เอกสารประกอบการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นโดยใช้ O – NET เปน็ ฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต ๒๖ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คำนำ เอกสารประกอบการยกระดบั คุณภาพการศึกษา โดยใช้ O-NET เป็นฐาน เล่มนี้ จดั ทาข้นึ โดยนา ขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนตน้ ปกี ารศกึ ษา 2561 ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มาวิเคราะหต์ ามสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ และ ตวั ชว้ี ดั เพอ่ื ให้โรงเรยี นในสังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 ได้นาไปพัฒนาระบบการ วัดและประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพ่ือยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู ขนึ้ การจดั ทาเอกสารนไี้ ด้รบั ความร่วมมอื เปน็ อยา่ งดี จากผบู้ รหิ ารโรงเรียน ตัวแทนคณะครใู นสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 ศึกษานเิ ทศก์ ตลอดจนผู้เก่ียวขอ้ ง จงึ ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ คณะผจู้ ดั ทาหวังเปน็ อย่างยงิ่ ว่า เอกสารชุดนคี้ งเป็นประโยชน์ในการวางแผนการจัดกจิ กรรมการ เรยี นรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ให้มีประสทิ ธภิ าพมากย่งิ ขึ้น คณะผูจ้ ดั ทา
สำรบญั หนำ้ เรอ่ื ง 1 เฉลยข้อสอบ O-NET วิทยาศาสตร์ 63 74 ตอนที่ 1 แบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก ตอนท่ี 2 แบบปรนยั เลือกตอบเชงิ ซอ้ น คณะผจู้ ดั ทำ
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 1 สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยขอ้ สอบ O-NET 2560 รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ตอนท่ี 1 แบบปรนยั 4 ตัวเลอื ก เลือก 1 คาตอบทถ่ี ูกท่สี ดุ จานวน 40 ข้อ (ขอ้ 1 – 40 ) ข้อละ 2 คะแนน รวม 80 คะแนน 1. เม่ือนาชนิ้ ส่วนของสงิ่ มชี วี ติ ชนดิ หน่ึงมาศึกษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ พบว่าเซลล์มสี ว่ นประกอบ ดังนี้ ผนงั เซลล์ เย่อื ห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซึม คลอโรพลาสต์ และนิวเคลยี ส ชิน้ ส่วนท่ีนามาศกึ ษานีค้ วรเป็นเซลลใ์ ด 1. เซลล์ของไฮดรา 2. เซลลข์ องอะมบี า 3.เซลลข์ องเยอ่ื บขุ า้ งแก้ม 4. เซลล์ของสาหรา่ ยหางกระรอก สาระที่ 1 สง่ิ มีชีวิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพืน้ ฐานของส่ิงมีชวี ิต ความสมั พนั ธ์ ของโครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบต่าง ๆ ของ สิ่งมีชีวติ ทที่ างานสัมพนั ธก์ ัน มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่อื สารสงิ่ ทีเ่ รยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใชใ้ นการดารงชวี ติ ของตนเองและดูแลสง่ิ มชี วี ิต ตวั ชี้วดั ม.1/2 สังเกตและเปรียบเทยี บสว่ นประกอบสาคญั ของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ 4 เซลล์สาหร่ายหางกระรอก เพราะเป็นเซลลพ์ ืช ซึ่งผนงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ เปน็ สว่ นประกอบ ที่พบไดใ้ นเซลลพ์ ืช แต่เซลล์ของไฮดรา เซลลข์ องอะมบี า และเซลลข์ องเยอ่ื บุข้างแก้ม เปน็ เซลล์สตั วส์ ตั วจ์ งึ ไม่มี ผนังเซลล์ และคลอโรพลาสต์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 2 สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 2. ข้อใดต่อไปนเ้ี ปน็ ผลจากกระบวนการออสโมซสี 1. การเติมน้าตาลลงไปในนม ทาใหน้ มมีรสหวาน 2. การแช่ถุงชาในนา้ รอ้ น ทาใหน้ ้าเปลี่ยนเปน็ สีน้าตาล 3. การแลกเปลีย่ นแก๊สออกซเิ จนระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกบั อวัยวะ 4. การแช่เนอ้ื เยอ่ื ของเซลลผ์ กั กาดในสารละลายกลูโคส ทาให้เซลล์เห่ียว สาระท่ี 1 สงิ่ มีชีวิตกบั กระบวนการดารงชวี ติ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ ของโครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของ ส่งิ มีชีวิตท่ที างานสมั พันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งท่เี รียนรแู้ ละนาความร้ไู ปใชใ้ นการดารงชีวิต ของตนเองและดแู ลสิ่งมชี ีวติ ตัวชีว้ ดั ม.1/4 ทดลองและอธบิ ายกระบวนการสารผา่ นเซลล์ โดยการแพรแ่ ละออสโมซิส ระดับพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ข้อ 4. การแชเ่ นอื้ เยื่อของเซลลผ์ กั กาดในสารละลายกลโู คส ทาให้เซลลเ์ ห่ยี ว เพราะออสโมซิสเปน็ การเคล่อื นท่ขี องน้าผา่ นเขา้ และออกจากเซลล์ จากบรเิ วณทมี่ คี วามเขม้ ข้นของ สารละลายตา่ ไปสูบ่ รเิ วณที่มคี วามเข้มขน้ ของสารละลายสงู โดยผ่านเยอื่ เลอื กผา่ น
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 3 สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 3. จดั ชุดการทดลองเพอื่ ศกึ ษาการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ดังภาพ ทาการทดลองโดยปรบั ระยะห่างระหว่างโคมไฟกับหลอดทดลองและความเขม้ ข้นของสารละลาย ������������������������������3 ซง่ึ เปน็ สารท่ปี ลดปลอ่ ยแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แล้วบันทึกจานวนฟองแกส๊ ท่เี กดิ ข้นึ ไดผ้ ลดงั ตาราง ชุดทดลอง ระยะหา่ งระหว่างโคมไฟกบั ความเขม้ ข้นของสารละลาย ������������������������������3 จานวนฟอง หลอดทดลอง (cm) (ร้อยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร) แกส๊ 1 20 0.0 5 2 20 0.5 25 3 40 0.0 3 4 40 0.5 17 5 60 0.0 0 6 60 0.5 8 จากผลการทดลอง ขอ้ สรปุ ใดถกู ต้อง 1. จานวนฟองแกส๊ เพิ่มข้นึ เม่อื ความเขม้ แสงและปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ลดลง 2. จานวนฟองแก๊สเพิ่มขึ้น เมือ่ ความเข้มแสงและปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์เพ่ิมขนึ้ 3. จานวนฟองแกส๊ เพม่ิ ข้ึน เมื่อความเขม้ แสงเพม่ิ ขึ้นและปรมิ าณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ลดลง 4. จานวนฟองแกส๊ เพม่ิ ข้ึน เมอื่ ความเข้มแสงลดลงและปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดเ์ พมิ่ ข้นึ สาระที่ 1 สง่ิ มชี ีวิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจหน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชวี ิต ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ท่ีของระบบต่าง ๆ ของ สิง่ มชี วี ิตที่ทางานสัมพนั ธก์ ัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารสง่ิ ทเ่ี รียนรแู้ ละนาความรไู้ ปใช้ในการดารงชีวติ ของตนเองและดแู ลสง่ิ มชี วี ติ ตวั ช้ีวดั ม.1/5 ทดลองหาปจั จัยบางประการทจ่ี าเป็นตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื และอธิบายวา่ สง คลอโรฟลิ ล์ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์น้า เป็นปัจจยั ทจี่ าเปน็ ตอ้ งใช้ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ระดับพฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 4 สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ 2. จานวนฟองแกส๊ เพมิ่ ข้ึน เมือ่ ความเขม้ แสงและปรมิ าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพ่มิ ข้นึ เพราะ แสง คลอโรฟลิ ล์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และนา้ เป็นปจั จัยท่จี าเปน็ ต่อกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ย แสงของพชื การเพิ่มความเขม้ แสงและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ทาให้อตั ราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเพม่ิ ขึน้ โดย สามารถสังเกตไดจ้ ากฟองอากาศ คือ แก๊สออกซเิ จนที่เพมิ่ ขนึ้
