Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัย-PLC-API-2561-ส่วนหน้า

วิจัย-PLC-API-2561-ส่วนหน้า

Published by superses26, 2020-05-03 13:11:33

Description: วิจัย-PLC-API-2561-ส่วนหน้า

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ยั การส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชีพสู่การ พฒั นาการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 นายอภชิ าต เข็มพลิ า ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ชื่อเร่ือง การส่งเสรมิ การสร้างชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชีพสกู่ ารพฒั นาการจัดการเรียนรู้ ในโรงเรยี นสังกดั สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ผู้วิจยั นายอภิชาต เข็มพิลา ตาแหน่ง ศึกษานเิ ทศก์ วิทยฐานะ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพเิ ศษ บทคดั ยอ่ การวิจัยการสง่ เสรมิ การสร้างชมุ ชนการเรียนรูท้ างวิชาชพี สู่การพัฒนาการจดั การเรียนรู้ ในโรงเรยี นสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 มีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือ 1) ศกึ ษาสภาพ การดาเนนิ การชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพสูก่ ารพัฒนาการจัดการเรียนรูใ้ นโรงเรียนสงั กัดสานกั งาน เขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 2) สรา้ งชดุ กิจกรรมการสง่ เสริมการสร้างชุมชนการเรยี นรู้ ทางวชิ าชพี สกู่ ารพฒั นาการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อชดุ กิจกรรมส่งเสริมการสร้าง ชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี สกู่ ารพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรยี นสงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ท่ี การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 โดยดาเนินการเป็น 3 ระยะ คอื ระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพการดาเนนิ การ ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสู่การพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียนก่อนดาเนนิ การพฒั นา ระยะ ที่ 2 การพัฒนาและใช้ชดุ กิจกรรมการส่งเสริมการสร้างชุมชนการเรยี นรูท้ างวิชาชีพสกู่ ารพฒั นาการ จดั การเรียนรใู้ นโรงเรยี น และระยะท่ี 3 การศึกษาสภาพการดาเนินการและความพงึ พอใจต่อชดุ กจิ กรรมส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชนการเรยี นรู้ทางวิชาชพี ส่กู ารพัฒนาการจดั การเรยี นรใู้ นโรงเรยี น กลุม่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ ผู้บรหิ ารและครูในโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 จานวน 315 เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั เป็นแบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) การวิเคราะห์ข้อมูลหาคา่ เฉลี่ย (Mean) และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวจิ ยั ปรากฏดงั นี้ 1. สภาพการดาเนินการชุมชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชีพสกู่ ารพฒั นาการจดั การเรียนรู้ ในโรงเรยี นสังกัดสานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 โดยรวมและในแตล่ ะด้านอยูใ่ น ระดบั ปานกลาง โดยองค์ประกอบท่ีมคี ่าเฉลย่ี ปฏิบัตจิ ากสงู ไปตา่ คือ ด้านการสนับสนนุ และการเป็น ผ้นู ารว่ ม ดา้ นค่านยิ มและวสิ ัยทศั น์ร่วม ดา้ นทมี เรยี นรูแ้ ละการจัดการความรูร้ ว่ มกนั ด้านการสง่ เสริม แหล่งเรียนรแู้ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามลาดบั หลังการพัฒนาโรงเรียนมกี ารดาเนนิ การอยู่โดยรวม และในแตล่ ะดา้ นระดับมากทุกดา้ น โดยทที่ ี่มีค่าเฉลก่ี ารปฏบิ ตั สิ งู สุดคอื ด้านการสนบั สนุนและการ เป็นผู้นาร่วม และมคี ่าเฉลี่ยต่าสดุ ในด้านด้านการส่งเสริมแหลง่ เรยี นรแู้ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. ชุดกิจกรรมการส่งเสรมิ การสร้างชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพสู่การพฒั นาการ จดั การเรียนรูใ้ นโรงเรยี นสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ทผี่ ูว้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ ตาม ความคิดเห็นของผู้เชีย่ วชาญมีความเหมาะสม 3. ผู้บริหารและครูมีความพงึ พอใจตอ่ ชุดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การสร้างชุมชนการเรยี นรู้ ทางวิชาชพี สู่การพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายด้านพบวา่ ดา้ นความพึงพอใจต่อการพัฒนาครู ด้วยชุดกิจกรรมอยู่ในระดับมาก สว่ นด้านความพงึ พอใจต่อชุดกจิ กรรมอยู่ในระดบั มาก

กติ ติกรรมประกาศ รายงานการวจิ ัยฉบบั นสี้ าเรจ็ สมบูรณไ์ ด้ด้วยความกรณุ าให้คาปรึกษาแนะนาและชว่ ยเหลอื จาก ดร.สัมภาษณ์ คาผุย อดีตศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 26 ดร.นพิ นธ์ ยศดา ผอู้ านวยการโรงเรียนสารคามพิทยาคม ดร.มณูญ เพชรมีแก้ว ผูอ้ านวยการ โรงเรยี นวาปปี ทุม ดร.ฐิตารยี ์ วลิ ัยเลิศ ศึกษานิเทศก์ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 และดร.เอมอร จนั ทนนตรี ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 26 ทกี่ รุณาตรวจสอบแก้ไขแนะนาส่งิ ทีเ่ ปน็ ประโยชนใ์ นการทาวิจัยครง้ั น้ี ผ้วู ิจยั ขอขอบพระคุณ เป็นอยา่ งสงู ย่ิง ขอขอบพระคุณ นายอดลุ ยศักด์ิ บุญอเนก ผูอ้ านวยการสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษา มัธยมศึกษา เขต 26 นายอภิสิทธ์ิ ศรดี าพรหม รองผู้อานวยการสานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 26 ดร.นวพรรด์ิ นามพุทธา ผอู้ านวยการกล่มุ นเิ ทศ ตดิ ตาม และประเมนิ ผลการจัด การศึกษา สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 และพน่ี ้องศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานเขต พ้นื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 ทีใ่ หก้ ารสนับสนุนในการทาวิจัยในคร้ังน้ี ขอขอบพระคุณ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา และคณะครู ในสถานศกึ ษาสังกดั สานกั งาน เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ท่มี สี ว่ นร่วมในการวิจยั ครั้งน้ี ทาให้งานวิจัยดาเนินไปด้วย ความเรียบร้อย คณุ คา่ และประโยชนอ์ นั พงึ มีจากวิทยานิพนธเ์ ล่มน้ี ผู้วจิ ัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาแด่ บิดา มารดา บรู พาจารย์ รวมทง้ั ผู้มพี ระคุณทุกท่าน อภิชาต เข็มพลิ า

สารบญั หวั เรื่อง หน้า บทคดั ยอ่ …………………………………………………………………………………………………………………... ก กติ ตกิ รรมประกาศ ……………………………………………………………………………………………………… ข สารบัญ ………………………………………………………..……………………………………………………………. ค สารบัญตาราง …………………………………………….……………………………………………………………... จ สารบญั ภาพ …………………………………………………..………………………………………………………….. จ บทท่ี 1 บทนา …………..………………………………………………………………………………..…………… 1 1 ภมู ิหลัง ……..…………………………..………….………………………..………………………………….…… 3 ความมุ่งหมายของการวจิ ัย ……………………..…….………..………..…………………..……….….…… 3 ความสาคญั ของการวิจยั ……………….………..…….………..………..…………………..….…………… 4 ขอบเขตการวิจัย ………………………….…………………………………………………………………..….. 4 กรอบแนวคดิ และทฤษฎีทใ่ี ช้ในการวิจัย …………………………………………….…………….….….. 5 นิยามศพั ท์เฉพาะ ………………………………….………………………….……………..……………………. 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง …………………………………….…….…………….………… 7 แนวคิดเกยี่ วกบั การจัดการเรยี นรู้เพ่ือพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น ………………………………………… 20 แนวคดิ เกย่ี วกับชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ ……………….….……………………….………………. 34 แนวคดิ เกี่ยวกบั ความพึงพอใจ …………………………………….….……………………….………………. 40 บริบทของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 ……………………..…................ 42 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ……………………………….…………….………...………………………...…………… 42 52 งานวจิ ยั ในประเทศ ……………….……………….…….…..………………….……...…………………… 55 งานวิจัยต่างประเทศ ……….…………………………...…….…….………………….……….............. 55 บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย …………….….………………………………….……………………………..…… 57 ระยะที่ 1 ……………………………………………………………..…………………………………………….…. 58 ระยะที่ 2 ……………………………………………………………………………………………..…………….…. 61 ระยะท่ี 3 ……………………………………………………………………………………………..…………….…. 61 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล …………………....……………………….……………………….……….... 61 สญั ลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู …….............................…………………….….………….……. 62 ลาดับขัน้ ตอนในการวิเคราะหข์ ้อมูล …...…………….………………………….….……………………… ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล …………………………..……………..………………..…………………….…….….

หวั เร่ือง หน้า บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ……………….………………….….………..…...… 67 สรปุ ผลการวิจัย …………………………….……………………………..….……..…………..………..…… 67 อภปิ รายผล ………………………………………………………….……………….……………..……..……. 69 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………….……………………………………..……..…… 71 บรรณานกุ รม ……………………………………………………….……………………………………………..… 73 ภาคผนวก ……………………………..…………………………….………..……………………………..…….… 79 ภาคผนวก ก เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………..………….…….…………. 80 ภาคผนวก ข ผลการหาค่า IOC ของผเู้ ช่ียวชาญ …………….………...……………………….. 88 ภาคผนวก ค ตัวอยา่ งสอื่ ในการพัฒนาครู …………………..……………………………………….. 94 ประวตั ิย่อของผู้วิจัย ...……………..…………………………….………..……………………………..…….… 97

สารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 1 องคป์ ระกอบของชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวชิ าชพี ……………………………………………………….... 28 2 องค์ประกอบ นยิ ามเชิงปฏิบตั กิ ารและตัวบ่งชช้ี มุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพของครู ……….. 33 3 แสดงสภาพการดาเนนิ งานการส่งเสริมการสรา้ งชุมชนการเรียนร้ทู างวชิ าชีพสู่การพฒั นา 62 การจัดการเรียนรูใ้ นโรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ก่อนกบั หลังการพัฒนา .......................................................................... 66 4 ความคดิ เห็นของผู้เชย่ี วชาญต่อชดุ กจิ กรรมส่งเสริมการสรา้ งชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ 67 สูก่ ารพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 26 ...................................................................................... 89 92 5 แสดงความพึงพอใจต่อชดุ กจิ กรรมส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชีพสู่ การพฒั นาคณุ ภาพผ้เู รียนในโรงเรยี นสังกดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 26 หลงั การพฒั นา ................................................................ 6 วเิ คราะห์ดัชนีความสอดคลอ้ งของแบบสอบถามสภาพสภาพการส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชพี สกู่ ารพฒั นาการจดั การเรียนรู้ ในโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 …………………………………….. 7 วเิ คราะหด์ ัชนคี วามสอดคลอ้ งของแบบประเมนิ ความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมสง่ เสริมการ สร้างชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสู่การพฒั นาการจัดการเรยี นร้ใู นโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 ……………………………….. สารบัญภาพ หนา้ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ของการส่งเสริมการจดั การเรยี นรู้สู่การพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ ในโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 ………………………….. 5 2 องคป์ ระกอบแของชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาของชีพ ……………………………………………. 37

1 บทที่ 1 บทนำ ภมู หิ ลัง การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาพื้นฐานคณุ ภาพของมนุษย์ ไดว้ ิวฒั นาการมาเรื่อย ๆ ไม่มีทสี่ ้นิ สดุ ประเทศไทยได้จัดการศึกษาใหแ้ กค่ นไทยมาเปน็ เวลาช้านานแลว้ ต้งั แต่สมัยกรุงสุโขทัย เปน็ ราชธานจี ากการเปลยี่ นแปลงของสงั คม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทกุ ยุคทุกสมัย มผี ลทาให้ตอ้ ง ปรับหลักสตู รอยเู่ สมอเพื่อให้การศึกษาก้าวทันการเปลยี่ นแปลงของโลก หรอื ปรบั ตามแผนการศกึ ษา ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ นกั การศกึ ษาได้ปรบั แนวคิดใหม่ เปา้ หมายของการจดั การศึกษาจะตอ้ งมงุ่ สรา้ งคนหรือผู้เรยี น ยึดผ้เู รยี นเป็นสาคัญกอ่ ให้เกิดการพัฒนาการจัดกระบวนการ เรียนรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญการจดั การเรยี นรทู้ ี่ยึดเอาชีวติ จรงิ ของผู้เรียนเปน็ ตัวตง้ั ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ ตามความถนดั และความสนใจโดยคานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ผู้เรียนไดร้ บั การพฒั นาเตม็ ตามศักยภาพทัง้ จิตใจ รา่ งกายสติปัญญา อารมณ์ สังคม มีอิสรภาพในการเรยี น เรียนรู้จากการปฏบิ ตั ิ ของตนเอง สามารถอยู่รว่ มกับผอู้ ื่นอย่างมคี วามสุข ซ่ึงสอดคล้องกับ วิเชียร พงษส์ ระพงั (2546 : 36) ท่วี ่า การจดั การเรียนรูท้ ี่เน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญเป็นการเรยี นรทู้ ่มี ุง่ ประโยชนส์ ูงสดุ แกผ่ ้เู รียน สนอง ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อยา่ งแทจ้ ริง เรียนรูอ้ ย่างมีความสขุ ได้พัฒนาเต็ม ตามศกั ยภาพรอบดา้ นสมดุลมีทกั ษะแสวงหาความรู้ สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จริงได้ ดังน้นั การพัฒนาสถานศกึ ษาให้เป็นโรงเรียนแหง่ การเรียนรไู้ ดน้ นั้ ปจั จัยทสี่ าคญั ที่สดุ อย่าง หนงึ่ ก็คือจะต้องมี “ชุมชนแห่งวชิ าชีพ หรอื Professional community” เกิดข้นึ ในโรงเรียนนัน้ เพ่อื ให้ครสู ว่ นใหญ่ไมเ่ กิดความร้สู ึกโดดเดี่ยวในการปฏบิ ัตงิ านสอนของตน การพฒั นาครูและบุคลากร ทางการศกึ ษาทั้งระบบ เพ่ือพัฒนาสมรรถนะ ให้เปน็ ครดู ี ครเู ก่ง มคี ุณภาพและมคี ุณธรรม อันจะสง่ ผล ตอ่ วิธีการเรยี นรูข้ องนักเรียน แนวทางการเรยี นรู้ของครทู ก่ี าลังใหค้ วามสนใจอยา่ งมากในปจั จบุ นั คอื ชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชพี ของครู (Professional Learning Community) ซง่ึ เป็นการเรียนรูร้ ว่ มกัน อยา่ งเปน็ ระบบและตอ่ เนื่อง เพื่อครสู ามารถพัฒนาคนเองไดเ้ ต็มท่ีตามศกั ยภาพ โดยบทบาทของครูจะ เปล่ยี นจากครผู สู้ อน (Teacher) เป็นครฝู ึก (Coach) หรอื เป็นผอู้ านวยความสะดวกในการเรยี นรู้ (Learning Facililater) ทง้ั น้ี นอกจากครแู ล้วผูบ้ ริหารและผ้มู สี ่วนเก่ยี วข้อง ควรให้การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหค้ รูไดม้ ีโอกาสพบปะ เพื่อแลกเปลีย่ นเรียนรซู้ ึ่งกันและกนั รวมทง้ั กาหนดบทบาทในการ จดั การเรยี นรขู้ องครูใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั (วจิ ารณ์ พานชิ . 2555 : 15) การทคี่ รูมเี วลาน้อยลง จะมโี อกาสใช้เวลาทีเ่ หลือในการพฒั นาตนเอง เช่น การประชมุ ปรกึ ษาหารือกบั เพือ่ นร่วมงาน การให้ คาปรกึ ษาและทางานกบั นกั เรียนเปน็ รายบุคคล การจัดทาแผนการจัดการเรยี นรู้ การแวะเย่ยี มช้นั เรยี น อ่นื เพ่ือสังเกตการเรยี นการสอน รวมทงั้ ได้ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมตา่ งๆ ดา้ นการพฒั นาวชิ าชีพครู ซงึ่ ชว่ ยใหผ้ ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนขงนักเรียนสงู ข้ึนตามไปด้วย การเปลีย่ นแปลงดังกลา่ วจะเกิดขน้ึ ได้ จาเปน็ ตอ้ งสร้างความตระหนักและให้มุมมองใหม่ต่อสาธารณชน รวมทั้งวงการวชิ าชพี ครู ให้เหน็ คณุ คา่ และความจาเปน็ ในการพัฒนาครใู หม้ คี วามเป็นมืออาชีพมากยง่ิ ขนึ้ หากตอ้ งการคุณภาพของนักเรยี น

2 โดยผ่านกระบวนการมสี ว่ นร่วมใน “ชุมชนการเรียนรูท้ างวชิ าชีพ” ซงึ่ จะส่งผลให้การปฏบิ ัตงิ าน มีประสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึ้น เพราะการมี “ชมุ ชนแหง่ วิชาชพี ” เกดิ ขน้ึ ในโรงเรียนจงึ ช่วยคลค่ี ลายปัญหา ดงั กล่าว เพราะทาให้ครูมีโอกาสพดู คยุ กับบุคคลผ้มู ีส่วนได้เสียกับงานของครู และโรงเรียนตอ้ งมีการ เปลี่ยนดา้ นโครงสร้างของโรงเรยี น ตลอดจนจาเป็นทจ่ี ะต้องเปล่ยี นแปลงวัฒนธรรมของโรงเรยี น ด้วย โดยกิจกรรมของชมุ ชนแหง่ วชิ าชพี ในโรงเรียนควรประกอบดว้ ย 1) การมีโอกาสเสวนาใครค่ รวญ (Reflective dialogue) ระหว่างกัน 2) การเปดิ กว้างให้มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์ในหมูค่ รผู ู้สอนมากขึ้นเพอื่ ลดความร้สู กึ โดดเด่ยี ว (Deprivatization) ในงานสอนของครู 3) การรวมกลุ่มเพื่อเนน้ เรื่องการเรยี นรู้ ของนักเรยี น 4) การร่วมมอื ร่วมใจกนั ในหมู่ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา และ 5) การแลกเปล่ียน ในประเด็นทเ่ี ป็นคา่ นิยมและปทัสถานร่วม (Shared values and norms) (สเุ ทพ พงษ์ศรวี ัฒน.์ 2556 : 17-25) สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 มีการบริหารและการจัดการศึกษาในระดับ มธั ยมศกึ ษาภายในจังหวัดมหาสารคาม ภายใตน้ โยบายของกระทรวงศึกษาธิการและสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปัจจบุ ันมีโรงเรยี นในสงั กัด จานวน 35 โรง จากการดาเนนิ งาน การบริหารและการจัดการศึกษา พบว่า โรงเรียนมีปญั หาอุปสรรคในการบรหิ ารและการจดั การศึกษา เช่น ปัญหาและอุปสรรคในดา้ นงบประมาณและอาคารสถานที่ คอื การไดร้ ับงบประมาณต่ากว่าแผน ที่กาหนดไว้ ดา้ นครูและบุคลากร คอื ปญั หาครขู าด ครสู อนไมต่ รงวชิ าเอก โดยเฉพาะครูขาดความรู้ ความสามารถในการสอนโดยเน้นผ้เู รยี นเป็นสาคัญ และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดบั ชาตติ ่า เมื่อเปรียบเทียบในระดับชาติ (สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 (2558 : 2-3) และ จากสภาพปญั หาการบริหารและจดั การศึกษาดงั กล่าว หากสถานศกึ ษาสรา้ งสรา้ งชุมชนการเรียนรทู้ าง วิชาชพี ย่อมจะส่งผลใหส้ ถานศกึ ษาเป็นสถานเกิดกจิ กรรมปฏิสมั พนั ธข์ องมวลสมาชกิ ผปู้ ระกอบวิชาชีพ ครใู นโรงเรียนในอนั ท่ีจะให้ความดแู ล และการปรับปรุงผลการเรยี นของนักเรียน ตลอดจนงานทางดา้ น วิชาการตา่ งๆ ของโรงเรียน (แสงหล้า เรืองพยัคฆ์. 2550 : 24) ซ่งึ สอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของ Hord (1997) ได้ทาการสงั เคราะหร์ ายงานการวจิ ยั เกีย่ วกับผลดีของโรงเรยี นท่มี ีการจดั ตั้งชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ กบั โรงเรยี นทวั่ ไปท่ีไมม่ ีชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ พบผลดตี ่อครู คือ ลดความร้สู ึกโดดเดี่ยวในการสอน เพ่ิม ความรสู้ ึกผกู พนั ต่อพนั ธกจิ และเปา้ หมายของโรงเรยี นมากข้ึน เกิดความรู้สกึ ร่วมกนั รบั ผิดชอบต่อ พฒั นาการโดยรวมของนักเรียนและร่วมกนั รับผิดชอบตอ่ ผลสาเรจ็ ของนักเรียน เกิด “พลังการเรยี นรู้ (Powerful Learning)” ซ่ึงส่งผลให้การปฏบิ ตั กิ ารสอนในชน้ั เรยี นของตนมผี ลดีย่ิงขนึ้ เข้าใจในด้าน เนื้อหาสาระทต่ี อ้ งทาการสอนแตกฉานย่ิงขึ้น รบั ทราบข้อมูลสารสนเทศตา่ งๆ ทจี่ าเปน็ ต่อวิชาชีพได้ อย่างกว้างขวางและรวดเรว็ ขน้ึ สง่ ผลดีต่อการปรับปรุงพัฒนางานวชิ าชีพของตนไดต้ ลอดเวลา เกดิ แรง บนั ดาลใจท่ีจะสรา้ งแรงบันดาลใจต่อการเรยี นรู้ให้แก่นักเรียนต่อไป เพิ่มความพงึ พอใจ ขวัญกาลงั ใจต่อ การปฏิบัติงานสูงขึน้ และลดอัตราการลาหยดุ งานนอ้ ยลง มคี วามกา้ วหนา้ ในการปรบั เปลย่ี นวธิ ีการสอน ให้สอดคล้องกับลักษณะผ้เู รียนได้อย่างเด่นชดั และรวดเร็ว มีความผกู พันที่จะสรา้ งการเปลีย่ นแปลง ใหม่ๆ ใหป้ รากฏอย่างเดน่ ชดั และย่ังยนื และมคี วามประสงคท์ ี่จะทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงอย่างเป็น ระบบ ตอ่ ปจั จยั พน้ื ฐานด้านต่างๆ ผูว้ จิ ัยในบทบาทศึกษานิเทศก์ซง่ึ เป็นตัวกลางในการขบั เคลื่อนโยบายสกู่ ารปฏบิ ัติ จงึ ได้จัดทา คู่มอื การขับเคล่ือน PLC สโู่ รงเรยี น เพือ่ เปน็ เครอ่ื งมือในการนาแนวคดิ ชุมชนแห่งการเรียนรูท้ างวิชาชีพ มาใช้ในการจดั การเรยี นรใู้ นสถานศกึ ษา เพื่อให้ครูมีความสุขกับการเรียนรู้ โดยการสร้างวฒั นธรรมใน

3 การเรียนรู้อยา่ งตอ่ เนื่อง ไมซ่ ับซอ้ น มีความยดึ หย่นุ คลอ่ งตัว ชดั เจน มีขัน้ ตอนการปฏิบตั ิงานท่ีชดั เจน สนับสนุนใหบ้ คุ ลากรมีการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ มีอิสระในการตัดสนิ ใจเปิดโอกาสให้กลา้ เสีย่ งหรือรเิ ร่ิมสิ่ง ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การ รวมท้งั การเสริมสร้างบรรยากาศที่อบอุน่ เป็นกันเองเพื่อให้ครมู ี ปฏิสัมพันธท์ ่ีดีระหว่างกัน เพราะชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (Professional Learning Community) เปน็ แนวทางสาหรับใหค้ รรู วมตัวกนั เป็นชุมชน (Community) ทาหนา้ ทเี่ ปน็ Change Agent ขับเคลอ่ื นการเปล่ียนแปลงท่เี กิดจากการปฏิรูปภายใน โดยครรู ่วมกันดาเนนิ การเพื่อให้การปฏิรูปการ เรยี นรดู้ าเนินคูข่ นานกบั การเสรมิ แรง ทง้ั จากภายในและภายนอก (วจิ ารณ์ พานิช. 2555 : 19-20) ท่ีจะสง่ ผลดีตอ่ คณุ ภาพนกั เรียนคอื นักเรยี นคือ ลดอัตราการตกซา้ ชั้น ลดอตั ราการขาดเรียน และ ผลการเรียนรเู้ พิม่ ข้ึนเดน่ ชัด ดงั น้นั ผู้วจิ ยั มคี วามสนใจทจี่ ะศึกษาสภาพการดาเนนิ การชมุ ชนการเรียนรู้ ทางวิชาชพี สูก่ ารพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรยี นสงั กดั สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 รวมทง้ั สรา้ งชดุ กิจกรรมการสง่ เสรมิ การสร้างชุมชนการเรียนร้ทู างวิชาชีพส่กู ารพัฒนาการ จดั การเรยี นรูใ้ นโรงเรยี นสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 และศกึ ษาความพงึ พอใจตอ่ ชดุ กจิ กรรมส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชนการเรียนร้ทู างวิชาชีพสกู่ ารพฒั นาการจัดการเรยี นร้ใู น โรงเรยี นสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยทุ ศาสตรช์ าติ ระยะ 20 ปี และเจตนารมณ์ พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ เพอื่ จดั การศกึ ษาเพอ่ื ให้ผเู้ รยี นเป็น บคุ คลท่สี มบูรณ์โยการพัฒนาครูใหเ้ กิดความรแู้ ละเข้าใจแนวทางการพัฒนาการจดั การเรียนรู้ สามารถ ปรบั เปล่ยี นตนเองได้ รู้แนวทางการพฒั นาและไดร้ ับการสนับสนุนและพัฒนาของข้าราชการครใู หม้ ี ประสทิ ธิภาพส่งผลใหผ้ ้เู รียนเปน็ คนดี คนเก่ง และอยรู่ ่วมกับสังคมได้อยา่ งมีความสุข สืบไป ควำมมุ่งหมำยของกำรวิจยั 1. เพื่อศึกษาสภาพการดาเนนิ การชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพสู่การพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 2. เพอ่ื สรา้ งชดุ กิจกรรมการส่งเสริมการสรา้ งชุมชนการเรยี นรู้ทางวิชาชีพสกู่ ารพฒั นา การจดั การเรยี นรใู้ นโรงเรยี นสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 3. เพ่อื ศึกษาความพงึ พอใจต่อชดุ กจิ กรรมส่งเสริมการสรา้ งชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี สู่การพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 ควำมสำคัญของกำรวิจัย 1. ได้ทราบสภาพการดาเนินงานและไดว้ ิธีการพฒั นาโรงเรยี นโดยใช้ชุมชนการเรยี นรู้ ทางวิชาชพี การพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ในโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 2. ไดท้ ราบผลการพฒั นาและข้อเสนอแนะนวทางพฒั นาโรงเรียนโดยใชช้ ุมชนการเรียนรู้ ทางวชิ าชพี การพัฒนาการจดั การเรยี นรูใ้ นโรงเรียน สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 โดยใช้ชุดกิจกรรมการส่งเสรมิ การสร้างชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี สู่การพัฒนาการจดั การเรยี นร้ใู นโรงเรยี น

4 ขอบเขตของกำรวิจัย การวิจยั การส่งเสรมิ การสรา้ งชุมชนการเรยี นรู้ทางวิชาชีพสู่การพัฒนาการจัดการเรยี นรใู้ น โรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ในครั้งน้ีผูว้ ิจัยได้กาหนดขอบเขต ของการวจิ ัย ดงั น้ี 1. ขอบเขตด้ำนเนอ้ื หำ ผลการสังเคราะห์องค์ประกอบและตัวชว้ี ัดแนวคิดชมุ ชนการเรียนร้ทู างวชิ าชีพสู่การ พฒั นาการจดั การเรยี นรู้ จากสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน (2553 : 15) สานกั งาน คณะกรรมการการวจิ ยั แห่งชาติ (2554 : 8) ; นอี อน พิณประดิษฐ์ และคณะ (2551 : 8) วจิ ารณ์ พานิช (2556 : 51-56) ; และศักด์ชิ ยั ภเู จรญิ (2556 : 24) ได้องค์ประกอบแนวคดิ ชุมชนการเรียนร้ทู าง วิชาชพี 4 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1.1 การสนับสนนุ และการเป็นผู้นารว่ ม 1.2 ค่านิยมและวสิ ยั ทศั น์ร่วม 1.3 ทีมเรยี นรูแ้ ละการจดั การความรู้ร่วมกนั 1.4 การสง่ เสริมแหลง่ เรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. ขอบเขตประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง/กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มลู /แหล่งขอ้ มูล 2.1 การกาหนดระยะการดาเนินการวิจยั แบ่งเปน็ 2 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ศกึ ษาสภาพการดาเนินการชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี ส่กู ารพัฒนาการจดั การ เรียนรใู้ นโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 ระยะที่ 2 การพฒั นาและใช้ชดุ กจิ กรรมการสง่ เสริมการสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ สู่การพัฒนาการจดั การเรียนรู้ในโรงเรยี นสงั กัดสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 ระยะที่ 3 การศึกษาความพงึ พอใจต่อชุดกิจกรรมส่งเสริมการสรา้ งชุมชนการเรียนรู้ทาง วชิ าชีพสู่การพัฒนาการจดั การเรยี นร้ใู นโรงเรยี นสงั กดั สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 2.2 ประชากร คือ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาและครู ในสงั กัด สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 26 ปกี ารศกึ ษา 2561 จานวน 35 โรงเรียน ประกอบด้วย ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา 105 คน ครู 1,812 คน รวมทัง้ สนิ้ 1,917 คน 2.4 กลมุ่ ตวั อย่าง คือ ผ้บู รหิ ารสถานศึกษาและครู ในสงั กัด สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 26 ปีการศกึ ษา 2561 กาหนดขนาดโดยการเลอื กแบบเจาะจง ได้กลุม่ ผู้บริหาร สถานศึกษา โรงเรียนละ 1 คน รวมจานวน 35 คน และกลุ่มครจู าก 8 กลุ่มสาระ กลุ่มสาระละ 1 คน รวม 280 คน กลมุ่ ตัวอยา่ งรวมทงั้ สน้ิ 315 คน กรอบแนวคดิ และทฤษฎที ใี่ ช้ในกำรวจิ ัย การวจิ ัยครั้งน้ี ผูว้ จิ ัยมงุ่ พัฒนาสถานศกึ ษาโดยใช้แนวคิดชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวิชาชีพ เพอ่ื พัฒนาคุณรภาพผู้เรยี น สาหรบั สถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ตามองค์ประกอบของชุมชนการเรียนร้ทู างวิชาชีพของครู (Professional Learning Community) ซ่งึ ได้จากการสงั เคราะห์แนวคิดและทฤษฎีของนกั วชิ าการ เชน่ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา

5 ขนั้ พนื้ ฐาน (2553 : 15) ; สานักงานคณะกรรมการการวจิ ัยแหง่ ชาติ (2554 : 8) ; นีออน พิณประดิษฐ์ และคณะ (2551 : 8) ; วจิ ารณ์ พานชิ (2556 : 51-56) ; และศักดชิ์ ยั ภเู จริญ (2556 : 24) ได้ องคป์ ระกอบท้งั หมด 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การสนบั สนุนและการเป็นผูน้ ารว่ ม 2) ค่านยิ มและ วิสัยทัศน์ร่วม 3) ทมี เรียนรู้และการจัดการความรรู้ ่วมกัน และ 4) การสง่ เสรมิ แหลง่ เรยี นรู้และ เทคโนโลยีสารสนเทศ กรอบแนวคดิ ในกำรวิจัย จากกรอบแนวคิดทฤษฎีขา้ งต้น สามารถนามาเป็นกรอบแนวคดิ การพฒั นาศกึ ษาสภาพ การดาเนนิ การชุมชนการเรียนร้ทู างวชิ าชพี สูก่ ารพัฒนาการจัดการเรียนรใู้ นโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขต พนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 ดังภาพประกอบ 1 สภาพการดาเนินการชมุ ชนการเรียนร้ทู างวิชาชพี ส่กู ารพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 (ก่อนพฒั นา) 1. การสนบั สนุนและการเป็นผนู้ ารว่ ม 2. คา่ นิยมและวสิ ัยทศั น์ร่วม 3. ทมี เรียนรู้และการจัดการความรู้รว่ มกัน 4. การสง่ เสรมิ แหล่งเรียนรแู้ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ การพฒั นาและใช้ชดุ กิจกรรมการสง่ เสรมิ การสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพสกู่ าร พัฒนาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียนสงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 สภาพการดาเนนิ การชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวิชาชพี สู่การพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียน และความพึงพอใจต่อชุดกจิ กรรมส่งเสริมการสรา้ งชมุ ชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ในโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 (หลงั พฒั นา) สกู่ ารพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ในโรงเรยี นสังกดั สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต ภำพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการส่งเสรมิ การ2จ6ัดการเรียนรู้สกู่ ารพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ ในโรงเรยี นสงั กดั สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1. การพฒั นาครูโดยใช้แนวคดิ การส่งเสริมการจัดการเรียนรูส้ ู่การพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ หมายถงึ การสร้างชดุ กิจกรรมสาหรบั พฒั นาครูในการใช้แนวคิดชุมชนการเรยี นร้ทู างวิชาชพี เพ่ือ พัฒนาการเรยี นการสอนทผี่ ู้วจั ยี สร้างขึ้น 2. ชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ หมายถงึ การดาเนนิ งานของสถานศกึ ษาเกีย่ วกับ การรวมตัวกนั ของครเู พ่ือพฒั นาวิชาชพี และคณุ ภาพของผ้เู รยี น ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ

6 4 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ วสิ ยั ทัศนร์ ่วม ทแี ละเครอื ข่ายการเรียนรู้ การจดั การความรู้ และการส่งเสรมิ แหลง่ เรียนรู้และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซ่ึงวัดจากความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารและครใู นสถานศึกษา ประกอบดว้ ย 2.1 การสนับสนุนและการเป็นผ้นู าร่วมกัน หมายถงึ ผู้บริหารและครูผสู้ อนร่วมกนั สนับสนนุ การปฏบิ ตั ิการให้โรงเรียนประสบผลสาเรจ็ ในด้านนโยบาย การปฏิบตั ิ การตดั สินใจร่วมกัน มกี ารสนบั สนนุ ให้ครใู ชภ้ าวะผ้นู า หรือการปรับปรุงโรงเรียน เพอื่ นรว่ มงานให้มีความก้าวหนา้ ในวชิ าชพี ผู้บรหิ ารต้องให้การสนับสนุนครใู นการเพ่ิมประสบการณการเรยี นรู 2.2 ค่านิยมและวสิ ยั ทัศน์ร่วม หมายถึง ผู้บริหารและครูผู้สอนมีส่วนร่วมในการสรา้ ง คานยิ มและกาหนดวสิ ัยทศั น์ร่วมกนั เกี่ยวกบั ด้านการสอนและการเรยี นรูของนักเรยี น เน้นที่การเรยี นรู ของนักเรยี น เพื่อใหน้ ักเรียนมีประสทิ ธิภาพและโรงเรียนมีประสิทธิผล 2.3 ทีมเรียนรู้และการจัดการความรรู้ ่วมกัน หมายถงึ การท่ผี ู้บรหิ ารและครผู สู้ อนมี วิธกี ารทหี่ ลากหลายในการสอน มหี ลักสูตรทีท่ ันสมัย มีการแกปัญหาในด้านต่าง ๆใหกับนักเรยี นและรู ความตอ้ งการของนักเรียน มีการแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นระหวา่ งครแู ละนักเรียน มีการวเิ คราะห์ ผลการเรียนรูของผู้เรยี นเพื่อมาปรับปรงุ การเรียนการสอน รวมท้ังมกี ารสร้างและแสวงหาความรู้ การแลกเปล่ียนความรู้ การประมวลและจัดเกบ็ ความรู้ และการนาความรไู้ ปใช้ 2.4 การส่งเสรมิ แหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง การดาเนนิ งานของ สถานศึกษาเกย่ี วกับการส่งเสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรู้ทางวชิ าชพี ของครู ได้แก่ การแสวงหาและพฒั นา แหล่งเรยี นรู้ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู สมรรถนะและศักยภาพความพร้อม และโครงสรา้ ง ทางกายภาพ 3. การพัฒนาการจดั การเรียนรู้ หมายถงึ การจดั กจิ กรรมของครูในการจดั การเรียนรู้ ที่ม่งุ ประโยชนส์ ูงสุดแกผ่ ้เู รยี น สนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ท่ีแทจ้ รงิ เรยี นรูอ้ ยา่ งมีความสุข ได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพรอบด้าน สมดุล มีทักษะการแสวงหาความรู้ สามารถ นาไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจาวันได้ 4. ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกของบุคคลในการทากิจกรรม หรอื ตอบสนอง ต่อกจิ กรรมต่างๆ อันเปน็ ส่วนหนงึ่ ของเจตคตทิ ่บี ุคคลที่แสดงออกมา อนั เปน็ สว่ นสาคัญอย่างยง่ิ ตอ่ ความสาเรจ็ ของงาน

7 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง การวจิ ัยการพฒั นาสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชพี เพือ่ จัดการเรียนรู้ ท่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั สาหรับสถานศกึ ษา ในสงั กัดสานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 24 ผวู้ จิ ัยได้ค้นควา้ เอกสาร แนวคิด และทฤษฎีและงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้องตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี 1. แนวคดิ เก่ียวกับการจัดการเรยี นรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 2. แนวคิดเกี่ยวกับชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวิชาชพี 3. แนวคิดเกี่ยวกบั ความพึงพอใจ 4. บริบทของสานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 5. งานวิจัยที่เก่ยี วขอ้ ง 5.1 งานวิจยั ในประเทศ 45 งานวิจยั ต่างประเทศ แนวคิดเกีย่ วกับกำรจัดกำรเรยี นรู้เพื่อพฒั นำคุณภำพผู้เรยี น 1. ควำมเป็นมำ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มี 9 หมวด 78 มาตรา โดยเป็น มาตราทเ่ี ก่ียวข้องกับการศึกษา ทีส่ าคัญ ได้แก่ มาตรา 22 การเนน้ ผเู้ รียนสาคญั ทส่ี ดุ มาตรา 23 การจดั การศึกษาต้องมีการบรู ณาการ มาตรา 24 การใชโ้ รงเรียนเป็นฐานในการพัฒนา เปน็ แนวทาง ใหส้ ถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา 26 การประเมนิ แนวใหมท่ ห่ี ลากหลายในการปฏริ ูป การเรียนให้ผเู้ รยี นรูจ้ ักวธิ ีการเรียนรู้ มวี ิธีคิด รจู้ กั การต้งั คาถาม เปน็ การเรียนรตู้ ามสภาพจริง และมีการประเมนิ ผลตามสภาพจริง ผ้สู อนจะต้องให้ ความสาคัญกบั ผูเ้ รียน (วิชยั วงษ์ใหญ.่ 2544 : 1-13) การศึกษาลักษณะตา่ งๆ ของผูเ้ รียนจึงเปน็ ส่งิ หนึ่งทผ่ี ู้สอนควรใหค้ วามสาคญั เพ่ือจะได้สามารถวิเคราะหผ์ ้เู รียนและออกแบบการจดั การเรียนรู้ ท่เี หมาะสม ดงั นน้ั การจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญ กค็ ือการเรียนรู้ทีต่ ้องการให้เกิดขนึ้ กบั ผู้เรยี นมากทสี่ ุด วิธดี าเนินการ คอื ใหเ้ สรภี าพแกผ่ ู้เรยี นในการบรรลเุ ปน็ ผู้มปี ญั ญา ดว้ ยการเรยี นรู้ ดว้ ยตนเอง โดยผ่านประสบการณ์ตรง เชน่ ประสบการณใ์ นการแก้ปัญหา การเรียนการสอน ต้องมีการ พัฒนาและกระตุน้ สตปิ ญั ญาใหม้ ีความสามารถในการใช้เหตุผล รู้จักคดิ วิเคราะหแ์ ละ ใช้ศักยภาพของตน ไดอ้ ย่างเต็มทส่ี ามารถปรับตนให้ประสานกับสภาพแวดล้อม ท้งั ท่ีเปน็ มนุษยธ์ รรมชาติและความเจรญิ ทางเทคโนโลยี เปน็ การศึกษาที่พฒั นาคนให้มชี วี ติ ครบ 4 ดา้ น คอื ภาวิตกาย หมายถงึ กายท่เี จรญิ แล้ว หรอื พฒั นาแลว้ มีความสัมพันธก์ ับสภาพแวดล้อมทางกาย ไดอ้ ย่างดภี าวติ ศลี หมายถงึ มีศีลที่เจรญิ แล้ว หรือพฒั นาแล้ว มีพฤติกรรมทางสงั คมท่ีพฒั นาแลว้ ดารงอยู่ในวนิ ยั กอ่ สันตสิ ขุ ภาวติ จิต หมายถึง มี จติ ใจที่เจรญิ แลว้ หรือพฒั นาแลว้ สมบรู ณด์ ้วย คณุ ภาพจติ สมรรถภาพจติ และสุขภาพจิต และ ภาวติ ปญั ญา หมายถงึ มปี ัญญา ที่เจรญิ แล้ว หรอื พฒั นาแล้ว มปี ญั ญาทเี่ ปน็ อิสระจากการครอบงา

8 ของกเิ ลส รูเ้ ขา้ ใจและเหน็ สิง่ ท้ังหลาย ตามความเปน็ จริง รู้เท่าทนั จนมคี วามเปน็ อสิ ระโดยสมบูรณ์ (ธารง บวั ศรี. 2542 : 47-48) คณะอนกุ รรมการปฏิรูปการเรยี นรู้ (2543 : 19-20) ไดใ้ ห้ความเหน็ วา่ การเรียนรทู้ ี่เน้น ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั เปน็ แนวคดิ ทสี่ บื ตอ่ กนั มาอย่างกวา้ งขวางในสงั คมไทยการเรยี นรู้ตามแนวพทุ ธธรรม เนน้ “คน”เปน็ ศูนย์กลาง กระบวนการเรียนรจู้ ึงเปน็ กระบวนการพฒั นาคนทง้ั ในลักษณะทเ่ี ป็นปัจเจก ชน (คอื คนแต่ละคน) และการพฒั นากลุ่มคนให้อยู่รว่ มกันได้อยา่ งสนั ติ คือ “คน” มคี วามสาคัญทส่ี ดุ ของการเรยี นรู้การฝึกอบรมจึงเป็นการพฒั นาทุกองค์ประกอบของความเป็นคน การเรยี นรตู้ ามวถิ ีชีวติ ไทยแบบด้ังเดิมมลี กั ษณะเปน็ การสงั่ สอนรายบุคคลเม่ืออยู่ในครอบครวั พอ่ แมส่ อนลกู ชายใหข้ ยนั อา่ น ออกเขียนได้สอนลูกหญงิ ให้ทางานบ้านงานเรือนร้จู ักรักนวลสงวนตัว เมื่อเติบโตข้ึนผชู้ ายไดบ้ วชเรยี นกบั พระที่วดั ได้ฝึกงานอาชีพการทามาหากนิ สว่ นผ้หู ญิงฝกึ คุณสมบัตขิ องกุลสตรีและฝึกงานอาชีพ การเรียนรูต้ ามวถิ ีวัฒนธรรมไทย สรุปไดด้ งั นี้ 1. เปน็ กระบวนการบ่มเพาะซึมซับลกั ษณะนสิ ยั 2. กระบวนการถ่ายทอดปลูกฝงั วัฒนธรรมประเพณีอนั ดีงาม 3. กระบวนการเรยี นร้วู ิชาความรู้ 4. กระบวนการอบรมกิรยิ ามารยาทท้งั ทางกาย วาจา ใจ ตามหลักคุณธรรม 5. กระบวนการฝกึ ปฏิบัติด้วยการทาใหด้ ูแลว้ ฝึกใหท้ าเป็น 6. กระบวนการส่งเสรมิ สัมมาทิฐใิ หล้ ูกหลานเปน็ คนคิดดคี ิดชอบ จากกระบวนการเรยี นรดู้ งั กลา่ ว ได้สรปุ แนวทางการจดั กระบวนการเรียนร้ทู เี่ น้นผู้เรยี น เป็นสาคญั ควรคานึงถึงประเดน็ ทส่ี าคญั ดังตอ่ ไปน้ี 1. สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรยี นรสู้ ูงสดุ สมองของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย เซลล์สมองประมาณหนงึ่ แสนลา้ นเซลล์ เปน็ โครางสร้างทมี่ หัศจรรย์โดยธรรมชาติ สมองมีความพร้อม ทจ่ี ะเรยี นร้ตู ้ังแต่แรกเกิด มีความต้องการที่จะเรยี นรูส้ ามารถเรียนรใู้ หบ้ รรลุอะไรก็ได้ มนุษย์ต้องการ เรยี นรู้เกย่ี วกบั ตนเองธรรมชาติและทุกอย่างรอบตวั 2. ความหลากหลายของสติปัญญาแต่ละคนมีความสามารถ หรือความเก่งแตกต่าง กนั และมรี ปู แบบการพฒั นาเฉพาะของแต่ละคนในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน 3. การเรียนรู้เกดิ จากประสบการณต์ รงสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ดาเนนิ การรวบรวมแนวคิดทางทฤษฏกี ารเรยี นรูแ้ ละเสนอแนวทางการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ดงั น้ี 3.1 จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหส้ อดคล้องกบั ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ใหผ้ เู้ รียนได้พัฒนาเต็มตามความสามารถท้ังด้านความรู้ จติ ใจ อารมณ์ และทักษะต่าง ๆ 3.2 ลดการถ่ายทอดเน้ือหาวชิ าลง ผเู้ รยี นกบั ผสู้ อนมีบทบาทรว่ มกนั ใช้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้และให้ผู้เรียนได้เรียนจากสถานการณจ์ รงิ ทีเปน็ ประโยชนแ์ ละสัมพนั ธ์กับชีวิตจริงเรยี นรคู้ วามจริงในตัวเองและความจริงในสิง่ แวดลอ้ มจากแหลง่ เรียนรู้ ที่หลากหลาย 3.3 กระต้นุ ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนรอู้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพโดยการทดลองปฏบิ ตั ิด้วย ตนเองครูทาหน้าท่เี ตรยี มการจัดสงิ่ เร้า ใหค้ าปรึกษา วางแผนกิจกรรมและประเมินผล ชาตรี สาราญ (2543 : 33-34) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ การเรยี นของมนุษย์ในอันท่จี ะนาไปสู่ การดารงชวี ิตอยา่ งมคี วามสุขโดยแทจ้ ริงและสมบูรณน์ น้ั ผ้เู รยี นจะต้องนาเอาความรูต้ า่ ง ๆ ที่ได้รบั

9 เข้ามาก่อน มาเช่ือมโยงกบั ความรใู้ หมเ่ พอ่ื ทาใหเ้ กิดความหมายข้ึนโดยการรวบรวมเชอ่ื มโยงและจดั ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ รปู แบบทีส่ มบูรณ์ เพอื่ จะชว่ ยใหส้ ามารถเขา้ ใจประสบการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในอนาคตไดเ้ ปน็ อย่างดี และไดส้ รปุ แนวคิดเร่อื งโรงเรียนวา่ 1. โรงเรยี นควรเป็นสถานที่ซึ่งเด็กมโี อกาสไดท้ างานร่วมกนั มากกว่าที่จะใหเ้ ด็กคอยน่งั ฟงั ครสู อนเพียงอยา่ งเดียว 2. โรงเรียนควรมหี นา้ ทลี่ ดความสบั สนวุ่นวายในสงั คมโดยการใหเ้ ด็กมโี อกาสติดต่อสัมพันธ์ กับสงั คมอย่างใกลช้ ดิ 3. โรงเรียนควรฝกึ ฝนให้เด็กชว่ ยเหลือซงึ่ กันและกนั มีความสามัคคีปรองดองกนั และทางาน เปน็ หมูค่ ณะ 4. ควรทาการสอนโดยให้เด็กลงมือปฏบิ ัตใิ หร้ ู้จกั ใช้กลา้ มเนื้อ นัยนต์ า ความรู้สกึ โสต ประสาทและร้จู กั ใชพ้ ลงั งาน พลงั ความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ 5. ไมค่ วรม่งุ ให้เด็กเชือ่ ฟงั คาสอนวา่ นอนสอนง่ายและยอมปฏิบตั ิตามอยา่ งเดยี วการเชอ่ื ฟงั ทกุ กรณี เพื่อใหเ้ ปน็ ผใู้ หญ่ทดี ีมปี ระสิทธภิ าพในสังคมอตุ สาหกรรม แตเ่ ป็นการเตรียมตวั ทไ่ี ร้ค่าใน สงั คมประชาธิปไตย จากแนวคดิ ทฤษฎีการเรยี นรดู้ งั กล่าว สรุปได้ว่า การเรียนร้ขู องเด็กและเยาวชนไทย มลี ักษณะสมั พันธ์และสัมผัสกับสิ่งแวดลอ้ มบรู ณาการระหวา่ งความรคู้ วามสามารถปฏบิ ัติได้จรงิ และมีคุณธรรมครคู วรจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ลดการถา่ ยทอดเนื้อหาวชิ าลง ผเู้ รยี นกับผู้สอนมีบทบาทรว่ มกนั ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ในการแสวงหาความรู้และให้ผ้เู รียนได้เรียนจากสถานการณจ์ ริงทีเ่ ปน็ ประโยชนแ์ ละสมั พันธก์ ับชีวิตจริง กระตุน้ ใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรอู้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ โดยการทดลองปฏิบัตดิ ว้ ยตนเอง ครทู าหน้าทเ่ี ตรียมการ จัดสิ่งเร้า ใหค้ าปรึกษา วางแผน จดั กจิ กรรมและประเมนิ ผลตามสภาพจริง 2. ควำมหมำยกำรจัดกำรเรียนรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการเรียนร้ทู ่ีเน้น ผเู้ รียนเป็นสาคญั ไว้ ดังน้ี กระทรวงศกึ ษาธิการ (2544 : 5-7) ระบุวา่ การจัดการเรยี นรทู้ ี่เน้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั หรอื การเรยี นท่ีเน้นผูเ้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง หมายถึง กระบวนการเรยี นร้ทู ีไ่ ดจ้ ดั หรือดาเนินการใหส้ อดคล้อง กับผู้เรยี น ความแตกต่างระหวา่ ง บุคคลความสามารถทางปัญญา วธิ ีการเรยี นรูโ้ ดยบูรณาการคุณธรรม คา่ นยิ มอนั พงึ ประสงค์ใหผ้ ้เู รยี นไดม้ สี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ัตจิ รงิ ได้พัฒนากระบวนการคิด วเิ คราะห์ศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองตามความถนัด ความสนใจด้วยวิธกี าร กระบวนการ และ แหลง่ การเรียนรู้ที่หลากหลายทเ่ี ชื่อมโยงกับชวี ิตจรงิ ท้ิงในและนอกห้องเรียน มีการวัดผล ประเมนิ ผล ตามสภาพจริง ทาใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรูได้ตามมาตรฐานหลักสูตรท่ีกาหนด ประเวศ วะสี (2543 : 3 อา้ งถึงใน กศุ ล หาญสุรยิ ์. 2547 : 27) ใหค้ วามหมายว่า การจัดการเรยี นรทู้ ่ีเอาชวี ติ จริงของผเู้ รียนเป็นตวั ต้งั เรียนรเู้ พ่ือสร้างพัฒนาให้รูจ้ ักตนเอง รู้จกั โลก สามารถพ่ึงตนเองได้ทั้งทางเศรษฐกิจ จติ ใจ สังคม อยู่รว่ มกันอยา่ งมีคุณธรรม เรียนร้อู ยา่ งต่อเนื่อง มี ความสุขสนกุ สนาน และเกดิ ฉันทะในการเรยี นรู้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 21) สรุปว่า การจัดการเรยี นรทู้ เี่ น้น

10 ผ้เู รยี นสาคัญท่ีสุด หรือผู้เรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง เป็นการเรียนรู้ทเี่ อาชีวิตจรงิ เป็นเง่ือนไขการรับรู้ของผ้เู รียน เป็นตัวตง้ั ผ้เู รียนมีอสิ รภาพ ได้รบั การส่งเสรมิ ให้พฒั นาเต็มศักยภาพของความเปน็ มนษุ ย์ท้ังจติ ใจ รา่ งกายสตปิ ญั ญา อารมณส์ งั คม ผู้เรียนไดร้ บั การพัฒนาแบบองค์รวม ได้รับการฝึกให้มีศักยภาพ ในการสรา้ งรูปแบบการคดิ ผูเ้ รยี นเป็นผู้กระทากิจกรรมการเรียนร้ไู ดถ้ ูกตอ้ งแมน่ ยาตามธรรมชาติ ของวชิ า โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2542 : 45) สรปุ วา่ ภายหลงั การเรยี นรู้ ต้องการให้ผู้เรียนมี รปู แบบการคดิ บางอย่าง และปฏบิ ตั ไิ ด้ถกู ตอ้ งแม่นยา ด้วยความรู้สกึ ชืน่ ชมยนิ ดอี นั เป็นการสร้าง บคุ ลิกภาพท่ีดี คณุ ธรรมที่ดี และพฒั นารอบด้านถ้ากระบวนการดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ผเู้ รยี นจะเปน็ ผ้ทู ่คี ิดได้เองตดั สนิ ใจเอง ลงมือปฏบิ ัติและควบคุมไดเ้ อง ทิศนา แขมมณี (2541 : 68) สรุปวา่ การให้ผูเ้ รียนเป็นจดุ สนใจ หรือเป็นผู้ทีม่ ี บทบาทสาคญั ท่ีสุด คอื มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรูท้ ้งั ดา้ นรา่ งกาย สตปิ ญั ญา สังคม และอารมณ์ สรปุ ได้วา่ การจัดการเรียนรทู้ เ่ี น้นผู้เรียนเป็นสาคญั หมายถึง การจดั การเรยี นการ สอนท่ีมุง่ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ในชีวิตจรงิ ตามความต้องการ ความถนดั ความสนใจและ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เน้นใหผ้ ู้เรียนไดค้ ดิ ค้นและสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเอง สามารถทางาน ร่วมกับผอู้ น่ื ได้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุข 3. ควำมสำคัญของกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่เี น้นผ้เู รียนเปน็ สำคญั ชัยพฤกษ์ เสรรี กั ษ์ (2543 : 54) ไดใ้ หค้ วามเห็นเก่ยี วกบั ความสาคัญของการจดั การเรียน การสอนทเี่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญ ไวว้ า่ เป็นความพยายามในการจัดการเรียนรู้เพือ่ ให้ผู้เรียนได้รับ ประโยชนส์ ูงสดุ คือเป็นคนเก่ง ดี และมีความสุขด้วยการทาทุกวิถที างทส่ี อดคล้องกับความสนใจ ความถนดั ความตอ้ งการและสภาพชวี ิตจรงิ ของผู้เรยี นเปน็ การให้ความสาคัญกบั การเรียนรู้ของผูเ้ รียน ท้งั ในลกั ษณะของผลการเรียนร้แู ละกระบวนการเรียนรทู้ ่ผี ู้เรยี นจะต้องเปน็ ผลู้ งมือและเรียนร้ดู ้วยตนเอง ดังนนั้ จะต้องมีการออกแบบและวางแผนอยา่ งรัดกมุ เพื่อให้มัน่ ใจได้ว่าผู้เรียนทุกคนมีคุณภาพสงู สดุ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ (2543 : 12) ไดใ้ หค้ วามเห็นวา่ การเรียนรทู้ ีพ่ ึง ประสงค์ คือ กระบวนการทางปญั ญาท่ีพัฒนาบคุ คลอย่างต่อเน่อื งตลอดชวี ิตสามารถเรยี นรไู้ ด้ทกุ เวลา ทุกสถานที่ เป็นกระบวนการเรียนรู้ทีม่ คี วามสุข บูรณาการเน้อื หาสาระตามความเหมาะสมของระดบั การศกึ ษา สอดคลอ้ งกบั ความสนใจของผ้เู รยี นทนั สมยั เนน้ กระบวนการคิดและการปฏบิ ัติจรงิ สามารถ นาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้ สมศักด์ิ สนิ ธุระเวชญ์ (2542 : 7) ได้ให้ทรรศนะเกยี่ วกบั ความสาคญั ของการจดั การเรยี น การสอนท่เี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญไวว้ า่ กระบวนการเรียนรูน้ ้ันต้องทาใหผ้ ูเ้ รยี นทุกคนมคี วามรูส้ กึ วา่ สามารถเรยี นได้ และเม่ือประสบความสาเรจ็ ก็จะทาให้อยากเรียนรมู้ ากข้ึน อันจะทาให้การเรยี นรู้เป็นส่งิ ที่งา่ ย เพราะกระบวนการเรยี นรจู้ ะมีประสิทธภิ าพมากที่สุด เมือ่ ผเู้ รียนสามารถสรา้ งความรู้ใหมข่ น้ึ ดว้ ย ตนเอง และกระบวนการเรยี นรนู้ ้ันมีความหมายกับผู้เรียนครผู ูส้ อนตอ้ งเขา้ ใจรูปแบบของการเรียนรูแ้ ละ เทคนคิ การเรยี นรู้ของผู้เรียนแต่ละคนที่แตกตา่ งกัน และช่วยเสริมกระบวนการเรียนรูน้ น้ั ให้เป็นไปได้ดี ข้ึน ตามธรรมชาติของผเู้ รียนแต่ละคน วิชัย วงษใ์ หญ่ (2542 : 2-3) ได้ให้ความเหน็ ว่า การจัดการเรียนการสอนทเ่ี น้นผ้เู รียนเป็น สาคญั นนั้ ผ้สู อนจะต้องจัดกระบวนการเรียนร้ทู ี่สอดคล้องกับผู้เรยี น เพราะผ้เู รียนแต่ละคนมีความถนัด และวิธีการเรียนรูไ้ ม่เหมอื นกัน ดงั นนั้ จะต้องใช้กระบวนการที่เสรมิ สร้างพลังความสามารถทีม่ ีอยใู่ นตวั

