Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 116บันทึกการเรียนรู้

116บันทึกการเรียนรู้

Published by Tanatchaporn Nakornket, 2021-05-06 07:50:21

Description: 116บันทึกการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

บนั ทกึ การเรยี นรู้ เสนอ รองศาสตราจารย์ ดร.สาราญ กาจดั ภยั จดั ทาโดย นางสาวธนชั พร นครเขตร์ รายวชิ าการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาการจดั การเรยี นรู้

บนั ทึกการเรียนรู้ เเสสนนออ รรอองงศศาาสสตตรราาจจาารรยย์ ์ดดรร..สสาารราาญญ กกาาจจัดดั ภภยั ยั จัดทาโดย นางสาวธนชั พร นครเขตร์ รายวชิ าการวจิ ัยเพอื่ พฒั นาการจดั การเรียนรู้

ก คานา บันทึกการเรียนรู้เล่มนี้จัดทาข้ึนเพ่ือสรุปเน้ือหา องค์ความรู้ต่าง ๆ ท่ีได้รับจากการเข้าเรียนรายวิชาการวิจัย เพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้ ปกี ารศกึ ษา 2563 อาจารย์ประจาวชิ าคือ รศ.ดร.สาราญ กาจดั ภยั เนื้อหาภายในเล่มนี้แบ่งออกตามสัปดาห์ที่ได้เรียนแต่ละสัปดาห์ ซ่ึงมีเน้ือหาท่ีได้เรียนทั้งหมด 15 สัปดาห์ เป้าหมายในการจัดทาบันทึกการเรียนรู้เล่มน้ี เพ่ือเป็นหลักฐานการเรียนรู้ ในการเข้าเรียนแต่ละสัปดาห์ เปน็ การทบทวน และสรปุ องค์ความรูท้ ีไ่ ดร้ ับ ขอขอบพระคุณท่าน รศ.ดร. สาราญ กาจัดภัย อาจารย์ผู้สอนประจารายวิชาท่ีได้มอบความรู้ ทักษะต่าง ๆ และเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้จัดทา อีกทั้งยังให้คาแนะนา ช้ีแนะแนวทางท่ีเกิดประโยชน์ต่อการทาวิจัย ให้แก่ผ้จู ดั ทาเปน็ อย่างมาก ผู้จัดทาหวังเปน็ อย่างยิง่ ว่าองคค์ วามรู้ท่ผี ูจ้ ดั ทาได้สรปุ ออกมาน้จี ะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผูท้ ส่ี นใจ

สารบัญ ข คานา ก........................................................................................................................................................................ สารบญั ข................................................................................................................................................................... ประวัตสิ ่วนตัว 1..................................................................................................................................................... อาจารยป์ ระจารายวชิ า 2...................................................................................................................................... สัปดาหท์ ี่ 1 ปฐมนเิ ทศ 3.................................................................................................................................................... สปั ดาห์ท่ี 2 ความร้เู บอื้ งตน้ วิจัย 7.................................................................................................................................. สปั ดาห์ที่ 3 ตวั แปรและขอ้ มลู 14...................................................................................................................................... สปั ดาหท์ ่ี 4 นาเสนองาน 19.................................................................................................................................................. สัปดาหท์ ่ี 5 สมมตฐิ าน 23.................................................................................................................................................. สัปดาหท์ ี่ 6 นาเสนองาน 27............................................................................................................................................... สปั ดาห์ที่ 7 วจิ ัยบทที่ 1 37................................................................................................................................................. สปั ดาหท์ ่ี 8 เครอ่ื งมอื วจิ ัย 35........................................................................................................................................... สัปดาห์ท่ี 9 วจิ ยั บทท่ี 2 เอกสารท่เี กย่ี วข้อง 39................................................................................................... สัปดาหท์ ี่ 10 วิจัยบทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั 43................................................................................................... สปั ดาห์ที่ 11 วจิ ัยบทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 47............................................................................................ สปั ดาห์ท่ี 12 T – Test 51.................................................................................................................................................... สปั ดาหท์ ี่ 13 วิจัยบทที่ 5 สรุปผล 55.......................................................................................................................... สปั ดาหท์ ี่ 14 การวิเคราะห์ขอ้ สอบด้วย SPSS 59................................................................................................. สัปดาหท์ ่ี 15 วิจัยในชน้ั เรยี น CAR 63......................................................................................................................... ความรสู้ ึกตอ่ รายวชิ า 67........................................................................................................................................................ สัญญาการเรยี น 68..................................................................................................................................................................

ประวตั ิสว่ นตวั 1 ชอื่ – สกุล : นางสาวธนชั พร นครเขตร์ รหัสนักศึกษา : 61101201116 สาขา : การสอนภาษาไทย คณะ : ครุศาสตร์ ชน้ั ปี : 3 ทีอ่ ยู่ : 38 ม.2 บ.โพนสวาง ต.เชยี งเครือ อ.เมือง จ.สกลนคร เบอรโ์ ทร : 0933878593 E-mail : [email protected]

2 อาจารยป์ ระจารายวชิ า รองศาสตราจารย์ ดร.สาราญ กาจดั ภยั

3 สปั ดาห์ที่ 1 ปฐมนิเทศ

4 คะแนนสอบ เนอื้ หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ี้ 8/12ประจาสปั ดาห์ - มคอ.3 - สญั ญาการเรยี น - การเรยี นรู้

การเรยี นรู้ 5 ความหมาย พ.พทุ ธพิ สิ ยั พ.จติ พสิ ยั พ.ทักษะพสิ ยั “ ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย พฤติกรรมท่ีค่อน ข้าง เกิดจากพลังความสามารถทางสมอง เ ป็ น พ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้ ถาวร อันเนื่องมาจากการ ท่ี มี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม ความร้สู ึก ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม อวยั วะต่าง ๆ ของรา่ งกายทางานอย่าง ได้รบั ประสบการณ์” หรือสิง่ เร้าทาให้เกิดการเรียนรู้ข้ึนในตัว ซึ่งเป็นรากฐานที่ก่อเกิดบุคลิกภาพ ประสานสัมพันธ์กัน โดยจะมีข้ันตอน บุคคล Bloom ได้จาแนกความสามารถ ห รื อ ลั ก ษ ณ ะ นิ สั ย ข อ ง บุ ค ค ล ของการเกิดพทฤกัแษตอะกิ ปแรฏรบิอมตั ไแิขปอตงามลาดบั ทางสมองออกเแปอน็ แ6 อระแดับ ดังนี้ ดังแสดงเปน็ ลแาอดบัแขอั้นแได้ ดงั นี้ Dave 1. รบั รู้และเลียนแบบ 2. ลงมอื ปฏบิ ตั ิและทาตามได้ 3. ลดความผดิ พลาดจนสามารถทาไดถ้ ูกต้อง 4. ปฏิบตั ิไดอ้ ย่างชดั เจนและต่อเนอ่ื ง 5. ปฏิบัตไิ ด้อย่างเป็นธรรมชาติ

6 การเรียนรู้ การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีค่อนข้างถาวร อันเน่ืองมาจากการได้รับประสบการณ์ โดยมีพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 3 ด้านดังน้ี 1. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย เกิดจากพลังความสามารถทางสมอง ซ่ึงไปมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือส่ิงเร้าทาให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตัวบุคคล ประสบการณ์ต่าง ๆ มี หลากหลายจากง่าย ๆ จนถึงซับซ้อน ทาใหต้ ้องจาแนกระดบั ความสามารถทางสมอง หรือสติปญั ญา ออกเปน็ ระดบั ตา่ ง ๆ 2. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมท่ีเก่ียวข้องกับความรู้สึก ความเช่ือ เจตคติ ค่านิยม ซ่ึงเป็นรากฐานทก่ี ่อเกดิ บคุ ลิกภาพหรือลักษณะนิสยั ของบคุ คล 3. พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านทักษะพสิ ัย เปน็ ความสามารถของบุคคลในการใช้อวยั วะต่าง ๆ ของรา่ งกายทางาน อย่างประสานสมั พนั ธ์กนั โดยจะมขี ้ันตอนของการเกดิ พฤติกรรมไปตามลาดับ

7 สปั ดาหท์ ี่ 2 ความรเู้ บอื้ งต้นเกย่ี วกบั การวจิ ยั

8 เนอ้ื หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ้ี คะแนนสอบ - ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกบั การวจิ ยั 8ประจาสปั ดาห์

9 เปน็ การค้นหาความจริง จรรยาบรรณ จรรยาบรรณนกั วิจยั ในประเด็นทส่ี นใจศกึ ษา จรรยาบรรณของนักวจิ ยั การวจิ ยั (Research) นักวจิ ยั โดยสภาวจิ ัยแหง่ ชาติ ความรู้เบอื้ งต้นเกีย่ วกบั การวจิ ยั ความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั การวจิ ยั ขั้นตอนการดาเนินการวิจยั เปา้ หมายของการวจิ ยั

10 ความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั การวจิ ยั การวิจัย (Research) เปน็ การคน้ หาความจรงิ ในประเด็นทสี่ นใจศกึ ษา ความจรงิ การคน้ หาความจรงิ “ความจริง” คือ สิ่งท่ีเชื่อว่า การค้นหาความจาแนกออกเปน็ 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ จริง ณ เวลาน้นั ๆ 1. วิธีนริ นัย (Deductive) เปน็ การนาความรู้พน้ื ฐานซงึ่ อาจเปน็ กฎ ข้อตกลง 1. ความจริงนัยทั่วไปเป็น ซงึ่ เป็นสงิ่ ท่ีรูม้ าก่อน และยอมรบั ว่าเปน็ ความจริงเพื่อหาเหตุผล ความจริงท่ีสามารถนาไปใช้ 2. วิธอี ปุ นยั (Inductive) เป็นวธิ กี ารคน้ หาความจริงผา่ นประสบการณโ์ ดยใชก้ ารสงั เกต ไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง ด้วยประสาทสัมผัสทงั้ ห้า 2. ความจริงยืดหยุ่นตาม 3. วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นวิธีการที่นาเอากระบวนการทาง วิทยาศาสตร์มาใช้ บรบิ ท เปน็ ความจริงทีใ่ ช้ได้ คือ กาหนดปญั หา ตัง้ สมมตุ ฐิ าน ลงมือเกบ็ รวบรวม วเิ คราะห์ สรปุ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล เฉพาะบรบิ ทท่ศี กึ ษา

ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั การวจิ ยั 11 การดาเนินการวจิ ัยโดยท่วั ไป มีขัน้ ตอนดงั นี้ 1 ตระหนกั ถึงปัญหาทตี่ อ้ งการทาวิจัย 6 สรา้ งหรอื เลือกเคร่อื งมือเก็บรวบรวมข้อมูล 2 กาหนดขอบเขตของปัญหาใหช้ ดั เจน 7 ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 3 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง 8 ดาเนนิ การจดั กระทาขอ้ มูลหรือวิเคราะหข์ ้อมลู 4 ตัง้ สมมตุ ิฐานของการวจิ ัย (ถา้ จาเปน็ ) 9 สรุปผลการวิจัย และเขียนรายงานวิจัย 5 เขยี นโครงร่างการวิจยั 10 เผยแพร่ผลงานวิจัย (ถ้าต้องการ)

12 ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั การวจิ ยั เปา้ หมายของการวิจัย 1 เปา้ หมายเพื่อบรรยายหรอื พรรณนา (Description) 2 เปา้ หมายเพื่ออธิบาย (Explanation) 3 เป้าหมายเพอ่ื ทานาย (Prediction) 4 เป้าหมายเพือ่ ควบคมุ (Control)

ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั การวจิ ยั 13 นักวจิ ัย จรรยาบรรณ จรรยาบรรณของนักวิจยั โดย สภาวจิ ยั แหง่ ชาติ มีดังนี้ คอื หลักความประพฤติอนั เหมาะสมแสดง ถึงคุณธรรมและ จรยิ ธรรมในการ ขอ้ 1 นักวิจัยตอ้ งซอื่ สัตยแ์ ละมคี ุณธรรมในทางวิชาการและการจดั การ ผู้ทีด่ าเนนิ การคน้ คว้า ประกอบอาชีพ ขอ้ 2 นักวจิ ัยตอ้ งตระหนกั ถึงพันธกรณีในการทาวจิ ยั ตามข้อตกลงท่ีทาไวก้ บั หาความรอู้ ยา่ งเป็นระบบ หนว่ ยงาน ท่สี นบั สนนุ การวจิ ัยและต่อหน่วยงานทีต่ นสังกัด จรรยาบรรณนกั วิจัย ขอ้ 3 นกั วิจยั ต้องมีพน้ื ฐานความรู้ในสาขาวชิ าการที่ทาวจิ ยั หลักเกณฑ์ควรประพฤติปฏิบัติของ ข้อ 4 นกั วจิ ัยตอ้ งมีความรับผดิ ชอบต่อส่ิงที่ศึกษาวจิ ัย นักวิจยั ทั่วไป เพือ่ ใหก้ ารดาเนินงานวิจัย ขอ้ 5 นกั วจิ ยั ตอ้ งเคารพศักดิศ์ รี และสิทธิของมนุษยท์ ี่ใชเ้ ปน็ ตัวอยา่ งในการวิจยั ตั้งอยู่บน พื้นฐานของจริยธรรมและ ข้อ 6 นักวจิ ยั ต้องมีอสิ ระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทกุ ขัน้ ตอน หลกั วิชาการท่ี เหมาะสม ขอ้ 7 นักวจิ ัยพงึ นาผลงานวิจัยไปใชป้ ระโยชนใ์ นทางท่ชี อบ ข้อ 8 นกั วิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวชิ าการของผอู้ นื่ ข้อ 9 นักวจิ ยั พงึ มีความรบั ผิดชอบต่อสงั คมทกุ ระดบั

14 สัปดาห์ที่ 3 ตัวแปรและข้อมูล

15 คะแนนสอบ เนอ้ื หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ้ี 8ประจาสปั ดาห์ - ตวั แปรและขอ้ มลู

ตวั แปร ความหมาย 16 ข้อมลู คุณลกั ษณะของสง่ิ ตา่ ง ๆ ที่สามารถ แปรเปลย่ี นคา่ ไดต้ ง้ั แต่สองคา่ ขนึ้ ไป 1. แบง่ ตามลกั ษณะของขอ้ มลู ประเภท 2. แบง่ ตามความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลตอ่ กนั 3. แบง่ ตามประเภทของการวจิ ยั ตัวแปรและขอ้ มูล ความหมาย ขอ้ มลู คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอยี ดของสง่ิ ต่าง ๆ ท่เี ก็บรวบรวมมาจากการนับ การวัดด้วยแบบทดสอบหรอื แบบสอบถาม การสังเกต และอนื่ ๆ ประเภท 1. แบง่ ตามลกั ษณะของขอ้ มลู 2. แบง่ ตามแหลง่ ทม่ี าหรอื วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู 3. แบง่ ตามระดบั ของการวดั

ตวั แปร 17 ความหมาย 1. แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มลู 3. แบ่งตามประเภทของการวจิ ยั คุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ท่ีสามารถ 1.1 ตัวแปรเชิงปริมาณ (Qualitative variable) คอื ตัวแปรท่มี ี 3.1 การวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental research) แบง่ ตัว แปรเปลี่ยนค่าได้ตั้งแต่สองค่าขึ้นไป ไม่ว่า จะ การแปรคา่ ตา่ ง ๆ เปน็ จานวนหรือตวั เลข ตวั แปรเชิงปรมิ าณ แปรออกเป็น 5 ประเภท ไดแ้ ก่ เป็นค่าท่ีอยู่ในรูปของปริมาณหรือคุณภาพ เช่น ยงั แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ตวั แปรตอ่ เน่ือง (Continuous ตัวแปร \"เพศ\" แปรค่าได้ 2 ค่า คือ ชาย และ variable) และตวั แปร ไม่ตอ่ เนอื่ ง (Discrete variable) 3.1.1 ตัวแปรจดั กระทา (Treatment variable) หญงิ เปน็ ต้น 1.2 ตวั แปรเชิงคณุ ภาพ (Quantitative variable) คือ ตวั แปร 3.1.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) ทม่ี ีการแปรคา่ ตา่ ง ๆ ได้ 3.1.3 ตวั แปรแทรกซอ้ น (Extraneous variable) 3.1.4 ตัวแปรสอดแทรก (Intervening variable) ประเภท 2. แบง่ ตามความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลตอ่ กนั 3.1.5 ตัวแปรกลาง (Moderator variable) 3.2 การวจิ ัยเชิงท านาย (Predictive research)\" มี 2 1. แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มลู 2.1 ตวั แปรอสิ ระ(Independent variable) หรือ \"ตัวแปรต้น\" ประเภท 2. แบ่งตามความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลต่อกัน 2.2 ตวั แปรตาม (Dependent variable) 3.2.1 ตัวแปรเกณฑ์ 3. แบง่ ตามประเภทของการวจิ ยั 3.2.2 ตวั แปรทานายหรอื ตัวแปรพยากรณ์

ขอ้ มลู 18 ความหมาย ประเภท ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาจากการนับ 1. แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มูล การวัดดว้ ยแบบทดสอบหรือแบบสอบถาม การสงั เกต และอนื่ ๆ 2. แบง่ ตามแหล่งท่มี าหรอื วิธกี ารเก็บข้อมูล 3. แบ่งตามระดับของการวัด 1. แบ่งตามลกั ษณะข้อมลู แบง่ ได้ 2 ดงั นี้ 2. แบ่งตามแหลง่ ท่ีมาของข้อมูลหรอื วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล 3. แบ่งตามระดับของการวัด แบง่ เปน็ 4 ประเภท 1.1 ข้อมลู เชิงปริมาณ (Quantitative data) แบ่งได้ 2 ประเภท 3.1 ขอ้ มูลระดบั นามบญั ญัติ (Nominal scale) คือ ขอ้ มลู ทีม่ ีลกั ษณะเปน็ เพียงการจัดประเภท เป็นขอ้ มูลท่วี ัดค่าออกมาเปน็ ตัวเลขได้ว่ามคี า่ 2.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) เป็นขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าโดยผูว้ จิ ัย 3.2 ขอ้ มูลระดับเรียงอันดับ (Ordinal scale) คอื ขอ้ มลู ทมี่ ีลกั ษณะเป็นการจัดประเภท และ มากหรอื น้อยเพียงใด เกบ็ รวบรวมด้วยตนเองจากต้นตอหรอื แหล่งกาเนดิ ของข้อมลู จัดลาดบั (Order) หรือตาแหน่ง (Rank) 1.2 ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ (Quantitative data) 2.2 ข้อมลู ทุติยภูมิ (Secondary data) เป็นขอ้ มูลทีผ่ ูว้ ิจยั ไมไ่ ด้ 3.3 ขอ้ มลู ระดบั อันตรภาค (Interval scale) คอื ขอ้ มูลทมี่ ีลักษณะเปน็ เชงิ ปรมิ าณ สามารถวัด เป็นขอ้ มลู ทีไ่ ม่ สามารถระบไุ ดว้ ่ามากหรือน้อย เกบ็ รวบรวม จากแหลง่ ก าเนดิ โดยตรง แตไ่ ดม้ าโดยอา้ งอิง หรือ ค่าเปน็ ตัวเลขท่มี คี ณุ สมบัติสาคัญ 2 ประการ คอื (1) เรียงลาดับความมากน้อยได้ และ (2) ชว่ ง มักจะอยู่ในรูปข้อความ คัดลอกจากผอู้ ่ืนที่ได้เกบ็ รวบรวมไว้ ห่างหรือความแตกต่างระหวา่ งตวั เลขแต่ละค่าเทา่ กัน 3.4 ขอ้ มลู ระดับอัตราส่วน (Ratio scale) คือขอ้ มลู ทม่ี ลี ักษณะเป็นเชงิ ปรมิ าณ สามารถวัดค่า เปน็ ตัวเลขท่มี ีคุณสมบตั สิ าคญั ครบ 3 ประการ คือ (1) เรียงลาดบั ความมากนอ้ ยได้ (2) ชว่ งห่าง หรือความแตกต่างระหวา่ งตัวเลขแต่ละคา่ เท่ากนั และ (3) มจี ดุ เรม่ิ ตน้ จากศูนย์ทแี่ ท้

19 สัปดาหท์ ่ี 4 นนาาเเสสนนอองงาานน

20 เนอื้ หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ี้ คะแนนสอบ ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประจาสปั ดาห์ ไมม่ กี ารสอบ

ความหมาย 21 ในทางสถิติคาว่า “ประชากร (Population)” หมายถึง การกาหนดขนาดและเลอื กตวั อยา่ ง ทง้ั หมดของทกุ หน่วยของส่งิ ท่เี ราสนใจศึกษา ซึ่งหน่วยต่าง ๆ อาจเป็น บคุ คล องค์กร สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ การกาหนดขนาดตัวอย่าง (Sample size) เป็นการประมาณว่า กลุ่มตัวอยา่ ง (Sample) หมายถึง ส่วนหนงึ่ ของประชากรท่ี เ ร่ื อ ง ที่ ต้ อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ค ว ร ใ ช้ ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ข น า ด เ ท่ า ใ ด ถูกเลือกข้ึนมาด้วยเทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่างท่ีเหมาะสม จึงจะสามารถเป็นตวั แทนของประชากรกลมุ่ ใหญไ่ ด้เหมาะสม กล่มุ ตัวอย่าง “ต้องเป็นตวั แทนทด่ี ขี องประชากร” ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1. การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยใชห้ ลกั ความนา่ จะเปน็ 2 วธิ ีการเลอื กตวั อยา่ งโดยไมใ่ ชห้ ลกั ความนา่ จะเปน็ เปน็ การเลอื กตัวอยา่ งจากหนว่ ยทุกหนว่ ยในประชากรดว้ ยเทคนคิ การ เป็นวิธกี ารเลอื กตัวอย่างที่ผ้วู ิจยั ไม่ได้คานงึ ถึง ความนา่ จะเป็นของ สุ่มตัวอย่าง (Random sampling) ประชากรแต่ละหน่วยที่จะได้รับการเลอื ก 1.1 การเลอื กตวั อย่างโดยการสุ่มอย่างงา่ ย 2.1 การเลือกตัวอย่างแบบตามสะดวก 1.2 การเลอื กตวั อยา่ งโดยการสมุ่ เป็นระบบ 2.2 การเลอื กตวั อยา่ งแบบโควตา 1.3 การเลอื กตวั อยา่ งโดยการสุม่ แบบแบ่ง 2.3 การเลอื กตัวอยา่ งแบบเจาะจง 1.4 การเลือกตัวอยา่ งโดยการสมุ่ แบบกลมุ่ 2.4 การเลือกตวั อย่างแบบ 1.5 การเลอื กตวั อยา่ งโดยการส่มุ แบบหลายข้ันตอน

ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 22 ในทางสถติ คิ าวา่ “ประชากร (Population)” หมายถงึ ทงั้ หมดของทุกหนว่ ยของสง่ิ ทเี่ ราสนใจศึกษา ซงึ่ หน่วยต่าง ๆ อาจเป็น บคุ คล องค์กร สัตว์ สิง่ ของ ฯลฯ กลมุ่ ตัวอย่าง (Sample) หมายถึง สว่ นหนึง่ ของประชากรทีถ่ กู เลือกข้นึ มาด้วยเทคนิคการเลอื กกลุม่ ตวั อยา่ งท่เี หมาะสม กลุ่มตัวอย่าง “ตอ้ งเปน็ ตวั แทนทีด่ ีของประชากร” การกาหนดขนาดตวั อย่าง (Sample size) เปน็ การประมาณวา่ เรอ่ื งทีต่ ้องการศึกษาควรใช้กลุ่มตัวอยา่ งขนาดเท่าใด จึงจะสามารถเป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มใหญ่ได้เหมาะสม เหตผุ ลของการเลือกตวั อยา่ ง 1. ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย 2. ประหยดั เวลาและแรงงาน 3. สะดวกในการปฏิบัติ และสามารถปฏิบัติจริงได้ 4. มีความถูกต้องแม่นยาและเชื่อถือได้มากกว่า ศึกษาทงั้ หมดของประชากร 5. สามารถศึกษาข้อมูลได้กว้างขวางและลึกซ้ึง เปน็ การเลือกตัวอย่างจากหนว่ ยทุกหน่วยในประชากรดว้ ยเทคนคิ การสุ่มตวั อยา่ ง (Random sampling) 1. การเลือกกล่มุ ตัวอยา่ งโดยใช้หลกั ความน่าจะเป็น 1.1 การเลอื กตวั อย่างโดยการสมุ่ อย่างงา่ ย เปน็ การเลอื กตวั อย่างทใี่ ห้แตล่ ะหน่วยในประชากรมโี อกาสถูกเลอื กเท่า ๆ กนั ในแต่ละครั้งของการเลอื ก 1.2 การเลือกตวั อย่างโดยการสุ่มเปน็ ระบบ เป็นการเลือกตัวอยา่ งจากหนว่ ยประชากรทม่ี ีคุณลกั ษณะของส่ิงทผี่ วู้ ิจัยสนใจ ศกึ ษาเหมือน ๆ กัน หรอื ใกลเ้ คยี งกนั 1.3 การเลอื กตวั อยา่ งโดยการสุ่มแบบแบ่ง เป็นการเลือกตัวอย่างที่มีการจดั ประชากรออกเปน็ พวกหรือช้ัน (Stratum) โดยยึดหลกั วา่ ภายในชน้ั เดยี วกนั จะตอ้ งมี คุณลกั ษณะที่ต้องการศกึ ษาเหมือน ๆ กันหรือ ใกลเ้ คียงกนั มากที่สุด 1.4 การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มแบบกลมุ่ เปน็ การเลอื กตัวอย่างแบบท่ปี ระชากรอย่รู วมกนั เปน็ กลมุ่ ๆ 1.5 การเลอื กตวั อยา่ งโดยการสุ่มแบบหลายข้ันตอน การเลือกตัวอย่างแบบนี้ หมายความถงึ ทง้ั การเลือกตวั อยา่ งโดยใช้เทคนิคการสุ่มเกนิ 1 เทคนิค 2 วธิ ีการเลอื กตัวอย่างโดยไมใ่ ช้หลักความน่าจะเปน็ เปน็ วธิ กี ารเลอื กตวั อย่างที่ผวู้ จิ ยั ไมไ่ ดค้ านึงถงึ ความน่าจะเป็นของประชากรแตล่ ะหน่วยทจี่ ะไดร้ บั การเลือก 2.1 การเลอื กตัวอยา่ งแบบตามสะดวก (Convenience sampling) หรือการเลอื ก ตวั อยา่ งโดยบังเอิญ (Accidental sampling) เปน็ วธิ ีการเลือกตวั อย่างท่ไี มม่ ี หลักเกณฑ์นั่นคือเลอื กใคร หรอื หนว่ ยตวั อยา่ งใดก็ได้ 2.2 การเลอื กตวั อย่างแบบโควตา (Quota sampling) เป็นการเลือกตวั อย่างท่ีพบบอ่ ยที่สุดใน การเลือกตวั อยา่ งโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น 2.3 การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เป็นการเลอื กตวั อย่างโดยใช้ดุลพินิจและ การตัดสนิ ใจ 2.4 การเลอื กตวั อย่างแบบลูกโซ่ (Snowball sampling) วิธีการเลอื กตัวอย่างน้ี จะเริม่ ต้นจากการค้นหาหน่วยตัวอย่างมาบางส่วน

23 สัปดาห์ท่ี 5 สมมตฐิ าน

24 คะแนนสอบ เนอื้ หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ้ี ประจาสปั ดาห์ - สมมตฐิ าน 9/15 5/7

สมมตฐิ าน 25 สมมตฐิ านทางสถิติ สมมตฐิ านทางการวจิ ยั การทดสอบสมมตฐิ าน สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็น สมมติฐานทางการวจิ ยั (Research hypothesis) (1) ปฏเิ สธ ������0 แล้วไปยอมรบั ������1 แทน ซ่งึ กรณี สมมุตฐิ านท่ผี วู้ จิ ัยกาหนดขน้ึ ส าหรบั ใช้เพือ่ การ ทดสอบ เป็นคาตอบของปญั หาการวจิ ยั ท่ีผู้วิจยั คาดคะเนไว้ นี้ต้องมีความผิดพลาดอนั เน่อื งมาจากปฏเิ สธ ������0 ตามกระบวนการทางสถติ ิ มี 2 แบบ ลว่ งหนา้ อยา่ งมเี หตผุ ล มี 2แบบ คอื ทงั้ ๆ ทีค่ วามเป็นจรงิ ������0 ถกู ตอ้ งอย่แู ล้ว (Type I (1) สมมุตฐิ านกลาง (Null hypothesis) เขยี นแทนดว้ ย 1. แบบไม่มีทศิ ทาง เป็นการเขยี นทไ่ี ม่ได้ระบุ error) ไม่เกินระดบั นยั สาคญั ทางสถติ ิ (Level of ������0 ซง่ึ เขยี นเป็นขอ้ ความหรือประโยคสัญลกั ษณ์ทาง ทศิ ทางของ significance หรือแทนด้วย α ) ที่กาหนดไว้ ซึ่ง คณิตศาสตรท์ มี่ ี ลกั ษณะเป็นกลางเกย่ี วกับ ความสัมพันธข์ องตวั แปรหรอื ทศิ ทางของความ โดยทัว่ ไปทางการศึกษามกั กาหนดระดบั นัยสาคญั คา่ พารามเิ ตอรข์ องประชากร ไมม่ ีความแตกตา่ ง หรือไม่ แตกตา่ งเพยี งแตร่ ะบวุ ่ามีความสัมพนั ธก์ ันหรือ ไวท้ ่ี .05 หรอื .01 มคี วามสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั แปร แตกต่างกันเท่าน้นั 2. แบบมีทศิ ทาง เปน็ การ (2) ยอมรบั ������0 ซึง่ กรณที ่ีผลการทดสอบ (2) สมมตุ ิฐานทางเลือก (Alternative hypothesis) เขยี นโดยระบุทิศทางของ สมมตฐิ านพบวา่ ความผดิ พลาดอันเน่อื งมาจาก เขยี นแทนดว้ ย ������1 ซง่ึ เขยี นเปน็ ข้อความหรือประโยค ความสมั พนั ธ์ของตัวแปรวา่ สมั พันธ์ในทางใด ปฏเิ สธ ������0 ทงั้ ๆ ท่ี ������0 ถกู ต้องอยู่แลว้ มีค่า สญั ลกั ษณ์ทาง คณิตศาสตร์เกย่ี วกับค่าพารามิเตอร์ของ (สัมพนั ธก์ นั ทางบวก หรือทางลบ) มากกว่าระดบั นยั ส าคัญ (α) ผู้วจิ ัยก็จะตดั สนิ ใจ ประชากร โดยตอ้ งเขียนให้ สอดคลอ้ งกับสมมตฐิ าน ยอมรบั ������0 ทางการวจิ ัยท่ตี ้งั ไว้

สมมตฐิ าน 26 สมมตฐิ านทางสถติ ิ (Statistical hypothesis) เป็นสมมุตฐิ านที่ผวู้ จิ ัยกาหนดขน้ึ สาหรบั ใช้เพ่ือการ ทดสอบตามกระบวนการทางสถติ ิ มี 2 แบบ 1. สมมุตฐิ านกลาง (Null hypothesis) เขยี นแทนด้วย ������0 ซงึ่ เขียนเป็นข้อความหรือประโยคสัญลกั ษณท์ างคณติ ศาสตรท์ ่ีมี ลักษณะเปน็ กลาง เก่ียวกบั คา่ พารามิเตอร์ของประชากร ไม่มีความแตกตา่ ง หรือไม่มีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร 2. สมมุติฐานทางเลอื ก (Alternative hypothesis) เขียนแทนด้วย ������1 ซ่ึงเขียนเป็นขอ้ ความหรอื ประโยคสัญลกั ษณท์ าง คณติ ศาสตรเ์ กยี่ วกบั คา่ พารามิเตอรข์ องประชากร โดยต้องเขียนให้ สอดคล้องกับสมมตฐิ านทางการวิจัยทต่ี ั้งไว้ สมมตฐิ านทางการวิจยั (Research hypothesis) เป็นคาตอบของปัญหาการวิจัยท่ีผวู้ ิจัยคาดคะเนไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งมเี หตุผล มี 2แบบ คอื 1. แบบไม่มที ศิ ทาง เปน็ การเขยี นท่ไี มไ่ ดร้ ะบทุ ิศทางของความสัมพนั ธข์ องตัวแปรหรือทศิ ทางของความแตกต่างเพียงแต่ระบวุ า่ มคี วามสมั พันธก์ นั หรอื แตกตา่ งกนั เท่านัน้ 2. แบบมีทศิ ทาง เปน็ การเขยี นโดยระบุทศิ ทางของความสมั พันธข์ องตวั แปรว่าสมั พันธใ์ นทางใด (สมั พนั ธ์กนั ทางบวก หรอื ทางลบ) การทดสอบสมมติฐาน 1. ปฏิเสธ ������0 แล้วไปยอมรบั ������1 แทน ซ่ึงกรณีนต้ี ้องมคี วามผิดพลาดอนั เนื่องมาจากปฏเิ สธ ������0 ท้งั ๆ ท่ีความเปน็ จรงิ ������0 ถูกต้องอยแู่ ลว้ (Type I error) ไมเ่ กนิ ระดบั นยั สาคญั ทางสถิติ (Level of significance หรอื แทนด้วย α ) ท่กี าหนดไว้ ซ่ึงโดยทัว่ ไปทางการศึกษามักกาหนดระดับนยั สาคัญไว้ที่ .05 หรอื .01 2. ยอมรับ ������0 ซ่งึ กรณที ่ผี ลการทดสอบสมมติฐานพบวา่ ความผิดพลาดอันเน่ืองมาจากปฏเิ สธ ������0 ท้ัง ๆ ที่ ������0 ถูกต้องอยู่แล้ว มีค่ามากกว่าระดบั นัยส าคัญ (α) ผวู้ ิจยั กจ็ ะตัดสินใจยอมรับ ������0

27 สัปดาหท์ ี่ 6 นาเสนองาน 5 กลุ่ม

28 เนอื้ หาทเี่ รยี นในสปั ดาหน์ ้ี คะแนนสอบ - การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ประจาสปั ดาห์ ไมม่ กี ารสอบ

การเกบ็ ขอ้ มลู 29 1 การประเมนิ จากการปฏบิ ตั ิ 2 แบบทดสอบ เป็นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเกยี่ วกับพฤติกรรมการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น ใชว้ ดั ความสามารถของ บุคคลในดา้ นสตปิ ญั ญา (Cognitive) โดยสร้างเปน็ ชุดของ ผา่ นการลงมอื ปฏิบตั ิจริงตามภาระงานทไ่ี ดอ้ อกแบบไว้ แล้วนาขอ้ มูลทีไ่ ด้มา ข้อคาถามต่าง ๆ เกย่ี วกับตัวแปรทตี่ ้องการศึกษา เพือ่ กระต้นุ ให้กลมุ่ ตัวอยา่ งหรือ วิเคราะหใ์ ห้ได้สารสนเทศสาหรับพฒั นาผเู้ รียนหรือตดั สินคุณภาพการเรยี น ผู้สอบแสดงพฤตกิ รรมตอบสนองอย่างใดอยา่ งหนึง่ 3 แบบสอบถาม 4 การสงั เกต ชดุ ของขอ้ คาถามท่ีสร้างขน้ึ ในรปู ของ เอกสารในลกั ษณะท่ีกาหนดและไมไ่ ด้ การสงั เกต (Observation) เคร่อื งมือชนิดนีใ้ ช้ตัวบุคคล กาหนดคาตอบ เพือ่ ใหผ้ ูต้ อบได้ อ่านแล้วตดั สนิ ใจเลอื กหรือเขียนคาตอบตาม ทาหน้าที่ในการวัดโดยใช้ประสาทสมั ผสั ทางการได้เหน็ คาช้ีแจงที่ระบุไว้ และไดย้ นิ เป็นสาคญั 5 การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายระหว่างผู้สัมภาษณ์กับ ผู้ถกู สมั ภาษณ์ เกย่ี วกบั เรื่องทตี่ ้องการศึกษา และมีการบันทึก ข้อมูลต่าง ๆ จากการสัมภาษณ์

30 การเก็บขอ้ มลู การประเมินจากการปฏิบัติ เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกบั พฤติกรรมการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ผ่านการลงมอื ปฏิบตั ิจริงตามภาระงานทไี่ ด้ ออกแบบไว้ แล้วนาขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาวเิ คราะหใ์ ห้ไดส้ ารสนเทศสาหรบั พฒั นาผ้เู รียนหรือตดั สนิ คณุ ภาพการเรยี น แบบทดสอบ ใชว้ ัดความสามารถของ บคุ คลในด้านสตปิ ัญญา (Cognitive) โดยสรา้ งเปน็ ชุดของข้อคาถามต่าง ๆ เกย่ี วกับตัวแปรที่ ตอ้ งการศกึ ษา เพ่อื กระต้นุ ใหก้ ลุ่ม ตัวอยา่ งหรอื ผสู้ อบแสดงพฤตกิ รรมตอบสนองอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แบบสอบถาม ชุดของขอ้ คาถามท่สี ร้างข้นึ ในรูปของ เอกสารในลักษณะทกี่ าหนดและไม่ไดก้ าหนดคาตอบ เพอ่ื ใหผ้ ู้ตอบได้ อ่านแลว้ ตดั สินใจ เลอื กหรือเขยี นคาตอบตามคาชแ้ี จงทร่ี ะบุไว้ การสังเกต (Observation) เครื่องมอื ชนดิ น้ใี ช้ตัวบคุ คล ทาหน้าท่ใี นการวัดโดยใช้ประสาทสัมผสั ทางการไดเ้ หน็ และได้ยนิ เปน็ สาคญั การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมจี ดุ มุ่งหมายระหว่างผูส้ ัมภาษณก์ ับ ผถู้ กู สัมภาษณ์ เก่ียวกับเร่ืองทต่ี ้องการศกึ ษา และมีการบนั ทกึ ขอ้ มลู ต่าง ๆ จากการสัมภาษณ์

31 สัปดาหท์ ี่ 7 กกาารรเเขขยี ียนนววจิจิ ัยัย

32 คะแนนสอบ เนอื้ หาทเี่ รยี นในสปั ดาหน์ ้ี ประจาสปั ดาห์ เคา้ โครงวจิ ยั บทท่ี 1 ไมม่ กี ารสอบ

33 เหตใุ ดผวู้ จิ ยั จงึ สนใจทาวจิ ัยเร่อื งนี้ ความสาคญั อย่างไร ทาแล้วได้อะไร การเขียนภมู หิ ลงั (1) เขียน 3-5 หน้า โดยเขียนเป็นย่อหนา้ ต่าง ๆ (2) หนึ่งยอ่ หนา้ มีหนึ่งขอ้ ความทเ่ี ปน็ ใจความหลกั อาจจะวางไวส้ ว่ นต้น หรอื ส่วนท้ายของย่อหนา้ หรอื อยสู่ ว่ นตน้ แล้วยา้ ในสว่ นทา้ ย (3) ข้อความขยายหรอื สนับสนุนขอ้ ความหลกั อาจเขยี นด้วยเหตุและผล ของผวู้ ิจัยเอง /หรอื หลกั การ แนวคิด ทฤษฎี ต่าง ๆ (4) ยอ่ หนา้ ตา่ ง ๆ ตอ้ งสอดคล้องเช่อื มโยงกนั อยา่ งราบรน่ื เปน็ เหตุเปน็ ผล อย่างตอ่ เนื่อง จนนาสู่ประเด็นหรอื หวั ขอ้ วจิ ยั ท่ผี ู้วจิ ยั สนใจศึกษา

34 การเขียนภมู หิ ลงั เขยี นให้เห็นวา่ เหตุใดผวู้ จิ ยั จึงสนใจทาวจิ ยั เร่ืองนี้ ความสาคญั อยา่ งไร ทาแลว้ ไดอ้ ะไร (1) เขยี น 3-5 หนา้ โดยเขยี นเปน็ ย่อหนา้ ต่าง ๆ (2) หนึ่งย่อหนา้ มีหนง่ึ ขอ้ ความทีเ่ ป็นใจความหลัก อาจจะวางไว้สว่ นต้นหรอื ส่วนท้ายของย่อหนา้ หรอื อย่สู ่วนต้นแล้วย้าในส่วนทา้ ย (3) ขอ้ ความขยายหรอื สนบั สนุนข้อความหลัก อาจเขยี นดว้ ยเหตแุ ละผลของ ผ้วู ิจัยเอง /หรือ หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ต่าง ๆ (4) ย่อหนา้ ตา่ ง ๆ ตอ้ งสอดคลอ้ งเชื่อมโยงกันอยา่ งราบร่นื เปน็ เหตุเปน็ ผล อย่างต่อเนื่อง จนนาสู่ประเด็นหรือหวั ขอ้ วจิ ยั ที่ผวู้ ิจัยสนใจศกึ ษา

35 สัปดาหท์ ี่ 8 เครอื่ งมอื วจิ ยั

36 เนอ้ื หาทเี่ รยี นในสปั ดาหน์ ้ี คะแนนสอบ การตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมอื วจิ ยั 16/30ประจาสปั ดาห์

ความเช่ือมัน่ (Reliability) เป็น ความเท่ียงตรง (Validity) หมายถึง 37 คณุ สมบัตขิ องเครื่องมอื วดั ผล หรอื ระ ดับ คุณภ าพ ข อ งเครื่อ งมือ วิจั ย เครื่องมอื วจิ ัยรวมทัง้ ฉบับ ที่บง่ บอกวา่ ข้อมลู หรือผลการวัดตัวแปร ความเปน็ ปรนยั (Objectivity) เปน็ คุณสมบัติของเครอื่ งมอื คุณลักษณะ หรือสิ่งที่ต้องการวัด ท่ใี ชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ท่ีแสดงถึงลักษณะสาคัญ 3 ประการ ด้วยเคร่ืองมือนั้น ๆ มีความถูกต้อง หรือไม่ เพยี งใด (1) คาถามชัดเจน (2) การตรวจใหค้ ะแนนมีความคงท่ี (3) การแปลความหมายตรงกนั การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมอื วจิ ยั การหาความยาก (Difficult) การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจยั ก่อนนาไปใช้ในการเก็บ อานาจจาแนก ใช้กับเคร่อื งมอื ประเภท จะใชเ้ ฉพาะกรณีเครอื่ งมอื วจิ ัย รวบรวมข้อมลู จริงมคี วามจาเป็นอยา่ งมาก เพราะถา้ เครอ่ื งมือ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม ซงึ่ ข้อมูลที่ เปน็ ประเภทแบบทดสอบ ท่ใี ช้ไมม่ คี ณุ ภาพหรอื มี คุณภาพอย่ใู นเกณฑต์ ่า ข้อมูลที่ รวบรวมได้มกั อยู่ในรปู ขอ้ มลู เชิงปริมาณ รวบรวมไดก้ จ็ ะไมต่ รงกับความเป็นจรงิ อนั จะนาไปส่กู ารได้ ผลการวจิ ยั ทีไ่ มถ่ ูกต้องและขาดความนา่ เชือ่ ถือ

38 การตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมอื วจิ ยั การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมือวจิ ัยกอ่ นนาไปใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล จริงมีความจาเปน็ อย่างมาก เพราะถ้าเคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ไมม่ คี ณุ ภาพหรอื มี คณุ ภาพอยู่ในเกณฑต์ า่ ขอ้ มลู ที่รวบรวมไดก้ ็จะไมต่ รงกบั ความเป็นจริงอนั จะ นาไปสู่การไดผ้ ลการวิจัยทไ่ี ม่ถกู ต้องและขาดความน่าเชอื่ ถือ ความเชอ่ื มั่น (Reliability) เป็นคุณสมบตั ิของเคร่อื งมือวัดผล หรือ เคร่อื งมอื วจิ ัยรวมทั้งฉบับ ทสี่ ามารถวัดเรื่องราวหรือคณุ ลักษณะทีต่ อ้ งการ วดั ได้คงเส้นคงวาวัดกี่ครั้งก็ ได้ผลเหมือนเดมิ ความเป็นปรนัย (Objectivity) เป็นคุณสมบัติของเคร่อื งมือท่ใี ชเ้ ก็บ รวบรวมข้อมูลที่แสดงถงึ ลักษณะสาคญั 3 ประการ คอื (1) คาถามชัดเจน อา่ นแลว้ เข้าใจตรงกนั วา่ ถามเกยี่ วกับอะไร ใหต้ อบด้วยวิธใี ด (2) การตรวจใหค้ ะแนนมคี วามคงท่ี ไม่ว่าใครตรวจก็ให้คะแนนตรงกนั และ (3) การแปลความหมายคะแนนมคี วามชัดเจนตรงกัน การหาความยาก (Difficult) จะใชเ้ ฉพาะกรณเี ครอ่ื งมอื วจิ ยั เปน็ ประเภทแบบทดสอบ (Test) ท่ีวัดดา้ นพุทธพิ สิ ัยหรือสตปิ ญั ญา (Cognitive domain) โดยเฉพาะ แบบทดสอบประเภทองิ กลมุ่ (Norm-referenced test) สว่ นแบบทดสอบประเภทองิ เกณฑ์ (Criterion-referenced test) ไมน่ ยิ มหาความยาก อานาจจาแนก ใชก้ ับเครื่องมือประเภทแบบทดสอบ และแบบสอบถาม ซึง่ ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมไดม้ กั อยใู่ นรูปขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ โดยมลี ักษณะการให้ คะแนนข้อคาถามรายข้อ ความเท่ียงตรง (Validity) หรือบางตาราใช้คาวา่ ความตรง ใน ความหมายโดยทัว่ ไปตามพจนานุกรมแปลวา่ ความถกู ต้อง สาหรับทางการวัดผล (Measurement) โดยเฉพาะเกย่ี วกับการศึกษาและจิตวิทยา มนี กั วชิ าการหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายของความเที่ยงตรงไวค้ ล้าย ๆ กัน ความเที่ยงตรงของเครือ่ งมือวิจัย หมายถึง ระดบั คุณภาพของเคร่อื งมือวิจยั ท่บี ง่ บอกว่าข้อมลู หรือผลการวัดตวั แปร คณุ ลักษณะ หรือสิ่งท่ตี อ้ งการวัด ด้วยเครื่องมือนั้น ๆ มคี วามถูกต้องหรอื ไม่ เพยี งใด

39 สัปดาหท์ ่ี 9 การเขยี นวจิ ัยบทที่ 2

40 เนอ้ื หาทเี่ รยี นในสปั ดาหน์ ี้ คะแนนสอบ เคา้ โครงวจิ ยั บที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 11/20ประจาสปั ดาห์

41 1. นาเสนอเรยี งตามหวั ขอ้ ทอ่ี อกแบบไว้ 2. นาเสนอใหเ้ ปน็ ระบบ เช่น เอกสารไทย 3. อ้างอิงภายในใหถ้ ูกต้องและ จบแตล่ ะหัวข้อยอ่ ย/หลกั ตอ้ งสรุป ก่อนต่างชาติ เรียงจากเกา่ ไปหาใหม่ เปน็ ระบบเดียวกนั ทง้ั เลม่ เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 4. เอกสารโดยเฉพาะงานวิจยั ที่ 5. เรียบเรียงเชงิ สังเคราะห์ เก่ียวข้องไม่ควรเก่ามากเกิน 5-10 ปี

42 เค้าโครงวจิ ยั บที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 1. นาเสนอเรยี งตามหวั ข้อที่ออกแบบไว้ จบแตล่ ะหวั ข้อย่อย/หลกั ตอ้ งสรปุ 2. นาเสนอใหเ้ ปน็ ระบบ เชน่ เอกสารไทยก่อนตา่ งชาติ เรียงจากเกา่ ไปหาใหม่ 3. อ้างองิ ภายในใหถ้ กู ต้องและเป็นระบบเดยี วกันทัง้ เล่ม 4. เอกสารโดยเฉพาะงานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ งไมค่ วรเก่ามากเกนิ 5-10 ปี 5. เรยี บเรยี งเชงิ สังเคราะห์

43 สัปดาห์ท่ี 10 วิธดี าเนนิ การวจิ ยั

44 คะแนนสอบ เนอ้ื หาทเ่ี รยี นในสปั ดาหน์ ้ี ประจาสปั ดาห์ วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั ไมม่ กี ารสอบ

45 1. กาหนดประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 2. สร้างและหาคุณภาพเครอื่ งมือวิจยั 3. เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั 5. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 4. วเิ คราะหข์ อ้ มูล

46 เค้าโครงวจิ ยั บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั 1. กาหนดประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 2. สรา้ งและหาคณุ ภาพเครื่องมือวจิ ยั 3. เก็บรวบรวมขอ้ มลู 4. วเิ คราะห์ขอ้ มูล 5. สถติ ิที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook