟฟามาลอประจลุ บน้ันแลว ยงั ไดใชสนามแมเ หลก็ มาลอ ดว ยเชนกัน ปรากฏวา ประจุลบทเี่ คลอ่ื นทใี่ นหลอดรงั สแี คโทดเบนเขา หาขว้ั ใตข องแมเ หล็ก ทอมสันจงึ ไดทําการลอประจลุ บนน้ั ดว ยสนามไฟฟา และสนามแมเ หลก็ พรอ มกนั และปรบั คา ของสนามไฟฟา จนใหป ระจลุ บนน้ั ไมเ บนเขา หาขว้ั ใดๆ ทง้ั นน้ั และกไ็ ด แกส มการทางฟส กิ ส จนไดค า คงทมี่ าคา หนงึ่ ซง่ึ คอื คา ประจตุ อ มวล เทา กบั 1.76x1011คลู อมบ/ กโิ ลกรมั หรอื เทา กบั 1.76x108 คูลอมบ/กรัม (คูลอมบ คือ หนวยของประจุไฟฟา) ทอมสันไมสามารถบอกไดวาประจุลบท่ีพบน้ันมีคาประจุก่ีคูลอมบ และไม สามารถบอกไดวาประจุลบนั้นมีมวลเทาใด เขาบอกไดเพียงวาถานําคาประจุมาหารดวยมวลของประจุ จะไดคาคงที่ประจุตอ มวล นองๆ มาถงึ ตรงนแ้ี ลว ลองคดิ ถงึ สถานการณใ นสมยั นน้ั ทอมสนั ทดลองหลอดรังสแี คโทดมาเยอะแยะ ไดคาประจุตอ มวลมาแลว แตไมรูวาคาประจุเทาไร ไมรูวามวลเทาไร รูแตคาสองคานี้เวลาหารกัน เพราะฉะน้ันหากมีนักวิทยาศาสตรสัก คนหนึ่งทหี่ าคา ใดคา หนงึ่ ได ก็จะไดอ ีกคาหน่งึ ไปโดยปรยิ าย (เพราะคานนั้ มนั หารกนั อยู ถาหาคาหน่ึงได อีกคา กแ็ กส มการหา ไดเ ชน กนั ) โชคดวี า มนี กั วทิ ยาศาสตรค นหนง่ึ เปน นกั วทิ ยาศาสตรช าวอเมรกิ นั ชอื่ วา รอเบริ ต มลิ ลแิ กน (Robert Millikan) ทาํ การ ทดลองหาคาประจุอิเลก็ ตรอนโดยใชเวลาอยู 7 ป ก็สามารถพัฒนาอุปกรณแ ละปรับปรงุ วิธีของทอมสนั ไดส ําเร็จ อุปกรณท ่ีมลิ ลิแกนพฒั นาขึ้น ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 9
มิลลแิ กนไดเ ปล่ยี นจากการใชนาํ้ มาใชน ํ้ามันเพราะระเหยไดชากวา นํา้ และสามารถหาความเรว็ ปลายของละอองน้ํามัน และสามารถคาํ นวณคา ประจแุ ตล ะละอองนา้ํ มนั ไดเ ทา กบั 1.6x10-19คลู อมบ ดงั นนั้ จงึ แกส มการหามวลของอเิ ลก็ ตรอนไดเ ทา กบั 9.1x10-31กโิ ลกรมั และเรียกการทดลองน้ีวา “การทดลองหยดนํ้ามันของมลิ ลิแกน” ตอ มาในป ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ไดม นี กั วทิ ยาศาสตรช าวนวิ ซแี ลนด ชอื่ วา รทั เทอฟอรด (Rutherford) ไดท าํ การทดลอง ยิงอนภุ าคแอลฟา ซ่ึงมีประจเุ ปนบวกผา นแผนทองคําบางๆ (หากนกึ ไมอ อก ใหน องๆนึกถงึ ทองคาํ เปลว) ซงึ่ ไดผ ลการทดลอง ท่ไี มสอดคลอ งกบั โครงสรา งอะตอมของ เจ.เจ. ทอมสนั ดงั นั้นเขาจึงไดต้ังทฤษฎีอะตอมแบบใหมขึ้นมา โดยโครงสรา งอะตอม ของรัทเทอฟอรด มลี ักษณะเปน ที่วา งเปนสวนมาก มีของแข็งขนาดใหญอ ยตู รงกลาง มีประจุบวกอยภู ายในและมอี เิ ล็กตรอน โคจรอยูร อบนอก ซง่ึ ของแขง็ ท่วี าน้ัน รัทเทอฟอรดเรยี กวา นวิ เคลยี ส (nucleus) และประจบุ วกท่พี บวา อยูในนิวเคลยี สตอ มาก็ คือ โปรตอน (proton) นัน่ เอง ดังรูป นวิ เคลียส ภายในมโี ปรตอน อเิ ลก็ ตรอน โครงสรางอะตอมของรทั เทอฟอรด และในเวลาตอมาก็มีนักวิทยาศาสตรช่ือ เจมส แชดวิก คนพบอนุภาคอีกชนิดหน่ึงท่ีเปนกลางทางไฟฟาอยูภายใน นวิ เคลยี สเชน เดียวกนั กบั โปรตอน และไดใ หช อ่ื วา นวิ ตรอน (neutron) ในตอนนี้อนุภาคของอะตอมท่ีนอ งๆ รูจักก็มี 3 อยา งแลวนะ ไดแ ก 1. โปรตอน (proton) เปนประจุบวก อยภู ายในนวิ เคลยี ส 2. นวิ ตรอน (neutron) เปนกลางทางไฟฟา (ไมม ปี ระจุ) อยูภายในนิวเคลยี ส 3. อเิ ล็กตรอน (electron) เปนประจลุ บ โคจรอยูร อบๆ นิวเคลยี ส และพวกอนุภาคพวกนีเ้ ราเรียกรวมๆวา “อนภุ าคมูลฐาน” 2. อนุภาคมลู ฐาน กอ นทจ่ี ะไปรูจักกบั โครงสรา งอะตอมอีกสองแบบท่เี หลอื ไหนๆ ตอนนนี้ องๆก็รจู ักกบั คําวาอนุภาคมลู ฐานแลว พก่ี จ็ ะ ขอสอนเร่ืองอนุภาคมลู ฐานกอ นแลว กนั แตกอนอนื่ เราตอ งไปทาํ ความรูจ กั กบั สัญลักษณของธาตุกอ นนะ 10 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สัญลักษณท่ีนองๆ เห็นดานขวามือนี้ เปนสัญลักษณ สากลท่ีใชสําหรับบงบอกธาตุ เราเรียกสัญลักษณ ลักษณะนว้ี า “สัญลกั ษณน วิ เคลียร” - X คือ ธาตุ เชน O กค็ อื ธาตอุ อกซิเจน C คือ ธาตุคารบ อนเปนตน - Z คือ เลขอะตอม (atomic number) - A คอื เลขมวล (mass number) ตอนนีเ้ ร่มิ มีศพั ทใ หมท ี่นองๆ อาจกําลงั งงกันอยู แตพจ่ี ะอธบิ ายใหน องเขาใจเอง ธาตุ คอื สารบรสิ ุทธิ์ซ่ึงประกอบดว ยอะตอมเพียงหนึ่งชนิด และเปน กลางทางไฟฟา เชน C (คารบอน) , N (ไนโตรเจน) , Na (โซเดยี ม) เปนตน เลขอะตอม คอื จํานวนโปรตอนทีอ่ ยูภายในนวิ เคลียสของธาตุ ซึ่งนอ งๆทกุ คนรูแลววา โปรตอนเปนประจบุ วก และเมอ่ื ก้ีพ่ีเพ่ิง บอกไปวา ธาตตุ องเปน กลางทางไฟฟา ดงั นั้นถา มีประจบุ วกกต็ อ งมปี ระจุลบ ซง่ึ ก็คอื อเิ ลก็ ตรอน นั่นเอง ดงั น้นั นอกจากเลข อะตอมจะบอกถึงจาํ นวนโปรตอนแลว ยงั บอกถงึ จํานวนอิเลก็ ตรอนของธาตนุ ั้นไดด ว ย เลขมวล คือ มวลของธาตุน้ันๆ ซ่งึ เลขมวลไดมาจากจํานวนโปรตอนรวมกบั จาํ นวนนวิ ตรอน นอ งๆ บางคนอาจจะสงสยั วา อา ว กไ็ หนพบ่ี อกวา อนภุ าคมลู ฐานมสี ามอยา งอยใู นอะตอม แตท าํ ไมพดู ถงึ มวลของธาตุ ไมร วมอเิ ลก็ ตรอนดว ยละ ? นนั่ กเ็ ปน เพราะ วา อเิ ลก็ ตรอนมนั มมี วลนอ ยมากๆ เมอื่ เทยี บกบั มวลของโปรตอนและนวิ ตรอนดงั นนั้ ถา ใหน อ งหาจาํ นวนนวิ ตรอน กง็ า ยมากแค นาํ จํานวนโปรตอน (เลขอะตอม) ไปลบออกจากเลขมวล นอ งหลายคนอาจมองไมเ หน็ ภาพวา มวลอเิ ลก็ ตรอนมนั นอ ยกวา มากๆ ยงั ไง งนั้ พจี่ ะขอบอกมวลของอนภุ าคมลู ฐานให นอ งๆไดรู แตไมต องจํานะ แคอ ยากใหนองๆ เหน็ ความนอยของมนั ไดอ ยางชัดเจน มวลโปรตอน = 1.67x10-27 กโิ ลกรัม มวลนวิ ตรอน = 1.67x10-27 กิโลกรัม มวลอิเล็กตรอน = 9.1x10-31 กโิ ลกรมั ดูอยา งนีก้ ็อาจจะยงั ไมเห็นภาพชัดเจน นองลองนาํ มวลโปรตอนหรือมวลนิวตรอนหารดว ยมวลอิเลก็ ตรอนดูซ.ิ ... จะได วามวลโปรตอนหรือนิวตรอน หนกั กวา อิเลก็ ตรอนถึง 1,835 เทา น่แี หละคือเหตผุ ลวาทาํ ไมมวลของธาตุจงึ ไมค ดิ อิเลก็ ตรอน ตอนน้ีนอ งไดรูจักกบั สัญลักษณนวิ เคลียรของธาตแุ ลว งัน้ พจี่ ะขอลองนําสัญลกั ษณจ ริงๆ มาเปนตัวอยา ง ใหน อ งๆ ฝก ตอบตามแลว กันนะ ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 11
ธาตุ ออกซิเจน จํานวนโปรตอน 8 จํานวนอเิ ล็กตรอน 8 จาํ นวนนิวตรอน 16-8 = 8 ธาตุ ฟลอู อรนี จํานวนโปรตอน 9 จาํ นวนอิเล็กตรอน 9 จาํ นวนนิวตรอน 19-9 = 10 ธาต โซเดยี ม จํานวนโปรตอน 11 จํานวนอิเล็กตรอน 11 จํานวนนวิ ตรอน 23-11 = 12 ดังนั้น “อะตอม” กค็ อื “ธาต”ุ นัน่ เอง ตอ งเปน กลางทางไฟฟา อยา งท่บี อกไปแลวในหนาทีผ่ านมา แตเน่อื งจากอะตอม ไมเ สถยี รในสภาพธรรมชาตอิ ะตอมหรอื ธาตกุ จ็ ะพยายามเปลยี่ นแปลงตนเองใหอ ยใู นธรรมชาตไิ ด โดยการเปลยี่ นแปลงจาํ นวน อิเล็กตรอนซ่ึงจากอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟา (โปรตอน = อเิ ล็กตรอน) เม่อื มีการเปลยี่ นแปลงของอิเล็กตรอน ก็จะทําใหมัน ไมเปนกลางทางไฟฟาอีกตอไป และเราจะเรียกวาอะตอมที่มีการเปล่ียนแปลงอิเล็กตรอนวา “ไอออน (Ion)” ซึ่งลักษณะการ เปลย่ี นแปลงก็จะแบง ออกเปน 2 แบบ คือ 1) ไอออนบวก (Cation) คือ อะตอมท่ีเสียอิเล็กตรอนออกไป ก็จะทําใหมีจํานวนโปรตอนมากกวาจํานวนอิเล็กตรอน (มีความเปนบวกมากกวา ลบ) เชน Na+ (โซเดยี มไอออน) Ca2+ (แคลเซยี มไอออน) เปน ตน 2) ไอออนลบ (Anion) คอื อะตอมท่รี ับอิเลก็ ตรอนเขาไป กจ็ ะทาํ ใหม ีจํานวนอิเลก็ ตรอนมากกวา จาํ นวนโปรตอน (มีความ เปน ลบมากกวาบวก) เชน O2- (ออกไซดไอออน) F- (ฟลอู อไรดไอออน) เปน ตน ส่ิงท่ีเปลี่ยนไปตอนน้ีที่นองๆ คงเห็นไดชัดคือ วิธีการเรียกช่ือไอออน อยางเดิมถาเปนธาตุ Na (โซเดียม) พอมันเปน ไอออน Na+กอ็ านวา โซเดียมไอออน กไ็ มไ ดแปลกอะไร แตทาํ ไม O (ออกซิเจน) พอเปนไอออน O2-แลวอา นวา ออกไซดไ อออน หรอื ออกไซด พีจ่ ะอธบิ ายการเรียกชอื่ ไอออนใหฟงกอนแลวกนั นะ หลกั การกม็ งี า ยๆ ดงั นี้ 1. ไอออนบวก ใหเ รยี กเหมอื นช่ือธาตเุ ดมิ และเตมิ คาํ วา “ไอออน” ไวด านหลังของชอื่ เชน Mg2+ อานวา แมกนีเซียมไอออน เปนตน 2. ไอออนลบ ใหเ ปลย่ี นช่ือธาตุเดิมใหเ ปน เสียง “ไ_ด (_ide)” เชน S2- อา นวา ซลั ไฟด , Cl- อา นวา คลอไรด เปนตน นองอาจจะเรมิ่ งงวาแลว ทําไมอะตอมที่เปน กลางทางไฟฟา อยดู ๆี มันจะไปเปลี่ยนแปลงจํานวนอเิ ล็กตรอนทาํ ไมใหยุง ยาก เด๋ยี วพี่จะขอขา มเรอื่ งเหตผุ ลไปกอ นนะ และจะไปอธบิ ายอกี ทใี นหวั ขอ การจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอน แตตอนนี้รคู ราวๆ ไปกอ น วา การที่มันตองเปล่ียนแปลงก็เพื่อใหมันสามารถอยูในธรรมชาติได เพ่ือทําใหนองๆเขาใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับไอออน ลองดู ตัวอยา งตอไปนีแ้ ลวกันนะ 12 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
หลกั การ แสดงวา อะตอมรบั อเิ ล็กตรอนเขา ไป 1. ถา เปนไอออนลบ แสดงวา อะตอมเสียอเิ ลก็ ตรอนเขา ไป 2. ถา เปนไอออนบวก ไอออน ออกไซด (Oxide) จํานวนโปรตอน 8 จํานวนอเิ ลก็ ตรอน 8+2 = 10 จาํ นวนนิวตรอน 16-8 = 8 นองๆ จะเห็นไดว า “ออกไซด” เปนไอออนลบ ซงึ่ หมายความวา รบั อิเลก็ ตรอนเขาไป 2 ตัว (เพราะประจเุ ปน -2) ดงั นั้น จาํ นวนอิเล็กตรอนกต็ อ งบวกเพ่มิ เขาไปอีก 2 จึงกลายเปน 10 ไอออน ฟลอู อไรด (Fluoride) จาํ นวนโปรตอน 9 จํานวนอเิ ลก็ ตรอน 9+1= 10 จํานวนนวิ ตรอน 19-9 = 10 นอ งๆ จะเหน็ ไดวา “ฟลอู อไรด” เปน ไอออนลบ ซึง่ หมายความวารบั อเิ ลก็ ตรอนเขาไป 1 ตวั (เพราะประจุเปน -1 แต มักเขยี นยอๆเปน -) ดังนัน้ จํานวนอิเลก็ ตรอนกต็ องบวกเพิม่ เขา ไปอกี 1 จงึ กลายเปน 10 ไอออน โซเดยี มไอออน (Sodium ion) จาํ นวนโปรตอน 11 จาํ นวนอเิ ล็กตรอน 11-1= 10 จาํ นวนนวิ ตรอน 23-11 = 12 นอ งๆ จะเห็นไดวา “โซเดยี มไอออน” เปนไอออนบวก ซงึ่ หมายความวา เสยี อิเลก็ ตรอนออกไป 1 ตวั (เพราะประจุเปน +1 แตม ักเขียนยอๆ เปน +) ดังน้นั จาํ นวนอเิ ล็กตรอนกต็ อ งลบออกไปอกี 1 จึงกลายเปน 10 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 13