11 ของผเู้ รียนให้เจริญเตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพให้ผู้เรียนสามารถคิดเปน็ พ่งึ ตนเองได้และรจู้ ักวิธกี ารแกป้ ญั หาจะ เปน็ กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีพลัง เพื่อเป้าหมายของการจัดการศึกษาใหเ้ ปน็ คนดี คนเกง่ และมีความสุข สามารถที่จะดารงชวี ติ อยใู่ นโลกยุคโลกาภิวตั น์ได้ สรปุ ได้ว่า ความสาคัญของการจดั การเรยี นรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญน้นั อยทู่ ก่ี ารพฒั นา ผ้เู รียนให้มีคุณภาพ เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นลงมอื ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง ครูมบี ทบาทเป็นผ้ดู ูแล คอยแนะนา ให้คาปรึกษา ผู้เรยี นมปี ฏสิ ัมพันธ์ที่ดีภายในกล่มุ ปรับปรุงการทางาน ตลอดจนแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ซงึ่ กันและกัน สามารถปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมของตนให้เข้ากับสงิ่ แวดล้อมตา่ ง ๆ ได้ 4. หลกั กำรจดั กระบวนกำรเรยี นรทู้ ่ีเน้นผูเ้ รียนเปน็ สำคญั กลุ ยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ (2544 : 20-22) เสนอแนะหลักการจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รยี น เป็นสาคัญ โดยมีหลักการอยู่ 10 ประการ คือ 1. การสอนต้องอยู่บนพนื้ ฐานความแตกต่างของผเู้ รียน การสอนเนน้ ผู้เรียนเช่อื ว่า ผูเ้ รยี นแต่ละคนมีความรแู้ ละความสามารถแตกต่างกัน ครตู อ้ งนาความแตกต่างของผ้เู รียนมาเป็น พ้นื ฐานของการจัดการเรยี นการสอน 2. การสอนต้องใช้การมสี ่วนรว่ ม ซงึ่ หมายถึง รว่ มกันคิด รว่ มกนั ทาระหวา่ งครู ผเู้ รียนหรอื ระหว่างผูเ้ รียนกับผู้เรียน 3. การสอนต้องสอนแบบให้คดิ และลงมือปฏบิ ัติ การจดั ประสบการณด์ ้วยการให้ ผเู้ รยี นได้ลงมือปฏิบตั ิ ได้คิด ได้แก้ปญั หาไดศ้ ึกษาหาคาตอบด้วยตวั เองจะทาใหผ้ ู้เรยี นสามารถสร้าง ความรู้ ขึน้ มาไดจ้ ากประสบการณจ์ ากการกระทาและการไดส้ ัมผัส 4. การสอนต้องมีการวางแผนอย่างชดั เจน มจี ดุ ประสงค์ของการเรยี นรู้ ครูตอ้ งมี มโนทศั น์ (Concept) ของเนื้อหาอยา่ งชัดเจนวา่ ต้องการท่ีจะให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้อะไรพร้อมกาหนด รปู แบบการสอนและวางแผนกระบวนการเรียนการสอนทีช่ ่วยใหค้ รูสามารถตดิ ตามการเรียนร้ขู องผู้เรยี น ประเมินผลการเรยี นรู้ของผูเ้ รียน 5. การเรยี นต้องมีเอกสารวิชาการ หรอื หนงั สือ หรอื ตาราในเร่ืองท่ีเก่ียวข้องเรอื่ ง ท่ีเรียนให้เดก็ ไดค้ ้นควา้ เพิ่มเติมในส่งิ ท่ีเรยี นหรอื ใชป้ ระกอบการเรยี น 6. การสอนต้องบูรณาการวชิ าการ และการถา่ ยโอนความคิดจากวิชาการที่ เกย่ี วขอ้ งโดยสอดคล้องกบั การดารงชวี ติ จริง 7. การสอนต้องเป็นการกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงออกผเู้ รียนตอ้ งมีโอกาสเสนอ ความคดิ เหน็ ถึงข้อค้นพบ หรอื สิง่ ท่ศี ึกษาดว้ ยการรับฟัง หรอื สิ่งท่ศี ึกษาดว้ ยการรับฟังและเปิดใจกวา้ ง ของครูยอมรบั ความสามารถของผเู้ รยี น 8. การสอนตอ้ งมบี รรยากาศของการเรยี นรู้ท่ผี อ่ นคลาย 9. การสอนต้องกระตุ้นการคิด การสอนดว้ ยการคดิ นอกจากการค้นคว้าด้วยตนเอง แลว้ ผเู้ รียนควรมีการเขียนบันทกึ เพ่ือผเู้ รยี นไดว้ เิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ข้อความรู้ 10. การสอนต้องเน้นเป็นการเรียนรแู้ บบเข้าใจไมใ่ ช่เป็นการท่องจาความจา ของผู้เรียน จะเกิดขน้ึ จากการเช่ือมโยงความรู้ ทศิ นา แขมมณี (2542 : 7-8) ได้เสนอหลักการจดั การเรียนการสอนโมเดลซปิ ปา (CIPPA MODEL) เปน็ หลกั การนามาใชจ้ ัดการเรียนการสอนโดยมจี ุดเนน้ ทกี่ ารจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน

12 ใหผ้ ู้เรยี นมสี ว่ นร่วมทงั้ ทางรา่ งกาย สติปัญญาสังคม และอารมณ์ ซงึ่ มอี งค์ประกอบท่สี าคญั ดงั น้ี 1. Construct (C) หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดหรือการสร้างสรรค์ ความรู้ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมที่ชว่ ยให้ผเู้ รยี นมโี อกาสสรา้ งความรู้ดว้ ยตนเองซึง่ ทาใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจและเกิด การเรยี นร้ทู ีม่ ีความหมายกับตนเอง กจิ กรรมน้ีช่วยใหผ้ ู้เรยี นมสี ว่ นร่วมทางสตปิ ญั ญา 2. Interaction (I) หมายถึง การปฏิสัมพนั ธก์ บั บุคคลและส่ิงแวดลอ้ มรอบตัว ได้แก่ กิจกรรมท่ใี ห้ผูเ้ รียนเกิดการเรยี นรจู้ ากการเข้าไปมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บคุ คล เช่น ครู เพื่อน ผรู้ ู้ หรอื มปี ฏสิ มั พันธ์กับสิ่งแวดล้อม เชน่ แหลง่ ความรู้ และส่ือประเภทตา่ งๆ กจิ กรรมน้ีชว่ ยให้ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ ม ทางสงั คม 3. Physical participation (P) หมายถงึ การมีสว่ นรว่ มทางกา ไดแ้ ก่ กจิ กรรมที่ให้ ผูเ้ รยี นมโี อกาสเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะตา่ งๆ 4. Process learning (P) หมายถึงการเรยี นรู้กระบวนการตา่ ง ๆทเี่ ป็นทักษะทจี่ าเปน็ ต่อการดารงชีวิต ได้แก่ กิจกรรมท่ีให้ผเู้ รียนทาเป็นข้ันตอนจนเกดิ การเรยี นร้ทู ั้งเนอื้ หาและกระบวนการ กระบวนการท่ีนามาจัดกิจกรรม เชน่ กระบวนการคดิ กระบวนการแก้ปัญหากระบวนการกล่มุ กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นตน้ กจิ กรรมน้ชี ว่ ยใหผ้ ้เู รยี นไดม้ สี ่วนร่วมทางสติปญั ญา 5. Application (A) หมายถึงการนาความรู้ทีไ่ ดเ้ รียนรู้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ได้แก่ กจิ กรรมท่ีใหโ้ อกาสผเู้ รยี นเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฏีไปสูก่ ารปฏบิ ตั ทิ ่ีเปน็ ประโยชนใ์ น ชีวิตประจาวันกิจกรรมนีช้ ว่ ยใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นร่วมในการเรยี นรู้ได้หลายอยา่ งแล้วแต่ลักษณะของกิจกรรม สรุปได้วา่ หลกั การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคัญ คอื การสง่ เสริมให้ ผ้เู รยี นมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรียนรู้ ท้งั ทางดา้ นร่างกาย สตปิ ัญญา อารมณ์ สงั คมและลงมอื ปฏิบัติ ด้วยตนเอง เพอื่ เกิดประสบการณ์จากการลงมือกระทา ครผู สู้ อนต้องรู้จักผเู้ รียนเปน็ รายบุคคลและมีการ วางแผนออกแบบกจิ กรรมใหเ้ หมาะสมกับจดุ ประสงค์ของการเรียนจดั เตรียมสอ่ื และเอกสารต่าง ๆ ให้ สอดคลอ้ งกับเนื้อหาโดยครูเป็นผู้อานวยความสะดวกและคอยกระตุ้นให้ผ้เู รยี นเกดิ ความกล้าแสดงออก เพอ่ื เกิดความรู้ความเข้าใจหากครูผู้สอนจดั กจิ กรรมสร้างบรรยากาศการเรยี นรู้ทม่ี ีความหมายต่อผู้เรียน สอดคลอ้ งกับความสนใจของผู้เรยี นได้แลว้ การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนของครูกจ็ ะมีลกั ษณะที่เน้น ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ 5. กิจกรรมกำรเรียนกำรสอนทีเ่ นน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั เป็นการจดั กิจกรรมโดยวธิ ีต่างๆ อยา่ งหลากหลายทมี่ งุ่ ให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้อยา่ งแท้จริงเกดิ การพัฒนาตนและสง่ั สมคุณลกั ษณะท่ี จาเป็นสาหรบั การเปน็ สมาชกิ ทดี่ ขี องสังคมของประเทศชาติต่อไป ซึ่งมนี กั วชิ าการหลายท่านได้กลา่ วถึง เทคนคิ วิธีการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ ดงั นี้ คณะอนกุ รรมการปฏริ ปู การเรยี นรู้ (2543 : 36-37) ไดจ้ ดั กิจกรรมการเรียนการสอน ท่มี งุ่ พัฒนาผู้เรยี น จงึ ตอ้ งใชเ้ ทคนคิ วิธสี อน วิธีการเรยี นรู้ รปู แบบการสอนหรือกระบวนการเรียน การสอนในหลากหลายวิธีซึ่งจาแนกไดด้ ังน้ี 1. การจดั การเรยี นการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรยี นรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหา แบบสรา้ งแผนผังความคดิ แบบใช้กรณีศึกษา แบบต้ังคาถาม แบบใช้การตัดสนิ ใจ 2. เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่ วธิ ีการเรยี นแบบศูนยก์ ารเรยี น แบบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง แบบชดุ กิจกรรมดารเรยี นรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

13 3. เทคนคิ การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใชเ้ ทคโนโลยีตา่ ง ๆ ประกอบการเรยี น เช่น การใช้สง่ิ พมิ พ์ ตาราเรยี น และแบบฝึกหัดการใช้แหลง่ ทรัพยากรในชุมชน ศนู ย์การเรยี นชดุ การสอน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน บทเรยี นสาเรจ็ รูป 4. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเนน้ ปฏิสัมพนั ธ์ ประกอบดว้ ย การโต้วาที กลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลังสมอง กลมุ่ แกปญั หา กลมุ่ ตวิ การประชุมต่างๆ การแสดงบทบาท สมมติ กลุ่มสืบคน้ คู่คดิ การฝึกปฏบิ ัติ 5. เทคนคิ การจดั การเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม กรณีตัวอย่างสถานการณจ์ าลอง ละคร เกม สมมติ 6. เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ ไดแ้ ก่ ปริศนาความคดิ ร่วมมอื แขง่ ขนั หรือ กล่มุ สืบคน้ กล่มุ เรยี นรู้ ร่วมกนั ร่วมกนั คดิ กลมุ่ ร่วมมือ 7. เทคนิคการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ ได้แก่ การเรยี นการสอนแบบใชเ้ ว้น เลา่ เร่อื ง (Story line) และการเรยี นการสอนแบบ แก้ปญั หา (Problem-Solving) เทคนิควิธกี ารเหลา่ นล้ี ้วนเป็นวิธที ี่ผูเ้ รยี นได้ลงมอื ปฏิบัตจิ ริง ไดค้ ดิ คน้ ควา้ ศึกษาทดลอง ซ่ึงทาให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ผสู้ อนจงึ มบี ทบาทเปน็ ผอู้ านวยความสะดวกในหลาย ๆ ลักษณะ ดังนี้ (ชาติ แจม่ นุช และคณะ : มทป) 1. เปน็ ผจู้ ดั การ (Manager) เป็นผู้กาหนดบทบาทให้ผูเ้ รยี นทุกคนไดม้ ีส่วนเข้าร่วม ทากจิ กรรม แบง่ กลุ่ม หรอื จับคู่ เป็นผู้มอบหมายงานหน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบแกผ่ เู้ รยี นทกุ คน จดั การให้ ทุกคนได้ทางานทเี่ หมาะสมกับความสามารถและความสนใจของตน 2. เปน็ ผรู้ ว่ มทากจิ กรรม (An active participant) เขา้ ร่วมทากิจกรรมในกลุม่ จรงิ ๆ พร้อมทงั้ ให้ ความคดิ และความเห็นหรอื เช่ือมโยงประสบการณ์ส่วนตัวของผูเ้ รยี นขณะทากิจกรรม 3. เป็นผชู้ ่วยเหลอื และแหลง่ วทิ ยาการ (Helper and resource) คอยให้คาตอบ เมอ่ื ผูเ้ รียน ต้องการความชว่ ยเหลอื ทางวชิ าการ ตัวอย่าง เช่น คาศัพท์หรอื ไวยากรณ์การใหข้ ้อมลู หรือ ความรู้ ในขณะทีผ่ เู้ รียนต้องการ ซึง่ จะช่วยทาให้การเรยี นรู้มปี ระสทิ ธิภาพเพม่ิ ขน้ึ 4. เป็นผ้สู นับสนนุ และเสรมิ แรง (Supporter and encourager) ชว่ ยสนบั สนนุ ดา้ นสือ่ อุปกรณ์ หรอื ใหค้ าแนะนาทีช่ ว่ ยกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนสนใจเขา้ รว่ มกจิ กรรมหรือฝึกปฏิบัตดิ ว้ ยตนเอง 5. เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (Monitor) คอยตรวจสอบงานที่ผเู้ รยี นผลติ ขึ้นมาก่อน ที่จะส่งต่อไปใหผ้ ู้เรยี นผลิตขึน้ มาก่อนทจ่ี ะส่งต่อไปใหผ้ ู้เรียนคนอ่ืน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ด้านความ ถูกต้องของคาศัพท์ ไวยากรณ์ การแก้คาผดิ อาจจะทาไดท้ ัง้ กอ่ นทากิจกรรม หรอื บางกิจกรรมอาจจะ แก้ทหี ลงั ได้ วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ (อา้ งถึงใน กศุ ล หาญสรุ ยี ์. 2547 : 29-38) ได้กลา่ วถงึ เทคนคิ และวิธีการจดั การเรียนการสอนท่ีสง่ เสริมและให้ความสาคัญกบั ผู้เรยี น มดี ังน้ี 1. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม (Indirect instruction) ซ่งึ มคี วามเช่ือวา่ การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกดิ ขนึ้ ภายในบุคคล บุคคลเป็นผสู้ ร้าง (Construct) ความรูจ้ าก ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงที่พบเหน็ กับความรู้เข้าใจทีม่ ีอยู่เดิมเกิดเปน็ โครงสรา้ งทางปัญญาผู้สอนไม่ สามารถปรบั เปลีย่ นปญั ญาของผูเ้ รียนได้ แต่สามารถชว่ ยผู้เรยี นปรับเปลย่ี นโครงสร้างทางปญั ญาได้ โดยจดั สภาพการณ์ใหผ้ เู้ รยี นเกิดความขัดแย้งทางปญั ญา หรอื เกิดภาวะไม่สมดลุ ทางปญั ญาขน้ึ ซงึ่ เป็น สภาวะท่ปี ระสบการณ์ใหม่ไม่สอดคล้องกับประสบการณเ์ ดิมผ้เู รยี นต้องพยายามปรบั ขอ้ มลู ใหม่กับ

14 ประสบการณ์ทม่ี ีอยเู่ ดมิ แล้วสร้างเปน็ ความรูใ้ หม่ ครผู สู้ อนจะต้องมีบทบาทดงั น้ี เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียน สงั เกต สารวจเพ่อื ให้เหน็ ปัญหา มีปฏสิ ัมพันธก์ บั ผูเ้ รยี น เชน่ แนะนาถามใหค้ ดิ เพื่อใหผ้ เู้ รียนคน้ พบหรอื สร้างความรูด้ ้วยตนเอง ชว่ ยพัฒนาผู้เรยี นใหเ้ กดิ การคิดคน้ ต่อ ๆ ไปให้มกี ารทางานเป็นกลมุ่ พัฒนาให้ ผเู้ รียนมีประสบการณ์กว้างไกล ประเมนิ ความคิดรวบยอดของผเู้ รยี น ตรวจสอบความคิด และทักษะ การคดิ ตา่ ง ๆ การปฏบิ ัติ การแกป้ ญั หาและพัฒนา และการเคารพความคดิ และเหตผุ ลของคนอ่ืน ๆ การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ไดแ้ ก่ 1) การจดั การเรียนการสอนแบบสืบค้น (Inquiry instruction) ขน้ั ตอน กระบวนการสบื ค้น ดงั นี้ กาหนดปญั หา กาหนดสมมุติฐานรวบรวมข้อมูล ทดสอบสมมตุ ฐิ านสรา้ ง ขอ้ สรุป 2) การเรียนแบบค้นพบ (Discovery learning) การจัดการเรยี นการสอน ทางอ้อมจะสง่ เสริมการเรยี นแบบคน้ พบ ด้วยการฝกึ ทักษะ การสงั เกต การสืบคน้ การใหเ้ หตผุ ล การอา้ งอิง หรอื การสรา้ งสมมุติฐาน ซึง่ พัฒนาไปจากข้อมูลท่จี ะใหผ้ เู้ รยี นศึกษาและข้อสรุปท่ีตอ้ งการ ใหเ้ ขาสรา้ งข้นึ จากประสบการณก์ ารเรยี นรูข้ องเขา จัดสื่อ และกิจกรรมทช่ี ่วยให้ผู้เรยี นได้ใช้ในการสรุป ขอ้ ความร้ใู ห้ผู้เรยี นวเิ คราะห์ส่วนตา่ ง ๆ ของรูปแบบเหตกุ ารณ์ และสรุปเปน็ ประโยคที่สมบูรณห์ นงึ่ ประโยคให้ผเู้ รยี นพิสจู น์วา่ การสรปุ นน้ั ถกู ตอ้ ง 3) การเรยี นแบบแกป้ ัญหา (Problem solving) เปน็ วิธกี ารเรยี นการสอนทเี่ น้น ใหผ้ เู้ รียนได้คดิ แก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการโดยอาศยั แนวคดิ แกป้ ญั หาด้วยการนาเอาวิธีการสอน แบบนริ นัย (Deductive) ซ่งึ เปน็ การสอนจากตวั อย่างสว่ นยอ่ ยมาหากฎเกณฑร์ ปู แบบวิธสี อนแบบ แกป้ ญั หามีขนั้ ตอน คอื ปญั หาคอื อะไรแล้วกาหนดขอบเขตของปัญหาวเิ คราะห์งานเพ่ือแบ่งปัญหาเปน็ เรอ่ื งยอ่ ย ๆ สาหรบั ศกึ ษาค้นคว้า รวบรวมขอ้ มลู สาหรบั แต่ละเรอ่ื ง ประเมินข้อมูลเพือ่ ขจัดความลาเอียง และข้อผิดพลาดสังเคราะห์ขอ้ มูลเพอ่ื ใหเ้ กิดความสมั พันธ์ท่ีมีความหมายหาข้อสรุป และเสนอแนะ ทางเลอื กเพื่อแก้ปัญหา นาเสนอผลการศึกษาหรือการแกป้ ัญหา 2. การศึกษาเปน็ รายบคุ คล (Individual study) การศกึ ษาเป็นรายบุคคลเป็น แนวทางหนึง่ ของการเรียนรู้ท่ีผเู้ รยี นแต่ละคนปฏิบตั ิเพือ่ พัฒนาตนเองและฝึกทักษะการเรียนร้ตู ลอดชวี ติ เทคนคิ นเี้ ริ่มต้นโดยครหู รอื ผเู้ รยี นเป็นผูก้ าหนดหวั ขอ้ ปัญหาหรือโครงงานตามสาระการเรยี นรูท้ กี่ าหนด โดยผเู้ รยี นตอ้ งศกึ ษา วเิ คราะห์ สรปุ อ้างองิ และสรุปข้อความรูบ้ นพืน้ ฐานของการวเิ คราะห์และ ประเมนิ ผลกระบวนการ ครูตอ้ งใช้เทคนิคการประเมนิ ผล ด้านการใหข้ ้อมูลป้อนกลับ และการตรวจ แก้งานโดยใสไ่ วใ้ นสื่อทผ่ี ู้เรยี นใชห้ รอื ใชร้ ว่ มกับกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 3. การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้เทคโนโลยี (Technology related instruction) ปจั จบุ ันไดม้ ีการนาเทคโนโลยีตา่ ง ๆ เขา้ มาเปน็ ส่วนเสริม หรือสนับสนนุ การเรยี นและการสอนอยา่ ง กว้างขวาง เทคโนโลยมี ปี ระโยชนอ์ ย่างเดียวไมส่ ามารถเพิม่ ระดับการเรียนรู้ของผ้เู รยี นไดส้ ่ิงทีเ่ ทคโนโลยี ทาได้คอื การใหท้ างเลือกแก่ครูในการนาเสนอขอ้ มูลและให้ทางเลือกแกน่ ักเรยี นในการเรียนครูมืออาชีพ ทแี่ ท้จริงจึงใชเ้ ทคโนโลยใี นฐานะเคร่ืองช่วยสอน ไม่ไดใ้ ชแ้ ทนการสอน 1) สิ่งพิมพ์ ตาราเรยี นและแบบฝึกหัด สง่ิ พมิ พย์ ังคงเป็นสื่อที่ง่ายท่สี ุดในชัน้ เรียน ส่งิ พมิ พห์ ลาย ๆ เล่มแมจ้ ะดเี ยี่ยมแต่ก็อาจส่งผลเสียได้หากครยู ดึ ติดกบั การสอนด้วยส่งิ พิมพ์เพียงอย่าง เดยี ว ครูมอื อาชีพจะใช้ สิ่งพิมพเ์ ปน็ สื่อการสอนไมใ่ ช่สง่ิ ทดแทนการสอน

15 2) แหลง่ ทรพั ยากรในชมุ ชนบางครั้งครูอาจใช้แหล่งขอ้ มูลในชุมชนสนับสนนุ การเรยี นการสอน เช่น ศูนยส์ อ่ื หรอื ศูนยเ์ ทคโนโลยขี องหน่วยงานรัฐ หรือของเอกชนในชุมชน 3) ศูนยก์ ารเรยี น(Learning center) ศูนย์การเรยี นในห้องเรยี นคือ สภาพแวดล้อมทางการเรียนท่ีบรรจกุ จิ กรรมการเรยี นรู้สาหรบั การเรยี นด้วยตนเอง ผ้เู รยี นสามารถ ทางานดว้ ยส่ือทีจ่ ัดไว้ใหอ้ ย่างเปน็ อิสระด้วยตนเอง เปน็ คหู่ รอื เปน็ กลมุ่ ครูสามารถแยกเนื้อหาวชิ าหรือ หลกั สูตรออกเป็นส่วนๆ จดั แตล่ ะส่วนไวศ้ ูนย์ต่าง ๆ เพอื่ เป็นทางเลอื กให้ผู้เรยี นได้เลือกศึกษาตามเข้าใจ ศูนย์เหล่านจี้ ัดการเรียนรู้อยา่ งสรา้ งสรรค์สาหรับผเู้ รียนทีจ่ ะเรยี น เพราะเม่ือทากจิ กรรมท่กี าหนดเสร็จ ศนู ย์สามารถจดั ให้ข้อมูลปอ้ นกลบั แก่ผู้เรียนทันที 4) ชดุ การสอน (Interaction package) คอื กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ไี ด้รับการ ออกแบบและจัดอย่างเป็นระบบประกอบดว้ ยจุดม่งุ หมายเนอ้ื หาและวัสดุอุปกรณ์ โดยกจิ กรรมต่าง ๆ ดงั กลา่ วไดร้ บั การรวบรวมไวเ้ ป็นระเบียบในกลอ่ งเพ่ือเตรยี มไวใ้ ห้ผเู้ รยี นได้ศึกษาจากประสบการณ์ ทั้งหมด ชุดการสอนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ชุดการสอนรายบุคคล ชุดการสอนสาหรบั การเรียน เปน็ กล่มุ ยอ่ ย ชุดการสอนประกอบด้วยการบรรยายของครู 5) คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) คอมพิวเตอร์ คอื สอ่ื การสอนทีเ่ ปน็ เทคโนโลยีระดบั สงู ที่นามาประยุกต์ใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรยี น การสอนให้ผู้เรียนกับคอมพิวเตอรม์ ปี ฏิสมั พนั ธ์กนั หลกั การของระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกแนวคดิ มุง่ ทจี่ ะใชร้ ะบบคอมพิวเตอร์ให้เปน็ สอื่ สนบั สนุนกจิ กรรมการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพโดยใช้ ทรัพยากรน้อยที่สดุ ในสภาพการณแ์ ละเน้อื หาวิชาท่ีมีความยาวเหมาะสมกับวุฒิภาวะทางการรับรู้ ของผู้เรยี น ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมกจิ กรรมอย่างกระตอื รือรน้ ผเู้ รียนได้ทราบผลแหง่ การทากจิ กรรมทันที และผ้เู รยี นได้รบั ประสบการณแ์ ห่งความสาเร็จบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนมหี ลายลักษณะ เช่น ใชเ้ พอื่ การสอบการแกป้ ัญหาการสนทนา การสาธิต การสืบค้น เป็นตน้ คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนมลี ักษณะ การเสนอเนื้อหาเพ่ือใหผ้ เู้ รียนปฏิบัตกิ จิ กรรม 4 รูปแบบ คอื โปรแกรมการสอนเน้ือหารายละเอยี ด (Tutorial instruction) โปรแกรมแบบฝึกทักษะ (Drill and practice) โปรแกรมจาลองสถานการณ์ (Simulation) โปรแกรมแบบเกมการศกึ ษา (Educational game) 6) บทเรยี นสาเรจ็ รปู (Programmed text) เปน็ การจดั ระบบการเรียนการสอน ให้ผู้เรยี นได้เรยี นตามความสามารถของตน ดว้ ยการกระทากจิ กรรมตามลาดบั ข้ัน ทลี ะขั้น โดยไดร้ บั ผลตชิ มทนั ที กา้ วหนา้ ไปตามความสามารถและความสะดวกของแตล่ ะบคุ คล บทเรียนสาเร็จรูป เปน็ บทเรยี นทีเ่ สนอเน้ือหาของวชิ าใดวชิ าหนึ่งเป็นตอนย่อย ๆ มกั อยใู่ นรูปของ “กรอบ” หรือ “เฟรม” (Frame) โดยการเสนอเน้ือหาทีละน้อย มคี าถามให้ผ้เู รยี นคิดและตอบ แลว้ เฉลยคาตอบให้ทราบทันที โดยมากบทเรียนสาเร็จรปู มักอยู่ในรูปของสิ่งพมิ พท์ ่เี สนอความคิดรวบยอดท่ีจัดลาดับไว้แล้วเป็นอยา่ งดี 4. การจดั การเรียนการสอนแบบเนน้ การปฏสิ ัมพนั ธ์ (Interactive instruction) เปน็ การจัดการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผู้เรียนเป็นศูนยก์ ลางวธิ ีหนง่ึ เน้นการอภิปรายการแบ่งปันความรู้ การแลกเปลยี่ นความคดิ เห็น การถาม – ตอบ และการทางานกล่มุ ย่อยแบบรว่ มมือกนั เพื่อกระตุ้นให้ ผเู้ รยี นมปี ฏกิ ริ ิยาและตอบสนองต่อความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นของครูและเพ่ือน ๆ ผ้เู รียน จะไดฝ้ ึกการจัดระบบความคิด การโต้แยง้ อย่างมเี หตผุ ล และการพัฒนาทักษะทางสงั คมกิจกรรมท่ใี ช้ใน การจัดการเรียนการสอนแบบเนน้ การปฏสิ ัมพันธ์ ประกอบด้วย การโต้วาที กล่มุ Buzz การอภปิ ราย

16 การระดมพลงั สมอง กลุ่ม 1-3-6 การเรียนแบบร่วมมือ กลุม่ แก้ปัญหา กลุ่มติว การประชุมแบบตา่ ง ๆ บทบาทสมมติและกลุ่มสบื ค้น 5. การจดั การเรียนการสอนแบบเนน้ ประสบการณ์ (Experiential instruction) กิจกรรมการเรยี นการสอนแบบนี้ ไดแ้ ก่ เกม (Game) กรณีตัวอยา่ ง (Case study) สถานการณ์จาลอง (Simulation) ละคร (Acting or Dramatization) บทบาทสมมติ (Role-pay) เช่น 1) การใช้เกม คือ การสอนทีใ่ ช้สือ่ ที่เป็นของเลน่ เน้นการแข่งขนั สนกุ สนานเฮฮาได้ เหง่อื บ้าง กลา้ มเนอื้ ไดท้ างาน ใช้วทิ ยากรตลก ๆ เพ่ือให้ผู้เรียนไมเ่ บื่อ 2) กรณตี วั อย่าง หรือ กรณศี ึกษา คอื การยกตัวอยา่ งขึ้นมาเปน็ กรณีศึกษาให้ผเู้ รยี น นาปริยตั ิ มาปฏบิ ตั ิให้เกดิ ปฏิเสธ สว่ นใหญ่มักจะไม่เฉลย เพราะคาตอบมีมากมายตวั แปรมมี ากมาย ผสู้ อนตอ้ งเก่งในการสรา้ งกรณศี ึกษาเอง 3) สถานการณจ์ าลองหรือเผชิญสถานการณ์ คอื การให้ผู้เรียนไดเ้ จอเหตุการณ์ ท่ใี กลค้ วามเป็นจริง แตถ่ า้ ทาอะไรผิดพลาดไม่ตาย ไม่บาดเจ็บ ไมม่ ีทรัพย์สนิ เสียหายมากมาย 4) บทบาทสมติ คอื การแก้สถานการณจ์ าลองโดยให้เล่นละครและมกี ารวิเคราะห์ ด้วย ผสู้ อนต้องหม่ันสังเกตผู้เรยี นตลอดเวลา 6. การเรียนแบบรว่ มมือ (Cooperative learning) มีขนั้ ตอน ได้แก่ 1) ขนั้ เตรียม กิจกรรมในขนั้ เตรียม ประกอบด้วย ครูแนะนาทักษะในการเรยี นรู้ ร่วมกนั และจัดเป็นกล่มุ ย่อย ๆ ประมาณ 2-6 คน ครูควรแนะนาเกี่ยวกบั ระเบียบของกลุ่มบทบาทและ หนา้ ท่ีของสมาชกิ กลุม่ แจง้ วตั ถุประสงค์ของบทเรยี นและการทากจิ กรรมร่วมกันและการฝึกฝนทกั ษะ พน้ื ฐานจาเป็นสาหรับการทากจิ กรรมกล่มุ 2) ขั้นสอน ครูนาเขา้ สบู่ ทเรียนแนะนาเนื้อหาแนะนาแหล่งขอ้ มลู และมอบหมาย งานใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ 3) ขัน้ ทากจิ กรรมกล่มุ ผูเ้ รยี นเรียนรู้ร่วมกนั ในกลมุ่ ย่อยโดยทแ่ี ตล่ ะคนมบี ทบาท และหน้าทีต่ ามท่ีไดร้ ับมอบหมาย เป็นขน้ั ตอนท่สี มาชกิ ในกลุ่มจะไดร้ ว่ มกันรับผิดชอบต่อผลงานของกล่มุ ในขนั้ นี้ครูอาจกาหนดให้นกั เรียนใช้เทคนิคต่าง ๆ กัน เชน่ แบบ JIGSAW, TGT, STAD, TAI, GT, LT, CCIRC, CO-CO เปน็ ตน้ ในการทากิจกรรมแต่ละครงั้ เทคนคิ ท่ีใชแ้ ต่ละคร้ังจะตอ้ งเหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเรียนแต่ละเรื่อง ในการเรียนคร้ังหนึง่ ๆ อาจต้องใชเ้ ทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ หลาย ๆ เทคนิคประกอบกันเพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพในการเรยี น 4) ขน้ั ตรวจสอบผลงานและทดสอบ ในขน้ั นเ้ี ปน็ การตรวจสอบว่าผู้เรยี นได้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ทค่ี รบถ้วนแลว้ หรอื ยงั ผลการปฏบิ ตั ิเปน็ อย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกล่มุ และ รายบคุ คลในบางกรณีผเู้ รยี นอาจต้องซ่อมเสริมส่วนท่ยี ังขาดตกพกพร่องต่อจากนัน้ เปน็ การทดสอบ ความรู้ 5) ขนั้ สรุปบทเรยี นและประเมนิ ผลการทางานกลุ่ม ครูและผเู้ รยี นช่วยกันสรุป การเรียน ถ้ามสี งิ่ ท่ผี ู้เรยี นยังไมเ่ ขา้ ใจครคู วรอธิบายเพม่ิ เติมครูและผ้เู รยี นชว่ ยกันประเมนิ ผลการทางาน กลุม่ และพิจารณาวา่ อะไรคือจดุ เด่นของงาน และอะไรคือสง่ิ ที่ควรปรบั ปรุง 7. การเรยี นแบบมีส่วนรว่ ม (Participatory learning) การเรียนรแู้ บบมสี ่วนร่วมเป็น การเรยี นรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง ประกอบด้วยหลกั การเรียนรพู้ ้ืนฐาน 2 อยา่ ง คอื การเรยี นรเู้ ชงิ

17 ประสบการณ์ (Experiential learning) การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการกลุม่ (Group process) องคป์ ระกอบของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม มอี งค์ประกอบสาคัญ 4 ประการคือ 1) ประสบการณ์ (Experience) เปน็ ข้นั ตอนทีค่ รผู ู้สอนพยายามกระตนุ้ ให้ผูเ้ รียน นาประสบการณ์เดมิ ของตนออกมาใชใ้ นการเรยี นและแบ่งปนั ประสบการณข์ องตนกบั เพ่ือน ๆ ทอี่ าจมี ประสบการณ์คล้ายหรอื แตกต่างกนั 2) การสะท้อนความคิดและอภปิ ราย (Reflect and discussion) เปน็ ข้นั ตอนท่ี ผเู้ รยี นได้มีโอกาสแสดงความคิดเหน็ และความรสู้ กึ ของตนเองแลกเปล่ียนกบั สมาชิกในกลมุ่ ซึง่ ครูผ้สู อน จะเปน็ ผู้กาหนดประเด็นวเิ คราะห์ วิจารณ์ ผเู้ รยี นจะไดเ้ รียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึกของผู้อ่นื ทแ่ี ตกต่าง ไปจากตนเอง ซงึ่ จะชว่ ยให้เกิดการเรียนรทู้ ีก่ ว้างขวางขึน้ และผลของการสะทอ้ นความคิดเหน็ หรื อภิปราย จะทาให้ได้ข้อสรปุ ท่ีหลากหลายและผู้เรียนได้เรียนรกู้ ารทางานเปน็ ทีม 3) ความเข้าใจและเกดิ ความคิดรวบยอด (Understanding and conceptualization) เปน็ ขนั้ ตอนการสร้างความเข้าใจและนาไปสู่การเกิดความคิดรวบยอดอาจจะ เกดิ ข้นึ โดยผเู้ รียนเปน็ ฝา่ ยริเริ่มและครูช่วยเตมิ แตง่ ใหส้ มบูรณ์ หรอื ครูอาจนาทางแลว้ ผู้เรยี นสานตอ่ จน ความคิดนั้นสมบรู ณเ์ ปน็ ความคิดรวบยอด 4) การทดลองหรือประยุกต์แนวคิด (Experiment or application) เป็นขน้ั ตอน ท่ใี หผ้ เู้ รยี นนาเอาการเรียนรทู้ ่ีเกดิ ขึน้ ใหม่ไปประยกุ ต์ใชใ้ นลักษณะหรอื สถานการณต์ า่ ง ๆ จนเกดิ เป็น แนวทางปฏบิ ตั ขิ องผู้เรยี นเอง 8. การจัดการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ บรู ณาการ หมายถึง การนาศาสตร์ ตา่ ง ๆทีม่ ีความสมั พนั ธเ์ กี่ยวข้องกันมาผสมผสานกันเพ่ือประโยชนใ์ นการดาเนนิ การ การจดั การเรียน การสอนแบบบูรณาการ จึงเป็นการนาเอาความรูส้ าขาตา่ ง ๆ มาเชือ่ มโยงสัมพนั ธ์กนั เพือ่ ให้ การจดั การเรียนการสอนเกิดประโยชน์สูงสุด การเรียนการสอนแบบบรู ณาการจะเน้นองคร์ วมของ เนอ้ื หา มากกว่าองค์ความรู้ของแตล่ ะรายวชิ า และเนน้ ท่ีการสร้างความรู้ของผ้เู รยี นมากกว่าใหเ้ นอ้ื หา โดยตัวครู 1) ลักษณะสาคัญของการบูรณาการ เป็นการบรู ณาการระหวา่ งความรแู้ ละ กระบวนการเรยี นรู้ เปน็ การบูรณาการระหว่างพฒั นาการทางดา้ นความรู้และทางดา้ นจติ ใจ เปน็ การ บรู ณาการระหว่างความรแู้ ละการปฏิบัตเิ ป็นการบรู ณาการระหวา่ งส่ิงท่ีอยู่ในหอ้ งเรียนกับสงิ่ ท่ีเปน็ อยู่ ในชวี ิตจริง เป็นการบูรณาการระหวา่ งวิชาต่าง ๆ 2) ประเภทของการบูรณาการสามารถทาได้ 2 ลกั ษณะคือ (1) แบบสหวทิ ยาการ(Interdisciplinary) ทาได้โดยกาหนดหัวข้อ (Theme) ข้ึนมาแล้วนาความรู้จากวชิ าตา่ ง ๆ มาเชื่อมโยงให้สมั พันธก์ ับหวั เรื่องนั้น บางครงั้ เรยี กการบูรณาการ แบบนว้ี ่า สหวทิ ยาการแบบมีหวั ขอ้ (Thematic interdisciplinary studies) หรอื สหวิทยาการแบบเนน้ การประยุกต์ใช้ (Application - first approach) (2) แบบพหวุ ทิ ยาการ (Multidisciplinary) เป็นการนาเร่ืองท่ตี ้องการจะ บูรณาการไปสอดแทรก (Infusion) ในวิชาต่าง ๆ บางครงั้ เรยี กการบรู ณาการแบบนีว้ า่ บูรณาการแบบ เนน้ เนอื้ หา (Discipline – first approach) อาภรณ์ ใจเท่ียง (2551 : 4) สรุปลักษณะของการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคัญไดด้ ังน้ี

18 1. Active Learning เป็นกจิ กรรมทผ่ี เู้ รยี นเปน็ ผกู้ ระทา หรอื ปฏบิ ัติด้วยตนเอง ดว้ ยความ กระตือรอื ร้น เช่น ไดค้ ิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ ใช้ ประสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ ทาให้เกดิ การเรียนรูด้ ้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหนา้ ที่ เตรียมการจดั บรรยากาศการเรียนรู้ จัดสอ่ื ส่ิงเรา้ เสริมแรงให้คาปรกึ ษาและสรุปสาระการเรยี นร้รู ว่ มกนั 2. Construct เป็นกิจกรรมที่ผ้เู รียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองคก์ ารความรู้ใหม่ ด้วยตนเอง อนั เกิดจากการได้ศกึ ษาค้นควา้ ทดลอง แลกเปล่ยี นเรียนรแู้ ละลงมือปฏิบตั ิจริง ทาใหผ้ ู้เรียน รักการอา่ น รักการศึกษาค้นควา้ เกดิ ทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็นความสาคญั ของการเรียนรู้ ซ่ึงนาไปสู่การเปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Man) ท่ีพงึ ประสงค์ 3. Resource เป็นกจิ กรรมท่ีผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรูจ้ ากแหล่งเรียนรูต้ า่ ง ๆ ท่ีหลากหลาย ท้งั บุคคลและเคร่ืองมือทั้งในห้องเรยี น และนอกห้องเรยี น ผู้เรียนไดส้ มั ผัสและสัมพนั ธก์ ับส่งิ แวดล้อม ทงั้ ท่เี ป็นมนุษย์ (เชน่ ชุมชน ครอบครวั องคก์ รต่าง ๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการทีว่ า่ “การเรยี นรู้เกดิ ข้ึนไดท้ กุ ท่ีทุกเวลาและทุกสถานการณ์) 4. Thinking เป็นกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ กระบวนการคดิ ผ้เู รยี นได้ฝกึ วิธีคิดในหลาย ลกั ษณะ เชน่ คดิ คลอ่ ง คิดหลากหลาย คดิ ละเอียด คดิ ชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลกึ ซง้ึ คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เปน็ ตน้ (ทิศนา แขมมณี และคณะ. 2543 : 55-59) การฝกึ ให้ผูเ้ รียนได้คดิ อยเู่ สมอ ในลักษณะต่างๆ จะทาให้ผ้เู รียนเปน็ คนคิดเป็น แกป้ ญั หาเปน็ คดิ อย่างรอบคอบมีเหตผุ ล มีวจิ ารณญาณ ในการคิด มีความคิดสรา้ งสรรค์ มีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ท่จี ะเลอื กรับและปฏิเสธขอ้ มูล ขา่ วสารต่างๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อยา่ งชดั เจน และมเี หตผุ ล อันเปน็ ประโยชนต์ อ่ การดารงชีวิตประจาวัน 5. Happiness เปน็ กจิ กรรมท่ีผูเ้ รยี นไดเ้ รียนอย่างมีความสขุ เปน็ ความสขุ ที่เกิด จากประการทห่ี นงึ่ ผ้เู รยี นได้เรียนในสง่ิ ท่ตี นสนใจสาระการเรยี นรู้ ชวนใหส้ นใจใฝค่ น้ ควา้ ศกึ ษาทา้ ทาย ใหแ้ สดง ความสามารถและให้ใชศ้ กั ยภาพของตนอยา่ งเต็มที่ ประการทีส่ องปฏิสมั พนั ธ์ (Interaction) ระหว่างผเู้ รยี นกับผ้สู อนและระหว่างผู้เรียนกับผูเ้ รยี น มลี ักษณะเป็นกัลยาณมิตร มกี ารชว่ ยเหลอื เก้อื กลู ซงึ่ กนั และกนั มกี จิ กรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาใหผ้ เู้ รยี นรู้สกึ มีความสุขและสนุกกับการเรียน 6. Participation เปน็ กจิ กรรมท่ีผู้เรียนมสี ่วนร่วมในการวางแผนกาหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกนั และมโี อกาสเลอื กทางานหรือศึกษาค้นควา้ ในเร่ืองท่ตี รงกบั ความถนัด ความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาใหผ้ ู้เรยี นเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคณุ ค่าของ ส่ิงท่ีเรยี นและสามารถประยุกตค์ วามรู้นาไปใช้ประโยชน์ในชีวติ จริง 7. Individualization เป็นกิจกรรมทผ่ี ู้สอนให้ความสาคัญแกผ่ ู้เรียนในวามเปน็ เอกัตบุคคล ผ้สู อนยอมรับในความสามารถความคดิ เห็น ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของผูเ้ รยี น มุง่ ให้ ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาตนเองให้เต็มศกั ยภาพมากกวา่ เปรียบเทยี บแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชอ่ื มั่นผ้เู รียน ทกุ คนมคี วามสามารถในการเรียนรูไ้ ด้ และมีวธิ กี ารเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 8. Good Habit เป็นกจิ กรรมที่ผเู้ รยี นไดพ้ ัฒนาคุณลักษณะนสิ ยั ท่ดี งี าม เชน่ ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทางานอย่างเปน็ กระบวนการการทางานร่วมกับผู้อ่นื การยอมรับผ้อู ่ืน และ การเห็นคณุ ค่าของงาน เป็นต้น

19 สรุปไดว้ ่า ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ครผู สู้ อนและผมู้ ีส่วนเก่ียวข้องจะต้องจดั กจิ กรรมต่าง ๆ ท่ีหลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียน เออื้ ต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น โรงเรียนควรรว่ มมือกับชมุ ชนจัด แหล่งการเรียนรูต้ ่าง ๆ ทัง้ ภายในและภายนอกโรงเรยี นท่เี หมาะสมเพยี งพอและมีคุณภาพ เพื่อใหผ้ ้เู รยี น หรอื นกั เรยี นมโี อกาสเลือกเรียนไดต้ ามความสนใจส่ิงท่สี าคัญทีส่ ดุ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนนนั้ นกั เรยี นหรอื ผูเ้ รยี นมีความสขุ ในการเรียนได้เรียนรู้แบบองค์รวมเรยี นรจู้ ากการคิดและปฏิบตั จิ ริงได้ 6. แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ จากความหมายขอบข่ายมาตรการและจุดเน้นต่าง ๆ ดังกล่าว ผู้วิจัยได้กาหนดขอบขา่ ย ของการการเรียนรู้ตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 ถงึ มาตรา 30 ผูว้ จิ ยั จงึ ได้วเิ คราะหแ์ ละกาหนด เปน็ กรอบแนวคดิ เพื่อใชใ้ นการวจิ ัยครง้ั น้ี จานวน 4 ดา้ น เพอื่ ให้สอดคล้องกับการดาเนินการเรยี นรู้ ของโรงเรยี นและกาหนดแนวทางการดาเนินงานแตล่ ะดา้ น ดงั นี้ 1) การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา ไดแ้ ก่ (1) รวบรวม ศกึ ษาวเิ คราะห์ข้อมลู พื้นฐาน ของโรงเรยี นและชมุ ชน รวมท้ังรายงานข้อมลู ผลการจัดการศึกษาในรอบปีทผ่ี ่านมา (2) แต่งตง้ั คณะกรรมการจดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษา (3) วิเคราะหม์ าตรฐานและจดั ทาหลกั สตู รสถานศกึ ษา โดยมสี ว่ นรว่ มจากคณะครูผ้บู รหิ ารสถานศึกษา กรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานและประชาชน ในทอ้ งถนิ่ (4) กาหนดผลการเรยี นรู้และสาระการเรยี นร้ใู หค้ รอบคลมุ การพัฒนาผเู้ รียนท้ังด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ และ (5) บริหารจดั การและประเมนิ ผลการใช้ หลกั สตู รอย่างต่อเนอ่ื งดาเนนิ การปรับปรงุ และพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษาอย่างต่อเนอ่ื ง 2) การจดั กระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ (1) พัฒนาครใู หม้ ีความรคู้ วามเข้าใจ เจตคตทิ ี่ดี เกี่ยวกบั การจัดการเรียนรูท้ เ่ี น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั อย่างตอ่ เนื่องด้วยวิธกี ารที่หลากหลาย (2) จดั ทาข้อมูล นกั เรยี นรายบุคคลวเิ คราะห์จัดกลมุ่ และออกแบบการเรียนรู้ทส่ี อดคล้องกบั ผูเ้ รียน (3) ครูและผู้บริหาร สถานศกึ ษายอมรับการเปลยี่ นแปลงและพัฒนาตนเองอยา่ งตอ่ เนื่อง (4) สนบั สนุนใหค้ รูประเมนิ และพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่ือง (5) ส่งเสรมิ ใหค้ รูพฒั นาผู้เรียนเปน็ รายบคุ คลดว้ ยกระบวนการวิจัย (6) ใหข้ วัญกาลงั ใจ ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติและเผยแพรง่ านของครู ผู้เรยี นผเู้ กี่ยวข้องทีม่ ผี ลงานการจัด การเรยี นรทู้ ่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ 3) การพฒั นาส่อื เทคโนโลยี และแหล่งการเรียนรู้ ได้แก่ (1) สง่ เสริมให้ผเู้ รียนสามารถ ใช้สอื่ เทคโนโลยเี พอ่ื การเรียนรู้อยา่ งหลากหลาย (2) ครูทุกคนพฒั นาสือ่ เทคโนโลยีเพ่ือการเรยี นรสู้ าหรบั ผเู้ รยี นที่มคี วามแตกต่างกนั (3) ส่งเสริมการวจิ ัยเพื่อพัฒนาสอื่ อย่างหลากหลาย (4) ทุกฝ่ายทเ่ี กี่ยวข้อง ประสานรว่ มมือกนั กาหนด จดั ทา และพฒั นาแหล่งเรียนรู้ (5) สารวจและจัดทาทะเบียนและผงั หรอื แผน ทีแ่ หลง่ เรยี นรทู้ ้งั ทเี่ ป็นสถานทบี่ คุ คล และส่ือตา่ ง ๆ ท้ังในและนอกสถานศึกษา (6) สถานศกึ ษาประเมนิ และพัฒนาตนเองดา้ นการจดั และใชแ้ หล่งเรยี นรู้ (7) สนบั สนุนทรัพยากรทเ่ี อ้ือต่อการพัฒนาแหล่งเรยี นรู้ ทง้ั ในและนอกสถานศึกษา (8) สนบั สนนุ ให้มีการพัฒนาและใชแ้ หลง่ เรยี นรูภ้ ายในสถานศกึ ษาใหม้ ี ประสทิ ธภิ าพและเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ (9) ศึกษาวิจยั เพื่อนาเสนอทางเลอื กในการพัฒนาแหล่งเรยี นรู้ 4) การวัดและประเมนิ ผลผู้เรียน ได้แก่ (1) พัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่ี เก่ียวขอ้ งใหม้ ีความรูค้ วามเข้าใจในการประเมินผลทีส่ อดคล้องกับการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษา และการจัดการเรียนร้ทู เ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั ด้วยวิธกี ารทีห่ ลากหลาย (2) สง่ เสริม สนับสนุน

20 การประเมินผลผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลตามสภาพจริงดว้ ยวธิ กี ารที่หลากหลาย (3) นาผลการประเมินไปใช้ เพอื่ พฒั นาการผู้เรยี นทง้ั โดยการสอนซอ่ มและเสรมิ ผเู้ รียนตามศกั ยภาพ รวมท้งั การสง่ ตอ่ ผลการประเมิน นักเรียนรายบคุ คลในแตล่ ะระดับชัน้ (4) ครู ผปู้ กครองและบุคคลที่เกีย่ วขอ้ งมสี ่วนรว่ มในการประเมนิ ผเู้ รียนด้วยวิธกี ารทหี่ ลากหลาย แนวคิดเกีย่ วกบั ชุมชนกำรเรยี นรทู้ ำงวิชำชพี 1. ควำมหมำยของชุมชนกำรเรียนรทู้ ำงวิชำชพี นภมณฑล สบิ หม่นื เปี่ยม (2550 : 32) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ สงั คมแห่งการเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการทางวังคมท่เี กื้อหนนุ ส่งิ เสรมิ ให้บคุ คลหรือสมาชกิ ในชุมชนหรอื สังคมเกิดการเรยี นรูโ้ ดยผา่ น ส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศ แหล่งเรยี นรู้ องค์ความร้ตู ่างๆ จนสามารถสรา้ งความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รว่ มกนั ทกุ ภาคสว่ นในสังคม ทาให้เกิดพลงั สร้างสรรค์ และใชค้ วามรู้เป็นเคร่ืองมือในการเลอื กลา ตดั สินใจเพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนาอย่างเหมาะสมท้ังดา้ นเศรษฐกิจสังคมและการเมือง บตุ รี ถ่ินกาญจน์ (2552 : 43) ได้ใหค้ วามเห็นว่า ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หมายถึง ชุมชนนกั ปฏิบัติ เป็นกลมุ่ คนที่มารวมตัวกันอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ มวี ัตถุประสงค์เพ่อื แลกเปลีย่ น เรียนรแู้ ละสรา้ งองคค์ วามรู้ใหม่ๆ เพื่อช่วยให้การทางานมปี ระสทิ ธผิ ลที่ดขี ้ึน ส่วนใหญก่ ารรวมตวั กันใน ลักษณะนม้ี กั จะมาจากคนทอี่ ยใู่ นกลมุ่ งานเดียวกนั หรอื มีความสนใจในเรือ่ งเดียวกันหรอื มีความสนใจ เรอื่ งใดหนง่ึ ร่วมกนั ซงึ่ ความไว้วางใจและความเช่ือม่นั ในการแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ระหว่างกันจะเป็นสง่ิ สาคญั สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2553 : 8) ไดใ้ หค้ วามหมายของสังคมแห่งการ เรยี นรู้ ไว้วา่ สงั คมแหง่ การเรียนรู้ หมายถึง ลกั ษณะของหนว่ ยงานหรอื ชุมชนท่ีดาเนนิ การเร่อื งใดเร่ือง หนง่ึ หรอื หลายเร่ืองพร้อมๆ กนั เกย่ี วกับการอนุรักษ์ บารุง รักษา ฟ้นื ฟู ปกป้อง คุ้มครอง พิทกั ษ์ สง่ เสริม สนบั สนนุ ช่วยเหลือ สบื สาน พฒั นา เผยแพร่ และปลกู จติ สานึกใหแ้ ก่สมาชกิ ไดเ้ รยี นรู้ดว้ ย วิธกี ารผา่ นผู้รู้ สอื่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ แหล่งเรียนรู้ ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ และจากองค์ความรู้ตา่ งๆ ซ่ึงทา ให้สมาชิกสามารถสรา้ งความรู้ สร้างทกั ษะและมีระบบการจดั การความร้ทู ่ีดี ตลอดจนใช้ความรู้เป็น เครื่องมอื ในการเลือกและตัดสนิ ใจในการแกป้ ัญหา เพื่อพัฒนาการดาเนนิ ชีวติ ใหม้ ีความเหมาะสมกบั สภาพของหน่วยงานหรือชุมชนน้ันๆ ดงั นน้ั ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี หมายถงึ การรวมตัวของบคุ คลหรือกลุ่มบุคคลเพ่ือ ร่วมกนั แลกเปล่ียนเรยี นรูอ้ ย่างสร้างสรรค์ในการพฒั นาวชิ าชพี 2. ควำมหมำยของชุมชนกำรเรียนรทู้ ำงวิชำชีพ ภัทรา เสงย่ี มในเมือง และคณะ (2552 : 19) ได้ให้ความเห็นวา่ ชุมชนการเรียนรทู้ าง วิชาชพี คอื ขบวนการสรา้ งคนเพื่อให้มีความรู้ มีทกั ษะ มีเจตคติ มโี ลกทัศน์ และมวี ิธีคิดในลกั ษณะของ “บุคคลแหง่ การเรียนรู้” ทสี่ มารถเกิดข้นึ ได้เอง เป็นการขัดเกลาทางสงั คม(Socialization) อย่าง สร้างสรรคร์ ปู แบบหนง่ึ ภายใตค้ า่ นิยมและความเชื่อที่สอดคล้องกันของกลุ่มในการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน กัมพล ไชยนันท์ (2554 : 21) ได้ให้ความเหน็ ว่า ชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชีพครู หมายถงึ ชมุ ชนที่มีกระบวนการทางสังคมทเ่ี ก้อื หนนุ ส่งเสริมใหส้ มาชิกในชมุ ชนเปน็ บคุ คลแหง่ การเรียนรู้ ท่ีมีการ เรยี นรู้รว่ มกันในกจิ กรรมต่างๆ ภายในชุมชนและมีการเรียนรผู้ ่านแหล่งเรียนรูใ้ นชมุ ชน มีการสรา้ งองค์ ความรู้ให้เกิดในชุมชนดว้ ยกระบวนการจดั การความร้ใู นชุมชน

