ก คานาในการจัดพมิ พ์ คร้ังที่ ๓ คู่มือเตรียมสอบธรรม สนามหลวง นกั ธรรมช้นั เอก ประมวลปัญหา- เฉลย (๒๕๕๑-๒๕๖๒) ฉบบั น้ี จดั พิมพ์ข้ึนเพ่ือให้ผูเ้ รียนได้อ่านปัญหาเฉลย ขอ้ สอบธรรมสนามหลวงท่ีมีจานวนขอ้ สอบมากและไม่ไดจ้ ดั เรียงหมวดหมู่ตาม เน้ือหาในหนังสือเรียน สามารถอ่านหนังสือไปพร้อมกับศึกษาแนวข้อสอบ สนามหลวงไปพร้อมกนั ได้ จึงไดจ้ ดั เรียงปัญหาเฉลยใหม่ โดยปรับให้มีความ สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาแต่ละบท ประกอบดว้ ยวิชาเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม วิชา ธรรมวิจารณ์ วิชาพุทธานุพุทธประวตั ิ และวิชาวินยั มุข วิชาพระราชบญั ญตั ิคณะ สงฆ์ โดยรวบรวมปัญหาเฉลยไว้ ๑๑ ปี ต้งั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๕๑ - พ.ศ.๒๕๖๒ ผูจ้ ดั ทาหวงั ว่าผูเ้ ขา้ สอบธรรม สนามหลวง ระดบั นกั ธรรมเอกจะได้ ประโยชน์จากการศึกษาคู่มือฉบบั น้ี สามารถช่วยเสริมความเขา้ ใจและจดจาแนว การออกขอ้ สอบธรรมสนามหลวง และใชต้ ิวก่อนเขา้ สอบธรรมสนามหลวง เพอ่ื ช่วยทาใหเ้ กิดความมนั่ ใจในการทาขอ้ สอบไดม้ ากยงิ่ ข้ึน ขอให้ทุกท่านจงมีความสุข ความเจริ ญรุ่ งเรื องในร่ มเงาบวร พระพทุ ธศาสนาสืบไป ใหม้ ีดวงปัญญาสวา่ งไสว รู้แจง้ เห็นแจง้ ในธรรมของพระ สัมมาสมั พุทธเจา้ ไดโ้ ดยง่าย โดยเร็วพลนั เทอญฯ ขอขอบคณุ และอนุโมทนาบญุ พระอติคณุ ฐิตวโร, ดร. กองธรรม โรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย จ.ปทมุ ธานี ๒๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
ข สารบัญ ตอนท่ี ๑ เรื่อง หน้า ตอนที่ ๒ ๑ ๑. การเขยี นเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑ ๑.๑ วธิ ีอ่านภาษาบาลี ๒ ๑.๒ หลกั เกณฑก์ ารเขยี นเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ๔ ๑.๓ แนวทางการอธิบายหวั ขอ้ กระทูธ้ รรม ๙ ๑.๔ โครงสร้างการเขยี นกระทธู้ รรม ๑๑ ๑.๕ ตวั อยา่ งการเขยี นกระทธู้ รรม ๑๕ ๑.๖ ขอ้ สอบวิชาเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ๑๘ ๒. ข้อสอบธรรม สนามหลวง นกั ธรรมช้ันเอก ๑๘ ๒.๑ วชิ าธรรมวิจารณ์ ๑๘ ๑๘ ความรู้เบื้องต้น ๑๘ ส่วนปรมัตถปฏิปทา ๒๒ ๑. นิพพทิ า ความหน่าย ๒๔ ๒. วิราคะ ความสิ้นกาหนดั ๒๕ ๓. วมิ ุตติ ความหลุดพน้ ๒๖ ๔. วิสุทธิ ความหมดจด ๒๗ ๕. สันติ ความสงบ ๒๘ ๖. นิพพาน ความดบั ทุกข์ ๒๘ ส่วนสังสารวฏั ๒๙ ๑. คติ ๓๐ ๒. หวั ใจสมถกมั มฏั ฐาน ๓๒ ๓. สมถกมั มฏั ฐาน ๓๒ ๔. พุทธคณุ กถา ๓๓ ๕. วิปัสสนากมั มฏั ฐาน ๓๔ ๖. วิปัลลาสกถา ๓๕ ๗. มหาสติปัฏฐานสูตร ๑๔. คริ ิมานนทสูตร ๓๖ ๒.๒ วชิ าพทุ ธานุพุทธประวตั ิ ๓๗ ๒๙ ปริเฉทท่ี ๑ ว่าดว้ ยชมพทู วปี ๓๙ ปริเฉทที่ ๒ วา่ ดว้ ยการเสดจ็ ออกบรรพชาและตรัสรู้ ปริเฉทท่ี ๓ ว่าดว้ ยการเสวยวิมตุ ติสุข
เร่ือง ค ปริเฉทท่ี ๔ ว่าดว้ ยการประทานเอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา หน้า ปริเฉทท่ี ๕ ว่าดว้ ยการประกาศพระศาสนา ปริเฉทท่ี ๖ วา่ ดว้ ยพระอคั รสาวกออกบวช ๔๐ ปริเฉทที่ ๗ วา่ ดว้ ยพระมหากสั สปะและพระมหากจั จายนะออกบวช ๔๒ ปริเฉทที่ ๘ ว่าดว้ ยการโปรดมาณพ ๑๖ คน ๔๓ ปริเฉทท่ี ๙ ว่าดว้ ยการอนุญาตญตั ติจตุตถกรรมวาจา ๔๕ ปริเฉทที่ ๑๐ วา่ ดว้ ยการเสดจ็ เมืองกบิลพสั ดุ์ ๔๗ ปริเฉทท่ี ๑๑ ว่าดว้ ยศากยวงศอ์ อกบวช ๔๙ ปริเฉทท่ี ๑๒ ว่าดว้ ยพระโสณโกฬิวิสะและพระรัฐบาลออกบวช ๔๘ ปริเฉทที่ ๑๓ วา่ ดว้ ยการเสดจ็ โปรดพระพุทธบิดา พระพทุ ธมารดา ๔๘ และเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ๔๙ เหตุการณ์ก่อนพุทธปรินิพพาน เหตกุ ารณ์หลงั พทุ ธปรินิพพาน ๕๐ ๒.๓ วิชาวนิ ัยมุข ๕๑ ๕๓ กณั ฑท์ ่ี ๒๓ สังฆกรรม กณั ฑท์ ี่ ๒๔ สีมา ๕๖ กณั ฑท์ ี่ ๒๕ สมมติเจา้ หนา้ ท่ที าการสงฆ์ กณั ฑท์ ่ี ๒๖ กฐิน ๕๖ กณั ฑท์ ่ี ๒๗ บรรพชา อุปสมบท ๖๐ กณั ฑท์ ่ี ๒๘ วิธีระงบั ววิ าทาธิกรณ์ ๖๒ กณั ฑท์ ี่ ๒๙ วิธีระงบั อนุวาทาธิกรณ์ ๖๓ กณั ฑท์ ่ี ๓๐ วิธีระงบั อาปัตตาธิกรณ์ ๖๖ กณั ฑท์ ่ี ๓๑ กิจจาธิกรณ์วา่ ดว้ ยนิคหกรรม ๖๙ กณั ฑท์ ี่ ๓๓ ปกิณกะ ๖๙ ๗๐ ๒.๔ วิชาพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ ๗๒ ๗๓ หมวด ๑ สมเด็จพระสงั ฆราช หมวด ๒ มหาเถรสมาคม ๗๔ หมวด ๓ การปกครองคณะสงฆ์ หมวด ๔ นิคหกรรมและการสละสมณเพศ ๗๔ หมวด ๕ วดั ๗๔ หมวด ๖ ศาสนสมบตั ิ ๗๕ หมวด ๗ บทกาหนดโทษ ๗๖ ๗๖ ๗๗ ๗๗
๑ ๑. การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑.๑ วิธีอ่านภาษาบาลี ๑) พยญั ชนะที่มีสระกากบั อยู่ ใหอ้ า่ นออกเสียงตามสระน้นั ๆ เช่น ปุริมานิ อ่านวา่ ปุ-ริ-มา-นิ ตีณิ อา่ นวา่ ตี-ณิ ๒) พยญั ชนะที่ไมม่ ีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย ใหอ้ ่านออกเสียงสระ อะ ทกุ แห่ง เช่น นววิธ อ่านวา่ นะ-วะ-วิ-ธัง ปน อา่ นวา่ ปะ-นะ ๓) พยญั ชนะที่มี พนิ ทุ ( ̣ ̣ ) อยขู่ า้ งล่าง แสดงวา่ พยญั ชนะตวั น้นั เป็นตวั สะกด ใหอ้ ่านออกเสียงรวม กบั สระของพยญั ชนะท่ีอยู่ขา้ งหนา้ เช่น ภกิ ฺขู (ภิ+ก=ภิก) อ่านวา่ ภกิ -ขู โหนฺติ (โห+น=โหน) อา่ นวา่ โหน-ติ ถา้ พยญั ชนะท่ีอยขู่ า้ งหนา้ ไมม่ ีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย พนิ ทุ ( ̣ ̣ ) น้นั จะเทา่ กบั ไมห้ ันอากาศ เช่น ตตฺถ (ตะ+ต=ตตั ) อ่านวา่ ตตั -ถะ อฏฺ ฐ (อะ+ฏ=อฏั ) อ่านวา่ อฏั -ฐะ ๔) พยญั ชนะที่มี นิคหติ ( ํ ) อยขู่ า้ งบนและมีสระกากบั อยดู่ ว้ ย ใหอ้ า่ นออกเสียงมี ง เป็นตวั สะกด เช่น กึ (กิ+ง=กิง) อ่านวา่ กงิ กาตุ (ตุ+ง=ตงุ ) อา่ นวา่ กา-ตุง ถา้ พยญั ชนะที่มี นิคหติ ( ํ ) อยขู่ า้ งบน แตไ่ ม่มีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย นคิ หติ ( ํ ) น้นั จะเทา่ กบั องั เช่น วตฺต (ตะ+ง=ตงั ) อ่านวา่ วตั -ตัง อย (ยะ+ง=ยงั ) อ่านวา่ อะ-ยัง ๕) พยญั ชนะตวั หนา้ ท่ีมี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ า่ นออกเสียงสระ อะ ก่ึงเสียง เช่น เทฺว อ่านวา่ ท-๎ เว พยฺ ตฺต อ่านวา่ พ-๎ ยัต-ตัง ๖) ถา้ มี ร อยหู่ ลงั พยญั ชนะท่ีมี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ ่านออกเสียงควบกล้ากนั เช่น ตตฺร อ่านวา่ ตตั -ตระ พรฺ หฺมจริยา อ่านวา่ พรัม-มะ-จะ-ริ-ยา
๒ ๗) ส ท่ีมี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็นตวั สะกดของพยญั ชนะที่อยขู่ า้ งหนา้ และออก เสียง ส น้นั อีกก่ึงเสียง เช่น อมิ สฺมึ อ่านวา่ อ-ิ มสั -ส๎-หมิง ตสฺมา อ่านวา่ ตสั -ส๎-หมา ๘) คาท่ีลงทา้ ยดว้ ย ตฺวา ตฺวาน ใหอ้ ่านออกเสียง ต เป็นตวั สะกดของพยญั ชนะที่อยขู่ า้ งหนา้ และ ออกเสียง ต น้นั อีกก่ึงเสียง เช่น กตฺวา อา่ นวา่ กตั -ต๎-วา คเหตฺวา อา่ นวา่ คะ-เหต-ต๎-วา ๙) ฑ ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็นตวั ด ท้งั หมด เช่น ปิ ณฺฑปาต อา่ นวา่ ปิ ณ-ดะ-ปา-ตงั ปิ ณฺฑาย อา่ นวา่ ปิ ณ-ดา-ยะ ๑๐) ห ท่ีมีสระ อี อยดู่ ว้ ย ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็น ฮี เช่น ตุณหฺ ี อา่ นวา่ ตุณ-ณ๎-ฮี อจฺฉาเทหีติ อ่านวา่ อจั -ฉา-เท-ฮี-ติ ๑.๒ หลกั เกณฑ์การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑) กระทู้ต้ัง คือ ธรรมภาษิตที่เป็นปัญหาท่ียกข้ึนมาก่อนสาหรับใหแ้ ตง่ แก้ เช่น ยาทิส วปเต พชี ตาทิส ลภเต ผล กลยฺ าณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บคุ คลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว ๒) คานา คือ คาข้ึนตน้ หรือคาช้ีแจงก่อนจะแต่งตอ่ ไป กลา่ วคือ เมื่อยกคาถาบทต้งั ไวแ้ ลว้ เวลาจะ แต่งตอ้ งข้นึ อารัมภบทก่อนวา่ บัดนจี้ ักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตทไี่ ด้ลขิ ิตไว้ ณ เบือ้ งต้น เพื่อเป็ น แนวทางแห่งการประพฤติปฏบิ ตั ขิ องสาธุชนผ้ใู คร่ในธรรมสืบไป ๓) เนื้อเร่ืองของกระทู้ต้ัง ตอ้ งมีเน้ือหาสาระสาคญั ลาดบั เน้ือหาสาระใหต้ ่อเนื่องกนั เป็นเหตุเป็นผล โดยข้ึนตน้ ดว้ ยคาวา่ “อธบิ ายความว่า” ก่อนจบการอธิบายจะลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ “นสี้ มด้วยธรรม ภาษติ ทมี่ าใน (ใส่ท่ีมาของธรรมภาษิตที่นามารับ) ว่า” เพ่ือรับรองไวเ้ ป็นหลกั ฐาน เช่น นสี้ มด้วยธรรมภาษิต ท่มี าใน ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ว่า ๔) กระทู้รับ คอื ธรรมภาษติ ที่ยกข้ึนมารับรองใหส้ มเหตุสมผลกบั กระทตู้ ้งั เพราะการแต่ง เรียงความน้นั ตอ้ งมีกระทูร้ ับอา้ งใหส้ มจริงกบั เน้ือความที่ไดแ้ ตง่ ไป มิใช่เขยี นไปแบบลอย ๆ เช่น
๓ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถ ลภติ ทุลฺลภ. ตนแล เป็ นทพ่ี งึ่ ของตน คนอ่ืนใครเล่าจะเป็ นท่พี งึ่ ได้ กบ็ คุ คลมตี นฝึ กฝนดแี ล้ว ย่อมได้ท่พี งึ่ ท่ีหาได้โดยยาก. ๕) เนื้อเร่ืองของกระทู้รับ คอื อธิบายเน้ือหาสาระสาคญั ของธรรมภาษติ ที่ยกมารับ โดยข้ึนตน้ ดว้ ย คาวา่ “อธิบายความว่า” ๖) บทสรุป คือ การรวบรวมใจความสาคญั ของเร่ืองท่ีได้อธิบายมาแต่ตน้ โดยกล่าวสรุปลงส้นั ๆ หรือยอ่ ๆ ใหไ้ ดค้ วามหมายที่ครอบคลุมถึงเน้ือหาที่กล่าวมาท้งั กระทตู้ ้งั และกระทูร้ ับ โดยข้นึ ตน้ ดว้ ยคาวา่ “สรุปความว่า” ก่อนจบการสรุปจะลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ “สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลขิ ิตไว้ ณ เบือ้ งต้นว่า” แลว้ จึงเขียนกระทตู้ ้งั พร้อมคาแปลอีกคร้ังหน่ึง เช่น สมด้วยธรรมภาษิตท่ีได้ ลขิ ติ ไว้ ณ เบือ้ งต้นว่า ยาทสิ วปเต พชี ตาทสิ ลภเต ผล กลยฺ าณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมช่ัว ย่อมได้ผลช่ัว ๗) คาลงท้าย คอื ประโยคที่เป็นการจบการเขยี นเรียงความ จะใชค้ าวา่ “มีนัยดังได้พรรณนามาด้วย ประการฉะนี้ ฯ” โดยให้เขยี นข้นึ บรรทดั ใหม่ชิดเส้นก้นั หนา้ ๘) จานวนกระทู้รับ คือ จานวนธรรมภาษิตที่จะตอ้ งหามาเชื่อมกบั กระทูต้ ้งั สาหรับระดบั ธรรม ศึกษาช้นั เอก ให้ใช้ ๓ ธรรมภาษิต ๙) จานวนหน้าทีต่ ้องเขียน คือ การเขียนเรียงความในกระดาษตอบสนามหลวง ขนาด F14 เวน้ บรรทดั สาหรับระดบั ธรรมศึกษาช้นั เอก ตอ้ งเขียนอยา่ งนอ้ ย ๔ หนา้ กระดาษข้นึ ไป และหา้ มใช้ ดินสอหรือปากกาน้าหมึกสีแดงเขียนหรือขีดเส้นโดยเด็ดขาด ใหใ้ ชป้ ากกาน้าหมึกสีน้าเงินหรือ สีดาเทา่ น้นั หากเขียนผิดเลก็ นอ้ ย สามารถใชน้ ้ายาหรือเทปลบคาผิดได้ ๑๐) การเขียนตวั เลขบอกจานวน หากตอ้ งเขียนตวั เลขบอกจานวนขอ้ เช่น ๑)........ ๒)........ ๓)........ ใหใ้ ชต้ วั เลขไทย หา้ มเขยี นตวั เลขอารบิค และไมต่ อ้ งข้ึนยอ่ หนา้ ใหม่ ใหเ้ ขียนเรียงต่อกนั อยใู่ น ยอ่ หนา้ ของการอธิบายความ
๔ ๑.๓ แนวทางการอธบิ ายหวั ข้อกระทู้ธรรม ๑.๓.๑ ตวั อย่างกระทู้ต้ัง ๑. โกธสฺส วสิ มูลสฺส มธุรคฺคสฺส พรฺ าหฺมณ วธ อริยา ปสสนฺติ ตญฺหิเฉตฺวา น โสจติ. พราหมณ์ ! พระอริยเจ้าย่อมสรรเสริญผู้ฆ่าความโกรธ ซ่ึงมีโคนเป็ นพษิ ปลายหวาน เพราะคนตัดความโกรธน้ันได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก. (พทุ ฺธ) ส. ส. ๑๕/๒๓๖. อธิบายความว่า ความโกรธ หมายถึง ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจอย่างแรง ท่ี เกิดข้ึนจากการประสบอารมณ์หรือสิ่งที่ไมช่ อบใจ เช่น ถูกคนอื่นตาหนิ ถกู ด่า เป็นตน้ ความโกรธน้ี เกิดข้ึนไดง้ ่าย ดบั ยาก และมีโทษร้ายแรง เม่ือเกิดข้ึนแลว้ จะทาลายสติปัญญา ไม่คานึงถึงศีลธรรม ความโกรธมีรากเป็นพิษมียอดหวาน หมายถึง ความโกรธมีรากมาจากความหลง (โมหะ) ความไม่ พอใจ (อรติ) ความหงุดหงิดราคาญ (ปฏิฆะ) ส่ิงเหลา่ น้ีลว้ นเป็นพิษแก่ร่างกายและจิตใจท้งั สิ้น ทาให้ โรคหวั ใจกาเริบ ทาใหป้ ระสาทตึงเครียด จิตใจเร่าร้อน อยากทาลายส่ิงของ อยากทาร้ายผอู้ ่ืน เม่ือได้ ทาลายหรือทาร้ายแลว้ ความโกรธจะสงบลง เพราะไดร้ ะบายความร้อนภายในออกแลว้ รู้สึกสบาย ใจข้ึน เหมือนน้าเดือดที่มีทางระบาย อาการแบบน้ีเรียกว่า มียอดหวาน (มธุรัคคะ) แต่ในท่ีสุดก็ นาไปสู่ทุกขอ์ ีก และเป็นทุกขท์ ่ียงิ่ ใหญ่เหมือนคนดื่มน้าหวานท่ีผสมยาพิษ ทีแรกหวานแต่พอยาพษิ ออกฤทธ์ิเท่าน้นั ก็ไดเ้ ห็นโทษของยาพิษว่ามีอย่างไร ตอ้ งเศร้าโศกเสียใจไปตลอดชีวิตก็มี การทา อะไรลงไปเพราะความโกรธน้ัน เป็ นการทาลายตนเอง ทาลายผูอ้ ื่น แมก้ ระทง่ั ทาร้ายผูม้ ีพระคุณมี มารดาบิดา ครูอาจารย์ เป็นตน้ เมื่อเขาสงบอารมณ์จากความโกรธลงแลว้ ยอ่ มจะตอ้ งเศร้าโศกเสียใจ กบั สิ่งท่ีตนไดก้ ระทาผิดพลาดไป และเสียใจกบั ผลแห่งการกระทาของตนในภายหลงั ดงั น้ันพระ อริยเจา้ ท้งั หลาย ต้งั แต่พระโสดาบนั ข้ึนไปจนถึงพระอรหันต์ จึงสรรเสริญบุคคลฆ่าความโกรธได้ แลว้ วา่ ไม่ตกอยใู่ นอานาจของความโกรธ ยอ่ มไม่ตอ้ งเศร้าโศกเสียใจในภายหลงั ๒. นิทฺท น พหุลกี เรยฺย ชาคริย ภเชยยฺ อาตาปี ตนฺทึ มาย หสฺส ขิฑฺฑ เมถุน วปิ ฺปชเห สวภิ ูส. ผู้มคี วามเพยี รไม่พงึ นอนมาก พงึ เสพธรรมเคร่ืองตื่น พงึ ละความเกยี จคร้าน มายา ความร่าเริง การเล่น และเมถนุ พร้อมท้ังเคร่ืองประดับเสีย. (พุทฺธ) ข.ุ สุ. ๒๕/๕๑๕., ข.ุ มหา. ๒๙/๔๕๗,๔๖๐ อธิบายความว่า คาว่า ผูม้ ีความเพียรไม่พึงนอนมาก หมายถึง ผูม้ ีความขยนั ความ พยายาม แบ่งเวลาในการปฏิบตั ิกิจการงานต่างๆ และเวลาในการพกั ผ่อน เช่น แบ่งเวลาในเวลา กลางวนั และกลางคืน เป็น ๖ ส่วน ต่ืนอยู่ ๕ ส่วน นอนหลบั ๑ ส่วน คาวา่ พึงเสพเสพธรรมเครื่อง
๕ ตื่น หมายถึง ความมีสติสัมปชญั ญะ เพ่ือชาระจิตให้บริสุทธ์ิจากธรรมเป็ นเครื่ องก้นั ขวางความดี ดว้ ยการเจริญสมาธิภาวนาไวใ้ นใจ ตลอดท้งั วนั ไม่ให้บาปอกศุ ลเขา้ มาบงั คบั บุญชาให้คิดชวั่ พูดชว่ั ทาชวั่ ได้ คาว่า พึงละความเกียจคร้าน หมายถึง พึงละเวน้ จากความข้ีเกียจ กิริยาท่ีแสดงอาการของ คนข้ีเกียจ มีจิตใจเบื่อหน่ายไม่อยากทาการงาน คาว่า มายา หมายถึง ความประพฤติลวงผอู้ ่ืนดว้ ย กิริยาที่ปกปิ ดความจริง กิริยาท่ีอาพรางความชวั่ ท่ีประพฤติทุจริตดว้ ยกาย วาจา ใจ คาว่า การเล่น หมายถึง การเล่นจนหวั เราะจนขาดสติ มี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ การเลน่ ทางกาย เช่น การเลน่ แข่งรถ แขง่ มา้ ส่วนการเล่นทางวาจา ไดแ้ ก่ การเล่นร้องเพลง โห่ร้องคึกคะนอง ส่วนคาวา่ เมถุน หมายถึง การเสพ กามของชายหญิงดว้ ยราคะ มีความกาหนดั ยนิ ดีในกามคุณ คาวา่ เครื่องประดบั หมายถึง การประดบั มีอยู่ ๒ อยา่ ง คอื การประดบั ของคฤหสั ถ์ เช่น การแต่งผม การแตง่ หนา้ ทาปาก การประพรมเครื่อง หอม การตกแต่งร่างกายเครื่องประดบั และการประดบั ของบรรพชิต เช่น การตบแตง่ บาตร การเล่น สนุกในการประดบั กิริยาที่ประดบั ซ่ึงร่างกายหรือบริขารท้งั หลายอนั เป็นภายนอก ดงั น้นั ผทู้ ่ีมีความ เพียรจะบรรลุเป้าหมายท่ีต้งั ไวไ้ ดส้ าเร็จน้นั ตอ้ งมีความขยนั พากเพียร ไมเ่ ห็นแก่การนอน มีสติระลึก รู้ตวั เมื่อจะคิด พดู ทาส่ิงตา่ งๆ ดว้ ยความรอบคอบ และละเวน้ ความเกียจคร้าน มายา ความหวั เราะคึก คะนอง การเล่นสนุก เมถุนธรรมอนั เป็ นไปกับด้วยการประดบั เพราะสิ่งเหล่าน้ีทาให้เสียทรัพย์ เสียเวลา และเป็นทางมาแห่งทุกข์ ทาใหไ้ มป่ ระสบความสาเร็จไดด้ งั ท่ีต้วั ใจไว้ ๓. ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นจิ ฺจ อุชฺฌานสญฺญโิ น อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา. คนที่เห็นแต่โทษผู้อื่น คอยแต่เพ่งโทษน้ัน อาสวะกเ็ พม่ิ พนู เขายงั ไกลจากความสิ้นอาสวะ. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๙. อธิบายความว่า คนที่เห็นแตโ่ ทษของคนอื่น เพราะโทษของผอู้ ื่นเห็นไดง้ า่ ย ส่วนโทษ ของตนเห็นไดย้ ากส่วนมากมกั จะเพ่งโทษคนอ่ืน เพราะจิตมกั จะตกอยภู่ ายใตอ้ านาจของกิเลส เกิด อกุศลจิต ท่ีมาจากอารมณ์หรือความรู้สึกยินดียินร้ายเป็ นเหตุ โดยเฉพาะอย่างย่ิง กระแสโลกใน ปัจจุบนั มีส่ือรับรู้ที่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั ทางกาย ที่เรียกวา่ วตั ถุแห่งกามอนั เป็นเครื่องกระตุน้ ให้เกิดอารมณ์ หรือความรู้สึกยินดียินร้ายที่เป็ นตน้ เหตุให้เกิดกิเลสกามหรืออาสวะกิเลส ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ในทุกที่ทุกเวลาต้งั แต่ต่ืนนอนจนกระทงั่ เขา้ นอน จึงทาให้เกิดอาสวะเพิ่มพูน มากข้ึน และเป็ นเหตุให้ห่างไกลจากความสิ้นอาสวะ ไม่สามารถหลุดพน้ จากกองทุกขห์ รือวฏั ฏะ สงสารได้ ดังน้ัน เราจึงควรรู้เท่าทนั กิเลสที่เกิดข้ึนตลอดเวลาในชีวิตประจาวนั ไม่มีทางหนีสิ่ง เหล่าน้ีไปไดเ้ ลย เพราะเราตอ้ งอยูก่ บั การเสพคุน้ กบั การมองเห็นโทษของผอู้ ่ืนอยู่ตลอดเวลาในชีวติ น้ี การท่ีจะหลุดพน้ จากกิเลสน้ีไปไดด้ ว้ ยการ ประพฤติปฏิบตั ิธรรม เพ่ือใหเ้ กิดสติ รู้จกั ปลอ่ ยวางใน อารมณ์หรือความรู้สึกยนิ ดียนิ ร้ายท่ีเป็นกิเลสกามหรืออกุศลจิต จึงจะไม่หลงไปกบั อาสวะกิเลส ไม่
๖ เกิดการเพ่งโทษผอู้ ื่น และไม่สะสมอาสวะกิเลส ใจของเราก็จะเบาบางจาก โลภะ โทสะ โมหะ เรา จึงสามารถหลดุ พน้ จากกองทุกขไ์ ดโ้ ดยสิ้นเชิง ๔. อนวฏฺ ฐิตจิตฺตสฺส สทฺธมฺม อวชิ านโต ปริปลฺ วปสาทสฺส ปญฺญา น ปริปูรติ. เม่ือมีจติ ไม่มนั่ คง ไม่รู้พระสัทธรรม มีความเลื่อมใสเล่ือนลอย ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐ อธิบายความว่า ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ คือรู้ทางแห่งความเจริญและทางแห่ง ความเสื่อม แบ่งเป็ น ๒ ระดับ คือ ๑) โลกิยปัญญา คือ ปัญญาทางโลก หมายถึง ปัญญาที่ใช้เพ่ือ ประกอบกิจกรรมในทางโลก ไม่ว่าจะเป็ นการทางาน อาชีพ เล่นกีฬา เรียนหนังสือ เป็ นตน้ ๒) โลกุตตรปัญญา คือ ปัญญาในทางธรรม หมายถึง ปัญญาที่เกิดข้ึนจากการเจริญภาวนา จึงจะเกิด ปัญญาระดบั น้ีได้ คาวา่ มีจิตไม่มนั่ คง หมายถึง มีจิตคลอนแคลนอยเู่ สมอ เป็นคนจบั จด ทาอะไรไม่ จริง เพราะจิตมวั กลบั กลอกอยนู่ นั่ เอง จะทาความดีกไ็ มแ่ น่ใจวา่ ความดีจะใหผ้ ลจริงหรือเปล่า จึงไม่ กลา้ ทา คงปล่อยเวลาใหล้ ่วงไปโดยเปลา่ ประโยชน์และแก่ตายไปโดยไม่ไดท้ าอะไรเป็นชิ้นเป็นอนั จะศึกษาเล่าเรียนก็ลังเล ไม่รู้จะจบั อะไรดี จึงไม่ได้ความรู้เท่าที่ควร คาว่า ไม่รู้พระสัทธรรม หมายถึง ไม่รู้จกั ผิดชอบชว่ั ดี ไม่รู้จกั เวน้ ส่ิงที่ควรเวน้ ไม่รู้จกั ประพฤติสิ่งท่ีควรประพฤติ คาว่า มี ความเล่ือมใสเล่ือนลอย หมายถึง มีศรัทธานอ้ ย คือ มีศรัทธาคลอนแคลนไม่มน่ั คง ไม่ต้งั มน่ั ไม่มี หลกั ในการเช่ือถือ เม่ือกระทบเหตุอนั ทาให้ศรัทธาถอย ก็ถอยเอาง่ายๆ ดงั น้นั ผูท้ ี่มีจิตไม่มน่ั คงแน่ว แน่ ไม่ศึกษาพระสัทธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ให้ถ่องแท้ และมีความศรัทธาเล่ือมใสที่เล่ือน ลอย ยอ่ มทาใหป้ ัญญาของผนู้ ้นั ไม่สามารถเตม็ เป่ี ยมได้ ไม่เจริญกา้ วหนา้ ท้งั ทางโลกและทางธรรม ยงั ต้องเวียนว่ายอยู่ในวงั วนแห่งวฏั ฏสงสารอยู่ร่าไป ส่วนผูท้ ี่มีจิตมน่ั คง รอบรู้พระสัทธรรม มี ศรัทธามนั่ คง ปัญญาของผนู้ ้นั ยอ่ มเพิม่ พนู จนกระทงั่ สามารถหลดุ พน้ จากกิเลสอาสวะท้งั ปวงได้ ๕. ผนฺทน จปล จติ ฺต ทุรกฺข ทุนฺนวิ ารย อชุ ุ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชน. คนมีปัญญาทาจิตท่ดี ิน้ รน กวดั แกว่งรักษายาก ห้ามยากให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทาลกู ศรให้ตรงได้ฉะน้นั . (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ อธิบายความว่า คาว่า จิต แปลว่า ธรรมชาติที่นึกคิด หรือธรรมชาติรู้อารมณ์ ตาม ธรรมดาของจิตย่อมไหลลงสู่ที่ต่าเสมอ ย่อมด้ินรน กวดั แกว่งไปในอารมณ์ต่างๆ ควบคุมรักษาได้ ยาก ห้ามไดย้ าก เป็นธรรมชาติสงบระงบั ได้ยาก ละจากที่น้ีก็ไปจบั ที่โน่น คือ ละจากอารมณ์หน่ึงก็ ไปเกาะอยู่ท่ีอีกหน่ึงอารมณ์อย่างรวดเร็ว เหมือนเด็กท่ีกาลงั ซน เหมือนลิงซ่ึงหาความสงบนิ่งไม่ได้
๗ ดงั น้ัน ผูม้ ีปัญญา เป็ นผูฉ้ ลาดจึงตอ้ งทาจิตของตนให้ซื่อตรง ดว้ ยการทาจิตให้อยู่ในอานาจ ไม่ให้ ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ โดยการสารวมระมดั ระวงั ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ทาจิตใหเ้ ป็นธรรมชาติ ควรแก่งานโดยข้ึนสู่วิปัสสนากรรมฐานอนั เป็นอุบายเรืองปัญญา พิจารณารูปนาม เป็ นอารมณ์จน เกิดปัญญาเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง เหมือนช่างศร ดดั ลกู ศรใหต้ รงเหมาะแก่การใชง้ าน ๑.๓.๒ กระทู้รับยอดนิยม (ให้ท่องไว้ ๒ กระทู้) กระทู้รับยอดนยิ มที่ ๑ ยาทิส วปเต พชี ตาทิส ลภเต ผล กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บคุ คลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผ้ทู ากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมช่ัว ย่อมได้ผลช่ัว. ทีม่ า สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค. อธิบายความว่า คาว่า ทาดี คือ ทาสุจริต ๓ ไดแ้ ก่ ๑) กายสุจริต ความประพฤติดีทาง กาย มีการงดเวน้ จากการฆ่าสัตว์ เป็ นตน้ ๒) วจีสุจริต ความประพฤติดีทางวาจา มีการพูดคาสัตย์ เป็นตน้ ๓) มโนสุจริต ความประพฤติดีทางใจ มีการไม่เพ่งเลง็ อยากไดข้ องของผูอ้ ่ืน เป็นตน้ คาว่า ทาชวั่ คือ ทาทุจริตท้งั ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ธรรมดาบุคคลหว่านพืชเม่ือถึงฤดูทานา ย่อมไถและหวา่ นขา้ วลงในนา เพราะมีน้าหรือฝนตกตอ้ งตามฤดูกาล ขา้ วที่หว่านไวก้ ็เจริญงอกงาม และออกรวง ผกู้ ระทาความดี ผนู้ ้นั ยอ่ มไดร้ ับผลดีคือไม่ตอ้ งกลวั เดือดร้อน เพราะกรรมที่ตนกระทา ไวด้ ี ผลท่ีไดร้ ับคือความสุข ความสบายและมีสุคติเป็ นเบ้ืองหน้า แต่ผูท้ ี่กระทากรรมชวั่ คือกรรม ลามก เขาก็ไดร้ ับผลชว่ั ตามท่ีไดป้ ระกอบกรรมทาชวั่ ไวเ้ ป็นความทุกขค์ วามเดือดร้อนในโลกน้ี แม้ ละจากโลกน้ีแลว้ กย็ อ่ มประสบกบั ความเร่าร้อนในอบาย กระทู้รับยอดนิยมที่ ๒ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถ ลภติ ทลุ ฺลภ. ตนแล เป็ นทพี่ ง่ึ ของตน คนอ่ืนใครเล่า จะเป็ นที่พงึ่ ได้ กบ็ ุคคลมีตนฝึ กฝนดแี ล้ว ย่อมได้ทพี่ ง่ึ ที่หาได้โดยยาก. ท่มี า ขุททกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า ตน หมายถึง ร่างกายและจิตใจ ที่เรียกว่าอตั ภาพหรือตวั ตนของเรา เป็นที่พ่ึงของตน หมายถึง ใหพ้ ่ึงตวั เองใหม้ าก ในขอบเขตที่สามารถทาได้ ในขณะที่ยงั อยใู่ นวยั หรือ ในภาวะหน่ึงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตรัสสอนให้คนเราพ่ึงตนเอง ซ่ึงทาได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทาง ร่างกาย อาศยั แรงกายทางานประกอบสัมมาอาชีพดารงชีวิตเพื่อให้ชีวิตดารงอยู่ได้ ๒) ทางจิตใจ อาศยั ร่างกายน้ีเป็นส่วนหน่ึงท่ีจะตอบสนองใหท้ าส่ิงต่างๆ เช่น ทาความดี ทาบญุ กศุ ล ท่ีพ่งึ อย่างอ่ืน
๘ ที่คนเราจะยดึ เป็นที่พ่ึงไปตลอดชีวิต ไม่ว่า บิดามารดา ครูอาจารย์ ยอ่ มจะทาไดโ้ ดยยาก การสั่งสม ทรัพยส์ ินเงินทองไวเ้ พ่ือให้เราพ่ึงตนเองไดใ้ นโลกน้ี เพราะเมื่อสิ้นชีวติ ลงทรัพยเ์ หลา่ น้นั ไม่สามารถ นาติดตวั ไปได้ ส่วนการส่ังสมบุญกุศลเป็ นการทาที่พ่ึงให้แก่ตนเองในโลกหน้า ดงั น้นั เราจึงตอ้ ง ทาบุญดว้ ยตนเอง อย่าไปหวงั พ่ึงผูอ้ ่ืน เพราะเมื่อละจากโลกน้ีไปแลว้ ย่อมไดไ้ ปเกิดในสุคติโลก สวรรค์ กระทู้รับยอดนยิ มท่ี ๓ โย จ วสฺสสต ชีเว กสุ ีโต หีนวรี ิโย เอกาห ชีวติ เสยฺโย วริ ิย อารภโต ทฬฺห. ผู้เกยี จคร้าน มีความเพยี รเลว พงึ เป็ นอย่ตู ้ังร้อยปี ส่วนผ้ปู รารภความเพยี รม่ันคง มชี ีวติ อยู่เพยี งวันเดียวประเสริฐกว่า. ทม่ี า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า คาว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทางาน ผดั วนั ประกนั พรุ่งให้เวลา ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คาว่า มีความเพียรเลว คือ เพียรพยายามทาความไม่ดี มีการลกั ขโมย ปลน้ จ้ี วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผอู้ ่ืน ทาความเดือดร้อนให้ผอู้ ื่น ชอบทางานที่ไร้ประโยชน์ คาวา่ ผู้ ปรารภความเพียรมนั่ คง คือ คนท่ีมีความพยายามทาส่ิงที่เป็ นบุญกุศลหมนั่ ทาความเพียรเพื่อชาระ จิตใจใหส้ ะอาดหมดจด ดงั น้นั ผทู้ ี่เกียจคร้าน เพียรทาสิ่งชว่ั ไม่ทาสิ่งท่ีดีงาม ถึงมีอายยุ นื เป็นร้อยปี ก็ เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ตอ้ งการ เม่ือตายไปย่อมไปอบายภูมิ มีนรก เป็ นตน้ ส่วนผูท้ ่ีมีความ ขยนั หมนั่ เพียรประกอบบุญกุศล มีความเพียรมนั่ คง ปรารภความเพียรมนั่ คง ประพฤติปฏิบตั ิธรรม เม่ือตายไปยอ่ มไปสู่สุคติโลกสวรรค์ กระทู้รับยอดนิยมท่ี ๔ ปญุ ญฺ ญเฺ จ ปุริโส กยิรา กยิราเถน ปุนปปฺ ุน ตมฺหิ ฉนฺท กยิราถ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย. ถ้าบคุ คลจะกระทาบญุ ควรทาบุญน้ันบ่อย ๆ ควรทาความพอใจในบญุ น้ัน การสั่งสมบญุ นาความสุขมาให้. ทม่ี า ขุททกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า บุญ หมายถึง ส่ิงเกิดข้ึนในจิตใจ แลว้ ทาให้จิตใจใสสะอาดบริสุทธ์ิ ปราศจากความเศร้าหมองข่นุ มวั บุญเป็นชื่อของความสุขและความสาเร็จ เป็นผลจากการประกอบ กรรมดี เกิดข้ึนไดด้ ว้ ยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑) ทานมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการให้ทาน ๒) ศีลมยั บุญสาเร็จ ดว้ ยการรักษาศีล ๓) ภาวนามยั บุญสาเร็จดว้ ยการเจริญสมาธิ คนทว่ั ไปแมจ้ ะมองไม่เห็นบุญ แต่ สามารถรู้อาการของบุญหรือผลของบุญได้ว่าเกิดข้ึนแลว้ ทาให้จิตใจชุ่มชื่นเป็ นสุข และสามารถ ติดตามผูท้ ่ีทาบุญเหมือนเงาติดตามตัว อีกท้ังบุญยงั เป็ นของเฉพาะตน อยากได้ตอ้ งทาเอง ไม่
๙ สามารถให้ใครทาแทนได้ บุญสามารถสั่งสมไดด้ ว้ ยการทาความดี การทาบุญจึงควรทาความพึง พอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบญุ เพราะการส่ังสมบุญ ชื่อวา่ ทาใหเ้ กิดความสุข กระทู้รับยอดนยิ มท่ี ๔ สพพฺ ปาปสฺส อกรณ กุสลสฺสู ปสมฺปทา สจิตฺต ปริโยทปน เอต พุทฺธาน สาสน. การไม่ทาบาปท้ังปวง ๑ การยังกุศลให้ถึงพร้อม ๑ การทาจติ ของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ นีเ้ ป็ นคาสอนของพระพทุ ธเจ้าท้ังหลาย. ท่ีมา ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงวางหลกั การปฏิบตั ิตนใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนไว้ ๓ ประการ คอื ๑) การไมท่ าบาปท้งั ปวง หมายถึง การไมป่ ระพฤติชว่ั ทางกาย วาจา ใจ คอื ไมท่ าสิ่ง ท่ีก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผูอ้ ื่น ๒) การยงั กุศลให้ถึงพร้อม หมายถึง การประพฤติ ชอบทางกาย วาจา ใจ คือ ทาสิ่งท่ีก่อให้เกิดความสุข ความเจริญ แก่ตนเองและผูอ้ ื่น ๓) การทาจิต ของตนให้ผ่องแผว้ หมายถึง การอบรมจิตใจของตนเองให้บริสุทธ์ิสะอาด ปราศจากเคร่ืองเศร้า หมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพุทธเจา้ ทุกๆพระองคท์ ี่ทรงอุบตั ิข้นึ ในโลกน้ี ก็ลว้ น ทรงประทานโอวาท ๓ ขอ้ น้ีอนั เป็ นหัวใจของพระพุทธศาสนา ให้แก่มหาชนได้ยึดถือเป็ นหลกั ปฏิบตั ิในการดาเนินชีวิตท่ีถูกตอ้ ง เพ่ือให้สามารถล่วงพน้ จากทุกขแ์ ละมีสุขในปัจจุบนั และในภพ ชาติต่อไปจนกระทงั่ เขา้ สู่พระนิพพาน ๑.๔ โครงสร้างการเขยี นกระทู้ธรรม (กระทตู้ ัง้ )------------------. (คำแปลกระทู้ตงั้ )----------------. บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็น แนวทางแห่งการประพฤติปฏบิ ตั ขิ องสาธุชนผ้ใู คร่ในธรรมสืบไป อธบิ ายความว่า ------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทัด)--------------- ----น้สี มดว้ ยธรรมภาษิต ที่มาใน ------------------------ว่า (กระท้รู บั ท่ี ๑)------------------. (คำแปลกระทู้รบั ท่ี ๑)----------------.
