ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรม เปน็ สัจธรรมทีม่ คี ุณคา่ อยู่ในตวั มีคณุ ๖ อย่าง คือ ๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจา้ ตรัสดีแล้ว ๒. สนั ทิฏฺฐโิ ก อันผู้ไดบ้ รรลุจะพึงเห็นเอง ๓. อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล ๔. เอหิปสั สโิ ก ควรเรียกให้มาดู ๕. โอปนยโิ ก ควรน้อมเข้ามา ๖. ปจั จัตตงั เวทิตัพโพ วิญญหู ิ อนั วิญญพู ึงรู้เฉพาะตน พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 101 ราม
ปิยรูป หมายถึง สภาวะอันเป็นทร่ี กั สาตรปู หมายถงึ สภาวะอนั เปน็ ทีช่ ื่นใจ คือ อายตนะภายใน สัญญา อายตนะภายนอก สญั เจตนา วิญญาณ ตัณหา สมั ผัส วิตก เวทนา วิจาร พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 102 ราม
สวรรค์ หมายถึง ภูมิหรือแผ่นดินที่มอี ารมณ์เลิศ เป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นภูมิ ทีม่ แี ต่สิ่งดีงาม ท่านจัดไว้เป็นชน้ั ๆตามความแตกต่างกนั ในด้านอายุ ผิวพรรณ ความสุขอนั เป็นทิพย์ ได้แก่ ชน้ั จาตมุ หาราชิก ชนั้ ดาวดึงส์ ชนั้ ยาม ชนั้ ดุสิต ชน้ั นิมมานรดี ชนั้ ปรนมิ มิตวสวดั ดี พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 103 ราม
หมวด ๗ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 104 ราม
วิญญาณฐติ ิ หมายถงึ ภูมิเป็นทีต่ งั้ แห่งวญิ ญาณ แจกเป็น ๗ ประเภท ดงั นี้ ๑. สตั ว์เหล่าหนงึ่ มกี ายต่างกนั มสี ญั ญาต่างกัน เช่นพวกมนษุ ย์ พวกเทพบางหมู่ พวกวนิ ิปาติกะ (เปรต) บางหมู่ ๒. สัตว์เหล่าหนงึ่ มกี ายต่างกัน มสี ญั ญาอย่างเดียวกนั เช่น พวกเทพผู้อยู่ใน จาพวกพรหม ผู้เกดิ ในภูมิปฐมฌาน ๓. สัตว์เหล่าหนงึ่ มกี ายอย่างเดียวกนั มีสญั ญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภสั สระ. ๔. สตั ว์เหล่าหนงึ่ มกี ายอยา่ งเดียวกัน มสี ญั ญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุ ภกิณหะ ๕. สัตว์เหล่าหนงึ่ ผู้เข้าถงึ ชั้นอากาสานญั จายตนะ. ๖. สตั ว์เหล่าหนึ่ง ผู้เขา้ ถึงชั้นวญิ ญาณญั จายตนะ. ๗. สัตว์เหล่าหนงึ่ ผู้เข้าถงึ ช้ันอากญิ จัญญาญตนะ 105 พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา ราม
กเิ ลสคือเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตนนั้ แบ่งเปน็ ๓ ระดบั แต่อนุสัยกิเลส คือ กเิ ลสทล่ี ะเอยี ดอ่อนท่สี ุด กิเลสนีก้ าจัดด้วยปัญญา มี ๗ อย่าง คือ กามราคะ ความกาหนดั ในกาม ปฏิฆะ ความหงุดหงิดด้วยอานาจโทสะ ทิฏฐิ ความเห็นทผ่ี ิดจากธรรมดาทีต่ ดิ ในสันดาน วิจกิ จิ ฉา ความลงั เลในส่งิ ทีค่ วรเชือ่ มานะ ความถือตวั ชอบยกตวั เองเบง่ ข่มผอู้ ื่น ภวราคะ ความกาหนัดในภพ หลงไหลในสิง่ ที่เปน็ อยู่ อวชิ ชา ความเขลาไม่รู้จิง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 106 ราม