21 สุภาพ ยืนคาพะเนาว์ (อ้างถงึ ใน จลุ ลี่ ศรษี ะโคตร. 2557 : 28) ได้ใหค้ วามเห็นว่า ความหมายของงชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชพี แบง่ เป็น 3 ระดับ คือ ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเครือข่าย และระดบั ชาติ โดยแต่ละระดับจะแบ่งชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพยอ่ ย (Learning Community) ดังนี้ 1. ระดบั สถานศกึ ษา (School Level) คือชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพท่ีขับเคลอ่ื นใน บรบิ ทสถานศึกษา หรือโรงเรียน ซ่งึ ประกอบด้วย ระดับนักเรยี น(Student Level) ระดับผูป้ ระกอบ วิชาชีพ (Professional Level) ซ่ึงประกอบดว้ ยครูผูส้ อนและผูบ้ รหิ ารของโรงเรยี น โดยใช้ฐานของ “ชมุ ชนแหง่ วิชาชีพ” เชื่อมโยงกับการเรยี นรู้ของชุมชน จึงเรียกวา่ “ชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี ” และ ระดบั การเรียนรู้ของชมุ ชน (Learning Community Level) จะครอบคลมุ ถึงผปู้ กครอง สมาชิกชุมชน และผูน้ าชมุ ชน 2. ระดบั กลมุ่ เครือข่าย (Cluuster Level) คือ ชุมชนการเรียนร้ทู างวชิ าชีพทขี่ บั เคลื่อน ในลกั ษณะการรวมตัวกันของกล่มุ วชิ าชพี จากองค์กร หรอื หน่วยงานต่างๆ ที่มุ่งมน่ั รว่ มกันสร้างชุมชน เครือข่ายภายใตว้ ัตถุประสงค์รว่ ม ประกอบดว้ ย กล่มุ เครือขา่ ยความร่วมมือระหวา่ งสถาบนั และกลุ่ม เครอื ข่ายความร่วมมือของสมาชกิ วชิ าชพี ครู 3. ระดบั ชาต(ิ The National Level) คือ ชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชพี ทเ่ี กดิ ขึน้ โดย นโยบายของรฐั ท่มี ุ่งจัดเครือข่ายชุมชนการเรียนรขู้ องชาติเพือ่ ขับเคล่ือนการเปลย่ี นแปลงเชิงคณุ ภาพของ วชิ าชพี โดยความร่วมมอื ของสถานศึกษา และครู ท่ีผนกึ กาลังร่วมกนั พฒั นาวชิ าชพี ภายใต้การสนบั สนนุ ของรัฐ วรลกั ษณ์ ชกู าเนิด (อา้ งถึงใน จลุ ลี่ ศรีษะโคตร. 2557 : 28) ไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ ชมุ ชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพ คือ การรวมตัวรวมใจและการรวมพลังของครู ผบู้ รหิ าร และผเู้ ก่ียวข้องใน โรงเรยี นเพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ของผเู้ รียน โดยยกตัวอย่างคากล่าวของ Sergiovanni ทวี่ ่า ชุมชนการ เรียนรูท้ างวิชาชีพเป็นสถานท่ีสาหรับ “ปฏสิ มั พนั ธ์” ลด “ความโดดเดย่ี ว” ของมวลสมาชิกวิชาชีพครู ในโรงเรียนเพ่ือปรบั ปรุง ผลการเรียน ของนักเรยี นหรืองานวิชาการของโรงเรียน วจิ ารณ์ พานิช (2555 : 51) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ ชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี คอื การรวมตวั กนั ของครู ซึ่งการรวมตวั ดงั กล่าวมีคณุ คา่ และมนี ัยแสดงถงึ การเป็นผูน้ าร่วมกันของครู รวมทง้ั เป็นการเปดิ โอกาสใหค้ รูเปน็ “ประธาน” ในการเปลี่ยนแปลงมีวสิ ยั ทัศน์และเรยี นร้รู ่วมกัน และการนา สง่ิ ท่เี รียนรู้ไปปยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ การรวมตัวในรูปแบบนีเ้ ปน็ เสมือนแรงงผลักดัน โดยเกดิ จาก ความตอ้ งการและความสนใจของสมาชิกในชุมชนเพ่ือการเรยี นรูแ้ ละพัฒนาวชิ าชีพ สมู่ าตรฐานการ เรียนรูข้ องนักเรยี นเป็นหลกั หรอื เรยี กอยา่ งมีคณุ ค่า กค็ ือ การพฒั นาวชิ าชพี ใหเ้ ปน็ “ครูเพอื่ ศษิ ย์” ศกั ดิ์ชัย ภู่เจรญิ (2556 : 34) มองว่า ชมุ ชนการเรียนรู้ของครู คอื กระบวนการเรยี นการ สอนแบบ PLC หรอื กระบวนการเรยี นรแู้ บบชมุ ชนทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) ซง่ึ เป็นเครื่องมือในการทางานของครู เพราะ PLC เปน็ การเปลย่ี นแปลงทางการศกึ ษาในระดับจิตสานกึ ซ่ึงเปน็ หัวใจของการเปลยี่ นแปลง ทาให้นกั เรยี นสามารถเรียนรู้ไดจ้ ากการปฏิบตั ิ ครสู ามารถถ่ายทอด ประสบการณ์ให้กับนักเรียน โดยการลงมือทาร่วมกนั กับนักเรียน ดงั น้ัน ชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี หมายถึง การรวมตัวของครใู นสถานศึกษา ในลักษณะทีม เรยี นรู้ โดยครูเป็นผนู้ าร่วมกัน ส่วนผูบ้ รหิ ารเปน็ ผดู้ ูแลสนบั สนุนบนพ้นื ฐานวฒั นธรรมความสมั พนั ธ์ แบบกลั ยาณมติ ร ทม่ี วี ิสยั ทัศน์ เป้าหมาย และภารกิจรว่ มกัน มีการดาเนินการแบบทีมร่วมเรียนรู้ มีการจัดการความรแู้ ละพฒั นาวชิ าชพี ภายใตส้ ภาพการณ์ท่ีสนบั สนุนเพ่ือเปลยี่ นแปลงคุณภาพตนเอง

22 ส่คู ณุ ภาพการจดั การเรียนรู้ ท่ีเนน้ ความสาเรจ็ หรอื ประสิทธผิ ลของผเู้ รยี นเป็นสาคัญ สรุปไดว้ ่า ชมุ ชนการเรียนรูท้ างวิชาชพี ครู หมายถึง การดาเนนิ งานของสถานศกึ ษาเกยี่ วกับ การรวมตัวกันของครูเพื่อพัฒนาวิชาชพี และคุณภาพของผเู้ รียน ซงึ่ วัดจากความคิดเหน็ ของผ้บู รหิ ารและ ครใู นสถานศึกษา 3. ควำมสำคญั ของชมุ ชนกำรเรยี นรูท้ ำงวชิ ำชพี (Professional Learning Community) ประสาทพร สมิตะมาน (2552 : 21) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี ของ ครใู นโรงเรยี น มีความสาคัญอยา่ งยิ่ง เพราะในมาตรฐานการศกึ ษาของชาตมิ าตรฐานท่ี 3 ไดก้ าหนด แนวทางในการสรา้ งสังคมแห่งการเรียนรู้หรือสงั คมแหง่ ความรู้ รวมทั้งการสร้างวิถีการเรียนรู้และแหล่ง การเรยี นรใู้ ห้เขม้ แข็งทั้งในฐานะพลเมืองและพลโลก ใหค้ นไทยเปน็ คนเก่ง คนดี และมีความสุข ซ่งึ เปน็ นโยบายที่สถานศกึ ษาต้องยดึ ถอื และปฏิบตั ติ าม วจิ ารณ์ พานชิ (2555 : 136) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ ชุมชนเรยี นรู้ครูเพือ่ ศิษย์ มีความจาเป็น อยา่ งมากต่อการพัฒนาศิษย์ การเปลยี่ นแปลงคุณภาพการจดั การเรียนรโู้ ดยเริ่มจาก “การเรยี นรู้ของ คร”ู เปน็ ตวั ตง้ั ครูควรเรยี นรู้ ปรับปรงุ เปลี่ยนแปลง พฒั นาการจัดการเรียนรู้ของตนเอง เพอ่ื ผเู้ รยี นเป็น สาคัญ และครูควรมอง “ศษิ ย์ของเรา” มากเกา่ “ศษิ ยข์ องฉัน” ซึง่ การรวมตวั เพอ่ื การเรียนรู้และการ เปลย่ี นแปลงเหลา่ นี้ อาจเปน็ เร่อื งยากที่จะทาเพยี งลาพงั แลว้ หวังผลให้เกิดการขบั เคล่ือนทง้ั ระบบ โรงเรียน ดังนนั้ จงึ จาเป็นต้องสร้างความเป็นชุมชน เพ่ือการเรียนรทู้ างวชิ าชีพ ซง่ึ ความเป็นโรงเรยี นยอ่ ม มีความเปน็ ชุมชนอยู่แลว้ โดยพ้นื ฐาน ศกั ดช์ิ ยั ภเู่ จริญ (2556 : 36) ไดใ้ ห้ความเห็นว่า กระบวนการเรียนรแู้ บบขุมชนการเรียนรู้ ทางวชิ าชพี ของคร(ู Professional Learning Community) มีความจาเปน็ อย่างมากต่อการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 เพราะการศึกษาของเด็กไทยเรม่ิ เปลย่ี นแปลงไป โดยการจัดการเรยี นการสอนในชน้ั เรยี น ต้องเกิดจากกระบวนการเรียนร้ทู หี่ ลากหลาย เหมาะสม เดก็ มสี ิทธแิ ละโอกาสทจ่ี ะรับการศึกษาอยา่ ง ทว่ั ถึงและมคี ุณภาพ ในอดีตหนา้ ที่ของผ้สู อน หรือครู มบี ทบาทในดา้ นการเปน็ ศนู ย์กลางแหง่ การเรยี นรู้ ครูเปน็ ผูพ้ ดู นักเรยี นต้องเปน็ ผูฟ้ ัง ครูเปน็ คนส่งั นักเรียนต้องทาตามแต่ในยุคศตวรรษท่ี 21 หากครรู ู้จัก นักเรยี นของตนเองมากเท่าไร ครยู งิ่ สามารถชว่ ยให้นกั เรยี นเกิดกระบวนการการเรยี นร้ไู ด้เร็วข้ึนมาก เท่านนั้ ซ่งึ ครทู ่ีเปน็ ที่ต้องการของนักเรยี นก็คือ ครูท่มี ีความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ มนี วตั กรรม หรอื สอื่ ใน การเรยี นการสอนนกั เรยี นทห่ี ลากหลาย ซง่ึ เปน็ ผลทาให้ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนดขี ้นึ วรลักษณ์ ชกู าเนดิ (อ้างถึงใน จลุ ลี่ ศรีษะโคตร. 2557 : 35) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า ชุมชนการ เรียนร้ทู างวชิ าชพี ถอื เป็นกลยุทธใ์ นการปฏริ ูปการจัดการเรียนร้ทู ส่ี าคญั มหี ลายพ้ืนที่ได้นาแนวทางของ ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ครูไปพัฒนาการจดั การเรียนรู้และโรงเรียน โดยเฉพาะช่วงแห่งการปฏิรูป การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งส่งผลใหช้ มุ ชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชีพ เป็นเครอ่ื งมือสาคัญในการปฏริ ปู การจดั การเรยี นรู้ของกลุ่มครูและนักการศึกษา ยกตวั อย่างการปฏริ ปู การศึกษาสู่การเรยี นรู้ในศตวรรษ ท่ี 21 ของประเทศอเมริกาและประเทศสิงคโปร์ ที่ได้นากลยุทธ์ชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ เป็น เครอื่ งมือขบั เคล่อื นดาเนินการจนเกิดผลท่ีน่าพอใจ รวมถึงประเทศไทยทมี่ ีการพัฒนาวิชาชพี ครู ในสถานศึกษาในลักษณะที่คล้ายกันกบั ชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี ครู เชน่ ชุมชนการเรยี นรูข้ องสถาบนั อาศรมศลิ ป์ และโรงเรยี นรุง่ อรณุ และโครงการ “ครูเพอื่ ศิษย์” ของมูลนธิ ิสดศรี-สฤษดว์ิ งศ์ ที่พัฒนา วิชาชีพครูโดยใช้แนวคิดชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ

23 อภินนั ท์ สิริรตั นจติ ต์ (2556 : 31) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า การปฏิรูประบบพัฒนาคุณภาพครู รฐั ต้องสนับสนุนให้เกดิ ระบบชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี ครู (Professional Learning Community) โดยรฐั ปรับบทบาทจากผ้จู ดั หามาเป็นผู้กากบั ดแู ลคุณภาพและส่งเสริมการจัดการความรู้ ใหโ้ รงเรยี นเปน็ หน่วยพัฒนาหลกั ให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณและมอี านาจในการตัดสินใจ เช่น การ เลอื กหลกั สูตรและผู้อบรมเอง และใหค้ วามสาคัญกับการนาความรู้ส่กู ารปฏิบตั จิ ริง สรุปได้ว่า ชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพครู มีความสาคัญทัง้ เชงิ นโยบายระดับประเทศ จนกระทั่งถงึ ระดบั ปฏบิ ัติ ซง่ึ ผบู้ รหิ ารตอ้ งใหค้ วามสนใจและขบั เคลือ่ นองค์การ สูก่ ารเป็นชมุ ชนการ เรียนรูท้ างวิชาชีพของครู ให้ครไู ด้รว่ มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาตนเองเพ่ือสร้างลูกศิษย์ทม่ี คี ุณภาพ สาหรบั เปน็ พลเมืองไทยและพลโลกที่มีคุณค่าต่อไป 4. แนวทำงกำรสร้ำงชุมชนกำรเรียนรู้ทำงวิชำชีพของครูในสถำนศกึ ษำ นีออน พณิ ประดิษฐ์ และคณะ (2551 : 5) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ การส่งเสริมชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ของครู ต้องดาเนนิ การโดยยดึ หลกั การทวี่ า่ การศกึ ษาและการเรยี นร้เู ป็นกลไกสาคัญต่อ การแก้ปัญหาและการพฒั นาการเรยี นรู้ อันจะส่งผลต่อการดารงชพี และการปฏิบตั ิงานครู สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน (2553 : 12) ไดก้ าหนดมาตรฐาน ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรูใ้ นสถานศึกษาไว้ดังน้ี 1. การสรา้ งและพฒั นาแหล่งเรียนรภู้ ายในสถานศึกษา 2. การกากับติดตามนิเทศและประเมนิ ผล 3. การสนบั สนนุ ผ้เู รยี นและบคุ ลากรทางการศึกษารวมท้งั ผู้ท่ีมีสว่ นเก่ยี วขอ้ งใหเ้ กดิ กระบวนการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ 4. การสรุปองค์ความรู้ท่จี าเป็น 5. การสรา้ งเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ กมั พล ไชยนันท์ (2554 : 21-23) ให้แนวทางในการพฒั นาชุชนการเรียนรูท้ างวชิ าชีพ ของครูไว้วา่ ควรมีการกาหนดนโยบายชุมชนการเรียนรทู้ างวชิ าชพี ครทู ช่ี ดั เจน รณรงค์สร้างความรู้ ความเขา้ ใจ หาจุดเริ่มต้นในชุมชน จดั ต้ังคณะกรรมการดาเนินงาน สร้างความสนใจในวงกวา้ งพัฒนา บคุ ลากรทจ่ี ะเปน็ ผดู้ าเนนิ งาน วิเคราะหส์ ภาพปัญหาและความตอ้ งการ จัดทาแผนและกาหนด ยทุ ธศาสตร์ในการดาเนินงาน วเิ คราะห์สภาปญั หาความต้องการ จดั ทาแผนและกาหนดยุทธศาสตร์ ในการดาเนินงาน วิเคราะหศ์ ักยภาพของหนุ้ ส่วน ดาเนินการตามแผนกิจกรรม ติดตามประเมินผล ประชาสัมพันธ์ผลการดาเนนิ งาน สร้างเครอื ข่ายและหามาตรการในการระดมทนุ จากแหล่งต่างๆ วจิ ารณ์ พานิช (2555 : 135-136) ได้ให้ความเหน็ ว่า การสร้างชมุ ชนแงการเรียนรู้ครู เพ่อื ศษิ ย์ ครูอาจเรยี นร้รู ่วมกันในกลุ่มสาระของตนเองในโรงเรยี น หรอื เรยี นรกู้ บั เพื่อนครูตา่ งโรงเรียน ก็ได้ โดยการสร้างเครอื ขา่ ยการเรยี นรหู้ รือจับคบู่ ัดด้ีเพอื่ ให้ความช่วยเหลอื ซึง่ กันและกนั และผู้บริหาร โรงเรียนตอ้ งมีใจจดจ่ออยู่ท่ี Learning Outcome โดยหาทางส่งเสรมิ การวดั Learning Outcome เปน็ ระยะๆ สรา้ งเป้าหมายชนื่ ชมหรอื เฉลิมฉลองเมื่อโรงเรียนสามารถบรรลุเปา้ หมายในแตล่ ะระยะ และสง่ เสริมสนับสนุน รวมท้งั แสวงหาทรัพยากรในพื้นท่ีเพ่ือให้การสรา้ ง PLC ประสบผลสาเร็จ แสงหลา้ เรืองพยัคฆ์ (2555 : 115-116) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า การสร้างชุมชนการเรียนรู้ ของครู สามารถทาได้โดย 1. สถานศกึ ษาและชุมชนจะต้องมีการผสานความร่วมมือในการปฏบิ ัตงิ านทีเ่ กยี่ วกบั

24 ความร่วมมือแบบหนุ้ ส่วนและการมีสว่ นร่วม 2. สรา้ งโอกาสการเข้าถึงการเรยี นรขู้ องครู 3. สง่ เสริมการสร้างกลไกเพ่ือการเรียนรู้ 4. สร้างและพฒั นาเครอื ขา่ ย ส่งเสริมและสร้างกลไกเพือ่ การเรียนรู้ 5. พัฒนาระบบการบริการความรู้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ 6. แสวงหาภาคเี ครอื ข่าย การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ดว้ ยการสารวจ วิเคราะห์ และจาแนกประเภทเครือขา่ ยเพอื่ นามาเปน็ ข้อมลู ในการประสานความร่วมมือ เพื่อใหส้ ามารถทากรอบ และแผนงาน การจัดกิจกรรมการเรยี นรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 8. สร้างแรงจใู จด้วยการยกย่องและใหร้ างวลั ศักดช์ิ ัย ภู่เจรญิ (2556 : 98-100) ไดใ้ ห้ความเห็นว่า การสรา้ งชุมชนการเรยี นรู้ทาง วชิ าชีพสาหรับครู เร่มิ จาก 1. เปลีย่ นจากคาว่าครสู อน มาเปน็ ครูฝึก 2. เปล่ยี นจากหอ้ งทส่ี อนมาเป็นหอ้ งทางาน 3. เปลี่ยนจากเนน้ การสอนของครู มาเปน็ เนน้ การเรยี นของนักเรยี น 4. เปลย่ี นจากเรียนเป็นรายบคุ คล มาเปน็ การเรยี นร่วมกันเป็นกลมุ่ 5. เปลีย่ นจากการเรยี นแบบแขง่ ขัน มาเป็นเรยี นแบบชว่ ยเหลือและแบ่งปัน 6. เปลี่ยนจากการบอกเน้ือหา มาเปน็ สร้างแรงบนั ดาลใจ 7. เน้นการสอนออกแบบโครงงานใหน้ ักเรยี นลงมือทา โดยได้เสนอแนวทางการสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวิชาชีพสาหรบั โรงเรยี นไวด้ ังนี้ 1. กาหนดความต้องการของโรงเรยี นและความพร้อมในการเปลีย่ นแปลง คือ ระบุ สง่ิ ท่ีขัดขวางหรืออปุ สรรค 2. สร้างทีม คอื หาคนมาแลกเปลย่ี นวสิ ยั ทศั น์ โดยเรม่ิ ต้นจากการแลกเปลีย่ นแนวคดิ 3. กาหนดกรอบการดาเนนิ งาน 4. พจิ ารณาจุดท่ีต้องการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆ โดยเรม่ิ ต้นจากบางสิง่ บางอย่างท่ี สามารถมองเหน็ ได้ชดั เจนจากภายนอก เช่น การประดบั ตกแตง่ ห้องโถง หรอื ทางเดนิ หนา้ โรงเรยี น สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2556 : 87-90) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า ในการสรา้ งชมุ ชนแห่งวชิ าชีพหรือ ชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวิชาชีพของครใู นสถานศึกษาควรประกอบดว้ ย 1. การจัดกจิ กรรมที่จาเป็นต่อการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี เพื่อใหค้ รูได้ แลกเปลยี่ นระหว่างกัน มกี ารปฏิสมั พันธใ์ นหมู่ครผู ู้สินมากขน้ึ ลดความร้สู ึกโดดเดย่ี ว 2. การสรา้ งคา่ นยิ มและบรรทัดฐานรว่ มกนั เพอื่ เป็นแนวทางในการอยู่รว่ มกนั 3. ปรับโครงสร้างใหม่ ให้สามารถรองรบั การเกดิ ชมุ ชนแห่งวชิ าชีพพร้อมที่จะรองรบั ต่อ การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ทเี่ กิดข้ึนตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ตอ่ ความเปน็ ไปได้ ของชมุ ชนแห่งวิชาชพี ทีจ่ ะเกิดข้นึ ในโรงเรยี น 4. ปรบั เปลี่ยนวัฒนธรรมองคก์ าร (Professional Community Culture) เชน่ ลด ความเป็นองค์การท่ียึด “วัฒนธรรมแบบราชการ หรอื Bureaucratic Culture” ไปสู่ “วฒั นธรรมแบบ กลั ยาณมติ รทางวิชาการ หรอื Collegial Culture” สร้างเสริมวฒั นธรรมแหง่ “ความไว้วางใจ(Trust)

25 และความนบั ถือ (Respect)” ต่อกนั ในมวลหม่สู มาชิกของชมรมแห่งวิชาชพี สร้างวัฒนธรรมการใช้ ทักษะดา้ นการคิดและใช้สตปิ ัญญาเปน็ ฐาน (A cognitive Skill Base) วิชาชพี ครูเปน็ วิชาชีพช้ันสงู (Professional) ท่ตี อ้ งใช้ความรู้ การคดิ และการใชส้ ตปิ ญั ญา เป็นเครอ่ื งมอื สาคญั ในการประกอบวิชาชพี ครูผ้สู อนจงึ ต้องเรยี นรู้อยู่ตลอดเวลาเปลย่ี นพฤติกรรมจากผู้ ถา่ นทอดความรู้ไปเปน็ ผู้จัดสรรประสบการณ์การเรยี นรู้ท่หี ลากหลายใหก้ บั ผู้เรียน สรา้ งวัฒนธรรมการ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์สงิ่ ใหมๆ่ (Open to Innovation) โดยเฉพาะองค์ความรู้ใหม่ (Knowledge Creation) สรุปไดว้ า่ การสร้างชุมชนการเรียนรู้ของครูในสถานศกึ ษา ตอ้ งอาศัยความร่วมมือจาก ผเู้ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่าย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาในฐานะผนู้ าองคก์ าร ต้องทุ่มเทความรู้ ความสารถอย่างเต็มท่ีในการขบั เคล่ือนใหส้ ถานศึกษาเปน็ ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ ภายใต้การมีสว่ นร่วม ของทกุ คน 5. องค์ประกอบของชุมชนกำรเรยี นรูท้ ำงวชิ ำชีพ นอี อน พิณประดษิ ฐ์ และคณะ (2551 : 8) ได้ให้ความเห็นว่า ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ครูมีองค์ประกอบหลกั ที่สาคัญ ได้แก่ บุคคลแห่งการเรียนรู้ การพฒั นาแหล่งเรียนรู้ให้พอเพียงและ เหมาะสม องค์ความรู้ทเี กดิ จากการเรียนร้รู ่วมกนั ของสมาชิกและการจดั การความรใู้ ห้เป็นระบบ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน (2553 : 15) ไดเ้ ปรียบเทียบมาตรฐาน การจัดการศกึ ษาตามกรอบมาตรฐานการศึกษาของชาติทงั้ มาตรฐานของสานกั งานรับรองมาตรฐานและ ประเมนิ คุณภาพการศึกษาหรือ สมศ. และมาตรฐานของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน หรอื สพฐ. เกยี่ วกับการสร้างสังคมแหง่ การเรยี นรู้ ซ่ึงพบว่าการจัดการศึกษาทุกระดบั ให้ความสาคัญกับ ชุมชนการเรียนรทู้ ้ังในระดบั ครผู ้สู อน และระดบั ผเู้ รยี น ซึ่งมีหลักการและแนวทางคลา้ ยๆ กนั สรุปได้วา่ ชุมชนการเรยี นร้ทู างวชิ าชพี ตามกรอบมาตรฐานการศึกษาของชาติและมาตรฐานการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ประกอบด้วย 1) ทีมเรียนรู้ 2) แหลง่ เรียนรู้ 3) กระบวนการเรียนรู้ 4)เครือขา่ ย และ 5) เทคโนโลยี สารสนเทศ สานักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (2554 : 8) ได้ใหม้ มุ มองเก่ียวกับปจั จยั ที่เป็น สว่ นประกอบในการทาให้ชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพของครปู ระสบผลสาเรจ็ ได้ 6 ประการ คือ 1. วสิ ัยทศั น์ โดยจะต้องมผี ูน้ าการเปล่ยี นแปลงทม่ี วี สิ ยั ทศั น์ มีความรู้โปรง่ ใส ความสามารถในการบริหารจัดการ การประสานงาน และการกระต้นุ ใหส้ มาชกิ ชุมชนมสี ่วนร่วมใน การพฒั นา 2. ความร่วมมอื คือ สมาชิกท่ีมีคุณภาพและมจี ิตสานกึ เพื่อส่วนรวม เขา้ มาร่วมคิด ร่วมดาเนินการ ร่วมรับผิดชอบในกระบวนการ 3. กระบวนการเรยี นร้เู พื่อแก้ไขปญั หาและพฒั นาชุมชนอย่างตอ่ เนื่อง คือ จะต้องมีการ เรยี นรเู้ พอ่ื ใชแ้ กป้ ญั หาและการพฒั นาอยู่ตลอดเวลา รวมท้งั ตอ้ งมีการถา่ ยทอดความรู้ระหว่างชมุ ชน อยา่ งสม่าเสมอ 4. สมรรถนะและศกั ยภาพความพร้อม คือ จะต้องมีความเขม้ แข็ง พ่งึ ตนเองได้และมี ความสามารถในการแข่งขัน โดยการพฒั นาสมรรถนะและทักษะความพรอ้ ม ใช้ความรใู้ นการปรับปรงุ เปล่ยี นแปลงใหเ้ กดิ กรรมวธิ กี ารหรือสงิ่ ใหมๆ่ หรือพฒั นาให้ดกี ว่าเดมิ

26 5. การจดั การความรู้ คือต้องมีระบบการเกบ็ ความรู้ทั้งความร้ทู ม่ี ีอยูภ่ ายในชุมชน และความร้ภู ายนอกชุมชนอย่างเป็นระบบและเข้าใจง่ายรวมทง้ั ต้องรจู้ กั สร้างและนาความรทู้ ่ีมีอย่มู าใช้ ในการพัฒนาดา้ นต่างๆ อยา่ งต่อเนอ่ื ง 6. การสร้างเครอื ข่ายความร่วมมือทง้ั ในและนอกชมุ ชน คือ ตอ้ งมีความรว่ มมือ ในหลายๆ ดา้ น เช่น ทุน กิจกรรม วชิ าการ มีการจดั การกลุ่มและเครือข่ายทม่ี ปี ระสิทธิภาพให้เกิด การพัฒนาอย่างต่อเชือ่ มโยง ประสานเกีย่ วเนื่อง ครอบคลุมในทกุ บรบิ ท วิจารณ์ พานิช (2555 : 51-56) ไดใ้ ห้ความเห็นว่า ชุมชนเรียนรคู้ รูเพ่ือศิษย์ (Professional Learning Community) ประกอบดว้ ย 1. ผู้นามวี สิ ยั ทศั น์ 2. การกาหนดเป้าหมาย 3. ความเชือ่ และคา่ นยิ ม 4. แนวปฏบิ ตั ิ 5. การสนบั สนนุ เชน่ การสร้างบรรยากาศท่ีเอ้ืออานวยตอ่ การเรยี นรู้ การละลาย พฤติกรรม การสง่ เริมความสุภาพ การฉลองความสาเรจ็ 6. เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื ทาใหค้ วามเปน็ ชมุ ชนแน่นแฟ้นขนึ้ เชน่ Facebook 7. การสร้างทมี โดยทาให้ทุกคนเข้ารว่ มเป็นสมาชิกและมคี วามเขม้ แข็ง 8. การมสี ่วนร่วมและการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ใหท้ กุ คนมีความรสู้ ึกเป็นส่วนหนง่ึ ของชุมชน สวิ รี พิศทุ ธ์ิสนิ ธพ (2553 : 89-91) ได้ศกึ ษาเกยี่ วกับรปู แบบการพัฒนาชุมชนการเรยี นรู้ ทางวิชาชีพของครใู นสถาบนั อุดมศึกษาคาทอลิก พบว่า ชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี ครูประกอบด้วย 1. ภาวะผู้นา โดยเฉพาะภาวะผู้นาแบบสนบั สนุนและภาวะผูน้ าแบบมสี ว่ นร่วม ได้แก่ การแบ่งปันอานาจ การมีส่วนรว่ มในการตัดสนิ ใจ และการส่งเสริมพฒั นาภาวะผ้นู า 2. วสิ ัยทศั น์ร่วมและคา่ นยิ ม ซงึ่ ประกอบดว้ ย วสิ ยั ทศั น์และค่านิยม เพ่ือการเรียนรู้ ของผเู้ รียนและเพื่อการทางานรว่ มกันของบุคลากร 3. การเรยี นรู้ร่วมกันและประยกุ ตก์ ารเรยี นรู้ ซึง่ ประกอบด้วย การเรียนรูร้ ว่ มกัน และการประยกุ ต์ความรู้เพอ่ื ประโยชนข์ องผ้เู รียน 4. สภาพการณท์ สี่ นับสนนุ โครงสร้างทางกายภาพและโครงสรา้ งทางกายภาพ และโครงสรา้ งทางทรัพยากรบคุ คล 5. การแลกเปล่ียนเรยี นรแู้ ละการให้ข้อมูลย้อนกลบั 6. การเปน็ บคุ คลแห่งการเรียนรู้ สุภาพ ยืนคาพะเนาว์ (2555 : 107-112) ได้ศึกษาเกย่ี วกบั การพฒั นารูปแบบชมุ ชน การเรียนรูท้ างวชิ าชีพครู เพื่อสง่ เสริมการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะการคิด โรงเรียนสองครพทิ ยาคม องค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั นครราชสีมา พบวา่ รปู แบบชมุ ชนการเรียนร้ทู างวิชาชพี ของครู ประกอบด้วย 6 องคป์ ระกอบหลัก 13 องคป์ ระกอบย่อย ไดแ้ ก่ 1. โครงสรา้ งและสิ่งสนับสนนุ ประกอบดว้ ย ด้านเวลา ส่ิงอานวยความสะดวก การสรา้ งวฒั นธรรมความไว้วางใจและการนับถือ

27 2. ค่านิยมและวสิ ยั ทศั น์รว่ ม ประกอบด้วย คา่ นิยมและวิสัยทศั น์รว่ มเพ่ือการเรียนรู้ ของนักเรียนและเพ่ือการทางานรว่ มกนั ของบุคลากร 3. การเรยี นรูร้ ว่ มกนั และการประยุกต์ความร้เู พ่ือประโยชนข์ องนักเรยี น ประกอบดว้ ย การเรียนร้รู ่วมกนั การประยกุ ต์ความรเู้ พ่ือประโยชนข์ องนกั เรยี น 4. การแลกเปล่ยี นเรยี นรแู้ นวปฏบิ ัตทิ ่ีดี และการสะท้อนผลการปฏิบัติ 5. การรว่ มมอื ประกอบดว้ ย การเรยี นร้ขู องนกั เรยี น และความกา้ วหนา้ ทางวิชาชพี 6. เปา้ หมาย ประกอบด้วย ครมู ืออาชีพ ผลการเรยี นรขู้ องนักเรยี น และการจัดการ เรยี นรู้ดา้ นทกั ษะการคิด 3 ระดบั คอื ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดบั สูง จุลลี่ ศรษี ะโคตร. 2557 : 35) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า ชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชคี รู มี 6 องคป์ ระกอบ ได้แก่ 1. วิสยั ทัศนร์ ่วม (Share Vision) เปน็ การมองภาพทศิ ทางส่ิงที่จะเกิดขน้ึ จรงิ ในอนาคต รว่ มกนั โดยอาศัยความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ถงึ ความสัมพันธข์ องเหตุปัจจัยต่างๆ โดยเร่มิ จากผู้นาหรือกลุ่ม ผู้นาที่มวี สิ ัยทัศน์ ทาหนา้ ท่เี หนยี่ วนาให้ผรู้ ว่ มงานเหน็ วสิ ัยทศั น์น้ันรว่ มกัน นามาสคู่ วามชดั เจนในการ ต้ังเปา้ หมาย หรอื วตั ถุประสงค์ร่วม (Shared Purpose) จนเกิดเป็นพลงั ของชมุ ชนการเรียนรูท้ าง วชิ าชพี 2. ทีม เป็นการรว่ มแรงรว่ มใจของทุกคนในชุชน โดยพัฒนามาจากกลุ่มที่ทางานร่วมกนั อย่างสร้างสรรค์ด้วยความสมัครใจ เพ่ือให้บรรลผุ ล บนพ้นื ฐานการคิดและการรับผดิ ชอบรว่ มกนั 3. ภาวะผนู้ ารว่ ม มี 2 ลักษณะสาคญั คือ ภาวะผนู้ าในฐานะผสู้ ร้างให้เกิดการนารว่ ม และภาวะผนู้ ารว่ มกนั หรือการเปน็ ผู้นารว่ มกนั ของสมาชิกในชมุ ชน 4. การเรยี นรแู้ ละการพฒั นาวิชาชพี (Learning And Professional Development) มีจุดเน้นสาคัญ 2 ด้าน คือ การเรยี นร้เู พือ่ พัฒนาวชิ าชีพ และการเรยี นรเู้ พ่อื จติ วิญญาณความเปน็ ครู 5. ชุมชนกัลยาณมติ ร คือ คอยชว่ ยเหลือซึ่งกนั และกนั อย่างจริงใจโดยไมห่ วงั ส่ิงใด ตอบแทน 6. โครงสรา้ ง คือ มีโครงสรา้ งทีส่ นับสนนุ มีการบริหารจดั การทเ่ี อ้ือต่อชุมชนใหส้ ามารถ ดาเนินการไดอ้ ยา่ งสะดวก บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ ศักดช์ิ ัย ภเู่ จรญิ (2556 : 24) ไดใ้ หค้ วามเห็นว่า องคป์ ระกอบชองชุมชนการเรยี นรู้ทาง วิชาชพี ของครู (PLC) ไวด้ งั นี้ 1. วิสยั ทศั น์ ความเชอ่ื และค่านยิ ม 2. ความเปน็ ผูน้ าและการชนี้ า 3. ส่งิ แวดลอ้ มเชิงบวก 4. การปฏิบัตสิ ่วนบุคคล จากเอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง ผู้วจิ ยั รวบรวมและสงั เคราะห์องค์ประกอบของชมุ ชน การเรยี นรู้ทางวิชาชพี ดังแสดงในตารางที่ 1 และตารางท่ี 2 ดงั นี้

28 ตำรำงที่ 1 องค์ประกอบของชมุ ชนการเรยี นรูท้ างวิชาชพี องค์ประกอบชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี สนง.คณะกรรมการการ ึศกษา ้ัขนพื้นฐาน (2553 : 15) สนง.คณะกรรมการการวิจัยแห่งชา ิต (2554 : 8) ีนออน พิณประ ิดษ ์ฐ และคณะ (2551 : 8) สิวรี พิ ุศทธ์ิสินธพ (2553 : 89-91) สุภาพ ยืนคาพะเนาว์ (2555 : 107-112) วิจาร ์ณ พา ินช (2556 : 51-56) ุจลลี่ ศรีษะโคตร (2557 : 35) ัศกดิ์ ัชย ภูเจริญ (2556 : 24) 1. วสิ ยั ทศั น์    2. ภาวะผนู้ า 3. เป้าหมาย   4. ความเชือ่ และคา่ นิยม 5. แนวปฏบิ ตั ิ  6. การสนบั สนุน 7. เทคโนโลยสี ารสนเทศ  8. ทีมเรียนรู้ 9. การแลกเปล่ียนเรยี นรู้  10. เครอื ขา่ ย 11. ความรว่ มมือ   12. สมรรถนะและศักยภาพความพร้อม 13. การจดั การความรู้  14. แหล่งเรยี นรู้ 15. บุคคลแห่งการเรยี นรู้   16. กระบวนการเรียนรู้ 17. ชุมชนกัลยาณมิตร    18. สง่ิ แวดล้อมเชงิ บวก 19. การปฏิบัติสว่ นบุคคล  20. โครงสรา้ ง           จากขอ้ มูลในตารางที่ 1 ผวู้ จิ ยั ไดส้ ังเคราะหองคป์ ระกอบของชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ของครตู ามแนวคิดของ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ (2554) รว่ มกับแนวทางของสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน (2553) วจิ ารณ์ พานชิ และคนอ่นื ๆ และบริบททเี่ กีย่ วข้อง สรปุ ได้ วา่ องคป์ ระกอบของชมุ ชนการเรียนร้ทู างวิชาชพี ผู้วจิ ัยได้สรุปองคป์ ระกอบของชมุ ชนการเรยี นรทู้ าง

29 วชิ าชพี ของครู ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบคือ การสนับสนุนและเปน็ ผนู้ ารว่ มคา่ นยิ มและวิสัยทัศน์ รว่ ม ทีมเรียนรู้และการจัดการความรูร้ ่วมกัน และการสง่ เสริมแหลง่ เรยี นรู้ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ดังภาพประกอบท่ี 2 ชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวิชาชีพ (Professional Learning Community) การสนับสนนุ และเป็นผู้นาร่วม ค่านิยมและวิสยั ทัศน์ร่วม ทีมเรียนรแู้ ละการจัดการความรู้ร่วมกัน การส่งเสรมิ แหลง่ เรยี นรูแ้ ละเทคโนโลยี สารสนเทศ ภำพประกอบท่ี 2 องคป์ ระกอบแของชุมชนกำรเรียนร้ทู ำงวิชำของชีพ ผูว้ ิจยั ได้นาองค์ประกอบของชุมชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ครู ในแตล่ ะองค์ประกอบมาศึกษา เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกาหนด องค์ประกอบและตัวบง่ ชีด้ ังนี้ 1. การสนบั สนนุ และภาวะผู้นาร่วม การสนับสนนุ หมายถึง การใหค้ วามสาคัญและการขยายขอบเขตในโครงการหรือ กจิ กรรมใหด้ ี มคี ุณภาพอย่างสมบูรณข์ น้ึ ด้วยปจั จัยต่าง ๆ เช่น งบประมาณ วัสดุ อปุ กรณ์ อาคาร สถานท่ี บุคลากร ความรู้ โอกาสและกาลังใจ เพื่อใหบ้ รรลุผลตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายทีม่ ี ความเป็นไปได้อยา่ งเป็นรูปธรรม สามารถจะดาเนินการได้อยา่ งต่อเน่ือง ม่นั คงและยัง่ ยืน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช (2540 : 7) ไดให้คาจากดั ความของภาวะผู้นาไววา ภาวะผูเ้ ป็นการใชอ้ ทิ ธิพลระหว่างบคุ คลในสถานการณอยา่ งหน่งึ โดยผ่านกระบวนการติดต่อส่อื สาร เพ่อื ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ทก่ี าหนด พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยตุ โต) และคณะ (2543 : 3) ไดใหค้ วามหมายวา่ ภาวะผู้นาคือ คณุ สมบัติ เชน่ สติปญั ญา ความดงี าม ความรูความสามารถของบุคคลทชี่ กั นาให้คนท้ังหลายมา ประสานกันและพากนั ไปสูจดุ หมายท่ดี งี าม ชาญชัย อาจนิ สมาจาร (2543 : 9) กลา่ วว่า ภาวะผู้นา คอื การสรา้ งโอกาสให้บคุ คล อน่ื ๆ ไดทาประโยชนอยา่ งสาคญั เป็นรายบุคคลหรือท่ีมตี ่อภารกจิ ขององคก์ าร ภาวะผนู้ าเป็นตัวแทนของ

30 ความตั้งใจและความพยายามของผ้นู าในการมองหาแนวทางเพือ่ ขยายสมรรถนะของพนกั งาน ให้ทาคณุ ประโยชนแกเปา้ หมายและจุดประสงคข์ องหน่วยงาน Richards and Engle (1986 : 220) ภาวะผู้นา หมายถงึ การจดุ ประกายวิสัยทัศน์ ใหผ้ อู้ ่นื มองเหน็ พรอมท้ังปลูกฝงั เปน็ ค่านยิ มและสร้างสภาวะแวดลอ้ มท่เี อ้ืออานวยใหส้ ามารถปฏิบตั ิ ไดสาเรจ็ Jacobs and Jaques (1990 : 281) ภาวะผูน้ า คือ กระบวนการให้จดุ หมาย (ทิศทาง ที่มีความหมาย) เพ่ือใหเ้ กดิ การรวมพลงั ความพยายาม และความเต็มใจทีจ่ ะใช้ความสามารถนั้นเพ่ือให้ บรรลเุ ปา้ หมาย Schein (1985 : 86) ภาวะผนู้ า คอื ความสามารถทจี่ ะก้าวออกมาจากวฒั นธรรมเดมิ เพ่ือเร่ิมกระบวนการ วิวัฒนาการเปล่ยี นแปลงท่ีทาใหม้ ีการปรับตัวไดมากขนึ้ สรุปได้ว่า การสนบั สนนุ และการเป็นผ้นู ารว่ มกนั หมายถงึ ผู้บริหารและครูผู้สอน ร่วมกนั สนบั สนนุ การปฏิบตั ิการให้โรงเรียนประสบผลสาเร็จในด้านนโยบาย การปฏิบัติ การตดั สินใจ รว่ มกัน มีการสนับสนนุ ใหค้ รูใช้ภาวะผนู้ า หรอื การปรับปรงุ โรงเรียน เพือ่ นรว่ มงานให้มี 2. ค่านิยมและวิสยั ทัศนร์ ว่ ม โสภัณฑ์ นุชนาถ (2548) ค่านิยม (Value) หมายถงึ สิง่ นน้ั ๆ เป็นสง่ิ ที่มคี ุณคา่ ได้รบั ความนยิ มชมชอบจาก บุคคล หรอื สงั คม สง่ิ เหลา่ นั้นอาจเป็น รปู ธรรมหรอื นามธรรมก็ได้ Krech and Richard Crutchfield (1972 : 102) ให้คาจากดั ความของค่านิยมไว้วา่ เป็นความเชื่อเกีย่ วกบั สิ่งใดเป็นส่งิ ทีพ่ งึ ปรารถนา หรอื สิ่งท่ีไม่พงึ ปรารถนา ค่านยิ ม จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ วฒั นธรรมของสังคม และเปน็ สิ่งทส่ี มาชิกในสงั คมยดึ ถือรว่ มกนั อย่างกวา้ งขวาง บคุ คลใดยอมรบั ค่านยิ ม ใดเปน็ ของตน ค่านยิ มน้นั กจ็ ะเป็นเปา้ หมายในชวี ิตของบุคคลน้ัน พัชนยี ์ ธระเสนา (2551 : 23) ไดใ้ ห้ความเหน็ วา่ วสิ ยั ทัศนร์ ่วม (Shared Vision) หมายถึง กรอบความคดิ เกี่ยวกับสภาพในอนาคตขององคก์ ารที่ทุกคนในองค์การมคี วามปรารถนา รว่ มกัน ทจี่ ะมุ่งทาให้กลายเป็นความจริง ทงั้ น้เี พ่ือการเรียนรุ้ ริเรมิ่ ทดลองส่งิ ใหม่ๆ ของคนในองค์การ เป็นไปในทิศทางหรือ กรอบแนวทาง ทมี่ งุ่ ไปสจู่ ดุ หมายเดยี วกนั คือ สภาพขององค์การท่ีทกุ คนต้องการ และเพ่ือป้องกันการเรียนรแู้ บบต่างๆ คนตา่ งคดิ ตา่ งคนตา่ งทา ไปคนละทศิ ละทางจนสญู เสยี ความเป็น องค์กร นภสั ดล ขจรเรอื งสกลุ (2554 : 13) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ วสิ ยั ทศั นร์ ว่ ม เป็นเสมือน แรงผลักดนั ใหเ้ กิดผลสกู่ ารปฏิบัติ นาองค์การไปส่เู ป้าหมายทตี่ อ้ งการเป็นแนวทางในการพัฒนาองคก์ ร และเปน็ ทิศทางนาไปส่กู ารเปลี่ยนแปลงท่ีสรง่ สรรค์ขององค์การ สุรศกั ด์ิ ชะมารมั ย์ (2556 : 21) ได้ให้ความเหน็ ว่า วิสยั ทศั น์รว่ ม (Shared Vision) คือ พลังในการขบั เคลื่อนภารกิจต่างๆ ขององคก์ าร ไปสู่จดุ มุ่งหมายทกี่ าหนดและเปน็ จดุ รว่ มและเปน็ พลงั ใน ในการเรียนรขู้ องสมาชกิ ในองคก์ าร ซึง่ ผู้นาจาเปน็ ต้องมีการพัฒนาวสิ ัยทัศน์เฉพาะขึ้นมาและแบง่ ปันให้ ผูอ้ ่ืนได้เรยี นรูแ้ ละไดเ้ ข้าใจ โดยวิสยั ทัศน์รว่ มนมี้ ีคณุ คา่ ทั้งภายในและภายนอกต่อสมาชกิ ในองค์การ คุณคา่ ภายใน เชน่ การสร้างแรงบันดาลใจให้คนเกดิ ความยึดมน่ั ศรัทธา หรือเกิดความผูกพันกบั ทีม กับ องค์การ เพ่ือเปน็ แรงผลักดันให้คนเกิดการคิดและทาในส่งิ ที่ดีกว่า สว่ ยคณุ ค่าภายนอก ได้แก่ ผลสาเร็จท่ี เกดิ ขึน้ กบั องคก์ ารหรือองค์การมคี วามเปน็ เลศิ อันเป็นเปา้ หมายของสมาชกิ ทุกคน

31 สรุปได้วา่ ค่านิยมและวสิ ัยทศั นร์ ว่ ม หมายถึง ผู้บริหารและครผู สู้ อนมีสว่ นรว่ มในการสรา้ ง คา่ นยิ มและกาหนดวสิ ยั ทศั นร์ ่วมกนั เก่ียวกับด้านการสอนและการเรียนรูของนักเรียน เนน้ ที่การเรียนรู ของนักเรยี น เพ่ือใหน้ ักเรยี นมีประสทิ ธิภาพและโรงเรียนมีประสทิ ธผิ ล 2. ทมี เรียนรู้และกำรจดั กำรควำมรู้รว่ มกัน ศศกร ไชยคาหาญ (2550 : 60) ไดใ้ หค้ วามเหน็ ว่า การเรยี นรูเ้ ป็นทีม คือ การเรยี นรูแ้ ละ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซง่ึ กันและกนั ในทุกๆ รปู แบบ เปิดโอกาสให้มีการสร้างคนท่ีมศี กั ยภาพมี ความสามารถและใหเ้ กง่ ข้นึ เป็นลาดบั ตามรอยของผ้นู าในทีมนั้นๆ พัชนยี ์ ธระเสนา (2551 : 51) ไดใ้ หค้ วามเหน็ ว่า การเรียนรู้รว่ มกนั เป็นทมี (Team Learning) ในองคก์ รแห่งการเรยี นรู้ เปน็ การแลกเปลีย่ น แบง่ ปนั ถา่ ยทอดข้อมูล ที่ได้จากประสบการณ์ การเรียนรรู้ ะหวา่ กันและกัน ซงึ่ อาจจะมที ้งั ความสาเรจ็ และความล้มเหลว ข้อสาคัญ คือ การนาความรู้ เหลา่ นม้ี าแลกเปลยี่ นกนั ย่อมทาให้เกดิ การแพร่กระจาย (Diffusion) ของวทิ ยากรใหมๆ่ ซ่ึงจะทาใหก้ าร ทางานร่วมกนั ในองค์การมปี ระสทิ ธภิ าพมากย่ิงข้ึน และยงั ช่วยใหส้ มาชกิ แต่ละคน แสดงศักยภาพที่มีอยู่ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ วจิ ารณ์ พานิช (2555 : 152-153) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า ทีมและเครือข่ายการเรียนรู้ คือ การ ดาเนินการเกี่ยวกบั การรวมตัวกนั ของ Professional Learning Community ซึง่ มีบทบาทและหน้าที่ใน การรว่ มแลกเปล่ยี นเรียนรู้ ดแู ลช่วยเหลอื ซง่ึ กันและกนั ในการจดั การเรยี นรใู้ หศ้ ิษย์ได้ทั้งความรู้และ ทักษะทีจ่ าเป็น สุรศักดิ์ ชะรมั รมั ย์ (2556 : 15) ไดใ้ หค้ วามเห็นวา่ ส่ิงที่ต้องคานึงถึงสาหรับการเรียนรู้ ของทมี (Team Learning) คือการเพมิ่ ระดับความสามารถของทีมให้เหนือกวา่ ระดับความสามารถของ บุคคลในทีม ซึ่งการพฒั นาทีมให้มีขีดความสามารถนน้ั จาเป็นต้องมีการประสานความสัมพนั ธก์ ันเปน็ อยา่ งดี โดยผา่ นการพดู คยุ และการอภปิ รายของผูค้ นในองค์การ เพ่ือใหเ้ กิดการปรบั ทิศทางให้เหมาะสม กบั องคก์ าร นอกจากนจี้ าเป้นอยา่ งยงิ่ ทจี ะต้องมีการเพม่ิ อานาจในการตดั สินใจให้แก่บุคคลหรือทมี เพือ่ ใหส้ ามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ณพศิษฎ์ จกรั พิทักษ์ (2552 : 25-26) ได้ให้ความเห็นว่า กระบวนการการจดั การความรู้ ประกอบด้วย 1) การตรวจสอบและระบหุ ัวข้อความรู้ 2) การสรา้ งกรอบแนวคิดในการบรหิ าร 3) การ วเิ คราะห์และสังเคราะหค์ วามรู้ 4) การสรา้ งระบบสารสนเทศในการจัดการความรู้ 5) การจัดกจิ กรรม ในการจดั การความรู้ และ 6) การวดั ประเมนิ ผลการจัดการความรู้ วจิ ารณ์ พานิช (2555 : 29-30) ได้ให้ความเห็นวา่ ความหมายของคาวา่ “การจัดการ เรยี นรู้” สาหรับนักปฏิบัติหรอื ชมุ ชนเรียนรคู้ รูเพื่อศิษย์ ไว้วา่ การจดั การความรู้ คือ เคร่ืองมือและ กระบวนการ เพือ่ การบรรลุเป้าหมายอยา่ งน้อย 4 ประการ ไปพร้อมๆ กนั ได้แก่ งาน การพัฒนาคน การพัฒนาองค์กรไปเปน็ องค์กรเรยี นรู้ และบรรลุเปา้ หมายความหมายเปน็ ชุมชน เป็นหม่คู ณะ ความเออื้ อาทรระหวา่ งกันในทท่ี างาน เน่ืองจากกระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็น กระบวนการทจ่ี ะชว่ ยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจดั การความรทู้ ่ีจะเกิดขนึ้ ภายในองค์กร ซ่ึง ประกอบดว้ ย 1. การบง่ ช้คี วามรู้ เปน็ การพิจารณาว่าองคก์ รมวี ิสยั ทัศน์ พนั ธกจิ ยุทธศาสตร์ เปา้ หมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเปา้ หมายเราจาเป็นต้องใช้อะไร ขณะนเ้ี รามีความรู้อะไรบา้ ง อยู่ในรู แบบใด อยู่ทใ่ี คร

32 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จาก ภายนอก รกั ษาความรเู้ ก่า กาจดั ความรู้ทใี่ ชไ้ มไ่ ด้แลว้ 3. การจดั ความรใู้ หเ้ ป็นระบบเปน็ การวางโครงสร้างความรู้เพื่อเตรียมพร้อมสาหรบั การ เกบ็ ความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต 4. การประมวลแลพกลัน่ กรองความรู้ เชน่ ปรับปรงุ แบบเอกสารใหเ้ ปน็ มาตรฐานใช้ ภาษาเดียวกนั ปรับปรงุ เน้อื หาให้สมบรู ณ์ 5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทาให้ผูใ้ ช้ความร้เู ข้าถงึ ความรู้ท่ีต้องการได้ง่ายและสะดวก เชน่ ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 6. การแบ่งปันแลกเปล่ียนความรู้ ทาไดห้ ลายวธิ กี าร เชน่ กิจกรรมกลุ่มคณุ ภาพและ นวตั กรรม ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ ระบบพ่ีเลยี้ ง การสับเปลยี่ นงาน การยมื ตวั เวทีแลกเปล่ียนความรู้ 7. การเรียนรแู้ ละการนาไปใช้ คือ การที่บุคลากรเกิดการเรียนรู้แล้วนาความร้ไู ปใชต้ รง ตามวตั ถุประสงค์ สรุปไดว้ ่า ทีมเรียนรแู้ ละการจัดการความรู้ร่วมกนั หมายถึง การที่ผู้บรหิ ารและครูผู้สอนมี วธิ กี ารท่หี ลากหลายในการสอน มีหลกั สตู รทีท่ นั สมัย มีการแกปัญหาในด้านตา่ ง ๆใหกับนักเรยี นและรู ความตอ้ งการของนักเรียน มีการแลกเปลย่ี นความคิดเห็นระหว่างครูและนักเรียน มีการวิเคราะห์ผลการ เรียนรูของผูเ้ รยี นเพื่อมาปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน รวมทง้ั มกี ารสร้างและแสวงหาความรู้ การ แลกเปลยี่ นความรู้ การประมวลและจัดเก็บความรู้ และการนาความร้ไู ปใช้ 4. กำรส่งเสริมแหล่งเรยี นรแู้ ละเทคโนโลยีสำรสนเทศ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน (2553 : 3) แหล่งการเรยี นรู้ หมายถึง แหล่งขา่ วสารข้อมูล สารสนเทศ แหลง่ ความรู้ทางวิทยาการและประสบการณท์ สี่ นบั สนุน ส่งเสริมให้ผเู้ รียน ใฝเ่ รยี น ใฝ่รู้ แสวงหาความร้แู ละเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ตามอัธยาศยั อย่างกวา้ งขวางและ ตอ่ เนอ่ื งจากแหล่งตา่ ง ๆ เพ่ือเสรมิ สรา้ งใหผ้ เู้ รียนเกิดกระบวนการเรยี นรู้ และเปน็ บคุ คลแหง่ การ เรยี นรู้ ศนู ยเ์ ทคโนโลยีอเิ ล็กทรอนิกสแ์ ละคอมพิวเตอร์แหง่ ชาติ (2545 : 40-41) ไดใ้ ห้ คาจากัดความถงึ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารว่า เป็นเทคโนโลยที ีเ่ ก่ียวข้องกับข่าวสาร ขอ้ มูลและการส่ือสาร นบั ต้ังแต่การสรา้ ง การนามาวเิ คราะห์หรอื ประมวลผล การรับส่งขอ้ มลู การจดั เก็บและการนาไปใชง้ านใหม่ เทคโนโลยเี หลา่ น้มี ักจะหมายถึง คอมพวิ เตอร์ ซ่งึ ประกอบ ไปดว้ ย สว่ นฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ และส่วนข้อมลู และระบบส่อื สารตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นโทรศพั ท์ ระบบส่อื สาร ดาวเทียมหรอื เครอ่ื งมือสอ่ื สารใด ๆ ทงั้ มีสายและไร้สาย กดิ านนั ท์ มลทิ อง (2548 : 12) กลา่ วว่า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร เป็นสว่ นผสมผสานระหวา่ งเทคโนโลยี 2 ประเภท คือ 1) เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology : IT) คอื การทางานร่วมกันระหวา่ งฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ในการประมวลผล จดั เก็บ เข้าถึง ค้นคืนนาเสนอ และเผยแพรส่ ารสนเทศดว้ ยอปุ กรณ์ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ สาหรบั คอมพิวเตอร์ทมี่ สี มรรถนะสูงมาก สามารถทางานนอกเหนอื จาก การประมวลผล และจดั เก็บขอ้ มูลธรรมดามาเปน็ สือ่ ในการสรา้ งภาพ 3 มิติ การตัดต่อภาพยนตร์ การผสมเสยี ง และเป็นตัวกลางในการนาเสนอสารสนเทศรูปลักษณ์ต่าง ๆ 2) เทคโนโลยีการสอื่ สาร (Communication Technology : CT) คือ อุปกรณ์และวิธกี ารในการสอื่ สารโทรคมนาคมเพื่อการ

33 เข้าถึง คน้ หา และรบั ส่งสารสนเทศดว้ ยความรวดเรว็ ส่วน ชฎาภรณ์ สงวนแก้ว (2549 : 18) ไดใ้ ห้ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร คือ การผสมผสานเทคโนโลยีสารสนเทศเข้า กับระบบสื่อสารโทรคมนาคมท่ีครอบคลมุ ระบบส่ือสารต่าง ๆ เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ ฐานขอ้ มลู ข้อมลู และบรหิ ารสารสนเทศ ตลอดจนระบบเครอื ขา่ ยโทรคมนาคม จานวนมากที่เชอื่ มโยงตดิ ต่อกันและใชร้ ว่ มกนั พัชนีย์ ธระเสนา (2551 : 41) ไดใ้ ห้ความเหน็ ว่า การเป็นองค์กรแห่งการเรยี นรูน้ นั้ ประกอบด้วยสภาพการณท์ ่สี นบั สนุนการเรียนรู้ เชน่ แหลง่ เรียนรู้ สภาพแวดล้อม สือ่ เทคโนโลยี และงบประมาณ โดยกลไกต่างๆ เหล่านี้จะส่งเสริมให้คนในองค์การสามารถเรยี นรู้ และพัฒนาตนเอง ไปส่คู วามเป็นเลศิ ในดา้ นต่างๆ ได้อยา่ งตอ่ เน่ือง นอี อน พณิ ประดษิ ฐ์ และคณะ (2551 : 9) ได้ให้ความเห็นว่า สภาพท่สี นับสนนุ การเรียนรู้ไว้วา่ เป็นการดูแลชว่ ยเหลือ ซึง่ จะสง่ ผลตอ่ ขวญั และกาลังใจในการทางานของบุคลากร เนอ่ื งจากถ้าบคุ ลากรทราบวา่ มผี ู้ร่วมงานหรือผบู้ งั คบั บญั ชาคอยให้การสนบั สนุนอยตู่ ลอดเวลาย่อมสง่ ผล ต่อแรงจงู ใจในการทางาน เช่น การส่งเสริมการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ วิจารณ์ พาณชิ (2555 : 166-167) ไดใ้ ห้ความเห็นวา่ ชุมชนเรยี นรูค้ รเู พ่ือศษิ ย์ ครคู วร ไดร้ ับการสง่ เสริมสนับสนนุ ให้สามารถพัฒนาตนเองอยา่ งสร้างสรรค์ ภายใต้การเปล่ียนแปลงของสังคม ในศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมแหลง่ เรียนรู้ และสนบั สนนุ การใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ เพอ่ื พัฒนา วชิ าชพี ของครู สรุปได้วา่ การสง่ เสริมแหลง่ เรียนรูแ้ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถงึ สภาวะที่สง่ ผลให้ การเรยี นรู้ของสมาชิกในชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพประสบผลสาเร็จเชน่ สง่ิ แวดล้อมเชงิ บวก ชุมชน กลั ยาณมิตร เทคโนโลยสี ารสนเทศ สมรรถนะและศักยภาพความพรอ้ ม แหลง่ เรียนรู้ โครงสร้างทาง กายภาพและทรัพยากร จากองค์ประกอบของชุมชนการเรยี นร้ทู างวชิ าชพี ของครูทั้ง 4 ด้าน ผูว้ จิ ัยไดน้ ามาสังเคราะห์ เพื่อกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการและตัวชี้วัดในแต่ละด้านดังน้ี ตำรำงท่ี 2 องค์ประกอบ นิยามเชิงปฏบิ ัตกิ ารและตัวบง่ ชีช้ ุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพของครู องคป์ ระกอบ นยิ ำมเชิงปฏิบัติกำร ตวั บง่ ช้/ี สำระหลักเพื่อกำรวัด 1. การสนับสนนุ การดาเนินงานของสถานศึกษาเกีย่ วกบั 1. การมสี ่วนร่วมกาหนดนโยบาย และการเปน็ ผู้นา การสนับสนนุ และการเป็นผู้นาร่วมกนั ไดแ้ ก่ 2. การปฏิบตั ิ การตัดสนิ ใจ ร่วมกนั การมีส่วนรว่ มกาหนดนโยบาย การปฏิบตั ิ ร่วมกัน การตดั สินใจร่วมกนั การสนับสนุนใหค้ รใู ช้ 3. การสนบั สนุนให้ครูใช้ภาวะ ภาวะผูน้ า หรอื การปรบั ปรุงโรงเรียน ผนู้ า หรอื การปรับปรงุ โรงเรียน และเพ่ิมประสบการณการเรยี นรู้ และเพ่ิมประสบการณการเรียนรู้

34 องคป์ ระกอบ นยิ ำมเชงิ ปฏิบัติกำร ตัวบง่ ช้/ี สำระหลกั เพ่ือกำรวัด 2. ค่านยิ มและ วสิ ัยทัศน์รว่ ม การดาเนนิ งานของสถานศึกษาเกย่ี วกับ 1. การมสี ว่ นร่วมในการกาหนด 2. ทีมเรียนรู้ การกาหนดค่านยิ มและวิสัยทัศนร์ ว่ ม ได้แก่ ค่านิยมและวิสัยทศั น์ และการจัดการ ความรูร้ ่วมกัน การมีสว่ นรว่ มในการกาหนดวสิ ยั ทัศน์ 2. การกาหนดเป้าหมาย 4. การส่งเสริม การตัง้ เป้าหมายการเรยี นรู้ของครู การสร้าง การเรียนรู้ของครู แหลง่ เรียนรู้ และเทคโนโลยี แรงบนั ดาลใจของครู และการเหน่ยี วนาครู 3. การสร้างแรงบนั ดาลใจของครู สารสนเทศ ให้การยอมรับว่าสิง่ ใดสิ่งหนงึ่ เป็นความจริง 4. การเหนีย่ วนาครูให้ หรือเป็นสงิ่ ท่ีเราไวใจ การยอมรับว่าสง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ เป็น ความจริงหรือเป็นส่ิงทเี่ ราไวใจ การดาเนินงานของสถานศึกษาเกี่ยวกับ 1. การเรียนรู้แบบทมี การรวมกล่มุ และเครือขา่ ยเพื่อขับเคลอ่ื น 2. การประสานความรว่ มมอื ชุมชนการเรยี นรูท้ างวชิ าชพี ไดแ้ ก่ การเรยี นรู้ 3. การพัฒนาเครือข่าย แบบทีม การประสานความร่วมมือ การพฒั นา การเรยี นรู้ เครือข่ายการเรียนรู้ และการจดั การความรู้ 4. การสร้างและแสวงหาความรู้ ทางวิชาชีพของครู ได้แก่ การสร้างและ 5. การแลกเปลีย่ นความรู้ แสวงหาความรู้ การแลกเปลีย่ นความรู้ 6. การประมวลและจดั เกบ็ การประมวลและจัดเกบ็ ความรู้และการนา ความรู้ ความรไู้ ปใช้ 7. การนาความรู้ไปใช้ การดาเนินงานของสถานศึกษาเก่ยี วกบั 1. การแสวงหาและพัฒนา การส่งเสรมิ สนับสนนุ การเรียนรทู้ างวชิ าชพี แหล่งเรยี นรู้ ของครูไดแ้ ก่ การแสวงหาและพัฒนาแหล่ง 2. การใช้ ICT ของครู เรยี นรู้ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู 3. สมรรถนะและศักยภาพ สมรรถนะและศักยภาพความพรอ้ มและ ความพร้อม โครงสรา้ งทางกายภาพ 3. โครงสรา้ งทางกายภาพ แนวคดิ เก่ยี วกบั ควำมพงึ พอใจ ควำมหมำยของควำมพึงพอใจ ความพงึ พอใจ หรอื ความพอใจเปน็ ปจั จัยทส่ี าคัญประการหนง่ึ ที่มผี ลตอ่ ความสาเรจ็ ของ งานที่บรรลุเป้าหมายท่ีวางไว้อย่างมีประสิทธภิ าพ อันเปน็ ผลจากการไดร้ ับการตอบสนองต่อแรงจูงใจ หรือความต้องการของแตล่ ะบุคคลในแนวทางทเี่ ขาประสงค์ความพึงพอใจ โดยทวั่ ไปตรงกบั คาในภาษา อังกฤษว่า Satisfaction ไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจไว้หลายความหมายดงั น้ี จรวยพร สดุ สวาท และคณะ (2545 : 19) ได้กลา่ วว่า ความพึงพอใจ คือ สภาพของ สภาวะจิตท่ีปราศจากความเครยี ด ทัง้ นเ้ี พราะธรรมชาติของมนุษย์นน้ั มคี วามต้องการ ถ้าความตอ้ งการ

35 น้ัน ได้รับการตอบสนองทั้งหมด หรือบางส่วนความเครียดจะนอ้ ยลง ความพึงพอใจจะเกิดขนึ้ และในทาง กลับกัน ถา้ ความตอ้ งการนัน้ ไมไ่ ด้รบั การสอบสนองความเครยี ดและความ ไมพ่ ึงพอใจจะเกิดขนึ้ กติ มิ า ปรีดีดลิ ก (2547 : 321) ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า ความพงึ พอใจ หมายถึง ความร้สู กึ ทชี่ อบ พอใจทม่ี ตี ่อองค์ประกอบและส่ิงจงู ใจในดา้ นตา่ ง ๆ ของงาน และผูป้ ฏบิ ตั ิงานนัน้ ไดร้ ับการตอบสนอง ความตอ้ งการของบุคคลนั้นได้ กิ่งฟา้ สนิ ธวุ งษ์ (2548 : 22) กลา่ วว่า ความพงึ พอใจ หมายถงึ สภาพของอารมณ์ของ บคุ คลทีม่ ีต่อองค์ประกอบของงานและสภาพแวดล้อมในการทางานทส่ี ามารถตอบสนองต่อความ ตอ้ งการของบคุ คลนน้ั ๆ ประสาท อิศรปรดี า (2550 : 34) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนกึ คิด หรอื เจตคติของบุคคลที่มตี ่อการทางานหรือการปฏิบัติกจิ กรรมในเชิงบวก ดังนน้ั ความพอใจในการ เรียนรจู้ งึ หมายถึง ความรสู้ ึกพอใจ ชอบใจในการรว่ มปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี นการสอนและต้องดาเนิน กจิ กรรมน้นั ๆ จนบรรลผุ ลสาเรจ็ กุลยา ตนั ติผลาชวี ะ (2551 : 107) ไดใ้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจวา่ ความรสู้ ึก หรอื อารมณ์ของนักเรียนทม่ี ตี ่อสิ่งเรา้ ต่าง ๆ จากการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนของครูทั้งในหอ้ งเรียน หรือมอบหมายภาระงานเพ่ิมเตมิ ทแี่ สดงออกมาเป็นระดับความพงึ พอใจท่ีวดั โดยการสังเกตหรอื การ สอบถาม มีตั้งแต่ระดบั น้อยท่ีสุด นอ้ ย ปานกลาง มาก และมากทส่ี ุด กดู๊ (Good. 1973 : 320) กลา่ วถึงความพงึ พอใจ หมายถงึ ระดับความรสู้ ึกพอใจ ซง่ึ เป็นผลจากความสนใจ และเจตคติทด่ี ีของบุคคลที่มตี อ่ ส่ิงตา่ ง ๆ โวลทแ์ มน (Wolman. 1973 : 304) ใหค้ วามหมายของความพึงพอใจวา่ ความพึง พอใจ คือความรู้สึก (Feeling) มคี วามสุขเมอื่ ประสบผลสาเร็จตามจดุ มงุ่ หมาย (Goals) ความตอ้ งการ (Want) จากแรงจูงใจ (Motivation) จากความคิดเหน็ ของนกั วชิ าการ สรุปความหมายของความพึงพอใจไดว้ ่า หมายถึง ความรสู้ กึ ทางด้านบวกทเ่ี ปน็ การยอมรับ ความรู้สึกชอบ ความตอ้ งการ ความพอใจ ความสบาย ทไ่ี ด้รับในสงิ่ ทตี่ ้องการ หรอื มีความสาเรจ็ ตามเป้าหมาย ทฤษฎที เี่ ก่ยี วกับควำมพึงพอใจ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนทเี่ กดิ จากความพึงพอใจตอ่ การเรียนการสอนของ นักเรยี นในครั้งน้นั ๆ มากน้อยขน้ึ อยู่กับสง่ิ จูงใจในงานทีม่ ีอยู่ การสร้างส่ิงจูงใจหรือแรงกระตนุ้ ใหเ้ กิด ขึ้นกับนกั เรยี นจึงเป็นสิง่ จาเป็นเพื่อใหก้ ารปฏบิ ตั ิงานนั้นๆ เป็นไปตามวตั ถุประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้ โดยมีนักศกึ ษาในสาขาตา่ ง ๆ ทาการศึกษาคน้ ควา้ และต้ังทฤษฎเี ก่ยี วกบั แรงจูงใจในการเรียนรู้ไวด้ ังนี้ 7.2.1 ทฤษฏที เี่ ป็นข้อมูลทีท่ าใหเ้ กิดความพงึ พอใจ เรยี กว่า “The motivation Hygiene Theory” ทฤษฎนี ี้ได้กล่าวถึงปจั จัยทที่ าให้เกิดความพึงพอใจในการเรยี นการสอน 2 ปจั จยั คอื (ประสาท อิศรปรีดา. 2550 : 35-36) 1) ปจั จัยกระตนุ้ (Motivation factors) เป็นปจั จยั เกย่ี วกับการเรยี นการสอน ซ่ึงมผี ลสง่ ให้เกดิ ความพึงพอใจในการเรยี นรู้ เชน่ ความสาเรจ็ ของงาน การไดร้ ับการยอมรบั นับถือใน กล่มุ ความยากงา่ ยของภาระงาน ความรับผิดชอบ ความกา้ วหน้าในการเรียนร้แู ตล่ ะคร้งั

36 2) ปัจจยั ค้าจุน (Hygiene factors) เปน็ ปจั จยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับส่ิงแวดล้อมใน การเรียนและทาให้นกั เรยี นเกิดความพึงพอใจในการเรยี นการสอน เชน่ รางวลั เกรด การสอบ เรียนต่อได้ เป็นต้น 7.2.2 แนวคดิ ในเรอื่ งการจงู ใจใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจต่อการเรยี นการสอนทีจ่ ะให้ผลเชิง ปฏิบตั ิ มลี กั ษณะดงั น้ี (Glover. 2002 :124) 1) กิจกรรมควรมีสว่ นสมั พันธ์กบั ความปรารถนาส่วนตวั กจิ กรรมการเรยี น การสอนนน้ั จะมคี วามหมายสาหรบั นกั เรียนที่เป็นผ้กู ระทาหรือลงมือปฏบิ ัติ 2) กิจกรรมน้นั ต้องมีการวางแผนและวดั ความสาเรจ็ ไดโ้ ดยใช้ระบบงานกล่มุ และ การตรวจสอบผลงานนกั เรยี นทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 3) เพ่ือใหไ้ ด้ประสทิ ธิผลในการสร้างส่งิ จงู ใจภายใน การจดั กจิ กรรมการเรยี น การสอน ครตู ้องมีลักษณะ ดังน้ี 3.1) นกั เรียนมีส่วนร่วมในการตงั้ เป้าหมาย 3.2) นกั เรียนได้รับทราบผลสาเรจ็ ในการเรยี นโดยตรง 3.3) คะแนนผลสอบของนกั เรียนแตล่ ะคนน้ัน ต้องนาไปสคู่ วามสาเรจ็ ไดห้ รือ บรรลตุ ามเกณฑท์ ่ีครูกาหนดไว้ เมื่อนาแนวคิดน้มี าประยุกต์ใชก้ ับการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน นักเรยี นมีส่วน ในการเลอื กเรียนตามความสนใจ และมีโอกาสรว่ มกันต้ังจุดประสงคห์ รือความมุ่งหมายในการ ทากิจกรรม ได้เลอื กวิธีแสวงหาความรู้ดว้ ยวิธที เี่ รียนถนัดและสามารถคน้ หาคาตอบได้ 7.2.3 แนวคดิ ของแฮดฟลิ ด์ และฉิวสแ์ มน ที่ได้รบั การพฒั นาแนวคดิ ของนักวิจยั ตา่ ง ๆ มาเป็นเครื่องมือวดั ความพึงพอใจ ซง่ึ เปน็ ทนี่ ิยมแพรห่ ลายในปัจจุบนั ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้ (ประภาเพ็ญ สวุ รรณ. 2550 : 389-390) ตัวแปรท่ี 1 องค์ประกอบเกย่ี วกับงานทที่ าปัจจุบนั แบง่ เป็น 1. ความตืน่ เต้นเบอ่ื หนา่ ย 2. ความสนุกสนาน/ความไม่สนกุ สนาน 3. ความโลง่ /ความกลัว 4. ความท้าทาย/ไม่ท้าทาย ตวั แปรที่ 2 องค์ประกอบทางดา้ นคา่ จ้าง ประกอบด้วย 1. ถือว่าเปน็ รางวัล/ไม่ถือเป็นรางวัล 2. มาก/น้อย 3. ยุตธิ รรม/ไม่ยุตธิ รรม 4. เปน็ ทางบวก/เปน็ ทางลบ ตวั แปรท่ี 3 องค์ประกอบทางดา้ นการเลื่อนตาแหนง่ 1. ยุตธิ รรม/ไม่ยตุ ิธรรม 2. เชอ่ื ถือได/้ เชอื่ ถือไมไ่ ด้ 3. เปน็ เชงิ บวก/เปน็ เชงิ ลบ 4. เปน็ เหตุผล/ไม่เป็นเหตผุ ล ตัวแปรที่ 4 องคป์ ระกอบทางด้านผู้นเิ ทศ/ผบู้ งั คับบัญชา

37 1. อยใู่ กล/้ อยู่ไกล 2. ยตุ ธิ รรมแบบจรงิ ใจ/ยตุ ธิ รรมแบบไม่จรงิ ใจ 3. เหมาะสมทางคุณสมบตั /ิ ไมเ่ หมาะสมทางคุณสมบตั ิ ตวั แปรท่ี 5 องค์ประกอบทางดา้ นเพ่ือนร่วมงาน 1. เป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย/ไมเ่ ป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย 2. จงรกั ภกั ดตี อ่ สถานทีท่ างาน/ไมจ่ งรกั ภักดีต่อสถานทท่ี างานและ เพอื่ นรว่ มงาน 3. สนกุ สนานรา่ เริง/ดูไม่มชี ีวิตชีวา 4. ดนู ่าสนใจเอาจริงเอาจัง/ดเู หน่ือยหนา่ ย นอกจากน้กี ารดาเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอน ความพึงพอใจเปน็ สงิ่ สาคัญที่จะกระตุ้น ใหน้ กั เรยี นไดร้ ับมอบหมายหรือตอ้ งการปฏบิ ัตใิ หบ้ รรลตุ ามวตั ถุประสงค์ของผสู้ อน ซง่ึ ใน สภาพปัจจบุ นั เปน็ ผอู้ านวยความสะดวกหรือให้คาแนะนาปรกึ ษา จงึ ต้องคานึงถึงความพึงพอใจในการ เรยี นรู้ของผเู้ รยี น การทาให้ผู้เรยี นเกดิ ความพงึ พอใจในการเรียนร้หู รอื การปฏิบัตงิ านมแี นวคิดพื้นฐานท่ี ต่างกนั 2 ลกั ษณะ คอื 1. ความพึงพอใจไปสกู่ ารปฏิบัติงาน บุญมัน่ ธนาศภุ วฒั น์ (2550 : 87-88) กลา่ วว่า การตอบสนองความต้องการ ผูป้ ฏบิ ัติงานจนเกดิ ความพึงพอใจ จะทาใหเ้ กดิ แรงจงู ใจในการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการทางานทีส่ ูงกว่า ผู้ไม่ไดร้ บั การตอบสนองหรือเกิดการเรียนรูต้ ามภาระงานท่ีมอบหมายไดเ้ รว็ ขึ้น แนวคดิ ดังกล่าวสามารถ สรปุ ปัจจัยทีน่ าไปสคู่ วามพงึ พอใจของบุคคล ดังภาพประกอบท่ี 2 ผลตอบแทน ความพงึ พอใจ แรงจงู ใจ ประสิทธภิ าพของงาน ที่ไดร้ ับ ของผปู้ ฏบิ ตั ิงาน หรือเกดิ การเรียนรทู้ ่ดี ี ภำพประกอบที่ 2 ขัน้ ตอนการเกิดความพึงพอใจที่นาไปสู่การปฏิบัติที่มปี ระสทิ ธิภาพ ท่ีมา : บุญมั่น ธนาศภุ วฒั น์ (2550 : 88) จากแนวคดิ ดงั กล่าว ครูผู้สอนทต่ี ้องการใหก้ จิ กรรมการเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง บรรลผุ ลสาเร็จ จงึ ต้องคานงึ ถึงการจัดบรรยากาศ และสถานการณ์ รวมทง้ั สื่ออปุ กรณ์ การเรยี นการสอนทีเ่ ออ้ื อานวยตอ่ การเรยี น เพอื่ ตอบสนองความพงึ พอใจของผูเ้ รยี นให้มีแรงจงู ใจ ในการทากิจกรรมจนบรรลุตามวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสตู ร 2. ผลของการปฏบิ ตั ิงานนาไปส่คู วามพึงพอใจ บุญม่นั ธนาศุภวฒั น์ (2550 : 89) กล่าววา่ ความสาคญั ระหวา่ งความ พึงพอใจและผลการปฏิบตั งิ านจะถกู เชื่อมโยงด้วยปัจจยั อนื่ ๆ ผลการปฏบิ ัติงานยอ่ มได้รับการ ตอบสนองในรูปแบบของรางวลั หรือผลตอบแทน ซ่ึงแบ่งออกเป็น ผลตอบแทนภายในและผลตอบแทน ภายนอก โดยผา่ นการรบั รูเ้ กี่ยวกบั ความยุติธรรมของผลตอบแทนซึ่งเป็นตวั บ่งชี้ปรมิ าณของ ผลตอบแทนที่ผปู้ ฏบิ ัตงิ านไดร้ ับ นนั่ คอื ความพึงพอใจในงานของผปู้ ฏบิ ัตงิ านจะถูกกาหนดโดยความ

38 แตกต่างระหว่างผลตอบแทนท่เี กิดขึน้ จรงิ และการรับรู้เรอ่ื งเก่ยี วกบั ความยุติธรรมของผลตอบแทนทรี่ บั รู้ แล้ว ความพึงพอใจย่อมเกดิ ขึ้น จากแนวความคิดพ้นื ฐานดงั กลา่ ว เมื่อนามาใชใ้ นการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนผลตอบแทนภายในหรือรางวัลภายใน เป็นผลดา้ นความรสู้ กึ ของผู้เรยี นที่เกดิ แก่ตัวผเู้ รยี นเอง เชน่ ความรูส้ ึกตอ่ ความสาเรจ็ ทีเ่ กิดข้ึนเม่ือสามารถเอาชนะความสามารถต่าง ๆ และสามารถดาเนนิ การ ภายใตค้ วามยุ่งยากทงั้ หลายได้สาเรจ็ ทาให้เกดิ ความภาคภูมิใจ ความมั่นใจ ตลอดจนไดร้ บั การยกย่อง จากบคุ คลอ่ืน ส่วนผลตอบแทนภายนอกเปน็ รางวลั ท่ีผู้อืน่ จดั หาให้มากกว่าทตี่ นเองใหต้ นเอง เช่น การ ได้รบั การยกย่องชมเชยจากครูผูส้ อน พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง หรือแมแ้ ต่การให้คะแนนผลสัมฤทธิท์ างการ เรยี นท่เี กิดจากการเรียนรใู้ นระดับทน่ี า่ พอใจ วธิ กี ำรสรำ้ งควำมพึงพอใจในกำรเรียน การศกึ ษาจะมคี วามสัมพันธ์และความพงึ พอใจที่ดีตอ่ การเรียน ตอ้ งมีการสรา้ งความ พงึ พอใจในการเรียนตง้ั แตเ่ ร่มิ ต้นให้แกผ่ ู้เรยี น ซึง่ การดาเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน ความ พึงพอใจเปน็ สิ่งสาคัญทีช่ ่วยกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนทางานที่ได้รับมอบหมายหรือการปฏิบตั ใิ ห้บรรลุตาม วตั ถุประสงคใ์ นการเรียนรู้ ซงึ่ มีแนวความคิดพน้ื ฐานทต่ี า่ งกันอยู่ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี (ชลลดา รานอก. 2551 : 53) 7.3.1 ความพงึ พอใจนาไปสู่การปฏิบตั งิ าน การตอบสนองความตอ้ งการของ ผ้ปู ฏิบัติงาน จนเกดิ ความพึงพอใจ จะทาให้เกิดแรงจูงใจในการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการทางานท่ีสงู กวา่ ผ้ทู ี่ ไม่ไดร้ บั การตอบสนองทศั นะตามแนวคดิ ดงั กล่าว 7.3.2 ผลการปฏบิ ัติงานนาไปสูค่ วามพึงพอใจ ซง่ึ เป็นความสัมพนั ธร์ ะหว่าง พงึ พอใจ และการปฏบิ ตั งิ านจะถูกเชอ่ื มโยงด้วยปจั จัยอ่นื ๆ ผลของการปฏบิ ตั ิงานท่ีดจี ะนาไปสู่ ผลของการตอบแทนท่ีเหมาะสม ซง่ึ ในท่สี ดุ จะนาไปตอบสนองความพงึ พอใจในรปู ของรางวลั หรอื ผลตอบแทนภายใน (Intrinsic rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic rewards) โดยผา่ น การรบั รูแ้ ลว้ ความพึงพอใจย่อมเกิดข้นึ โดยมีนักจติ วทิ ยาการศกึ ษาใหแ้ นวคดิ คือ สกินเนอร์ (Skinner. 1972 : 1-2 อา้ งองิ มาจาก ประหยดั ทองมาก. 2552 : 44-45) กลา่ วไวว้ า่ การปรับพฤติกรรมไม่ สามารถทาไดโ้ ดยเทคโนโลยที างกายภาพและชีวภาพ แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีของพฤตกิ รรม คอื เสรภี าพ และความภาคภมู ิ จุดหมายปลายทางท่ีแทจ้ ริงของการศึกษา โดยการทาให้มีความเป็นตวั ของตวั เอง รับผดิ ชอบต่อการกระทา เสรภี าพคอื ความเปน็ อิสละจากการควบคมุ วเิ คราะห์ ปรับเปล่ียน หรือ ปรับปรงุ รปู แบบใหม่ใหแ้ ก่สิง่ แวดลอ้ มนั้น โดยทาให้อานาจการควบคุมอ่อนแอลง จนเกิดความรู้สึกว่า ตนเองไมไ่ ด้ถกู ควบคุม หรือต้องแสดงพฤติกรรมใด ๆ ท่ีเนอ่ื งมาจากการกระทาทีค่ วรไดร้ ับการยกย่อง ยอมรับมากเท่าไร จะต้องเป็นการกระทาทป่ี ลอดภัยจากการบังคับหรอื ส่ิงท่ีควบคุมใด ๆ มากเท่านั้น นอกจากน้ีสกินเนอร์ไดใ้ ห้ข้อคิดกับครูว่า จงทาใหผ้ ้เู รยี นเกิดความเช่อื วา่ ผูเ้ รยี นอยู่ในความควบคุมของ ตวั เอง แมผ้ ู้ควบคุมที่แทจ้ ริงคือ ครูผสู้ อน ดังน้นั ความพงึ พอใจของนักเรยี นในการศึกษาเล่าเรียนจะเกดิ จากองคป์ ระกอบต่าง ๆ เหล่านี้ คอื คุณสมบัติของครู วธิ ีสอน กิจกรรมการเรยี นการสอน การวัดและประเมนิ ผล เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นมี ความพงึ พอใจ มีความรักและความกระตอื รือร้นในการเรยี นซง่ึ จะส่งผลใหผ้ เู้ รยี นประสบความสาเร็จใน การศึกษาเล่าเรียน