๑๐ อธิบายความวา่ ------------------------------------- ----------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทดั )--------------- --------------------------------------------------- ----นส้ี มด้วยธรรมภาษติ ทมี่ าใน ------------------------ว่า (กระทู้รบั ท่ี ๒)------------------. (คำแปลกระท้รู ับท่ี ๒)----------------. อธบิ ายความว่า ------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขยี นอธิบายประมาณ ๑๐ บรรทัด)--------------- ----นีส้ มดว้ ยธรรมภาษิต ท่ีมาใน ------------------------วา่ (กระท้รู บั ที่ ๓)------------------. (คำแปลกระทู้รับที่ ๓)----------------. อธบิ ายความวา่ ------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขยี นอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทดั )--------------- -------------------------- สรปุ ความวา่ -------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขยี นอธบิ ายประมาณ ๕-๘ บรรทดั )-------------- --------------------------------------------------- -------------------- สมดว้ ยธรรมภาษติ ท่ีไดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ วา่ (กระทตู้ งั้ )------------------. (คำแปลกระทู้ตงั้ )----------------. มีนยั ดังได้พรรณนามาด้วยประการฉะน้ี ฯ
๑๑ ๑.๕ ตัวอย่างการเขยี นกระทู้ธรรม อปฺปมาทรตา โหถ สจติ ตฺ มนรุ กฺขถ ทคุ ฺคา อุทธฺ รถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว กุญชฺ โร. ท่านทง้ั หลาย จงยนิ ดีในความไม่ประมาท คอยรักษาจติ ของตน จงถอนตนข้ึนจากหล่ม เหมือนช้างท่ีตกหล่มถอนตนข้ึนฉะน้ัน. บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิต ที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางแหง่ การประพฤตปิ ฏิบตั ิของสาธชุ นผู้ใครใ่ นธรรมสบื ไป อธิบายความว่า คำว่า ยินดีในความไม่ประมาท หมายถึง พอใจในความ ไม่ละเลย ไม่พลั้งเผลอ มีสติสัมปชัญญะ พยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาด คำว่า หล่ม หมายถึง กิเลส สิ่งที่ทำให้น่าใคร่ น่าหลงใหล ทำให้ใจหลงติดอยู่ใน อารมณ์ที่น่ารักน่าพอใจ มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น เกิดความยึดมั่นถือ มั่นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านั้นมาเปน็ ของตน เมื่อไม่ได้ก็ เกิดความทุกข์เดือดร้อนใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ไม่ประมาท ให้มีสติ ระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา สำรวมระวังขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ล้ิน ลมิ้ รส กายถูกตอ้ งสมั ผสั หรือ ธรรมารมณ์ทเี่ กิดกบั ใจ อย่าให้จติ ยินดยี ินรา้ ย จิต จึงจะมีความตั้งมั่นจนสามารถถอนตนให้ขึ้นจากหล่มคือกิเลส มีความโลภ ความ โกรธ ความหลงได้ ซึ่งการหมั่นระวังรักษาจิตจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่ สามารถพึ่งผู้อื่นกระทำแทนได้ นี้สมด้วยธรรมภาษิตที่มาใน ขุททกนิกาย ธรรม บท ว่า อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า อตตฺ นา หิ สทุ นฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ. ตนแล เปน็ ทีพ่ ง่ึ ของตน คนอนื่ ใครเล่า จะเป็นท่ีพง่ึ ได้ ก็บคุ คลมตี นฝึกฝนดีแลว้ ย่อมได้ท่พี ่งึ ทีห่ าไดโ้ ดยยาก.
๑๒ อธิบายความว่า คำว่า ตน หมายถึง ร่างกายและจิตใจที่เรียกว่าอัตภาพ หรอื ตัวตนของเรา ในคำวา่ ตนแลเปน็ ท่ีพึ่งของตน หมายถึง ให้พ่งึ ตัวเองให้มาก ในขณะที่ร่างกายแข็งแรง เพราะคนอื่นที่เรายึดเป็นที่พึ่งไปตลอดชีวิต ย่อมจะทำ ได้โดยยาก การพึ่งตนเองทำได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทางร่างกาย อาศัยแรงกาย ทำงานประกอบสัมมาอาชีพดำรงชีวติ ๒) ทางจติ ใจอาศัยร่างกายนเ้ี ป็นส่วนหน่ึงที่ จะตอบสนองให้ทำสิ่งต่างๆ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บุคคลที่ ทำบุญไว้มาก ผลบุญนั้นย่อมทำให้ได้รับความสุขทั้งในภพชาตินี้และในภพชาติ เบอื้ งหนา้ น้สี มด้วยธรรมภาษติ ท่มี าใน ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท วา่ ปุญฺญญเฺ จ ปุริโส กยิรา กยริ าเถนํ ปนุ ปปฺ นุ ํ ตมหฺ ิ ฉนฺทํ กยิราถ สุโข ปญุ ฺญสฺส อจุ ฺจโย. ถา้ บคุ คลจะกระทำบญุ ควรทำบุญน้นั บอ่ ย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนน้ั การส่ังสมบุญนำความสุขมาให้. อธิบายความว่า บุญ หมายถึง สิ่งเกิดขึ้นในจิตใจ แล้วทำให้จิตใจใส สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว บุญเป็นชื่อของความสุขและ ความสำเร็จ เป็นผลจากการประกอบกรรมดี เกิดขึ้นได้ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน ๒) ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญสมาธิ คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็นบุญ แต่ สามารถรู้อาการของบุญหรือผลของบุญได้ว่าเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข และสามารถติดตามผทู้ ที่ ำบญุ เหมือนเงาติดตามตัว อีกท้งั บุญยงั เปน็ ของเฉพาะตน อยากไดต้ อ้ งทำเอง ไม่สามารถใหใ้ ครทำแทนได้ บญุ สามารถส่ังสมได้ดว้ ยการทำ ความดี การทำบุญจึงควรทำความพึงพอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบุญ เพราะการสั่งสมบุญ ชื่อวา่ ทำให้เกิดความสุข และการทำบุญต้องอาศัยความเพยี ร ทำอย่างสมำ่ เสมอ อยา่ เกยี จคร้านในการทำบญุ จะเปน็ ผทู้ ี่มีชวี ติ อยู่อยา่ งประเสริฐ ไม่ปลอ่ ยเวลาให้ลว่ งเลยไปโดยเปลา่ ประโยชน์ นส้ี มด้วยธรรมภาษติ ท่มี าใน
๑๓ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ว่า โย จ วสสฺ สตํ ชีเว กุสีโต หนี วรี ิโย เอกาหํ ชีวติ ํ เสยโฺ ย วิริยํ อารภโต ทฬหฺ .ํ ผู้เกยี จคร้าน มีความเพียรเลว พึงเป็นอยตู่ งั้ รอ้ ยปี ส่วนผปู้ รารภความเพียรม่นั คง มีชวี ติ อยเู่ พยี งวันเดยี ว ประเสริฐกวา่ . อธิบายความว่า คำว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทำงาน ผัดวันประกันพรุ่งให้เวลาผ่านไปโดยเล่าประโยชน์ คำว่า มีความเพียรเลว คือ เพียรพยายามทำความไม่ดี มีการลักขโมย ปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผู้อ่นื ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ชอบทำงานที่ไร้ประโยชน์ คำว่า ผู้ปรารภความเพียร มั่นคง คือ คนที่มีความพยายามทำสิ่งที่เป็นบุญกุศลหมั่นทำความเพียรเพื่อชำระ จิตใจให้สะอาดหมดจด ดังนั้นผู้ที่เกียจคร้าน เพียรทำสิ่งช่ัวไม่ทำสิง่ ที่ดีงาม ถึงมี อายุยืนเป็นร้อยปีก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ต้องการ เมื่อตายไปย่อมไป อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ส่วนผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรประกอบบุญกุศล มีความ เพียรมั่นคง ปรารภความเพียรมั่นคง ประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อตายไปย่อมไปสู่ สุคติโลกสวรรค์ สรุปความว่า บุคคลควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีสติรอบคอบ สำรวม ระวังรักษาจิตของตน ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส เป็นการปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่ สามารถพง่ึ ผู้อื่นกระทำแทนได้ พรอ้ มกนั นนั้ ต้องหมน่ั ส่ังสมทำบญุ ดว้ ยการให้ทาน รักษาศลี เจรญิ ภาวนาไว้ให้มาก เพราะผลบญุ ย่อมทำใหไ้ ด้รับความสขุ ทั้งในภพ ชาตินี้และในภพชาติเบื้องหน้า การหมั่นทำบุญนั้นต้องอาศัยความเพียรอย่าง สม่ำเสมอ อย่าประมาทในการทำบุญ เพื่อสั่งสมบุญให้มากที่สุดขณะที่ยังมีชีวิต อยู่ จึงจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เมื่อบุญมากเพียงพอจนสามารถชำระใจให้สะอาด หมดถอนตนจากอำนาจของกเิ ลสได้ เมื่อนน้ั จึงจะไม่ตอ้ งเวียนวา่ ยตายเกดิ อกี ต่อไป สมด้วยธรรมภาษติ ทีไ่ ด้ลิขติ ไว้ ณ เบ้ืองต้นวา่
๑๔ อปฺปมาทรตา โหถ สจติ ตฺ มนุรกฺขถ ทุคฺคา อทุ ธฺ รถตฺตานํ ปงเฺ ก สนฺโนว กุญฺชโร. ทา่ นทัง้ หลาย จงยินดใี นความไมป่ ระมาท คอยรกั ษาจติ ของตน จงถอนตนข้ึนจากหลม่ เหมือนชา้ งท่ตี กหลม่ ถอนตนข้นึ ฉะนน้ั . มนี ยั ดังไดพ้ รรณนามาดว้ ยประการฉะนี้ ฯ
๑๕ ๑.๖ ข้อสอบวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ปี ๒๕๕๑ ววิ าทํ ภยโต ทสิ ฺวา อวิวาทญจฺ เขมโต สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พทุ ฺธานุสาสน.ี ทา่ นทง้ั หลายเห็นความววิ าทโดยความเปน็ ภยั และความไมว่ ิวาทโดย ความเป็นธรรมอนั เกษม (จากภยั ) แลว้ จงเปน็ ผู้พรอ้ มเพรียง มีความ ประนีประนอมกนั เถดิ . นเ้ี ป็นพระพทุ ธานุสาสน.ี ขุ. จริยา. ๓๓/๕๙๕. ปี ๒๕๕๒ น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ อตฺตโน ว อเวกฺเขยยฺ กตานิ อกตานิ จ. ไมค่ วรฟังคำกา้ วร้าวของคนอ่นื ไม่ควรมองดกู ารงานของคนอืน่ ที่ เขาทำแล้วและยงั ไม่ไดท้ ำ ควรพิจารณาดแู ต่การงานของตน ท่ีตน ทำแล้วและยงั ไมไ่ ด้ทำเท่าน้ัน. ขุ. ธ. ๒๕/๒๑. ปี ๒๕๕๓ วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา อววิ าทญฺจ เขมโต สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พทุ ธฺ านสุ าสน.ี ท่านท้งั หลายจงเหน็ ความววิ าทโดยความเป็นภัย และความไมว่ วิ าทโดย ความปลอดภยั แลว้ เป็นผพู้ รอ้ มเพรยี ง มคี วามประนปี ระนอมกนั เถิด. นเี้ ปน็ พระพทุ ธานุศาสน.ี ขุ. จรยิ า. ๓๓/๕๙๕. ปี ๒๕๕๔ อนฺนโท พลโท โหติ วตถฺ โท โหติ วณณฺ โท ยานโท สขุ โท โหติ ทีปโท โหติ จกขฺ โุ ท.
๑๖ ผใู้ ห้ข้าว ชอ่ื วา่ ใหก้ ำลัง ผูใ้ หผ้ า้ ช่ือว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชือ่ ว่าให้ความสุข ผูใ้ หป้ ระทปี โคมไฟ ชือ่ ว่าให้จักษุ. ส.ํ ส. ๑๕/๔๔. ปี ๒๕๕๕ นิทฺทาสลี ี สภาสลี ี อนฏุ ฺฐาตา จ โย นโร อลโส โกธปญฺญาโณ ตํ ปราภวโต มขุ ํ. คนใดมักหลับ มักคุย และไม่ขยัน เกยี จครา้ น มีความมทุ ะลุ ขอ้ นั้นเปน็ เหตขุ องผ้ฉู บิ หาย. ขุ. สุ. ๒๕/๓๔๖. ปี ๒๕๕๖ อุปนียติ ชวี ติ มปปฺ มายุํ ชรูปนีตสฺส น สนตฺ ิ ตาณา เอตํ ภยํ มรเณ เปกขฺ มาโน โลกามสิ ํ ปชเห สนตฺ เิ ปกโฺ ข. ชีวิตคอื อายอุ ันน้อยนี้ ถกู ชรานำเข้าไป เม่อื สตั ว์ถูกชรานำเขา้ ไปแลว้ ย่อมไมม่ เี คร่ืองตา้ นทาน ผ้เู ลง็ เหน็ ภยั ในมรณะน้นั มุ่งความสงบ พึงละโลกามสิ เสีย. ส.ํ ส. ๑๕/๗๗. ปี ๒๕๕๗ ขนฺติ ธีรสฺส ลงกฺ าโร ขนตฺ ิ ตโป ตปสฺสโิ น ขนตฺ ิ พลํ ว ยตนี ํ ขนฺติ หิตสขุ าวหา. ขนั ตเิ ปน็ เครอ่ื งประดบั ของนักปราชญ์ ขนั ตเิ ปน็ ตบะของผูพ้ ากเพียร ขันติเปน็ กำลังของนกั พรต ขนั ตนิ ำประโยชน์สุขมาให้. ส. ม. ๒๒๒. ปี ๒๕๕๘ อุฏฐฺ านวโต สตมี โต สจุ ิกมฺมสสฺ นิสมมฺ การิโน สญญฺ ตสสฺ จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตตฺ สฺส ยโสภิวฑฒฺ ต.ิ เกียรตยิ ศย่อมเจรญิ แกผ่ ขู้ ยนั มีสติ มกี ารงานสะอาด ใคร่ครวญแลว้ จงึ ทำ สำรวมแลว้ เป็นอยู่โดยธรรม และไมป่ ระมาท
๑๗ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘. ปี ๒๕๕๙ อนนฺ โท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท ยานโท สขุ โท โหติ ทีปโท โหติ จกขฺ ุโท. ผใู้ ห้ข้าว ช่อื วา่ ให้กำลัง ผ้ใู ห้ผ้า ชือ่ วา่ ให้ผิวพรรณ ผใู้ ห้ยานพาหนะ ช่ือว่าใหค้ วามสุข ผใู้ หป้ ระทีปโคมไฟ ชือ่ ว่าให้จกั ษุ. สํ. ส. ๑๕/๔๔. ปี ๒๕๖๐ ชยํ เวรํ ปสวติ ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชโิ ต อปุ สนโฺ ต สขุ ํ เสติ หิตฺวา ชยปราชย.ํ ผูช้ นะยอ่ มกอ่ เวร ผู้แพย้ อ่ มนอนทกุ ข์ คนละความขนะ และความแพไ้ ดแ้ ลว้ สงบใจได้ ยอ่ มนอนเป็นสขุ . ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒. ปี ๒๕๖๑ อฏุ ฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ อปฺปมตฺโต วจิ กขฺ โณ สสุ วํ ิหิตกมฺมนฺโต ส ราชวสตึ วเส. ผหู้ มนั่ ในการงาน ไม่ประมาท เป็นผูร้ อบคอบ จัดการงานเรยี บรอ้ ย จึงควรอยใู่ นราชการ. ขุ. ธ. ๒๕/๔๒. ปี ๒๕๖๒ มูฬฺโห อตถฺ ํ น ชานาติ มูฬโฺ ห ธมมฺ ํ น ปสสฺ ติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โมโห สหเต นรํ. ผู้หลงย่อมไม่ร้อู รรถ ผหู้ ลงยอ่ มไมร่ ู้ธรรม ความหลงครอบงำ คนใดเมอ่ื ใด ความมดื มดิ ยอ่ มมีเมอื่ น้นั ขุ. อิติ. ๒๕/๒๙๖. ข.ุ มหา.๒๙/๑๘.
๘ ๒. ๑ วชิ าธรรมวจิ ารณ์ ความรู้เบื้องต้น ๑. สัทธรรมปฏิรูป คืออะไร ? เกดิ ขนึ้ จากอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : คือ สทั ธรรมชนิดท่ีปลอมหรือเทียม ไม่ใช่สทั ธรรมแท้ ฯ เกิดข้ึนจากความเห็นผดิ หรือเขา้ ใจผิดของผเู้ รียบเรียง เม่ือเรียบเรียงไปแมผ้ ดิ กห็ ารู้ ไม่ ดว้ ยเขา้ ใจวา่ ของตนถกู แลว้ ไดน้ ามาปนไวใ้ นสัทธรรมท่ีแท้ ฯ ______________________________________________________________________________ ส่วนปรมัตถปฏปิ ทา ๑. นิพพทิ า ความหน่าย ๑. นพิ พทิ า คืออะไร ? บคุ คลผ้ไู ม่ประสบลาภยศสรรเสริญสุข จงึ เบื่อหน่ายระอา อย่างนีจ้ ัดเป็ น นพิ พทิ าได้หรือไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? (๒๕๕๑) ตอบ : คอื ความหน่ายในเบญจขนั ธห์ รือในทุกขขนั ธด์ ว้ ยปัญญา ฯ จดั เป็นนิพพทิ าไมไ่ ด้ ฯ เพราะความเบ่ือหน่ายดงั ที่กล่าวน้นั เป็นความทอ้ แท้ มิใช่เป็นความหน่ายดว้ ย ปัญญา ฯ ๒. นพิ พทิ าคืออะไร ? ปฏปิ ทาเคร่ืองดาเนินให้ถงึ นิพพทิ าน้ันอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๙) ตอบ : นิพพทิ า คอื ความหน่ายในทกุ ขขนั ธ์ ฯ อยา่ งน้ีคือ พิจารณาเห็นดว้ ยปัญญาวา่ สังขารท้งั หลายท้งั ปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมท้งั หลายท้งั ปวงเป็นอนตั ตา ยอ่ มเกิดนิพพทิ า เบ่ือหน่ายในทุกขขนั ธ์ ไม่ เพลิดเพลินยดึ มนั่ หมกมุ่นอยใู่ นสังขารอนั ยวั่ ยวนเสน่หา ฯ ๓. อุทเทสว่า “สูท้ังหลายจงมาดูโลกนี้ อนั ตระการดุจราชรถท่ีพวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หา ข้องอยู่ไม่” จงวิจารณ์ว่า ตอนไหนแสดงปรมตั ถปฏปิ ทา ตอนไหนแสดงปรมตั ถ์ ตอนไหนแสดง สังสารวฏั ฏ์ ? เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ตอนที่วา่ “สูท้งั หลายจงมาดูโลกน้ี อนั ตระการดุจราชรถ” แสดงปรมตั ถปฏิปทา เพราะประสงคใ์ หด้ ูเพือ่ นิพพทิ า เป็นตน้ ตอนที่วา่ “แต่พวกผรู้ ู้หาขอ้ งอยไู่ ม”่ แสดงปรมตั ถ์ เพราะแสดงถึงความรู้ท่ีเป็นเหตุ ใหพ้ น้ จากความขอ้ งอยซู่ ่ึงเป็นปรมตั ถธรรม อนั จะพึงไดด้ ว้ ยการปฏิบตั ิในปรมตั ถ ปฏิปทาโดยลาดบั ตอนท่ีวา่ “ท่ีพวกคนเขลาหมกอย”ู่ แสดงสงั สารวฏั ฏ์ เพราะตอ้ งวนเวียนทอ่ งเที่ยว
๙ ไปดว้ ยความเขลา ฯ ๔. อุทเทสว่า “สูท้งั หลายจงมาดูโลกนี”้ โลกในที่นี้ หมายถงึ อะไร ? คนมีลกั ษณะอย่างไรช่ือว่าหมก อย่ใู นโลก ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๙) ตอบ : หมายถึง โลก โดยตรงไดแ้ ก่ แผน่ ดินเป็นท่ีอาศยั โดยออ้ มไดแ้ ก่หม่สู ัตวผ์ อู้ าศยั ฯ คนผไู้ ร้วจิ ารณญาณไม่หยงั่ เห็นโดยถอ่ งแท้ เพลิดเพลินในส่ิงอนั ใหโ้ ทษ ระเริงจน เกินพอดี ในส่ิงอนั อาจใหโ้ ทษ ติดในส่ิงอนั เป็นอปุ การะจนถอนตนไม่ออก คนมี ลกั ษณะอยา่ งน้ี ยอ่ มไดร้ ับสุขบา้ งทกุ ขบ์ า้ ง แมส้ ุขกเ็ ป็นเพยี งสามิสสุข สุขอนั มี เหยอื่ ล่อใจ เป็นเหตุใหต้ ิดดุจเหยอ่ื อนั เบด็ เก่ียวไวฉ้ ะน้นั ฯ ๕. บทอทุ เทสว่า เอถ ปสฺสถมิ โลก ซ่ึงแปลว่า สูท้งั หลายจงมาดโู ลกนี้ พระศาสดาตรัสชวนให้มาดู โลกโดยมพี ระประสงค์อย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๔) ตอบ : ทรงมีพระประสงคจ์ ะทรงปลกุ ใจพวกเราใหห้ ยง่ั เห็นซ้ึงลงไปถึงคุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์แห่งส่ิงน้นั ๆ อนั คมุ เขา้ เป็นโลก จะไดไ้ มต่ ่ืนเตน้ ไม่ติด ในสิ่งน้นั ๆ รู้จกั ละสิ่งที่เป็นโทษ ไมข่ อ้ งติดอยใู่ นส่ิงท่ีเป็นคณุ ฯ ๖. พระพทุ ธดารัสท่ีตรัสว่า “สูท้งั หลายจงมาดโู ลกนีอ้ นั ตระการดุจราชรถ” กบั ที่ตรัสกะโมฆราช ว่า “โมฆราช ท่านจงมีสติทกุ เมื่อ เลง็ เห็นโลกโดยความเป็ นของสูญ” ทรงมพี ระประสงค์ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : พระพทุ ธดารัสแรก ทรงมีพระประสงค์ จะทรงปลุกใจใหห้ ยงั่ เห็นซ้ึงลงไปถึงคุณ โทษประโยชน์มิใช่ประโยชนแ์ ห่งสิ่งน้นั ๆ อนั คมุ เขา้ เป็นโลก พระพุทธดารัสหลงั ทรงมีพระประสงคใ์ หถ้ อนอตั ตานุทิฏฐิ คือความตามเห็นวา่ เป็นอตั ตา ฯ ๗. พระพทุ ธดารัสตอนหนึ่งว่า“สูท้งั หลายจงมาดูโลกนอี้ นั ตระการดจุ ราชรถ” ดงั นี้ โดยมพี ระพทุ ธ ประสงค์อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : มีพระพทุ ธประสงคเ์ พ่อื ทรงชกั ชวนแนะนาใหด้ ูถึงคุณประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ของโลก เช่นเดียวกบั ดูละคร มิใหห้ ลงชมความสวยงามตา่ งๆ แต่ใหเ้ พ่งดูคติที่ดี และชวั่ มิใหม้ ามวั ไปตามสิ่งน้นั ดงั ตรัสตอ่ ไปอีกวา่ เป็นท่ีคนเขลาหมกอยู่ แต่ผรู้ ู้ หาขอ้ งติดไม่ ฯ ๘. ข้อว่า ผ้ใู ดจกั ระวงั จิต ผู้น้ันจกั พ้นจากบ่วงแห่งมาร ดังนี้ คาว่า มารและบ่วงแห่งมาร ได้แก่ อะไร ? เพราะเหตุไรจึงช่ืออย่างน้นั ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๓) ตอบ : คาวา่ มาร ไดแ้ ก่ กิเลสกาม อนั ทาจิตใหเ้ ศร้าหมอง ไดแ้ ก่ ตณั หา ราคะ และอรติ เป็นตน้ ช่ืออยา่ งน้นั เพราะเป็นโทษลา้ งผลาญคณุ ความดีและทาใหเ้ สียคน ฯ
๑๐ บว่ งแห่งมาร ไดแ้ ก่ วตั ถุกาม คอื รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อนั เป็นของน่าชอบ ใจ ชื่ออยา่ งน้นั เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผกู ใจใหต้ ิด ฯ ๙. การสารวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในหนังสือธรรมวิจารณ์ มวี ธิ ีปฏิบัตอิ ย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : แนะนาวธิ ีปฏิบตั ิไว้ ๓ ประการคอื ๑. สารวมอินทรียม์ ิใหค้ วามยนิ ดีครอบงา ในเม่ือเห็นรูป ฟังเสียง ดมกล่ิน ลิ้มรส ถูกตอ้ งโผฏฐพั พะ อนั น่าปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏิปักษต์ ่อกามฉนั ทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ หรืออนั ยงั จิตใหส้ ลด คือมรณสั สติ ๓. เจริญวปิ ัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขนั ธ์ สันนิษฐานเห็นเป็น สภาพไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ ๑๐. ในพหุลานุสาสนีท่ีสวดในเวลาทาวัตรเช้า ไม่มที ุกขลกั ษณะพระไตรลกั ษณ์ไม่ขาดไปข้อหนง่ึ หรืออย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๒) ตอบ : ไม่ขาด เพราะลกั ษณะท้งั ๓ น้ี เป็นธรรมธาตุ ธรรมนิยาม ธรรมฐิติ ความต้งั อยแู่ ห่ง ธรรมที่คงอยมู่ ิไดย้ กั ยา้ ย อีกประการหน่ึง บาลีวา่ ยทนิจฺจ สิ่งใดไมเ่ ท่ียง ต ทุกฺข ส่ิง น้นั เป็นทกุ ข์ ย ทุกข สิ่งใดเป็นทกุ ข์ ตทนตฺตา ส่ิงน้นั เป็นอนตั ตา มิใช่ตวั มิใช่ตน เพราะเหตนุ ้นั พหุลานุสาสนีจึงไดค้ รบลกั ษณะท้งั ๓ ฯ ๑๑. อนิจฺจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กาหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ดว้ ยความเกิดข้ึนในเบ้ืองตน้ และความสิ้นในเบ้ืองปลาย ฯ ๑๒. ลกั ษณะเช่นใดบ้าง เป็ นเครื่องกาหนดให้รู้ว่าสังขารท้งั หลายไม่เทยี่ ง ? จงอธบิ าย (๒๕๖๐) ตอบ : ๑. กาหนดรู้ในทางงา่ ย ดว้ ยความเกิดข้ึนในเบ้ืองตน้ และความสิ้นในเบ้ืองปลาย ๒. กาหนดรู้ในทางละเอียดกวา่ น้นั ดว้ ยความแปรในระหวา่ งเกิดและดบั ๓. กาหนดรู้ในทางสุขมุ ดว้ ยความแปรแห่งสังขารในชวั่ ขณะหน่ึง ๆ ไมค่ งที่อย.ู่ . นาน เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นตน้ ฯ ๑๓. ทุกขลกั ษณะ และทกุ ขานุปัสสนา เป็ นอย่างเดียวกนั หรือต่างกนั ? (๒๕๖๐) ตอบ : ต่างกนั คอื ทกุ ขลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะที่เป็นทุกขแ์ ห่งสังขาร เพราะถกู บีบค้นั จากปัจจยั ตา่ งๆ ทกุ ขานุปัสสนา ไดแ้ ก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสงั ขารวา่ เป็นทุกข์ ฯ ๑๔. ทุกขตา ความเป็ นทกุ ข์แห่งสังขารน้นั กาหนดเห็นด้วยทุกข์กห่ี มวด ? วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์ เช่นไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ๑๐ หมวด ฯ
๑๑ ไดแ้ ก่ วิปฏิสาร คือ ความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์ คือ ถกู ลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย ฯ ๑๕. ทกุ ข์ประจาสังขารกบั ทุกข์จร ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๔) ตอบ : ทกุ ขป์ ระจาสงั ขาร เป็นทุกขท์ ่ีตอ้ งมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะ หลีกเลี่ยงพน้ ไดแ้ ก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ส่วนทกุ ขจ์ รเป็นทกุ ขท์ ี่เกิดข้นึ เป็นคร้ังคราว ไดแ้ ก่ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อุปายาส ประจวบดว้ ยคนหรือส่ิงอนั ไม่เป็นท่ีรัก พรากจากคนหรือส่ิงอนั เป็นที่รัก ปรารถนาไมไ่ ดส้ มหวงั ฯ ๑๖. นพิ ทั ธทกุ ข์ กบั สหคตทกุ ข์ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : นิพทั ธ์ทกุ ข์ คือ ทกุ ขเ์ นืองนิตย์ หรือทุกขเ์ ป็นเจา้ เรือน ไดแ้ ก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ส่วนสหคตทุกข์ คอื ทุกขไ์ ปดว้ ยกนั หรือทุกขก์ ากบั กนั ไดแ้ ก่ ทุกขม์ ีเนื่องมาจากวบิ ูลผล ฯ ๑๗. สภาวทุกข์ สันตาปทุกข์ ได้แก่อะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : สภาวทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ทกุ ขป์ ระจาสังขาร คอื ชาติ ชรา มรณะ สันตาปทุกข์ ไดแ้ ก่ ความกระวนกระวายใจเพราะถูกไฟคอื กิเลสเผา ฯ ๑๘. ทกุ ขขันธ์ หรือทกุ ข์รวบยอด หมายเอาอะไร ? มีหลกั ฐานอ้างองิ ในบาลธี มั มจกั กปั ปวัตตนสูตร ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : หมายเอา สังขารคือประชุมปัญจขนั ธ์ ฯ มีหลกั ฐานอา้ งอิงวา่ สงฺขติ ฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทกุ ฺขา โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็นทกุ ข์ ฯ ๑๙. ความเป็ นอนัตตาแห่งสังขาร พงึ กาหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง (๒๕๕๑) ตอบ : ดว้ ยอาการดงั น้ี คอื ๑. ไม่อยใู่ นอานาจ หรือฝืนความปรารถนา ๒. แยง้ ต่ออตั ตา ๓. ความเป็นสภาพหาเจา้ ของมิได้ ๔. ความเป็นสภาพสูญ ฯ ๒๐. อนัตตลกั ขณสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ในพระหูสูตรน้นั พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์แห่ง วิปัสสนาญาณไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : วา่ ดว้ ยขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นอนตั ตา ฯ อานิสงส์แห่งวปิ ัสสนาญานน้นั วา่ เอว ปสฺส ภิกฺขเว สุตฺวา อริยสาวโก เป็นตน้
๑๒ ความวา่ ดูก่อนภิกษทุ ้งั หลาย อริยสาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เม่ือเห็นอยา่ งน้ี ยอ่ มหน่ายใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อหน่ายกย็ อ่ มฟอกจิตใหห้ มดจด เพราะการ ฟอกจิตใหห้ มดจดได้ จิตน้นั ก็พน้ จากอาวะท้งั ปวง เม่ือจิตพน้ พเิ ศษแลว้ กม็ ีญาณ หยงั่ รู้วา่ พน้ แลว้ และพระอริยสาวกน้นั รู้ประจกั ษว์ า่ ชาติสิ้นแลว้ พรหมจรรยค์ ือ กิจพระศาสนาไดท้ าเสร็จแลว้ กิจอื่นท่ีจะตอ้ งทาเช่นน้ีไมม่ ีอีก ฯ ๒๑. ความเป็ นอนตั ตาของสังขารพงึ กาหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : ๑. ดว้ ยไมอ่ ยใู่ นอานาจ หรือดว้ ยฝืนความปรารถนา ๒. ดว้ ยแยง้ ตอ่ อตั ตา ๓. ดว้ ยความเป็นสภาพหาเจา้ ของมิได้ ๔. ดว้ ยความเป็นสภาพสูญ คอื วา่ งหรือหายไป ฯ ๒๒. ฆนสัญญา คืออะไร ? กาหนดเหน็ สังขารอย่างไร จึงถอนสัญญาน้นั ได้ ? (๒๕๕๘) ตอบ : คอื ความจา หมายวา่ เป็นกอ้ นไดแ้ ก่ ความถือโดยนิมิตวา่ เรา วา่ เขา วา่ ผูน้ ้นั วา่ ผนู้ ้ี ฯ ดว้ ยการพิจารณากาหนดเห็นสงั ขารกระจายเป็นส่วนยอ่ ย ๆ จากฆนะ คอื กอ้ นจน เห็นสังขารเป็นสภาพวา่ ง ฯ ๒๓. การกาหนดรู้ความเป็ นอนตั ตาแห่งสังขารด้วยความเป็ นสภาพสูญน้นั คือ รู้อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : คือ รู้จกั พิจารณากาหนดเห็นสงั ขารกระจายเป็นส่วนยอ่ ยๆ จากฆนคอื กอ้ น จนเป็น ความวา่ ง ถอนฆนสัญญาความสาคญั หมายวา่ เป็นกอ้ น อนั ไดแ้ ก่ ความถือเอาโดย นิมิตวา่ เรา วา่ เขา วา่ ผนู้ ้นั วา่ ผนู้ ้ี เสียได้ ฯ ๒๔. การพจิ ารณาเห็นสังขารเป็ นอนตั ตาโดยมโี ยนโิ สมนสิการกากบั จะไม่กลายเป็ นนตั ถกิ ทิฏฐิ เพราะกาหนดรู้ถึงธรรม ๒ ประการ ธรรมท้ัง ๒ นี้ ได้แก่อะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : ไดแ้ ก่ สมมติสจั จะ จริงโดยสมมติ และ ปรมตั ถสัจจะ จริงโดยปรมตั ถ์ ฯ ______________________________________________________________________________ ๒. วิราคะ ความสิ้นกาหนดั ๑. ตัณหา เมื่อเกดิ ขนึ้ ย่อมเกดิ ท่ไี หนและเม่ือดบั ย่อมดับทีไ่ หน ? ตัณหาน้นั ย่อมสิ้นไปเพราะธรรม อะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : เม่ือเกิดข้ึนยอ่ มเกิดในส่ืงเป็นท่ีรักที่ยนิ ดีในโลก เม่ือดบั ยอ่ มดบั ในส่ิงที่เป็นท่ีรักที่ ยนิ ดีในโลกฯ เพราะวิราคะ คอื พระนิพพาน ฯ ๒. ความอยากท่เี ข้าลกั ษณะเป็ นตัณหาและไม่เป็ นตณั หาน้นั ได้แก่ ความอยาก เช่นไร ? เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๕)
๑๓ ตอบ : ความอยากท่ีเขา้ ลกั ษณะทาใหเ้ กิดในภพอีก ประกอบดว้ ยความกาหนดั ดว้ ยอานาจ ความยนิ ดีเพลิดเพลินในอารมณ์น้นั ๆ อยา่ งน้ีจดั เป็นตณั หา เพราะเป็นทกุ ขสมุทยั เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด ส่วนความอยากท่ีมีอยู่โดยปกติ ธรรมดาของคนทุกคน แมก้ ระทง่ั พระอริยเจา้ เช่น . ความอยากขา้ ว อยากน้า เป็นตน้ ไม่จดั วา่ เป็นตณั หา เพราะเป็นความอยากท่ีเป็นไป ตามธรรมดาของสงั ขาร ฯ ๓. วริ าคะ ได้แก่อะไร ? คาว่า “วฏฺ ฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตดั เสียซึ่งวัฏฏะ” มอี ธบิ ายว่าอย่างไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๙) ตอบ : ไดแ้ ก่ ความสิ้นกาหนดั ฯ อธิบายวา่ วฏั ฏะ หมายถึง ความเวยี นวา่ ยตายเกิดดว้ ยอานาจกิเลสกรรมและวบิ าก วริ าคะเขา้ ไปตดั ความเวียนวา่ ยตายเกิดน้นั จึงเรียกวา่ วฏฺฏูปจฺเฉโท ธรรมเขา้ ไปตดั เสียซ่ึงวฏั ฏะ ฯ ตดั ขาดไดโ้ ดยการละกิเลสอนั เป็นเบ้ืองตน้ เสีย ฯ ๔. วริ าคะในพระบาลวี ่า “วริ าโค เสฏฺ โฐ ธมฺมาน วริ าคะประเสริฐกว่าธรรมท้งั หลาย” และในพระ บาลวี ่า “วิราคาวมิ ุจฺจติ เพราะสิ้นกาหนดั ย่อมหลุดพ้น” ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : วริ าคะในพระบาลีแรกเป็นไวพจนค์ อื คาแทนช่ือพระนิพพาน วิราคะ ในพระบาลี หลงั เป็นช่ือของพระอริยมรรค ฯ ๕. ไวพจน์แห่งวริ าคะว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง ความเมาในที่นี้ หมายถึง ความเมา ในอะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๘) ตอบ : หมายถึง ความเมาในอารมณ์อนั ยวั่ ยวนใหเ้ กิดความเมาทุกประการ เช่น ความถึง พร้อมแห่งชาติ สกุล อิสริยะ และบริวาร หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความ เยาวว์ ยั ความหาโรคมิได้ และชีวิต ฯ ๖. ในสัญญา ๑๐ ทรงแสดงถึงการให้พิจารณาพระนพิ พานว่า เป็ นธรรมทส่ี ารอกกเิ ลส และว่า เป็ น ธรรมเป็ นที่ดบั สนทิ จัดเป็ นสัญญา ข้อไหนบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : พจิ ารณาพระนิพพานวา่ เป็นธรรมท่ีสารอกกิเลส จดั เป็นวิราคสญั ญา พิจารณาพระนิพพานวา่ เป็นธรรมเป็นที่ดบั สนิท จดั เป็นนิโรธสัญญา ฯ ๗. คาว่า วฏฺ ฏ ในคาว่า “วฏฺ ฏูปจฺเฉโท” หมายถึงอะไร ? วฏฺ ฏ น้ันชื่อว่าขาดสายด้วยอาการอย่างไร (๒๕๕๖) ตอบ : หมายถึง ความเวียนเกิด ดว้ ยอานาจกิเลส กรรม วบิ าก ฯ วฏฺฏ น้นั ชื่อวา่ ขาดสายดว้ ยอาการท่ีละกิเลสอนั เป็นเบ้ืองตน้ เสีย ฯ
๑๔ ______________________________________________________________________________ ๓. วิมุตติ ความหลุดพ้น ๑. บาลอี ุทเทสว่า วมิ ตุ ฺตสฺมึ วิมตุ ฺตมิติ ญาณ โหติ แปลว่า เม่ือหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุด พ้นแล้ว ย่อมมี ใครเป็ นผู้หลุดพ้น ? และหลุดพ้นจากอะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๑) ตอบ : จิตเป็นผหู้ ลดุ พน้ ฯ พน้ จากอาสวะ ๓ ฯ ๒. วิมตุ ติ ความหลดุ พ้นน้นั ตัวหลุดพ้นคืออะไร ? หลดุ พ้นจากอะไร ? ตวั รู้ว่าหลดุ พ้นคืออะไร ? จงอ้างหลกั ฐานประกอบด้วย (๒๕๕๓) ตอบ : ตวั หลุดพน้ คือจิต ฯ หลุดพน้ จากอาสวะท้งั หลาย ตามพระบาลีวา่ กามาสวาปิ จิตฺต วิมุจฺจิตฺถ ภวาสวาปิ จิตฺต วิมจุ ฺจิตฺถ อวชิ ฺชาสวาปิ จิตฺต วิมจุ ฺจิตฺถ จิตหลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเน่ืองดว้ ยกาม จิตหลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเน่ืองดว้ ยภพ จิตหลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเนื่องดว้ ยอวชิ ชา ฯ ญาณเป็นตวั รู้ ตามพระบาลีวา่ วิมุตฺตสฺมึ วิมตุ ฺตมิติ ญาณ โหติ เม่ือหลดุ พน้ แลว้ ญาณวา่ หลดุ พน้ แลว้ ยอ่ มมี ฯ ๓. ในวมิ ุตติ ๕ วิมุตตใิ ดจัดเข้าใน อริยมรรค อริยผล นิพพาน ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๔) ตอบ : สมจุ เฉทวิมุตติ จดั เขา้ ในอริยมรรค ปฏิปัสสัทธิวมิ ุตติ จดั เขา้ ในอริยผล นิสสรณ วิมตุ ติ จดั เขา้ ในนิพพาน ฯ ๔. ความหลุดพ้นอย่างไรเป็ นสมจุ เฉทวิมุตติ ? จัดเป็ นโลกยิ ะหรือโลกุตตระ ? (๒๕๕๙) ตอบ : ความหลุดพน้ ดว้ ยการตดั กิเลสไดเ้ ดด็ ขาด ไดแ้ ก่ อริยมรรค ฯ จดั เป็นโลกุตตระ ฯ ๕. วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็ นโลกยิ ะ อย่างไหนเป็ นโลกตุ ตระ ? (๒๕๖๒) ตอบ : ตทงั ควมิ ตุ ติ วิกขมั ภนวมิ ตุ ติ เป็นโลกิยะ สมจุ เฉทวมิ ุตติ ปฏิปัสสัทธิวมิ ตุ ติ นิสสรณวมิ ุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ. ๖. ความเช่ือว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง ทาการอ้อนวอนและบวงสรวงเป็ นอาทิ จัดเข้าในอาสวะข้อไหน ? (๒๕๕๖) ตอบ :จดั เขา้ ใน อวิชชาสวะ ฯ ______________________________________________________________________________ ๔. วสิ ุทธิ ความหมดจด ๑. ลทั ธบิ างอย่างมหี ลกั การว่า ทาบาปแล้วบริสุทธ์ิหมดจดได้ด้วยการอาบน้า ด้วยการบวงสรวง ด้วย การสวดอ้อนวอน เป็ นต้น ในฝ่ ายพระพทุ ธศาสนากล่าวถึงเรื่องนีว้ ่าอย่างไร ? จงอ้างหลกั ฐาน
๑๕ (๒๕๕๒) ตอบ : พระพุทธศาสนามีหลกั วา่ บุคคลทาบาปเอง ยอ่ มเศร้าหมองเอง ไม่ทาบาปเอง ยอ่ ม บริสุทธ์ิหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตวั ผอู้ ื่นทา ผอู้ ่ืนใหห้ มดจดหรือเศร้าหมองไมไ่ ด้ ความบริสุทธ์ิภายในยอ่ มมีดว้ ยปัญญา ฯ มี พระบาลีแสดงไวว้ า่ ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลยอ่ มบริสุทธ์ิไดด้ ว้ ยปัญญา และวา่ อตฺตานา ว กต ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ อตฺตนา อกต ปาป อตฺตนา ว วสิ ุชฺฌติ สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺต นาญฺโญ อญฺญ วิโสธเย แปลวา่ ทาบาปเองยอ่ มเศร้าหมองเอง ไมท่ าบาปเองยอ่ มหมดจดเอง ความหมดจด และความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยงั คนอ่ืนใหห้ มดจดหาไดไ้ ม่ ฯ ๒. พระบาลวี ่า “ปญญฺ าย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา” มอี ธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : มีอธิบายวา่ ผพู้ จิ ารณาเห็นดว้ ยปัญญาวา่ สงั ขารไมเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา เกิด ความเบ่ือหน่ายแลว้ วางเฉยในสังขารน้นั ไม่ยนิ ดียนิ ร้าย ไดบ้ รรลุอริยมรรคอริยผล ความหมดจดยอ่ มเกิดข้ึนดว้ ยปัญญาอยา่ งน้ี ฯ ๓. จงจัดมรรค ๘ เข้าในวสิ ุทธิ ๗ มาดู (๒๕๖๐, ๒๕๕๔) ตอบ : สัมมาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ จดั เขา้ ในสีลวิสุทธิ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ จดั เขา้ ในจิตตวสิ ุทธิ สมั มาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ จดั เขา้ ใน ทิฏฐิวสิ ุทธิ กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ มคั คามคั ค ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ฯ ๔. วสิ ุทธิ ๗ แต่ละอย่างๆ จัดเข้าในไตรสิกขาได้อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : สีลวสิ ุทธิ จดั เขา้ ในสีลสิกขา จิตตวิสุทธิ จดั เขา้ ในจิตตสิกขา ทิฏฐิวสิ ุทธิ กงั ขาวิตรณวิสุทธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวิ สุทธิ ญาณทสั สนวิสุทธิ จดั เขา้ ในปัญญาสิกขา ฯ ๕. จงสงเคราะห์มรรคมีองค์ ๘ เข้าในวิสุทธิ ๗ มาดู ฯ (๒๕๕๘) ตอบ : สัมมาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ จดั เขา้ ในสีลวิสุทธิ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ จดั เขา้ ในจิตตวสิ ุทธิ สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ จดั เขา้ ในทิฏฐิวสิ ุทธิ กงั ขาวิตรณวิสุทธิ มคั คามคั ค ญาณทสั สนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ ญาณทสั สนวิสุทธิ ฯ
๑๖ ๖. ในวสิ ุทธิ ๗ วิสุทธขิ ้อไหนบ้าง เป็ นเหตุให้เกดิ ขึน้ และต้ังอย่แู ห่งวปิ ัสสนา ? เพราะเหตไุ ร ? จงอธบิ าย (๒๕๕๙) ตอบ : ขอ้ สีลวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิแห่งศีล และจิตตวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิแห่งจิตเป็นเหตุ ใหเ้ กิดข้นึ และต้งั อยแู่ ห่งวิปัสสนา ฯ เพราะผมู้ ีศีลไม่บริสุทธ์ิ จิตยอ่ มไมส่ งบ เม่ือจิตไม่สงบกย็ ากที่จะเจริญวปิ ัสสนา ฯ ๗. ปัญหาว่าตายแล้วเกดิ หรือตายแล้วสูญจะหมดไปได้ เมื่อเจริญวปิ ัสสนาได้ช้ันไหนแล้ว ? เพราะ ได้พจิ ารณาเห็นอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ช้นั กงั ขาวิตรณวิสุทธิ ฯ เพราะไดพ้ จิ ารณากาหนดรู้จริงเห็นจริงซ่ึงนามรูปท้งั เหตุ ท้งั ปัจจยั ขา้ มล่วงกงั ขาในกาลท้งั ๓ เสียได้ ไมส่ งสัยวา่ เราจุติมาจากไหน เราเป็น อะไร เราจะไปเกิดที่ไหน เป็นตน้ ฯ ๘. ธรรมอะไรพระพทุ ธเจ้าตรัสว่าเป็ นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๙) ตอบ : อฏั ฐงั คกิ มรรคเป็นยอดแห่งสงั ขตธรรม ฯ เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอฏั ฐงั คิกมรรค ก็เป็นธรรมดี ๆ รวมกนั เขา้ ท้งั ๘ ยอ่ มเป็นธรรมดียง่ิ นกั และเป็นทางเดียวนาไปถึงความดบั ทุกขห์ รือถึงความหมด จดแห่งทสั สนะ ฯ ______________________________________________________________________________ ๕. สันติ ความสงบ ๑. บาลแี สดงปฏิปทาแห่งสันติว่า“โลกามสิ ปชเห สนฺติเปกโฺ ข” แปลว่า ผู้เพ่งความสงบพงึ ละอามสิ ในโลกเสีย ดงั นี้ คาว่าอามิสในโลก หมายถงึ อะไร ? ที่เรียกอย่างน้นั เพราะเหตไุ ร ? และละอามสิ เหล่าน้นั ได้ด้วยวธิ ีใด ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๑, ๒๕๕๕) ตอบ : หมายถึง กามคุณ คือ ๕ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อนั น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจฯ ท่ีเรียกอยา่ งน้นั เพราะเป็นเคร่ืองล่อใจใหต้ ิดในโลก ดุจเหยอื่ อนั เบด็ เก่ียวอยู่ ฉะน้นั ฯ ละไดด้ ว้ ยการทาใจมิใหต้ ิดในส่ิงเหลา่ น้นั ฯ ๒. สันติ ความสงบ เป็ นโลกยิ ะหรือโลกตุ ตระ ? จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ (๒๕๖๐, ๒๕๕๓) ตอบ : เป็นไดท้ ้งั โลกิยะและโลกตุ ตระ ฯ ท่ีเป็นโลกิยะไดใ้ นบาลีวา่ น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส บคุ คลยอ่ มถึงความสงบแห่งจิต ดว้ ยร้องไห้ ดว้ ยเศร้าโศกกห็ าไม่ ท่ีเป็นโลกตุ ตระไดใ้ นบาลีวา่ โลกามิส ปชเห สนฺติเปกฺโข ผเู้ พ่งสนั ติพงึ ละโลกามิสเสีย ฯ
๑๗ ๓. สันติ ความสงบ เกดิ ขึน้ ท่ีใด ? มปี ฏปิ ทาทจ่ี ะดาเนินอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : เกิดข้ึนท่ีกาย วาจา ใจ ฯ มีปฏิปทาท่ีจะดาเนิน คอื ปฏิบตั ิกาย ว าจา ใจ ให้สงบจากโทษเวรภยั ดว้ ยการละ โลกามิสคอื กามคุณ ๕ ฯ ______________________________________________________________________________ ๖. นพิ พาน ความดบั ทุกข์ ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน กบั อนุปาทิเสสนพิ พาน ต่างกนั อย่างไร ? พระบาลวี ่า เตส วูปสโม สุโข ความ เข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่าน้ัน เป็ นสุข จัดเป็ นนพิ พานชนิดใด ? (๒๕๕๑) ตอบ : ตา่ งกนั คอื สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดบั กิเลสที่ยงั มีเบญจขนั ธ์เหลือ ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดบั กิเลสท่ีไมม่ ีเบญจขนั ธเ์ หลือ ฯ เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ฯ ๒. คาว่า อปุ าทิ ในคาว่า สอปุ าทเิ สสนพิ พาน หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : หมายถึงขนั ธ์ ๕ (ขนั ธปัญจก) ฯ ๓. พระบาลวี ่า สิญจฺ ภกิ ขฺ ุ อมิ นาว แปลว่า ภกิ ษุ เธอจงวดิ เรือนี้ คาว่า เรือ และคาว่า วดิ ในทนี่ ี้ หมายถงึ อะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : เรือ หมายถึง อตั ภาพร่างกาย วดิ หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสียใหบ้ างเบา จนขจดั ไดข้ าด ฯ ๔. พระศาสดาทรงสอนภิกษโุ ดยยกเอาเรือมาเป็ นอุปมาว่า สิญจฺ ภกิ ขฺ ุ อมิ นาวสิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ แปลว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรืออนั เธอวดิ แล้วจกั พลนั ถงึ มอี ธิบายโดยย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีอธิบายโดยยอ่ วา่ เรือ หมายถึงอตั ภาพ วิดเรือ คือวิดน้าที่รั่วเขา้ ในเรือ ซ่ึงหมายถึงการบรรเทากิเลสและบาปธรรม ท่ีไหล เขา้ มาท่วมทบั จิตใจ ใหบ้ างเบา จนขจดั ไดข้ าด เม่ืออตั ภาพน้ีเบาก็จกั ปฏิบตั ิเพือ่ ไปสู่พระนิพพาน ไดเ้ ร็ว ฯ ๕. พระบาลวี ่า “สพฺพูปธปิ ฏินิสฺสคฺโค ธรรมเป็ นท่ีสละอปุ ธทิ ้งั ปวง” ในคานี้ อปุ ธิ เป็ นชื่อของอะไร ได้บ้าง ? แต่ละอย่างมอี ธบิ ายว่าอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : เป็นชื่อของกิเลสและปัญจขนั ธ์ ฯ ที่เป็นชื่อของกิเลส มีอธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคอื เขา้ ครอง ท่ีเป็นช่ือแห่งปัญจขนั ธ์ มีอธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคือหอบไวซ้ ่ึงทกุ ข์ ฯ ๖. ข้อความว่า ปลงภาระอนั หนกั เสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอนั อื่น ดงั นี้ มีอธิบายอย่างไร? (๒๕๖๑, ๒๕๕๒)
๑๘ ตอบ : อธิบายวา่ ภาระ หมายเอาเบญจขนั ธ์ การปลงภาระหมายเอาการถอนอปุ าทาน การ ไมถ่ ือเอาภาระอื่น หมายเอาการไม่ถือเบญจขนั ธ์อ่ืนดว้ ยอุปาทาน ฯ ๗. พระบาลวี ่า “นกิ ฺขปิ ิ ตฺวา ครุง ภาร อญญฺ ภาร อนาทยิ ปลงภาระอนั หนกั เสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระ อนั อื่น” ถามว่า “ภาระ” “การไม่ถือเอาภาระ” “การปลงภาระ” ได้แก่อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ภาระ ไดแ้ ก่ เบญจขนั ธ์ ฯ การไม่ถือเอาภาระ ไดแ้ ก่ การไมถ่ ือเอาเบญจขนั ธด์ ว้ ยอปุ าทาน ฯ การปลงภาระ ไดแ้ ก่การถอนอุปาทานในเบญจขนั ธ์ ฯ ๘. คณุ ของพระธรรมส่วนปริยตั ิ ปฏิบัติ และปฏิเวธ โดยย่อว่าอย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๖) ตอบ : ภาระ ไดแ้ ก่ เบญจขนั ธ์ ฯ การไม่ถือเอาภาระ ไดแ้ ก่ การไมถ่ ือเอาเบญจขนั ธ์ดว้ ยอปุ าทาน ฯ การปลงภาระ ไดแ้ ก่ การถอนอุปาทานในเบญจขนั ธ์ ฯ ______________________________________________________________________________ ส่วนสังสารวฏั ๑. คติ ๑. คติ คืออะไร ? สัตวโลกท่ีตายไป มคี ติเป็ นอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๙) ตอบ : คือ ภมู ิหรือภพเป็นท่ีไปหลงั จากตายแลว้ ฯ มีคติเป็น ๒ คือ ๑. ทคุ ติ ภมู ิเป็นท่ีไปขา้ งชว่ั ซ่ึงเกิดจากการประพฤติทจุ ริตทางกายวาจาใจ ๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปขา้ งดี ซ่ึงเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ฯ ๒. ในส่วนสังสารวัฏ สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็ นอย่างไร ? จงอ้างบาลปี ระกอบ (๒๕๕๑) ตอบ : มีคติเป็น ๒ คือ สุคติ มีบาลีวา่ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา และ ทคุ ติ มีบาลีวา่ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงฺขา ฯ ๓. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็ นอย่างไร ? มพี ระบาลแี สดงไว้อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๒) ตอบ : มีคติเป็น ๒ คอื สุคติและทุคติ ฯ มีพระบาลีแสดงไวว้ า่ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไมเ่ ศร้าหมองแลว้ สุคติเป็นอนั หวงั ได้ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงฺขา เม่ือจิตเศร้าหมองแลว้ ทคุ ติเป็นอนั ตอ้ งหวงั ฯ ๔. คาว่า สุคติ ในพระบาลวี ่า จติ ฺเต อสงฺกลิ ฏิ ฺ เฐ สุคติ ปาฏิกงฺขาคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : คือ ภูมิเป็นที่ไปขา้ งดี ฯ มี เทวะ ๑ มนุษย์ ๑ หรือ สุคติ ๑โลกสวรรค์ ๑ ฯ
๑๙ ๕. ในพระบาลวี ่า \"จติ ฺเต สงกฺ ลิ ฏิ ฺ เฐ ทคุ ฺคติ ปาฏกิ งฺขา เม่ือใจเศร้า หมอง ต้องประสบทุคต\"ิ ทคุ ติ คือ อะไร ? มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : คอื ภูมิเป็นท่ีไปขา้ งชว่ั ฯ มี อบาย ทุคติ วินิบาต นรก (ตามนยั อรรถกถา มี ๔ คอื นรก สตั วเ์ ดรัจฉาน เปรต อสุรกาย) ฯ ๖. อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็ น ๔ อย่าง อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : คือ โลกที่ปราศจากความเจริญ ฯ มีนิรยะ ติรัจฉานโยนิ ปิ ตติวสิ ยะ อสุรกาย ฯ ______________________________________________________________________________ ๒. หวั ใจสมถกมั มฏั ฐาน ๑. สมถกมั มัฏฐาน กบั วิปัสสนากมั มัฏฐาน ต่างกนั อย่างไร ? หัวใจสมถกมั มฏั ฐานมีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๗) ตอบ : สมถกมั มฏั ฐาน คือกมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเครื่องสงบใจ วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน คือกมั มฏั ฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ มีกายาคตาสติ เมตตา พทุ ธานุสสติ กสิณ และจตุธาตวุ วตั ถาน ฯ ๒. ผ้เู จริญเมตตาเป็ นประจา ย่อมได้รับอานสิ งส์อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : ไดร้ ับอานิสงส์อยา่ งน้ี ๑. หลบั อยกู่ เ็ ป็นสุข ๒. ตื่นอยกู่ ็เป็นสุข ๓. ไม่ฝันเห็นส่ิงลามก ๔. เป็นท่ีรักของมนุษยท์ ้งั หลาย ๕. เป็นท่ีรักของอมนุษยท์ ้งั หลาย ๖. เทวดาท้งั หลายยอ่ มรักษา ๗. ไฟไม่ไหม้ พษิ หรือศสั ตราวุธท้งั หลายไมอ่ าจประทษุ ร้าย ๘. จิตยอ่ มต้งั มน่ั ไดเ้ ร็วพลนั ๙. ผิวพรรณยอ่ มผอ่ งใสงดงาม ๑๐. ไม่หลงทากาลกิริยา คอื เม่ือจะตายยอ่ มไดส้ ติ ๑๑. เม่ือตายแลว้ แมเ้ กิดอีก ก็ยอ่ มเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถา้ ไมเ่ สื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ ๓. นวิ รณ์ คืออะไร ? เม่ือจติ ถูกนิวรณ์น้ัน ๆ ครอบงาควรใช้กมั มฏั ฐานบทใดเป็ นเครื่องแก้ ? (๒๕๕๓)
๒๐ ตอบ : คือ ธรรมอนั ก้นั จิตไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี ฯ กามฉนั ท์ ใช้ อสุภกมั มฏั ฐาน หรือกายคตาสติเป็นเครื่องแก้ พยาบาท ใช้ เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร ๓ ขอ้ ตน้ เป็นเคร่ืองแก้ ถีนมิทธะ ใช้ อนุสสติกมั มฏั ฐานเป็นเครื่องแก้ อทุ ธจั จกกุ กุจจะ ใช้ กสิณหรือมรณสั สติเป็นเครื่องแก้ วจิ ิกิจฉา ใช้ ธาตุกมั มฏั ฐานหรือวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานเป็นเครื่องแก้ ฯ ๔. จงแสดงวิธีเจริญมทุ ิตา พร้อมท้งั อานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็ นตวั อย่าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : วิธีเจริญมทุ ิตาน้นั ดงั น้ี เมื่อไดเ้ ห็นหรือไดย้ นิ มนุษยห์ รือสตั ว์ เป็นอยสู่ ุขสบาย เจริญรุ่งเรืองดว้ ยสุขสมบตั ิ พงึ ทาจิตใจใหช้ ่ืนชมยนิ ดีแลว้ แผม่ ุทิตาจิตไปวา่ สตั วผ์ ู้ น้ีหนอบริบรู ณ์ยงิ่ นกั มีสุขสมบตั ิมาก จงเจริญยง่ั ยนื ดว้ ยสุขสมบตั ิยงิ่ ๆ เถิด เม่ือ เจริญอยเู่ นือง ๆ ยอ่ มไดร้ ับผลดีคือ จะละความริษยาในสมบตั ิของผอู้ ื่นได้ ฯ ๕. กมั มฏั ฐานต่อไปนี้ คือ กสิณ จตธุ าตุววตั ถานะ พทุ ธานุสสติ เป็ นที่สบายแก่คนผ้มู ักถูกนิวรณ์ข้อ ใดครอบงา ? (๒๕๕๔) ตอบ : กสิณ เป็นที่สบายแก่คนผมู้ กั ถกู อุทธจั จกุกกุจจะครอบงา จตุธาตุววตั ถานะ เป็นที่สบายแก่คนผมู้ กั ถูกวิจิกิจฉาครอบงา พทุ ธานุสสติ เป็นที่สบายแก่คนผมู้ กั ถูกถีนมิทธะครอบงา ฯ ๖. ปฐมฌาณ ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : ดว้ ยองค์ ๕ ฯ คอื วติ ก วิจาร ปี ติ สุข เอกคั คตา ฯ ______________________________________________________________________________ ๓. สมถกมั มัฏฐาน ๑. อารมณ์ของสติปัฏฐานมอี ะไรบ้าง ? ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานพงึ มคี ณุ สมบตั อิ ะไรบ้าง (๒๕๖๒, ๒๕๕๑) ตอบ : มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ พึงมี ๑. อาตาปี มีความเพยี รเผากิเลส ๒. สมั ปชาโน มีสมั ปชญั ญะ ๓. สติมา มีสติ ฯ ๒. กมั มฏั ฐานทพ่ี ระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้บรรพชาอปุ สมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสาน้ัน จัดเข้าในสตปิ ัฏฐานข้อใด ? ให้พจิ ารณาอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : จดั เขา้ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ ใหพ้ ิจารณานอ้ มใจใหเ้ ห็นเป็นของน่าเกลียดท้งั ในกายตน ท้งั ในกาย ผอู้ ่ืนฯ
๒๑ ๓. ในนวสีวถกิ าปัพพะ เมื่อเหน็ ซากศพชนิดใดชนดิ หนึ่งใน ๙ ชนิดน้นั พงึ ภาวนาอย่างไร? (๒๕๕๖) ตอบ : พึงภาวนาโดยการนอ้ มเขา้ มาสู่กายน้ีนี่แลวา่ อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอนั น้ีเลา่ เอวธมฺโม กม็ ีอยา่ งน้ีเป็นธรรมดา เอวภาวี จกั เป็นอยา่ งน้ี เอว อนตีโต ไม่ลว่ งความ เป็นอยา่ งน้ีไปได้ ฯ ๔. กายคตาสตกิ มั มัฏฐานกบั อสุภกมั มัฏฐาน มีอารมณ์ต่างกนั อย่างไร ? แก้นวิ รณ์ข้อใดได้ ? (๒๕๕๕) ตอบ : กายคตาสติกมั มฏั ฐาน มีอาการ ๓๒ ในร่างกายเป็นอารมณ์ อสุภกมั มฏั ฐาน มีซากศพเป็นอารมณ์ แกก้ ามฉนั ทนิวรณ์ ฯ ๕. เจริญมรณัสสตอิ ย่างไรจึงแยบคาย บรรเทาความเมาในชีวติ ไม่ติดในโลกธรรม ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : เจริญพร้อมดว้ ยองค์ ๓ คอื ๑. สติ ระลึกถึงความตาย ๒. ญาณ รู้วา่ ความตายจกั มีแก่ตน ๓. เกิดสงั เวชสลดใจ ฯ ๖. จตุธาตวุ วตั ถานกมั มฏั ฐาน คืออะไร? ผู้เจริญกมั มฏั ฐานนีจ้ ะพงึ กาหนดพจิ ารณาอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : คอื ความกาหนดหมายซ่ึงธาตุ ๔ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ ฯ พงึ กาหนดพจิ ารณาท้งั กายตนเองและกายผอู้ ื่นใหเ้ ห็นเป็นแตส่ กั วา่ ธาตุ และพึง กาหนดใหร้ ู้จกั ธาตุภายในภายนอกใหเ้ ห็นเป็นแต่สกั วา่ ธาตไุ ปหมดท้งั โลกไมใ่ ช่ สตั วไ์ มใ่ ช่บุคคล ฯ ๗. บรรดาอาการ ๓๒ ประการน้นั ส่วนท่ีเป็ นอาโปธาตมุ อี ะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : มีดี เสมหะ น้าเหลือง เลือด เหง่ือ มนั ขน้ น้าตา มนั เหลว น้าลาย น้ามูก ไขขอ้ มูตร ฯ ๘. คนวติ กจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนคี้ วรเจริญกมั มัฏฐานบทใด ? (๒๕๖๑) ตอบ : ชอบคดิ มาก ฟุ้งซ่าน ฯ ควรเจริญอานาปานสั สติกมั มฏั ฐาน ฯ ๙. จริต คืออะไร ? เพราะเหตใุ ดจึงต้องเจริญกมั มัฏฐานให้เหมาะกบั จริตของตน ? (๒๕๕๑) ตอบ : คอื ความประพฤติเป็นปกติของบุคคล ฯ เพราะ กมั มฏั ฐานแตล่ ะอยา่ งก็เป็นท่ีสบายของคนแตล่ ะจริต ถา้ เจริญไม่เหมาะกบั จริต กรรมฐานก็จะสาเร็จไดโ้ ดยยาก ฯ
๒๒ ๑๐. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ มีนมิ ติ และภาวนากอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : มีนิมิต ๓ คอื บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต และมีภาวนา ๓ คอื บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา และอปั ปนาภาวนา ฯ ๑๑. พระโยคาวจรสาเร็จปฐมฌานแล้ว ควรกระทาให้ชานาญด้วยวสีท้งั ๕ ก่อนทจ่ี ะเจริญทตุ ิยญาน ต่อไป เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒) ตอบ : เพราะไมช่ านาญในปฐมฌานแลว้ เม่ือเจริญทุติยญานตอ่ ข้นึ ไปก็จะเส่ือมจาก ปฐมฌานและทุติยญานท้งั ๒ ฝ่าย ฯ ______________________________________________________________________________ ๔. พุทธคุณกถา ๑. จงแสดงพระพุทธคุณ ๙ โดยอตั ตสมบตั ิและปรหิตปฏบิ ัติ พอได้ใจความ ? (๒๕๕๕) ตอบ : พระพุทธคณุ คอื อรห สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวทิ ู เป็น พระพทุ ธคุณ ส่วนอตั ตสมบตั ิ พระพทุ ธคณุ คอื อนุตฺตโร ปรุ ิสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน เป็นพระพุทธคณุ ส่วนปรหิตปฏิบตั ิ พระพทุ ธคุณ คอื พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคณุ ท้งั อตั ตสมบตั ิและปรหิตสมบตั ิฯ ๒. ในพระพทุ ธคณุ ๙ ประการน้ัน ส่วนไหนเป็ นเหตุ ส่วนไหนเป็ นผล ? เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๙) ตอบ : พระพทุ ธคุณ ส่วนอตั ตสมบตั ิ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบตั ิ เป็นผล ฯ เพราะทรงบริบูรณ์ดว้ ยพระพทุ ธคณุ ส่วนอตั ตสมบตั ิก่อน แลว้ จึงทรงบาเพญ็ พุทธ กิจใหส้ าเร็จประโยชนแ์ ก่เวไนย ฯ ______________________________________________________________________________ ๕. วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ๑. ปัจจบุ นั มีการเจริญวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานกนั มาก อยากทราบว่า อารมณ์ของวปิ ัสสนากมั มัฏฐาน คืออะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : คือสังขารท้งั หลาย ท้งั ที่เป็นอุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ (หรือ ธรรมใน วิปัสสนาภมู ิ คอื ขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นตน้ ) ฯ ๒. ปัญญารู้เห็นอย่างไร ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา? (๒๕๕๕) ตอบ : ปัญญาอนั เห็นตามเป็นจริง คือ กาหนดรู้สังขารโดยความเป็นของไมเ่ ที่ยง ๑ โดย ความเป็นทกุ ข์ ๑ โดยความเป็นอนตั ตา ๑ ถอนความถือมนั่ ดว้ ยอานาจตณั หา มานะ ทิฏฐิเสียได้ ช่ือวา่ วปิ ัสสนาปัญญา ฯ
๒๓ ๓. ผู้จะเจริญวปิ ัสสนาภาวนา พงึ ศึกษาให้รู้จกั ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : คือ ๑. ธรรมเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวปิ ัสสนาน้นั (มีขนั ธ์ ๕ เป็นตน้ ) ๒. ธรรมเป็นรากเหงา้ เป็นเหตุเกิดข้นึ ต้งั อยขู่ องวิปัสสนาน้นั (คือสีลวสิ ุทธิและจิตตวิสุทธิ) ๓. ตวั คือ วิปัสสนาน้นั (คอื วิสุทธิ ๕ ท่ีเหลือ) ฯ ๔. ท่านว่า ผ้ทู ี่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา พงึ รู้ฐานะ ๖ ก่อน ฐานะ ๖ น้นั มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : มี ๑. อนิจจะ ของไมเ่ ท่ียง ๒. อนิจจลกั ขณะ เครื่องหมายที่จะใหก้ าหนดรู้วา่ ไมเ่ ท่ียง ๓. ทกุ ขะ ของสัตวท์ นไดย้ าก ๔. ทุกขลกั ขณะ เคร่ืองหมายที่จะให้กาหนดรู้วา่ เป็นทุกข์ ๕. อนตั ตา ส่ิงสภาพไม่ใช่ตวั ตน ๖. อนตั ตลกั ขณะ เคร่ืองหมายท่ีจะกาหนดรู้วา่ เป็นอนตั ตา ฯ ๕. ในอนัตตลกั ขณสูตร พระศาสดาทรงยกธรรมอะไรขึน้ แสดงว่าเป็ นอนตั ตา ? และในตอนท้าย ของพระสูตร ทรงแสดงอานสิ งส์แห่งวปิ ัสสนาว่าอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ทรงยก ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ข้นึ แสดง ฯ ทรงแสดงไวว้ า่ เอวปสฺสภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นตน้ ความวา่ ดูก่อนภิกษุ ท้งั หลาย อริยสาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เมื่อเห็นอยา่ งน้ี ยอ่ มเบื่อหน่าย ยอ่ มฟอกจิตให้ หมดจด เพราะการฟอกจิตใหห้ มดจดได้ จิตน้นั ก็พน้ จากอาสวะท้งั ปวง เมื่อจิตพน้ พิเศษแลว้ กม็ ีญาณหยงั่ รู้วา่ พน้ แลว้ และเธอรู้ประจกั ษช์ ดั วา่ ชาติสิ้นแลว้ พรหมจรรยค์ อื กิจพระศาสนา ไดท้ าเสร็จแลว้ กิจอื่นท่ีจะตอ้ งทาเช่นน้ี ไม่มีอีก ฯ ______________________________________________________________________________ ๖. วิปัลลาสกถา ๑. วิปัลลาส คืออะไร ? แบ่งตามจิตและเจตสิกได้กป่ี ระเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : คือ กิริยาที่ถือโดยอาการวปิ ริตผิดจากความเป็นจริง ฯ แบ่งได้ ๓ ประเภท ฯ คือ ๑. สญั ญาวปิ ัลลาส ๒. จิตตวปิ ัลลาส ๓. ทิฏฐิวปิ ัลลาส ฯ ๒. วิปัลลาส คืออะไร ? จาแนกโดยวัตถุเป็ นท่ีต้งั มกี อ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๖) ตอบ : คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการวปิ ริตผิดจากความจริง ฯ มี ๔ อยา่ ง ฯ คอื ความสาคญั คดิ เห็นในสิ่งที่ไมเ่ ท่ียงวา่ เที่ยง ความสาคญั คดิ เห็นในสิ่งท่ีเป็นทุกขว์ า่ เป็นสุข
๒๔ ความสาคญั คดิ เห็นในส่ิงที่ไม่ใช่ตนวา่ เป็นตน และ ความสาคญั คดิ เห็นในส่ิงท่ีไมง่ ามวา่ งาม ฯ ๓. ในอรกสูตรกล่าวไว้ว่าชีวติ ของมนุษย์ท้งั หลายเปรียบเหมือนหยาดน้าค้างดงั นี้ มีอธิบายอย่างไร ? และท่ีกล่าวไว้เช่นน้นั มปี ระโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีอธิบายวา่ ธรรมดาหยาดน้าคา้ งที่จบั อยตู่ ามยอดหญา้ เม่ือถูกแสงอาทิตย์ ในเวลา เชา้ กพ็ ลนั จะเหือดแหง้ หายไปฉนั ใด ชีวติ ของมนุษยท์ ้งั หลาย ก็ฉนั น้นั มีความเกิด แลว้ กม็ ีความแก่ ความเจบ็ ความตาย คอยเบียดเบียน ทาใหด้ ารงอยไู่ ดไ้ มน่ าน ไม่ ถึงร้อยปี ก็จะหมดไป ฯ เพื่อเป็นเคร่ืองเตือนใจให้รู้สึกดว้ ยปัญญา ทาใหไ้ มป่ ระมาทในชีวิต เร่งสัง่ สม ความดี ฯ ๔. ในอรกสูตรกล่าวไว้ว่า ชีวติ ของมนุษย์ท้งั หลายเปรียบเหมือนชิน้ เนื้อนาบไฟ มีอธบิ ายอย่างไร ? และท่ีกล่าวไว้เช่นน้นั เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : มีอธิบายวา่ ธรรมดาวา่ ชิ้นเน้ือที่บุคคลเอาลงในกระทะเหลก็ อนั ร้อนตลอดวนั ยงั ค่า ยอ่ มจะพลนั ไหม้ ไม่ต้งั อยนู่ านฉนั ใด ชีวติ กถ็ ูกเพลิงกิเลสและเพลิงทุกขเ์ ผาผลาญ ใหเ้ ห้ียมเกรียมไม่ทนอยนู่ านฉนั น้นั ฯ มีประโยชน์ คอื เป็นเคร่ืองเตือนใจใหร้ ู้สึกดว้ ยปัญญา ทาใหไ้ ม่ประมาทในชีวิต เร่งสง่ั สมความดีฯ ______________________________________________________________________________ ๗. มหาสตปิ ัฏฐานสูตร ๑. สตปิ ัฏฐาน ๔ อนั ผู้ปฏิบัตธิ รรมอบรมให้บริบูรณ์เตม็ ที่แล้ว ย่อมเป็ นเพ่ืออานสิ งส์ ๕ ประการ อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : คือ ๑. เพอื่ ความบริสุทธ์ิแห่งสตั วท์ ้งั หลาย ๒. เพอื่ ความขา้ มพน้ โสกะปริเทวะท้งั หลาย ๓. เพือ่ ความดบั สูญแห่งทกุ ขโ์ ทมนสั ๔. เพือ่ ความบรรลธุ รรมท่ีควรรู้ ๕. เพ่อื ความทาใหแ้ จง้ ซ่ึงพระนิพพาน ฯ ๒. ผ้เู จริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้าง จึงจะกาจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ได้ ? (๒๕๖๑) ตอบ : ตอ้ งประกอบดว้ ยธรรม ๓ คือ ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสใหเ้ ร่าร้อน ๒. สมั ปชาโน รู้ทวั่ พร้อม
๒๕ ๓. สติมา มีสติ ฯ ๓. สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง ? การพจิ ารณาผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั โดยความเป็ นของปฏกิ ูล จดั เข้า ในสติปัฏฐานข้อไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ : คอื กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏ ฐานและธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ ______________________________________________________________________________ ๘. คิริมานนทสูตร ๑. พระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงแสดงสัญญา ๑๐ กะใคร ? อนจิ จสัญญา พระผ้มู พี ระภาคเจ้าทรงสอนให้ พจิ ารณาธรรมอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : พระอานนทเถระ ฯ พิจารณาขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ ๒. ในสัญญา๑๐ ข้อท่ี ๕ ว่าปหานสัญญาความสาคญั หรือความใส่ใจ ในการละ ขอทราบว่าทรงสอน ให้ละอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : ทรงสอนใหล้ ะ ๑. กามวติ ก ๒. พยาบาทวิตก ๓. วหิ ิงสาวิตก ๔. ธรรมอนั เป็นบาป อกุศล ท้งั ๔ น้ี ที่เกิดข้นึ แลว้ ไม่ใหเ้ กิดข้ึนอีก ฯ ๓. ในคิริมานนทสูตร ข้อว่า ปหานสัญญา พระศาสดาทรงสอนให้ละอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ทรงสอนใหล้ ะ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวติ ก และอกุศลบาปธรรม ที่เกิดข้ึน แลว้ ฯ ๔. ข้อว่า อนตั ตสัญญา ในคริ ิมานนทสูตร ทรงให้พจิ ารณาอะไรว่าเป็ นอนตั ตา ? (๒๕๕๖) ตอบ : ทรงใหพ้ จิ ารณาอายตนะภายใน คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ และอายตนะภายนอก คอื รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ วา่ เป็นอนตั ตา ฯ ๕. พระคิริมานนท์หายจากอาพาธเพราะฟังธรรมจากใคร? ธรรมน้นั ว่าด้วยเรื่องอะไร? (๒๕๕๗) ตอบ : จากพระอานนท์ ฯ วา่ ดว้ ยเร่ืองสญั ญา ๑๐ ฯ ๖. พระพทุ ธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรทไี่ หน ? แก่ใคร ? ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ที่พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี ฯ แก่พระอานนท์ ฯ วา่ ดว้ ยสัญญา ๑๐ ฯ ______________________________________________________________________________
๒๗ ๒.๒ วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวัติ ปริเฉทท่ี ๑ ว่าด้วยชมพูทวปี ๑. พทุ ธประวัติ วภิ าคท่ี ๑ ปรุ ิมกาล และวิภาคที่ ๓ อปรกาล ท่ที รงรจนาไว้แสดงถึงเร่ืองอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ปรุ ิมกาล แสดงถึงเรื่องเป็นไปในกาลก่อนแตบ่ าเพญ็ พทุ ธกิจ อปรกาล แสดงถึงเรื่องถวายพระเพลิงและแจกพระธาตุ ฯ ๒. ในวนั ท่พี ระมหาบรุ ุษประสูติ มสี หชาตทิ เ่ี กดิ พร้อมกนั กอี่ ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : มี ๗ อยา่ ง คือ ๑) พระนางพิมพา ๒) พระอานนท์ ๓) กาฬุทายอี มาตย์ ๔) ฉนั นะอมาตย์ ๕) มา้ กณั ฐกะ ๖) ตน้ มหาโพธ์ิ ๗) ขมุ ทรัพยท์ ้งั ๔ ฯ ๓. มหาปุริสลกั ษณะมกี ป่ี ระการ ? พระอณุ ณาโลมกบั พระอุณหสิ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : มี ๓๒ ประการ ฯ พระอณุ ณาโลม ไดแ้ ก่ พระโลมา (ขน) ที่ขาวละเอียดอ่อนคลา้ ย สาลี อยใู่ นระหวา่ งพระโขนง (คว้ิ ) ส่วนพระอุณหิส (กรอบหนา้ ) น้นั ไดแ้ ก่ พระ เศียร (หวั ) ท่ีกลมเป็นปริมณฑลดุจประดบั ดว้ ยกรอบพระพกั ตร์ (หนา้ ) ฯ ๔. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร? ท่ไี ด้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร? (๒๕๖๑, ๒๕๕๕) ตอบ : สืบเช้ือสายมาจากพระเจา้ โอกกากราช ฯ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. เพราะไดช้ ่ือตามชนบทที่ต้งั เมือง ๒. เพราะมีความกลา้ หาญ สามารถต้งั เมืองไดเ้ อง ฯ ๕. พระวาจาที่พระมหาบรุ ุษทรงเปล่งคร้ังแรก เรียกว่าอะไร? ความว่าอย่างไร? (๒๕๖๐, ๒๕๕๕) ตอบ : อาสภิวาจา ฯ ความว่า “เราเป็ นผูเ้ ลิศแห่งโลก (อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส) เราเป็ นผูเ้ จริญแห่งโลก (เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส) เราเป็นผปู้ ระเสริฐแห่งโลก (เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส) ชาติน้ี เป็นชาติสุดทา้ ย (อยมนฺติมา ชาติ) บดั น้ี ภพใหมม่ ิไดม้ ี (นตฺถิทานิ ปนุ พฺภโว)” ฯ ๖. พระโพธิสัตว์เม่ือจะจตุ ิลงสู่พระครรภ์พระมารดา เสด็จมาจากไหน ? (๒๕๕๖) ตอบ : เสดจ็ มาจากดุสิตพภิ พ ฯ ๗. บุคคลผ้เู ป็ นสหชาติของพระศาสดา ท่ีบรรลุพระอรหตั ก่อนและหลงั พทุ ธปรินพิ พานมใี ครบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : ผบู้ รรลพุ ระอรหตั ก่อนพทุ ธปรินิพพาน มีพระนางพมิ พาเถรีและพระกาฬุทายเิ ถระ ผบู้ รรลพุ ระอรหตั หลงั พุทธปรินิพพาน มีพระอานนทเถระและพระฉนั นเถระ
๒๘ ๘. พระมหาบรุ ุษทรงดาเนนิ ด้วยพระบาท ๗ ก้าว หลงั จากประสูติใหม่ ๆ เร่ืองนี้ สมเด็จพระมหา สมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถอดความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ทรงถอดความวา่ น่าจะไดแ้ ก่ ทรงแผพ่ ระศาสนาไดแ้ พร่หลายใน ๗ ชนบท ไดแ้ ก่ ๑) กาสีกบั โกสละ ๒) มคธะกบั องั คะ ๓) สักกะ ๔) วชั ชี ๕) มลั ละ ๖) วงั สะ ๗) กรุ ุ ฯ ๙. พทุ ธานุพุทธประวตั ิ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธบิ ายพอได้ใจความ (๒๕๕๙) ตอบ : ๑. ทางประวตั ิศาสตร์ เช่น ความเป็นไปของบา้ นเมืองในคร้ังพุทธกาล และลทั ธิธรรมเนียมของประชาชนในสมยั น้นั ๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจา้ และจรรยาของเหลา่ พระอริยสาวก ๓. ทางธรรมวินยั ท่ีปรากฏในตานานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรมพร้อมท้งั ตวั อยา่ งการบารุงพระพุทธศาสนาใหร้ ุ่งเรือง ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๒ ว่าด้วยการเสด็จออกบรรพชาและตรัสรู้ ๑. สตานุสารีวิญญาณ คืออะไร ? เกดิ ขนึ้ แก่พระมหาบุรุษ ความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : วญิ ญาณไปตามสติ ฯ ความวา่ ทุกรกิริยาน้ี จกั ไม่เป็นทางเพ่ือการตรัสรู้ แตอ่ านาปานสติปฐมฌาน จกั เป็นทางเพ่อื การตรัสรู้แน่ ฯ ๒. พระพทุ ธองค์ทรงอธษิ ฐานจาตรุ งคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร? ทไี่ หน? และได้รับผล อย่างไร? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : มีใจความวา่ หากยงั ไมบ่ รรลพุ ระสัมมาสัมโพธิญาณแลว้ จกั ไมล่ ุกข้ึน แมเ้ น้ือและ เลือดจะแหง้ เหือดไป เหลือแตห่ นงั เอน็ และกระดูกก็ตามฯ ที่ตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม ภายใตต้ น้ พระศรีมหาโพธ์ิฯ ไดร้ ับผลคือ บรรลพุ ระสมั มาสมั โพธิญาณสมดงั พระหฤทยั ฯ ๓. บารมี ๑๐ ของพระมหาบรุ ุษมีอะไรบ้าง ? ท่านเปรียบเทียบบารมีข้อไหนกบั อาวุธยุทโธปกรณ์ ชนิดใด ในการต่อสู้กบั หมู่มาร ? (๒๕๕๔) ตอบ : คอื ทานบารมี ศีลบารมี เนกขมั มบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขนั ติบารมี สจั จบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ฯ ศีลบารมี เปรียบเทียบกบั แผน่ ดิน ปัญญาบารมี เปรียบเทียบกบั พระขรรค์ วิริยบารมี เปรียบเทียบกบั พระบาท บารมีท่ีเหลือจากน้ี เปรียบเทียบกบั โล่ป้องกนั ฯ
๒๙ ๔. นวหรคุณ คือพระพุทธคุณ ๙ บท บทไหนปรากฏแก่พระพุทธองค์เตม็ ทีท่ ไ่ี หน ? เม่ือไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : พระพทุ ธคณุ บทวา่ อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ วชิ ฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู พทุ ฺโธ ภควา ปรากฏแก่พระพทุ ธองคเ์ ตม็ ที่ ณ ควงไมพ้ ระมหาโพธ์ิ ตาบลอรุ ุ เวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ต้งั แตค่ ร้ังแรกตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสมั โพธิญาณ ฯ พระพุทธคุณบทวา่ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน ปรากฏแก่ พระพุทธองคเ์ ตม็ ที่ที่ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ในพระนครพาราณสี ต้งั แตค่ ร้ังแสดง อนุตรธรรมจกั รใหเ้ ป็นไปแก่ภิกษุปัญจวคั คีย์ ฯ ๕. พระพทุ ธเจ้าหลงั จากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอทุ านในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ทรงเปลง่ อุทานวา่ เมื่อใดธรรมท้งั หลายปรากฏแก่พราหมณ์ผมู้ ีเพยี รเพ่งอยู่ เมื่อน้นั พราหมณ์น้นั ยอ่ มกาจดั มารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตยอ์ ทุ ยั กาจดั จดั มืดใหส้ วา่ งฉะน้นั ฯ ๖. ทสี่ ุดโต่งอนั บรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง ? ท่ีสุดโต่งน้นั มโี ทษอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ ๑) กามสุขลั ลิกานุโยค ๒) อตั ตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษดงั น้ี กามสุขัลลกิ านุโยค คือ การประกอบตนใหพ้ วั พนั ดว้ ยสุขในกาม เป็นธรรมอนั เลว เป็นเหตตุ ้งั บา้ นเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผบู้ ริสุทธ์ิ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ อตั ตกลิ มถานุโยค คอื การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปลา่ ใหเ้ กิดทกุ ขแ์ ก่ผู้ ประกอบ ไมท่ าผปู้ ระกอบใหเ้ ป็นอริยะ ไม่ประกอบดว้ ยประโยชนฯ์ ๗. การที่พระพทุ ธองค์ทรงเลกิ การทรมานพระวรกายแล้ว กลบั มาเสวยพระกระยาหาร เพราะทรง พจิ ารณาเหน็ อย่างไร? (๒๕๕๙, ๒๕๕๕) ตอบ : เพราะทรงพจิ ารณาเห็นวา่ คนที่ไม่บริโภคอาหารจนร่างกายหมดกาลงั ไมส่ ามารถ บาเพญ็ เพียรทางจิตได้ ฯ ๘. พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจบ็ คนตายแล้ว ทรงบรรเทาความเมาในอะไรได้ ? (๒๕๕๗) ตอบ : ทรงบรรเทาความเมาในวยั ความเมาในความไม่มีโรค และความเมาในชีวิต ฯ ๙. ในการเสด็จออกบรรพชา พระมหาบรุ ุษทรงได้รับบาตรและจีวรจากใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ : จากฆฏิการพรหม ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๓ ว่าด้วยการเสวยวิมตุ ติสุข
๓๐ ๑. ในขณะเสวยวมิ ตุ ติสุขใต้ร่มไม้มหาโพธ์ิ พระพุทธเจ้าทรงพจิ ารณาข้อธรรมอะไร ? และธรรมน้ัน มใี จความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปบาท ฯ มีใจความยอ่ วา่ สภาวะอยา่ งหน่ึงเป็นผลเกิดแต่เหตุ อยา่ งหน่ึงแลว้ ซ้าเป็นเหตุยงั ผลอยา่ งอื่นใหเ้ กิดต่อไปอีก เหมือนลูกโซ่เก่ียวคลอ้ ง กนั เป็นสาย ฯ ๒. ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร? พระพุทธเจ้าทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปบาท ทีท่ รงกาหนดรู้แล้วน้นั อย่างไร? ณ สถานทใ่ี ด? (๒๕๕๒) ตอบ : คอื สภาพอาศยั ปัจจยั เกิดข้นึ ฯ ทรงพจิ ารณาตามลาดบั และถอยกลบั ท้งั ขา้ งเกิดขา้ ง ดบั ตลอดยาม ๓ แห่งราตรี ฯ ณ ภายใตร้ ่มไมม้ หาโพธ์ิ ฯ ๓. ภายหลงั แต่ตรัสรู้แล้ว ในสัปดาห์ท่ี ๗ พระพุทธเจ้าเสดจ็ ประทับอยู่ทไ่ี หน? และมเี หตกุ ารณ์ สาคัญตามที่พระคนั ถรจนาจารย์กล่าวไว้อย่างไรบ้าง? (๒๕๕๒) ตอบ : ในสัปดาห์ท่ี ๗ เสด็จประทบั อยภู่ ายใตไ้ มร้ าชายตนะ มีพ่อคา้ ๒ คน ชื่อตปสุ สะ และภลั ลิกะเดินทางผา่ นมา ไดถ้ วายขา้ วสตั ตผุ งสัตตกุ อ้ น และแสดงตนเป็น อุบาสกถึงรัตนะ ๒ เป็นคแู่ รกในโลก ฯ ๔. พระอญั ญาโกณฑญั ญะเดมิ ช่ืออะไร? ที่ได้ช่ืออญั ญาโกณฑญั ญะเพราะเหตุไร? (๒๕๕๒) ตอบ : ชื่อโกณฑญั ญะ ฯ เพราะไดด้ วงตาเห็นธรรมขณะฟังปฐมเทศนาพระพุทธเจา้ ทรงทราบจึงทรงเปล่ง อทุ านวา่ อญั ญาสิๆ แปลวา่ ไดร้ ู้แลว้ ๆ อาศยั พระอทุ านน้ี คาวา่ อญั ญาโกณฑญั ญะ จึงไดเ้ ป็นช่ือของทา่ นต้งั แตบ่ ดั น้นั มา ฯ ๕. อนมิ สิ เจดยี ์และรัตนจงกรมเจดีย์ เป็ นสถานทีท่ พ่ี ระพุทธเจ้าทรงกระทากจิ อะไร ?(๒๕๕๔) ตอบ : อนิมิสเจดีย์ เป็นสถานท่ีท่ีพระพทุ ธเจา้ ประทบั ยนื จอ้ งดูตน้ พระมหาโพธ์ิโดยมิได้ กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั รัตนจงกรมเจดียเ์ ป็นสถานท่ีที่พระพทุ ธเจา้ ทรง นิรมิตที่จงกรมข้ึนแลว้ เสดจ็ จงกรม ณ ที่น้นั ถว้ น ๗ วนั ฯ ๖. ภพั พบุคคลและอภัพพบุคคล ทที่ ่านเปรียบกบั ดอกบวั ๔ เหล่า คือบุคคลประเภทใดบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๔) ตอบ : ภพั พบุคคล คือ บุคคลผสู้ ามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ไดแ้ ก่ อคุ ฆติตญั ญูที่เปรียบดว้ ยดอกบวั พน้ น้า วปิ จิตญั ญูท่ีเปรียบดว้ ยดอกบวั เสมอน้า และเนยยะท่ีเปรียบดว้ ยดอกบวั ที่ยงั อยใู่ นน้า ส่วนอภพั พบุคคลคือบคุ คลผไู้ ม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ไดแ้ ก่
๓๑ ปทปรมะท่ีเปรียบดว้ ยดอกบวั ท่ีเป็นภกั ษาหารแห่งปลาและเต่า ฯ ๗. ขณะท่พี ระพทุ ธองค์ประทับเสวยวิมตุ ติสุข ณ รัตนฆรเจดีย์ ทรงพจิ ารณาธรรมอะไร? (๒๕๕๗) ตอบ : ทรงพจิ ารณาพระอภิธรรม ฯ ๘. พระพทุ ธองค์ทรงปฏญิ าณว่า เป็ นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตอุ ะไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๘) ตอบ : ทรงอาศยั เหตทุ ่ีตรัสรู้อริยสัจ ๔ อนั มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อยา่ งแจ่มแจง้ ครบถว้ น ทกุ ประการ จึงทรงปฏิญาณวา่ เป็นสมั มาสัมพทุ ธะ ฯ ๙. พุทธจกั ษุ กบั ธรรมจักษุ ต่างกนั อย่างไร ? แต่ละอย่างใครได้เป็ นคนแรก ? (๒๕๕๘) ตอบ : พุทธจกั ษุ คอื จกั ษขุ องพระพุทธเจา้ หมายถึงพระปัญญาของพระพุทธองคท์ ี่ทรง พิจารณาเห็นอปุ นิสยั แห่งเวไนยสตั ว์ ส่วนธรรมจกั ษุ คอื ดวงตาเห็นธรรม ไดแ้ ก่ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ท่ีเกิดข้นึ แก่ผฟู้ ังธรรม ฯ พุทธจกั ษุ เป็นคุณสมบตั ิเฉพาะพระพุทธเจา้ พระพุทธองคจ์ ึงทรงไดเ้ ป็นพระองค์ แรกและพระองคเ์ ดียว ส่วนธรรมจกั ษพุ ระอญั ญาโกณฑญั ญะไดเ้ ป็นองคแ์ รก ฯ ๑๐. ดวงตาเหน็ ธรรมปราศจากธุลี เกดิ ขนึ้ แก่พระโกณฑญั ญะ ความว่าอย่างไร ? ในขณะน้ัน ท่าน เป็ นพระอริยบคุ คลช้ันไหน ? (๒๕๕๙) ตอบ : ความวา่ ส่ิงใดส่ิงหน่ึงมีความเกิดข้ึนเป็นธรรมดา สิ่งน้นั ท้งั หมดมีความดบั ไปเป็น ธรรมดา ฯ เป็นพระอริยบคุ คลช้นั พระโสดาบนั ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๔ ว่าด้วยการประทานเอหภิ กิ ขอุ ปุ สัมปทา ๑. อนุปพุ พกี ถาและสามุกกงั สิกธรรม คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่บคุ คลผ้มู อี งคสมบัติ อะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : อนุปุพพีกถา คอื ถอ้ ยคาท่ีกลา่ วเรียงเรื่องเป็นลาดบั ไป คือ ทานกถา สีลกถา สคั คกถา กามาทีนวกถา เนกขมั มานิสงั สกถาสามุกกงั สิกธรรม คือ ธรรมท่ี พระพุทธเจา้ ทรงยกข้ึนแสดงเอง ไดแ้ ก่ อริยสจั ๔ ฯ ผมู้ ีองคสมบตั ิ คอื ๑. เป็นมนุษย์ ๒. เป็นคฤหสั ถ์ ๓. มีอปุ นิสัยแก่กลา้ ควรบรรลโุ ลกตุ รคณุ ในที่น้นั ฯ ๒. เมื่อพระเบญจวัคคีย์ได้ดวงตาเหน็ ธรรม ได้อุปสมบทด้วยเอหิภกิ ขุอุปสัมปทาแล้ว พระบรม ศาสดาทรงพจิ ารณาเหน็ อย่างไรจงึ ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสูตรโปรดพระเบญจวัคคยี ์ ? (๒๕๕๕)
๓๒ ตอบ : ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ พระเบญจวคั คียต์ ้งั อยใู่ นที่แห่งสาวก มีอินทรีย์ คือ ศรัทธาเป็น ตน้ แก่กลา้ ควรเจริญวปิ ัสสนาเพอื่ วมิ ตุ ิไดแ้ ลว้ จึงทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสูตร โปรดพระเบญจวคั คีย์ ฯ ๓. อนตั ตลกั ขณสูตร และ อาทติ ตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : อนตั ตลกั ขณสูตรมีใจความโดยยอ่ วา่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ซ่ึงรวม เรียกวา่ ขนั ธ์ ๕ น้ี เป็นอนตั ตา ไม่ใช่ตน ฯ อาทิตตปริยายสูตรมีใจความโดยยอ่ วา่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วญิ ญาณ สัมผสั และเวทนาท่ีเกิดแต่สมั ผสั เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ร่าไรราพนั เจ็บกาย เสียใจ คบั ใจ ฯ ๔. ปฐมสาวกกบั ปัจฉิมสาวกคือใคร ? ได้ฟังพระธรรมเทศนาคร้ังแรกว่าด้วยเร่ืองอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ปฐมสาวก คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ฟังพระธรรมเทศนาวา่ ดว้ ยที่สุด ๒ อยา่ ง และมชั ฌิมาปฏิปทา ฯ ปัจฉิมสาวก คือ สุภทั ทปริพาชก ฟังพระธรรมเทศนาว่าดว้ ยพระอริยบุคคลท้งั ๔ ประเภท มีอยเู่ ฉพาะในธรรมวนิ ยั ที่มีมรรคมีองค์ ๘ ฯ ๕. ยสกลุ บุตรฟังธรรมอะไรจากพระพทุ ธองค์ จนบรรลุเป็ นพระอรหนั ต์? จงบอกมาตามลาดบั ต้งั แต่ต้น (๒๕๕๗) ตอบ : ฟังอนุปุพพกี ถาและอริสัจ๔ ๒ คร้ัง คอื คร้ังท่ี ๑ บรรลุเป็นพระโสดาบนั คร้ังท่ี ๒ บรรลุเป็นพระอรหนั ต์ ฯ ๖. พระศาสดาทรงแสดงอนุปพุ พกี ถา และอริยสัจ ๔ ตามลาดบั แก่บุคคลผู้มคี ณุ สมบตั เิ ช่นไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : แก่ผมู้ ีคณุ สมบตั ิดงั ต่อไปน้ีคือ ๑. เป็นมนุษย์ ๒. เป็นคฤหสั ถ์ ๓. มีอุปนิสยั แก่กลา้ ควรบรรลโุ ลกตุ รคณุ ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๕ ว่าด้วยการประกาศพระศาสนา ๑. พระพุทธองค์ทรงประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาทไ่ี หนเป็ นแห่งแรก ? ทรงเหน็ ประโยชน์อะไรจงึ ทรงประดษิ ฐาน ณ ทีน่ ้นั ? (๒๕๖๒) ตอบ : ที่กรุงราชคฤห์ ฯ
๓๓ เพราะทรงเห็นวา่ เมืองน้ีเป็นเมืองที่บริบูรณ์มง่ั คง่ั และมีศาสดาเจา้ ลทั ธิมาก ถา้ ได้ โปรดคนเหล่าน้ีใหเ้ กิดความเล่ือมใสไดแ้ ลว้ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ก็สะดวก และรวดเร็วยง่ิ ข้นึ เพราะศาสดาเจา้ ลทั ธิต่าง ๆ น้นั ลว้ นมีคนนบั ถือมาก ดว้ ยเหตุน้ี จึงทรงเลือกเมืองน้ีเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ ๒. พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ไปโปรดชฎลิ ๓ พนี่ ้องพร้อมบริวาร โดยบงั เอญิ หรือโดยต้ังพระหฤทยั ไว้ก่อน ? มีหลกั ฐานสนบั สนุนคาตอบน้นั อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๑) ตอบ : โดยต้งั พระหฤทยั ไวก้ ่อน ฯ มีหลกั ฐานปรากฏวา่ ในคร้ังท่ีทรงส่งพระสาวก ๖๐ องคแ์ รกไปประกาศ พระพุทธศาสนาในท่ีตา่ ง ๆ ทรงมีพระดารัสวา่ “แมเ้ ราก็จะไปยงั ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ ๓. พระเจ้าพมิ พสิ าร เม่ือคร้ังยงั เป็ นพระราชกุมาร ได้ต้ังความปรารถนาไว้อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : ไดต้ ้งั ความปรารถนาไวว้ า่ ๑. ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดร้ ับอภิเษกเป็นพระเจา้ แผน่ ดินมคธน้ีเถิด ๒. ขอทา่ นผเู้ ป็นพระอรหนั ตผ์ รู้ ู้เองเห็นเองโดยชอบ พงึ มายงั แวน่ แควน้ ของ ขา้ พเจา้ ผไู้ ดร้ ับอภิเษกแลว้ ๓. ขอขา้ พเจา้ พงึ ไดเ้ ขา้ ไปนง่ั ใกลพ้ ระอรหนั ตน์ ้นั ๔. ขอพระอรหนั ตน์ ้นั พงึ แสดงธรรมแก่ขา้ พเจา้ ๕. ขอขา้ พเจา้ พงึ รู้ทวั่ ถึงธรรมของพระอรหนั ตน์ ้นั ๔. พระอรหนั ตสาวก ๑๐ องค์แรกในพระพทุ ธศาสนา คือใครบ้าง ? มที ่านใดได้รับเอตทคั คะบ้าง ? และเป็ นเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๓) ตอบ : คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระวปั ปะ พระภทั ทิยะ พระมหานามะ พระอสั สชิ พระยสะ พระวมิ ละ พระสุพาหุ พระปณุ ณชิ และพระควมั ปติ ฯ มีพระอญั ญาโกณฑญั ญะรูปเดียว ฯ ในทางรัตตญั ญู ผรู้ ู้ราตรีนาน ฯ ๕. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ทีไ่ หน ? มใี จความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : ที่เวฬวุ นาราม กรุงราชคฤห์ ฯ ใจความยอ่ วา่ ไม่ทาบาปท้งั ปวง ทากศุ ลใหถ้ ึงพร้อม ทาใจใหบ้ ริสุทธ์ิ ฯ ๖. พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพทุ ธบริษัทด้วยอาการ ๔ อย่าง อะไรบ้าง? (๒๕๕๒) ตอบ : ดว้ ยอาการดงั น้ี ๑. สันทสั สนา อธิบายใหแ้ จ่มแจง้ ใหเ้ ขา้ ใจชดั ๒. สมาทปนา ชวนใหม้ ีแก่ใจสมาทานคอื ทาตาม
๓๔ ๓. สมตุ เตชนา ชกั นาใหเ้ กิดอุตสาหะอาจหาญเพ่ือจะทา ๔. สัมปหงั สนา พยงุ ใหร้ ่าเริงในอนั ทา ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๖ ว่าด้วยพระอคั รสาวกออกบวช ๑. มีภาษติ อยู่บทหนง่ึ ว่า สัตบรุ ุษต้งั มั่นแล้วในสัจจะทเี่ ป็ นอรรถเป็ นธรรม ดังนี้ ข้อนี้ มีปฏปิ ทาของ พระสาวกรูปใด ทใี่ ห้สัญญาต่อกนั ไว้แล้วปฏิบตั ิตามสัญญาน้ัน เป็ นตัวอย่าง ? จงเล่าเร่ือง ประกอบ (๒๕๕๑) ตอบ : มีปฏิปทาของพระสารีบุตร เป็นตวั อยา่ ง ฯ เรื่องมีอยวู่ า่ เม่ือคร้ังท่ีท่านและพระ โมคคลั ลานะยงั ไม่ไดอ้ ปุ สมบท เคยใหส้ ัญญากนั วา่ ใครไดโ้ มกขธรรมก่อน จะ บอกแก่กนั ตอ่ มาทา่ นพระสารีบุตรไดฟ้ ังอริยสัจจกถาแต่สานกั พระอสั สชิแลว้ ได้ ดวงตาเห็นธรรม จึงนาขอ้ ความน้นั ไปบอกแก่พระโมคคลั ลานะ จนไดบ้ รรลธุ รรม เช่นเดียวกนั ฯ ๒. พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระเถระรูปใดเปรียบด้วยแมลงผึง้ ตัวเทีย่ วไปในสวนดอกไม้ ไม่ทาสี และกลนิ่ ของดอกไม้ให้ช้า ถือเอาแต่รสบนิ ไป? และทรงสรรเสริญไว้อย่างไร? (๒๕๕๒) ตอบ : ทรงสรรเสริญพระมหาโมคคลั ลานะ ฯ ทรงสรรเสริญไวว้ า่ ทา่ นไมท่ าศรัทธาและโภคทรัพยข์ องตระกลู ที่เขา้ ไปหาใหเ้ สีย ๓. พระสาวกรูปใดเป็ นเอตทคั คะทางมปี ัญญามาก ทางขยายความย่อให้พสิ ดาร ทางมวี าจาไพเราะ ทางทรงจวี รเศร้าหมอง ? และในท่านเหล่าน้นั องค์ไหนเป็ นท่ีเลื่อมใสของผ้เู ป็ นรูปัปปมาณกิ า โฆสัปปมาณิกา ลูขัปปมาณกิ า และธมั มัปปมาณกิ า ? (๒๕๕๓) ตอบ : พระสารี บุตร เป็ นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก และเป็ นท่ีเลื่อมใสของผู้ เป็นธมั มปั ปมาณิกา พระมหากจั จายนะ เป็นเอตทคั คะทางขยายความยอ่ ใหพ้ ิสดาร และเป็นท่ีเล่ือมใส ของผเู้ ป็นรูปัปปมาณิกา พระโมฆราช เป็นเอตทคั คะทางทรงจีวรเศร้าหมอง และเป็นท่ีเล่ือมใสของผเู้ ป็น ลูขปั ปมาณิกา พระโสณกุฏิกณั ณะ เป็นเอตทคั คะทางมีวาจาไพเราะ และเป็นท่ีเล่ือมใสของผู้ เป็นโฆสัปปมาณิกา ฯ ๔. พระพทุ ธเจ้าทรงยกย่องพระอคั รสาวกท้งั ๒ ว่าเป็ นผ้มู ีปัญญาอนุเคราะห์สพรหมจารีท้ังหลาย มีอุปมาต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีอปุ มาต่างกนั อยา่ งน้ี พระสารีบตุ รเถระเปรียบเหมือนมารดาผใู้ หบ้ ุตรเกิด ยอ่ ม
๓๕ แนะนาใหก้ ลุ บุตรต้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล พระมหาโมคคลั ลานเถระเปรียบเหมือนนางนมผเู้ ล้ียงทารกผเู้ กิดแลว้ น้นั ยอ่ ม แนะนาใหก้ ุลบุตรต้งั อยใู่ นคณุ เบ้ืองสูงกวา่ น้นั ฯ ๕. “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพ่ืออะไร” ใครเป็ นผู้ถาม ใครเป็ นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : พระสารีบตุ รเป็นผถู้ าม พระปณุ ณมนั ตานีบตุ รเป็นผตู้ อบ ฯ ตอบวา่ เราประพฤติพรหมจรรย์ เพอ่ื ความดบั ไม่มีเช้ือ ฯ ๖. พระอสั สชิเถระแสดงธรรมโดยย่อแก่อปุ ตสิ สปริพาชก ความว่าอย่างไร? และได้ผลอย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๕) ตอบ : มีความวา่ ธรรมใดเกิดแตเ่ หตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมน้นั และความ ดบั แห่งธรรมน้นั พระศาสดาทรงสัง่ สอนอยา่ งน้ี ฯ อุปติสสปริพาชกไดฟ้ ังแลว้ ไดธ้ รรมจกั ษุ ดวงตาเห็นธรรม ฯ ๗. พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็ นผู้เลศิ ในทางใด ? ๑. พระมหาโมคคัลลานะ ๒. พระมหากสั สปะ ๓. พระอุบาลี ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ๕. พระนางเขมา (๒๕๖๒, ๒๕๕๕) ตอบ : ๑. พระมหาโมคคลั ลานะ เป็นผเู้ ลิศในทางมีฤทธ์ิ ๒. พระมหากสั สปะ เป็นผเู้ ลิศในทางถือธุดงค์ ๓. พระอบุ าลี เป็นผเู้ ลิศในทางทรงพระวนิ ยั ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นผเู้ ลิศในทางผรู้ ัตตญั ญู ๕. พระนางเขมา เป็นผเู้ ลิศในทางมีปัญญา ฯ ๘. พระเถระรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็ นเอตทัคคะ ดงั ต่อไปนี้ ก. ทรงทพิ จักษญุ าณ ข. ยงั ตระกูลให้เล่ือมใส ค. เป็ นธรรมกถกึ ฆ. ผ้ทู รงจวี รเศร้าหมอง ง. ผ้เู ป็ นขปิ ปาภิญญาตรัสรู้เร็ว ฯ (๒๕๕๖) ตอบ : ก. พระอนุรุทธเถระ ข. พระกาฬทุ ายเี ถระ ค. พระปณุ ณมนั ตานีบุตร ฆ. พระโมฆราชเถระ ง. พระพาหิยทารุจีริยะ ฯ ๙. การท่ีพระสารีบตุ รมชี ่ือเสียงว่าเป็ นผ้กู ตัญญูกตเวทีน้ัน มีหลกั ฐานอะไรเป็ นตวั อย่าง จงแสดงมา สัก ๒ เร่ือง ? (๒๕๕๗)
๓๖ ตอบ : เรื่องที่ ๑ ทา่ นไดฟ้ ังคาสอนจากพระอสั สชิโดยยอ่ จนไดด้ วงตาเห็นธรรม เม่ือทราบ วา่ พระอสั สชิอยทู่ างทิศใด เวลาจะนอนกห็ นั ศีรษะไปทางทิศน้นั ดว้ ยความเคารพ เร่ืองที่ ๒ ทา่ นระลึกถึงอุปการะที่รับบิณฑบาตจากราธพราหมณ์เพยี ง ๑ ทพั พี จึง รับเป็นภาระในการจดั การอุปสมบทตามความประสงค์ ฯ ๑๐. พระพทุ ธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทาศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้ เสีย” ? และทรงอปุ มาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ทรงสรรเสริญพระโมคคลั ลานะ ฯ วา่ “ประหน่ึงแมลงผ้ึงอนั เที่ยวไปในสวน ดอกไม้ ไม่ทาสีและกลิ่นของดอกไมใ้ หช้ ้า ถือเอาแตร่ สบินไป ฉะน้นั ” ฯ ๑๑. “สิ่งท้ังปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็ นคาพูดของใคร ? พระพทุ ธองค์ตรัสตอบว่า อย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : เป็นคาพูดของทีฆนขะ อคั คเิ วสสนโคตร ฯ ตรัสตอบวา่ ถา้ อยา่ งน้นั ความเห็น อยา่ งน้นั ก็ตอ้ งไม่ควรแก่ท่าน ทา่ นก็ตอ้ งไม่ชอบความเห็นอยา่ งน้นั ฯ ๑๒. คาว่า “ส่ิงท้งั ปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด” เป็ นคาพดู ของใคร? พระพุทธองค์ ตรัสตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : เป็นคาพดู ของทีฆนขะ อคั คิเวสสนโคตร ฯ ตรัสตอบวา่ ถา้ อยา่ งน้นั ความเห็นอยา่ งน้นั กต็ อ้ งไมค่ วรแก่ท่าน ท่านก็ตอ้ งไม่ ชอบความเห็นอยา่ งน้นั ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๗ ว่าด้วยพระมหากสั สปะและพระมหากจั จายนะออกบวช ๑. พระดารัสว่า “เธอไปเองเถดิ เม่ือเธอไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจักทรงเสื่อมใส” พระศาสดาตรัสกับ พระเถระรูปใด? พระเถระรูปน้ันได้ไปประกาศพระพุทธศาสนาท่ีไหน? และได้ผลอย่างไร? (๒๕๕๒) ตอบ : ตรัสกบั พระมหากจั จายนะ ฯ ท่ีกรุงอุชเชนี ฯ ไดผ้ ลคือ พระเจา้ จณั ฑปัชโชตและชาวเมืองเลื่อมใส ฯ ๒. พระมหากสั สปะกบั พระรัฐบาล ออกบวชเพราะมคี วามคิดเหน็ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : พระมหากสั สปะออกบวชเพราะคิดเห็นวา่ ผอู้ ยคู่ รองเรือนตอ้ งคอยนงั่ รับบาป เพราะการงานที่ผอู้ ื่นทาไมด่ ี มีใจเบื่อหน่าย จึงละสมบตั ิแลว้ ออกบวช พระรัฐบาลออกบวชเพราะมีความคิดเห็นตามธรรมุเทศ ๔ ขอ้ ที่พระศาสดาทรง แสดงวา่
Search