ความประพฤติทีย่ ังเก่ยี วเนือ่ งพวั พันในเมถนุ ๑. ยินดีการลบู ไล้ การประคบ การให้อาบน้า การนวดแห่งมาตะคา ปลื้มใจด้วย การบาเรอน้ัน ๒. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ซิกซเี้ ล่นหัวสัพยอกกับมาตคุ าม ปลื้มใจด้วยการเสสรวลนั้น. ๓. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่เพ่งดูจ้องดจู ักษุแห่งมาตุคามด้วยจักษุของตน ปลื้มใจด้วย การเลง็ แลนั้น ๔. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ฟังเสียงแห่งมาตคุ ามหวั เราะอยู่กด็ ี พดู อยู่ก็ดี ขบั ร้องอยกู่ ็ดี ร้องให้อยกู่ ็ดี ข้างนอกฝากด็ ี ขา้ งนอกกาแพงก็ดี ปลื้มใจด้วยเสียงน้ัน ๕. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ตามนึกถงึ การเก่าที่ได้เคยหัวเราะพดู เล่นกบั มาตคุ าม แล้ว ปลื้มใจ. ๖. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่เหน็ คฤหบดีกด็ ี บตุ รคฤหบดีก็ดี ผู้อม่ิ เอิบพร่งั พร้อมด้วยกาม คุณ ๕ บาเรอตนอยู่ แล้วปลื้มใจ ๗. ไม่ถึงอย่างน้ัน แต่ประพฤติพรหมจรรย์ ต้ังปรารถนาเพือ่ จะได้เปน็ เทพเจ้าหรือ เทพองคใ์ ดองคห์ นึ่ง แล้วปลื้มใจ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา ราม 107
วิสทุ ธิ หมายถงึ ความบริสุทธิใ์ นการประพฤติพรหมจรรย์ เพือ่ ชาระกาย วาจา ใจ และปัญญาให้บริสุทธิ์ มี ๗ ประการ คือ ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล ๒. จิตตวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแห่งจิต ๓. ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ ๔. กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ความหมดจดแห่งญาณเปน็ เครื่องข้ามพ้นความสงสยั ๕. มคั คามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครือ่ งเหน็ ว่าทาง หรือมใิ ช่ทาง ๖. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเปน็ เครื่องเห็นทางปฏิบัติ ๗. ญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 108 ราม
หมวด ๘ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 109 ราม
อริยบุคคล หมายถึง บคุ คลผู้ประเสริฐ ท่านจดั เป็นคๆู่ ตามมรรค ผลทีบ่ รรลุ ได้ของรพะอริยบุคคลทั้ง ๘ ดูคาอธบิ ายได้ทีอ่ ริยบุคคล ๔ มรรค ๔ ผล ๔ พระผู้ตง้ั อยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ตงั้ อยู่ในโสดาปัตติผลเป็นคทู่ ี่ ๑ พระผู้ตงั้ อยู่ในสกทาคามิมรรค และพระผู้ตง้ั อยู่ในสกทาคามิผลเป็นคทู่ ี่ ๒ พระผู้ตง้ั อยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ตง้ั อยู่ในอนาคามิผลเป็นคทู่ ี่ ๓ พระผู้ตั้งอยู่ในอรหตั ตมรรค แลพระผู้ตง้ั อยู่ในอรหัตตผลเป็นคทู่ ่ี ๔ นับเรียงองคเ์ ปน็ ๘ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 110 ราม
อวชิ ชา หมายถึง ความไม่รู้ ความเขลาไม่รู้จริงในสิง่ ต่างๆ มี ๘ อย่าง คือ ๑. ไม่รู้จักทกุ ข์ ๒. ไม่รู้จักเหตเุ กิดแห่งทุกข์ ๓. ไม่รู้จักความดับทุกข์ ๔. ไม่รู้จกั ทางถึงความดบั ทกุ ข์ ๕. ไม่รู้จักอดตี ๖. ไม่รู้จกั อนาคต ๗. ไม่รู้จักทั้งอดตี ทงั้ อนาคต ๘. ไม่รู้จกั ปฏจิ จสมุปบาท พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 111 ราม
วิชชา หมายถงึ ความรู้แจ้ง เปน็ ความรู้จากคนธรรมดาทัว่ ไป จัดเป็น ๘ อย่างคือ ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอนั นับเข้าในวิปสั สนา ๒. มโนมยิทธิ ฤทธทิ์ างใจ ๓. อทิ ธวิ ิธิ แสดงฤทธไิ์ ด้ ๔. ทพิ พโสต หูทิพย์ ๕. เจโตปริยญาณ รู้จกั กาหนดใจผู้อื่น ๖. ปุพเพนวิ าสานุสสติ ระลึกชาตไิ ด้ ๗. ทพิ พจกั ขุ ตาทพิ ย์ ๘. อาสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิน้ 112 พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา ราม
หมวด ๙ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 113 ราม
สมาบตั ิ หมายถึง ธรรมอนั เปน็ เครือ่ งเพ่งพินิจ ท่านจัดเปน็ ๘ ระดบั ตาม ความประณตี ของอารมณ์ คือ ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ ทุตยิ าน ฌานท่ี ๒ ตติฌาน ฌานท่ี ๓ จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ - ๑. อากาสานญั จายตนะ - ๒. วิญญาณญั จายตนะ - ๓. อากิจจัญญาบตนะ - ๔. เนวสญั ญานาสัญญายตนะ 114 พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา ราม
อนุปุพพวหิ าร หมายถง ธรรมเปน็ เครือ่ งอยู่โดยลาดบั กนั คือ ในการเข้า หรือออก ต้องเป็นไปตามลาดบั มี ๙ ขั้น คือ ๑. รปู ฌาน ๔ ๒. อรปู ฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ได้แก่ การดับสัญญาและเวทนาที่ละเอียด พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 115 ราม
มานะ ๙ หมายถึง ความถือตัว ความเย่อหยิง่ เปรยี บเทยี บ คือ 116 ๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สาคัญตัวว่าเลศิ กว่าเขา ๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สาคญั ตวั ว่าเสมอเขา ๓. เปน็ ผู้เลิศกว่าเขา สาคัญตวั วา่ เลวกวา่ เขา ๔. เป็นผู้เสมอเขา สาคญั ตวั ว่าเลศิ กว่าเขา ๕. เป็นผเู้ ลศิ กว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา ๖. เปน็ ผู้เลิศกว่าเขา สาคัญตัววา่ เลวกวา่ เขา ๗. เป็นผู้เลวกวา่ เขา สาคญั ตัวว่าเลศิ กว่าเขา ๘. เปน็ ผเู้ ลศิ กว่าเขา สาคัญตวั วา่ เสมอเขา ๙. เปน็ ผู้เลิศกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา ราม
อริยบุคคล คือ บุคคลทีป่ ระเสริฐ ปราศจากกเิ ลส เป็นผรู้ ักษาศลี ได้สมบรู ณ์ มีสมาธิและปัญญาพอประมาณ มี ๒ จาพวก คือ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงเหน็ ท้ังความเกิดทงั้ ความดบั ๒. ภังคานปุ สั สนาญาณ ปรีชาคานงึ เห็นความดับ ๓. ภยตปู ฏั ฐานญาณ ปรีชาคานึงเห็นสงั ขารปรากฏ เปน็ ของน่ากลัว ๔. อาทนี วานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงเหน็ โทษ ๕. นิพพทิ านปุ สั สนาญาณ ปรีชาคานงึ ถึงความเบื่อหน่าย ๖. มญุ จิตุกามยตาญาณ ปรีชาคานึงด้วยใคร่จะพน้ ไปเสยี ๗. ปฏิสงั ขานุปสั สนาญาณ ปรีชาคานึงด้วยพิจารณาหาทาง ๘. สงั ขารเุ ปกขาญาณ ปรีชาคานงึ ด้วยความวางเฉยเสยี ๙. สัจจานโุ ลมิกญาณ ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กาหนดรู้อรยิ สัจ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา ราม 117
พทุ ธคณุ หมายถงึ พระคุณของพระพุทธเจ้า ได้แก่ คณุ สมบัติพเิ ศษของ พระพทุ ธเจ้า มี ๙ ประการ คือ ๑. อรหัง เปน็ พระอรหนั ต์ ๒. สมั มาสัมพทุ โธ เป็นผู้ตรสั รู้ชอบเอง ๓. วิชชาจรณสัมปันโน เป็นผู้ถงึ พร้อมด้วยวิชชา และจรณะ ๔. สุคโต เปน็ ผู้เสด็จไปดีแลว้ ๕. โลกวทิ ู เปน็ ผู้รู้แจ้งโลก ๖. อนตุ ตโร ปุริสทมั มสารถิ เปน็ สารถแี ห่งบรุ ุษพึงฝึกได้ ไม่มีบุรษุ อื่นยิ่งไปกวา่ ๗. สัตถา เทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทง้ั หลาย ๘. พุทโธ เป็นผู้ตืน่ แลว้ เปน็ ผเู้ บิกบานแลว้ ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 118 ราม
โลกตุ ตรธรรม หมายถงึ ธรรมอันยอดเยีย่ มอยู่เหนือวิสัยของโลก เปน็ ภาวะที่ หลุดพ้นจากโลกิยะ มี ๙ ประการ คือ มรรค ๔ คือ - โสดาปัตติมรรค,สกทาคามิมรรค,อนาคามีมรรค,อรหัตตมรรค ผล ๔ คือ - โสดาปัตติผล,สกทาคามิผล,อนาคามีผล,อรหตั ตผล นิพพาน คือ - อนุปาทิเสสนิพพาน พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 119 ราม
สงั ฆคุณ หมายถงึ คุณของพระสงฆ์ เรียกเตม็ ๆวา่ พระอริยสงฆ์ เปน็ คุณที่เกื้อกลู ประโยชน์ต่อผู้อืน่ ๙ ประการ คือ ๑. สุปฏปิ ันโน เป็นผู้ปฏบิ ตั ิดีแลว้ ๒. อชุ ปุ ฏิปนั โน เป็นผู้ปฏบิ ัติตรงแลว้ ๓. ญายปฏปิ ันโน เป็นผู้ปฏบิ ัติเปน็ ธรรม ๔. สามีจิปฏปิ ันโน เปน็ ผู้ปฏบิ ัติสมควร (ยาทิทัง นีค้ ือใคร) (จัตตาริ ปุริสยคุ านิ คู่แหง่ บุรุษ ๔) (อฏฐฺ ปุริสปุคคลา บรุ ษุ บคุ คล ๘) (เอส ภควโต สาวกสังโฆ นีพ่ ระสงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาค) ๕. อาหเุ นยโย เป็นผู้ควรของคานับ ๖. ปาหุเนยโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ ๗. ทกั ขิเณยโย เปน็ ผู้ควรของทาบุญ ๘. อญั ชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทาอัญชลี (ประณมมือไหว้) ๙. อนุตฺตรัง ปญุ ญักเขตตัง เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบญุ อืน่ โลกสฺส ยิง่ กวา่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 120 ราม
หมวด ๑๐ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 121 ราม
สัตตาวาส หมายถงึ ภพเปน็ ที่อยู่ของสัตว์ทุกประเภท เแจกเป็น ๙ อย่าง คือ ๑. สตั ว์เหล่าหนงึ่ มกี ายต่างกนั มสี ญั ญาต่างกนั เช่นพวกมนุษย์ พวกเทวดาบาง หมู่ พวกวินปิ าติกะ เปรต บางหมู่ ๒. สตั ว์เหล่าหนงึ่ มกี ายต่างกนั มสี ญั ญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพผู้อยู่ใน จาพวกพรหม ผู้เกดิ ในภมู ปิ ฐมฌาน ๓. สัตว์เหล่าหนงึ่ มกี ายอย่างเดียวกนั มีสญั ญาต่างกัน เช่นพวกเทพอาภสั สระ ๔. สตั ว์เหล่าหนงึ่ มกี ายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพสุ ภกิณหะ ๕. สัตว์เหล่าหนงึ่ ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่นพวกเทพผู้เป็นอสญั ญีสตั ว์ ๖. สตั ว์เหล่าหนึ่ง ผู้เข้าถงึ ช้ันอากาสานญั จายตนะ ๗. สตั ว์เหล่าหนงึ่ ผู้เข้าถงึ ช้ันวิญญาญัญจายตนะ ๘. สัตว์เหล่าหนึ่ง ผู้เขา้ ถึงช้ันอากิญจัญญายตนะ ๙. สัตว์เหล่าหนงึ่ ผู้เข้าถงึ ชั้นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 122 ราม
ความเห็นอันถือเอาที่สุด คือเล่นเขา้ ไปถึงที่สุด ในอย่างหนึ่งๆ เรียก อนั ตคาหิกทิฏฐิ แจกออกไปเป็น ๑๐ คือ ๑. โลกเที่ยง ๒. โลกไมเ่ ทีย่ ง ๓. โลกมีที่สุด ๔. โลกไมม่ ที ี่สดุ ๕. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันน้ัน ๖. ชีพเปน็ อัน สรีระกเ็ ป็นอื่น ๗. สัตว์เบื้องหน้าแตต่ ายแล้ว ย่อมเปน็ อีก เกิดอกี ๘. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เปน็ อกี ๙. สัตว์เบื้องหน้าแตต่ ายแลว้ ย่อมเป็นอีกกม็ ี ย่อมไม่เปน็ อกี ก็มี ๑๐. สัตว์เบื้องหพรนะธ้าีรแวตฒั ต่น์าจยนฺทแโลสภ้วโณย่อวดัมไผเปเ่ งน็ินโอชตีกนหาามไิ ด้ ย่อมไม่เป็นอีก ก็หามไิ ด้ ราม 123
ทสพลญาณ หมายถึง พระปรชี าญาณที่เป็นพระกาลงั ของพระพทุ ธเจ้า มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ฐานาฐานญาณ ปรีชากาหนดรู้ฐานะ คือเหตุที่ควรเปน็ ได้ และอฐานะ คือมใี ช่เหตุที่ควรเป็นได้ ๒. วิปากญาณ ปรีชากาหนดรู้ผลแห่งกรรม ๓. สัพพตั ถคามินีปฏิปทาญาณ ปรีชากาหนดรู้ทางไปสู่ภูมิทง้ั ปวง ๔. นานาธาตุญาณ ปรีชากาหนดรธู้ าตุต่างๆ ๕. นานาธิมุตตกญาณ ปรีชากาหนดรู้อธิมุตติคืออัธยาศยั ของสัตว์ท้ังหลายอันเปน็ ต่าง ๆ กนั ๖. อนิ ทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชากาหนดรคู้ วามหย่อนและย่งิ แหง่ อนิ ทรียข์ องสตั ว์ท้ังหลาย ๗. ฌานาทิสังกเิ ลสาทิญาณ ปรีชากาหนดรู้อาการมีความเศร้าหมองเป็นต้นแหง่ ธรรมมฌี านเปน็ ต้น ๘. ปพุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ปรีชากาหนดระลึกชาติหนหลังได้ ๙. จุตปู ปาตญาณ ปรีชากาหนดรู้จุติ และอปุ บัติของสัตวท์ ้ังหลายผู้เปน็ ต่าง ๆ กันโดยกรรม. ๑๐. อาสวกั ขยญาณ ปรีชารจู้ ักทาอาสวะใหส้ ้นิ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 124 ราม
มจิ ฉตั ตะ หมายถึง ความเป็นผิด เหน็ หลักธรรมคาสอนทีผ่ ดิ จากทางคาสอนทาง ศาสนา มี ๑๐ ประการ คือ ๑. มจิ ฉาทิฏฐิ เหน็ ผิด ๒. มจิ ฉาสังกัปปะ ดาริผิด ๓. มจิ ฉาวาจา วาจาผิด ๔. มจิ ฉากมั มันตะ การงานผิด ๕. มจิ ฉาอาชวี ะ เลี้ยงชีวติ ผิด ๖. มจิ ฉาวายามะ พยายามผดิ ๗. มจิ ฉาสติ ระลึกผิด ๘. มจิ ฉาสมาธิ ต้ังจิตผิด ๙. มจิ ฉาญาณะ รู้ผิด ๑๐. มจิ ฉาวิมุตพตระิ ธพีรว้นฒั ผน์ิดจนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 125 ราม
บารมี หมายถงึ การบาเพญ็ คณุ สมบัติ ด้วยเจตนาและสจั จะที่มัน่ คงมี๑๐ ประการคือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญั ญา วิรยิ ะ ขันติ สัจจะ อธฏิ ฐาน เมตตา อุเบกขา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 126 ราม
สงั โยชน์ หมายถึง กิเลสท่ผี กู มดั ใจของสตั ว์ฝหต้ ิดอยใู่ นชาติภพของโลก มี ๑๐ ประการ คือ ๑. สกั กายทิฏฐิ ความเห็นเปน็ เหตุถือตวั ถือตน ๒. วิจกิ ิจฉา ความลงั เลเป็นเหตุไม่แน่ใจ ในปฏิปทาเครื่องดาเนินของตน ๓. สลี ัพพตปรามาส ความเชื่อถือศักด์สิ ทิ ธิ์ ดว้ ยเข้าใจว่ามีได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ๔. กามราคะ ความกาหนัดด้วยอานาจกเิ ลสกาม เรียกแต่เพยี งราคะกม็ ี ๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระท่ังแห่งจิต ได้แก่ความหงดุ หงดิ ดว้ ยอานาจโทสะ เรียกโทสะตรง ทีเดียวกม็ ี ๕ นี้ เปน็ สงั โยชน์เบื้องต่า คืออย่างหยาบ เรียกโอรมั ภาคิยะ ๖. รูปราคะ ความติดใจอยู่ในรปู ธรรม เชน่ ชอบใจในบคุ คลบางคน หรือในพสั ดุบางสิ่งหรือแมใ้ น วตั ถุอันเป็นอารมณแ์ ห่งรูปฌาน ๗. อรปู ราคะ ความติดใจอยู่ในอรูปธรรม เช่นพอใจในสขุ เทวนา ๘. มานะ ความสาคญั ตัวว่าเปน็ น่นั เป็นนี่ ๙. อทุ ธจั จะ ความคิดพล่าน เชน่ นึกอะไรก็เพลินเกนิ ไปกวา่ เหตุ ๑๐. อวชิ ชา ความเขลาอนั เปน็ เหตไุ ม่รู้จริง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 127 ราม
สัญญา ๑๐ หมายถงึ ความจาได้ ความหมายรู้ เป็นสญั ญาชนั่ สงู ทจี่ ะนาไปสู่ ปัญญา มี ๑๐ ประการ คือ ๑. สมั มาทิฏฐิ เห็นถูก ๒. สมั มาสงั กัปปะ ดาริถกู ๓. สัมมาวาจา วาจาถูก ๔. สมั มากมั มันตะ การงานถูก ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตถกู ๖. สมั มาวายามะ พยายามถกู ๗. สัมมาสติ ระลึกถูก ๘. สมั มาสมาธิ ตั้งจติ ถูก ๙. สมั มาญาณะ รู้ถูก ๑๐. สมั มาวมิ ุตพตระิ ธพีรว้นฒั ถน์กู จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 128 ราม
สังโยชน์ กเิ ลสที่ผกู มดั สัตว์ ในหมวดนี้ ข้อ ๑-๕,๗,และ๑๐ โดยเค้า คือนาอนสั ย ๗ เพิม่ เข้ามาอีก ๓ ข้อ ๖,๘,๙,รวมเปน็ ๑๐ ประการ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลัพพตปรามาส ภวราคะ อสิ สา มจั ฉริยะ อ วิชชา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา ราม 129
สทั ธรรม หมายถงึ ความจาได้ ธรรมของสตั บรุ ษุ ในทีน่ ้ปี ระสงค์ถึง พระพุทธเจา้ โดยแท้จรงิ โลกุตตรธรรม ๙ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ปริยัตธิ รรม พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 130 ราม
สัญญา ๑๐ หมายถึง ความจาได้ ความหมายรู้ เป็นสญั ญาชนั่ สูงทีจ่ ะนาไปสปู่ ญั ญา มี ๑๐ ประการ คือ ๑. อนิจจสญั ญา กาหนดหมายความไม่เทย่ี งแหง่ สงั ขาร. ๒. อนตั ตสญั ญา กาหนดหมายความเปน็ อนตั ตาแห่งธรรม. ๓. อสภุ สญั ญา กาหนดหมายความไม่งามแห่งกาย ๔. อาทีนวสัญญา กาหนดหมายโทษแห่งกาย คือมีอาพาธต่างๆ ๕. ปหานสญั ญา กาหนดหมายเพือ่ ละอกุศลวิตกและบาปธรรม ๖. วิราคสญั ญา กาหนดหมายวิราคะคืออริยมรรค ว่าเปน็ ธรรมอนั ละเอียด ๗. นิโรธสัญญา กาหนดหมายนิโรธความดบั ตัณหา คืออริยผล ว่าเปน็ ธรรมอนั ละเอยี ด ๘. สัพพโลเก อนภิรตสญั ญา กาหนดหมายความไม่น่าเพลดิ เพลินในโลกทงั้ ปวง ๙. สัพพสงั ขาเรสุ อนิฏฐสญั ญา กาหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง ๑๐. อานาปานัสสติ สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 131 ราม
หมวด ๑๑ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 132 ราม
ปจั จัยาการ หมายถึง อาการที่เป็นปจั จยั แก่กนั ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง สภาวะ ที่อาศัยกนั และกันเกิดขึน้ ๑. เพราะอวิชชา เป็นปจั จยั มีสังขาร ๒. เพราะสังขาร เป็นปจั จัย มีวิญญาณ ๓. เพราะวิญญาณ เป็นปจั จัย มีนามรปู ๔. เพราะนามรูป เป็นปจั จัย มีสฬายตนะ ๕. เพราะสฬายตนะ เป็นปจั จัย มผี ัสสะ ๖. เพราะผัสสะ เป็นปจั จยั มเี วทนา ๗. เพราะเวทนา เปน็ ปจั จยั มีตัณหา ๘. เพราะตัณหา เป็นปัจจัย มีอปุ าทาน ๙. เพราะอปุ าทาน เป็นปัจจัย มีภพ ๑๐. เพราะภพ เป็นปจั จยั มชี าติ ๑๑. เพราะชาติ เปน็ ปจั จัย มีชรามรณโสกปริเทว 133 พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา ราม
ปัจจยาการทั้ง ๑๑ มดี ังนี้ 134 ๑. ชรามรณะเป็นต้นมเี พราะชาติ ๒. ชาติมเี พราะภพ ๓. ภพมเี พราะอุปาทาน ๔. อปุ ทานมีเพราะตณั หา ๕. ตณั หามเี พราะเวทนา ๖. เวทนามีเพราะผสั สะ ๗. ผัสสะมเี พราะสฬายตนะ ๘. สฬายตนะมเี พราะนามรูป ๙. นามรปู มเี พราะวิญญาณ ๑๐. วิญญาณมเี พราะสังขาร ๑๑. สังขารมเี พราะอวชิ ชา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา ราม
หมวด ๑๒ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 135 ราม
กรรม หมายถงึ การกระทา เปน็ คากลางๆในการแทนคาว่า ดีหรือช่วั มี ๑๒ ประการคือ หมวดที่ ๑ ให้ผลตามคราว ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพนี้ ๒. อปุ ปัชชเวทนยี กรรม กรรมให้ผลต่อเมือ่ เกิดแล้วในภพหน้า ๓. อปราปเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพสืบ ๆ ๔. อโหสิกรรม กรรมให้ผลสาเรจ็ แล้ว พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งินโชตนา 136 ราม
หมวดที่ ๒ ให้ผลตามกิจ 137 ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด ๖. อปุ ัตถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน ๗. อปุ ปีฬกกรรม กรรมบีบคนั้ ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน หมวดที่ ๓ ให้ผลตามลาดบั ๙. ครกุ รรม กรรมหนัก ๑๐. พหลุ กรรม กรรมชนิ ๑๑. อาสนั นกรรม กรรมเมือ่ จวนเจยี น ๑๒. กตัตตากรรม กรรมสักวา่ ทา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา ราม
หมวดที่ ๒ ให้ผลตามกิจ 138 ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด ๖. อปุ ัตถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน ๗. อปุ ปีฬกกรรม กรรมบีบคนั้ ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน หมวดที่ ๓ ให้ผลตามลาดบั ๙. ครกุ รรม กรรมหนัก ๑๐. พหลุ กรรม กรรมชนิ ๑๑. อาสนั นกรรม กรรมเมือ่ จวนเจยี น ๑๒. กตัตตากรรม กรรมสักวา่ ทา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา ราม
หมวด ๑๓ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 139 ราม
ธุดงค์ หมายถึง อบุ ายวิธีเครือ่ งขดั เกลากิเลส มกั นอ้ ยสันโดษ เพือ่ ความผ่องใส ของศีล เปน็ ข้อปฏบิ ัติ มี ๑๓ ประการ คือ หมวดที่ ๑ ปฏิสงั ยุตด้วยจีวร ๑. ปงั สุกูลกิ ังคะ ถือทรงผ้าบงั สุกลุ เป็นวัตร ๒. เตจวี ริกังคะ ถือทรงเพียงไตรจีวรเป็นวัตร หมวดที่ ๒ ปฏิสังยุตด้วยบิณฑบาต ๓. ปิณฑปาติกงั คะ ถือเที่ยวบิณฑบาตเปน็ วัตร ๔. สปทานจาริกกงั คะ ถือเท่ยี วบิณฑบาตไปตามแถวเปน็ วัตร ๕. เอกาสนิกงั คะ ถือน่งั ฉนั ณ อาสนะเดียวเปน็ วตั ร ๖. ปตั ตปิณฑิกังคะ ถือฉนั เฉพาะในบาตรเป็นวัตร ๗. ขลปุ ัจฉาภัตติกังคะ ถือห้ามภัตอันนามาถวายเมื่อภายหลงั เป็นวัตร พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา ราม 140
หมวดที่ ๓ ปฏิสังยตุ ด้วยเสนาสนะ ๘. อารญั ญิกังคะ ถืออยู่ป่าเปน็ วัตร ๙. รกุ ขมลู ิกงั คะ ถืออยู่โคนไม้เป็นวตั ร ๑๐. อพั โภกาสิกงั คะ ถืออยู่ในที่แจ้ง ๆ เปน็ วัตร ๑๑. โสสานิกงั คะ ถืออยู่ป่าชา้ เปน็ วัตร ๑๒. ยถาสันถติกงั คะ ถือการอยู่ในเสนาสนะอนั ท่านจัดให้อย่างไร หมวดที่ ๔ ปฏิสงั ยุตด้วยวิริยะ ๑๓. เนสชั ชิกังคะ ถือการน่งั เป็นวตั ร พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 141 ราม
การถือธุดงค์น้ี สาเรจ็ ด้วยการสมาทาน คือด้วยอธิษฐานใจหรือแม้ด้วยเปลง่ วาจา คาสมาทานนั้นดังนี้ ๑. สาหรับปังสุกูลิกงั คะว่า \"คหาปติจีวร ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปสํ ุกูลิกงคฺ สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เราดคฤหบดีจวี รเสีย สมาทานองค์ของ ผู้ถือผ้าบังสุกลุ เป็นวัตร.\" ๒. สาหรบั เตจีวริกงั คะวา่ \"จตุตถฺ จีวร ปฏิกขฺ ิปาม,ิ เตจีวริกงคฺ สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เรางดจีวรผืนที่ ๔ เสีย สมาทานองค์ของ ผู้ถือทรงไตรจีวรเปน็ วัตร.\" ๓. สาหรบั ปิณฑปาติกังคะว่า \"อติเรกลาภ ปฏิกขฺ ปิ าม,ิ ปิณฑฺ ปาติกงฺค สมาทิยาม.ิ \" แปลว่า \"เรางดอติเรกลาภเสยี สมาทานองค์ของผถู้ ือบิณฑบาตเปน็ วัตร.“ ๔. สาหรบั สปทานจาริกงั คะว่า \"โลลปุ ฺปจาร ปฏิกฺขิปามิ,สปทานจาริกงคฺ สมาทิ ยาม.ิ \" แปลว่า \"เรางดการเที่ยวโลเลเสีย สมาทานองคข์ องผู้ถือเทีย่ วบิณฑบาตไป ตามแถวเปน็ วัตร.\" พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 142 ราม
๕. สาหรบั เอกาสนิกงั คะว่า \"นานาสนโภชน ปฏิกฺขิปามิ,เอกาสนิกงฺค สมาทิ ยามิ.\" แปลว่า \"เรางดการฉนั ณ ต่างอาสนะ เสีย สมาทานองค์ของผู้ถือน่งั ฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวตั ร.\" ๖. สาหรับปัตตปณิ ฑกิ ังคะวา่ \"ทตุ ยิ ภาชน ปฏกิ ขฺ ิปามิ,ปตตฺ ปิณฺฑิกงฺค สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เรางดภาชนะที่ ๒ เสยี สมาทานองคข์ องผู้ถือการฉนั เฉพาะในบาตเป็นวัตร.\" ๗. สาหรบั ขลุปจั ฉาภตั ติกังคะว่า \"อตริ ิตตฺ โภชน ปฏิกขฺ ิปามิ,ขลปุ จฺฉาภตฺ ติกงฺค สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เรางดโภชนะอันเหลือ เพือ่ เสยี สมาทานองค์ แห่งผู้ห้ามภตั อันนามาถวายเมือ่ ภายหลงั เปน็ วตั ร.\" ๘. สาหรับอารญั ญิกงั คะว่า \"คามนตฺ เสนาสน ปฏิกฺขิปามิ,อารญญฺ ิกงฺค สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เรางดเสนาสนะชายบ้านเสยี สมาทานองคแ์ ห่งผู้ถือ การอยู่ป่าเป็นวัตร.\" พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 143 ราม
๙. สาหรับรุกขมลู ิกงั คะว่า \"ฉนฺน ปฏิกขฺ ิปาม,ิ รกุ ฺขมลู ิกงฺค สมาทิยามิ.\" แปลว่า \"เรางดทีม่ งุ ที่บังเสยี สมาทานองค์ของผู้ถือ การอยู่โคนไม้เป็นวัตร.\" ๑๐. สาหรบั อัพโภกาสิกังคะว่า \"ฉนนฺ ญฺจ รุกขฺ มูลญจฺ ปฏิกขฺ ปิ ามิ, อพฺโภกาสิกงคฺ สมาทิยาม.ิ \" แปลว่า \"เรางดที่มงุ ทีบ่ งั และโคนไมเ้ สีย สมาทานองค์ของผู้ถือการ อยู่ในทีแ่ จ้ง ๆ เป็น วตั ร.\" ๑๑. สาหรบั โสสานกิ งั คะว่า \"อสสุ าน ปฏิกฺขิปาม,ิ โสสานิกงคฺ สมาทิยาม.ิ \" แปลว่า \"เรางดที่ไมใ่ ช่ป่าข้าเสีย สมาทานองค์ของผู้ ถือการอยู่ปา่ ช้าเป็นวัตร.\" ๑๒. สาหรบั ยถาสนั ถติกงั คะว่า \"เสนาสนโลลปุ ปฺ ํ ปฏิกฺขิปามิ, ยถาสนถฺ ติกงฺค สมาทิยาม.ิ \" แปลว่า \"เรางดความโลเลในเสนาสนะเสีย สมาทานองค์ของผอู้ ยู่ใน เสนาสนะอนั ทา่ นจดั ให้อย่างไร.\" ๑๓. สาหรับเนสชั ชิกงั คะวา่ \"เสยยฺ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, เนสชฺชิกงคฺ สมาทิยามิ\" แปลว่า \"เรางดการนอนเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือ การนั่งเปน็ วัตร.\" พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา ราม 144
หมวด ๑๕ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 145 ราม
๑. สีลสมั ปทา หมวดท่ี ๑ ๒. อนิ ทริยสงั วร ๓. โภชนมตั ตญั ญตุ า ถงึ พร้อมด้วยศลี ๔. ชาคริยานโุ ยค สารวมอินทรยี ์ รู้ความพอดใี นการกนิ อาหาร ประกอบความเพยี รของผู้ตืน่ อยู่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงนิ โชตนา 146 ราม
๑๒. ปฐมฌาน หมวดท่ี ๓ (รปู ฌาน ๔) ๑๓. ทตุ ยิ ฌาน ๑๔. ตติยฌาน ฌานทหี่ นึ่ง ๑๕. จตุตถฌาน ฌานทสี่ อง ฌานทสี่ าม ฌานทสี่ ี่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผ่เงินโชตนา 147 ราม
๕. สทั ธา หมวดท่ี ๒ (สัทธรรม ๗) ๖. หิริ ๗. โอตตปั ปะ ความเชือ่ ๘. พาหสุ ัจจะ ความละอายแกใ่ จ ๙. วิรยิ ะ ความเกรงกลวั ผดิ ๑๐. สติ ความเปน็ ผู้ไดฟ้ งั มาก คือได้รับศกึ ษา ๑๑. ปัญญา ความเพยี ร ความระลึกได้ ความรอบรู้ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ วดั ไผเ่ งนิ โชตนา 148 ราม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148