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 5 สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 4. ศกึ ษาปัจจัยท่เี ก่ียวข้องกบั การคายนา้ ของพชื โดยจดั ชดุ การทดลองจานวน 4 ชดุ ทเ่ี หมือนกัน ดังภาพ นาแต่ ละชดุ การทดลองไปวางไว้ในบริเวณทมี่ ีความช้ืนสมั พัทธ์ และอณุ หภูมติ า่ งกันดังตาราง สังเกตระดบั นา้ ใน หลอดทดลองเมอื่ เวลาผา่ นไป 24 ช่วั โมง เมอื่ ทาการทดลองครบ 24 ชว่ั โมง ขอ้ ใดเรียงลาดับการคายนา้ ในชดุ การทดลองทั้ง 4 บรเิ วณจาก มากไปนอ้ ย ได้ถูกต้อง 1. B A C D 2. B A D C 3. D C A B 4. C D A B สาระท่ี 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดารงชวี ติ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหนว่ ยพื้นฐานของ สง่ิ มีชวี ติ ความสมั พนั ธ์ ของ โครงสรา้ ง และหน้าท่ขี องระบบ ต่าง ๆ ของสิ่งมีชวี ิตที่ทางาน สมั พนั ธ์กนั มกี ระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารสง่ิ ท่ี เรียนรู้และนาความร้ไู ปใช้ใน การดารงชวี ติ ของตนเองและดูแล สิ่งมชี ีวิต ตวั ชวี้ ัด ม.1/8 ทดลองและอธบิ ายกลมุ่ เซลล์ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การลาเลยี งนา้ ของพชื ระดบั พฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge): √ 1) ความจา √ 2) เขา้ ใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 1. B A C D ความชน้ื สัมพทั ธ์ และ อณุ หภูมิ เป็นปัจจัยที่มีอิทธพิ ลตอ่ การคายนา้ ของพชื ซ่งึ พชื จะคายน้าได้มาก เมอื่ ความช้ืนสมั พัทธ์ตา่ อณุ หภูมิสงู และจะคายน้าได้นอ้ ย เมือ่ ความชน้ื สัมพทั ธส์ งู อณุ หภมู ิตา่
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 6 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 5. ข้าวโพดเปน็ พชื ทีม่ ดี อกเพศผ้แู ละดอกเพศเมยี อยใู่ นต้นเดียวกัน โดยช่อดอกเพศผจู้ ะอยสู่ ว่ นยอดของลาตน้ สว่ นชอ่ ดอกเพศเมยี จะอยู่ระหว่างกาบใบและลาตน้ ซงึ่ อยตู่ ่าลงมา ยอดของเกสรเพศเมยี จะเปน็ เสน้ บางๆ คล้ายกับเส้นไหมทย่ี าวและยนื่ ออกมาจากปลายชอ่ ดอกเปน็ จานวนมาก ดอกเพศผูข้ องขา้ วโพดจะสลดั เกสรกอ่ นทีเ่ ซลลไ์ ข่ในดอกเพศเมียพรอ้ มท่ีจะปฏสิ นธิ ดงั นน้ั ข้าวโพดจึงเป็นพชื ท่ี ผสมข้ามตน้ ตามธรรมชาติ ซงึ่ อาจพบการผสมตวั เองเพยี งเล็กนอ้ ยภายใตส้ ภาวะที่เหมาะสม โดยละอองเรณจู ะ มีชีวิตอยู่ไดน้ าน 18 – 24 ช่วั โมง แต่อาจจะตายในเวลา 2 – 3 ชัว่ โมงถา้ อุณหภมู สิ งู มากๆ เกษตรกรคนหนง่ึ ปลกู ข้าวโพด เม่อื เก็บผลผลิตพบข้าวโพดท่ีมีเมล็ดไมเ่ ต็มฝกั จานวนมาก ถา้ เกษตรกรจะปลูก ขา้ วโพดครัง้ ตอ่ ไป นกั เรียนคดิ ว่าวธิ กี ารใดทส่ี ามารถชว่ ยปอ้ งกนั หรือแกป้ ญั หาดังกลา่ วได้ 1. ตดั ดอกเพศผอู้ อก เพอื่ เพมิ่ อตั ราการผสมขา้ มตน้ 2. ใชถ้ งุ คลมุ เฉพาะดอกเพศผู้ เพื่อเพิ่มอตั ราการผสมตวั เอง 3. ลดการใช้สารเคมกี าจัดแมลง เพอื่ เพิ่มอัตราการผสมขา้ มต้น 4. ผสมพันธุ์ข้าวโพดในชว่ งทอ่ี ากาศรอ้ น เพือ่ เพมิ่ อัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสง สาระท่ี 1 สิ่งมชี วี ิตกบั กระบวนการดารงชวี ติ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจหนว่ ยพนื้ ฐานของ สงิ่ มีชวี ิต ความสมั พันธ์ ของ โครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบ ต่าง ๆ ของสิ่งมีชวี ติ ท่ีทางาน สมั พนั ธ์กัน มีกระบวนการ สบื เสาะหาความรู้ สือ่ สารสงิ่ ท่ี เรียนรู้และนาความรูไ้ ปใช้ใน การดารงชวี ิตของตนเองและดูแล ส่งิ มีชีวิต ตัวชวี้ ัด ม.1/11 อธิบายกระบวนการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ ของพืชดอกและการสบื พนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศของ พืช โดยใชส้ ่วนต่าง ๆ ของพชื เพอื่ ชว่ ยในการขยายพนั ธุ์ ระดบั พฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : √ 1) ความจา √ 2) เข้าใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 3. ลดการใช้สารเคมีกาจดั แมลง เพอื่ เพิม่ อัตราการผสมขา้ งต้น 3. ลดการใชส้ ารเคมีกาจัดแมลง เพอื่ เพม่ิ อัตราการผสมขา้ งตน้ ถูกต้อง เพราะ เป็นการลดปจั จัยเสี่ยง ในการปฏสิ นธขิ องขา้ วโพด
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 7 สานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 6. ข้อความใดกล่าวถูกต้องเกยี่ วกบั การตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าของพืช 1. การตอบสนองจะเกิดขน้ึ อยา่ งชา้ ๆ เสมอ 2. การบานของดอกบัวไมเ่ ปน็ การตอบสนองตอ่ ส่งิ เรา้ 3. การตอบสนองของพชื บางครงั้ อาจไมเ่ กย่ี วขอ้ งกับการเจริญเติบโต 4. กลไกการตอบสนองจะตอ้ งเกิดจากการเพิม่ จานวนของเซลลเ์ สมอ สาระที่ 1 สงิ่ มชี ีวติ กบั กระบวนการดารงชวี ติ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจหนว่ ยพน้ื ฐานของ สงิ่ มชี วี ิต ความสัมพนั ธ์ ของ โครงสรา้ ง และหนา้ ท่ีของระบบ ตา่ ง ๆ ของส่งิ มีชวี ิตท่ีทางาน สัมพนั ธก์ ัน มีกระบวนการ สบื เสาะหาความรู้ สอ่ื สารสงิ่ ที่ เรยี นรแู้ ละนาความรูไ้ ปใชใ้ น การดารงชวี ติ ของตนเองและดูแล ส่ิงมีชวี ติ ตวั ชวี้ ดั ม.1/12 ทดลองและอธบิ ายการตอบสนองของพชื ต่อแสง นา้ และการสมั ผัส ระดับพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : √ 1) ความจา √ 2) เข้าใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 3. การตอบสนองของพืชบางครง้ั อาจไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การเจรญิ เตบิ โต 3. การตอบสนองของพชื บางครง้ั อาจไมเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการเจรญิ เติบโต เช่น การหบุ ของไมยราบ การเปดิ ปดิ ของปากใบ เปน็ ตน้ 1. การตอบสนองจะเกดิ ขึ้นอย่างชา้ ๆ เสมอ ไม่ถกู ตอ้ ง เพราะการตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้าของพชื บางอย่างเกดิ ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ เชน่ การตอบสนองตอ่ การสมั ผัสของใบไมยราบ 2. การบานของดอกบวั ไม่เปน็ การตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ไมถ่ ูกตอ้ งเพราะ การบานของดอกบัวเป็นการ ตอบสนองตอ่ อุณหภูมิ ซึ่งตอนกลางวันอุณหภมู สิ งู จะทาใหก้ ลมุ่ เซลล์ดา้ นในของกลีบดอกขยายขนาดมากกว่า กลมุ่ เซลลด์ ้านนอกของกลีบดอก ส่วนตอนกลางคืนดอกบวั หบุ เนอื่ งจากอณุ หภูมิต่า ทาให้กลมุ่ เซลล์ด้านนอก ของกลบี ดอกขยายขนาดมากกว่ากลุ่มเซลล์ดา้ นในของกลบี ดอก 4. กลไกการตอบสนองจะตอ้ งเกิดจากการเพิ่มจานวนของเซลล์เสมอ ไมถ่ กู ต้องเพราะ กลไกการ ตอบสนองของพชื มหี ลายแบบ เช่น การหุบของไมยราบ เปน็ การหุบของใบจากการสะเทอื น ทาใหแ้ รงดนั เต่ง ของกลมุ่ พลั ไวนสั เปล่ยี นแปลงอย่างรวดเรว็ คือ จะสญู เสยี น้าให้กบั เซลล์ขา้ งเคยี ง ทาใหใ้ บหบุ ลงทนั ที ซง่ึ ไม่ใช่ การเพิ่มจานวนเซลล์
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 8 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 7. ผลการทดสอบสารอาหารในอาหาร 4 ชนิด เปน็ ดังตาราง ผลการทดสอบสารอาหารโดยวธิ ีการต่างๆ อาหาร เตมิ สารละลาย เตมิ สารละลาย เตมิ สารละลาย ถหู รอื หยด ไอโอดีน เบเนดิกต์ คอปเปอรซ์ ลั เฟตและ บนกระดาษ A สีน้าเงิน และใหค้ วามรอ้ น สารละลาย ไม่โปรง่ แสง B ไม่เปลย่ี นแปลง โซเดียมไฮดรอกไซด์ โปร่งแสง C ไม่เปล่ยี นแปลง ไมโ่ ปรง่ แสง D ไม่เปลย่ี นแปลง ไม่เปลย่ี นแปลง ไม่เปลย่ี นแปลง โปรง่ แสง ไม่เปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปลีย่ นแปลง D เนยเทยี ม ตะกอนสีแดงอฐิ ไมเ่ ปลย่ี นแปลง นอ่ งไก่ เนยเทียม ไม่เปลีย่ นแปลง สมี ่วง นอ่ งไก่ ขอ้ ใดระบชุ นิดของอาหารท้งั 4 ชนิดท่ีนามาทดสอบได้ถกู ต้อง A B C 1. ขา้ วกล้อง น่องไก่ น้าเชอื่ มจากข้าวโพด 2. ขา้ วกลอ้ ง เนยเทียม นา้ เชอ่ื มจากขา้ วโพด 3. นา้ เชอ่ื มจากข้าวโพด นอ่ งไก่ 4. นา้ เชอ่ื มจากขา้ วโพด เนยเทียม ข้าวกล้อง ข้าวกล้อง สาระที่ 1 สิ่งมชี วี ติ กับกระบวนการดารงชวี ิต มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหนว่ ยพื้นฐานของ สิ่งมีชวี ติ ความสัมพนั ธ์ ของ โครงสร้าง และหนา้ ทขี่ องระบบ ตา่ ง ๆ ของสง่ิ มีชวี ติ ทที่ างาน สัมพนั ธ์กนั มกี ระบวนการ สบื เสาะหาความรู้ สอ่ื สารสง่ิ ท่ี เรียนรแู้ ละนาความรไู้ ปใชใ้ น การดารงชวี ิตของตนเองและดูแล ส่ิงมชี วี ิต ตัวชี้วัด ม.2/5 ทดลอง วิเคราะห์ และอธบิ ายสารอาหาร ในอาหาร มปี ริมาณพลงั งานและสดั สว่ นท่ี เหมาะกบั เพศและวยั ระดับพฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : √ 1) ความจา √ 2) เขา้ ใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 2. Aข้าวกล้อง Bเนยเทียม Cน้าเชื่อมจากขา้ วโพด Dน่องไก่ อาหาร A คือ ข้าวกล้อง เปน็ อาหารประเภทแป้ง (คารโ์ บไฮเดรต) ทดสอบดว้ ยสารละลายไอโอดีน จะ เปล่ยี นเปน็ สีน้าเงิน อาหาร B คอื เนยเทียม ให้สารอาหารประเภทไขมัน ทดสอบด้วยกระดาษโดยถหู รือหยดลงบน กระดาษ จะทาให้กระดาษโปร่งแสง
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 9 สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 อาหาร c คอื น้าเชอ่ื มจากข้าวโพด เป็นอาหารประเภทนา้ ตาลโมเลกุลเดยี่ ว(คาร์โบไฮเดรต) ทดสอบ ด้วยสารละลายเบเนดิกซแ์ ละใหค้ วามร้อน จะเกดิ ตะกอนสแี ดงอฐิ อาหาร D คอื น่องไก่ ใหส้ ารอาหารประเภทโปรตีน ทดสอบสารละลายคอปเปอรซ์ ัลเฟตและ สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ จะเปลยี่ นเปน็ สีมว่ ง
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 10 สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 8. โรคธาลัสซเี มียเป็นโรคทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมดว้ ยยนี ดอ้ ยบนโครโมโซมร่างกาย เกดิ จากความผิดปกติ ของยีนทค่ี วบคมุ การสรา้ งฮีโมโกลบินในเมด็ เลอื ดแดง จากการศกึ ษาการถา่ ยทอดลกั ษณะโรคธาลสั ซีเมียในครอบครัวหนง่ึ ท่ปี ระกอบด้วย พอ่ แม่ ลกู สาว 1 คน และ ลกู ชาย 1 คน พบว่า พอ่ แมแ่ ละลูกสาวไมเ่ ปน็ โรคธาลสั ซเี มีย แตล่ ูกชายเป็นโรคธาลสั ซีเมยี ข้อใดสรปุ เกย่ี วกับการถา่ ยทอดลักษณะโรคธาลสั ซเี มยี ของครอบครัวนไี้ ด้ถูกตอ้ ง 1. พอ่ หรอื แม่จะตอ้ งมีคู่ยีนทป่ี กติทั้งคู่ 2. ลกู สาวจะต้องเป็นพาหะของโรคธาลสั ซเี มียเสมอ 3. ลกู ชายจะตอ้ งไดร้ ับยนี ควบคุมโรคธาลัสซีเมยี จากทัง้ พอ่ และแม่ 4. ลกู คนต่อไปของครอบครวั น้ี จะไม่มีโอกาสเปน็ โรคธาลสั ซเี มยี แลว้ สาระท่ี 1 สิ่งมชี วี ิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและ ความสาคญั ของ การถ่ายทอดลักษณะ ทางพนั ธกุ รรม ววิ ัฒนาการ ของ ส่งิ มชี วี ิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ท่ีมีผลกระทบตอ่ มนุษยแ์ ละ สง่ิ แวดลอ้ ม มีกระบวนการ สบื เสาะหาความรแู้ ละ จติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สาร สงิ่ ท่ีเรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ชว้ี ดั ม.3/3 อภปิ รายโรคทางพนั ธุกรรมที่เกิดจาก ความผดิ ปกตขิ องยีนและโครโมโซม และ นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : √ 1) ความจา √ 2) เข้าใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 3. ลูกชายจะตอ้ งไดร้ ับยีนควบคุมโรคธาลสั ซีเมยี จากท้งั พอ่ และแม่ 3. ลกู ชายจะตอ้ งไดร้ บั ยนี ควบคุมโรคธาลัสซเี มียจากทัง้ พอ่ และแม่ ถูกตอ้ ง เพราะไดร้ บี ยีนควบคมุ โรคธาลสั ซเี มยี จากพอ่ และแม่ท่ีเป็นพาหะโรคธาลัสซีเมยี 1. พ่อหรอื แมจ่ ะตอ้ งมีคู่ยนี ที่ปกติทง้ั คู่ ไม่ถกู ตอ้ งเพราะ ถา้ พอ่ หรือแม่มคี ูย่ นี ทีป่ กติท้ังคู่ จะไมม่ ีโอกาสท่ี ลูกจะเป็นโรคธาลสั ซีเมยี 2. ลูกสาวจะตอ้ งเป็นพาหะของโรคธาลสั ซเี มยี เสมอ ไม่ถูกตอ้ ง เพราะยนี ที่ควบคุมโรคธาลสั ซเี มีย เปน็ ยีนดอ้ ยบนโครโมโซมรา่ งกาย ไมใ่ ช่ยีนด้อยท่ีควบคุมบนโครโมโซมเพศ 4. ลูกคนตอ่ ไปของครอบครวั นี้ จะไม่มีโอกาสเปน็ โรคธาลสั ซีเมยี แลว้ ไม่ถกู ต้อง เพราะ ยงั มีโอกาสที่ ยนี ควบคมุ โรคธาลัสซเี มยี ของพอ่ และแมจ่ ะเขา้ คูก่ ันอีก
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 11 สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 9. ส่งิ มชี ีวิตที่อาศยั ในบริเวณหนงึ่ มีความสมั พนั ธ์กนั ดงั แผนภาพ ปัจจยั ใดท่อี าจทาให้ประชากรกบในสายใยอาหารนีเ้ พมิ่ ขนึ้ 1. อัตราการเกิดของผกั บงุ้ และหนอนลดลง 2. อัตราการอพยพออกของนกเหย่ียวและอัตราการเกดิ ของแมวสูงข้นึ 3. อัตราการเกดิ ของข้าวลดลงและอตั ราการอพยพออกของตก๊ั แตนสูงขนึ้ 4. อัตราการตายของผกั บงุ้ ลดลงและอตั ราการอพยพเขา้ ของนกอินทรสี งู ขึ้น สาระที่ 2 ชวี ิตกบั ส่งิ แวดล้อม มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสงิ่ แวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสงิ่ แวดลอ้ มกับสิง่ มีชีวติ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิง่ มีชวี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารสงิ่ ทเ่ี รยี นรูแ้ ละนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชวี้ ดั ม.3/2 วเิ คราะห์และอธบิ ายความสัมพันธข์ องการถา่ ยทอดพลังงานของสิง่ มีชวี ิตในรูปของโซ่ อาหารและสายใยอาหาร ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ข้อ 4. อตั ราการตายของผักบุ้งลดลงและอตั ราการอพยพเข้าของนกอนิ ทรสี ูงข้นึ เพราะ ผักบุ้งเปน็ อาหารของหนอนและหนอนก็เปน็ อาหารของกบ เมอื่ ผกั บงุ้ มอี ตั ราการตาย ลดลง แสดงวา่ มจี านวนประชากรของผกั บงุ้ เพมิ่ ข้ึน ทาใหป้ ระชากรกบเพิม่ ขึ้นด้วย นกอินทรเี ปน็ ผูล้ า่ แมว และแมวกเ็ ปน็ ผู้ล่ากบ เมื่อประชากรนกอนิ ทรีเพิม่ ขึน้ ทาใหแ้ มว มีจานวนลดลง ส่งผลให้ประชากรของกบเพิม่ ขน้ึ
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 12 สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 10. A B C และ D คอื กระบวนการทเี่ กดิ ข้นึ ในวฏั จักรคารบ์ อนของบรเิ วณหน่ึง ดงั แผนภาพ จากแผนภาพ กระบวนการใดของวัฏจักรคารบ์ อนน้ีทีช่ ว่ ยบรรเทาภาวะเรือนกระจกได้ 1. กระบวนการ A 2. กระบวนการ B 3. กระบวนการ C 4. กระบวนการ D สาระท่ี 2 ชีวติ กบั ส่งิ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสง่ิ แวดลอ้ มในทอ้ งถิ่น ความสัมพนั ธ์ระหว่างสงิ่ แวดลอ้ มกบั ส่ิงมชี วี ิตความสัมพันธ์ ระหวา่ งส่ิงมชี ีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ มกี ระบวนการสืบเสาะหาความร้แู ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารสิ่งท่ี เรียนรแู้ ละนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วดั ม.3/3 อธิบายวฏั จักรน้า วฏั จกั รคารบ์ อน และความสาคัญที่มตี อ่ ระบบนิเวศ ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ กระบวนการ B เป็นกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง โดยพชื ตรงึ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ มาใช้ ในกระบวนการน้ีทาให้แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลง จึงชว่ ยบรรเทาภาวะเรอื นกระจกได้
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 13 สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 11. กจิ กรรมในขอ้ ใดจัดเป็นการนากลับมาใชใ้ หม่ (Recycle) ตามแนวทางการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ 3Rs 1. การนากระดาษหนังสอื พมิ พ์มาเชด็ กระจก 2. การนากระดาษทใี่ ช้แลว้ มาทาเป็นกระดาษสา 3. การบรจิ าคเสอื้ ทไ่ี มไ่ ด้ใส่แลว้ ให้แกค่ นอน่ื ทีต่ อ้ งการ 4. การซื้อน้ายาล้างจานชนิดถงุ เตมิ แทนการซ้อื ขวดใหม่ สาระที่ 2 ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสาคญั ของทรพั ยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาตใิ นระดับท้องถนิ่ ประเทศ และโลกนาความรู้ไปใช้ในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มในทอ้ งถนิ่ อย่างย่ังยนื ตวั ช้วี ดั ม.3/3 อภปิ รายการใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งย่งั ยืน ระดบั พฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ ด้านทักษะกระบวนการ (Process Skill) ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attribte) เฉลยคาตอบ ข้อ 2. การนากระดาษทีใ่ ช้แลว้ มาทาเป็นกระดาษสา เปน็ การนากลบั มาใช้ใหม่ (Recycle) เหตุผล R : Reduce คือ การลดการใช้ การบรโิ ภคทรพั ยากรที่ไม่จาเปน็ ลง โดยเฉพาะการลดการ บรโิ ภคทรัพยากรทใ่ี ช้แลว้ หมดไป เช่น นา้ มัน ก๊าซธรรมชาติ ถา่ นหนิ และแร่ธาตุ ต่าง ๆ การลดการใช้นี้ ทาได้ งา่ ย ๆ โดยการเลือกใช้เท่าทจ่ี าเปน็ เช่น ปิดไฟทุกครงั้ ทไ่ี มใ่ ช้งานหรอื เปิดเฉพาะจุดทใ่ี ชง้ าน เป็นต้น R : Reuse คือ การใชท้ รพั ยากรใหค้ ุ้มคา่ ท่สี ุด โดยการนาสิ่งของเครอื่ งใช้ มาใช้ซา้ R : Recycle คือ การนาหรือเลอื กใช้ทรพั ยากรที่สามารถนากลับมารไี ซเคิล หรอื นากลบั มาใช้ ใหม่ เป็นการลดการใช้ทรพั ยากรในธรรมชาตจิ าพวกต้นไม้ แร่ธาตุตา่ ง ๆ เชน่ ทราย เหลก็ อลูมเิ นียม ซ่ึง ทรัพยากรเหล่าน้ี สามารถนามารไี ซเคลิ ได้ยกตัวอยา่ งเชน่ เศษกระดาษสามารถนาไปรีไซเคิลกลับมาใชเ้ ป็น กล่องหรอื ถุงกระดาษ การนาแก้วหรือพลาสตกิ มาหลอมใชใ้ หมเ่ ปน็ ขวด ภาชนะใสข่ อง
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 14 สานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 12. แกส๊ คาร์บอนมอนอกไซดซ์ ง่ึ เปน็ แกส๊ อนั ตราย พบไดม้ ากกว่าในบรเิ วณใด 1. บริเวณทมี่ ีการก่อสร้าง 2. บริเวณที่มีแหล่งน้าเนา่ เสีย 3. บรเิ วณที่มกี ารจราจรคับคง่ั 4. บริเวณทม่ี กี ารฝงั กลบของเสยี สาระท่ี 2 ชีวติ กบั สงิ่ แวดล้อม มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสาคัญของทรพั ยากรธรรมชาติ การใชท้ รัพยากรธรรมชาติในระดบั ทอ้ งถิ่น ประเทศ และโลกนาความรูไ้ ปใชใ้ นการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในทอ้ งถนิ่ อยา่ งย่ังยนื ตัวช้ีวดั ม.3/5 อภิปรายปญั หาสิง่ แวดลอ้ มและเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหา ระดับพฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ 3. บริเวณที่มกี ารจราจรคบั ค่งั เหตุผล แก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์เกิดจากการเผาไหมท้ ีไ่ มส่ มบูรณข์ องสารประกอบคารบ์ อน โดยเฉพาะเครอ่ื งยนตส์ ันดาปภายใน คาร์บอนมอนออกไซดจ์ ะเกดิ ได้มากเมอื่ ออกซเิ จนไม่เพียงพอในการ สันดาป คารบ์ อนมอนอกไซดส์ ามารถใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงได้ เผาไหมใ้ นอากาศจะเกิดเปลวเพลงิ สีน้าเงินและให้ คาร์บอนไดออกไซดอ์ อกมา แมว้ ่าจะมีความเปน็ พษิ อย่างรา้ ยแรงคารบ์ อนมอนออกไซดก์ ม็ ปี ระโยชน์ในโลก ปจั จุบันอยา่ งมากเพราะเป็นสารตงั้ ตน้ ในการผลิตผลติ ภณั ฑอ์ ยา่ งอ่ืนนานาชนดิ เชน่ จากรถ บหุ รี่ เปน็ ต้น
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 15 สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 13. จัดชุดการทดลอง โดยใสน่ า้ กลั่นในบกี เกอร์ จานวน 4 ใบ ใบละ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วนา ของแขง็ 4 ชนดิ คอื A B C และ D ชนดิ ละ 1 กรัม ใสล่ งในบกี เกอร์ใบละ 1 ชนิด จากนน้ั ใชแ้ ทง่ แก้วคน ให้ของแข็งและนา้ ผสมกัน แลว้ นาสารผสมทงั้ 4 ชนิด ไปทาการทดลอง ดังนี้ 1. วางบกี เกอรไ์ ว้ในแนวท่ีแสงแดดส่องผา่ น เปน็ เวลา 20 นาที พบวา่ จะมองเห็นลาแสงผ่านสารผสม ระหว่างของแข็ง A กับน้า และสารผสมระหว่างของแขง็ D กบั น้า เท่าน้นั และมีเพยี งสารผสมระหวา่ ง ของแข็ง C กับน้า เทา่ นน้ั ท่ีมีตะกอนอย่ทู ่ีก้นบีกเกอร์ 2. นาสารผสมแต่ละชนดิ ใส่ในถุงเซลโลเฟน แล้วแชน่ า้ พบวา่ มเี พียงสารผสมระหวา่ งของแข็ง B กบั น้า เท่าน้นั ทสี่ ามารถผ่านถงุ เซลโลเฟนได้ จากผลการทดลอง สามารถจาแนกสารไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่ ดงั น้ี กลมุ่ ที่ 1 สารผสมระหวา่ งของแข็ง A กับนา้ และสารผสมระหวา่ งของแขง็ D กับนา้ กลมุ่ ท่ี 2 สารผสมระหว่างของแข็ง B กบั นา้ กลุ่มท่ี 3 สารผสมระหว่างของแขง็ C กบั นา้ กาหนดใหข้ องแขง็ ท่ีใช้ในการทดลองนี้ เมอ่ื กระจายอยู่ในนา้ มขี นาดอนภุ าคแตกตา่ งกัน โดยอยู่ในชว่ ง 10−8 − 10−3 เซนติเมตร จากข้อมูล ข้อใดระบขุ นาดของนุภาคทีเ่ ป็นไปไดท้ ก่ี ระจายอยู่ในนา้ ของสารผสมแต่ละชนดิ ไมถ่ กู ต้อง 1. สารผสมระหวา่ งของแขง็ A กบั น้า เปน็ สารท่มี ขี นาดของอนภุ าคเทา่ กับ 10−5 มิลลิเมตร 2. สารผสมระหว่างของแขง็ B กับนา้ เปน็ สารท่ีมีขนาดของอนุภาคใหญ่กว่า 10−7 เซนติเมตร 3. สารผสมระหว่างของแขง็ C กบั นา้ เป็นสารทมี่ ีขนาดของอนภุ าคใหญก่ ว่า 10−3 มลิ ลิเมตร 4. สารผสมระหว่างของแข็ง D กับนา้ เป็นสารท่มี ขี นาดของอนภุ าคอยรู่ ะหวา่ ง 10−7 − 10−4 เซนติเมตร สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบัตขิ อง สารกบั โครงสร้าง และแรงยึด เหนย่ี ว ระหว่างอนภุ าค มีกระบวนการสบื เสาะ หาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารส่ิงท่ี เรียนรู้ นาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ ตวั ชว้ี ดั ม.1/1 ทดลองและจาแนกสารเป็นกล่มุ โดยใช้เนอ้ื สารหรอื ขนาดอนภุ าคเป็นเกณฑ์ และ อธิบายสมบตั ิ ของสารในแต่ละกลมุ่
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 16 สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge): √ 1) ความจา √ 2) เข้าใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 2. สารผสมระหว่างของแขง็ B กบั น้า เปน็ สารที่มขี นาดของอนภุ าคใหญก่ ว่า 10−7 เซนติเมตร เพราะ สารผสมระหวา่ งของแข็ง B กับนา้ เปน็ สารละลาย ต้องมีขนาดอนภุ าคนอ้ ยกวา่ 10-7 ซ.ม.
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 17 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 14. ให้ และ แทนอนุภาคของสาร ภาพแสดงการจัดเรียงอนุภาคของสาร เป็นดังนี้ จากข้อมูล ขอ้ ใดคาดคะเนการเปลีย่ นแปปลงการจัดเรียงอนภุ าคและสมบตั บิ างประการของสารตามการเปลี่ยน สถานะของสารทกี่ าหนดให้ได้อยา่ งถูกต้อง สมบัตขิ องผลิตภณั ฑ์ การเปลี่ยนสถานะของสาร การเปลย่ี นแปลงการ เปรยี บเทียบกบั สารตงั้ ตน้ จัดเรยี งอนภุ าคของสาร แรงยดึ เหนีย่ ว พลังงานจลน์ ระหวา่ งอนุภาค 1. การหลอมเหลวของนา้ แขง็ ภาพ D เปน็ C เพิ่มขนึ้ ลดลง 2. การระเหดิ ของลูกเหม็น ภาพ D เป็น A 3. การระเหยของเอทานอล ภาพ B เปน็ C ลดลง เพม่ิ ขึ้น 4. การควบแนน่ ของไอนา้ ภาพ B เปน็ E เพม่ิ ขนึ้ ลดลง เพ่ิมขึ้น เพมิ่ ขึ้น สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบตั ิของสารความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสารกบั โครงสรา้ ง และแรงยดึ เหนย่ี ว ระหวา่ งอนภุ าคมกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารสงิ่ ทเี่ รยี นรู้ นาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ ตวั ชีว้ ดั ม.1/2 อธบิ ายสมบตั ิและการเปลีย่ นสถานะของสาร โดยใช้แบบจาลองการจัดเรียงอนภุ าคของสาร ระดับพฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ คา 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 18 สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อท่ี 2 เน่ืองจากภาพแสดงการจดั เรียงอนภุ าคของสาร และการเปล่ยี นสถานะของสารน้ัน โมเลกลุ ของสารจะมขี นาดเดมิ จงึ อนมุ านไดว้ า่ ภาพ A เป็นอนภุ าคของแก๊ส ภาพ C เปน็ อนภุ าคของของเหลว ภาพ D เปน็ อนุภาคของของแขง็ การระเหดิ ของลูกเหม็น คอื การเปลย่ี นสถานะจากของแขง็ ไปเปน็ แก๊ส ดงั น้ัน การเปลยี่ นแปลงการจดั เรียง อนุภาคของสารจงึ เปลยี่ นจากภาพ D เปน็ A ทาใหแ้ รงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคจาก D ไปเป็น A จงึ ลดลง และพลงั จลนเ์ พม่ิ ข้ึน เนอ่ื งจากแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนภุ าคลดลง โมเลกลุ ของสารเคลื่อนทไ่ี ดม้ ากข้นึ ทาใหม้ ี พลังจลน์เพม่ิ ขึ้น
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 19 สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 15. ข้อมูลแสดงชว่ ง pH และสีทีเ่ ปลย่ี นของอนิ ดิเคเตอร์ 6 ชนดิ เปน็ ดังน้ี อนิ ดเิ คเตอร์ ช่วง pH ของการเปลี่ยนสี สที ่ีเปลยี่ น เมทิลออเรนจ์ 3.2 – 4.4 แดง – เหลือง เมทิลเรด 4.2 – 6.3 แดง – เหลอื ง ลิตมสั 5.0 – 8.0 แดง – น้าเงิน บรอมไทมอลบลู 6.0 – 7.6 เหลือง – น้าเงนิ ฟนี อลเรด 6.8 – 8.4 เหลอื ง – แดง ถา้ นาสารละลายใส ไม่มีสี 2 ชนิด คอื สารละลาย Q และ R มาทดสอบกบั เมทิลออเรนจแ์ ละลิตมสั ได้ผลดังนี้ ชนดิ สารละลาย สขี องสารละลายทไี่ ดจ้ ากการทดสอบ Q เมทิลออเรนจ์ ลติ มัส R แดง แดง เหลือง นา้ เงิน ถา้ นาสารละลาย Q และ R มาทดสอบดว้ ยอนิ ดเิ คเตอร์ชนดิ อื่น สขี องสารละลายจะเปลย่ี นแปลงเปน็ ตามข้อใด ชนิดสารละลาย สขี องสารละลายหลงั จากหยดอินดเิ คเตอรช์ นดิ ตา่ งๆ 1. Q เมทลิ เรด บรอมไทมอลบลู ฟนี อลเรด 2. Q 3. R เหลอื ง เหลอื ง เหลือง 4. R สม้ เหลอื ง เหลือง เหลือง เขยี ว สม้ เหลือง นา้ เงนิ แดง สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบตั ิของสารความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบัติของสารกบั โครงสรา้ ง และแรงยดึ เหนย่ี ว ระหวา่ งอนุภาคมกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสงิ่ ทีเ่ รียนรู้ นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.1/2 ทดลองและอธบิ ายสมบัติความเปน็ กรด-เบส ของสารละลาย ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินคา 6) สร้างสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 20 สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อท่ี 4 เนื่องจากจากผลการทดสอบสารละลาย Q และ R กับอินดิแตอร์ 2 ชนดิ คอื เมทิลออเรนจ์ และลิตมสั พบวา่ สารละลาย Q เปลี่ยนเปน็ สแี ดง และเปน็ สีแดง บอกไดว้ ่า สารละลาย Q มคี ุณสมบัตเิ ป็นกรด เพราะเปลย่ี นสอี ินดเิ คเตอร์ในช่วงของกรด สารละลาย R เปลยี่ นเป็นสเี หลือง และเป็นสเี หลอื ง บอกได้วา่ สารละลาย R มีคณุ สมบตั ิเปน็ เบส เพราะเปลีย่ นสอี นิ ดเิ คเตอร์ในช่วงของเบส เมือ่ นาสารละลาย Q และ R มาทดสอบกบั อินดิแตอรต์ า่ งๆ ตามตารางที่ 1 พบวา่ ข้อทถี่ กู จึงเป็น ข้อท่ี 4 เนื่องจากสารละลาย R มคี ณุ สมบตั เิ ปน็ เบส จงึ เปลย่ี นสอี นิ ดเิ คเตอรข์ องเมลิ เรด บรอมไมอลปลู และ ฟีนอลเรด ในชว่ งของเบส คือ เปล่ียนเปน็ สีเหลือง, นา้ เงิน, และแดง ช่วงคา่ pH ของกรด-เบส (1-14) กรด <---------7 ---------> เบส
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 21 สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 16. ตารางแสดงสมบัตบิ างประการและผลการทดสอบธาตุ A B C D และ E เป็นดงั นี้ จากข้อมูล ข้อใดจาแนกธาตุ A B C D และ E ได้ถูกตอ้ ง โลหะ ก่งึ โลหะ อโลหะ AD B 1. C E B A 2. C D E D BE 3. A C C BD 4. A E สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสารความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบัติของสารกับโครงสรา้ ง และแรงยดึ เหนย่ี ว ระหว่างอนภุ าคมีกระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสารสง่ิ ทีเ่ รยี นรู้ นาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ ตวั ช้วี ัด ม.2/2 สืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัตขิ องธาตุโลหะ ธาตอุ โลหะ ธาตกุ ่งึ โลหะ และธาตุ กมั มนั ตรังสีและนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ระดบั พฤตกิ รรม 3) นาไปใช้ ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา 6) สร้างสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 22 สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ ท่ี 1 เนื่องจากสมบตั ิของธาตุ เป็นดังนี้ โลหะ มจี ุดเดือดและจุดหลอมเหลวสงู ความหนาแน่นมาก และนาไฟฟา้ ได้ เมอื่ ใชค้ อ้ นทุบจะตี ออกเปน็ แผ่นได้ ก่งึ โลหะ มีจุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวสงู ความหนาแน่นมาก และนาไฟฟ้าได้ เมอ่ื ใชค้ ้อนทบุ จะแตก ออกเป็นแผน่ หรอื ช้ินเลก็ ๆ อโลหะ มจี ดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวตา่ ความหนาแนน่ นอ้ ย และนาไฟฟ้าไดไ้ ม่ดี เมอ่ื ใช้ค้อนทุบจะ แตกออกเปน็ ก้อน หรอื ชน้ิ เลก็ ๆ ดังน้นั จึงระบไุ ดว้ ่า ธาตุ C และ E เป็นโลหะ ธาตุ A และ D เปน็ กึง่ โลหะ ธาตุ B เปน็ อโลหะ จากตารางที่ 2 จึงตอบขอ้ ท่ี 1
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 23 สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 17. นกั เรียน 4 คน ทาการทดลองเตรียมสารละลายแมกนเี ซยี มซลั เฟต โดยมวี ิธีการเตรยี มสารละลายแตกต่าง กนั ดงั น้ี นกั เรียนคนที่ 1 นาแมกนีเซียมซัลเฟต จานวน 120 กรมั ใสล่ งไปในบีกเกอร์ ขนาด 1,000 ลกู บาศก์ เซนติเมตร และเติมน้าปริมาตร 500 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร ใสล่ งในบีกเกอร์ นักเรียนคนที่ 2 นาสารผสมระหว่างนา้ กบั แมกนีเซยี มซัลเฟต ซงึ่ มแี มกนเี ซยี มซลั เฟตผสมอย่รู อ้ ยละ 30 โดย มวล มาจานวน 200 กรมั ละลายในน้าทอ่ี ยใู่ นบีกเกอรข์ นาด 500 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร แล้วเติมน้าจน สารละลายมปี ริมาตร 250 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร นักเรียนคนท่ี 3 นาสารละลายแมกนเี ซียมซัลเฟต เขม้ ข้นร้อยละ 40 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร ปรมิ าตร 60 มลิ ลลิ ิตร ใสล่ งในบกี เกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร แล้วเติมน้าจนละลายมปี ริมาตร 100 มิลลลิ ิตร นักเรยี นคนที่ 4 นาสารละลายแมกนีเซยี มซลั เฟตของนักเรยี นคนท่ี 2 จานวน 50 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร ผสมกบั สารละลายแมกนเี ซียมซลั เฟตของนกั เรยี น คนท่ี 3 จานวน 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากข้อมูล นกั เรียนคนใดเตรยี มสารละลายแมกนเี ซียมซลั เฟตได้ความเข้มขน้ น้อยท่สี ุด 1. นักเรยี นคนท่ี 1 2. นักเรียนคนที่ 2 3. นกั เรียนคนท่ี 3 4. นักเรยี นคนท่ี 4 สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจหลกั การและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลายการ เกดิ ปฏิกิริยา มกี ระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสง่ิ ที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ชี้วัด ม.2/2 ทดลองและอธิบายวธิ เี ตรยี มสารละลายท่ีมีความเขม้ ข้นเปน็ ร้อยละ และอภิปรายการนาความรู้ เกีย่ วกบั สารละลายไปใช้ประโยชน์ ระดับพฤตกิ รรม 3) นาไปใช้ ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา 6) สร้างสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 24 สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ ที่ 1 จากการเตรียมสารละลาย พบว่า นักเรยี นแตล่ ะคนเตรียมสารละลายแมกนเี ซยี มซัลเฟต ได้ ดงั น้ี นักเรยี นคนที่ 1 เตรียมสารละลายแมกนีเซียมซัลเฟต 120 กรมั /สสล. 500 ลบ.ซม. = 24 กรมั /สสล. 100 ลบ.ซม. นักเรียนคนท่ี 2 เตรยี มสารละลายแมกนเี ซยี มซัลเฟต 75 กรัม/สสล. 250 ลบ.ซม. = 30 กรัม/สสล. 100 ลบ.ซม. นักเรยี นคนที่ 3 เตรียมสารละลายแมกนีเซยี มซลั เฟต 40 กรัม/สสล. 100 ลบ.ซม. = 40 กรมั /สสล. 100 ลบ.ซม. นกั เรยี นคนที่ 4 เตรียมสารละลายแมกนีเซยี มซัลเฟต 19 กรัม/สสล. 60 ลบ.ซม. = 32 กรัม/สสล. 100 ลบ.ซม.
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 25 สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 18. ศึกษาสมบตั ิของสารบรสิ ทุ ธ์ิ A ท่ีมีลกั ษณะเป็นผงละเอียด โดยทาการทดลอง ดงั นี้ การทดลองท่ี 1 ให้ความร้อนกบั สาร A วดั อณุ หภมู ทิ กุ ๆ 20 วินาที พบวา่ อุณหภมู ขิ องสาร A สงู ข้นึ เรอ่ื ยๆ จนถงึ 103 องศาเซลเซยี ส และสาร A เรมิ่ หลอมเหลว การทดลองท่ี 2 ละลายสาร A ในน้า พบว่า สาร A ละลายนา้ เพียงบางสว่ น และมสี าร A บางสว่ น ไมล่ ะลายนา้ นอนก้นอยู่ เมอื่ ทาให้ระบบรอ้ นขึน้ จนอุณหภมู ิประมาณ 80 องศาเซลเซยี ส พบวา่ สาร A ท่ีนอนก้นมปี รมิ าณนอ้ ยลง จากขอ้ มลู ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเกยี่ วกับการทดลองที่ 1 และ 2 การทดลองท่ี 1 การทดลองท่ี 2 1. ตั้งแตส่ าร A เรมิ่ หลอมเหลว จนหลอมเหลว เมอ่ื สารละลายสาร A ในนา้ อุณหภมู ิของ หมด อณุ หภูมจิ ะสงู ข้นึ เรอ่ื ยๆ สารละลายจะสงู กว่าอุณหภมู ิน้า 2. ตง้ั แตส่ าร A เรม่ิ หลอมเหลว จนหลอมเหลว พลังงานทท่ี าใหส้ าร A แยกตัวเปน็ อนุภาคเล็กๆ มี หมด อณุ หภูมิจะสงู ข้นึ เร่อื ยๆ คา่ มากกว่าพลงั งานขณะอนภุ าคของสาร A รวมตวั กับโมเลกลุ ของนา้ 3. จดุ เยือกแข็งและจุดหลอมเหลว ของสาร A เม่ือละลายสาร A ในนา้ อณุ หภมู ิของสารละลาย เท่ากบั 103 องศาเซลเซยี ส จะสูงกว่าอณุ หภูมิน้า 4. จดุ เยอื กแขง็ และจุดหลอมเหลว ของสาร A พลังงานทีท่ าใหส้ าร A แยกตวั เป็นอนภุ าคเลก็ ๆมี เทา่ กับ 103 องศาเซลเซียส คา่ มากกวา่ พลงั งานขณะอนภุ าคของสาร A รวมตวั กับโมเลกุลของน้า สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลายการ เกิดปฏิกริ ิยา มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ ละจิตวิทยาศาสตร์ สือ่ สารสงิ่ ทเี่ รียนรู้ และนาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ ตวั ชวี้ ดั ม.1/2 ทดลองและอธิบายการเปล่ียนแปลงสมบตั ิมวล และพลงั งานของสาร เม่ือสารเปลย่ี นสถานะ และเกิดการละลาย ม.1/3 ทดลองและอธิบายปจั จยั ท่ีมีผลต่อการเปลย่ี นสถานะ และการละลายของสาร ระดบั พฤตกิ รรม 3) นาไปใช้ ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา 6) สร้างสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 26 สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อท่ี 1 วิเคราะห์ง่ายๆ จากสมบัตกิ ารเปลย่ี นสถานะของสาร จากผลการทดลองที่ 1 จะพบวา่ ต้องใช้อณุ หภูมิ 103 องศาเซลเซยี ส จงึ ทาให้สาร A หลอมเหลว ดังนั้นจงึ ระบุไดว้ า่ สาร A มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เยอื กแขง็ ท่ี 103 องศาเซลเซียส จากผลการทดลองที่ 2 จะพบวา่ สาร ละลายนา้ ไดบ้ างสว่ นทอ่ี ณุ หภมู ิหอ้ ง และจะละลายได้มากทส่ี ุดที่ อุณหภมู ิ 80 องศาเซลเซียส นนั่ แสดงว่า พลังงานที่ทาใหส้ าร A รวมตัวกบั โมเลกุลของนา้ มีคา่ นอ้ ยกวา่ พลงั งาน ทท่ี าใหส้ าร A หลอมเหลว หรือแยกตวั เปน็ อนภุ าคเล็กๆ คาตอบท่ีถูกต้องจึงเป็นข้อที่ 4
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 27 สานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 19. พจิ ารณาการทดลองตอ่ ไปนี้ การทดลองที่ 1 ละลายสารประกอบ M ในนา้ 50 กรมั ท่อี ุณหภูมิห้องจนอ่มิ ตัว พบวา่ สารประกอบ M ละลายได้ 8 กรัม และคายความรอ้ น 630 จลู การทดลองที่ 2 ละลายสารประกอบ M ในน้า 50 กรมั ท่ีอุณหภูมิ 75 องศาเซลเซยี ล จนอ่ิมตวั จากขอ้ มลู ผลการทดลองที่ 2 จะเป็นไปตามข้อใด 1. สาร M ละลายในนา้ ได้มากกว่า 8 กรัม และคายความรอ้ นมากกวา่ การทดลองท่ี 1 2. สาร M ละลายในน้าได้มากกวา่ 8 กรัม และคายความร้อนน้อยกวา่ การทดลองท่ี 1 3. สาร M ละลายในนา้ ไดน้ อ้ ยกวา่ 8 กรมั และคายความรอ้ นมากกวา่ การทดลองท่ี 1 4. สาร M ละลายในนา้ ไดน้ อ้ ยกวา่ 8 กรมั และคายความรอ้ นน้อยกวา่ การทดลองที่ 1 สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกดิ สารละลายการ เกดิ ปฏกิ ริ ิยา มกี ระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสงิ่ ที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด ม.1/3 ทดลองและอธบิ ายปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ การเปลย่ี นสถานะ และการละลายของสาร ระดับพฤติกรรม 3) นาไปใช้ ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ คา 6) สร้างสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ ที่ 4 จาการดลองที่ 1 ละลายสารประกอบ M ในน้า 50 กรมั ทอี่ ณุ หภมู ิหอ้ งจนอ่ิมตัว พบวา่ สาประกอบ M ละลายได้ 8 กรัม และคายความรอ้ น 630 จลู และจาการดลองที่ 2 ละลายสารประกอบ M ในนา้ 50 กรมั ท่อี ณุ หภูมิ 75 องศาเซลเซียสจนอิ่มตวั จะพบวา่ สาประกอบ M ละลายไดน้ อ้ ยกว่า 8 กรัม และคายความร้อนนอ้ ยกวา่ 630 จูล เพราะการทดลองท่ี 1 มีช่วงอุณหภมู ิของการละลายของสาร M ทณี่ หภมู ิห้องจนถงึ จดุ อิ่มตัวได้ มากกวา่ การทดลองท่ี 2 ซึง่ จะเรม่ิ ที่อณุ หภูมิ 75 องศาเซลเซียสจนอมิ่ ตัว ดงั นัน้ สาประกอบ M ในการทดลอง ที่ 2 จึงละลายไดน้ อ้ ยกว่า 8 กรัม และคายความร้อนนอ้ ยกวา่ 630 จลู เน่อื งจากมีมวลสารท่ีละลายได้นอ้ ย กว่า
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 28 สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 20. จัดชุดการทดลอง ดงั ภาพ และทาการทดลองที่อุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซียส การเปลย่ี นแปลงทส่ี ังเกตได้ คอื เกิดฟองแก๊สไม่มีสไี ปแทนท่ีน้าในกระบอกตวง และเมอื่ เวลาผา่ นไป ฟองแก๊สจะเกดิ ช้าลง จนฟองแก๊สเตม็ กระบอกตวง และขณะเกิดฟองแก๊ส พบวา่ ขวดรปู ชมพ่รู ้อนข้นึ จากข้อมลู ขอ้ สรุปใดตอ่ ไปนถ้ี กู ต้อง 1. ปฏิกิรยิ านเี้ ป็นปฏิกริ ยิ าดดู ความร้อนเน่อื งจากระบบร้อนข้ึน 2. สารละลาย X มีสมบตั ิในการเปลยี่ นสกี ระดาษลิตมัสสีแดงเทา่ นัน้ 3. ถ้านาชน้ิ สังกะสีมาพับใหเ้ ป็นกอ้ นแน่นๆ จะทาใหฟ้ องแกส๊ เกิดไดเ้ รว็ ขน้ึ แลละมีปรมิ าณมากขึ้น 4. มวลแกส๊ ทเี่ กิดขนึ้ ท้ังหมดในกระบอกตวงนอ้ ยกวา่ มวลของสารละลาย X และสงั กะสที ท่ี าปฏิกริ ิยากัน สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจหลักการและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร การเกดิ สารละลายการ เกดิ ปฏิกริ ยิ า มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสงิ่ ทีเ่ รยี นรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชวี้ ดั ม.2/1 ทดลองและอธิบายการเปล่ียนแปลงสมบตั มิ วล และพลงั งาน เมอ่ื สารเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี รวมทัง้ อธบิ ายปจั จัยท่มี ีผลตอ่ การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ม.2/2 ทดลอง อธิบาย และเขยี นสมการเคมีของปฏิกิรยิ าของสารต่าง ๆ และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ระดับพฤติกรรม 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ ด้านความรู้ (Knowledge) : 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา 6) สร้างสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 29 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อท่ี 4 จากการดลองเป็นการดลองเกยี วกับการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี โดยสารต้ังต้นประกอบด้วยสงั กะสี และกรด แล้วเกิดเปน็ ฟองแกส๊ และสารละลายเกลอื ของสงั กะสี และขวดรูปชมพรู่ อ้ นข้ึน ดงั สมการคร่าวๆ ดังนี้ เชน่ 2ZnX (aq) + H2 (g) 2Zn (s) + 2XH (aq) ZnCO3 (aq) + H2 (g) Zn (s) + H2CO3 (aq) 2Zn (s) + 2H3PO4 (aq) 2Zn(PO4 )2 (aq) + 3H2 (g) ZnSO4 (aq) + H2 (g) Zn (s) + H2SO4 (aq) จากการดลองนรี้ ะบุไดว้ ่า 1. ปฏิกริ ยิ าน้เี ปน็ ปฏิกริ ยิ าคายความร้อน เนอ่ื งจากระบบซงึ่ ก็คือขวดรูปชมพรู ้อนข้นึ 2. สารละลายทาปฏิกริ ยิ ากับสงั กะสีมีคณุ สมบตั เิ ปน็ สารละลายกรด เพราะทาปฏกิ ิรยิ ากบั โลหะแลว้ ได้ ผลิตภณั ฑเ์ ปน็ แกส๊ H2 เมอ่ื ดสอบสารละลายกรดนี้กับกระดาษลติ มสั สนี ้าเงนิ จะเปลยี่ นเป็นสแี ดง 3. ถ้าต้องการใหเ้ กดิ ฟองแกส๊ ได้เรว็ ขน้ึ และมากขน้ึ จะต้องทาใหส้ งั กะสีมพี นื้ ทีผ่ ิวมากขนึ้ โดยการตัด เปน็ ชนิ้ เล็กๆ การพับสงั กะสใี ห้เป็นก้อนเลก็ ๆจะทาใหพ้ ื้นทผ่ี ลของสารตงั้ ต้น (Zn) ลดลง จะทาให้เกดิ ฟองแก๊ส ได้ช้ามากขน้ึ 4. จากสมการการเกิดเปฏิกิรยิ าเคมีมวลของแก๊สทเี กดิ ขึ้นท้ังหมดในกระบอกตวงจะนอ้ ยกวา่ มวลของ สงั กะสรี วมกบั สารละลาย X ตามกฎทรงมวล (มวลก่อนทาปฏกิ ริ ยิ า = มวลหลังทาปฏิกริ ิยา) ดังนนั้ ขอ้ ที 4 จึงถกู ต้อง
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 30 สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 21.แปง้ จะถกู เปลีย่ นให้เปน็ นา้ ตาลกลูโคสได้ โดยการนาแป้งไปทาปฏิกริ ิยากับน้าและมเี อนไซมท์ เ่ี หมาะสมเปน็ ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า เมอื่ นาน้าตาลกลูโคสทีเ่ กดิ ขน้ึ ไปหมกั กับยีสต์ จะทาใหไ้ ดผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ เอทานอลและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ และถา้ นาเอทานอลท่ีไดไ้ ปทาปฏกิ ริ ิยากับแกส๊ ออกซเิ จนจะเกดิ ผลติ ภัณฑเ์ ป็นนา้ สม้ สายชู ซึง่ นามาใช้กาจัดตะกรันทเี่ กาะแน่นอยกู่ น้ ภาชนะทใ่ี ชต้ ้มนา้ ได้ โดยจะเกดิ สารประกอบแคลเซยี มแอซเิ ตต น้า และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ สาระที่ 3 สารและสมบัตขิ องสาร มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจหลกั การและธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสาร การเกดิ สารละลายการ เกิดปฏกิ ิริยา มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่อื สารสงิ่ ท่ีเรยี นรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.2/2 ทดลอง อธบิ าย และเขียนสมการเคมีของปฏกิ ริ ิยาของสารตา่ ง ๆ และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ระดบั พฤติกรรม 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา 6) สร้างสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ ที่ 2 ขอ้ น้ีเปน็ การแปลงขอ้ ความมาเขยี นใหอ้ ยูในรูปของสมการเคมี จากการเกดิ ปฏิกิริยาของแปง้ เปล่ยี นไปเป็นผลติ ภณั ฑ์ตา่ งๆ ข้อท่ี 1, 3, และ 4 เขียนสมการไดถ้ กู ต้อง แตข่ อ้ ท่ี 2 เขยี นผิด เนอ่ื งจากปฏิกริ ยิ า ของกลูโคสเปล่ียนไปเป็นเอทานอลและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การหมกั กลโู คสกบั ยิสตเ์ ป็นการเร่งการ เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี โดยมยี ีสต์เปน็ ตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ า ดงั นัน้ สาการเคมีเป็นดงั น้ี ยีสต์ กลูโคส เอทานอล + แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 31 สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 22.วตั ถุกาลงั เคลอื่ นที่ด้วยความเรว็ คงตวั ไปทางซา้ ยมอื บนพื้นราบล่ืน จากน้นั ถูกกระทาดว้ ยแรง 4 แรง พรอ้ ม กัน ดงั ภาพ 1. 6 นิวตัน 2. 8 นวิ ตนั 3. 10 นวิ ตนั 4. 14นวิ ตนั สาระที่ 4 แรงและการเคล่ือนที่ มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ สอ่ื สารสงิ่ ทเ่ี รยี นรูแ้ ละนาความรูไ้ ปใช้ประโยชนอ์ ยา่ งถกู ตอ้ งและมคี ณุ ธรรม ตัวช้วี ัด ม 3/1 อธิบายความเรง่ และผลของแรงลพั ธท์ ี่ทาต่อวตั ถุ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 1. 6 นิวตัน วธิ ที า วัตถุเคลอื่ นทด่ี ว้ ยความเร็วคงตวั หรอื วตั ถุสมดุล ดังนั้น ผลรวมของแรงทางซา้ ย = ผลรวมของแรงทางขวา ������1 + ������2 = ������3 + ������4 8 +2 = 4 + ������4 10 - 4 = ������4
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 32 สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 6 = ������4 ������4 =6 แรง ������4 = 6N เพราะฉะนนั้ แรง ������4 มีคา่ เท่ากับ 6 นวิ ตัน ตอบ
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 33 สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 23.ผกู เชือกเสน้ เลก็ ๆทมี่ ีมวลนอ้ ยมากเขา้ กับแท่งเหล็ก แลว้ นาไปจุม่ น้า ออกแรงดงึ เชือกใหแ้ ทง่ เหลก็ จมนงิ่ ใต้ ผวิ นา้ ดังภาพ ขอ้ ใดระบแุ รงคกู่ รยิ า-ปฏิกิรยิ าไดถ้ ูกตอ้ ง 1.แรงทีเ่ ชอื กดึงแท่งเหลก็ และน้าหนักของแทง่ เหลก็ 2.น้าหนักของแท่งเหลก็ และแรงพยุงของน้า 3.แรงทม่ี อื ดึงเชอื กและแรงท่เี ชอื กดึงแทง่ เหล็ก 4.แรงทีม่ อื ดึงเชอื กและแรงท่เี ชือกดึงมือ สาระท่ี 4 แรงและการเคลือ่ นท่ี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ สอ่ื สารสิง่ ท่เี รยี นรู้และนาความรไู้ ปใช้ประโยชนอ์ ย่างถกู ตอ้ งและมีคณุ ธรรม ตัวชวี้ ดั ม 3/2 ทดลองและอธบิ ายแรงกิริยาและแรงปฏิกริ ยิ าระหวา่ งวตั ถุ และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ระดบั พฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 34 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ 4 แรงที่มอื ดึงเชอื ก และแรงที่เชือกดงึ มือ วิธคี ดิ /คานวณ ความรู้ : ทุกแรงกรยิ าจะมแี รงปฏกิ ิรยิ าโต้ตอบดว้ ยขนาดของแรงเทา่ กนั แตม่ ีทศิ ทางตรงข้าม แรงกริ ยิ า คอื แรงทมี่ อื ดึงเสน้ เชือก แรงปฏิกิริยา คอื แรงทเี่ ชอื กดึงมอื แรงกิรยิ า คือ แรงทีเ่ กิดจากการกระทาโดยสง่ิ ใดๆ แรงปฏกิ ริ ยิ า คอื แรงทีเ่ กิดจากแรงกริ ยิ าโดยมที ิศทางตรงข้ามและขนาดเท่ากันเสมอ แรงท้งั สองมีขนาดเทา่ กนั (ความตึงในเส้นเชอื กเท่ากนั ) แต่มที ศิ ทางตรงข้ามกนั
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 35 สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 24. ใช้เคร่อื งชงั่ สปรงิ ชงั่ น้าหนักของวัตถชุ นิ้ หนงึ่ เมือ่ ชงั่ ในอวกาศ ไดน้ า้ หนัก 14.0 นวิ ตนั และเมื่อชง่ั ใน ของเหลว ได้น้าหนกั 8.0 นิวตนั กาหนดให้ ความหนาแน่นของ ของเหลว เท่ากับ 2.0 x 103 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ความเรง่ เน่ืองจากแรงโน้มถว่ งของโลก กับ 10 เมตร ตอ่ วนิ าที 2 วัตถุจมในของเหลวท้ังกอ้ น วัตถนุ ี้มปี รมิ าตรเทา่ ใด 1. 3.0 x 10 – 4 ลกู บาศกเ์ มตร 2. 4.0 x 10 – 4 ลูกบาศกเ์ มตร 3. 3.0 x 10 4 ลูกบาศกเ์ มตร 4. 4.0 x 10 4 ลกู บาศก์เมตร สาระที่ 4 แรงและการเคลอื่ นท่ี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ สือ่ สารสงิ่ ท่ีเรยี นรแู้ ละนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์อยา่ งถกู ต้องและมีคุณธรรม ตัวช้วี ดั ม 3/3 ทดลองและอธบิ ายแรงพยงุ ของของเหลวทกี่ ระทาตอ่ วัตถุ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 36 สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ 1 3 X 10-4 ลูกบาศก์เมตร วิธคี ดิ หลักของอารค์ มิ ดี สิ (Archimedes principle) กลา่ วไว้ว่า เมื่อหยอ่ นวตั ถลุ งในน้า ปรมิ าตรของน้าส่วนทล่ี ้น ออกมา จะเท่ากบั ปรมิ าตรของก้อนวัตถนุ นั้ ท่ีเข้าไปแทนทนี่ า้ สรปุ หลกั อารค์ มิ ดี ิส ดังน้ี 1. ปรมิ าตรของเหลวทถ่ี กู แทนที่ จะเท่ากบั ปรมิ าตรของวตั ถุส่วนทจ่ี มลงในของเหลว 2. น้าหนักของวตั ถทุ ีช่ งั่ ในของเหลว จะมคี ่านอ้ ยกว่าน้าหนกั ของวตั ถุทช่ี งั่ ในอากาศ เน่ืองจากแรงพยงุ ของ ของเหลวมมี ากกวา่ แรงพยงุ ของอากาศ 3. น้าหนักของวัตถุทีห่ ายไปในของเหลว จะเทา่ กับนา้ หนักของของเหลวที่ถกู วัตถแุ ทนที่ ซ่ึงคานวณได้จาก ผลตา่ งของนา้ หนกั ของวัตถทุ ชี่ ่งั ในอากาศกบั น้าหนักของวตั ถทุ ี่ชงั่ ในของเหลว 4. น้าหนกั ของของเหลวที่ถกู แทนท่ี จะเท่ากับน้าหนักของของเหลวท่มี ปี รมิ าตรเท่ากบั วตั ถุสว่ นทีจ่ ม สตู รการคานวณหาแรงพยุง วิธที า แรงพยุงของน้า = น้าหนกั ของวตั ถทุ ่ชี ง่ั ในอากาศ – นา้ หนกั วัตถุท่ีชัง่ ในนา้ ������������ จากสมการ ������������ = 12 N – 8 N ������������ = 6N v = Pvg = ������������ Pg แทนค่า V = 6 2.0 X 103 X 10 = 3 X 10 -4 m3 เพราะฉะน้ัน ปรมิ าตรของวตั ถุมคี ่าเท่ากบั 3 x 10-4 ลูกบาศกเ์ มตร ตอบ
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 37 สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 25. วตั ถุกาลังเคลือ่ นทีบ่ นพ้ืนโดยการลากด้วยแรง F ขณะวตั ถุเคล่ือนท่ี เกิดแรงเสยี ดทาน f กระทาตอ่ วตั ถุ ตลอดเวลา ดังภาพ แรงเสียดทานทเ่ี กิดขึ้นเป็นแรงเสียดทานประเภทใด และการกระทาใดทีท่ าใหแ้ รงเสียดทานมีคา่ เพมิ่ ข้นึ ตามลาดับ 1. แรงเสียดทานสถิต เพม่ิ มวลวตั ถุ 2. แรงเสยี ดทานสถติ เพมิ่ พน้ื ทผี่ ิวสมั ผสั ของวัตถุ 3. แรงเสยี ดทานจลน์ เพิม่ มวลของวตั ถุ 4. แรงเสยี ดทานจลน์ เพ่มิ พนื้ ท่ีผวิ สมั ผสั ของวัตถุ สาระท่ี 4 แรงและการเคล่ือนท่ี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจลักษณะการเคลือ่ นทแี่ บบต่างๆ ของวัตถใุ นธรรมชาติ มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสารส่ิงท่เี รยี นรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตวั ชี้วัด 3/1 ทดลองและอธบิ ายความแตกต่างระหว่างแรงเสยี ดทานสถิตกบั แรง และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 38 สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ 3 แรงเสียดทานจลน์ เพิ่มมวลของวัตถุ วิธีคดิ แรงเสียดทาน (friction) เปน็ แรงที่เกิดขึ้นเมอ่ื วตั ถหุ นง่ึ พยายามเคลอ่ื นที่ หรอื กาลงั เคลอ่ื นทีไ่ ปบนผวิ ของอกี วตั ถุ เนอ่ื งจากมีแรงมากระทา มลี ักษณะทส่ี าคัญ ดงั น้ี 1. เกิดขนึ้ ระหวา่ งผวิ สมั ผสั ของวัตถุ 2. มที ิศทางตรงกนั ขา้ มกับทศิ ทางท่ีวตั ถเุ คลอ่ื นทห่ี รอื ตรงขา้ มทศิ ทางของแรงท่พี ยายามทาให้วัตถเุ คลอื่ นที่ดังรปู ประเภทของแรงเสยี ดทาน แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ 1. แรงเสียดทานสถติ (static friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหวา่ งผวิ สมั ผสั ของวัตถุ ในสภาวะท่ีวัตถุ ไดร้ บั แรงกระทาแลว้ อยู่นง่ิ 2. แรงเสยี ดทานจลน์ (kinetic friction) คอื แรงเสยี ดทานท่ีเกดิ ขึ้นระหว่างผวิ สมั ผสั ของวัตถุ ในสภาวะท่ี วัตถุไดร้ บั แรงกระทาแลว้ เกิดการเคล่อื นท่ดี ว้ ยความเรว็ คงที่ ปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงเสียดทาน 1.แรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัส 2. ลักษณะของผิวสัมผัส 3. ชนิดของผิวสัมผัส การคานวณหาสัมประสทิ ธ์ขิ องแรงเสยี ดทาน สมั ประสทิ ธขิ์ องแรงเสยี ดทานระหว่างผวิ สมั ผสั คูห่ นงึ่ ๆ คอื อตั ราส่วนระหว่างแรงเสยี ดทานตอ่ แรงกดต้งั ฉากกบั ผวิ สมั ผสั
เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 39 สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 26. ใชเ้ ชอื กเบาแขวนวัตถุ 3 ช้นิ ได้แก่ วตั ถุ A วตั ถหุ นัก 4 นวิ ตนั และวัตถหุ นัก 10 นวิ ตนั เขา้ กับคาน เบาท่มี ีความยาว 2 เมตร พบว่า คานอยู่ในสภาพสมดลุ ตามแนวระดบั ดงั ภาพ จากน้ัน นาวัตถหุ นกั 10 นวิ ตันออก แล้วแขวนวัตถุ A และวตั ถหุ นกั 4 นวิ ตัน ท่ปี ลายแต่ละขา้ งของคานเดิม ผกู เชอื กทต่ี าแหนง่ หนงึ่ ซึง่ ทาให้คานสมดลุ ตามแนวระดบั ดังภาพ วตั ถุ A มีน้าหนักเทา่ ใด และระยะ D ยาวเทา่ ใด ตามลาดบั 1. A หนัก 6 นวิ ตัน และ D ยาว 0.4 เมตร 2. A หนัก 6 นิวตนั และ D ยาว 0.8 เมตร 3. A หนกั 14 นิวตนั และ D ยาว 0.2 เมตร 4. A หนกั 14 นวิ ตัน และ D ยาว 0.4 เมตร สาระท่ี 4 แรงและการเคล่ือนท่ี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจลกั ษณะการเคลอ่ื นท่แี บบตา่ งๆ ของวตั ถใุ นธรรมชาติ มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารส่งิ ทีเ่ รียนรู้และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ดั ม 3/2 ทดลองและวิเคราะหโ์ มเมนต์ของแรง และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ระดับพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 40 สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ 2. A หนกั 6 นวิ ตนั และ D ยาว 0.8 เมตร วธิ ีคดิ /คานวณ F เมอ่ื คานสมดลุ ให้ F เปน็ จดุ หมนุ ผลรวมของโมเมนตท์ วนเข็มนาฬกิ า = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬกิ า (A X 1) + (4 X 1) = (10 X 1) A +4 = 10 A = 10 – 4 A = 6 นวิ ตนั F เม่ือคานสมดุล ให้ F เป็นจดุ หมนุ ผลรวมของโมเมนต์ทวนเขม็ นาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเขม็ นาฬกิ า (6 X D) = 4(2–D) 6D = 8 – 4D 6 D + 4D 10 D =8 =8 8 D = 10 D = 0.8 เมตร เพราะฉะน้ัน A หนัก 6 นิวตัน และ D ยาว 0.8 เมตร ตอบ
เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 41 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 27.เทอร์มอมเิ ตอรอ์ นั หน่งึ ถกู แบ่งสเกลเปน็ 5 ชอ่ งเท่ากัน โดยให้ขดี 0 ตรงกบั อณุ หภูมิ 0 องศาเซลเซยี ส ขดี 5 ตรงกับอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เมอื่ เทอรม์ อมเิ ตอร์นว้ี ัดอุณหภูมขิ องอากาศในหอ้ ง A พบวา่ ลาปรอทสูงขึน้ ถงึ ขีด 2 พอดี ดงั ภาพท่ี 1 จากน้ัน นาไปวดั อุณหภูมขิ องอากาศในหอ้ ง B พบว่า ลาปรอทคอ่ ยๆต่าลงจนกระทัง่ หยุดน่ิงท่ขี ดี 1 พอดี ดังภาพท่ี 2 อากาศในหอ้ ง A และ B มอี ณุ หภูมติ า่ งกนั เท่าใด และเพราะเหตใุ ด ขณะวดั อณุ หภมู ิของอากาศในหอ้ ง B ลา ปรอทจึงคอ่ ยๆลดลง 1. 1 องศาเซลเซยี ส และความร้อนจากปรอทถูกถา่ ยโอนสอู่ ากาศภายนอก 2. 1 องศาเซลเซยี ส และความเย็นจากอากาศภายนอกถูกถ่ายโอนสปู่ รอท 3. 20 องศาเซลเซยี ส และความร้อนจากปรอทถูกถา่ ยโอนสอู่ ากาศภายนอก 4. 20 องศาเซลเซยี ส และความรอ้ นจากปรอทถกู ถ่ายโอนส่อู ากาศภายนอก สาระที่ 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจความสัมพันธร์ ะหวา่ งพลังงานกบั การดารงชีวติ การเปลีย่ นรปู พลังงาน ปฏิสัมพนั ธ์ ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชีวิตและส่งิ แวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารสงิ่ ท่ีเรียนรแู้ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ดั ม.1/1. ทดลองและอธิบายอณุ หภมู ิและการวดั อณุ หภมู ิ ม.1/2. สังเกต และอธิบายการถ่ายโอนความรอ้ น และนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 42 สานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ 3. 20 องศาเซลเซียสและความรอ้ นจากปรอทถกู ถ่ายโอนสู่อากาศภายนอก เพราะ จากการอ่านค่าจากเทอร์มอมเิ ตอรใ์ นห้อง A พบว่าปรอทเพม่ิ ข้นึ 2 ขดี ซ่ึงมคี ่าเทา่ กับ 40 องศา เซลเซยี ส และจากการอา่ นคา่ เทอร์มอมิเตอรใ์ นหอ้ ง B พบว่าปรอทคอ่ ยๆต่าลง จนหยดุ นิ่ง 1 ขีด ซ่ึงมีคา่ เทา่ กบั 10 องศาเซลเซยี ส ดังนน้ั อากาศทั้ง 2 หอ้ งมีค่าต่างกัน 20 องศาเซลเซยี ส และในขณะวดั อุณหภูมิของอากาศใน หอ้ ง B ลาปรอทค่อยๆลดลง เปน็ เพราะความรอ้ นจากปรอทถกู ถา่ ยถา่ ยโอนสู่อากาศภายนอก ซ่ึงโดยท่วั ไป ความร้อนจะถูกถ่ายโอนจากที่ท่ีมอี ุณหภูมสิ งู ไปยังทีท่ ม่ี อี ณุ หภูมิตา่ เสมอ
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 43 สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 28.จัดชุดการทดลอง 2 ชุด ตง้ั ไวใ้ นบรเิ วณเดยี วกนั โดยครอบลกู โป่งแบบเดยี วกัน เขา้ กับปากของขวดเปลา่ แบบเดยี วกัน 2 ใบ และวางขวดแต่ละใบลงในอา่ ง ซึง่ ใสน่ ้าปริมาณเท่ากัน แต่มอี ณุ หภมู แิ ตกตา่ งกนั พบว่า ลูกโปง่ มีการเปลี่ยนแปลง ดงั ภาพ ขอ้ ใดเปรียบเทยี บปริมาณตอ่ ไปนไ้ี ด้ถกู ต้อง 1.อุณหภูมิของนา้ ในอ่างชดุ ท่ี 1 นอ้ ยกว่าชุดที่ 2 2.อุณหภมู ขิ องอากาศภายในลูกโปง่ ชุดที่ 1 น้อยกวา่ ชดุ ที่ 2 3.ความหนาแนน่ ของอากาศภายในลูกโป่งชดุ ที่ 1 มากกว่าชดุ ท่ี 2 4.ระยะหา่ งโดยเฉล่ยี ระหว่างอนุภาคอากาศภายในลกู โปง่ ชุดที่ 1 มากกวา่ ชุดที่ 2 สาระที่ 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลังงานกบั การดารงชีวิต การเปล่ยี นรปู พลังงาน ปฏิสัมพนั ธ์ ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลงั งานต่อชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สอ่ื สารสิง่ ท่ีเรียนรูแ้ ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชว้ี ดั ม.1/4. อธิบายสมดุลความรอ้ นและผลของความรอ้ นตอ่ การขยายตวั ของสาร และนาความร้ไู ปใชใ้ น ชวี ิตประจาวนั ระดบั พฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 44 สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อ 4.ระยะหา่ งโดยเฉลี่ยระหวา่ งอนุภาคอากาศภายในลูกโป่งชุดท่ี 1 มากกว่าชดุ ท่ี 2 เพราะ 1.กลา่ วผดิ เพราะอณุ หภมู ิของนา้ ในอ่างชดุ ท่ี 1 จะมากวา่ ชดุ ที่ 2 ลูกโปง่ จงึ พอง 2.กลา่ วผดิ เพราะอณุ หภูมิของอากาศภายในลกู โป่งชดุ ท่ี 1 จะมากกว่าชดุ ท่ี 2 ลูกโปง่ จึงพอง 3.กล่าวผดิ เพราะความหนาแนน่ ของอากาศภายในลกู โปง่ ชุดท่ี 1 จะมนี อ้ ยกวา่ ชุดท่ี 2 4.กล่าวถกู เพราะระยะหา่ งโดยเฉล่ยี ระหวา่ งอนภุ าคอากาศภายในลกู โป่งชุดที่ 1 มากกวา่ ชดุ ท่ี 2 จึงทาให้ ลกู โป่งพองเพราะลักษณะลูกโปง่ ทพ่ี องขน้ึ น้นั อาจได้รับอณุ หภมู ิท่เี พ่ิมขึ้น เมอื่ อณุ หภมู เิ พิม่ ขึน้ อนภุ าคของ อากาศจะมพี ลงั งานจลน์เพิม่ ขึ้น จงึ ทาใหเ้ กดิ ระยะห่างระหว่างอนภุ าคเพ่ิมข้นึ
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 45 สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 29.ออ้ มตอ้ งการสังเกตรายละเอียดของวัตถขุ นาดเลก็ ชิน้ หนง่ึ เมอ่ื เธอคน้ อุปกรณภ์ ายในบา้ นกลบั ไม่พบแว่น ขยาย แตพ่ บกระจกนนู กระจกเว้า แว่นสาหรับคนสายตาสั้น และแวน่ สาหรับคนสายตายาว อุปกรณส์ องชนดิ ใด ท่ีออ้ มสามารถใช้ขยายขนาดของภาพเพอื่ ดูรายละเอยี ดของวตั ถุได้ 1.กระจกนนู และแวน่ สาหรบั คนสายตาส้ัน 2.กระจกนูน และแว่นสาหรบั คนสายตายาว 3.กระจกเวา้ และแวน่ สาหรบั คนสายตาสน้ั 4.กระจกนนู และแว่นสาหรบั คนสายตายาว สาระท่ี 5 พลงั งาน มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลังงานกบั การดารงชีวติ การเปล่ยี นรูปพลงั งาน ปฏิสัมพนั ธ์ ระหวา่ งสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลังงานต่อชีวติ และสง่ิ แวดล้อม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สื่อสารส่งิ ที่เรียนรู้และนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวัด ม.2/1. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสง การหักเหของแสง และนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ 4.กระจกนูน และแวน่ สาหรบั คนสายตายาว เหตุผล กระจกเวา้ สามารถเกิดภาพได้ทง้ั ภาพจรงิ และภาพเสมอื น มีทั้งขนาดยอ่ และขยายข้นึ อยกู่ ับระยะห่างระหว่าง วตั ถกุ ับกระจก(สามารถใช้ขยายขนาดของภาพเพื่อดูรายละเอยี ดของวตั ถุได้) กระจกนูน เกิดภาพเสมอื นหวั ตั้ง ขนาดเล็กกว่าวตั ถุ โดยภาพจะอยู่หลังกระจกเสมอ(ไม่สามารถใช้ขยายขนาด ของภาพเพอ่ื ดรู ายละเอยี ดของวตั ถุได)้ แว่นสาหรับคนสายตาสน้ั (เลนสเ์ วา้ ) ไดภ้ าพเสมือนหวั ตงั้ อยา่ งเดยี ว และภาพจะมขี นาดเล็กกว่าวัตถเุ สมอ (ไม่ สามารถใช้ขยายขนาดของภาพเพอื่ ดูรายละเอยี ดของวัตถุได้) แวน่ สาหรบั คนสายตายาว(เลนสน์ ูน) ให้ภาพจริงและภาพเสมือน มที ้งั ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ขน้ึ อยู่กบั ระยะห่างระหว่างวตั ถุกบั เลนส(์ สามารถใชข้ ยายขนาดของภาพเพ่อื ดรู ายละเอยี ดของวัตถุได)้
เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 46 สานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 30.ฟา้ ใสศึกษาการดูดกลนื แสงของวัตถุสตี า่ งๆ โดยใส่นา้ ปริมาณเท่ากันลงในขวดแบบเดยี วกัน ขนาดเท่ากัน 4 ขวด และหุ้มขวดดว้ ยกระดาษสีตา่ งๆดงั ภาพและตาราง ก่อนเรมิ่ การทดลอง ฟ้าใสวดั อณุ หภูมิน้าท้ัง 4 ขวดได้ 28 องศาเซลเซยี ส ตอ่ จากนน้ั นาขวดท้ัง 4 ใบไปวางไว้ กลางแดดเปน็ เวลา 2 ชั่วโมง เทา่ กัน แล้วจึงวดั อณุ หภูมขิ องน้าในขวดอกี ครง้ั ตามหลักการดูดกลนื แสง นา้ ในขวดใดจะมอี ุณหภมู ิเพม่ิ ขน้ึ น้อยท่สี ุด 1.ขวดท่ี 1 2.ขวดท่ี 2 3.ขวดที่ 3 4.ขวดท่ี 4 สาระท่ี 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลงั งาน ปฏสิ ัมพนั ธ์ ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใชพ้ ลังงานต่อชีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารสง่ิ ทีเ่ รยี นรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวดั ม.2/3. ทดลองและอธิบายการดูดกลนื แสงสี การมองเห็นสขี องวตั ถุ และนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์
Search