ไอออน อะลูมินัมไอออน (Aluminum ion) จาํ นวนโปรตอน 13 จํานวนอเิ ล็กตรอน 13-3= 10 จาํ นวนนิวตรอน 27-13 = 14 นองๆ จะเห็นไดวา “อะลมู ินัมไอออน” เปน ไอออนบวก ซ่งึ หมายความวาเสยี อเิ ล็กตรอนออกไป 3 ตัว (เพราะประจุ เปน +3) ดงั น้ันจํานวนอเิ ล็กตรอนก็ตอ งลบออกไปอกี 3 จึงกลายเปน 10 ตัวอยา งขอ สอบ ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+) ขาดอนุภาคมลู ฐานใด 1. โปรตอน 2. อเิ ลก็ ตรอน 2. โปรตอนและอิเล็กตรอน 4. นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน เฉลย ขอ 4. (hydrogen) มโี ปรตอน 1 ตัว และอิเล็กตรอน 1 ตัว จะเหน็ ไดวา ไมม ีนวิ ตรอนนะ แตถ า เปน กค็ อื ไฮโดรเจน เสียอิเล็กตรอนออกไป 1 ตัว เปน ไอออน เพราะฉะนน้ั กจ็ ะไมม ีอเิ ล็กตรอนเหลอื ดวย 3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเลก็ ทรอนิก กอ นอ่นื เลย นอ งๆควรรคู วามหมายของคาํ วา “ไอโซ (iso)” กอน ซ่งึ แปลวา เทา กนั ดงั น้ันในหวั ขอน้กี ็จะเกีย่ วขอ งกับ ความเทา กนั ของอะไรสักอยาง - ไอโซโทป (isotope) คอื ธาตุชนิดเดยี วกัน(มโี ปรตอนเทากัน) แตม เี ลขมวลไมเ ทา กัน หรือกลาวไดวา มีนวิ ตรอนไมเทา กนั นนั่ เองเชน กบั เปนไอโซโทปกัน - ไอโซโทน (isotone) คอื ธาตสุ องชนิดท่ีมนี ิวตรอนเทากนั หลักการจํางา ยๆ คอื โทน น. ก็คอื นวิ ตรอน เชน กับ เปนไอโซโทนกนั เพราะทงั้ คูต า งมนี ิวตรอนเทากับ 12 - ไอโซบาร (isobar) คอื ธาตสุ องธาตุที่มเี ลขมวลเทากนั เชน กบั จะเห็นไดว าทง้ั สองธาตุมเี ลขมวลเทากนั - ไอโซอเิ ลก็ ทรอนิก (isoelectronic) คอื ธาตุหรือไอออนที่มอี ิเลก็ ตรอนเทา กัน เชน กับ นอ งๆจะเห็นวา ทงั้ โซเดยี มไอออนและฟลอู อไรดไอออนมีอิเล็กตรอนเทา กนั ตัวอยางขอสอบ ธาตใุ นขอ ใดท่ีเปน ไอโซโทปกับธาตทุ ี่มีสัญลักษณเ ปน 1. 2. 3. 4. เฉลย ขอ 2. ไอโซโทป มันตอ งเปนธาตุเดียวกนั ใชป ะ แตม ีเลขมวลไมเทากนั (มีนิวตรอนไมเ ทา กัน) ซง่ึ สง่ิ ทบ่ี อกวา เปน ธาตเุ ดยี วกนั กค็ อื เลขอะตอม (จาํ นวนโปรตอน) น่นั เอง ดงั นั้น นองก็ตองเลือกกอ นวา ตองเปน B ทมี่ เี ลขอะตอมเปน 5 เหมือนกนั แตใหมี เลขมวลตา งกัน 14 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
กลับมาที่เร่ืองโครงสรางอะตอมของเราอีกรอบนะ จากท่ีพี่ได ขา มไปอธบิ ายเรอื่ งสญั ลกั ษณน วิ เคลยี รข องธาตแุ ละไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร และไอโซอเิ ลก็ ทรอนกิ สาํ หรบั โครงสรา งอะตอมในรปู แบบถดั ไปทจ่ี ะสอนนอ งๆ นน้ั เรยี กไดว า เกดิ ความเปลย่ี นแปลงอยา งมากจาก 3 แบบทีเ่ ราไดรจู กั กันไปกอ นหนา นี้ เพราะวา 3 แบบกอ นหนา น้ี ท้งั ของ ดาลตนั ทอมสนั และรทั เทอฟอรด อธบิ ายทฤษฎขี องตนดว ยการทดลอง ทางเคมีและฟสิกสแบบสมัยเกา แตตั้งแตแบบจําลองอะตอมตอไปน้ี เปนตนไปจะเขาสูชวงท่ีการศึกษาทางฟสิกสและเคมีกาวหนาข้ึนอยาง มาก อาจจะมีหลายสาเหตุ แตสาเหตุหน่ึงพี่คิดวาเปนเพราะอยูในชวง สงครามโลก จึงทําใหการศึกษาทางดานฟสิกสและเคมีกาวหนากวาใน อดตี นอ งๆ คงจะกาํ ลงั งงสวิ า ทาํ ไมการศกึ ษาในชว งสงครามโลกถงึ ไดร งุ เรอื ง ทง้ั ๆ ทแี่ ตล ะประเทศนา จะตงั้ หนา ตงั้ ตากบั การ ทําสงคราม น่ันกเ็ ปนเพราะวา ในชวงการทําสงครามโลก แตละประเทศก็ทาํ การวิจยั อาวธุ ยทุ โธปกรณที่ทันสมัยมาตอสูกัน ใน ชวงน้นั มีการตดิ ตอสอ่ื สารแบบไรส ายเปนคร้งั แรก เชน พวกวทิ ยสุ ่อื สาร โทรศพั ทม ือถอื และที่สาํ คญั ที่สดุ ก็มนี กั วิทยาศาสตร ทส่ี ามารถคดิ คน อาวธุ ทีร่ า ยแรงทส่ี ดุ ได นนั่ ก็คอื ระเบดิ นิวเคลียร จะเหน็ ไดวา ในชวงสงครามโลก มกี ารคน ควา วจิ ัย เกดิ องค ความรใู หมๆ ข้นึ มามากมาย และในชวงเวลานัน้ เองกม็ ีนักฟสกิ สช ื่อวา “นลี ส โบร (Niels Bohr)” ไดเสนอทฤษฎีอะตอมแบบ ใหมข้ึนมา โดยทําการทดลองเก่ียวกับสเปกตรัมของไฮโดรเจน (สเปกตรัม คือ แถบรังสีของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ขอใหนองๆ เขา ใจไปกอ นวาเปน รูปแบบหนึ่งของพลงั งานแลว กัน) และไดข อ สรุปเปนโครงสรา ง ดงั รปู โดยหลกั การทเี่ ขาเสนอพข่ี ออธบิ ายใหเ ขา ใจงา ยๆ นะ คอื วา เขาทาํ การทดลองโดยการนาํ อะตอมของไฮโดรเจนมาแลว ใหพ ลงั งานเขา ไปในอะตอม ปรากฏวา อะตอมสามารถคายพลงั งานทเี่ ขาใสเ ขา ไปออกมาได โดยเขาสามารถสงั เกตเหน็ พลงั งาน ทอี่ ะตอมไฮโดรเจนคายออกมาได และเขาเรยี กพลงั งานที่มันคายออกมาวา “สเปกตรัม (spectrum)” โบรอ ธบิ ายวา การทเ่ี ขาใหพ ลงั งานเขา ไปในอะตอมของไฮโดรเจน ทาํ ใหอ เิ ลก็ ตรอนทโี่ คจรอยใู นวงโคจรชน้ั ลา ง (ground state) ถกู กระตนุ ใหขนึ้ ไปอยูในวงโคจรทส่ี งู ขึ้น (excited state) ทําใหอ เิ ล็กตรอนนนั้ ไมเสถียร จึงคายพลังงานทร่ี บั เขา ไปออก มา เพื่อจะไดกลบั มาอยูในวลโคจรเดมิ โดยพลงั งานทคี่ ายออกมาก็คือ สเปกตรมั นน่ั เอง พี่เช่ือวาตอนน้ีนองหลายคนกําลังไมเขาใจวาอะไรคือ สเปกตรัม พอพ่ีบอกวา สเปกตรัมคือแถบรังสีของ คลนื่ แมเ หล็กไฟฟา กจ็ ะเกดิ คาํ ถามตอ ไปอกี วา แลว อะไรคือคลนื่ แมเหล็กไฟฟา ? ดงั นน้ั พีจ่ ะขออธิบายใหนอ งๆเขา ใจเก่ียวกบั คล่ืนแมเ หล็กไฟฟาเบอื้ งตนกอ นนะ 4. คลนื่ แมเ หล็กไฟฟา และสเปกตรมั เบอ้ื งตน คลื่นแมเหลก็ ไฟฟา คอื คล่นื ชนิดหนึ่งที่ไมตอ งอาศยั ตวั กลางในการเคลือ่ นท่ี เชน คล่ืนวิทยุ รังสอี นิ ฟราเรด คลน่ื แสง รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ เปนตน สามารถเคลื่อนที่ไดในสุญญากาศ เชน แสงและความรอนจากดวงอาทิตยสามารถ เคลอื่ นทีผ่ า นสุญญากาศเขา มาในโลกได ตา งจากคลนื่ เสียงท่เี ปนคล่นื ทตี่ องอาศยั ตวั กลางในการเคลื่อนท่ี ซึ่งก็คอื อนภุ าคของ อากาศ เสยี งไมส ามารถเคล่อื นท่ใี นสุญญากาศได เชน ถานองไปพดู บนดวงจันทร นอ งกจ็ ะไมไ ดยนิ เสียงตัวเอง เพราะบนดวง จนั ทรไ มม อี ากาศ ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 15
ทม่ี า : wiki.stjohn.ac.th จากภาพน้ีนองจะเห็นไดวา คลื่นแมเหล็กไฟฟามีเยอะมาก เรียงจากความถี่นอย (ซาย) ไปความถ่ีมาก (ขวา) แตที่พ่ี อยากใหนองสังเกตคือ ชองท่ีเขียนวา visible หรือ “แสงท่ีมองเห็นไดดวยตาเปลา” ซ่ึงก็คือแสงที่เรามองเห็นไดอยูในชีวิต ประจาํ วนั ซ่งึ กม็ ีสี มว ง คราม น้ําเงิน เขยี ว เหลอื ง แสด และแดง ทาํ ไมพ่ถี งึ ใหนอ งสังเกต visible เปน พิเศษ ก็เพราะจะบอก วา จรงิ ๆแลว แสงหรือสีทเ่ี รามองเห็นนั้นก็คือ คล่ืนแมเหล็กไฟฟา ชวงๆหนึง่ นั่นเอง แตค ล่นื แมเหล็กไฟฟา ไมไ ดม แี คแ สงที่เรา มองเหน็ ยงั มอี กี เยอะ เชน ไมโครเวฟ รงั สอี นิ ฟราเรด (คลน่ื ความรอ น) รงั สอี ลั ตราไวโอเลต ฯลฯ ทง้ั หมดนกี้ เ็ ปน คลนื่ แมเ หลก็ ไฟฟา ทง้ั สิน้ แตท ีเ่ ราเหน็ ไดดวยตาเปลา มีเพียงแตคล่นื ชวง visible light เทาน้นั สิง่ ที่ตา งกนั ของคลื่นแมเ หลก็ ไฟฟา กค็ ือ ความถี่ (frequency) ความยาวคล่ืน (wave length) ซึง่ คล่นื แมเหล็กไฟฟาที่ เรามองเห็นได จะมคี วามความยาวคล่ืนอยใู นชว ง 400 – 700 nm (นาโนเมตร) ซึ่งถา ไมไดอ ยใู นชวงนีม้ นษุ ยก ไ็ มส ามารถมอง เหน็ ได โดยถา คลน่ื ท่ีมีความยาวเกนิ 700 nm ก็จะเปน ชว งของรงั สีอินฟราเรด (infrared) ซงึ่ เราไมเ ห็นแตสมั ผสั ไดด วยความ รอ น เพราะรงั สอี นิ ฟราเรดคอื รงั สคี วามรอ น ในขณะทคี่ ลนื่ ทม่ี คี วามยาวคลน่ื ตา่ํ กวา 400 nm กจ็ ะเปน ชว งของรงั สอี ลั ตราไวโอเลต ซ่งึ เราก็มองไมเ ห็นเชนกัน ตอนนี้พี่เช่ือวานองๆ นาจะเขาใจหลักการเบื้องตนของคล่ืนแมเหล็กไฟฟาบางแลว พ่ีขออธิบายไวคราวๆ หากนอง ตองการรเู พิม่ เตมิ นองสามารถไปสืบคน จากแหลงตา งๆ ไดน ะ กลบั มาทีโ่ ครงสรางอะตอมของเรากอ นดีกวา จากการท่นี ลี ส โบร เสนอโครงสรา งอะตอมของเขามา ทาํ ใหสรปุ ไดว า ลักษณะอะตอมของเขาคลายๆ กับของรัทเทอฟอรด ตางกันตรงท่ีรัทเทอฟอรดไมไดอธิบายเกี่ยวกับวงโคจรของอิเล็กตรอน โคจรมากนัก เพียงแคบอกวาอิเล็กตรอนอยใู นวงโคจรทีอ่ ยูร อบนอกเทา น้นั แตโครงสรา งอะตอมของโบร เนน ไปทล่ี กั ษณะวง โคจรของอเิ ลก็ ตรอนทมี่ ลี กั ษณะเปน ชน้ั ๆ โดยอเิ ลก็ ตรอนสามารถเคลอื่ นทข่ี น้ึ – ลงระหวา งชน้ั ได แตต อ งอาศยั พลงั งานในการ เปลย่ี นแปลงวงโคจร (ระดบั พลงั งาน) ซงึ่ หากเปน การเปลยี่ นระดบั พลงั งานจากชนั้ ลา ง (ground state) ไปอยใู นระดบั พลงั งาน ทสี่ ูงกวาจะเปน การดดู พลังงาน แตห ากเปนการเปลย่ี นระดบั พลังงานจากช้ันบน (excited state) กลบั มาอยใู นระดบั พลงั งาน ทต่ี ่าํ กวา จะเปนการคายพลังงานออกมา เน่ืองจากวาแบบจําลองอะตอมของโบรสามารถอธิบายเสนสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจนไดดีแตไมสามารถอธิบายเสน สเปกตรมั ทม่ี หี ลายอเิ ลก็ ตรอนได จงึ ไดม ีการศึกษาเพ่ิมเติมทางกลศาสตรค วอนตมั มาถงึ โครงสรา งอะตอมแบบสดุ ทา ยเลยดกี วา โครงสรา งนมี้ ชี อื่ วา “โครงสรา งอะตอมแบบกลมุ หมอก” คดิ คน โดยกลมุ นักวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบไปดวยนักเคมีและนักฟสิกส โดยหลักการของโครงสรางอะตอมแบบนี้คอนขางยากและซับซอน เพราะใชห ลกั การของควอนตมั ฟส กิ สม าอธบิ าย แตพ ข่ี อพดู ครา วๆ ใหน อ งๆไดพ อจะรจู กั แลว กนั นะ สว นนอ งคนไหนทส่ี นใจเพมิ่ เตมิ ก็ลองไปหาขอ มูลเพมิ่ เติมไดนะ 16 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สําหรับหลกั การคราวๆ ของโครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอก คือ ตรง กลางของอะตอมเปน นวิ เคลยี สทป่ี ระกอบดว ยโปรตอนและนวิ ตรอน สว นรอบ นอกจะเปนกลุมหมอก โดยท่ีกลุมหมอกหมายถึงความนาจะเปนที่จะพบ อิเลก็ ตรอนบรเิ วณนัน้ นอ งๆ จะเหน็ ไดว า ใกลๆ กับนิวเคลยี สจะมีความหนา แนนของกลุมหมอกมากกวาดานนอก นั่นหมายความวา มีโอกาสท่ีจะพบ อิเล็กตรอนบริเวณใกลๆ กับนิวเคลียสไดมากกวารอบนอกนั่นเองโดยใน ปจจุบันเรายึดถือ โครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอกนี้ในการอธิบาย ปรากฏการณต างๆ ของอะตอม 5. การจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอน หลังจากท่ีเราไดเรียนเรื่องโครงสรางอะตอมไปแลว เราก็ไดรูจักกับ อนุภาคมลู ฐานไปแลว ซงึ่ ไดแ ก โปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน สาํ หรบั โปรตอนและนวิ ตรอนมันกอ็ ยภู ายในนิวเคลยี ส แตอเิ ลก็ ตรอนมนั จะโคจรอยู รอบนอก ซงึ่ อะตอมหนง่ึ ๆ กม็ ีวงโคจร (ระดับพลงั งาน) หลายชน้ั มาก ดงั นน้ั ในหัวขอ นเี้ ราจะมาเรียนวา ในแตล ะระดบั พลังงาน มีอเิ ลก็ ตรอนอยูก ีต่ ัว และทาํ ไมมันถงึ ตองอยูแ บบน้นั และกจ็ ะสามารถอธบิ ายการเกิดพนั ธะเคมีกับอะตอมธาตอุ น่ื ๆ ไดอกี ดวย เพราะฉะนน้ั พ่ีอยากใหน อ งตงั้ ใจเรยี นหัวขอ นด้ี ๆี เพราะเปนหัวขอ ท่ีสําคญั มากและเช่อื มโยงกับหัวขออื่นๆ อกี มากมาย สําหรับการจัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอน จรงิ ๆ แลว มีอยูหลายวิธี แตพจ่ี ะขออธบิ ายวิธีทีพ่ นื้ ฐานท่สี ดุ เพอ่ื ใหนองๆ เขา ใจไดง าย และนําไปใชไ ดจ รงิ จากรปู ทนี่ อ งเหน็ ทางดา นขวามอื น้ี คอื รปู แบบของอะตอมทมี่ นี วิ เคลยี ส ตรงกลาง และมรี ะดบั พลงั งานลอ มรอบนิวเคลียสอยู กอ นอ่นื ท่ีเราจะรไู ดวา อเิ ลก็ ตรอนมนั จดั เขา ไปอยูใ นระดับพลังงาน เราตอ งรูก อ นวาในแตละช้นั ของ ระดบั พลงั งานสามารถบรรจอุ เิ ลก็ ตรอนเขา ไปอยไู ดก ตี่ วั โดยมวี ธิ คี าํ นวณ ดงั น้ี จาํ นวนอเิ ลก็ ตรอนในแตละชั้น = 2n2เมอ� n คอื ระดับพลังงาน นอ งๆจะเหน็ จากกรอบดา นขวามอื n = 1 : 2(12) = 2 n = 5 : 2(52) = 50 นีน้ ะน่นั คอื จาํ นวนอเิ ลก็ ตรอนทม่ี ากทีส่ ดุ n = 2 : 2(22) = 8 n = 6 : 2(62) = 72 ทจี่ ะบรรจใุ นช้ันตา งๆได ดังนนั้ เราลองมา n = 3 : 2(32) = 18 n = 7 : 2(72) = 98 ดตู วั อยา งกนั นะ n = 4 : 2(42) = 32 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 17
ตวั อยางท่ี 1 จงจัดเรยี งอิเล็กตรอนของ (คารบ อน) ขน้ั ตอนการทํา พออา นโจทยเ สรจ็ นอ งๆก็ตองรูกอนวา มีอิเล็กตรอนเทา ไหร จะไดวา มอี เิ ลก็ ตรอน เทา กบั 6 เน่อื งจาก ระดบั พลงั งานท่ี 1 (n=1) บรรจอุ ิเลก็ ตรอนไดม ากสุด 2 ตวั เพราะฉะนน้ั อิเลก็ ตรอนอีก 4 ตวั ก็ตอ งไปอยูใ นระดับพลงั งานท่ี 2 (n=2) สรปุ วา จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเ ปน 2,4 ตวั อยางที่ 2 จงจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนของ (นีออน) จากสัญลักษณข องธาตุ ทาํ ใหร วู า Ne มอี เิ ล็กตรอน 10 ตัว เนอ่ื งจาก ระดบั พลังงานท่ี 1 (n=1) มีอิเลก็ ตรอนไดมากสดุ 2 ตวั ดังนั้น อิเลก็ ตรอนอีก 8 ตัว จะอยใู นระดับพลงั งานท่ี 2 (n=2) สรปุ วา Ne จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 ตัวอยา งที่ 3 จงจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนของ (โซเดียม) จากสัญลักษณ ทําใหรวู า มีอเิ ล็กตรอน 11 ตวั เน่อื งจาก ระดบั พลังงานที่ 1 (n=1) มอี เิ ลก็ ตรอนไดม ากสุด 2 ตัว และระดบั พลังงานที่ 2 (n=2) มอี เิ ล็กตรอนไดม ากสุด 8 ตัว ดังนั้น อิเลก็ ตรอนอีก 1 ตวั ตองอยูในระดับพลงั งานท่ี 3 (n=3) สรุปวา จดั เรียงอเิ ล็กตรอนเปน 2 , 8 , 1 ตวั อยางท่ี 4 จงจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนของ (โปแตสเซยี ม) จากสัญลกั ษณ ทําใหร ูวา มีอเิ ลก็ ตรอน 19 ตัว เนอ่ื งจาก ระดับพลังงานท่ี 1 (n=1) มีอเิ ล็กตรอนไดม ากสดุ 2 ตวั และระดับพลงั งานที่ 2 (n=2) มีอเิ ลก็ ตรอนไดมากสดุ 8 ตวั ดังนั้น อิเล็กตรอนอกี 9 ตวั ตองอยูในระดับพลังงานที่ 3 (n=3) สรุปวา จดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนไดเปน 2 , 8 , 9 แตจ ริงๆ แลว ไมไดจดั อยา งนี!้ !! แตก ลบั จัดเปน 2 , 8 , 8 , 1 ทําไมละ? นอ งคงจะสงสยั กัน ก็ในเม่ือระดบั พลังงานที่ 3 (n=3) บรรจอุ ิเล็กตรอนได 18 ตวั ไมใ ชห รอ เราใสเ ขา ไป 9 ตวั เปน 2, 8, 9 กไ็ มนาจะผิดหนิ เดี๋ยวพีจ่ ะอธิบายเหตุผลใหนะ ในตัวอยางดา นบนท่นี องๆ ไดเรยี นไปนัน้ เราเรียกวา เปนการจัดเรียงอิเลก็ ตรอนในระดบั พลังงานหลกั (shell) ก็คอื n=1, 2, 3, 4… ซงึ่ แทจรงิ แลว ยงั มีระดับพลังงานยอ ย (subshell) ลงไปอกี ไดแ ก s, p, d, f ดงั เชน ในรูปนี้ 18 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
จากรปู น้ีนองจะเห็นไดชดั เจนขึน้ คอื ระดบั พลงั งานยอ ยจะซอ นทับ กันที่ระดับพลงั งานที่ 3 (n=3) โดยไปซอ นทับกับระดับพลงั งานท่ี 4 (n=4) ทีน้ีนอ งคงงงวา แลวจะจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนได อยา งไร แคร ะดบั พลงั งานหลกั ยงั จดั ไมค อ ยเปน เลย ยงั มีขอยกเวนอกี พีก่ อ็ ยากจะแนะนาํ วา นอ งลองลืมการ จัดเรียงอิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานหลักไปกอนนะ มาเรียนการจัดระดบั พลังงานยอ ยดกี วา เพราะวาแทบ จะไมม ขี อ ยกเวน และถา เราจดั เรยี งแบบระดบั พลงั งาน ยอ ยไดแ ลว การจัดระดบั พลงั งานหลักกง็ ายมาก ระดบั พลงั งานยอ ย (subshell) ในหัวขอท่ีแลว ระดับพลังงานหลกั เราเรียกชอื่ แตล ะชั้นเปน 1 , 2 , 3… ใชไ หมครบั และแตล ะช้ันมีอเิ ลก็ ตรอนไดไ มเกิน 2n2 แตพ อมาเรียนระดับพลงั งานยอ ย มชี ่อื ระดับพลังงานทนี่ องตองจําใหม ดังน้ี s มีอิเล็กตรอนไดไมเ กนิ 2 ตัว p มอี ิเลก็ ตรอนไดไมเ กนิ 6 ตวั d มอี เิ ลก็ ตรอนไดไมเกนิ 10 ตัว f มอี ิเลก็ ตรอนไดไมเ กนิ 14 ตวั ทนี พ้ี อนองจาํ ไดแลว วา ระดบั พลงั งานยอ ยมี s , p , d , f แลว ขอใหน องๆดูแผนภาพขางลา งน้ีใหช ินตาไวน ะ และควร จะเขยี นใหได ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 19
แผนภาพนี้นองควรจะจําได และเขียนได เพราะนองตองใชไป ตลอดการเรียนเคมีเลยกว็ าได พ่เี ชอ่ื วานองทกุ คนจาํ ไดอยแู ลว ไมไดย าก เลยใชไ หม? พอนองจําแผนภาพดานบนไดแ ลว พอี่ ยากใหนอ งนําปากกาแดงมาขีด ลกู ศรตามภาพน้นี ะ นอ งหลายคนคงถามวา จะขดี ลกู ศรไปทําไม? คาํ ตอบกค็ อื วา เสนลกู ศรเหลานค้ี อื ลาํ ดบั การบรรจุอเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานยอ ย สงั เกตดๆี นะ ลกู ศรทกุ เสนขนานกนั นะ ถา นอ งลากลูกศรผดิ คาํ ตอบกจ็ ะผิดนะ เพราะฉะนัน้ ระวังใหด ลี ะ ถา นอ งจําแผนภาพไดแ ลว และลากลกู ศรไดถกู ตอ งแลว ตอ มาเราจะ ลองมาจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลงั งานยอ ยกนั งัน้ พ่ขี อใชโจทยเหมือนกับ ตวั อยา งท่ีผา นมากอ น เพื่อจะใหน องเหน็ ชัดๆ วา มนั ใชแ ทนกันได ตัวอยา งที่ 1จงจัดเรียงอเิ ล็กตรอนของ (คารบอน) โดยจัดในระดับพลังงานยอ ย ตอนนีเ้ รารูแลว วา มอี เิ ลก็ ตรอน 6 ตัวข้นั ตอนตอ มากค็ อื เราตองมานั่งดูแผนภาพ อา นตามทศิ ทางของลูกศร ถาจบลกู ศรเสน หนงึ่ แลวใหอ า นอกี เสน ลงมาเรอ่ื ยๆ และคอยบวกเลขท่ีอยูดา นบน s p d f ใหไดครบตามจาํ นวนอิเลก็ ตรอนท่ี เราตอ งการ ดงั นี้ จัดเรียงไดเปน 1s2 2s2 2p2(สังเกตวาเลขดานบนบวกกันได 6 แลว ) และเม่ือตอนตน พ่ีบอกวา ถา นองจัดเรียง อิเล็กตรอนแบบระดบั พลังงานยอยได นองจะสามารถแปลงกลบั ไปเปน ระดบั พลงั งานหลกั ได ดงั น้ี 1s22s22p2 n=1 n=2 ดังนน้ั จงึ จดั เปน 2 , 4 มี 2 e- มี 4 e- ตวั อยางท่ี 2 จงจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ (โซเดยี ม) โดยจดั ในระดบั พลงั งานยอย เนอ่ื งจาก เรารวู า มอี ิเล็กตรอนเทา กับ 11 ตวั ดังนน้ั จดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนไดเ ปน 1s2 2s2 2p6 3s1 1s22s22p63s1 n=1 n=2 n=3 ดงั นน้ั จงึ จัดเปน 2 , 8 , 1 มี 2 e- มี 8 e- มี 1 e- 20 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ตัวอยางที่ 3 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โปแตสเซียม) โดยจดั ในระดับพลังงานยอย เนอ่ื งจาก เรารวู า มอี เิ ลก็ ตรอน 19 ตวั ดงั นน้ั จัดเรียงอิเลก็ ตรอนไดเ ปน 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 เพราะฉะนนั้ จัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอนในระดับพลังงานหลักไดเปน 2, 8, 8, 1 นองๆ จะเห็นไดวาการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย (subshells) มีประโยชนมาก เพราะมีกฎเกณฑ ขอ ยกเวนนอยมาก และยังสามารถแปลงใหเปนในรูปพลังงานหลักไดอีกดวย แตสําหรับขอยกเวนในการจัดเรียงอิเล็กตรอนใน subshells พขี่ อไมอ ธบิ ายเหตผุ ลนะ เพราะวา มนั จะลกึ เกนิ ไปสาํ หรบั นอ งๆ ทเี่ รยี นทางดา นศลิ ป- ภาษา และศลิ ป- คาํ นวณ เพราะ หนงั สือเลมนี้ทําข้ึนมาเพือ่ ใหครอบคลุมเนื้อหา O-net เทาน้ัน แตห ากนอ งๆ ตอ งการรเู พ่ิมเติม นองๆสามารถไปสืบคนไดน ะ ขอ ยกเวน ในการจัดเรยี งอเิ ล็กตรอนในระดบั พลงั งานยอย จะไมพบการจัดเรยี งเปน 4s2 3d4 และ 4s2 3d9 แตจ ะเปลย่ี นเปน 4s1 3d5และ 4s1 3d10 ตามลําดบั เสมอ ขอควรรู อเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ยวู งนอกสดุ เรามกั เรยี กวา เวเลนซอ ิเล็กตรอน (valence electron) 6. ตารางธาตแุ ละการใชประโยชนจ ากตารางธาตุ สง่ิ ท่ีสาํ คญั มากๆ ในการเรียนเคมี กค็ ือ “ตารางธาตุ (periodic table)” เพราะตารางธาตสุ ามารถบอกรายละเอยี ดคราวๆของ แตล ะธาตใุ หเราทราบได ดังน้นั เราจึงตองเรยี นรกู ารใชป ระโยชนจ ากตารางธาตุ ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 21
6.1 การอานตารางธาตุ Carbon ช่ือธาตุ 6 เลขอะตอม (atomic number) C สญั ลักษณข องธาตุ 12.011 เลขมวล (mass number) 6.2 สวนประกอบของตารางธาตุ IVA VIA VIIIA IA IIA IIIA VA VIIA Transition คาบ 1 คาบ 2 คาบ 3 คาบ 4 คาบ 5 คาบ 6 คาบ 7 Inner Transition คําศัพททีค่ วรรู คาบ คือ แนวนอนของตารางธาตุ ซึ่งจะเรยี งตามเลขอะตอมไปเร่ือยๆ ซึ่งจะมคี าบท่ี 1–7 สมบตั ขิ องธาตุในแตละธาตุในคาบ เดียวกนั นนั้ มีลักษณะคอนขางแตกตางกันมาก หมู คอื แนวตง้ั ของตารางธาตุ โดยธาตทุ ีอ่ ยูในหมเู ดยี วกนั จะอเิ ลก็ ตรอน วงนอกสดุ (valence electron) เทากัน และแตล ะ ธาตมุ สี มบัตคิ ลา ยๆกนั โดยในตารางธาตจุ ะแบงออกเปนได 2 หมูใหญๆ ไดแ ก - หมู A (representative) ซง่ึ มีทงั้ ส้นิ 8 หมู (ตั้งแต IA – VIIIA) - หมู B (transition) คือ ธาตุท้ังหมดที่เหลือทไี่ มใชหมู A เปนโลหะท้ังหมด บางครัง้ เราเรยี กวา โลหะแทรนซชิ นั เสน ข้นั บันได คือ เสน ท่กี ้ันระหวา งธาตุทเี่ ปนโลหะและธาตทุ เ่ี ปน อโลหะ โดยธาตทุ ี่อยูท างดา นขวาของเสน ข้ันบันได คอื ธาตุ อโลหะธาตุทอ่ี ยูทางดานซายมือของเสนข้ันบันได คอื ธาตุโลหะ สว นธาตุทีอ่ ยูใกลๆกบั เสนขนั้ บันได คือ ธาตุก่งึ โลหะ เสน ขั้นบันได 22 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
6.3 การบอกตําแหนงของธาตุในตารางธาตุ จากหัวขอ สวนประกอบของตารางธาตุ นองๆก็นาจะรจู ักกับคําวา “คาบ” และ “หมู” แลว ซ่ึงเราจะใชประโยชนใน การบอกตําแหนงของธาตใุ นตารางธาตุได เชน หากเราจะระบตุ ําแหนงของ Na (โซเดียม) เราก็จะพูดวา Na อยู หมทู ่ี IA คาบท่ี 3 หรอื ตําแหนงของ Ca (แคลเซียม) เราจะไดพ ดู วา Ca อยูหมูที่ IIA คาบท่ี 4 (นองดูไดจ ากรูปตารางธาต)ุ เปนตน พ่คี ดิ วา นอ งคงจะเขา ใจหลักการการบอกตาํ แหนงธาตุแลว นะ กค็ ือ ตอ งบอกทั้งหมู และ คาบ แตส ง่ิ ท่ีนอ งๆ จะตองแปลกใจกบั ความอัศจรรยกค็ ือ “การจัดเรียงอิเล็กตรอนสามารถบอกตาํ แหนงของธาตุได” ไมต อ ง แปลกใจนะนองๆ กท็ เ่ี ราตอ งมาน่งั เรยี น งงแลว งงอกี กับเรื่องการจัดเรยี งอิเลก็ ตรอน และพกี่ ็ย้ําอยนู ั่นแหละวา มันสาํ คญั ใน ที่สุดนอ งๆกไ็ ดเห็นถึงความสาํ คัญของมันแลว เพราะฉะนนั้ ใครท่ยี ังไมเขา ใจเรอื่ งการจัดเรยี งอิเล็กตรอน ยอนกลบั ไปอาน ทบทวนเลยนะ พี่ขอบอกไวก อ นนะวา “การจดั เรียงอิเล็กตรอน” ทบี่ อกวาสามารถบอกตําแหนงธาตไุ ดเนยี่ มันคอื “การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนในระดับพลงั งานหลัก” นะ แตกค็ งไมใ ชป ญหาของนอ งๆ แลวละ เพราะตอนนเ้ี ราจดั แบบ subshells ใหไ ด นนั้ มันจะตองแปลงมาเปน แบบระดบั พลังงานหลกั ได งน้ั เราลองมาดูตัวอยางดกี วาวา การจดั เรยี งอเิ ล็กตรอนมนั บอกตาํ แหนง ของธาตไุ ดอ ยา งไร?? หลกั การ 1. ตวั เลขตวั สุดทา ย (อเิ ล็กตรอนวงนอกสุด หรือ เวเลนซอ เิ ลก็ ตรอน) คอื หมู ท่ีธาตุน้ันอยู 2. จํานวนตัวเลข (จาํ นวนระดับพลังงาน) คอื คาบ ทธ่ี าตนุ ัน้ อยู 3. การบอกตาํ แหนง ของธาตดุ ว ยการจดั เรยี งอิเล็กตรอน บอกไดแ คหมู A เทา นนั้ ตวั อยา งที่ 1 จงบอกตาํ แหนงของธาตุ Na (โซเดียม) ในตารางธาตุ เน่อื งจากเรารูว า Na มอี ิเล็กตรอน 11 ตวั มีการจดั เรียงเปน 2,8,1 เวเลนซอ ิเล็กตรอน เทากับ 1 ดังนนั้ Na อยูหมู IA คาบท่ี 3 มีระดบั พลังงาน 3 ระดบั Na อยคู าบที่ 3 ตวั อยา งที่ 2จงบอกตําแหนง ของธาตุ Br (โบรมีน) ในตารางธาตุ เน่อื งจากเรารวู า Br มีอเิ ล็กตรอน 35 ตัว มีการจดั เรยี งเปน 2 , 8 , 18 , 7 เวเลนซอ ิเลก็ ตรอน เทา กับ 7 ดงั นน้ั Br อยหู มู VIIA คาบที่ 4 มีระดับพลงั งาน 4 ระดบั Br อยูคาบท่ี 4 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 23
7. พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy: IE) ไหนๆ นองก็ไดเรียนเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอนแลว เราก็นาจะรูคาพลังงานบางอยางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง อิเลก็ ตรอนภายในธาตกุ ันหนอยเนอะ พพ่ี ดู ครา วๆ นะ หากนอ งอยากรเู พ่มิ เติม สามารถไปสืบคนเพ่ิมเติมได พลังงานไอออไนเซชนั (IE) คือ พลงั งานนอ ยท่สี ุดทธี่ าตุรบั เขาไปจนทําใหธาตุนั้นเสียอเิ ล็กตรอนออกไปไดโดยมนั จะมี ลาํ ดบั นดิ หนอ ย เชน IE1 (ไอออไนเซชนั ลาํ ดบั ท่ี 1) คอื พลงั งานทนี่ อ ยที่สดุ ทจี่ ะทาํ ใหอ เิ ลก็ ตรอนตวั ทห่ี นง่ึ (นบั จากเวเลนซเ ขา ไป ถึงชัน้ ในสุด) หลดุ ออกไปจากอะตอม เชน IE5 (ไอออไนเซชนั ลําดบั ที่ 5) ก็คือ พลงั งานนอยทีส่ ดุ ท่ีจะทาํ ใหอิเลก็ ตรอนตัวท่ี 5 (นับจากเวเลนซ) หลดุ ออกไปจากอะตอม ถายงั ไมเ ขาใจ ลองมาดูภาพนะ IE3 จากรปู นอ งจะเหน็ วา เปน อะตอมของ Na ซงึ่ จดั เรยี ง IE2 อิเลก็ ตรอนเปน 2,8,1 เพราะฉะนน้ั IE1 ก็จะเปน พลังงานที่ Na ดดู เขา ไป เพอื่ ทาํ ใหอ เิ ลก็ ตรอนตวั ท่ี 1 นนั้ หลดุ ออกไป และ IE3 ก็เปน เชนนี้ไปเรือ่ ยๆ โดย IE1<<IE2<IE3 … ทาํ ไมระหวา ง IE1และ IE2จึงเปน สญั ลักษณ <<(นอ ยกวา มากๆ) ก็เปนเพราะวา พออเิ ล็กตรอนตวั ท่ี 1 หลุดออกไปแลว การจะใชพ ลงั งานมาดงึ อเิ ลก็ ตรอนอกี ตัวนึงท่อี ยูคนละระดบั พลงั งานจะตอ งใชพลังงานเยอะมากๆ ดังนัน้ คาพลงั งานท่ีตองใชม ันเลยตางกนั มาก Idea นม้ี ปี ระโยชนดวยนะนอง เพราะ เราสามารถดคู า IE และสามารถทํานายไดว าธาตุน้ันอยูห มูอ ะไร อยางตวั อยา งนี้ IE1<<IE2แสดงวามเี วเลนซ 1 ตวั กเ็ ทากับ วาอยหู มู IA อีกส่งิ หนงึ่ ทีส่ าํ คัญก็คือวา เม่อื กี้มีคาํ วา “ธาตุรับพลังงาน” หรือ “ธาตดุ ูดพลงั งาน” เขา ไป น่นั หมายความ พลงั งาน ไอออไนเซชนั (IE) เปน การเปลีย่ นแปลงแบบ ดดู พลงั งาน (endothermic) และในเมอื่ มันเปน พลงั งาน ดังน้ันหนวยของ IE ก็ ตองเปนหนว ยของพลังงาน เชน จูล (J) แคลอรี (cal) เปน ตน ดังน้นั ธาตทุ ี่มี IE นอยๆ ก็หมายความวา “ใชพ ลังงานนอยในการทําใหอิเลก็ ตรอนหลุดออกไป” ซึ่งก็แปลวา ธาตนุ น้ั มีแนวโนม เปนไอออนบวก (cation) สูง เชน พวกโลหะ ในทางกลับกนั ถา ธาตใุ ดมี IE มากๆ หมายความวา ธาตนุ ้ันเสีย อเิ ล็กตรอนยาก ซง่ึ มนั จะรบั อิเลก็ ตรอนไดดี (เปน ไออนลบไดด )ี เชน พวกอโลหะ ซงึ่ เราจะไปเรยี นกนั ในหัวขอ ตอไปนะ 8. อเิ ล็กโตรเนกาติวติ ี (Electronegativity: EN) อเิ ลก็ โตรเนกาตวิ ิตี หรือ EN ตรงกันขา มกับ IE อยางสนิ้ เชงิ เลยนะ EN คอื ความสามารถในการรับอิเล็กตรอน พยี่ าํ้ นะวา เปน “ความสามารถ” ไมใชพ ลงั งานนะ เพราะฉะน้นั มันไมมหี นวย เพยี งแตไวเปรียบเทียบความสามารถในการรับ อเิ ลก็ ตรอนกบั ธาตอุ น่ื เทา นนั้ ถา ธาตุใดมี EN สูงๆ แปลวา มคี วามสามารถรับอิเลก็ ตรอนไดดี ก็คอื เปน ไอออนลบไดด ี เชน พวกอโลหะ ในทางกลับ กัน พวกโลหะ รบั อิเล็กตรอนไดไมด ี เพราะฉะนั้น EN ของโลหะจะตํ่า 24 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นอ งๆ สามารถศกึ ษาเพ่ิมเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี อะตอม โครงสรางอะตอม ตารางธาตุ อนภุ าคมูลฐาน • 01 : โครงสรา งอะตอมและตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-1 • 02 : ตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-2 • สอนศาสตร : ม.ปลาย : เคมี : โครงสรางอะตอม http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-3 • โครงสรา งอะตอม+ตารางธาตุ ตอนท่ี 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-4 • โครงสรา งอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-5 • โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-6 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 25
บทท่ี 2 สารชีวโมเลกุลเบือ้ งตน Introduction สาํ หรบั ในบทสารชวี โมเลกลุ น้ี พข่ี อยาํ้ กับนองๆ ทกุ คนวาเปนบทท่สี าํ คัญมาก เพราะเปนบทที่ออกขอ สอบ O-Net มาก ทส่ี ดุ ในทกุ ๆปน ะ โดยเนอ้ื หาจะแตกตา งจากเนอ้ื หาวชิ าเคมที นี่ อ งไดเ รยี นมาในบทอนื่ ๆ เพราะบทอนื่ ๆ สว นมากเปน เคมที เ่ี รยี ก วา เคมอี นินทรีย (Inorganic Chemistry) ซงึ่ กค็ ือเคมที ีไ่ มเ กี่ยวของกับส่ิงมีชีวิต แตส ารชีวโมเลกุลจะเปน อกี สาขาหน่ึงของเคมี คือเปนเคมีอนิ ทรยี (Organic Chemistry) ท่เี ก่ยี วของกับสิ่งมชี วี ิตทงั้ หลาย แตน อ งๆ ทําใจสบายๆนะ ไมไดยากเกนิ ไป ถานอง เรียนบทนี้ไดด ี พี่รับรองวา ในการสอบ O-Net ในสว นวิชาเคมี นองทําไดด อี ยา งแนนอน Outlines 1. คารโ บไฮเดรต 2. โปรตีน 3. ลิพดิ 4. กรดนิวคลอิ กิ 5. ตัวอยางขอสอบ 1. คารโบไฮเดรต (Carbohydrates) คารโ บไฮเดรต เปน สารชวี โมเลกลุ ทพี่ บไดม ากทสี่ ดุ ในโลก มตี น กาํ เนดิ มาจากการสงั เคราะหด ว ยแสง (photosynthesis) ซงึ่ หนาทีข่ องมันก็มีมากมาย แตหลกั ๆ ก็คอื เปนแหลง สะสมพลงั งานของสิง่ มชี ีวติ โดยคารโบไฮเดรต 1 กรัม ใหพ ลังงาน 4 Pกิโลแคลอรี ซ่ึงหากเราพูดคําวา “คารโบไฮเดรต” มันจะมีความหมายที่กวางมาก ที่รวมถึงสารจําพวก นํ้าตาล แปง ไกลโคเจน เซลลโู ลส เปน ตน ทีจ่ ริงคารโบไฮเดรตยังมอี ีกมากมาย แตพ ข่ี อพูดถึงเนอ้ื หาเบอื้ งตน ทเ่ี ราตอ งใชใ นการสอบแลว กันนะ ง้ันเรา มาดูกนั ท่หี วั ขอแรกกันเลย 1.1 น้าํ ตาล (Saccharides) พี่เชอื่ วา นองๆ คงรจู กั น้าํ ตาลเปน อยา งดี นํ้าตาลท่ีใชในการปรุงอาหารน้นั ทนี่ องรูจกั น้ัน มนั เปนแคสว นหน่ึงของนาํ้ ตาลท่พี จี่ ะ สอนในหัวขอ นี้ เด๋ียวเราจะไดม าดกู นั วา นาํ้ ตาล มีอะไรบาง กอนอืน่ นองตอ งรูจักกอ นวา น้ําตาลน้นั เปนสารประกอบประเภทอะไร นํ้าตาลมี 2 ประเภท ใหญๆ คือ น้ําตาลอัลโดส และนํา้ ตาลคีโตส นา้ํ ตาลอัลโดส คอื นํ้าตาลที่เปน “สารประกอบของพอลไิ ฮดรอกซีอัลดีไฮด” (polyhydroxyaldehydes) นํ้าตาลคีโตส คอื น้ําตาลทเี่ ปน “สารประกอบของพอลิไฮดรอกคีโตน” (polyhydroxyketones) โห!!! นีม่ นั สารประกอ บอะไรเนีย่ ชื่อยาวมาก แตเพือ่ ความงา ย นองดรู ูปโครงสรา งของน้าํ ตาลทง้ั สองนีน้ ะ 26 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
HC O หมูอ ัลดไี ฮด CH2OH CO CHO C H หมูคีโตน HO C H H C OH H C OH H C OH CH2OH CH2OH P จากรูปโครงสรางของนา้ํ ตาลสองชนิด ที่มีคารบ อน 5 ตวั เหมอื นกัน นอ งจะเห็นวา มคี วามแตกตา งกันตรงทพี่ ่ที ํากรอบ ส่ีเหลีย่ มเอาไว ตรงน้นั เราเรียกวา “หมฟู ง กช นั ” (functional group) ซึ่งหมฟู งกช นั นีเ้ องจะเปนตวั กาํ หนดสมบตั ติ า งๆของสาร อินทรีย หากเปนนํ้าตาลอัลโดส (aldose) ก็จะมีหมูอัลดีไฮดในสารประกอบ สวนน้ําตาลคีโตส (ketose) ก็จะมีหมูคีโตนใน สารประกอบ แตส ิ่งทีเ่ หมือนกันของน้าํ ตาลทั้งสองชนดิ คอื มหี มไู ฮดรอกซี (hydroxy: -OH) เหมอื นกนั ซึง่ นอ งๆ จะเห็นไดจาก ทีช่ อื่ สารมีคาํ วา “พอลไิ ฮดรอกซ”ี คาํ วา “พอลิ (poly)” หมายถงึ จาํ นวนมาก นอกจากการแบงน้ําตาลตามประเภทของหมฟู ง กชันแลว ยังแบง ไดตามขนาดไดอกี ดว ย ดงั น้ี 1.2 น้ําตาลโมเลกุลเดย่ี ว (Monosaccharides) นํา้ ตาลโมเลกุลเด่ียว หรือ นํา้ ตาลเชิงเดี่ยว คอื คารโ บไฮเดรตที่มนี ้ําตาลเพียง 1 หนว ย มีคารบอนต้งั แต 3 อะตอมขึน้ ไป มสี ูตรอยางงายคอื (CH2O)n ที่สาํ คัญๆ อยากใหนอ งรูจกั คอื กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส ไรโบส ไรบโู ลส เปน ตน กลูโคส ฟรกุ โทส กาแลกโทส ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 27
นอ งอาจจะงงวา กลโู คสกับกาแลกโทสตา งกันอยา งไร? ดูดๆี นะ จะเห็นวา หมู OH ตําแหนง คารบ อนทีต่ าํ แหนงที่ 4 มันสลับกันใชไหมเอย?? การสลับกันเพียงเล็กนอยของโครงสราง ทําใหเปล่ียนเปนน้ําตาลคนละชนิดกันเลยนะ แตเร่ือง โครงสรา งทมี่ ันสลับกันแบบน้ีนอ งไมตอ งไปเครียดมากนะ มันจะลกึ เกนิ ไป ไวไปเรียนในมหาวทิ ยาลยั แลวกนั นะ แตพี่กลวั นอง จะไมเหน็ ความแตกตา ง กเ็ ลยบอกเฉยๆ ออ มีอกี เร่อื งนึง นอ งหลายคนอาจจะสงสัยวา ทําไมเมอ่ื กีพ้ ีพ่ ดู ถงึ นํ้าตาลอัลโดสกับคี โตส โครงสรางมนั เปน เสน ตรง แลว ทาํ ไมตอนนน้ี ้าํ ตาลมนั เปนโครงสรา งวงแหวนปด พี่พูดครา วๆ แลวกันนะวา ในโครงสรา ง ท่ีมันเปน เสน ตรง บงั เอิญวามันมหี มูฟงกช นั บางตวั ในเสนตรงนั้นทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากันเองได มันก็เลยทําปฏิกริ ิยากนั จนทาํ ใหเปน รูป วงปด นะ แตน อ งไมตองสนใจมาก เผ่ือนอ งบางคนสงสยั พีเ่ ลยอธิบายไว นาํ้ ตาลโมเลกลุ เดยี่ วนสี้ าํ คญั มากเลยนะนอ งๆ เพราะเดย๋ี วพอเรยี นตอ ไป เราจะพบวา มนั เปน หนว ยยอ ยของคารโ บไฮเดรต อื่นๆ อีกเยอะแยะเลยแหละ การท่ีมันเปนหนวยยอยเรามีศัพทไวเรียกดวยนะ เรียกวามันเปน “มอนอเมอร (monomer)” หมายความวาถา พวก กลโู คส ฟรกุ โทส กาแลกโทส มันมารวมตวั กัน ตอเปนสายยาวๆ มันจะไดสารใหมข นึ้ มานะ ซง่ึ สารใหมท่ี เกิดขน้ึ มาจากหนว ยยอ ยพวกนเ้ี ราก็จะเรยี กวา “พอลเิ มอร (polymer)” นองเรมิ่ สงสยั แลวใชไหมวา มันรวมตวั ตอกันยาวๆ แลว ไดสารอะไร ง้นั เราไปดูกนั ในหัวขอ ตอไปเลย 1.3 ออลโิ กแซก็ คาไรด (Oligosaccharides) ออลโิ กแซ็กคาไรด คอื น้ําตาลโมเลกุลเดย่ี วตงั้ แต 2 – 10 โมเลกุล มาตอ กนั ดว ยพันธะไกลโคซดิ ิก (ไมตองจําชอ่ื พันธะ กไ็ ด แตพี่อยากใหนอ งคนุ ๆชอ่ื เอาไว) และเสยี น้ํา (H2O) ออกไป 1 โมเลกุล แตในทีน่ พ้ี ่ขี ออธบิ ายเฉพาะทนี่ ้าํ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว ตอ กนั 2โมเลกลุ เปน นา้ํ ตาลโมเลกลุ คู (Disaccharides) ซงึ่ นอ งๆนา จะไดเ คยรจู กั มาบา งจากการเรยี น ม.ตน เชน ซโู ครส (นาํ้ ตาล ทราย) มอลโทส และแลกโทส คุน ๆ ไหม งัน้ เรามาทบทวนกนั นะ ซโู ครส (sucrose) หรือนํ้าตาลทราย แลกโทส (lactose) มอลโทส (maltose) กลโู คส + ฟรกุ โทส กลูโคส + กลูโคส แลกโทส + กลูโคส น้าํ ตาลโมเลกุลคูเหลา นท้ี พ่ี ยี่ กมาเปน ตัวอยาง สามารถแตกตวั กลับไปเปนนํา้ ตาลโมเลกุลเด่ยี วไดนะนอ งๆ ซงึ่ มีหลาย วธิ ี ยกตัวอยางเชน ใหความรอนและใชกรดเปน ตัวเรงใชเ อนไซมเ ปนตน 28 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
1.4 พอลแิ ซก็ คาไรด (Polysaccharides) พอลิแซ็กคาไรด กค็ ือ การนําน้าํ ตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides) หลายๆตวั (มากกวา 10 โมเลกลุ ) มาตอเขา ดว ยกัน ดวยพันธะไกลโคซดิ ิก ทําใหเ กิดเปน สารตา งๆ ท่ีมีสมบตั ิแตกตางกันออกไป ในที่นพ้ี ่ีจะอธิบายแค แปง(starch) เซลลโู ลส (cellulose) และ ไกลโคเจน (glycogen) 1) แปง (starch) นองๆ คงจะรจู ักแปง เปน อยา งดี แปงก็คอื อาหารจาํ พวกแปง แบบท่ีเราเรยี นกันต้ังแตป ระถมอะนะ เชน ขา ว แปง มัน สําปะหลงั เปนตน แตตอนนเ้ี ราจะมาเรยี นรูโ ครงสรางกันหนอยนะ เนือ่ งจากแปง เปน พอลิแซก็ คาไรดที่ใหญม าก จงึ ประกอบ ดวยพอลแิ ซ็กคาไรดยอ ยๆ อีก 2 ชนดิ ไดแ ก ก.อะไมโลส (Amylose) อะไมโลส เปน พอลิแซ็กคาไรดช นิดหน่ึง มีหนว ยยอยๆเปน กลโู คส มีลกั ษณะเปน เสนตรง เปนองคประกอบของแปง ประมาณ 20% ทดสอบกบั สารละลายไอโอดีนไดส ีน้ําเงิน ข. อะไมโลเพกตนิ (Amylopectin) อะไมโลเพกตนิ เปน พอลแิ ซก็ คาไรดส ว นใหญข องแปง คอื ประมาณ 80% มหี นว ยยอ ยเปน กลโู คสเหมอื นกบั อะไมโลสแหละ แต วา มนั เปน โครงสรา งทตี่ อ กบั อะไมโลสแลว เปน กงิ่ แยกยอ ยออกมา ทดสอบกบั สารละลายไอโอดนี ไดส นี าํ้ ตาลแดง ทาํ ใหโ ครงสรา ง ของแปง เปน โครงสรา งแบบก่งิ นะนองๆ การยอ ยสลายแปง การยอ ยสลาย (Hydrolysis) ของแปง ทําไดห ลายวิธี เชน เติมกรด นา้ํ ลาย (มีเอนไซมย อยอย)ู ยสี ต ตม ใหรอน เปนตน และเนอื่ งจากแปงมีขนาดโมเลกลุ ใหญม าก การสลายตัวเลยไมไดก ลูโคสในตอนแรก แตจ ะเปน ลําดบั ยอ ยสลายลงมา เรือ่ ยๆ ดังน้ี แปง เด็กซตริน มอลโทส กลูโคส 2) ไกลโคเจน (glycogen) ไกลโคเจน เปน คารโ บไฮเดรตท่ีสะสมในเซลลของสตั ว มกั จะพบในตับและกลา มเน้ือไกลโคเจนมีลักษณะเปนโซก ิ่ง แต มีขนาดและมวลโมเลกลุ มากกวา อะไมโลเพกตินมีหนว ยยอยเปนกลโู คสเชน กัน ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 29
3) เซลลโู ลส (cellulose) เซลลูโลส เปนคารโ บไฮเดรตทีพ่ บมากทส่ี ดุ ในโลกเลยนะนอ งๆ เพราะวา มนั เปน สวนประกอบของผนังเซลล (cell wall) ของสาหรา ยสเี ขยี วและพชื เซลลโู ลสมพี อลเิ มอรข องกลโู คสโครงสรา งเปน เสน ตรง และเซลลโู ลสเปน โครงสรา งทแี่ ขง็ แรงมาก ในชีวติ ประจาํ วนั ของเรากม็ ีการใชป ระโยชนจ ากเซลลูโลสเยอะนะ เชน สาํ ลี กระดาษทิชชู ฝาย เปนตน เซลลโู ลสทําหนาท่ีเปนโครงสรางของพืช เม่อื ยอ ยสลายเซลลโู ลสจะได Disaccharides ท่มี ีช่อื วา “เซลโลไบโอส” ซึ่ง เปนไอโซเมอรข องมอลโทส และถา ยอ ยตอ ไปอกี ก็จะไดก ลูโคส การทดสอบคารโ บไฮเดรต กอ นอนื่ เราตอ งรกู อ นวา “การทดสอบ” คอื อะไร และทาํ ไปเพอื่ อะไร เพราะวา อกี สามหวั ขอ ทตี่ อ จากนเ้ี รากจ็ ะตอ งเรยี น เรอื่ งการทดสอบ พเ่ี ลยขออธบิ ายความหมายและจุดประสงคไปกอ นดีไหม? นองๆ จะไดเขา ใจกนั วาเราเรียนทําไม ถาสมมติวานอ งเขา ไปทาํ แลป็ ในหอ งแล็ป มสี ารใสอยูในบีกเกอรห ลายใบ เรามองแลว ก็ดูเหมือนๆ กนั ไมตางกัน ไมสามารถ แยกแยะออกไดวาคือสารอะไร เพราะฉะน้ันเราจึงตองเรียนวิธีการทดสอบดวยวิธีตางๆ เพื่อจะไดสรุปวาสารท่ีอยูในบีกเกอร ตางๆ คืออะไร นองๆ จะสังเกตเห็นไดวาจรงิ ๆ แลวหนวยยอ ยทสี่ ดุ ของคารโบไฮเดรตก็คือ น้าํ ตาล นน่ั เอง เพราะฉะน้นั เราก็ ตองรูวธิ กี ารทดสอบนาํ้ ตาล เราจะใช “สารละลายเบเนดกิ ต” ในการทดสอบนาํ้ ตาล โดยไมใ ชว า น้ําตาลทกุ ชนิดจะทดสอบได แตพ ีอ่ ยากใหน อ งจํา ไวแ คตัวเดียวท่ีทดสอบกบั เบเนดกิ ตไมได คอื ซโู ครสหรือนํ้าตาลทรายน่ันเอง สว นสาเหตุพข่ี ออธิบายสัน้ ๆ งา ยๆ วา ซูโครสมัน 30 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ไมม หี มู Aldehyde group ท่ใี ชใ นการเกดิ ปฏกิ ิริยากับสารละลายเบเนดกิ ตเ หมอื นกับตัวอ่นื เลยทําใหทดสอบไมไ ด แลวเราจะรูไดอยางไรวาสารในบีกเกอรของเรามันเปนสารละลายน้ําตาล?? หลังจากที่นําสารน้ันมาตมกับเบเนดิกต (สารสฟี า ) แลว สารละลายในบีกเกอรจะมีตะกอนสีแดงอฐิ เกิดข้นึ สมการที่เห็นขางบนน้ี นองไมตอ งจํานะ รแู ควา ถา สารทีเ่ ราทดสอบเปล่ียนสีสารละลายเบเนดิกตจากสีฟาเปนตะกอน สแี ดงอฐิ ก็แสดงวา สารน้ันเปน นํ้าตาล โจทยตวั อยา ง พจิ ารณาขอมูลของสาร A B และ C ตอไปน้ี สาร แหลงทพี่ บ โครงสราง การละลายน้าํ A ในคนและสตั ว โซก ่ิง ไมล ะลาย B ในพชื เทา น้นั สายยาว ไมละลาย C ในพชื ทเี่ ปน เมล็ดและหวั โซตรงและโซก ิง่ ละลายนาํ้ ไดเ ลก็ นอ ย สาร A B และ C นา จะเปน สารอะไร A B C ไกลโคเจน เซลลโู ลส แปง ตัวเลอื ก เซลลูโลส ไกลโคเจน แปง 1 ไกลโคเจน เซลลูโลส 2 แปง ไกลโคเจน 3 แปง 4 เซลลูโลส ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 31
ตอบขออะไรนองๆ?? เฉลยกค็ อื ..... ขอ 1. มาดวู ิธีการคดิ กันนะ พ่เี ลอื กดู B กอน เขาบอกวามีแตใ นพืชเทาน้ัน กแ็ สดงวา ตองเปน “เซลลูโลส” เพราะเซลลโู ลสเปน สว น ประกอบของผนังเซลลข องพชื ซึง่ มาดทู ่ีตวั เลือก B เปน เซลลูโลสก็มี 2 ขอ เหลอื สาร A และ C ท่ตี อ งคิด ซง่ึ นอ งจะเลอื กดู จากอะไรกไ็ ด พว่ี า กพ็ อๆ กนั เชน สาร A เขาบอกวา พบในคนและสตั ว พก่ี ค็ ดิ วา ตอ งเปน “ไกลโคเจน” แนเ ลย เพราะวา ไกลโคเจน เปน คารโบไฮเดรตทสี่ ะสมในกลา มเนือ้ และตับของคนและสตั ว และสาร B ก็ตองเปนแปง ซึง่ อาจจะดไู ดจากพบในพชื ที่เปน หัว และเมลด็ 2. โปรตีน (Protein) เปน สารชีวโมเลกลุ ทีม่ ีมวลโมเลกลุ มาก ประกอบดว ยธาตุ C H O N เปน หลกั โดยหนว ยทเ่ี ล็กท่ีสุดของโปรตนี คือ “กรด อะมโิ น (Amino acid)” หมายความวา โปรตนี เปน พอลเิ มอรข องกรดอะมโิ นนนั่ เองนะนอ งๆ นอกจากนโี้ ปรตนี กเ็ ปน แหลง พลงั งาน ของรา งกายเชน กันกบั คารโ บไฮเดรต และโปรตนี 1 กรมั ใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี เหมอื นกบั คารโบไฮเดรต กรดอะมิโนคืออะไร?? คําถามท่ีตามมาของนองๆใชไหม กรดอะมิโนก็คือ กรดอินทรียชนิดหน่ึง ท่ีมีหมูคารบอกซิล (-COOH) กับ อะมโิ น (-NH2) เกาะอยทู คี่ ารบ อนเดียวกัน ( -amino อา นวา แอลฟาอะมโิ น) ดงั รูป R หมูโซขา ง หมอู ะมิโน H2N C COOH หมคู ารบ อกซิล H โดยพน้ื ฐานของกรดอะมโิ น กค็ อื จะมหี มคู ารบ อกซลิ และหมอู ะมโิ นเกาะทค่ี ารบ อนเดยี วกนั ( -amino) แบบนนี้ ะ แตว า ท่ี ทําใหกรดอะมิโนแตกตา งกันกค็ อื หมโู ซข า งทจี่ ะเขามาเกาะน่ันเอง รูปดานลา งนเ้ี ปนช่อื และโครงสรางของกรดอะมโิ นมาตรฐานนะ ทําไมถงึ ตอ งมีคําวา “มาตรฐาน” นน่ั ก็เปน เพราะวา มี กรดที่มีสมบตั ิตา งๆ เหมือนกรดอะมิโน คือ มหี มูคารบ อกซิลและหมูอะมิโนเกาะอยูท่ีคารบ อนเดียวกนั ( -amino) แตไมไ ดเ ปน สวนประกอบของโปรตนี แตใ นระดับเรารเู ทาน้กี ็พอแลว ใครอยากรเู พิ่มไปลองหาอานไดน ะ ดังนั้นเราจะเรยี กกรดอะมิโนทีเ่ ปน สว นประกอบของโปรตนี วา “กรดอะมิโนมาตรฐาน” นอ งๆ ไมต องจาํ โครงสรางของมัน อา นชือ่ ใหพอคุนหูคุนตาก็พอแลว 32 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ท่ีมา : www.proteinsynthesis.org 2.1 กรดอะมิโนจาํ เปน (Essential Amino Acid: EAA) คือ กรดอะมิโนที่รา งกายไมส ามารถสงั เคราะหข ึ้นเองได ตองรับจากภายนอก ไดแก เมไทโอนนิ ทรีโอนนิ ไลซนี เวลนี ลวิ ซีน ไอโซลวิ ซนี ฟน ลิ อะลานีน ทรปิ โตเฟน ฮิทิดนี (สาํ หรบั ในเด็กทารกมี อารจีนนี เพ่ิมดวย) และถา โปรตนี ท่ีเรารบั ประทานเขาไป มกี รดอะมิโนจําเปนครบ เราจะเรียกวา “โปรตนี สมบูรณ (complete proteins)” เชน เนอ้ื ปลา เปด ไก ไข นม แตถ า โปรตนี ท่ีมี EAA ไมครบเราจะเรยี กวา “โปรตนี ไมสมบรู ณ (incomplete proteins)” เชน พืชตระกูลถัว่ ธัญพืช เปน ตน 2.2 พนั ธะเพปไทด (peptide bond) พันธะเพปไทด ก็คือ พนั ธะทเ่ี ชอ่ื มระหวางกรดอะมิโนตัง้ แต 2 โมเลกลุ ข้ึนไป ตอกันไปเรือ่ ยๆ จนเปนพอลเิ มอรข องกรดอะมิโน ซึ่งกค็ อื โปรตนี นน่ั เอง ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 33
จากรปู นองๆเห็นไหมวา มกี รดอะมโิ นอยู 2 โมเลกุล (ดานบน) มันจะมาตอกันดวยพันธะเพปไทด มันตอ งมกี ารสูญเสยี นาํ้ (H2O) ออกไป 1 โมเลกลุ จงึ จะเกดิ พันธะเพปไทดไ ด ขอสังเกตจากรปู นะนอ งๆ อนั นี้พี่เสริมใหนะ คือ เนอ่ื งจากกรดอะมิโนมันมีปลาย 2 ฝง ก็คอื ปลาย –COOH (เราเรียก วา C-terminus) และปลาย –NH2 (เราเรียกวา N-terminus) การสูญเสยี นํา้ (H2O) จะมีการดึง OH ออกจาก C-terminus และ ดึง H ออกจาก N-terminus เมอ่ื มารวมกันก็จะไดน ํา้ (H2O) 1 โมเลกุล พอดีและตอจากนี้นองๆ ก็คงดตู าํ แหนง ของพันธะ เพปไทดเปน แลว ใชไ หม?? ซงึ่ กค็ อื ตําแหนง –CO-NH- งั้นเราลองมาดูตวั อยา งโมเลกลุ ของโปรตีน และใหนอ งๆ ลองแยกออก มาใหเ ปนกรดอะมโิ นยอยๆ โดยการตดั ท่ตี าํ แหนง พนั ธะเพปไทดน ะ O C HN O CH3 H2N C NH O C C OH H3C H HN H O นอ งลองมาคอ ยๆ ตดั ทต่ี าํ แหนง พนั ธะเพปไทด (-CO-NH-) ดซู วิ า โมเลกลุ โปรตนี ทเ่ี หน็ นปี้ ระกอบดว ยกรดอะมโิ นยอ ยๆ กโ่ี มเลกลุ O C HN O CH3 H2N C NH O C C OH H3C H HN H O จากรูปที่พ่ตี ัดใหด ูนี้ นอ งๆกจ็ ะเหน็ ไดว า โมเลกุลโปรตนี ทใี่ หไปน้ัน ประกอบไปดว ยกรดอะมโิ นยอยๆ 4 โมเลกลุ (เททระเพปไทด) 2.2.1 การเรียกชื่อพอลิเพปไทด เน่ืองจากโปรตีนก็คือกรดอะมิโนท่ีมาเรียงตอกันดวยพันธะเพปไทด โปรตีนบางตัวก็อาจจะมีกรดอะมิโนมาตอกันเพียงสอง โมเลกลุ โปรตีนบางตัวก็อาจจะมกี รดอะมโิ นมาตอ กัน 3 4 5 … โมเลกุล ใชไ หม? ทนี ี้เราจะเรยี กชื่อมนั ยังไงละ? สมมตพิ ใ่ี ห แทนสัญลกั ษณของกรดอะมิโน และแทนพันธะเพปไทดแ ลวกนั นะถามีกรดอะมิโน 2 โมเลกลุ เชอื่ มกันดวยพนั ธะเพปไทด เรา เรียกวา ไดเพปไทด ไตรเพปไทด เททระเพปไทด 34 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นองๆ หลายคนมักจะงงกับจดุ น้ี เพราะวา การอานมันจะขึ้นตน ดว ย จํานวนท่เี ปน ภาษาละตนิ และกรกี (โมโน ได ไตร เททระ...) และตามดวยคาํ วา “เพปไทด” ซงึ่ ถานอ งลองยอ นกลับไปดรู ปู Sense มันมกั จะบอกวา มันบอกจํานวนพนั ธะเพปไทด ใชไ หม? เชน เททระเพปไทดม นั มี 3 พนั ธะเพปไทด มนั กน็ า จะชอื่ วา “ไตรเพปไทด” แตจ รงิ ๆ ไมใ ชน ะ จาํ นวนทรี่ ะบนุ น้ั เปน จาํ นวน ของกรดอะมโิ นเลย เพราะฉะนน้ั มีกรดอะมิโน 4 โมเลกุล กช็ อ่ื วา “เททระเพปไทด” เลย ระวงั ดีๆนะ!! ตวั อยา งขอ สอบ HO HHO HO N C C NC C N CC HH H HH C H H จากรูป มีพนั ธะเพปไทดก พี่ ันธะ มกี รดอะมโิ นกี่โมเลกุล และมีกรดอะมิโนกช่ี นิด ตวั เลือก จํานวนพันธะเพปไทด กรดอะมโิ น (โมเลกลุ ) กรดอะมิโน (ชนดิ ) 1 2 2 3 2 2 3 2 3 3 3 3 4 3 4 2 เฉลย ถานอ งลองวงกลมตดั ทพ่ี ันธะเพปไทด จะไดรูปอยางท่พี ว่ี งน้นี ะ ซ่งึ มพี นั ธะเพปไทด 2 พันธะ มกี รดอะมโิ น 3 โมเลกุล แตม ีกรด อะมิโนเพยี ง 2 ชนดิ เพราะโมเลกุลแรกและโมเลกลุ ที่สอง เปนกรดอะมโิ นชนิดเดยี วกัน HO HHO HO N C C NC C N CC HH H HH C H H ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 35
2.3 โครงสรา งของโปรตนี โครงสรางปฐมภูมิ (Primary structure) โครงสรางปฐมภูมิก็คือโครงสรางท่ีงายๆมีกรดอะมิโนมา เรยี งตอกนั เปนสายยาวๆ อาจจะมพี นั ธะท่ีเกดิ ข้ึนระหวาง กรดอะมโิ นดว ยกนั เองนอกเหนอื จากพนั ธะเพปไทดไ ด เชน พันธะไดซัลไฟดท่ีเกิดระหวางกรดอะมิโนซิสเทอีน (Cysteine) ทม่ี า : http://imgarcade.com/1/collagen-primary-structure/ โครงสรางทตุ ิยภมู ิ (Secondary structure) ประกอบดว ย 2 ลกั ษณะ ไดแกเ กลยี วแอลฟาและแบบจีบเบตา ที่มา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/ เปนเสน ออ นนุม เชน Fibrin พบเปนโครงสรางหลักในเคอราทนิ โครงสรา งตติยภมู ิ (Tertiary structure) เกดิ จากโครงสรา งแบบเกลียวแอลฟา แตส ว นที่ ไมใ ชเกลยี วแอลฟา มวนตัวเขา หากันเพราะมแี รง ยดึ เหนยี่ วออ นๆ โครงสรางแบบนจ้ี ะมีลกั ษณะ จาํ เพาะขึ้นอยูกับการเรยี งตวั ของกรดอะมิโนและ พรอมที่จะทําหนา ที่ตา งๆ ในสงิ่ มีชีวติ ทมี่ า: http://kvhs.nbed.nb.ca/gallant/biology/tertiary_structure.jpg\\ 36 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
โครงสรางจตรุ ภมู ิ (Quaternary structure) เกดิ จากการรวมตัวของหนวยยอยชนิดเดียวกนั หรือตางชนิดกันของโครงสรา งแบบตติยภมู ิ โดยอาจจะรวมตัวเปน โปรตีนกอ นกลมหรือ โปรตนี เสนใย ท่ีมา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/ 2.4 การทดสอบโปรตนี เชนเดียวกับการทดสอบคารโบไฮเดรตนะนองๆ โปรตีนเราก็ตองรวู ิธีการทดสอบเชนกันนะ โดยการทดสอบโปรตนี เรา จะใช “สารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH” ซึ่งมสี ฟี าโดยเมือ่ ทดสอบแลวถา มโี ปรตนี จะไดส ีมวง - ชมพู วิธีการน้ีเรา เรยี กวา “การทดสอบไบยูเร็ต” ซ่งึ การทดสอบนีก้ ็มขี อจาํ กดั นะ คือ ทดสอบไดแตโปรตนี ทมี่ ีพนั ธะเพปไทดต้งั แต 2 พนั ธะข้ึนไป (ไตรเพปไทดขึ้นไป) ดังน้นั การทดสอบไบยเู รต็ นจ้ี งึ ไมสามารถใชท ดสอบกรดอะมิโนได จากรูปดานบนนี้ สารสีมว ง – ชมพู ที่ไดจ ากการทดสอบโปรตนี ก็เปนเพราะวาเปน สีของสารเชิงซอ นของ Cu นนั่ เอง คําถามตอ มานองคงสงสยั วาแลวถา เราอยากจะทดสอบกรดอะมิโนจะทําไง?? มนั ก็มีอกี วิธหี น่ึงที่ใชใ นการทดสอบกรดอะมิโน นั่นกค็ อื เราจะใชส ารนินไฮดรนิ ในการทดสอบ โดยถา มีกรดอะมโิ น จะไดส ีมว งในการทดสอบดวยนนิ ไฮดริน 2.5 การเสียสภาพโปรตีน (Protein Denaturation) กอนอนื่ นอ งตองเขา ใจหลักการของ “การเสียสภาพ” กอ นนะ คือ การเสียสภาพของโปรตนี มันตางจากการไฮโดรไลส (Hydrolyse) เพราะการไฮโดรไลสคือการสลายพันธะไปเลย ซ่ึงสําหรับโปรตีนก็คือการสลายพันธะเพปไทด แตถาเปนการไฮ โดรไลสข องคารโ บไฮเดรตกจ็ ะเปน การสลายพนั ธะไกลโคซดิ กิ ทเ่ี ชอ่ื มระหวา งโมเลกลุ ของนาํ้ ตาลโมเลกลุ เดยี่ ว แตก ารเสยี สภาพ ของโปรตีนคอื การทีโ่ ปรตีนสูญเสยี สภาพโครงสรา งจตุรภูมิ ตติยภูมิ ทุติยภูมิ มาเปน ปฐมภูมิ กลา วคอื พันธะเพปไทดยังคงอยู แตสภาพการทํางานของโปรตนี น้นั ๆ อาจจะเสียสภาพไป งัน้ เรามาดปู จ จยั ท่ีทําใหโ ปรตนี เสียสภาพกนั มีดังน้ี 1) ความรอ น 2) สารละลายกรด 3) สารละลายเบส 4) แอลกอฮอล 5) โลหะหนัก ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 37
2.6 ประเภทและหนา ที่ของโปรตนี ประเภท หนา ท่ี ตวั อยา งของโปรตีน เอนไซม โครงสราง - ยอ ยสลายซโู ครส - ซเู ครส ลําเลยี งสาร - ยอ ยสลายโปรตนี - ทรปิ ซนิ ฮอรโมน - สรางเอ็นและกระดกู ออน - คอลลาเจน แอนติบอดี - สรา งผม ขน และผวิ หนงั - เคราติน - ลําเลยี งออกซิเจน - ฮีโมโกลบนิ - เพ่ิมประสทิ ธภิ าพการเผาผลาญกลโู คสใน - อนิ ซูลิน รางกาย - ทาํ ใหร า งกายเจริญเตบิ โตไดป กติ - ฮอรโมนเจริญเติบโต (Growth Hormone) - ภูมิคมุ กนั - อมิ มูโนโกลบลู ิน จรงิ ๆ แลว ประเภทและหนา ทต่ี างๆ ของโปรตีนยงั มีอีกเยอะแยะเลยนะ แตพ่ีเลอื กทสี่ ําคัญๆ มาใหนองดูกนั นะ 2.7 คุณคา ทางชีววทิ ยา คุณคา ทางชวี วิทยา คอื โปรตีนจากแหลงอาหารท่ีรางกายสามารถนําไปใชส รา งเนื้อเยือ่ ได เชน ไข มคี ุณคาทาง ชวี วิทยา 100 แสดงวา ไข มีแหลง โปรตนี ที่รา งกายสามารถนาํ ไปสรา งเนอื้ เยื่อได 100% เราลองมาดตู ารางคณุ คาทาง ชวี วิทยากันนะ โปรตีนจากแหลง อาหาร คุณคา ทางชีววทิ ยา ไข 100 นมววั 93 เนอ้ื สตั วและปลา 75 ขา ว 86 ขาวโพด ถว่ั ลิสง 72 ขา วสาลี 56 44 ท่ีมา : หนังสอื สาระการเรียนรพู ื้นฐานสารและสมบตั ขิ องสาร 38 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
3. ลิพิด (Lipid) ลิพดิ คอื อะไร? ลิพิดก็คอื ไขมัน (Fat) หรอื นํา้ มนั (Oil) ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ไข (Wax) และสารสเตียรอยด (Steroid) นั่นเอง นอ งหลายคนอาจจะสงสัยวาไขมันและน้าํ มนั ตางกนั อยางไร? เดี๋ยวบทนเ้ี ราจะมาเฉลยคาํ ตอบแลว กนั นะ 3.1 ไขมันและนํ้ามัน (Fat and Oil) ไขมนั และนํา้ มัน มสี ว นประกอบทเ่ี หมอื นกนั ก็คอื เปนสารประเภทเอสเทอร (Ester) ท่ีเกดิ ปฏิกริ ิยาเอส เทอรฟิ เ คชนั (Esterification) จากกลเี ซอรอลและกรดไขมัน นองหลายคนอาจจะงงกบั ยอหนา น.ี้ ... อะไรคือเอสเทอร? และ เอสเทอริฟเ คชัน มนั คอื อะไรเนย่ี ? เอาเปนวาพ่ีจะอธบิ ายคราวๆ นะ ในทางเคมีอนิ ทรียเรามกี ารศึกษาปฏิกริ ิยาหลายๆ อยา ง แตปฏิกริ ยิ าทสี่ ําคัญปฏกิ ิริยาหน่งึ เรียกวา “ปฏกิ ิริยาเอส เทอริฟเคชัน (Esterification)” เปน ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กิดจาก การนาํ สารทีเ่ ปน แอลกอฮอล (Alcohol) มาทาํ ปฏกิ ิรยิ ากบั สารท่เี ปน ก รดอนิ ทรียหรอื เรยี กวา กรดคารบ อกซิลิก (Carboxylic acid) โดยมีตัวเรง ปฏกิ ริ ิยาเปนกรดแก จะทําใหเกดิ สารประเภทหนึง่ ข้นึ เราเรยี กวา สารประเภท “เอสเทอร (Ester)” อนั นเี้ ปนหลักการครา วๆ นะ ซงึ่ เราลองกลบั มาดทู ร่ี ูปดานบนของเรากันนะ จะเห็นไดวาแอลกอฮอลท ีน่ าํ มาทําปฏิกิรยิ านคี้ อื กลีเซอรอล (Glycerol) มาทําปฏกิ ริ ิยากบั กรดไขมนั ซึ่งกค็ ือกรดอนิ ทรยี นน่ั เอง มีตัวเรง และความรอน ทาํ ใหไ ดไขมนั และนาํ้ มันออกมาเปนผลติ ภัณฑทางดานขวา ซึ่งไขมนั และนํ้ามันกค็ อื สารประ เภทเอสเทอรน นั่ เองหรือบางทีเรามกั เรยี กไขมนั หรือน้าํ มนั วา “ไตรกลเี ซอไรด (Triglyceride)” คํานน้ี อ งนา จะเคยคุนๆหบู า ง เนอะ เพราะฉะน้ันตอ ไปนห้ี ากไดย ินคาํ น้ีอีก ก็ใหเ ขาใจวาเปน ไขมนั และนาํ้ มันแลว กัน ทีน้สี ิง่ ที่ตามมากค็ อื แลว อะไรละ ทเี่ ปนตวั แบงแยกวาปฏกิ ริ ิยาไหนจะเกิดไขมนั และปฏิกริ ยิ าไหนจะเกดิ นํา้ มัน? คํา ตอบกค็ ือ กรดไขมัน นน่ั เอง แลว จะดูไดยงั ไงละ ? เราลองมาดกู ันในหัวขอ ถดั ไปนะ 3.2 กรดไขมนั อ่ิมตัวและกรดไขมนั ไมอ มิ่ ตัว (Saturated and Unsaturated Fatty Acid) ส่งิ ที่จะบอกเราไดว า ผลิตภัณฑของเราท่ีไดหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ิยาสะปอนนิฟเคชัน วาจะไดไ ขมัน หรอื น้ํามัน ขนึ้ อยูกบั กรด ไขมัน เพราะเราสามารถแบงกรดไขมนั ออกเปน 2 ชนดิ ดงั น้ี 1) กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) กรดไขมันอม่ิ ตัว คือ กรดไขมนั ทไี่ มม ีพนั ธะคูอยูภายในโครงสรางโมเลกุลเลย มแี ตพ ันธะเดย่ี ว (Single bond) ท่เี รา ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 39
เรียกวา อม่ิ ตวั เพราะวา โครงสรา งของมนั อม่ิ ตัวไปดวยไฮโดรเจน (H) ไมส ามารถเติมอะไรลงไปไดอีก มสี ตู รเคมเี ปน CnH2n+1COOHเพราะฉะน้ันเวลามนั เกิดปฏกิ ิรยิ ากบั กลีเซอรอล จะได “ไขมัน (Fat)” ซึ่งจะมลี กั ษณะเปนของแขง็ ท่อี ณุ หภมู ิ หอง เชน พวกไขมนั สัตว เปนตน 2) กรดไขมนั ไมอมิ่ ตัว (Unsaturated Fatty Acid) กรดไขมันไมอ ม่ิ ตัว คือ กรดไขมนั ท่มี ีพนั ธะคูอยางนอ ย 1 ตําแหนงในโครงสรา ง ทาํ ใหโ ครงสรา งไมไดอ่ิมตัวดว ย ไฮโดรเจน (H) เวลาเกดิ ปฏกิ ริ ิยากับกลีเซอรอลก็จะได “นํา้ มัน” ซงึ่ มีลกั ษณะเปน ของเหลวทอี่ ุณหภมู ิหอง เชน น้าํ มนั พืช เปน ตน หมฟู ง กช นั ของ กรดไขมนั พันธะคนู ้ี ไมนับนะนอ งๆ ที่มา : vichakarn.triamudom.ac.th ลองมาดูรูปน้ี นอ งๆ จะเห็นวาถา เปน โครงสรางทีอ่ ่มิ ตวั โครงสรา งจะเปนเสน ตรง ดูคอ นขางหนาแนน แตถ า เปน โครงสราง ไขมนั ทไี่ มอ่ิมตัว ตําแหนงท่เี ปน พันธะคจู ะทาํ ใหเกิดมุมงอมมุ บิดในโครงสราง ทําใหโครงสรา งไมห นาแนน นะ ดงั น้นั หลักการจํางา ยๆ ก็คอื ถา โครงสรา งมนั หนาแนน (อม่ิ ตวั ) เวลาเกิดปฏิกริ ยิ า ผลติ ภณั ฑท่ีไดจะเปน ของแข็ง (ไข มนั ) แตถาเปน โครงสรางท่ีไมห นาแนน (ไมอม่ิ ตวั ) จะไดผ ลิตภัณฑท เ่ี ปนของเหลว (น้าํ มนั ) นองๆ ควรจะรจู กั กรดไขมนั อ่มิ ตัวและไมอ ่ิมตวั ไวบ างนะ ดูจากตารางขา งลางนี้ กรดไขมนั อ่มิ ตัว กรดไขมนั ไมอ ่ิมตวั ลอรกิ (C11H23COOH) โอเลอิก (C17H33COOH) ไมรีสตกิ (C13H27COOH) ไลโนเลอกิ (C17H31COOH) ปาลม ติ กิ (C15H31COOH) ไลโนเลนกิ (C17H29COOH) สเตียรกิ (C17H35COOH) กรดไขมนั จําเปน 40 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สาเหตทุ ี่ไลโนเลอิกและไลโนเลนกิ เปน กรดไขมันจําเปน เพราะวารางกายไมสามารถสงั เคราะหข ึ้นมาไดเอง จึงตอ งรบั มาจาก อาหาร 3.3 การทดสอบความอิม่ ตัวของกรดไขมนั กเ็ หมือนกับหวั ขอ ท่ผี า นมา เราตองรูวธิ กี ารทดสอบ สําหรับการทดสอบความอ่ิมตวั ของกรดไขมนั ไมย ากเลย แตว าพี่ ยํ้ากับนองๆ ทุกคนนะวา หวั ขอ น้อี อกขอสอบทกุ ป ยา้ํ !! ออกทกุ ป ปล ะ 1-2 ขอ เพราะฉะน้ันนอ งๆ ตองเรียนรอู ยา งตง้ั ใจ และทาํ ความเขาใจ และเดยี๋ วทายบทเราลองมาดูขอ สอบดวยกัน วิธีการทเี่ ราใชทดสอบความอิม่ ตวั ของกรดไขมนั ท่เี ราเรยี นในชัน้ ม.ปลายนี้ จะบอกไดแคว า อะไรอ่มิ ตวั หรือไมอ ิ่มตัว มากกวา กัน คือเปน แคก ารเปรยี บเทียบความอม่ิ ตวั ของกรดไขมันตั้งแต 2 ชนดิ ขึน้ ไป แตเ ราไมส ามารถบอกไดวา อิม่ ตวั หรือไม อม่ิ ตัวมากนอยขนาดไหนนะอา นแลว อาจจะงง ไวลองไปดตู ัวอยา งดว ยกนั นาจะเขาใจขน้ึ สาํ หรับวิธีทเ่ี ราใช และเปน วิธีงา ยๆ คือ การทดสอบดวยการหยดนํา้ คลอรนี (Cl2) นํา้ โบรมีน (Br2) หรอื อาจจะเปน สารละลายไอโอดีน (I2) ก็ได (ใชสารประกอบของธาตุหมู VIIA เพราะมีสมบตั ริ บั อเิ ลก็ ตรอนไดดี) โดยพวกสารประกอบหมู VIIA น้ี มีสมบัติทเี่ หน็ ไดช ดั คือมนั เปน สารที่มีสี เชน คลอรีนมสี เี ขยี วเหลือง โบรมนี มีสีนํ้าตาล ไอโอดนี มสี มี ว ง เมื่อหยดสาร พวกน้ลี งไปในสารละลายกรดไขมนั ทเี่ ตรยี มไว มันจะถูกฟอกจางสี (สีของสารจะหายไป) เน่อื งจากเกิดปฏกิ ิริยาการแทนท่ี หรือปฏิกริ ยิ าการเตมิ กบั สารละลายกรดไขมัน (ไมตองซเี รียสเรอ่ื งชอ่ื ของปฏิกริ ิยานะ) ซึง่ เราจะดูความอม่ิ ตัว-ไมอมิ่ ตัวไดจาก จาํ นวนหยดท่เี ราหยดสารประกอบหมู VIIA จนกวาสารละลายกรดไขมนั จะไมส ามารถฟอกจางสไี ด พดู งายๆ ก็คอื เราจะนบั จํานวนหยดทเี่ ราหยดพวกสารประกอบหมู VIIA ไปเร่ือยๆ จนกวา สมี นั จะไมจ างหายไปนั่นเองโดยถา จํานวนหยดท่หี ยดลงไป จนกวา สีจะไมห ายเปนจาํ นวนมาก หมายความวา กรดไขมนั นัน้ มีความไมอ ิ่มตัวมากในทางกลบั กนั ถาจาํ นวนหยดที่หยดลงไป จนกวา สีจะไมห าย เปนจาํ นวนนอย หมายความวา กรดไขมันน้นั มคี วามอม่ิ ตวั มาก หยดมาก ไมอ่มิ ตวั หยดนอ ย อม่ิ ตวั 3.4 สมบัติตา งๆ ของกรดไขมัน 1. กรดไขมันทีเ่ สถียรมักจะมี C เปน เลขคู สว นใหญพ บ C 16 อะตอม และ C 18 อะตอม 2. ในกรณีทมี่ ีจํานวนคารบ อนเทา กนั ไขมันจะมจี ุดเดอื ดสงู กวานา้ํ มนั เพราะกรดไขมนั อมิ่ ตัวจะมีมวลโมเลกุลสูงกวา และมีรูป รา งทม่ี คี วามหนาแนนสงู จงึ ทําใหมจี ดุ เดือดสงู กวา 3. ในกรณที ่มี จี ํานวนคารบ อนเทากัน การเผาไหมนาํ้ มันจะเกิดเขมามากกวาไขมนั 4. ไขมันและนา้ํ มนั จะละลายในตัวทาํ ละลายอินทรยี เพราะเปนสารทไ่ี มม ขี วั้ 5. การเหมน็ หืน น้ํามันจะเหมน็ หืนไดง ายกวาไขมนั เพราะการเหม็นหืนเกดิ จาก O2 ในอากาศเขาทําปฏิกริ ยิ ากบั ตาํ แหนง พนั ธะคู ไดแ อลดีไฮด และกรดไขมนั เล็กๆ ซง่ึ เหม็นหืน ** ในปจจบุ ัน น้ํามนั พืช มกั เติมสาร BHA BHT หรือวติ ามนิ E ทาํ ใหไ มเหม็นหนื 6. ในรา งกายของคนและสตั ว มกี รดไขมนั อมิ่ ตัวเปน สว นมาก 7. หากรบั ประทานไขมนั อ่มิ ตัวมากๆ อาจจะสง ผลใหเ ปน โรคเสน เลอื ดหัวใจอุดตัน ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 41
ตวั อยา งขอสอบ ตาราง ปริมาณกรดไขมันชนดิ ตางๆ ในน้าํ มันบางชนิด นาํ้ มนั CO121HH23C CO123HH27C รอ ยละของกรดไขมัน CO127HH31C CO127HH29C CO125HH31C OC127HH35C CO127HH33C A 43.8 23.4 13.6 9.6 4.3 2.3 0.0 B 22.7 11.5 19.0 26.0 8.0 7.9 0.0 C 0.0 0.0 17.6 40.3 2.1 32.1 1.4 D 0.0 0.0 10.5 3.4 26.0 46.9 6.1 จากขอมูลในตาราง น้ํามนั ชนดิ ใดฟอกจางสนี า้ํ โบรมนี ใหหายไปไดม ากท่ีสดุ ................? เฉลย น้าํ มนั ชนดิ D เพราะวา มีความไมอ ม่ิ ตัวสูงทีส่ ดุ โดยดจู ากรอยละของกรดไขมนั ที่มนั มี เนื่องจากนองๆ รวู า สตู รเคมีของกรดไขมันทอ่ี ม่ิ ตัวคือ CnH2n+1COOH จะเหน็ ไดว ากรดไขมันทไ่ี มอ ิ่มตัวกจ็ ะมี C17H33CO2H C17H31CO2H C17H29CO2H ใชไหม? และนา้ํ มันชนิด D ก็มีรอ ยละของกรดไขมันพวกนี้สูงท่ีสุด ก็เลยตอ งใชนา้ํ โบรมนี ในการ ฟอกสมี ากที่สดุ 3.6 การทดสอบไขมนั และนาํ้ มนั อันน้ีตางจากการทดสอบความอิ่มตัวนะ โดยการทดสอบไขมันและน้ํามันนั้นงายมากๆ เพียงแตทดสอบดวยกระดาษ หากเปน ไขมนั และนํา้ มันจะทําใหกระดาษทที่ ดสอบโปรง แสง 3.7 สบูแ ละผงซกั ฟอก นอ งรหู รอื ไมว า สบแู ละผงซกั ฟอกหรอื ผลติ ภณั ฑท าํ ความสะอาดเกอื บทกุ ชนดิ ทาํ มาจากอะไร? แนน อนวา พเ่ี อามาสอน ในหัวขอ น้ี นองกค็ งตอบไดแลว วา ..... สบูและผงซกั ฟอกมันมที ีม่ าจากลิพิดแนน อน เฉลยนะ สบแู ละผงซกั ฟอกทีเ่ ราใชก ันอยู ทกุ วนั ทาํ มาจากไขมันหรอื น้าํ มนั ขนึ้ อยูกับประเภท ชนิด ของผลิตภัณฑ เพราะฉะนั้นในหวั ขอนี้เรากจ็ ะมาดโู ครงสรา งและหลัก การทาํ งานของผลติ ภัณฑทําความสะอาดทีเ่ ราใชกันทกุ ๆ วนั ไขมัน (Triglyceride) สบ/ู ผงซกั ฟอก กลเี ซอรอล เกลอื โซเดียมคารบอกซเิ ลต 42 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ดจู ากสมการดานบนนี้นะ สบูและผงซักฟอกทั่วๆ ไปเปน เกลือของกรดไขมัน นองคงจะงงวา “อา ว สบทู ่ีเราใชทุกวนั เปน เกลอื หรอเนี่ย?” อาๆ มาดสู มการกนั กอนแลว กัน เรมิ่ จากเรามไี ขมนั ซงึ่ ก็คอื ไตรกลเี ซอไรด ทําปฏิกิรยิ ากบั เบสแก (ในทน่ี ้ี คือโซเดยี มไฮดรอกไซด : NaOH) ตม ใหรอ น เราจะไดผ ลิตภณั ฑเปน สบู ซึ่งเปนเกลือของกรดไขมัน 3 โมล (หนว ยของการวัด ปริมาณสาร) และไดกลีเซอรอลออกมาดวย โดยสวนมากเบสท่ีเรานํามาใชตมก็มักจะเปนโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) หรือ โซดาไฟ หรอื อาจจะใชโ พแทสเซียมไฮดรอกไซด (KOH) หรือดา งคลี กไ็ ด 3.7.1 สบกู อน VS. สบูเหลว นอ งๆ เคยสงสยั ไหมวา .... สบกู อ นและสบเู หลวตา งกนั อยา งไร หรอื มวี ธิ กี ารผลติ ตา งกนั อยา งไร ..... จรงิ ๆ แลว กรรมวธิ ี ไมแ ตกตา งกนั เลยนะ ก็ใชส มการเมอื่ ก้ีนแี้ หละ แตถ า ตอ งการสบูกอ น เราจะใชไตรกลีเซอไรดท ี่เปน “ไขมนั (Fat)” จําไดไ หม.. ไขมนั พ่ีสอนไปแลว วา มนั เปน ของแขง็ เพราะโครงสรา งมนั หนาแนน (ถา ลมื กลับไปอา นใหมเลยนะ) สว นถาเปนสบูเหลวจะใช “น้ํามนั (Oil)” เพราะโครงสรางไมหนาแนน เวลาไดเปนสบูออกมาก็จะไดสบเู หลวน่นั เอง 3.7.2 การทาํ งานของสบูและผงซกั ฟอก สบแู ละผงซกั ฟอกมนั ทาํ ความสะอาด รา งกายและเสื้อผา ของเราไดอ ยา งไร? เราลองมาดูทโ่ี ครงสรา งของสบกู นั กอ น แลว กนั จากรูป นองจะเห็นโครงสรางของ สบู ซ่งึ เราจะแบงเปน 2 สว น คือ สว นหวั ท่ี มีขั้ว (polar head) และสวนหางที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) ซึง่ ลกั ษณะทโี่ ครงสรา งของ มนั มีทงั้ สวนทมี่ ขี ัว้ และไมมขี ว้ั จึงทําใหมัน สามารถทาํ ความสะอาดสิง่ สกปรกได ขว้ั ในทนี่ ห้ี มายถงึ ขว้ั ของโมเลกลุ ซง่ึ เปน สภาพทางไฟฟา นะ นอ งไมต อ งซเี รยี สมาก เอาเปน วา Na+ เปน หวั ของโครงสรา ง เราจะเหน็ วา Na+ มปี ระจบุ วกอยู นนั่ แหละ เราเรยี กวา มนั มขี วั้ สว นหางทไี่ มม ขี ว้ั กจ็ ะเปน สว นทเ่ี ปน ไฮโดรคารบ อน (สารประกอบ ทมี่ ีแต H และ C) ของกรดไขมนั สวนน้ีจะไมมีขั้วนะ ทีนี้ความพเิ ศษมันอยูตรงที่ อะไรกต็ ามที่มขี ั้วมันจะละลายไดใ นสารท่มี ขี วั้ และอะไรกต็ ามทไี่ มม ีขว้ั จะละลายไดในสารท่ี ไมมีขั้ว เราเรยี กหลกั การนว้ี า “like dissolve like” โดยสบเู นีย่ มนั มีสว นทมี่ ีขัว้ และไมม ขี ้วั อยภู ายในโมเลกลุ เดยี วกัน เลยทําให มันละลายน้ําได (น้ํามีขัว้ ) และสามารถดงึ คราบไขมัน (ไขมนั ไมม ขี ้ัว) ออกจากรางกายได ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 43
เวลาเราอาบนํ้า สบูมันจะละลายน้ํา และอยูในรูป “ไมเซลล (micelle)” ดังรูปดานขวานี้ นองจะเห็นคําวา “Hydrophillic head” ซ่ึงมนั ก็คอื อันเดียวกับคําวา “polar head” คอื มันเปน สวนที่ชอบน้ํา ซ่ึงคําวา (phil แปลวา ชอบ) ดังนั้นมันก็จะหัน หวั ออกไปในน้าํ ทาํ ใหส บสู ามารถละลายนา้ํ ได สวนหางที่หนั ไป รวมกนั ดา นใน “Hydrophobictail” (pho แปลวา ไมช อบ) คอื อนั เดียวกับ “nonpolar tail” มันเปนสวนท่ีไมชอบน้ํา หรือสวนท่ี ไมม ีข้ัว มันกจ็ ะหันตัวเองหนีน้ํา ซึง่ ทาํ ใหส ามารถไปดึงเอาพวก คราบสกปรก คราบไขมันออกมาได (ไขมนั ไมมีขวั้ กจ็ ะละลาย อยใู นสว น nonpolar tail) 3.7.3 ทําไมนํ้ากระดา งทําใหส บูห มดประสิทธิภาพ? นอ งๆ คงจะรจู กั “นาํ้ ออ น” และ “นาํ้ กระดา ง” กนั ตง้ั แตส มยั ม.ตน แลว ใชป ะ ลมื กนั ไปหรอื ยงั งน้ั พจี่ ะทวนใหน ดิ หนอ ย แลว กันนะ แตก อ นเราเรยี นกนั มาวา “นา้ํ กระดา ง” คือน้าํ ที่ทําใหส บไู มม ีฟอง แตม า ม.ปลาย แลว เราตองรเู พ่มิ ข้นึ ก็คือการทม่ี ัน ทําใหสบไู มเ กิดฟอง เปนเพราะวา มนั ไปทาํ ใหสบหู มดประสทิ ธิภาพการทาํ ความสะอาด โดยการไปทาํ ใหส บตู กตะกอน แตไมใช ตะกอนแบบกอนหินนะ แตมนั จะเปนตะกอนเบา ทเี่ ราเรียกวา “ไคลสบ”ู คลายเปน คราบโดยท่ีนา้ํ กระดา งมนั จะมี Mg2+ , Ca2+ ง้ันเราลองมาดสู มการกนั ดกี วา 2C17H35COOH + Ca2+ C17H35COOH Ca + Na+ สบู สบูท่ถี ูกแทนที่ดว ย Ca2+ มีลกั ษณะเปนของแข็ง 3.7.4 ผงซักฟอก โครงสรางของผงซกั ฟอกกค็ ลายๆสบูแตต างกันตรงท่ี Polar Head 44 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ผงซักฟอกมีหลายชนดิ ดงั น้ี โครงสรา งที่ 1 : เปน โซต รง จุลินทรยี สามารถยอ ยสลายไดทง้ั หมด กอ ใหเ กิดปญ หาสิง่ แวดลอ มนอ ย โครงสรางที่ 2 : เปนโซก ่งิ และมวี งเบนซีน จุลินทรยี สามารถยอ ยสลายไดเปนสว นใหญ กอใหเ กิด ปญ หาส่ิงแวดลอ ม โครงสรา งที่ 3 : เปนโซก งิ่ มากและมวี งเบนซนี จลุ ินทรยี ไมส ามารถยอ ยสลายได กอใหเกิดปญ หา ส่งิ แวดลอ ม 3.7.5ปญหาของผงซกั ฟอก 1. โครงสรางบางชนิดสลายตวั ไดยาก ทําใหเ กดิ ปญ หาตอ สิง่ แวดลอม 2. ในผงซักฟอกมสี ารประกอบพวกฟอสเฟต (PO43-) จากสาร Na5P3O10 (โซเดียมไตรฟอสิฟอสเฟต) ซงึ่ เปน สารชว ย ทําความสะอาด และลดความกระดา งของนาํ้ สารนี้จะทาํ ใหพ ชื เจริญเตบิ โตไดด ี เพราะเหมือนเราเตมิ ปยุ P ใหพชื และเมอื่ พชื เหลา นีต้ ายลงตองยอยสลายดว ย O2 ทาํ ใหน ํา้ มี O2 ไมเพยี งพอทําใหเกิดปญหาน้ําเนา ได 3.7.6 การทดสอบฟอสเฟต การตรวจสอบฟอสเฟตทาํ ไดโ ดยเตมิ สารละลายแอมโมเนยี มโมลบิ เดต (NH4)2MoO4ลงไปในนํา้ ตัวอยา ง ถาน้ํานน้ั มฟี อสเฟตจะ ไดต ะกอนสเี หลอื ง ลองดูสมการนิดนงึ แลว กนั นะ 3NH4+ + 12MoO42- + PO43- + 24H+ (NH4)3PO4 12MoO3 + 12H2O นอกจากไขมันและนํ้ามันที่เรารูแลววาคือลิพิดแลว ยังมีสารอีกหลายชนิดท่ีก็เปนชนิดหน่ึงของลิพิดดวย แตในช้ัน ม.ปลาย พีจ่ ะขอพูดถึงแค ฟอสโฟลพิ ดิ ไข และสเตยี รอยด นะ 3.8 ฟอสโฟลิพดิ (Phospholipid) ฟอสโฟลพิ ิด คือ ไตรกลเี ซอไรด (ไขมันหรือน้าํ มัน) ท่ีถูกแทนท่ดี ว ยฟอสเฟต (PO43-) 1 ตําแหนง โดยสว นของกรดไขมนั ก็จะเปน สว นทีไ่ มม ีข้ัว (nonpolar tail) ซ่งึ ไมชอบน้าํ ในขณะท่ฟี อสเฟต (PO43-) เปนโมเลกุลทมี่ ขี ้ัว เพราะฉะนนั้ กจ็ ะเปน (polar head) ซึ่งชอบนํา้ อา นแลว กค็ ลายๆกบั เร่ืองสบเู ลยใชไ หม? หลักการคลา ยๆกนั เราลองมาดโู ครงสรางกนั กอ น ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 45
อนั น้ีเปน โครงสรางของ ไตรกลเี ซอไรด หรอื ไขมนั ท่เี รารจู ักกัน จะเหน็ ไดว า มีกลเี ซอรอล 1 โมเลกลุ และมกี รด ไขมัน 3 โมเลกลุ มาเกาะ ถา เปน ฟอสโฟลิพิด ก็จะเปนฟอสเฟต มาเกาะแทนที่กรดไขมันไป 1 ตาํ แหนง ท่มี า:http://homepage.smc.edu/wissmann_paul/anatomy2textbook/phospholipids.html 46 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
เราจะพบฟอสโฟลพิ ิดอยทู เ่ี ย่ือหมุ เซลล (Cell membrane) โดยเปนโครงสรางทหี่ ันสว นทม่ี ขี ้วั (polar head) ออกไป สองฝง (ฝง ในเซลลและนอกเซลล) และหันสวนที่ไมม ขี วั้ (nonpolar tail) เขาหากนั นอกจากเย่ือหุม เซลลแ ลว ยงั พบไดท ่ี เซลลประสาท อกี ดวย 3.9 ไข (Waxes) ไข คอื ไขมันชนดิ หนึง่ แตเปนไขมนั ท่ีเกดิ จากกรดไขมันทม่ี ีโซย าว (C14– C30) และแอลกอฮอลท ่ีมีโซยาว (C16– C30) ตวั อยาง ไข เชน ข้ีผ้ึง C15H31COOH + C30H61OH C15H31COOC30H61 + H2O 3.10 สเตียรอยด (Steroids) สเตยี รอยด คอื ลพิ ดิ ท่ีไมมีกลเี ซอรอล และกรดไขมนั มีโครงสรางเปนวง สเตียรอยด จะมีโครงสรา งหลกั ๆ ที่ เหมอื นๆ กนั กค็ อื รปู นนี้ ะ เราเรยี กวา “สเตยี รอยด นวิ เคลยี ส (steroid nucleus)” สว นสงิ่ ท่ีทาํ ใหสารส เตียรอยดต างกันกค็ ือหมทู ่ีจะ มาเกาะที่ตําแหนงตางๆ ของสเตียรอยด นิวเคลียส ทม่ี า: http://cnx.org/resources/4e1c51290fa732e94a25cbdf7bf159df/Figure_09_01_08.jpg ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 47
จากแผนภาพสเตยี รอยดน ้ี นอ งกจ็ ะเห็นวา สารสเตยี รอยดมเี ยอะมาก แตห ลักๆ ก็จะมีสเตยี รอยด นิวเคลียสเหมอื นกัน และ ตางกันทหี่ มูที่มาเกาะ กจ็ ะทําใหชอื่ และหนา ทีม่ นั เปลี่ยนไปแลว ทเ่ี อามาใหด ูน้ันเปน ฮอรโมนในรางกายมนษุ ย จริงๆยังมสี ารส เตียรอยดอกี เยอะแยะ ใครอยากรเู พิ่มเตมิ ไปคนเพิม่ ได 4. กรดนิวคลอิ ิก (Nucleic Acid) นองคงรูจกั กบั “กรดนิวคลอิ ิก” แลว นะ เพราะเรียนมาในชีวะ ต้งั แต ม.4 แลว และเราจะเอามาเรยี นในเคมีดว ย เพอ่ื เปน การตอกยาํ้ แตก ารเรยี นในวชิ าเคมไี มไ ดล ะเอยี ดเทา กบั ในชวี ะนะ เราเนน เฉพาะลกั ษณะทวั่ ๆ ไป อยา งทนี่ อ งๆ รกู รดนวิ คลอิ กิ เปน กรดท่ีเปนสวนประกอบของสารพันธกุ รรมของสงิ่ มีชวี ติ กรดนิวคลอิ ิกมี 2 ชนิด กค็ อื 1) DNA (Deoxyribonucleic Acid) 2) RNA (Ribonucleic Acid) DNA เปนรหสั พนั ธุกรรมในรา งกายทคี่ วบคุมลกั ษณะตางๆ บนรา งกายเรา มนั ก็จะมอี ยทู กุ ๆ เซลลอะนะ สว น RNA ก็ จะมอี กี หลายประเภท ซ่งึ นอ งๆ เรยี นมาในชีวะ (สําหรับเด็กสายวทิ ย) สําหรบั ขอสอบ O-Net กไ็ มไดออกยากขนาดนั้น งายๆ ก็ คอื RNA ทาํ หนาเกี่ยวกบั การสังเคราะหโปรตีนเพ่อื นาํ มาใชประโยชนในเซลลและรางกายของเรา 4.1 DNA (Deoxyribonucleic acid) รปู ทางดานขวามือนก้ี ค็ อื หนา ตาของ DNA ท่เี ปนสาร พันธุกรรมของรางกายส่ิงมีชีวิตก็จะมีลักษณะเปน เกลยี วบนั ไดเวยี นขวา และนอ งเหน็ ราวบนั ไดทเี่ ปน เมด็ กลมๆ สีฟาและสแี ดงไหม และเหน็ ขั้นบันไดแตล ะขน้ั ไหมพใ่ี หน อ งทายวา มนั คอื อะไร….? เดย๋ี วอา นไปเรอ่ื ยๆ นองกจ็ ะรคู ําตอบเอง ที่มา : www.astrochem.org 4.1.1 โครงสรา งและองคประกอบของ DNA DNA มีหนวยยอยๆ (มอนอเมอร) เปน “นิวคลีโอไทด (nucleotide)” เพราะฉะนั้นเวลามันเปนสายยาวๆ ก็คือมันเปนพอลิเมอรของนิวคลีโอไทด เพราะฉะนน้ั เรากอ็ าจจะเรียกวา “พอลนิ วิ คลโี อไทด (polynucleotide)” งัน้ เรา มาดูโครงสรา งของนิวคลโี อไทด กจ็ ะรูโ ครงสรางของ DNA โครงสรา งพนื้ ฐานของนวิ คลโี อไทดก จ็ ะเปน แบบรปู ดา นขวานกี้ ค็ อื มเี บส (base), นาํ้ ตาลดอี อกซไี รโบส (deoxyribose sugar) และฟอสเฟต (phosphate) แตน อ ง ก็คงจะรูมาจากชีวะแลววา นิวคลีโอไทดม ี 4 แบบ ซงึ่ ตวั ทท่ี ําใหต า งกนั กค็ อื เบส (ไนโตรจนี สั เบส) ทมี่ าเกาะนนั่ เองทมี่ ี A (adenine) , T (thymine) , G (guanine) ,และ C (cytosine) แตหลักๆกค็ อื นาํ้ ตาลดีออกซีไรโบส และฟอสเฟตกเ็ หมือนกนั นะ 48 ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ทมี่ า : http://www.bio.miami.edu/tom/courses/protected/MCB6/ch02/2-17.jpg หมายเหตุ Uracil เปนเบสที่พบใน RNA โดยทําหนาทแ่ี ทน Thymine ท่ีอยูใน DNA 4.1.2 เบสคสู ม (complementary base) และโครงสรางแบบเกลยี วของ DNA จรงิ ๆ แลวตอนแรกๆ ท่นี ักวิทยาศาสตรศกึ ษา DNA เขาไมรหู รอกวา DNA มลี กั ษณะเปน เกลยี วคอู ยางท่เี ราเหน็ ในรูป แตเ ผอญิ วามีนกั วทิ ยาศาสตรค นนึงเขาตั้งขอ สังเกตวาเบส A และ T มีสัดสว นเทา ๆกัน และเบส G และ C กม็ ีสดั สวนเทาๆ กัน ประกอบกบั ตอ มานกั วิทยาศาสตรอกี คนก็ไดใชเ ทคนิคการเล้ยี วเบนของรังสเี อก็ ซ (ไมต องจําช่ือการทดลองนะ) ปรากฏวา พบวา DNA มันเรียงตัวเปน เกลียวคู เหมือนข้ันบันได โดยข้นั บันไดก็คอื เบสคูส มกัน (complementary base) เกิดพันธะ ไฮโดรเจนกัน โดยเปน A จบั กับ T ดว ย 2 พนั ธะไฮโดรเจน และ C จับกบั G ดวย 3 พันธะไฮโดรเจนและบรเิ วณราวบนั ได (DNA Backbone) กค็ ือ น้าํ ตาลดอี อกซไี รโบสและฟอสเฟต ท่ีมา: http://legacy.owensboro.kctcs.edu/gcaplan/lab/Image173.gif ตวิ เขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115