39 กำรวดั และประเมนิ ควำมพึงพอใจ วธิ ีการวัดความพึงพอใจ อาจกระทาได้หลายวิธี ดังตอ่ ไปนี้ (วิชัย วงษ์ใหญ่. 2552 : 77-78) 1. การใช้แบบสอบถามหรือแบบวดั ซงึ่ เป็นวิธีทนี่ ิยมมากท่ีสดุ เพราะสะดวกและผตู้ อบ สามารถพจิ ารณาละเอียดกอ่ นตอบ ซ่งึ จะทาให้ไดร้ ับข้อมลู เก่ียวกับความรู้สึกและทัศนคติท่ี ตรงกับความจรงิ มากท่สี ุด โดยการขอร้องหรือขอความรว่ มมือจากกลุม่ บุคคลท่ตี ้องการวัดแสดงความ คิดเหน็ ลงในแบบฟอร์มท่ีกาหนดคาตอบไว้ให้ หรือคาตอบอิสระ โดยคาถามท่ถี ามอาจถามถึงความพงึ พอใจในดา้ นตา่ ง ๆ ท่นี ักเรียนได้กระทาไป 2. การสัมภาษณ์ เปน็ อกี วิธีหนึ่งทีท่ าให้ทราบถงึ ระดับความพอใจของผ้เู รียน ซ่งึ เป็นวธิ ี ที่ตอ้ งอาศยั เทคนิคและความชานาญพเิ ศษของผสู้ มั ภาษณ์ทีจ่ ะจงู ใจให้ผู้ถกู สัมภาษณต์ อบคาถามได้ตรง ข้อเท็จจริง การวัดความพงึ พอใจดว้ ยวิธกี ารสมั ภาษณน์ ับเป็นวธิ ีทปี่ ระหยัดและมีประสิทธิภาพมากอกี วิธี หนึง่ 3. การสงั เกต เป็นวธิ ีการทจ่ี ะทาใหท้ ราบถงึ ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนได้โดย สังเกตจากพฤติกรรมท้ังก่อนเรยี น ขณะเรียน และหลงั เรยี น เช่น การสงั เกตกิรยิ า ทา่ ทาง การตอบ คาถาม สหี น้า การแสดงความดีใจ เปน็ ต้น โดยวิธีน้ีผู้วัดจะตอ้ งกระทาอยา่ งมแี บบแผนและชดั เจน จึงจะ สามารถประเมินถึงระดับความพงึ พอใจของผู้เรยี นได้อยา่ งถูกต้อง สรปุ ได้วา่ ความพงึ พอใจ คือความรสู้ กึ ทีด่ ีหรือชอบ ไม่ชอบของบุคคลต่อสง่ิ เรา้ ภายนอก ในทน่ี ห้ี มายถึงชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้เทคนิคแอทลาส รายวชิ าเคมพี ืน้ ฐาน เรือ่ ง ธาตุและ สารประกอบ ท่เี ปน็ สื่อการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 4 ซ่งึ ครผู ู้สอนสามารถนาเอาแนวคิดและทฤษฎีตา่ ง ๆ มาประยุกต์ใช้กบั การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเพอื่ นาไปสคู่ วามพงึ พอใจ ถ้านักเรยี นมีสว่ นในการเลือกเรียนตามความสนใจและมีโอกาส ร่วมกันต้ังจุดประสงค์หรอื ความมุง่ หมายในการทากิจกรรม ไดเ้ ลอื กวิธแี สวงหาความรู้ดว้ ยวธิ ี ทเ่ี รียนถนัดและสามารถค้นหาคาตอบได้ ทาให้เกดิ ความภาคภูมใิ จ ความมน่ั คง ตลอดจนได้รบั การยก ย่องจากบุคคลอนื่ ส่วนผลตอบแทนภายนอก เปน็ รางวัลที่ผ้อู ืน่ จัดหาให้มากกวา่ ทีต่ นเองให้ตนเอง เช่น การไดร้ ับการยกย่องชมเชยจากครูผสู้ อน พ่อแม่ ผูป้ กครองหรอื แมแ้ ต่การไดร้ บั คะแนนผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนในระดบั ท่ีน่าพอใจ ซง่ึ ในท่สี ดุ จะนาไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ และผลการเรียนรู้ ย่อมมีประสทิ ธิภาพสูงสุด รวมทงั้ ความพงึ พอใจของนกั เรยี นในการศึกษาเล่าเรียนน้นั เกิดขึน้ จาก องคป์ ระกอบเหล่าน้ี คือ คุณสมบตั ิของครู วิธีการสอน กิจกรรมการเรยี นการสอน การวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ของครู จึงจะประสบความสาเร็จในการเรยี น ดงั นน้ั จงึ เป็นหนา้ ท่ีของครูใน โรงเรียนที่จะสรา้ งความเกง่ ดี มีสขุ ในการเรยี นให้กบั นกั เรียน เพ่ือให้นักเรยี นมีความพงึ พอใจ มคี วามรกั และมีความกระตือรอื ร้นในการเรียน โดยการปรับปรงุ องค์ประกอบต่าง ๆ ของครู มกี ารให้ กาลังใจแก่นกั เรยี นที่กระทาความดี มมี นุษย์สัมพันธ์ทดี่ ีกบั นกั เรียน ส่งเสรมิ ให้นกั เรียนมีความ เจริญกา้ วหนา้ การสร้างสภาพแวดลอ้ มเกย่ี วกบั อาคารสถานทีท่ ี่เหมาะสม เปดิ โอกาสให้นักเรยี นไดแ้ สดง ความคดิ เหน็ รวมท้ังรบั ฟังและใหค้ วามชว่ ยเหลือ เมอ่ื นักเรียนมปี ัญหาทุกข์รอ้ น สื่อหรือ กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรจู้ ึงเปน็ แรงจูงใจสิง่ สาคัญทีส่ ่งผลใหน้ กั เรยี นประสบผลสาเรจ็

40 ในการศึกษาเล่าเรยี นหรือบรรจุตรงตามเปา้ หมายของหลกั สูตรโดยวิธีการวดั ความพึงพอใจกระทาไดท้ ั้ง ใช้แบบสอบถาม สงั เกต สัมภาษณ์ ซึง่ การศกึ ษาคร้ังน้ีได้ใช้แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจท่ีผู้ ศกึ ษาสรา้ งข้นึ มลี ักษณะเป็นแบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) ซ่งึ ได้กาหนดค่าออกเป็น 5 ระดบั ตามวธิ ีของ ลิเคอร์ท (Likert) โดยพิจารณาเนื้อหา 3 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านปจั จัยนาเขา้ (Input Evaluation) ได้แก่ องค์ประกอบชุดกิจกรรมทีป่ ระกอบ ดว้ ยเน้ือหา กจิ กรรม เวลาท่ีใช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ สือ่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ และแหล่งเรยี นรูท้ ีใ่ ช้ใน กจิ กรรมการเรยี นรู้ บัตรกิจกรรม และแบบทดสอบ 2. ด้านกระบวนการ (Process Evaluation) ได้แก่ กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ใี หน้ ักเรยี น ปฏบิ ัตติ าม ไดแ้ ก่การปฏบิ ตั ิกิจกรรมที่หลากหลาย ท้ังการปฏิบัตกิ ิจกรรมตนเองและกจิ กรรมกลมุ่ 3. ดา้ นผลผลิต (Product Evaluation) ได้แก่ ประโยชน์ที่ไดร้ บั และการร่วมกิจกรรม ของนักเรียน การทาผลงาน และการนาเสนอผลงาน บริบทของสำนักงำนเขตพนื้ ที่กำรศกึ ษำมัธยมศกึ ษำ 26 ควำมเป็นมำของสำนกั งำนเขตพน้ื ที่ สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 เป็นหนว่ ยงานที่มีหน้าท่ีบรกิ ารและ จดั การศกึ ษาชว่ งชัน้ 3 และ 4 ซง่ึ อาศยั อานาจในมาตรา 5 และ 37 วรรคสอง แห่งพระราชบญั ญตั ิ การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2553 และมาตรา 8 และมาตรา 33 วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ซงึ่ แก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บบรหิ ารราชการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2553 รฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคาแนะนา ของสภาการศกึ ษาเมื่อคราวประชมุ ครัง้ ที่ 2/2553 วนั ที่ 17 สงิ หาคม พ.ศ. 2553 จงึ กาหนดเขตพ้ืนที่ การศกึ ษามธั ยมศึกษา และที่ต้งั ของสานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เพอื่ บริหารและจัด การศึกษาขั้นพนื้ ฐานระดับมัธยมศกึ ษา จานวน 42 เขต สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 มีสถานศึกษาในสังกดั จานวน 35 โรง แยกเป็น โรงเรยี นขนาดใหญ่พเิ ศษ จานวน 4 โรง โรงเรียนขนาดใหญ่ จานวน 4 โรง โรงเรยี นขนาดกลาง จานวน 6 โรง โรงเรียนขนาดเลก็ จานวน 21 โรง และจานวนครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา (ข้อมูล ณ 1 มนี าคม 2561) ผอู้ านวยการโรงเรยี น จานวน 35 คน รองผู้อานวยการโรงเรียน จานวน 31 คน ครู จานวน 1,711 คน ครูมาช่วยราชการ จานวน 3 คน ครูไปช่วยราชการ จานวน 7 คน พนักงาน ราชการ จานวน 70 คน ลกู จา้ งประจา จานวน 63 คน แผนพฒั นำคณุ ภำพกำรศกึ ษำของสำนักงำนเขตพนื้ ท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 26 ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2560-2562) วิสัยทศั น์ (Vision) เปน็ องค์กรที่บรหิ ารจดั การศึกษาอยา่ งมคี ุณภาพ ไดม้ าตรฐาน สคู่ วามเปน็ สากล บนพ้ืนฐานของความเปน็ ไทย พนั ธกจิ (Mission)

41 1. สง่ เสรมิ และสนับสนนุ การพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น 2. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสเขา้ ถึงบริการ กแาลรศะรึก่วษมามขือน้ั กพนั ้นื เฐปา็นน6 สหวทิ ยาเขต 3. ส่งเสรมิ และพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาใหป้ ฏบิ ตั ิงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. สนบั สนุนการพฒั นาระบบการบรหิ ารจดั การการศึกษาอย่างมีประสทิ ธิภาพ 5. สนับสนุนการพฒั นาวินัยเข้มแขง็ วิชาการ เขม้ ขน้ บนความพอเพยี ง เป้าประสงค์ (Goal) 1. ผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐานทกุ คนได้รบั การพัฒนาเตม็ ตามศกั ยภาพ และมคี ุณภาพ 2. ผ้เู รียนระดบั การศึกษาข้ันพน้ื ฐานทกุ คนได้รับโอกาสในการศึกษาขนั้ พื้นฐานอย่าง ทว่ั ถึงมีคุณภาพและเปน็ ธรรม 3. ครู ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษาและบคุ ลากรทางการศึกษา มที กั ษะและมวี ัฒนธรรม การทางานม่งุ เนน้ ผลสัมฤทธิ์ 4. สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาและสถานศึกษามีการบรหิ ารจดั การท่ีมปี ระสิทธิภาพ และเปน็ กลไกขับเคลือ่ นการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสคู่ ุณภาพระดับมาตรฐานสากล 5. สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาและสถานศึกษาได้รับการสง่ เสรมิ และพัฒนาวินยั เข้มแข็ง วชิ าการเข้มข้น บนความพอเพียง ค่านยิ ม (Value) SESAO26 (Secondary Educational Service Area Office 26) S = Service mind จติ บรกิ าร E = Effectiveness ทางานมุง่ ประสิทธผิ ล S = Smart ประพฤติตนเป็นแบบอย่างทด่ี ี A = Accountability มีความรบั ผิดชอบ O = Okay ตอบรบั ข้อเสนอแนะ 2 = Two Ways Communication สื่อสารสองทาง 6 = Six Networks การบริหารจดั การแบบกระจายอานาจ ยุทธศาสตร์ จากวิสยั ทัศน์ พันธกิจ เปา้ ประสงค์ สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 จึงกาหนดยุทธศาสตร์ ปีงบประมาณ 2561 จานวน 4 ยทุ ธศาสตร์ ดงั นี้ ยทุ ธศาสตร์ท่ี 1 การพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี นในระดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ยุทธศาสตรท์ ี่ 2 การเพ่ิมโอกาสให้ผูเ้ รียนเข้าถงึ บริการการศึกษาข้นึ พน้ื ฐาน ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 การพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 4 การพัฒนาระบบการบริหารจดั การ

42 จดุ เนน้ จดุ เน้นการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาสู่ความเป็นเลิศของสานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 26 (สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26. 2561 : 46–49) ไดแ้ ก่ 1. การขบั เคล่ือนศาสตร์พระราชาสสู่ ถานศกึ ษาระดบั ช้นั เรยี น 2. การพฒั นาการอ่าน การเขียน และสง่ เสรมิ นสิ ัยรกั การอ่าน 3. การพัฒนาระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี นบูรณาการกจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผูบ้ าเพ็ญประโยชน์และรกั ษาดินแดน 4. การพัฒนาทักษะการประคองชีพ : 1 คน 1 กฬี า 1 ศิลปะ 5 ผักสวนครวั 2 สตั ว์เลย้ี งเพ่ือเปน็ อาหาร 5. การส่งเสริมการเรยี นการสอนทกั ษะอาชพี 6. การสง่ เสรมิ การเรียนร้เู พอื่ พฒั นากระบวนการคิดของนกั เรียน 7. การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะอนั พึงประสงค์และค่านิยมทีด่ ีงาม 8. การยกระดบั คุณภาพการเรียนรูภ้ าษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร 9. การสง่ เสริมการแนะแนวอาชพี และการศึกษาต่อในระดับท่ีสงู ขึน้ 10. การยกระดบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและ O-NET สู่ TOP 20 11. การพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ยคุ ไทยแลนด์ 4.0 ด้วย Active Learning (DLIT/STEM/MCMK) 12. การส่งเสริมและพฒั นาครูทั้งระบบสู่การเปน็ ครูมืออาชพี 13. การสง่ เสริมชว่ ยเหลอื โรงเรียนขนาดเล็ก 14. การสง่ เสริมและพฒั นาระบบการนิเทศภายในและเครอื ข่ายชุมชนวชิ าชพี ของสถานศึกษา 15. การสร้างความเข้มแขง็ ด้านการประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศึกษา งำนท่วี ิจัยท่เี กย่ี วข้อง 1. งำนวจิ ยั ในประเทศ ในการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผู้วิจัยได้ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง เกย่ี วกบั การพัฒนา สถานศกึ ษาโดยใชแ้ นวคิดชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชพี ดงั น้ี พเิ ชฐ เกษวงษ์ (2556 : 66-67) การนาเสนอแนวทางการสรา้ งชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ ทางวชิ าชีพในสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต 2 การวิจัย ครงั้ น้ีมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อนาเสนอแนวทางการสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวชิ าชีพในสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 การดาเนินการวจิ ัยมี 3 ข้นั ตอน คือ

43 1) สร้างแนวทางการสร้างชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพในสถานศึกษา กลมุ่ ตัวอย่างได้แก่ ผทู้ รงคณุ วุฒิ จานวน 5 คน เครือ่ งมือเปน็ แบบสอบถามความตรงตามหลักวิชาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหา คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง 2) ศกึ ษาความเหมาะสมของแนวทางการสรา้ งชุมชนแหง่ การเรียนทางวิชาชพี ใน สถานศกึ ษา กลุม่ ตัวอยา่ งได้แก่ ผบู้ ริหารการศึกษา จานวน 12 คน เคร่ืองมือเปน็ แบบสอบถามความ เหมาะสมของแนวทางการสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยหาค่ามัธยฐานและ ค่าพสิ ัยระหว่างควอไทล์ และ 3) ศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องแนวทางการสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทาง วชิ าชีพในสถานศึกษา ศึกษาจากประชากรที่เปน็ ผู้บริหารสถานศกึ ษาสังกดั สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษา ปทมุ ธานี เขต 2 จานวน 67 คน เครอ่ื งมือเปน็ แบบสอบถามความเปน็ ไปได้ของแนวทางการสร้างชุมชน แห่งการเรียนร้ทู างวชิ าชีพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ัย พบวา่ แนวทางการสร้างชุมชนแหง่ การเรียนร้ทู างวิชาชีพในสถานศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพนื้ ท่ี การศกึ ษาประถมศกึ ษาปทุมธานี เขต 2 ประกอบดว้ ย 1) การสรา้ งจดุ เรมิ่ แห่งความรว่ มมือร่วมใจ เช่น สง่ เสรมิ ใหค้ รมู กี ารปรบั ปรงุ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนอื่ ง 2) การจดั ให้ครูมโี อกาสเสวนา ใครค่ รวญระหว่างกัน เชน่ นาประเด็นปัญหาจากการปฏบิ ตั ิงานของครูมาพดู คุยแลกเปลยี่ นระหวา่ งกัน 3) การส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเพื่อม่งุ เน้นท่ีการเรียนรูข้ องนกั เรยี น เช่น ส่งเสริมให้มกี ารใชว้ ิธกี าร เรียนรู้ทหี่ ลากหลาย 4) การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดา้ นค่านยิ มและปทัสถานรว่ ม เช่น กาหนดกลยุทธ์ในการดาเนนิ งานใหบ้ รรลตุ ามเปา้ หมาย และ 5) การสนับสนนุ ใหม้ ีการร่วมมือกัน ในการทางาน เชน่ สง่ เสรมิ การรวมกล่มุ เพื่อแก้ปญั หารว่ มกันของครู โดยแนวทางท้งั 5 ดา้ น มคี วามเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ทุกรายการ ฤทยั รัตน์ แสนปวน (2554 : 65-68) ไดท้ าการศึกษาสภาพความเปน็ องคก์ รแห่ง การเรยี นร้ขู องศนู ย์พฒั นาเด็กเลก็ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลโป่งแยง อาเภอแม่รมิ จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจยั พบวา่ ดา้ นม่งุ สู่ความเป็นเลิศ บคุ ลากรมโี อกาสเรียนรู้ดว้ ยตนเองอยู่เสมอ มปี ัญหา ดา้ นการจากัดของรายได ทาใหก้ ารจดั สรรงบประมาณให้ทุนศกึ ษาตอ่ ระดบั ปริญญาตรียังไม่ครอบคลุม ครูผู้ดแู ลเดก็ ทุกคนด้านรปู แบบวิธีการคิดของบคุ ลากร พบว่ามีความพร้อมท่จี ะปรบั เปล่ียนแนวคิด วธิ กี ารปฏบิ ตั ิงานให้สอดคล้องกับนโยบายของหนว่ ยงาน ปัญหาคือยงั มคี รผู ูด้ แู ลเด็ก ยดึ ตดิ อยู่กบั การ ทางานในแบบเดมิ ที่คุน้ เคย ขาดความเขา้ ใจในบทบาทหนา้ ทขี่ องตน มวี ุฒิการศึกษาต่าและจบการศึกษา มาไมต่ รงกบั สาขาด้านการมวี สิ ัยทัศนร์ ่วม พบวา่ บคุ ลากรทุกคน ได้มสี ่วนรว่ มในการกาหนด วิสัยทัศนก์ ารจัดทาแผนยุทธศาสตร์ กาหนดพันธกิจ แต่ยังขาดการติดตามและประเมนิ ผล และการนา ผลการประเมินมาปรบั ปรุงยทุ ธศาสตรพ์ ันธกจิ และวิสัยทัศนท์ ่ีเปน็ รปู ธรรมชดั เจนด้านการเรียนรู้ เป็นทมี พบวา่ หน่วยงานเปิดโอกาสใหบ้ คุ ลากรได้ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาการปฏิบัตงิ านร่วมกัน แตพ่ บปัญหาวา่ บุคลากรไม่ค่อยกลา้ แสดงความเห็นในทปี่ ระชมุ และดา้ นความคดิ เชิงระบบ สามารถ จดั ลาดบั ความสาคญั ของการปฏบิ ัติงานในหน่วยงานได้หน่วยงานเปดิ โอกาสให้บุคลากรไดต้ ัดสนิ ใจ แกป้ ัญหาการปฏิบัตงิ านร่วมกันแตย่ งั ขาดการนาปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในขณะทางานมาปรับปรุงงานให้มี ประสิทธิภาพมากข้นึ และขาดการเชอ่ื มโยงของปัญหากับเร่ืองราวตา่ งๆ กมั พล ไชยนันท์ (2554 : 154-158) ได้ทาการวิจยั เร่ือง ยทุ ธศาสตรก์ ารสรา้ งชมุ ชน แหง่ การเรียนรู้โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานในภาคเหนอื ซึง่ มวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพการเป็นชมุ ชน แหง่ การเรียนรขู้ องท้องถน่ิ ภาคเหนือตอนบน กาหนดยุทธศาสตรก์ ารสร้างชมุ ชนแหง่ การเรยี นรโู้ ดยใช้ โรงเรยี นเปน็ ฐานในภาคเหนอื ตอนบน และประเมนิ ยุทธศาสตร์การสร้างชมุ ชนแหง่ การเรียนรโู้ ดยใช้

44 โรงเรยี นเปน็ ฐานในภาคเหนือตอนบน กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนตามประกาศสานักทะเบยี นกลาง กรมการปกครองใน 4 จังหวัด คอื จังหวดั เชยี งราย พะเยา แร่ และน่าน จานวน 2,440 คน เครือ่ งมือท่ี ใช้ในการวิจัยไดแ้ ก่ แบบสอบถามการเป็นชุมขนแหง่ การเรียนรขู้ องท้องถิ่นภาคเหนือตอนบน วิเคราะห์ ข้อมลู โดยการหาคา่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลย่ี ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ขั้นตอนท่ี 2 การกาหนด ยุทธศาสตร์การสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ โดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานในภาคเหนือตอนบน ประชากรคือ ผู้อานวยการสถานศกึ ษา รองผอู้ านวยการสถานศกึ ษา ครู และกรรมการสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน โรงเรยี นประชานเุ คราะห์ 15 รวมท้งั สิน้ 53 คน เคร่ืองมือในการวิจยั แบบวิเคราะห์ชุมชนและ สถานศึกษา วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าเฉลย่ี และการบรรยายความเรียง ข้ันตอนที่ 3 การประเมนิ ยุทธศาสตร์การสร้างชมุ ชนแห่งการเรยี นรโู้ ดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานในภาคเหนอื ตอนบน ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยเป็นผู้บริหารสถานศกึ ษา และผู้บริหารการศกึ ษา จานวน 10 คน เครือ่ งมือท่ีใช้ ในการวจิ ยั ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนายุทธศาสตรไ์ ปใช้ใน สถานศึกษา วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยการหาคา่ เฉลี่ย คา่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ และการบรรยาย ความเรียง ผลการวิจยั พบว่า 1) สถานภาพการเป็นชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ของท้องถิ่นภาคเหนือตอนบน สว่ นใหญ่ระพบั การศึกษาของประชาชนจบชนั้ ประถมศึกษา สภาพทางเศรษฐกจิ ของหมบู่ ้านปานกล่ง สถานประกอบการในหมู่บา้ นอยรู่ ะหว่า 5-10 แห่ง โอกาสเขา้ ถึงเทคโนโลยสี ารสนเทศเข้าถงึ ได้งา่ ย และโครงสร้างพื้นฐานดา้ นอินเทอรเ์ น็ตครอบคลมุ ทว่ั ถงึ โดยสถานภาพการเปน็ ชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ ของทอ้ งถน่ิ ภาคเหนือตอนบนในภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง ส่วนรายด้านได้แก่ บคุ คลแห่งการเรยี นรู้ และการจดั การความรู้ในชมุ ชนอยใู่ นระดบั ปานกลาง แหล่งเรยี นรูใ้ นชมุ ชนและองค์ความร้ใู นชมุ ชนอยู่ ในระดับมาก 2) ยุทธศาสตรก์ ารสร้างชมุ ชนแห่งการเรียนรโู้ ดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานในภาคเหนอตอนบน ไดแ้ ก่ ยุทธศาสตร์หลกั พฒั นาบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ ยทุ ธศาสตรห์ ลักพฒั นาแหลง่ เรียนรูใ้ นชุมชน ยุทธศาสตรห์ ลกั พฒั นาองค์ความรู้ และยทุ ธศาสตรห์ ลักการจดั การความรู้ในชุมชน 3) การประเมิน ยุทธศาสตร์การสรา้ งชุมชนแห่งการเรยี นรู้โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในภาคเหนอตอนบน พบว่า ด้าน ความเหมาะสมและความเปน็ ไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทสี่ ุด เยาวลักษณ์ พิพัฒน์จาเริญกุล (2554 : 156-157) ไดท้ าการพฒั นารปู แบบชมุ ชน แหง่ การเรียนร้ตู ามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การวจิ ยั คร้งั นมี้ ีวัตถปุ ระสงค์ เพ่ือพัฒนารูปแบบ ชมุ ชนแหก่ ารเรียนรูต้ ามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และประเมินผลการนารูปแบบชุมชนแห่ง การเรียนรู้ตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใชใ้ นพื้นทต่ี ้นแบบ ประชากรที่ใชใ้ นการวิจัยครงั้ น้ี ไดแ้ ก่ บุคคล ในชมุ ชนบ้านม่วงคาใต้ ตาบลห้วยแกว้ อาเภอภกู ามยาว จงั หวัดพะเยา ประกอบดว้ ย ผูน้ าชมุ ชน นกั วชิ าการ ผู้อานวยการโรงเรียน วทิ ยากรทอ้ งถิ่น และประชาชนในชุมชน โดยเกบ็ รวบรวม ข้อมลู และวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยเคร่ืองมือทั้งเชิงคณุ ภาพและปริมาณ และนาเสนอผลการวจิ ัยดว้ ยวิธกี าร พรรณนา ผลการวิจยั สรุปไดว้ า่ รปู แบบชมุ ชนแหง่ การเรยี นรตู้ ามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบดว้ ย กระบวนการและขน้ั ตอนเพ่ือนาชมุ ชนก้าวสู่ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ตามหลกั ปรชั ญา เศรษฐกจิ พอเพียง ได้แก่ 1) ความสนใจและการเปิดรบั 2) การสร้างความรู้ ความเขา้ ใจ 3) การรวมกลุ่ม ความสนใจ 4) การสรา้ งกิจกรรมเพ่ือสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ สาหรับขั้นตอนการพัฒนารูปแบบ ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรตู้ ามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงของบ้านมว่ งคาใตป้ ระกอบดว้ ย 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นตอนเลา่ ประสบการณ์ 2) การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 3) สรปุ แนวคดิ 4) นาไปใช้ในการนา รูปแบบชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปใช้ในพ้นื ทีต่ ้นแบบ ณ บ้านมว่ งคาใต้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook