Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore PHOTOSYNTHESIS กลุ่ม12

PHOTOSYNTHESIS กลุ่ม12

Published by Bunnada Kaewdee, 2019-12-18 08:46:05

Description: เผยแพร่แนวข้อสอบเข้ามหาลัย
วิชาวิทยาศาสตร์เข้มข้น6 ว30256
น.ส.บุณณดา แก้วดี ม.6/1 เลขที่15
น.ส.สิริกร สิงขรณ์ ม.6/1 เลขที่23

Search

Read the Text Version

PHOTOSYNTHESIS จดั ทำโดย น.ส.บุณณดำ แก้วดี ม.6/1 เลขที่15 น.ส.สริ ิกร สิงขรณ์ ม.6/1 เลขท่ี23

1.จำกภำพขำ้ งลำ่ ง จงตอบคำถำมข้อ 1-3 1.สว่ นใดของภำพ มเี อนไซมช์ ่วยสงั เครำะห์ดว้ ยแสง 1. 1 และ 2 2. 4 และ 5 3. 3 และ 4 4. 2 และ 4

เฉลยขอ้ 1 เหตผุ ล ตำแหนง่ ท่ี 2 คือ บริเวณกรำนุม (Granum) มี เอนไซมท์ ีเ่ กีย่ วกบั กระบวนกำรถ่ำยทอดอเิ ล็กตรอน ในชว่ งปฏิกิรยิ ำใช้แสง สว่ นตำแหน่ง 1 เปน็ สโตรมำ (Stroma) ซง่ึ มเี อนไซม์ทใี่ ชใ้ นชว่ งปฏกิ ริ ยิ ำไมใ่ ช้แสง

2.หมำยเลขใด คอื สโตรมำ 1. 1 2. 2 3. 3 4. 4

เฉลยขอ้ 1 เหตุผล สโตรมำ (Stroma) เป็นบริเวณของเหลวไมม่ สี ี ที่อำบอยู่ รอบ ๆ สโตรมำลำเมลลำ และไทลำคอยด์ ในส่วนนจ้ี ะมเี อนไซม์ ที่นำไปใชใ้ นปฏกิ ริ ิยำช่วงวัฏจกั รแคลวินซงึ่ เปน็ ปฏิกริ ิยำท่ไี ม่ใช้ แสง จงึ เปน็ ตำแหนง่ ทเี่ กดิ ของปฏกิ ิรยิ ำทไ่ี มใ่ ช้แสงดว้ ย

3.พบคลอโรฟิลล์ในหมำยเลขใดบำ้ ง 1. 2 2. 1 และ 2 3. 2 และ 3 4. 1, 2 และ 3

เฉลยข้อ 3 เหตุผล บรเิ วณทีม่ คี ลอโรฟิลล์ คือ บรเิ วณลำเมลลำ ลำเมลลำประกอบดว้ ย เยือ่ หมุ้ 2 ช้นั ซึ่งมคี ลอโรฟิลลแ์ ละรงควัตถปุ ระกอบ ตำ่ ง ๆ ตดิ อยู่ด้วย และแกรนูล แกรนูลทีม่ ขี นำดใหญ่เปน็ แหล่งรับพลังงำน ซง่ึ ประกอบดว้ ย กลมุ่ ของรงควัตถุในรงควัตถรุ ะบบ 1 และรงควตั ถุระบบ 2 ดงั น้ันใน ปฏิกิรยิ ำทใี่ ช้แสงซง่ึ ทำใหอ้ ิเลก็ ตรอนมีพลงั งำนสูงข้นึ จงึ เกดิ ขึน้ ทแี่ หล่ง เหลำ่ น้ี ส่วนแกรนูลท่มี ีขนำดเลก็ คำดวำ่ เปน็ ทอ่ี ย่ขู องเอนไซมช์ นดิ ตำ่ ง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับกระบวนกำรถำ่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนในปฏกิ ริ ิยำที่ใชแ้ สง

4.ในกำรทดลองเร่ืองกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง นกั เรยี น คนหนง่ึ ทดลองกบั ตน้ ชบำ โดยใช้พำรำฟินเหลวฉำบท้ัง หน้ำใบและหลงั ใบทง้ั หมดทุกใบ จำกนนั้ นำไปรับแสง เป็นเวลำครงึ่ วนั แลว้ เด็ดใบมำทดสอบแป้ง พบวำ่ ไมม่ ี แปง้ ในใบ แสดงว่ำ 1. นำ้ ไมส่ ำมำรถเขำ้ ไปในใบ 2. คลอโรพลำสตห์ มดสภำพทจี่ ะรบั แสง 3. ใบรบั ออกซิเจนไม่ได้ 4. ใบรบั คำร์บอนไดออกไซดไ์ มไ่ ด้

เฉลยขอ้ 4 เหตุผล กำรทดลองใช้สำรฉำบใบ เชน่ พำรำฟนิ เหลว หรอื สำรอืน่ ทำใหป้ ำกใบถูกปดิ ดงั นน้ั ถงึ จะนำใบไป รับแสงกจ็ ะไม่เกิดกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสง เพรำะ คำร์บอนไดออกไซดไ์ มส่ ำมำรถเขำ้ ทำงปำกใบ ทำให้ ตรวจไมพ่ บวำ่ มีแป้งในบ

5.นกั เรยี นสำมำรถทดสอบว่ำ พืชมีกำรสังเครำะหด์ ว้ ย แสงไดจ้ ำก 1. กำรวดั ปริมำณคำร์บอนไดออกไซดท์ ่ใี ช้ ไป 2. กำรวดั ปรมิ ำณแก๊สออกซเิ จนทเี่ พม่ิ ขนึ้ 3. กำรวัดปริมำณน้ำตำลทเี่ พม่ิ ขน้ึ 4. กำรทดสอบแปง้ ในใบ

เฉลยขอ้ 4 เหตุผล นกั เรยี นสำมำรถทดสอบวำ่ พืชมกี ำรสังเครำะห์ด้วยแสง ไดจ้ ำก กำรทดสอบวำ่ มแี ปง้ ในใบ ในระดบั นักเรยี นยงั ไมม่ ี เคร่อื งมือเครือ่ งใช้เพยี งพอสำหรับวัดปรมิ ำณ คำร์บอนไดออกไซด์ทใ่ี ช้ไปหรือปรมิ ำณออกซเิ จนที่เพม่ิ ข้ึน หรอื ปรมิ ำณนำ้ ตำลทเ่ี พ่มิ ขึ้น

6.หำกจดั เรอื นต้นไมช้ นดิ ทคี่ วบคมุ ควำมเข้มขน้ ของ แสงด้วยหลอดไฟ แตป่ รำกฏว่ำมีแตห่ ลอดสีอยู่ ทง้ั หมดโดยไม่มีหลอดใหแ้ สงขำวเลย จะใชห้ ลอดสีใด แทน จึงทำใหพ้ ชื สงั เครำะหด์ ว้ ยแสงได้ 1. เหลอื งส้ม 2. เขียว 3. แดง 4. นำ้ เงนิ มว่ ง

เฉลยขอ้ 3 เหตผุ ล หำกจำเป็นตอ้ งใชห้ ลอดไฟทใี่ ห้แสงสตี ำ่ ง ๆ แทน แสงขำวแล้ว แสงท่เี หมำะท่สี ุดทจ่ี ะทำใหพ้ ชื สังเครำะห์ ดว้ ยแสงได้ ควรเปน็ แสงสแี ดง เนือ่ งจำกแสงสแี ดงเปน็ แสงทค่ี ลอโรฟิลล์สำมำรถดดู ไปใชใ้ นกำรสงั เครำะห์ ดว้ ยแสงได้มำกที่สุด และใหป้ ระสทิ ธิภำพสงู สุด

7.คลอโรพลำสตแ์ ละไมโทคอนเดรยี นัน้ มีโครงสร้ำง และสว่ นประกอบภำยในเหมือนกนั ท่ี 1. เยอื่ ช้นั เดยี ว และมีไซโทโครม 2. เยือ่ ชั้นเดียว และมีกรดนวิ คลีอิก 3. เยอื่ สองช้นั และมกี รดนวิ คลอี ิก 4. เย่อื สองชัน้ และมีคลอโรฟิลล์

เฉลยข้อ 3 เหตุผล ท้ังคลอโรพลำสต์และไมโทคอนเดรียนั้น เปน็ Organelle ทีม่ ีลกั ษณะเหมือนกนั บำงอย่ำง คือเปน็ Organelle ทม่ี เี ย่ือ 2 ช้นั เหมอื นกนั และมกี รดนวิ คลีอกิ อย่ภู ำยใน เหมอื นกัน

8.พชื ใชว้ ัตถดุ ิบชนิดใดบำ้ งสำหรับกำรสงั เครำะหด์ ว้ ยแสง 1. นำ้ , กำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์, Mineral salts 2. นำ้ , ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์, Chlorophyll 3. นำ้ , กำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์ 4. น้ำ, กำ๊ ซคำร์บอนไดออกไซด์, แสงสว่ำง

เฉลยข้อ 3 เหตุผล วตั ถดุ ิบสำหรบั กำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสงมี เพยี งน้ำและแกส๊ คำร์บอนไดออกไซดเ์ ทำ่ นน้ั สว่ น คลอโรฟิลลเ์ ป็น Pigment อยูใ่ นเซลลท์ ท่ี ำกำร สังเครำะหด์ ้วยแสงและแสงสว่ำงเป็นพลังงำนท่ไี ด้ จำกดวงอำทติ ย์ มิใช่วตั ถุดบิ

9.มดั ทอ่ นำ้ ทอ่ อำหำรของใบ อยใู่ นส่วนใด 1. ในชน้ั Epidermis 2. ชน้ั ของ Spongy cell 3. ชั้นของ Palisage cell 4. ชนั้ ของ Mesophyll

เฉลยข้อ 2 เหตผุ ล มัดท่อน้ำทอ่ อำหำรของใบหรือเสน้ ใบ หรอื Vascular bundle และ Vein นัน้ อยใู่ นช้ัน Mesophyll และมักอยู่ในบริเวณ Spongy cell

10.คลอโรฟิลลเ์ ปน็ รงควตั ถทุ ่ีใช้ในกำรสงั เครำะหด์ ้วยแสงน้นั ทำหน้ำท่ี 1. จับพลังงำนแสง 2. จบั คำร์บอนไดออกไซด์ 3. รดี ิวซ์คำรบ์ อนไดออกไซด์ 4. สร้ำงกลโู คส

เฉลยข้อ 1 เหตผุ ล คลอโรฟลิ ล์เป็นรงควตั ถใุ นพืช ทำหน้ำที่รบั หรือจบั พลังงำนแสงโดยเฉพำะ แล้วทำให้ อิเลก็ ตรอนหลุดออกไปเพือ่ ไปใช้แยกโมเลกลุ ของ นำ้

11.ใบไมท้ ั่ว ๆ ไปด้ำนหลังใบสเี ขียวเขม้ กวำ่ ด้ำนทอ้ งใบ เน่ืองจำก 1. ช้ันเอพเิ ดอรม์ ิสด้ำนหลงั ใบมีสเี ขียวเข้มกว่ำด้ำนท้องใบ 2. ชนั้ ควิ ติเคลิ ของด้ำนทอ้ งใบหนำมำกกวำ่ ดำ้ นหลงั ใบ 3. คลอโรพลำสต์ด้ำนหลังใบจะมีมำกกว่ำดำ้ นทอ้ งใบ 4. คลอโรพลำสตด์ ้ำนหลงั ใบมสี เี ขม้ มำกกว่ำดำ้ นทอ้ งใบ

เฉลยขอ้ 3 เหตผุ ล ดำ้ นหลังใบมสี ีเขียวเข้มกวำ่ ดำ้ นทอ้ งใบ เพรำะ ทำงดำ้ นหลงั ใบมปี ริมำณคลอโรพลำสตม์ ำกกวำ่ เนอ่ื งจำกทำงด้ำนหลังใบเปน็ Palisade cell ที่อัด กันแนน่

12.เซลลค์ ุมและเอพิเดอร์มสิ ด้ำนลำ่ งของใบนน้ั เป็นเซลลแ์ ถว เดยี วกนั แตแ่ ตกตำ่ งกันท่ี 1. เอพิเดอร์มสิ มนี วิ เคลยี ส เซลล์คมุ ไมม่ ีนิวเคลียส 2. เอพเิ ดอร์มิสไม่มนี วิ เคลยี ส เซลลค์ ุมมีนวิ เคลยี ส 3. เอพเิ ดอร์มิสมีคลอโรพลำสต์ เซลลค์ มุ ไมม่ คี ลอโรพลำสต์ 4. เอพิเดอร์มิสไม่มคี ลอโรพลำสต์ เซลล์คุมมคี ลอโรพลำสต์

เฉลยขอ้ 4 เหตผุ ล โดยท่ัวไปเอพเิ ดอร์มสิ ดำ้ นล่ำงและเซลลค์ มุ เปน็ เซลล์แถวเดียวกนั แตเ่ อพิเดอร์มสิ ไม่มีคลอโรพลำสต์ เซลล์คมุ มคี ลอโรพลำสต์ ดงั นน้ั เซลล์คมุ จงึ มีกำร สงั เครำะหด์ ว้ ยแสง

13.ควำมเข้มของแสงและอตั รำกำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสงมี ควำมสัมพนั ธก์ นั หรอื ไม่ 1. มี เม่ือควำมเข้มของแสงเพ่ิม อัตรำกำรสงั เครำะหด์ ว้ ย แสงเพมิ่ ตำม 2. มี เมือ่ ควำมเข้มของแสงเพม่ิ อตั รำกำรสงั เครำะหด์ ้วย แสงลด 3. มี เมื่อควำมเข้มของแสงลด อัตรำกำรสังเครำะห์ด้วย แสงเพิ่ม 4. ไม่มี ไม่วำ่ ควำมเข้มขน้ ของแสงอยูเ่ ท่ำใดอัตรำกำร สังเครำะห์ด้วยแสงคงทีเ่ สมอ

เฉลยข้อ 1 เหตผุ ล ควำมเขม้ ของแสงและอัตรำกำรสงั เครำะห์ดว้ ย แสงมีควำมสมั พันธ์กนั โดยเมื่อเพ่มิ ควำมเขม้ ของแสง อัตรำกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงจะเพิ่มตำม โดยเฉพำะ อยำ่ งยง่ิ เมื่อควำมเขม้ ของคำร์บอนไดออกไซด์มีปรมิ ำณ สงู

เฉลยขอ้ 1 เหตผุ ล กำรสังเครำะห์อำหำรของพืช และกำร สงั เครำะห์อำหำรในแบคทเี รยี บำงชนิดตำ่ งกนั ท่ี ชนิดของแกส๊ ทเ่ี กดิ คือ พชื สงั เครำะห์อำหำรแล้วได้ แกส๊ ออกซเิ จน สว่ นแบคทีเรยี บำงชนดิ สงั เครำะห์ อำหำรแลว้ ไมไ่ ด้แก๊สออกซเิ จน

14.กำรสังเครำะห์อำหำรของพืชและกำรสงั เครำะห์ อำหำรในแบคทเี รียบำงชนิด ตำ่ งกนั ที่ 1. ชนิดของแกส๊ ท่เี กดิ 2. แหลง่ ของพลงั งำนทใี่ ชใ้ นกำรสรำ้ งอำหำร 3. หน้ำทใ่ี นกลุ่มของส่ิงมีชีวิต 4. ไม่ต่ำงกันเลย

เฉลยข้อ 1 เหตผุ ล กำรสงั เครำะห์อำหำรของพืช และกำร สังเครำะหอ์ ำหำรในแบคทีเรยี บำงชนดิ ตำ่ งกันทช่ี นิด ของแกส๊ ทีเ่ กดิ คอื พชื สงั เครำะห์อำหำรแล้วไดแ้ กส๊ ออกซิเจน ส่วนแบคทเี รียบำงชนดิ สังเครำะหอ์ ำหำร แลว้ ไมไ่ ด้แก๊สออกซเิ จน

15.ปฏกิ ิริยำในชว่ งใดของกระบวนกำรสงั เครำะห์ดว้ ย แสงท่ีใหก้ ๊ำซออกซเิ จนออกมำ 1. Dark reaction 2. Cyclic electron transfer 3. Noncyclic electron transfer 4. ท้ังขอ้ 1 และขอ้ 3

เฉลยขอ้ 3 เหตผุ ล เฉพำะปฏกิ ริ ิยำในช่วง Noncyclic electron transfer หรือ Photolysis จงึ จะมีกำรแยกนำ้ ทำใหไ้ ด้ ออกซเิ จน

16.ผลผลติ ของปฏิกริ ิยำใชแ้ สงทถ่ี กู นำมำใช้ตอ่ ใน ข้นั ตอนของปฏกิ ริ ิยำไมใ่ ช้แสง คือ 1. ATP และ กำ๊ ชออกซิเจน 2. ATP และ นำ้ 3. ATP และ NADPH 4. ก๊ำซออกซิเจน และ NADPH

เฉลยข้อ 3. ATP และ NADPH ATP และ NADPH เป็นผลผลติ ของปฏิกริ ิยำใช้แสงถกู นำมำใช้ ตอ่ ในข้นั ตอนของปฏกิ ริ ยิ ำไม่ใช้แสงโดยนำมำใชใ้ นกำรเปลยี่ น PGA ให้เปน็ PGAL

17.ออร์แกเนลลท์ ท่ี ำหน้ำทส่ี งั เครำะหด์ ้วยแสง คือ ออร์ แกเนลล์ใด และจะพบออรแ์ กเนลล์นม้ี ำกในเซลล์ชนดิ ใด ของพืช 1. คลอโรพลำสต์ อิปิเดอร์มิส 2. คลอโรฟิลล์ สปันจีเซลล์ 3. คลอโรฟลิ ล์ เซลลค์ ุม 4. คลอโรพลำสต์ พำลิเสดเซลล์

เฉลยขอ้ 4. คลอโรพลำสต์ พำลิเสดเซลล์ ออร์แกเนลล์ทท่ี ำหนำ้ ทีส่ งั เครำะหด์ ้วยแสง คือ คลอโรพลำสต์ และจะพบออรแ์ กเนลล์นม้ี ำกในพำลิเสดเซลล์ ซึ่งอยอู่ ย่ำง หนำแนน่ ในใบ สว่ นคลอโรฟลิ ล์ เป็นรงควัตถทุ ี่พบไดใ้ นส่วนที่มสี ี เขียวของพชื อย่ทู ี่เยอื่ หุ้มไทลำคอยด์ซง่ึ เปน็ เย่อื หุ้มทอ่ี ยภู่ ำยใน คลอโรพลำสต์

18.ในพชื พวกโกสนทีม่ ีใบสเี หลอื งหรอื สแี ดง สำมำรถสังเครำะห์ ดว้ ยแสงไดห้ รือไม่ เพรำะเหตุใด 1. ได้ เพรำะแม้จะมีสเี หลอื งกม็ คี ลอโรฟิลลอ์ ยู่ 2. ได้ เพรำะมีสเี หลอื งของแคโรทีนอยส์ ซึ่งสำมำรถดดู พลงั งำนแสงได้ 3. ไม่ได้ เพรำะไม่มีคลอโรฟิลล์ 4. ไมไ่ ด้ เพรำะมีแต่แคโรทนี อยส์

เฉลยข้อ 2. ได้ เพรำะมีสีเหลืองของแคโรทีนอยส์ ซง่ึ สำมำรถดูดพลงั งำนแสงได้ ในพืชพวกโกสน ทีม่ ใี บสีเหลอื งหรอื สีแดงสำมำรถ สงั เครำะหด์ ว้ ยแสงได้ เพรำะในใบมสี ีเหลอื งของแคโรที นอยส์ ซึง่ เปน็ รงควัตถทุ ส่ี ำมำรถดูดพลงั งำนแสงได้

19.ในกระบวนกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงของพชื มีกำรสลำย สำรประกอบทเ่ี ปน็ วตั ถดุ ิบ 2 อย่ำงดว้ ยกนั อยำกทรำบว่ำ วัตถุดบิ อะไรสลำยตวั เมือ่ ไดร้ บั แสง 1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. น้ำ 3. คลอโรฟิลล์ 4 ออกซเิ จน

เฉลยข้อ 2. น้ำ ในกระบวนกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงของพืชมกี ำรสลำย สำรประกอบที่เปน็ วตั ถดุ บิ 2 อยำ่ งด้วยกัน คือ นำ้ และ คำร์บอนไดออกไซด์ นำ้ จะสลำยตวั เม่อื ไดร้ บั แสงซงึ่ อยู่ ในช่วงแสงโดยน้ำท่ีแตกตัวจะปล่อย H+ (Proton) และออกซเิ จนออกมำ

20.สิง่ มีชีวิตพวกใดท่ไี มม่ คี ลอโรฟลิ ล์ แต่สำมำรถสังเครำะห์ อำหำรไดจ้ ำกสำรอนนิ ทรีย์ 1. เหด็ รำ 2. แบคทเี รยี 3. โพรโทซวั 4. อะมีบำ

เฉลยข้อ 2. แบคทีเรีย แบคทีเรยี เปน็ สิ่งมชี วี ิตทีไ่ มม่ ีคลอโรฟิลล์ แต่สำมำรถสงั เครำะห์ อำหำรไดจ้ ำกสำรอนินทรีย์ แบคทีเรียสร้ำงอำหำรไดเ้ อง โดย กำรสงั เครำะห์ด้วยแสง เชน่ Purple sulphur bacteria โดย มีแบคทีรโิ อคลอโรฟลิ ล์ดดู รับพลงั งำนแสง สว่ น Nitrifying bacteria สงั เครำะหอ์ ำหำรโดยกำรเปลย่ี นแอมโมเนียใหเ้ ปน็ ไน ไตรต์ และเปลย่ี นไนไตรตใ์ หเ้ ป็นไนเตรตในกระบวนกำร สงั เครำะหเ์ คมี (Chemosynthesis)

21.ทำ่ นคดิ วำ่ กำรตรงึ คำรบ์ อนไดออกไซดใ์ นใบออ้ ย สำรผลลัพธ์ ตัวแรกของกำรตรึงคำร์บอนไดออกไซด์ ควรจะเป็นสำรตัวใด 1. PGA 2. PEP 3. OAA 4. CAM

เฉลยข้อ 3. OAA ในพืชพวกอ้อยกำรตรึงคำร์บอนไดออกไซด์ จะแตกตำ่ งจำกพชื ทั่ว ๆ ไป เพรำะพวกอ้อยหรอื ขำ้ วโพด มีบนั เดิลชที เซลล์ (Bundle Sheath cell) หรอื เซลล์ห่อหมุ้ ทอ่ ลำเลยี ง ซ่งึ มคี ลอโรพลำสต์ จึงมีกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง ที่เซลล์สว่ นนีด้ ว้ ยกำรตรึงคำร์บอนไดออกไซดค์ รง้ั แรกตรึงทเี่ นอ้ื เย่อื มโี ซ ฟิลล์ โดยคำรบ์ อน 3 อะตอม (Phosphoenol pyruvic acid หรือ PEP) มำ รบั ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ ไดส้ ำรประกอบคำรบ์ อน 4 อะตอม (Oxaloacetic acid หรือ OAA) จึงเรยี กพืชพวกนี้ว่ำพชื C4

22.ในกำรทดลองเกยี่ วกบั กำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสง มกี ำรเตมิ โซเดียมไฮโดรเจนคำร์บอเนตในนำ้ ท่ีใสส่ ำหรำ่ ยหำงกระรอก กำรเตมิ สำรตัวนีม้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ 1. กระตุ้นกำรสงั เครำะหด์ ว้ ยแสง 2. ให้คำร์บอนไดออกไซด์ 3. ควบคุมสภำพควำมเปน็ กรด-ดำ่ ง 4. เป็นสำรอำหำรของสำหรำ่ ย

เฉลยขอ้ 2. ใหค้ ำร์บอนไดออกไซด์ ในกำรทดลองเกย่ี วกบั กำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงมกี ำรเตมิ โซเดียมไฮโดรเจนคำรบ์ อเนต ในนำ้ ทีใ่ ส่สำหรำ่ ยหำงกระรอก กำรเติมสำรตวั นี้เพอ่ื เพ่มิ ปรมิ ำณคำร์บอนไดออกไซดใ์ หก้ บั นำ้ จะได้เกดิ กำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสงเพมิ่ มำกขึน้ พบว่ำโซเดียมไฮโดรเจนคำรบ์ อเนตจะสลำยใหค้ ำร์บอนไดออก ไซน์ ดังสมกำร

23.อตั รำกำรสังเครำะห์ด้วยแสงอำจวัดไดจ้ ำก 1. อัตรำกำรดูดน้ำของพชื 2. ปรมิ ำร ATP ทเี่ กิดข้นึ 3. อัตรำกำรดดู แสงของรงควัตถุ 4. ปริมำณออกซเิ จนท่เี กดิ ข้ึน

เฉลยข้อ 4. ปรมิ ำณออกซเิ จนที่เกดิ ขึ้น อตั รำกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงอำจวดั ไดจ้ ำกปรมิ ำณ ออกซิเจนท่เี กิดขน้ึ ถำ้ มอี อกซิเจนเกิดขนึ้ มำก อัตรำ กำรสงั เครำะห์ด้วยแสงจะมำกดว้ ย

24.ทำไมกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงในพชื ชัน้ สงู จงึ ตอ้ งอำศยั ระบบ รงควตั ถุท้ัง 2 ระบบ 1. เพรำะสำมำรถใช้แสงสตี ่ำง ๆ ไดม้ ำกกว่ำกำรใชร้ ะบบเดยี ว 2. เพรำะระบบเดียวไมส่ ำมำรถใหพ้ ลงั งำนแกอ่ เิ ลก็ ตรอน อย่ำงพอเพียงสำหรับกำรส่งให้ NADP+ 3. เพรำะรงควัตถุท่ีจำเป็นสำหรับกำรสงั เครำะห์ด้วยแสงมี หลำยชนิด และทัง้ หมดไมส่ ำมำรถมำรวมกนั อยใู่ นระบบเดยี วได้ 4. เพรำะระบบเดยี วไม่สำมำรถใหพ้ ลงั งำนมำกพอสำหรับ กำรสังเครำะห์ ATP

เฉลยขอ้ 3. เพรำะรงควตั ถทุ ี่จำเป็นสำหรบั กำรสงั เครำะห์ด้วยแสงมหี ลำย ชนดิ และท้ังหมดไมส่ ำมำรถมำรวมกนั อยใู่ นระบบเดยี วได้ กำรสงั เครำะหด์ ้วยแสงในพชื ช้นั สงู ตอ้ งอำศยั ระบบรงควตั ถทุ ง้ั 2 ระบบ เพรำะรงควัตถแุ ตล่ ะชนิดจับคลืน่ แสงในชว่ งควำมยำวคลนื่ ตำ่ งกัน -ระบบแสง I (Photosystem I หรือ PSI) หรอื P700 ทำหนำ้ ที่รบั พลงั งำน แสง ซ่งึ ประกอบด้วยรงควัตถชุ นดิ สำคญั คือ คลอโรฟิลล์ เอ ชนิดพเิ ศษ รับแสงทมี่ ีควำมยำวคลน่ื 700 นำโนเมตร ได้ดี พบในพชื และสำหรำ่ ยทุก กลุม่ -ระบบแสง II (Photosystem II หรอื PSII) หรือ P680 ทำหนำ้ ทรี่ ับ พลังงำนแสงทม่ี ีควำมยำวคลน่ื 680


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook