Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเตรียมสอบนักธรรมโท พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒ (1)

คู่มือเตรียมสอบนักธรรมโท พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒ (1)

Description: คู่มือเตรียมสอบนักธรรมโท พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒ (1)

Search

Read the Text Version

ก คานาในการจดั พมิ พ์ คร้ังที่ ๓ คู่มือเตรียมสอบธรรม สนามหลวง นกั ธรรมช้นั โท ประมวลปัญหา- เฉลย (๒๕๕๑-๒๕๖๒) ฉบบั น้ี จดั พิมพข์ ้ึนเพ่ือให้ผูเ้ รียนได้อ่านปัญหาเฉลย ขอ้ สอบธรรมสนามหลวงท่ีมีจานวนขอ้ สอบมากและไม่ไดจ้ ดั เรียงหมวดหมู่ตาม เน้ือหาในหนังสือเรียน สามารถอ่านหนังสือไปพร้อมกับศึกษาแนวข้อสอบ สนามหลวงไปพร้อมกนั ได้ จึงไดจ้ ดั เรียงปัญหาเฉลยใหม่ โดยปรับให้มีความ สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาแต่ละบท ประกอบดว้ ยวิชาเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม วิชา ธรรมวิภาค วิชาอนุพุทธประวตั ิ วิชาศาสนพิธี และวิชาวินัยมุข โดยรวบรวม ปัญหา-เฉลยไว้ ๑๒ ปี ต้งั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๕๑ - พ.ศ.๒๕๖๒ ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ ผเู้ ขา้ สอบธรรม สนามหลวง ระดบั นกั ธรรมช้นั โท จะ ไดป้ ระโยชน์จากการศึกษาคู่มือฉบบั น้ี สามารถช่วยเสริมความเขา้ ใจและจดจา แนวการออกขอ้ สอบธรรมสนามหลวง และใชต้ ิวก่อนเขา้ สอบธรรมสนามหลวง เพ่อื ช่วยทาใหเ้ กิดความมนั่ ใจในการทาขอ้ สอบไดม้ ากยง่ิ ข้ึน ขอให้ทุกท่านจงมีความสุข ความเจริ ญรุ่ งเรื องในร่ มเงาบวร พระพุทธศาสนาสืบไป ใหม้ ีดวงปัญญาสวา่ งไสว รู้แจง้ เห็นแจง้ ในธรรมของพระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ไดโ้ ดยง่าย โดยเร็วพลนั เทอญฯ ขอขอบคณุ และอนุโมทนาบุญ พระอติคณุ ฐิตวโร, ดร. กองธรรม โรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย จ.ปทมุ ธานี ๒๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

ข ตอนท่ี ๑ สารบัญ หน้า ตอนที่ ๒ เรื่อง ๑ ๑. การเขยี นเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑ ๒ ๑.๑ วธิ ีอ่านภาษาบาลี ๔ ๑.๒ หลกั เกณฑก์ ารเขยี นเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ๙ ๑.๓ แนวทางการอธิบายหวั ขอ้ กระทูธ้ รรม ๑๑ ๑.๔ โครงสร้างการเขียนกระทูธ้ รรม ๑๔ ๑.๕ ตวั อยา่ งการเขียนกระทธู้ รรม ๑.๖ ขอ้ สอบวชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ๑๗ ๒. ปัญหา-เฉลย นักธรรมช้ันโท สนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๖๓ ๑๗ ๒.๑ วชิ าธรรมวภิ าค ๑๗ ๒๐ ทกุ ะ คือ หมวด ๒ ๒๔ ติกะ คือ หมวด ๓ ๒๗ จตุกกะ คอื หมวด ๔ ๒๙ ปัญจกะ คอื หมวด ๕ ๓๐ ฉกั กะ คอื หมวด ๖ ๓๐ สตั ตกะ คือ หมวด ๗ ๓๐ อฏั ฐกะ คอื หมวด ๘ ๓๒ นวกะ คือ หมวด ๙ ๓๓ ทสกะ คือ หมวด ๑๐ ๓๓ เอกาทสกะ คือ หมวด ๑๑ ๓๔ ทวาทสกะ คือ หมวด ๑๒ เตรสกะ คอื หมวด ๑๓ ๓๖ ๒.๒ วิชาอนุพุทธประวตั ิ ๓๖ ๔๐ บทที่ ๑ องคท์ ่ี ๑-๑๐ ๔๕ บทท่ี ๒ องคท์ ่ี ๑๑-๒๐ ๔๖ บทที่ ๓ องคท์ ี่ ๒๑-๓๐ บทท่ี ๔ องคท์ ี่ ๓๑-๔๖ ๔๙ ๒.๓ วิชาศาสนพธิ ี ๔๙ ๕๐ หมวด ๑ กศุ ลพธิ ี ๕๑ หมวด ๒ บญุ พิธี หมวด ๓ ทานพิธี

เรื่อง ค หมวด ๔ ปกิณณกพธิ ี หน้า ๒.๔ วิชาวนิ ัยมุข ๕๒ อารัมภบท ๕๓ กณั ฑท์ ี่ ๑๑ กายบริหาร กณั ฑท์ ่ี ๑๒ บริขาร บริโภค ๕๓ กณั ฑท์ ี่ ๑๓ นิสัย ๕๔ กณั ฑท์ ี่ ๑๔ วตั ร ๕๕ กณั ฑท์ ่ี ๑๕ คารวะ ๕๖ กณั ฑท์ ่ี ๑๖ จาพรรษา ๕๘ กณั ฑท์ ่ี ๑๗ อโุ บสถ ปวารณา ๖๐ กณั ฑท์ ่ี ๑๘ อปุ ปถกิริยา ๖๑ กณั ฑท์ ่ี ๑๙ กาลิก ๔ ๖๓ กณั ฑท์ ี่ ๒๐ ภณั ฑะตา่ งเจา้ ของของสงฆ์ ๖๖ กณั ฑท์ ี่ ๒๑ วนิ ยั กรรม ๖๗ กณั ฑท์ ี่ ๒๒ ปกิณณกะ ๖๙ ๗๐ ๗๑

๑ ๑. การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑.๑ วธิ ีอ่านภาษาบาลี ๑) พยญั ชนะท่ีมีสระกากบั อยู่ ใหอ้ ่านออกเสียงตามสระน้นั ๆ เช่น ปรุ ิมานิ อา่ นวา่ ปุ-ริ-มา-นิ ตณี ิ อ่านวา่ ตี-ณิ ๒) พยญั ชนะท่ีไมม่ ีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย ใหอ้ า่ นออกเสียงสระ อะ ทุกแห่ง เช่น นววิธ อ่านวา่ นะ-วะ-วิ-ธัง ปน อา่ นวา่ ปะ-นะ ๓) พยญั ชนะที่มี พนิ ทุ ( ̣ ̣ ) อยขู่ า้ งลา่ ง แสดงวา่ พยญั ชนะตวั น้นั เป็นตวั สะกด ใหอ้ า่ นออกเสียงรวม กบั สระของพยญั ชนะท่ีอย่ขู า้ งหนา้ เช่น ภิกฺขู (ภิ+ก=ภิก) อ่านวา่ ภิก-ขู โหนฺติ (โห+น=โหน) อา่ นวา่ โหน-ติ ถา้ พยญั ชนะที่อยขู่ า้ งหนา้ ไม่มีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย พนิ ทุ ( ̣ ̣ ) น้นั จะเท่ากบั ไมห้ นั อากาศ เช่น ตตฺถ (ตะ+ต=ตตั ) อ่านวา่ ตตั -ถะ อฏฺ ฐ (อะ+ฏ=อฏั ) อา่ นวา่ อฏั -ฐะ ๔) พยญั ชนะที่มี นิคหติ ( ํ ) อยขู่ า้ งบนและมีสระกากบั อยดู่ ว้ ย ใหอ้ ่านออกเสียงมี ง เป็นตวั สะกด เช่น กึ (กิ+ง=กิง) อา่ นวา่ กงิ กาตุ (ตุ+ง=ตุง) อ่านวา่ กา-ตงุ ถา้ พยญั ชนะท่ีมี นคิ หิต ( ํ ) อยขู่ า้ งบน แตไ่ ม่มีสระใดๆ กากบั อยเู่ ลย นิคหิต ( ํ ) น้นั จะเท่ากบั องั เช่น วตฺต (ตะ+ง=ตงั ) อา่ นวา่ วตั -ตงั อย (ยะ+ง=ยงั ) อา่ นวา่ อะ-ยัง ๕) พยญั ชนะตวั หนา้ ที่มี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ ่านออกเสียงสระ อะ ก่ึงเสียง เช่น เทฺว อ่านวา่ ท-๎ เว พฺยตฺต อ่านวา่ พ-๎ ยตั -ตัง ๖) ถา้ มี ร อยหู่ ลงั พยญั ชนะท่ีมี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ ่านออกเสียงควบกล้ากนั เช่น ตตฺร อ่านวา่ ตัต-ตระ

๒ พรฺ หฺมจริยา อ่านวา่ พรัม-มะ-จะ-ริ-ยา ๗) ส ที่มี พนิ ทุ ( ํฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็นตวั สะกดของพยญั ชนะท่ีอยขู่ า้ งหนา้ และออก เสียง ส น้นั อีกก่ึงเสียง เช่น อมิ สฺมึ อา่ นวา่ อ-ิ มัส-ส๎-หมิง ตสฺมา อา่ นวา่ ตัส-ส๎-หมา ๘) คาท่ีลงทา้ ยดว้ ย ตฺวา ตฺวาน ใหอ้ า่ นออกเสียง ต เป็นตวั สะกดของพยญั ชนะที่อยขู่ า้ งหนา้ และ ออกเสียง ต น้นั อีกก่ึงเสียง เช่น กตฺวา อา่ นวา่ กตั -ต๎-วา คเหตฺวา อ่านวา่ คะ-เหต-ต๎-วา ๙) ฑ ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็นตวั ด ท้งั หมด เช่น ปิ ณฑฺ ปาต อา่ นวา่ ปิ ณ-ดะ-ปา-ตงั ปิ ณฺฑาย อ่านวา่ ปิ ณ-ดา-ยะ ๑๐) ห ท่ีมีสระ อี อยดู่ ว้ ย ให้อา่ นออกเสียงเป็น ฮี เช่น ตุณฺหี อา่ นวา่ ตณุ -ณ๎-ฮี อจฺฉาเทหีติ อา่ นวา่ อจั -ฉา-เท-ฮี-ติ ๑.๒ หลกั เกณฑ์การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑) กระทู้ต้ัง คือ ธรรมภาษติ ท่ีเป็นปัญหาท่ียกข้ึนมาก่อนสาหรับใหแ้ ต่งแก้ เช่น ยาทสิ วปเต พชี ตาทสิ ลภเต ผล กลยฺ าณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บคุ คลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมช่ัว ย่อมได้ผลช่ัว ๒) คานา คอื คาข้ึนตน้ หรือคาช้ีแจงก่อนจะแตง่ ต่อไป กลา่ วคือ เม่ือยกคาถาบทต้งั ไวแ้ ลว้ เวลาจะ แต่งตอ้ งข้ึนอารัมภบทก่อนวา่ บัดนจี้ กั ได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษติ ท่ไี ด้ลขิ ิตไว้ ณ เบื้องต้น เพ่ือเป็ น แนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติของสาธุชนผ้ใู คร่ในธรรมสืบไป ๓) เนื้อเรื่องของกระทู้ต้งั ตอ้ งมีเน้ือหาสาระสาคญั ลาดบั เน้ือหาสาระใหต้ ่อเนื่องกนั เป็นเหตุเป็นผล โดยข้นึ ตน้ ดว้ ยคาวา่ “อธบิ ายความว่า” ก่อนจบการอธิบายจะลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ “นสี้ มด้วยธรรม ภาษิต ทม่ี าใน (ใส่ท่ีมาของธรรมภาษิตที่นามารับ) ว่า” เพื่อรับรองไวเ้ ป็นหลกั ฐาน เช่น นสี้ มด้วยธรรมภาษิต ทีม่ าใน ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ว่า

๓ ๔) กระทู้รับ คือ ธรรมภาษติ ที่ยกข้ึนมารับรองใหส้ มเหตุสมผลกบั กระทตู้ ้งั เพราะการแตง่ เรียงความน้นั ตอ้ งมีกระทูร้ ับอา้ งใหส้ มจริงกบั เน้ือความท่ีไดแ้ ต่งไป มิใช่เขียนไปแบบลอย ๆ เช่น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถ ลภติ ทุลฺลภ. ตนแล เป็ นท่พี ง่ึ ของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็ นทพ่ี งึ่ ได้ กบ็ ุคคลมีตนฝึ กฝนดแี ล้ว ย่อมได้ท่ีพงึ่ ที่หาได้โดยยาก. ๕) เนื้อเร่ืองของกระทู้รับ คอื อธิบายเน้ือหาสาระสาคญั ของธรรมภาษิตท่ียกมารับ โดยข้ึนตน้ ดว้ ย คาวา่ “อธิบายความว่า” ๖) บทสรุป คือ การรวบรวมใจความสาคญั ของเรื่องท่ีไดอ้ ธิบายมาแต่ตน้ โดยกล่าวสรุปลงส้ันๆ หรือยอ่ ๆ ใหไ้ ดค้ วามหมายที่ครอบคลุมถึงเน้ือหาที่กล่าวมาท้งั กระทตู้ ้งั และกระทรู้ ับ โดยข้ึนตน้ ดว้ ยคาวา่ “สรุปความว่า” ก่อนจบการสรุปจะลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ “สมด้วยธรรมภาษิตท่ีได้ลขิ ิตไว้ ณ เบื้องต้นว่า” แลว้ จึงเขียนกระทตู้ ้งั พร้อมคาแปลอีกคร้ังหน่ึง เช่น สมด้วยธรรมภาษติ ทไี่ ด้ ลขิ ติ ไว้ ณ เบื้องต้นว่า ยาทิส วปเต พชี ตาทสิ ลภเต ผล กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมช่ัว ย่อมได้ผลช่ัว ๗) คาลงท้าย คอื ประโยคท่ีเป็นการจบการเขียนเรียงความ จะใชค้ าวา่ “มีนัยดังได้พรรณนามาด้วย ประการฉะนี้ ฯ” โดยใหเ้ ขียนข้นึ บรรทดั ใหม่ชิดเส้นก้นั หนา้ ๘) จานวนกระทู้รับ คือ จานวนธรรมภาษติ ที่จะตอ้ งหามาเชื่อมกบั กระทตู้ ้งั สาหรับระดบั ธรรม ศึกษาช้นั โท ใหใ้ ช้ ๒ ธรรมภาษิต ๙) จานวนหน้าท่ีต้องเขียน คือ การเขยี นเรียงความในกระดาษตอบสนามหลวง ขนาด F14 เวน้ บรรทดั สาหรับระดบั ธรรมศึกษาช้นั โท ตอ้ งเขียนอยา่ งนอ้ ย ๓ หนา้ กระดาษข้ึนไป และหา้ มใช้ ดินสอหรือปากกาน้าหมึกสีแดงเขยี นหรือขีดเสน้ โดยเด็ดขาด ใหใ้ ชป้ ากกาน้าหมึกสีน้าเงินหรือ สีดาเท่าน้นั หากเขยี นผิดเลก็ นอ้ ย สามารถใชน้ ้ายาหรือเทปลบคาผิดได้ ๑๐) การเขยี นตวั เลขบอกจานวน หากตอ้ งเขยี นตวั เลขบอกจานวนขอ้ เช่น ๑)........ ๒)........ ๓)........ ใหใ้ ชต้ วั เลขไทย หา้ มเขียนตวั เลขอารบิค และไมต่ อ้ งข้ึนยอ่ หนา้ ใหม่ ใหเ้ ขียนเรียงต่อกนั อยใู่ น ยอ่ หนา้ ของการอธิบายความ

๔ ๑.๓ แนวทางการอธิบายหวั ข้อกระทู้ธรรม ๑.๓.๑ ตวั อย่างกระทู้ต้ัง ๑. โกธสฺส วสิ มูลสฺส มธุรคฺคสฺส พฺราหฺมณ วธ อริยา ปสสนฺติ ตญฺหิเฉตฺวา น โสจต.ิ พราหมณ์ ! พระอริยเจ้าย่อมสรรเสริญผู้ฆ่าความโกรธ ซึ่งมีโคนเป็ นพษิ ปลายหวาน เพราะคนตดั ความโกรธน้ันได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก. (พทุ ฺธ) ส. ส. ๑๕/๒๓๖. อธิบายความว่า ความโกรธ หมายถึง ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจอย่างแรง ที่ เกิดข้ึนจากการประสบอารมณ์หรือสิ่งที่ไมช่ อบใจ เช่น ถูกคนอ่ืนตาหนิ ถูกด่า เป็นตน้ ความโกรธน้ี เกิดข้ึนไดง้ ่าย ดบั ยาก และมีโทษร้ายแรง เม่ือเกิดข้ึนแลว้ จะทาลายสติปัญญา ไม่คานึงถึงศีลธรรม ความโกรธมีรากเป็ นพิษมียอดหวาน หมายถึง ความโกรธมีรากมาจากความหลง (โมหะ) ความไม่ พอใจ (อรติ) ความหงุดหงิดราคาญ (ปฏิฆะ) ส่ิงเหลา่ น้ีลว้ นเป็นพิษแก่ร่างกายและจิตใจท้งั สิ้น ทาให้ โรคหวั ใจกาเริบ ทาใหป้ ระสาทตึงเครียด จิตใจเร่าร้อน อยากทาลายส่ิงของ อยากทาร้ายผอู้ ื่น เม่ือได้ ทาลายหรือทาร้ายแลว้ ความโกรธจะสงบลง เพราะไดร้ ะบายความร้อนภายในออกแลว้ รู้สึกสบาย ใจข้ึน เหมือนน้าเดือดท่ีมีทางระบาย อาการแบบน้ีเรียกว่า มียอดหวาน (มธุรัคคะ) แต่ในท่ีสุดก็ นาไปสู่ทุกขอ์ ีก และเป็นทุกขท์ ่ียงิ่ ใหญ่เหมือนคนดื่มน้าหวานท่ีผสมยาพิษ ทีแรกหวานแต่พอยาพิษ ออกฤทธ์ิเท่าน้นั ก็ไดเ้ ห็นโทษของยาพิษว่ามีอย่างไร ตอ้ งเศร้าโศกเสียใจไปตลอดชีวิตก็มี การทา อะไรลงไปเพราะความโกรธน้ัน เป็ นการทาลายตนเอง ทาลายผูอ้ ื่น แมก้ ระทง่ั ทาร้ายผูม้ ีพระคุณมี มารดาบิดา ครูอาจารย์ เป็นตน้ เมื่อเขาสงบอารมณ์จากความโกรธลงแลว้ ยอ่ มจะตอ้ งเศร้าโศกเสียใจ กบั สิ่งท่ีตนไดก้ ระทาผิดพลาดไป และเสียใจกบั ผลแห่งการกระทาของตนในภายหลงั ดงั น้นั พระ อริยเจา้ ท้งั หลาย ต้งั แต่พระโสดาบนั ข้ึนไปจนถึงพระอรหันต์ จึงสรรเสริญบุคคลฆ่าความโกรธได้ แลว้ วา่ ไม่ตกอยใู่ นอานาจของความโกรธ ยอ่ มไม่ตอ้ งเศร้าโศกเสียใจในภายหลงั ๒. นิทฺท น พหุลกี เรยฺย ชาคริย ภเชยฺย อาตาปี ตนฺทึ มาย หสฺส ขิฑฺฑ เมถุน วปิ ฺปชเห สวิภูส. ผู้มคี วามเพยี รไม่พงึ นอนมาก พงึ เสพธรรมเครื่องต่ืน พงึ ละความเกยี จคร้าน มายา ความร่าเริง การเล่น และเมถนุ พร้อมท้ังเครื่องประดับเสีย. (พุทฺธ) ข.ุ สุ. ๒๕/๕๑๕., ข.ุ มหา. ๒๙/๔๕๗,๔๖๐ อธิบายความว่า คาว่า ผูม้ ีความเพียรไม่พึงนอนมาก หมายถึง ผูม้ ีความขยนั ความ พยายาม แบ่งเวลาในการปฏิบตั ิกิจการงานต่างๆ และเวลาในการพกั ผ่อน เช่น แบ่งเวลาในเวลา กลางวนั และกลางคืน เป็น ๖ ส่วน ต่ืนอยู่ ๕ ส่วน นอนหลบั ๑ ส่วน คาวา่ พึงเสพเสพธรรมเคร่ือง

๕ ต่ืน หมายถึง ความมีสติสัมปชญั ญะ เพื่อชาระจิตให้บริสุทธ์ิจากธรรมเป็ นเครื่องก้นั ขวางความดี ดว้ ยการเจริญสมาธิภาวนาไวใ้ นใจ ตลอดท้งั วนั ไม่ใหบ้ าปอกุศลเขา้ มาบงั คบั บุญชาให้คิดชวั่ พูดชวั่ ทาชวั่ ได้ คาวา่ พึงละความเกียจคร้าน หมายถึง พึงละเวน้ จากความข้ีเกียจ กิริยาท่ีแสดงอาการของ คนข้ีเกียจ มีจิตใจเบ่ือหน่ายไม่อยากทาการงาน คาว่า มายา หมายถึง ความประพฤติลวงผอู้ ่ืนดว้ ย กิริยาท่ีปกปิ ดความจริง กิริยาท่ีอาพรางความชวั่ ท่ีประพฤติทุจริตดว้ ยกาย วาจา ใจ คาว่า การเล่น หมายถึง การเลน่ จนหวั เราะจนขาดสติ มี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ การเล่นทางกาย เช่น การเลน่ แข่งรถ แขง่ มา้ ส่วนการเล่นทางวาจา ไดแ้ ก่ การเล่นร้องเพลง โห่ร้องคึกคะนอง ส่วนคาวา่ เมถุน หมายถึง การเสพ กามของชายหญิงดว้ ยราคะ มีความกาหนดั ยนิ ดีในกามคณุ คาวา่ เคร่ืองประดบั หมายถึง การประดบั มีอยู่ ๒ อยา่ ง คอื การประดบั ของคฤหสั ถ์ เช่น การแตง่ ผม การแต่งหนา้ ทาปาก การประพรมเคร่ือง หอม การตกแตง่ ร่างกายเคร่ืองประดบั และการประดบั ของบรรพชิต เช่น การตบแตง่ บาตร การเล่น สนุกในการประดบั กิริยาท่ีประดบั ซ่ึงร่างกายหรือบริขารท้งั หลายอนั เป็นภายนอก ดงั น้นั ผทู้ ่ีมีความ เพยี รจะบรรลเุ ป้าหมายท่ีต้งั ไวไ้ ดส้ าเร็จน้นั ตอ้ งมีความขยนั พากเพยี ร ไมเ่ ห็นแก่การนอน มีสติระลึก รู้ตวั เม่ือจะคดิ พูด ทาส่ิงต่างๆ ดว้ ยความรอบคอบ และละเวน้ ความเกียจคร้าน มายา ความหวั เราะคึก คะนอง การเล่นสนุก เมถุนธรรมอนั เป็ นไปกบั ด้วยการประดบั เพราะสิ่งเหล่าน้ีทาให้เสียทรัพย์ เสียเวลา และเป็นทางมาแห่งทุกข์ ทาใหไ้ ม่ประสบความสาเร็จไดด้ งั ที่ต้วั ใจไว้ ๓. ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นจิ ฺจ อุชฺฌานสญญฺ โิ น อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา. คนทเ่ี หน็ แต่โทษผู้อ่ืน คอยแต่เพ่งโทษน้ัน อาสวะกเ็ พม่ิ พูน เขายังไกลจากความสิ้นอาสวะ. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๙. อธิบายความว่า คนที่เห็นแตโ่ ทษของคนอ่ืน เพราะโทษของผอู้ ื่นเห็นไดง้ ่าย ส่วนโทษ ของตนเห็นไดย้ ากส่วนมากมกั จะเพ่งโทษคนอ่ืน เพราะจิตมกั จะตกอยูภ่ ายใตอ้ านาจของกิเลส เกิด อกุศลจิต ที่มาจากอารมณ์หรือความรู้สึกยินดียินร้ายเป็ นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสโลกใน ปัจจุบนั มีส่ือรับรู้ท่ีมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั ทางกาย ที่เรียกว่าวตั ถุแห่งกามอนั เป็นเครื่องกระตุน้ ให้เกิดอารมณ์ หรือความรู้สึกยินดียินร้ายท่ีเป็ นตน้ เหตุให้เกิดกิเลสกามหรืออาสวะกิเลส ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ โมหะ ในทุกท่ีทุกเวลาต้งั แต่ต่ืนนอนจนกระทง่ั เขา้ นอน จึงทาให้เกิดอาสวะเพิ่มพูน มากข้ึน และเป็ นเหตุให้ห่างไกลจากความสิ้นอาสวะ ไม่สามารถหลุดพน้ จากกองทุกขห์ รือวฏั ฏะ สงสารได้ ดังน้ัน เราจึงควรรู้เท่าทนั กิเลสที่เกิดข้ึนตลอดเวลาในชีวิตประจาวนั ไม่มีทางหนีส่ิง เหล่าน้ีไปไดเ้ ลย เพราะเราตอ้ งอยู่กบั การเสพคุน้ กบั การมองเห็นโทษของผอู้ ื่นอย่ตู ลอดเวลาในชีวิต น้ี การท่ีจะหลดุ พน้ จากกิเลสน้ีไปไดด้ ว้ ยการ ประพฤติปฏิบตั ิธรรม เพอื่ ใหเ้ กิดสติ รู้จกั ปลอ่ ยวางใน

๖ อารมณ์หรือความรู้สึกยนิ ดียนิ ร้ายท่ีเป็นกิเลสกามหรืออกุศลจิต จึงจะไม่หลงไปกบั อาสวะกิเลส ไม่ เกิดการเพ่งโทษผอู้ ่ืน และไม่สะสมอาสวะกิเลส ใจของเราก็จะเบาบางจาก โลภะ โทสะ โมหะ เรา จึงสามารถหลดุ พน้ จากกองทกุ ขไ์ ดโ้ ดยสิ้นเชิง ๔. อนวฏฺ ฐิตจิตฺตสฺส สทฺธมฺม อวชิ านโต ปริปฺลวปสาทสฺส ปญฺญา น ปริปูรติ. เม่ือมจี ติ ไม่มน่ั คง ไม่รู้พระสัทธรรม มีความเลื่อมใสเล่ือนลอย ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐ อธิบายความว่า ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ คือรู้ทางแห่งความเจริญและทางแห่ง ความเส่ือม แบ่งเป็ น ๒ ระดบั คือ ๑) โลกิยปัญญา คือ ปัญญาทางโลก หมายถึง ปัญญาท่ีใช้เพื่อ ประกอบกิจกรรมในทางโลก ไม่ว่าจะเป็ นการทางาน อาชีพ เล่นกีฬา เรียนหนังสือ เป็ นตน้ ๒) โลกุตตรปัญญา คือ ปัญญาในทางธรรม หมายถึง ปัญญาท่ีเกิดข้ึนจากการเจริญภาวนา จึงจะเกิด ปัญญาระดบั น้ีได้ คาวา่ มีจิตไม่มน่ั คง หมายถึง มีจิตคลอนแคลนอยเู่ สมอ เป็นคนจบั จด ทาอะไรไม่ จริง เพราะจิตมวั กลบั กลอกอยนู่ นั่ เอง จะทาความดีกไ็ มแ่ น่ใจวา่ ความดีจะใหผ้ ลจริงหรือเปลา่ จึงไม่ กลา้ ทา คงปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์และแก่ตายไปโดยไมไ่ ดท้ าอะไรเป็นชิ้นเป็นอนั จะศึกษาเล่าเรียนก็ลงั เล ไม่รู้จะจบั อะไรดี จึงไม่ได้ความรู้เท่าท่ีควร คาว่า ไม่รู้พระสัทธรรม หมายถึง ไม่รู้จกั ผิดชอบชวั่ ดี ไม่รู้จกั เวน้ ส่ิงที่ควรเวน้ ไม่รู้จกั ประพฤติสิ่งท่ีควรประพฤติ คาว่า มี ความเล่ือมใสเล่ือนลอย หมายถึง มีศรัทธานอ้ ย คือ มีศรัทธาคลอนแคลนไม่มน่ั คง ไม่ต้งั มน่ั ไม่มี หลกั ในการเช่ือถือ เมื่อกระทบเหตุอนั ทาให้ศรัทธาถอย ก็ถอยเอาง่ายๆ ดงั น้นั ผทู้ ่ีมีจิตไม่มนั่ คงแน่ว แน่ ไม่ศึกษาพระสัทธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ให้ถ่องแท้ และมีความศรัทธาเลื่อมใสที่เลื่อน ลอย ย่อมทาให้ปัญญาของผูน้ ้นั ไม่สามารถเตม็ เปี่ ยมได้ ไม่เจริญกา้ วหนา้ ท้งั ทางโลกและทางธรรม ยงั ตอ้ งเวียนว่ายอยู่ในวงั วนแห่งวฏั ฏสงสารอยู่ร่าไป ส่วนผูท้ ่ีมีจิตมน่ั คง รอบรู้พระสัทธรรม มี ศรัทธามนั่ คง ปัญญาของผนู้ ้นั ยอ่ มเพิม่ พูนจนกระทง่ั สามารถหลุดพน้ จากกิเลสอาสวะท้งั ปวงได้ ๕. ผนฺทน จปล จิตฺต ทุรกขฺ ทนุ ฺนิวารย อุชุ กโรติ เมธาวี อสุ ุกาโรว เตชน. คนมปี ัญญาทาจติ ท่ดี ิน้ รน กวดั แกว่งรักษายาก ห้ามยากให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทาลูกศรให้ตรงได้ฉะน้ัน. (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ อธิบายความว่า คาว่า จิต แปลว่า ธรรมชาติท่ีนึกคิด หรือธรรมชาติรู้อารมณ์ ตาม ธรรมดาของจิตย่อมไหลลงสู่ท่ีต่าเสมอ ย่อมดิ้นรน กวดั แกว่งไปในอารมณ์ต่างๆ ควบคุมรักษาได้

๗ ยาก หา้ มไดย้ าก เป็นธรรมชาติสงบระงบั ไดย้ าก ละจากที่น้ีก็ไปจบั ที่โน่น คือ ละจากอารมณ์หน่ึงก็ ไปเกาะอยทู่ ่ีอีกหน่ึงอารมณ์อยา่ งรวดเร็ว เหมือนเด็กที่กาลงั ซน เหมือนลิงซ่ึงหาความสงบน่ิงไม่ได้ ดงั น้นั ผูม้ ีปัญญา เป็ นผูฉ้ ลาดจึงตอ้ งทาจิตของตนให้ซ่ือตรง ดว้ ยการทาจิตให้อยู่ในอานาจ ไม่ให้ ฟ้งุ ซ่านไปในอารมณ์ตา่ งๆ โดยการสารวมระมดั ระวงั ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ทาจิตใหเ้ ป็นธรรมชาติ ควรแก่งานโดยข้ึนสู่วิปัสสนากรรมฐานอนั เป็นอุบายเรืองปัญญา พิจารณารูปนาม เป็ นอารมณ์จน เกิดปัญญาเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง เหมือนช่างศร ดดั ลกู ศรใหต้ รงเหมาะแก่การใชง้ าน ๑.๓.๒ กระทู้รับยอดนยิ ม (ให้ท่องไว้ ๒ กระทู้) กระทู้รับยอดนิยมที่ ๑ ยาทิส วปเต พชี ตาทสิ ลภเต ผล กลยฺ าณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก. บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมช่ัว ย่อมได้ผลช่ัว. ท่ีมา สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค. อธิบายความว่า คาว่า ทาดี คือ ทาสุจริต ๓ ไดแ้ ก่ ๑) กายสุจริต ความประพฤติดีทาง กาย มีการงดเวน้ จากการฆ่าสัตว์ เป็ นตน้ ๒) วจีสุจริต ความประพฤติดีทางวาจา มีการพูดคาสัตย์ เป็นตน้ ๓) มโนสุจริต ความประพฤติดีทางใจ มีการไม่เพ่งเลง็ อยากไดข้ องของผูอ้ ่ืน เป็นตน้ คาว่า ทาชวั่ คือ ทาทุจริตท้งั ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ธรรมดาบุคคลหว่านพืชเม่ือถึงฤดูทานา ยอ่ มไถและหวา่ นขา้ วลงในนา เพราะมีน้าหรือฝนตกตอ้ งตามฤดูกาล ขา้ วที่หวา่ นไวก้ ็เจริญงอกงาม และออกรวง ผกู้ ระทาความดี ผนู้ ้นั ยอ่ มไดร้ ับผลดีคือไม่ตอ้ งกลวั เดือดร้อน เพราะกรรมที่ตนกระทา ไวด้ ี ผลท่ีไดร้ ับคือความสุข ความสบายและมีสุคติเป็ นเบ้ืองหน้า แต่ผูท้ ่ีกระทากรรมชว่ั คือกรรม ลามก เขาก็ไดร้ ับผลชว่ั ตามท่ีไดป้ ระกอบกรรมทาชว่ั ไวเ้ ป็นความทุกขค์ วามเดือดร้อนในโลกน้ี แม้ ละจากโลกน้ีแลว้ กย็ อ่ มประสบกบั ความเร่าร้อนในอบาย กระทู้รับยอดนิยมท่ี ๒ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถ ลภติ ทลุ ลฺ ภ. ตนแล เป็ นทีพ่ งึ่ ของตน คนอ่ืนใครเล่า จะเป็ นทพี่ ง่ึ ได้ กบ็ ุคคลมตี นฝึ กฝนดีแล้ว ย่อมได้ทพี่ ง่ึ ท่ีหาได้โดยยาก. ท่มี า ขุททกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า ตน หมายถึง ร่างกายและจิตใจ ท่ีเรียกว่าอตั ภาพหรือตวั ตนของเรา เป็นท่ีพ่ึงของตน หมายถึง ใหพ้ ่ึงตวั เองใหม้ าก ในขอบเขตท่ีสามารถทาได้ ในขณะที่ยงั อยใู่ นวยั หรือ

๘ ในภาวะหน่ึงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้คนเราพ่ึงตนเอง ซ่ึงทาได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทาง ร่างกาย อาศยั แรงกายทางานประกอบสัมมาอาชีพดารงชีวิตเพ่ือให้ชีวิตดารงอยู่ได้ ๒) ทางจิตใจ อาศยั ร่างกายน้ีเป็นส่วนหน่ึงท่ีจะตอบสนองใหท้ าส่ิงตา่ งๆ เช่น ทาความดี ทาบญุ กุศล ที่พ่งึ อย่างอ่ืน ที่คนเราจะยดึ เป็นท่ีพ่ึงไปตลอดชีวิต ไม่วา่ บิดามารดา ครูอาจารย์ ย่อมจะทาไดโ้ ดยยาก การส่ังสม ทรัพยส์ ินเงินทองไวเ้ พื่อให้เราพ่ึงตนเองไดใ้ นโลกน้ี เพราะเมื่อสิ้นชีวติ ลงทรัพยเ์ หลา่ น้นั ไมส่ ามารถ นาติดตวั ไปได้ ส่วนการสั่งสมบุญกุศลเป็ นการทาท่ีพ่ึงให้แก่ตนเองในโลกหนา้ ดงั น้นั เราจึงตอ้ ง ทาบุญดว้ ยตนเอง อย่าไปหวงั พ่ึงผูอ้ ่ืน เพราะเม่ือละจากโลกน้ีไปแลว้ ย่อมไดไ้ ปเกิดในสุคติโลก สวรรค์ กระทู้รับยอดนิยมที่ ๓ โย จ วสฺสสต ชีเว กสุ ีโต หีนวีริโย เอกาห ชีวติ เสยฺโย วิริย อารภโต ทฬฺห. ผ้เู กยี จคร้าน มคี วามเพยี รเลว พงึ เป็ นอย่ตู ้ังร้อยปี ส่วนผู้ปรารภความเพยี รม่ันคง มชี ีวิตอยู่เพยี งวันเดยี วประเสริฐกว่า. ทม่ี า ขุททกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า คาว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทางาน ผดั วนั ประกนั พรุ่งให้เวลา ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คาว่า มีความเพียรเลว คือ เพียรพยายามทาความไม่ดี มีการลกั ขโมย ปลน้ จ้ี วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผอู้ ื่น ทาความเดือดร้อนใหผ้ อู้ ื่น ชอบทางานท่ีไร้ประโยชน์ คาว่า ผู้ ปรารภความเพียรมน่ั คง คือ คนที่มีความพยายามทาสิ่งที่เป็ นบุญกุศลหมน่ั ทาความเพียรเพ่ือชาระ จิตใจให้สะอาดหมดจด ดงั น้นั ผูท้ ่ีเกียจคร้าน เพียรทาส่ิงชว่ั ไม่ทาส่ิงท่ีดีงาม ถึงมีอายยุ นื เป็นร้อยปี ก็ เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ตอ้ งการ เมื่อตายไปย่อมไปอบายภูมิ มีนรก เป็ นตน้ ส่วนผูท้ ี่มีความ ขยนั หมน่ั เพียรประกอบบุญกุศล มีความเพียรมนั่ คง ปรารภความเพียรมน่ั คง ประพฤติปฏิบตั ิธรรม เม่ือตายไปยอ่ มไปสู่สุคติโลกสวรรค์ กระทู้รับยอดนิยมท่ี ๔ ปญุ ฺญญเฺ จ ปุริโส กยิรา กยิราเถน ปุนปปฺ ุน ตมฺหิ ฉนฺท กยริ าถ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย. ถ้าบคุ คลจะกระทาบุญ ควรทาบุญน้ันบ่อย ๆ ควรทาความพอใจในบญุ น้ัน การสั่งสมบุญนาความสุขมาให้. ท่ีมา ขุททกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า บุญ หมายถึง สิ่งเกิดข้ึนในจิตใจ แลว้ ทาให้จิตใจใสสะอาดบริสุทธ์ิ ปราศจากความเศร้าหมองขนุ่ มวั บุญเป็นชื่อของความสุขและความสาเร็จ เป็นผลจากการประกอบ

๙ กรรมดี เกิดข้ึนไดด้ ว้ ยอาการ ๓ อยา่ ง คือ ๑) ทานมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการให้ทาน ๒) ศีลมยั บุญสาเร็จ ดว้ ยการรักษาศีล ๓) ภาวนามยั บุญสาเร็จดว้ ยการเจริญสมาธิ คนทวั่ ไปแมจ้ ะมองไม่เห็นบุญ แต่ สามารถรู้อาการของบุญหรือผลของบุญไดว้ ่าเกิดข้ึนแลว้ ทาให้จิตใจชุ่มช่ืนเป็ นสุข และสามารถ ติดตามผูท้ ี่ทาบุญเหมือนเงาติดตามตัว อีกท้งั บุญยงั เป็ นของเฉพาะตน อยากได้ต้องทาเอง ไม่ สามารถให้ใครทาแทนได้ บุญสามารถสั่งสมไดด้ ้วยการทาความดี การทาบุญจึงควรทาความพึง พอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบุญ เพราะการส่งั สมบุญ ช่ือวา่ ทาใหเ้ กิดความสุข กระทู้รับยอดนิยมท่ี ๕ สพพฺ ปาปสฺส อกรณ กสุ ลสฺสู ปสมฺปทา สจิตฺต ปริโยทปน เอต พุทฺธาน สาสน. การไม่ทาบาปท้ังปวง ๑ การยงั กุศลให้ถึงพร้อม ๑ การทาจติ ของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ นีเ้ ป็ นคาสอนของพระพทุ ธเจ้าท้งั หลาย. ที่มา ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธบิ ายความว่า พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงวางหลกั การปฏิบตั ิตนใหพ้ ุทธศาสนิกชนไว้ ๓ ประการ คอื ๑) การไมท่ าบาปท้งั ปวง หมายถึง การไม่ประพฤติชวั่ ทางกาย วาจา ใจ คอื ไม่ทาส่ิง ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผูอ้ ่ืน ๒) การยงั กุศลให้ถึงพร้อม หมายถึง การประพฤติ ชอบทางกาย วาจา ใจ คือ ทาส่ิงท่ีก่อให้เกิดความสุข ความเจริญ แก่ตนเองและผูอ้ ่ืน ๓) การทาจิต ของตนให้ผ่องแผว้ หมายถึง การอบรมจิตใจของตนเองให้บริสุทธ์ิสะอาด ปราศจากเครื่องเศร้า หมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆพระองคท์ ี่ทรงอบุ ตั ิข้ึนในโลกน้ี ก็ลว้ น ทรงประทานโอวาท ๓ ขอ้ น้ีอนั เป็ นหัวใจของพระพุทธศาสนา ให้แก่มหาชนไดย้ ึดถือเป็ นหลกั ปฏิบตั ิในการดาเนินชีวิตท่ีถูกตอ้ ง เพื่อให้สามารถล่วงพน้ จากทุกข์และมีสุขในปัจจุบนั และในภพ ชาติตอ่ ไปจนกระทงั่ เขา้ สู่พระนิพพาน ๑.๔ โครงสร้างการเขียนกระทู้ธรรม (กระทตู้ ้งั )------------------. (คำแปลกระทตู้ ้ัง)----------------. บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็น แนวทางแห่งการประพฤติปฏบิ ตั ิของสาธชุ นผูใ้ คร่ในธรรมสบื ไป

๑๐ อธบิ ายความว่า ------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทัด)--------------- ----น้ีสมด้วยธรรมภาษติ ท่ีมาใน ------------------------ว่า (กระทูร้ บั ที่ ๑)------------------. (คำแปลกระท้รู บั ที่ ๑)----------------. อธิบายความวา่ ------------------------------------- ----------------(เขยี นอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทดั )--------------- --------------------------------------------------- ----นส้ี มดว้ ยธรรมภาษติ ทม่ี าใน ------------------------วา่ (กระทูร้ บั ท่ี ๒)------------------. (คำแปลกระทู้รับที่ ๒)----------------. อธิบายความวา่ ------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๑๐ บรรทัด)--------------- -------------------------- สรปุ ความว่า -------------------------------------- --------------------------------------------------- ----------------(เขยี นอธบิ ายประมาณ ๕-๘ บรรทดั )-------------- --------------------------------------------------- -------------------- สมด้วยธรรมภาษติ ที่ไดล้ ขิ ิตไว้ ณ เบื้องตน้ วา่ (กระทตู้ ง้ั )------------------. (คำแปลกระทตู้ งั้ )----------------. มนี ยั ดงั ได้พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้ี ฯ

๑๑ ๑.๕ ตวั อย่างการเขยี นกระทู้ธรรม อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนเฺ ตน นาถํ ลภติ ทุลลฺ ภ.ํ ตนแล เป็นทพ่ี ึ่งของตน คนอ่ืนใครเล่าจะเป็นท่ีพ่ึงได้ ก็บคุ คลมีตนฝึกฝนดีแลว้ ย่อมไดท้ พ่ี ึ่งทีห่ าได้โดยยาก. บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางแห่งการประพฤตปิ ฏบิ ัติของสาธุชนผู้ใคร่ในธรรมสบื ไป อธิบายความว่า คำว่า ตน หมายถึง ร่างกายและจิตใจที่เรียกว่าอัตภาพ หรือตวั ตนของเรา ในคำวา่ ตนแลเป็นท่พี ึ่งของตน หมายถงึ ใหพ้ ง่ึ ตัวเองให้มาก ในขณะที่ร่างกายแข็งแรง เพราะคนอื่นที่เรายึดเป็นที่พึ่งไปตลอดชีวิต ย่อมจะทำ ได้โดยยาก การพึ่งตนเองทำได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทางร่างกาย อาศัยแรงกาย ทำงานประกอบสมั มาอาชีพดำรงชีวติ ๒) ทางจติ ใจอาศัยรา่ งกายนี้เป็นส่วนหนึ่งท่ี จะตอบสนองให้ทำสิ่งต่างๆ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บุคคลที่ ทำบุญไว้มาก ผลบุญนั้นย่อมทำให้ได้รับความสุขทั้งในภพชาตินี้และในภพชาติ เบื้องหนา้ นี้สมดว้ ยธรรมภาษติ ทม่ี าใน ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ว่า ปญุ ฺญญเฺ จ ปรุ โิ ส กยริ า กยิราเถนํ ปนุ ปฺปุนํ ตมหฺ ิ ฉนทฺ ํ กยิราถ สุโข ปญุ ฺญสสฺ อุจจฺ โย. ถา้ บุคคลจะกระทำบญุ ควรทำบุญน้ันบ่อย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนัน้ การส่งั สมบุญนำความสขุ มาให้. อธิบายความว่า บุญ หมายถึง สิ่งเกิดขึ้นในจิตใจ แล้วทำให้จิตใจใส สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว บุญเป็นชื่อของความสุขและ ความสำเร็จ เป็นผลจากการประกอบกรรมดี เกิดขึ้นได้ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน ๒) ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

๑๒ ๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญสมาธิ คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็นบุญ แต่ สามารถรู้อาการของบุญหรือผลของบุญได้ว่าเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข และสามารถติดตามผู้ที่ทำบุญเหมือนเงาติดตามตัว อีกท้งั บญุ ยงั เปน็ ของเฉพาะตน อยากไดต้ อ้ งทำเอง ไม่สามารถใหใ้ ครทำแทนได้ บญุ สามารถส่ังสมได้ด้วยการทำ ความดี การทำบุญจึงควรทำความพึงพอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบุญ เพราะการสั่งสมบุญ ชื่อว่าทำให้เกิดความสุข และการทำบุญต้องอาศยั ความเพยี ร ทำอยา่ งสม่ำเสมอ อยา่ เกียจคร้านในการทำบุญ จะเป็นผู้ที่มชี ีวติ อยู่อยา่ งประเสริฐ ไมป่ ล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปลา่ ประโยชน์ นีส้ มด้วยธรรมภาษิตท่ีมาใน ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท วา่ โย จ วสฺสสตํ ชเี ว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยโฺ ย วิริยํ อารภโต ทฬฺห.ํ ผเู้ กียจคร้าน มีความเพียรเลว พึงเป็นอย่ตู ้ังร้อยปี ส่วนผปู้ รารภความเพียรมน่ั คง มีชวี ิตอยู่เพียงวนั เดียวประเสริฐกว่า. อธิบายความว่า คำว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทำงาน ผัดวันประกันพรุ่งให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คำว่า มีความเพียรเลว คือ เพียรพยายามทำความไม่ดี มีการลักขโมย ปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผูอ้ นื่ ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ชอบทำงานที่ไร้ประโยชน์ คำว่า ผู้ปรารภความเพียร มั่นคง คือ คนที่มีความพยายามทำสิ่งที่เป็นบุญกุศลหมั่นทำความเพียรเพื่อชำระ จิตใจให้สะอาดหมดจด ดังนั้นผู้ท่ีเกียจคร้าน เพียรทำสิง่ ชั่วไม่ทำสิ่งทีด่ ีงาม ถึงมี อายุยืนเป็นร้อยปีก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ต้องการ เมื่อตายไปย่อมไป อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ส่วนผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรประกอบบุญกุศล มีความ เพียรมั่นคง ปรารภความเพียรมั่นคง ประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อตายไปย่อมไปสู่ สคุ ตโิ ลกสวรรค์

๑๓ สรุปความว่า บุคคลควรทำที่พ่ึงให้ตนเอง คือการสั่งสมบุญกุศลไว้ใน ขณะที่ยังมีชีวิต ไม่ควรหวังพึ่งให้ผู้อื่นทำให้ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญ ภาวนาไว้ให้มาก เพราะผลบุญย่อมทำให้ได้รับความสุขทั้งในภพชาตินี้และใน ภพชาติเบื้องหน้า การหมั่นทำบุญนั้นต้องอาศัยความเพียรอย่างสม่ำเสมอ สั่งสม บุญให้มากที่สุดขณะทีร่ ่างกายและจติ ใจยังแข็งแรง จึงจะเป็นชีวิตท่ีประเสริฐ เมื่อ ยามละโลกนี้ บญุ ที่ทำไวด้ แี ลว้ ย่อมทำใหไ้ ดไ้ ปส่สู คุ ตโิ ลกสวรรค์ และพระนิพพาน ได้ในท่สี ดุ สมดว้ ยธรรมภาษิตทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบ้อื งต้นวา่ อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนเฺ ตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ. ตนแล เปน็ ท่ีพึ่งของตน คนอ่ืนใครเล่า จะเป็นที่พ่ึงได้ กบ็ คุ คลมตี นฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ทีพ่ ง่ึ ที่หาได้โดยยาก. มนี ยั ดงั ได้พรรณนามาด้วยประการฉะน้ี ฯ

๑๔ ๑.๖ ข้อสอบวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ปี ๒๕๕๑ ขนตฺ โก เมตฺตวา ลาภียสสสฺ ี สุขสลี วา ปโิ ย เทวมนสุ ฺสานํ มนาโป โหติ ขนฺตโิ ก. ผมู้ ขี ันตนิ บั วา่ มเี มตตา มลี าภ มยี ศ และมสี ขุ เสมอ ผู้มขี นั ติเปน็ ที่รกั ทช่ี อบใจของเทวดาและมนุษยท์ ัง้ หลาย. ส.ม. ๒๒๒ ปี ๒๕๕๒ อวณฺณญจฺ อกิตตฺ ิญจฺ ทุสสฺ โี ล ลภเต นโร วณฺณํ กิตฺตึ ปสํสญฺจ สทา ลภติ สีลวา. คนผูท้ ุศีล ย่อมได้รบั ความตเิ ตียน และความเสยี ชอ่ื เสียง ส่วนผ้มู ศี ลี ยอ่ มไดร้ บั ชอ่ื เสยี งและความยกย่องสรรเสรญิ ทกุ เมือ่ . ขุ.เถร. ๒๖/๓๕๗ ปี ๒๕๕๓ กลยฺ าณิเมว มญุ ฺเจยยฺ น หิ มุญเฺ จยยฺ ปาปิกํ โมกโฺ ข กลยฺ าณยิ า สาธุ มตุ ฺวา ตปฺปติ ปาปิก.ํ พงึ เปล่งวาจางามเท่านน้ั ไม่พงึ เปล่งวาจาชัว่ เลย การเปล่งวาจางาม ยังประโยชนใ์ ห้สำเร็จ คนเปล่งวาจาช่ัวยอ่ มเดือดร้อน. ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๘ ปี ๒๕๕๔ อคฺคสมฺ ึ ทานํททตํ อคฺคํปุญญฺ ปํ วฑฺฒติ อคคฺ อํ ายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สขุ ํ พลํ. เม่อื ให้ทานในวตั ถอุ นั เลศิ บุญอันเลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกำลงั อันเลศิ ก็เจรญิ .

๑๕ ขุ.อติ ิ. ๒๕/๒๙๙ ปี ๒๕๕๕ อุทพนิ ทฺ นุ ิปาเตน อุทกมุ โฺ ภปิ ปรู ติ อาปรู ติ พาโล ปาปสสฺ โถกํ โถกํปิ อาจนิ ํ. แม้หมอ้ น้ำยังเตม็ ด้วยหยาดน้ำฉนั ใด คนเขลาส่งั สมบาป แมท้ ีละน้อย ๆ ก็เตม็ ด้วยบาปฉันนั้น. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๑ ปี ๒๕๕๖ มธุวา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น จฺจติ ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทกุ ฺขํ นิคจฺฉติ. ตราบเท่าทีบ่ าปยังไม่ให้ผล คนเขลายงั เขา้ ใจว่ามรี สหวาน แต่บาปใหผ้ ลเมอื่ ใด คนเขลายอ่ มประสบทกุ ขเ์ ม่อื นั้น. ขุ.ธ. ๒๕/๒๔ ปี ๒๕๕๗ โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทปุ ปฺ ญฺโญ อสมาหโิ ต เอกาหํ ชวี ิตํ เสยฺโย ปญญฺ วนตฺ สสฺ ฌายิโน. ผู้ใดมปี ัญญาทราม มใี จไมม่ ่นั คง พงึ เปน็ อยู่ตง้ั รอ้ ยปี สว่ นผ้มู ีปัญญาเพง่ พินิจ มชี ีวอิ ยูเ่ พยี งวันเดียว ดกี วา่ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙. ปี ๒๕๕๘ อวณณฺ ญฺจ อกิตตฺ ญิ ฺจ ทุสสฺ ีโล ลภเต นโร วณฺณํ กิตตฺ ํ ปสสํ ญจฺ สทา ลภติ สลี วา. คนผู้ทุศลี ย่อมได้รบั ความตเิ ตียน และความเสียชอื่ เสียง สว่ นผ้มู ศี ีล ย่อมไดร้ บั ชอื่ เสียงและความยกยอ่ งสรรเสริญทุกเม่ือ. (สีลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๗.

๑๖ ปี ๒๕๕๙ อจฺจยนฺติ อโหรตตฺ า ชวี ติ ํ อปุ รชุ ฺฌติ อายุ ขยี ติ มจจฺ านํ กนุ นฺทนี วํ โอทกํ. วนั คืนย่อมลว่ งไป ชวี ติ ยอ่ มหมดเขา้ ไป อายุของสัตวย์ ่อมส้ินไป เหมอื นนำ้ แห่งแมน่ ำ้ นอ้ ยๆ ฉะนั้น. ขุ.มหา. ๒๙/๑๔๔ ปี ๒๕๖๐ เอโกปิ สทโฺ ธ เมธาวี อสสฺ ทฺธานํ จ ญาตินํ ธมมฺ ฏโฺ ฐ สีลสมปฺ นโฺ น โหติ อตถฺ าย พนธฺ นุ ํ. ผ้มู ศี รัทธา มปี ัญญา ต้ังในธรรม ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี แมค้ นเดยี ว ยอ่ มเปน็ ประโยชนแ์ ก่ญาตแิ ละพวกพ้องผไู้ มม่ ศี รัทธา. (ปสฺสกิ เถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๐๖. ปี ๒๕๖๑ อาทิ สลี ํ ปตฏิ ฐฺ า จ กลยฺ าณานญฺจ มาตกุ ํ ปมุขํ สพพฺ ธมมฺ านํ ตสฺมา สลี ํ วิโสธเย. ศีลเป็นทพี่ ่ึงเบอ้ื งต้น เป็นมารดาของกลั ยาณธรรมทั้งหลาย เปน็ ประมขุ ของธรรมท้ังปวง เพราะฉะนนั้ ควรชำระศลี ให้บรสิ ทุ ธ์ิ. (สลี วตเฺ ถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๘. ปี ๒๕๖๒ มธุวา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ ยทา จ ปจจฺ ตี ปาปํ อถ ทกุ ฺขํ นคิ จฉฺ ต.ิ ตราบเทา่ ท่บี าปยังไมใ่ ห้ผล คนเขลายงั เข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมอื่ ใดคนเขลาย่อมประสบทกุ ข์เมื่อน้นั . ข.ุ ธ. ๒๕/๒๔.

๑๗ ๒.๑ วชิ าธรรมวภิ าค ทุกะ คือ หมวด ๒ ๑. พระอริยบุคคล ๘ จาพวก จาพวกไหนชื่อว่า พระเสขะ และพระอเสขะ ? (๒๕๕๙) ตอบ : พระอริยบุคคล ๗ เบ้ืองตน้ ชื่อวา่ พระเสขะ เพราะเป็นผยู้ งั ตอ้ งปฏิบตั ิเพื่อบรรลุมรรคผลเบ้ืองสูง ฯ พระอริยบุคคลผตู้ ้งั อยใู่ นอรหตั ตผล ช่ือวา่ พระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอนั จะตอ้ งทา แลว้ ฯ ๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยงั ต้องศึกษา คือศึกษาเร่ืองอะไร ? ผู้ศึกษากาลงั สอบธรรมอย่นู ี้ เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ? (๒๕๕๔) ตอบ : คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอยา่ งหน่ึงหมายถึงตอ้ งศึกษาและตอ้ งปฏิบตั ิเพื่อมรรคผลเบ้ืองสูงข้นึ ไป ฯ ยงั เรียกวา่ พระเสขะไม่ได้ ถา้ ไม่ใช่พระอริยบคุ คล ๗ จาพวกเบ้ืองตน้ ฯ ๓. สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏบิ ตั ิอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : สมถกรรมฐานมุง่ ผลคอื ความสงบใจ ส่วนวปิ ัสสนากรรมฐานมงุ่ ผลคอื ความเรืองปัญญา ฯ ๔. กมั มฏั ฐานทีพ่ ระอุปัชฌาย์สอนแก่ผ้ขู อบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา น้ันเรียกช่ือว่าอะไร ? เป็ นสมถกมั มฏั ฐานหรือวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ? (๒๕๕๕) ตอบ : ชื่อวา่ ตจปัญจกกรรมฐาน หรือมลู กมั มฏั ฐาน ฯ เป็นไดท้ ้งั สมถกมั มฏั ฐานและวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ ๕. ตจปัญจกกมั มัฏฐาน มอี ะไรบ้าง ? เรียกอกี อย่างหน่งึ ว่าอย่างไร ? เป็ นอารมณ์ของสมถ กมั มัฏฐานหรือของวปิ ัสสนากมั มัฏฐาน ? (๒๕๕๗, ๒๕๕๒) ตอบ : ตจปัญจกกมั มฏั ฐาน ไดแ้ ก่ เกสา โลมา นขา ทนั ตา และตโจ, เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ มลู กมั มฏั ฐาน, เป็นไดท้ ้งั สมถกมั มฏั ฐาน และวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน คอื ถา้ กาหนดยงั จิตใหส้ งบดว้ ยภาวนา เป็นสมถะ, ถา้ พิจารณาถึงความเปล่ียนแปลงไป ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ จดั เป็นวิปัสสนากมั มฏั ฐานฯ ๖. การพจิ ารณาสังขารท้งั หลายโดยความเป็ นไตรลกั ษณ์ จดั เป็ นกมั มัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์ อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : จดั เป็นวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ

๑๘ มีประโยชน์ คอื ทาใหร้ ู้จกั สภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารท้งั หลายวา่ ไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา แลว้ เกิดความเบ่ือหน่ายในสงั ขารท้งั หลายเหล่าน้นั ฯ ๗. บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็ นประจาจดั เป็ นบูชา ประเภทใด ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ อามิสบชู า บชู าดว้ ยอามิสส่ิงของ ๑ ปฏิบตั ิบูชา บูชาดว้ ยการปฏิบตั ิตาม ๑ ฯ เป็นปฏิบตั ิบูชา ฯ ๘. ราคะ โลภะ อสิ สา กลน่ิ รส อย่างไหนเป็ นกเิ ลสกาม อย่างไหนเป็ นวัตุกาม ? (๒๕๕๙) ตอบ : ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลิ่น รส เป็นวตั ถกุ าม ฯ ๙. ทฏิ ฐิ ท่หี มายถึงความเหน็ ผดิ ๒ อย่าง มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : มี ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นวา่ เท่ียง ๒. อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเห็นวา่ ขาดสูญ ฯ ๑๐. บุคคลาธฏิ ฐานาเทศนา เทศนามีบคุ คลเป็ นทตี่ ้ัง มีอธบิ ายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : มีอธิบายวา่ การสอนท่ียกบุคคลมาเป็นตวั อยา่ ง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเร่ือง ความเพียรโดยกลา่ วถึงพระมหาชนกโพธิสัตวว์ า่ ทรงมีความเพียรอยา่ งยง่ิ พยายาม วา่ ย น้าในท่ามกลางมหาสมุทรท่ีกวา้ งใหญ่ มองไมเ่ ห็นฝ่ังอยา่ งไม่ยอ่ ทอ้ ดว้ ยความ ม่งุ มนั่ ท่ีจะถึงฝั่งใหไ้ ด้ และทรงถึงฝั่งไดด้ งั ประสงค์ ฯ ๑๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลกั ษณะอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๓) ตอบ : คือธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแต่ง ฯ มีลกั ษณะ คือ มีความเกิดข้ึนในเบ้ืองตน้ มีความดบั ไปในที่สุด และเม่ือยงั ต้งั อยู่ มีความแปรปรวนปรากฏ ฯ ๑๒. สังขตธรรม และ อสังขตธรรม ต่างกนั อย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็ นสังขตธรรมเพราะมี ลกั ษณะอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : สังขตธรรม คือ ธรรมอนั ปัจจยั ปรุงแตง่ มีความเกิดข้นึ ในเบ้ืองตน้ ผนั แปรใน ท่ามกลาง และแตกสลายไปในท่ีสุด, อสังขตธรรม เป็นธรรมอนั ปัจจยั ไม่ไดป้ รุงแต่ง คือ ไม่เกิด ไม่เปลี่ยนแปลงและ ไม่แตกสลาย, สตั ว์ ตน้ ไม้ ภูเขาเป็นสงั ขตธรรมเพราะมีความเกิดข้ึนในเบ้ืองตน้ ผนั แปรในท่ามกลาง และแตกสลายไปในท่ีสุด ฯ ๑๓. ความเกดิ ขนึ้ ความต้ังอยู่ ความดับไป เป็ นลกั ษณะของธรรมอะไร สัตว์บคุ คลมลี กั ษณะเช่นน้ัน หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๒)

๑๙ ตอบ : เป็นลกั ษณะของสังขตธรรม มีลกั ษณะเช่นน้นั คือเมื่อสตั วบ์ คุ คลเกิดมาแลว้ กเ็ ป็น ความเกิดข้นึ ตอ่ มาก็เจริญเติบโตผา่ นวยั ท้งั ๓ ก็เป็นความต้งั อยู่ เมื่อตายก็เป็นความ ดบั ไป ฯ ๑๔. ปฏสิ ันถาร มีอะไรบ้าง ? มปี ระโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : มี ๑. อามิสปฏิสนั ถาร ตอ้ นรับดว้ ยส่ิงของ ๒. ธมั มปฏิสันถาร ตอ้ นรับโดยธรรม ฯ มีประโยชนอ์ ยา่ งน้ี คือ ๑. เป็นอุบายสร้างความสามคั คแี ละยดึ เหน่ียวน้าใจกนั ๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหวา่ งกนั และกนั ใหม้ นั่ คงยง่ิ ข้ึน ฯ ๑๕. แสวงหาอะไรเป็ นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็ นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ? (๒๕๕๕) ตอบ : ในพระสูตรแสดงวา่ แสวงหาสภาพอนั มิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คอื คณุ ธรรมมี พระนิพพานเป็นอยา่ งสูง เป็นการแสวงหาอยา่ งประเสริฐ เรียกวา่ อริยปริเยสนา ฯ แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่น หาของเลน่ เป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ เรียกวา่ อนริยปริเยสนา ฯ ๑๖. ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวินัย น้นั ทราบแล้ว อยากทราบว่าความปฏิบัตอิ ย่างไรจัดเป็ นธรรม ความปฏิบตั ิ อย่างไรจัดเป็ นวินัย ? (๒๕๕๘) ตอบ : ความปฏิบตั ิเป็นทางนาความประพฤติและอธั ยาศยั ใหป้ ระณีตข้ึน จดั เป็นธรรม ความปฏิบตั ิเน่ืองดว้ ยระเบียบอนั ทรงต้งั ไวด้ ว้ ยพทุ ธอาณา เป็นสิกขาบทหรือ อภิสมาจาร เป็นทางนาความประพฤติใหส้ ม่าเสมอกนั หรือเป็นเครื่องบริหาร คณะจดั เป็นวินยั ฯ ๑๗. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มหาภูตรูป คอื รูปใหญ่ ไดแ้ ก่ ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย ฯ อปุ าทายรูป คือ รูป อาศยั มหาภูตรูปน้นั ฯ ๑๘. มหาภูตรูป คืออะไร ? มคี วามเกย่ี วเน่ืองกบั อปุ าทายรูปอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : มหาภตู รูป คือ รูปใหญ่ ไดแ้ ก่สิ่งท่ีธาตุ ๔ มาประชุมกนั ข้ึนเป็นกองรูป ฯ เก่ียวเนื่องกนั เพราะเป็นที่ต้งั อาศยั ของอุปาทายรูป (รูปยอ่ ยตา่ ง ๆ) และเป็นรูปที่ ปรากฏชดั เจน เห็นและรับรู้ไดง้ า่ ย ๑๙. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็ น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? จงอธบิ ายมาส้ัน ๆ พอเข้าใจ (๒๕๕๑) ตอบ : ไดแ้ ก่ มหาภตู รูป และ อปุ าทายรูป ฯ

๒๐ มหาภูตรูป คอื รูปใหญ่ อนั ไดแ้ ก่ ธาตุ ๔ มีดิน น้า ไฟ ลม อุปาทายรูป คือ รูปอาศยั เป็นอาการของมหาภตู รูป เช่น ประสาท ๕ มีจกั ขุ ประสาท เป็นตน้ โคจร ๕ มีรูปารมณ์เป็นตน้ ฯ ๒๐. วิมุตติ กบั วิโมกข์ ต่างกนั อย่างไร ? สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ มีอธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ต่างกนั แต่โดยพยญั ชนะ แตก่ พ็ น้ จาก ราคะ โทสะ โมหะไดเ้ ทา่ กนั โดยอรรถ ฯ มีอธิบายวา่ ความพน้ จากกิเลสดว้ ยอานาจอริยมรรค กิเลสเหล่าน้นั ขาดเดด็ ไป ไมก่ ลบั เกิดอีก ฯ ๒๑. เจโตวิมุตติ กบั ปัญญาวิมุตติ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๕๑) ตอบ : เจโตวมิ ตุ ติ เป็นวิมตุ ติของท่านผไู้ ดบ้ รรลฌุ านมาก่อนแลว้ จึงบาเพญ็ วิปัสสนาต่อ ปัญญาวมิ ุตติ เป็นวิมตุ ติของท่านผไู้ ดบ้ รรลุดว้ ยลาพงั บาเพญ็ วิปัสสนาลว้ น อีกนยั หน่ึง เรียก เจโตวิมตุ ติเพราะพน้ จากราคะ เรียกปัญญาวิมตุ ติ เพราะพน้ จาก อวชิ ชา ฯ ______________________________________________________________________________ ติกะ คือหมวด ๓ ๑. ความตริในฝ่ ายช่ัว เรียกว่าอะไร ? มกี อี่ ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙) ตอบ : เรียกวา่ อกศุ ลวติ ก ฯ มี ๓ อยา่ ง ฯ คือ ๑. กามวติ ก ความตริในทางกาม ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท ๓. วหิ ิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ ๒. กุศลวติ ก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมอี งค์ ๘ ข้อไหนได้ ? (๒๕๕๖) ตอบ : มี ๑. เนกขมั มวติ ก ความตริในทางพรากจากกาม ๒. อพยาบาทวติ ก ความตริในทางไมพ่ ยาบาท ๓. อวิหงิ สาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ สงเคราะห์เขา้ ในขอ้ สมั มาสังกปั ปะ ฯ ๓. อธปิ เตยยะ ๓ มอี ะไรบ้าง ? บคุ คลผู้ถือความถกู ต้องเป็ นใหญ่ทาด้วยอานาจ เมตตา กรุณา เป็ นต้น จดั เข้าในข้อไหน ? (๒๕๖๒) ตอบ : มี ๓ คือ ๑. อตั ตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธปิ เตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่

๒๑ ๓. ธมั มาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ จดั เขา้ ในธมั มาธิปเตยยะได้ ฯ ๔. ผู้มีอตั ตาธปิ เตยยะกบั ผ้มู ีธมั มาธปิ เตยยะ มีความม่งุ หมายในการทางานต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : ผู้มีอตั ตาธิปเตยยะ ปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทาดว้ ยม่งุ ใหส้ มภาวะของตน ผทู้ ามุ่งผลอนั จะไดแ้ ก่ตน หรือมงุ่ ความสะดวกแห่งตน ผู้มธี มั มาธิปเตยยะ ทาดว้ ยไม่มุง่ หมายอยา่ งอ่ืน เป็นแตเ่ ห็นสมควรเห็นวา่ ถกู ก็ ทาหรือทาดว้ ยอานาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ ๕. การฆ่าสัตว์อย่างไรเกดิ ทางกายทวาร อย่างไรเกดิ ทางวจที วาร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ฆา่ ดว้ ยตนเองเกิดทางกายทวาร, ใชใ้ หผ้ อู้ ่ืนฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ ๖. กตญาณ เป็ นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : กตญาณ คือความรู้ชดั ซ่ึงกิจในอริยสัจ ๔ ท่ีไดก้ ระทาแลว้ ฯ ๗. ญาณ ๓ ทเี่ ป็ นไปในทุกขสัจ มอี ธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : มีอธิบายวา่ ๑. ปรีชาหยง่ั รู้วา่ น้ีทกุ ขสจั จดั เป็นสจั จญาณ ๒. ปรีชาหยง่ั รู้วา่ ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกาหนดรู้ จดั เป็นกิจจญาณ ๓ ปรีชาหยง่ั รู้วา่ ทกุ ขสจั ท่ีควรกาหนดรู้ ไดก้ าหนดรู้แลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ ๘. ญาณ ๓ ที่เป็ นไปในทกุ ขสมุทยั มีอธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๖) ตอบ : ๑. ปรีชาหยง่ั รู้วา่ น้ีทกุ ขสมทุ ยั จดั เป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยงั่ รู้วา่ ทกุ ขสมทุ ยั เป็นสภาพที่ควรละ จดั เป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยงั่ รู้วา่ ทุกขสมุทยั เป็นสภาพท่ีละไดแ้ ลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ ๙. ญาณ ๓ ทีเ่ ป็ นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ทเ่ี ป็ นไปในทกุ ขนิโรธสัจมอี ธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : มี ๑. สจั จญาณ ปรีชาหยง่ั รู้อริยสจั ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยงั่ รู้กิจอนั ควรทา ๓. กตญาณ ปรีชาหยงั่ รู้กิจอนั ทาแลว้ ฯ มีอธิบายวา่ ๑. ปรีชาหยง่ั รู้วา่ น้ีทุกขนิโรธสจั จดั เป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยง่ั รู้วา่ ทกุ ขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาใหแ้ จง้ จดั เป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยงั่ รู้วา่ ทกุ ขนิโรธสจั ที่ควรทาใหแ้ จง้ ๆ แลว้ จดั เป็นกตญาณ ฯ

๒๒ ๑๑. กจิ จญาณ คืออะไร ? เป็ นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : คือ ปรีชาหยง่ั รู้กิจอนั ควรทา ฯ ปรีชาหยง่ั รู้วา่ ทกุ ขเ์ ป็นธรรมชาติท่ีควรกาหนดรู้ ทุกขสมทุ ยั เป็นธรรมชาติที่ควร ละทุกขนิโรธเป็นธรรมชาติที่ควรทาใหแ้ จง้ ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็น ธรรมชาติท่ีควรทาใหเ้ กิด ฯ ๑๒. อาสวกั ขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น อธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : มีอธิบายอยา่ งน้ี รู้ชดั ตามจริงวา่ น้ีทุกข์ น้ีทุกขสมุทยั น้ีทุกขนิโรธ น้ีทกุ ขนิโรธคา มินีปฏิปทา เหลา่ น้ีอาสวะ น้ีเหตเุ กิดอาสวะ น้ีความดบั อาสวะ น้ีทางไปถึงความดบั อาสวะ เมื่อรู้เห็นอยา่ งน้ีจิตพน้ แลว้ จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ ๑๓. ปาฏหิ าริย์คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงยกย่องปาฏิหาริย์อะไรว่าเป็ นอศั จรรย์ย่ิงกว่า ปาฏหิ าริย์ อ่ืน ? (๒๕๖๒) ตอบ : คอื การกระทาที่ใหบ้ งั เกิดผลเป็นอศั จรรย์ ฯ ทรงยกยอ่ งอนุสาสนีปาฏิหาริยว์ า่ เป็นอศั จรรยย์ งิ่ กวา่ ปาฏิหาริยอ์ ่ืน ฯ ๑๔. ปาฏหิ าริย์ ๓ มอี ะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็ นอศั จรรย์ที่สุด ? (๒๕๕๑) ตอบ : มี ๑. อทิ ธปิ าฏิหาริย์ ฤทธ์ิเป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดกั ใจเป็นอศั จรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คาสอนเป็นอศั จรรย์ ฯ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอศั จรรยท์ ี่สุด ฯ ๑๕. ปาฏหิ าริย์มีอะไรบ้าง ? ทาไมจงึ ยกย่องอนุสาสนีปาฏหิ าริย์ว่าอศั จรรย์ ? (๒๕๖๐) ตอบ : มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อทิ ธิปาฏหิ าริย์ ฤทธ์ิเป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ใจเป็นอศั จรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏหิ าริย์ คาสอนเป็นอศั จรย์ ฯ เพราะอาจจูงใจผฟู้ ังใหเ้ ห็นคลอ้ ยตาม ละความชว่ั ทาความดีต้งั แตข่ ้นั ต่า คอื การถึง สรณะและรักษาศีล ตลอดถึงข้นั สูง คือ มรรคผลนิพพานได้ ฯ ๑๖. ปิ ฎก ๓ ได้แก่อะไรบ้าง แต่ละปิ ฎกว่าด้วยเร่ืองอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : ไดแ้ ก่ พระวินยั ปิ ฎก พระสุตตนั ตปิ ฎก และพระอภิธรรมปิ ฎก พระวนิ ยั ปิ ฎก วา่ ดว้ ยเรื่องกฎระเบียบขอ้ บงั คบั ที่นาความประพฤติใหส้ ม่าเสมอกนั หรื อเป็ นเครื่ องบริ หารคณะ พระสุตตนั ตปิ ฎก วา่ ดว้ ยคาสอนยกบุคคลเป็นที่ต้งั

๒๓ พระอภิธรรมปิ ฎก วา่ ดว้ ยคาสอนยกธรรมลว้ นๆ ไม่เจือดว้ ยสตั วห์ รือบุคคลเป็น ที่ต้งั ฯ ๑๗. โลกตั ถจริยา ท่ีพระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็ นประโยชน์แก่โลกน้นั มอี ธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : มีอธิบายวา่ ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่มหาชนท่ีนบั วา่ สัตวโลกทวั่ ไป เช่น ทรงแผพ่ ระญาณตรวจดูสตั วโลกทุกเชา้ ค่า ผใู้ ดปรากฏในขา่ ยพระญาณ เสด็จไป โปรดผนู้ ้นั สรุปคอื ทรงสงเคราะห์คนท้งั หลายโดยฐานเป็นเพื่อนมนุษยด์ ว้ ยกนั ฯ ๑๘. ภพกบั ภูมติ ่างกนั อย่างไร ? มอี ย่างละเท่าไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ภพ หมายถึง โลกเป็นที่อยตู่ ่างช้นั แห่งหมูส่ ตั ว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึง ภาวะอนั ประณีตข้ึนไปเป็นช้นั ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ ๑๙. ไตรวัฏฏะ อนั ได้แก่ กเิ ลสวัฏฏะ กมั มวฏั ฏะ วิปากวัฏฏะ มสี ภาพเกย่ี วเนื่องวนกนั ไปอย่างไร ? ตดั ให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : อยา่ งน้ี คอื กิเลสเกิดข้ึนแลว้ ใหท้ ากรรม คร้ันทากรรมแลว้ ยอ่ มไดร้ ับวบิ ากแห่ง กรรม เมื่อไดร้ ับวิบากกิเลสก็เกิดข้ึนอีก วนกนั ไปอยา่ งน้ี ฯ ไดด้ ว้ ยอรหตั ตมรรคญาณ ฯ ๒๐. กเิ ลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วฏั ฏะ เพราะเหตไุ ร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : กิเลสผลกั ดนั ใหบ้ ุคคลทากรรมท้งั ที่เป็นกุศลและอกศุ ล เม่ือทากรรมก็ตอ้ งไดร้ ับ วบิ าก ผลของกรรม เมื่อเสวยวบิ ากอยกู่ ็เกิดกิเลสอีก เม่ือกิเลสเกิดก็ผลกั ดนั ให้ ทากรรมอีก หมุนวนกนั ไปอยา่ งน้ี ฯ จะตดั ใหข้ าดไดด้ ว้ ยอรหตั ตมรรคญาณฯ ๒๑. กเิ ลส กรรม วบิ าก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๑) ตอบ : เพราะวน คือหมุนเวียนกนั ไป ฯ อธิบายวา่ กิเลสเกิดข้ึนแลว้ ใหท้ ากรรม คร้ันทากรรมแลว้ ยอ่ มไดร้ ับวบิ ากแห่ง กรรม เมื่อไดร้ ับวบิ าก กิเลสกเ็ กิดข้ึนอีก วนกนั ไปอยา่ งน้ี ฯ ๒๒. วเิ วก ๓ คืออะไรบ้าง ? จงอธิบายแต่ละอย่างพอเข้าใจ ? (๒๕๕๘) ตอบ : คือ ๑. กายวิเวก สงดั กาย ไดแ้ ก่ อยใู่ นท่ีสงดั ๒. จิตตวิเวก สงดั จิต ไดแ้ ก่ ทาจิตใหส้ งบดว้ ยสมถภาวนา ๓. อุปธิวเิ วก สงดั กิเลส ไดแ้ ก่ ทาใจใหบ้ ริสุทธ์ิจากกิเลสดว้ ยวิปัสสนาภาวนา ฯ

๒๔ ๒๓. ในสังขาร ๓ อะไรชื่อว่ากายสังขารและวจสี ังขาร ? เพราะเหตไุ รจงึ ได้ชื่ออย่างน้นั ? (๒๕๕๘) ตอบ : ลมอสั สาสะปัสสาสะ ไดช้ ื่อวา่ กายสงั ขาร เพราะปรนปรือกายให้เป็นอยวู่ ิตก กบั วิจาร ไดช้ ื่อวา่ วจีสังขาร เพราะตริแลว้ ตรองแลว้ จึงพดู ไมเ่ ช่นน้นั วาจาน้นั จกั ไม่ เป็นภาษา ฯ ๒๔. คาว่า พระโสดาบนั และ สัตตักขัตตุปรมะ มอี ธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : พระโสดาบัน คือ พระอริยบคุ คลผไู้ ดบ้ รรลุอริยผลข้นั แรก ฯ สัตตักขตั ตุปรมะ คอื พระโสดาบนั ผจู้ ะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอยา่ งยงิ่ ฯ ๒๕. คาว่า “โสดาบัน\" แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบนั น้นั ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๕๙) ตอบ : โสดาบนั แปลวา่ ผแู้ รกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ท่านละสงั โยชน์ไดเ้ ดด็ ขาด ๓ อยา่ ง คือ ๑. สักกายทฏิ ฐิ ๒. วิจิกจิ ฉา ๓. สีลพั พตปรามาส ฯ ๒๖. พระโสดาบนั แปลว่าอะไร ? หมายถงึ พระอริยบคุ คลผ้ลู ะสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : แปลวา่ ผแู้ รกเขา้ ถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลพั พตปรามาสไดข้ าด ฯ ๒๗. สังโยชน์คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๒) ตอบ : คอื กิเลสอนั ผกู ใจสัตวไ์ ว้ ฯ ละสงั โยชน์ ๓ เบ้ืองตน้ ไดข้ าด คือ ๑) สกั กายทิฏฐิ ๒) วจิ ิกิจฉา ๓) สีลพั พตปรามาส ฯ ______________________________________________________________________________ จตกุ กะ คือ หมวด ๔ ๑. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : ไดแ้ ก่ ภูมิ กาเนิดหรือพวกอนั หาความเจริญมิได้ ฯ มี ๑)นิรยะ คือ นรก ๒) ติรัจฉานโยนิ คือ กาเนิดดิรัจฉาน ๓)ปิ ตติวิสัย คอื ภูมิแห่ง เปรต ๔.อสุรกาย คอื พวกอสุระ ฯ ๒. อปัสเสนธรรมข้อว่า “พจิ ารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนง่ึ ” ของอย่างหนึ่งน้นั คืออะไร (๒๕๕๘) ตอบ : คือ อกศุ ลวิตกอนั สมั ปยตุ ดว้ ยกาม พยาบาท วหิ ิงสา ฯ

๒๕ ๓. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็ นทีพ่ งึ่ พงิ ) ข้อที่ ๒ ว่า พจิ ารณาแล้วอดกล้นั ของอย่างหนึ่ง น้นั มอี ธบิ าย อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : มีอธิบายวา่ อดกล้นั อารมณ์อนั ไม่เป็นที่เจริญใจ ตา่ งโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถอ้ ยคาเสียดแทง และทุกขเวทนาอนั แรงกลา้ ฯ ๔. เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวหิ ารและในอปั ปมัญญา ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : มีความหมายวา่ ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผอู้ ่ืนดว้ ยความจริงใจ ฯ ต่างกนั โดยวธิ ีแผ่ คือ แผโ่ ดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จดั เป็นพรหมวหิ าร ถา้ แผโ่ ดยไมเ่ จาะจงไมจ่ ากดั จดั เป็นอปั ปมญั ญา ฯ ๕. เมตตากบั ปรานีมีความหมายต่างกนั หรือเหมือนกนั อย่างไร ? และอย่างไหนกาจดั วิตกอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : เมตตา หมายถึง ความรักใคร่หรือความหวงั ดี, ปรานี หมายถึง ความปรารถนาให้ผอู้ ื่นพน้ จากความทุกขเ์ ขา้ ลกั ษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตากาจดั พยาบาทวิตก ปรานีกาจดั วิหิงสาวติ ก ฯ ๖. การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กบั ในอปั ปมญั ญา ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : เมตตาในอปั ปมญั ญา หมายถึง การเจริญเมตตามีความสงบแนบแน่นจึงถึงอปั ปนา สมาธิ, เมตตาในพรหมวิหาร หมายถึง ความรักมุ่งปรารถนาดี โดยไม่หวงั ผลตอบแทน ใดๆ ๗. อริยวงศ์คืออะไร มกี อ่ี ย่าง ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : คอื ปฏิปทาของพระอริยบคุ คลผเู้ ป็นสมณะ มี ๔ อยา่ ง ฯ ขอ้ ท่ี ๔ วา่ ยนิ ดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ ๘. ปฏปิ ทาของพระอริยบคุ คลผู้เป็ นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : เรียกวา่ อริยวงศ์ ฯ มี ๔ คือ ๑. สันโดษดว้ ยจีวรตามมีตามเกิด ๒. สันโดษดว้ ยบิณฑบาตตามมีตามเกิด ๓. สันโดษดว้ ยเสนาสนะตามมีตามเกิด ๔. ยนิ ดีในการเจริญกศุ ลและในการละอกศุ ลฯ

๒๖ ๙. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอานาจมานะ จนเป็ นเหตุถือพวก จัดเป็ นอุปาทานอะไร ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๕๘) ตอบ : คือ การถือมนั่ ขา้ งเลว ไดแ้ ก่ถือร้ัน ฯ จดั เป็นอตั ตวาทุปาทาน ฯ ๑๐. กเิ ลส ช่ือว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๗) ตอบ : เพราะโอฆะ คือ หว้ งน้าใหญ่ ยอ่ มพดั พาส่ิงต่างๆ ไปดว้ ยกระแสของตน เช่นเดียวกบั กิเลส, โยคะ คือ กิเลสเครื่องผกู สัตวไ์ วใ้ นวฏั ฏะ, ส่วนอาสวะ คอื กิเลส ท่ีหมกั หมมหรือดองอยใู่ นสนั ดานไหลซึมซ่านไปยอ้ มจิตเม่ือประสบอารมณ์ตา่ ง ๆ ท้งั หมดชื่อวา่ กิเลสฯ ๑๑. กาม ภพ ทฏิ ฐิ และอวชิ ชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ไดช้ ื่อวา่ โอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอนั ท่วมใจสตั ว์ ไดช้ ่ือวา่ โยคะ เพราะ ประกอบสตั วไ์ วใ้ นภพ ไดช้ ื่อวา่ อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมกั หมมอยใู่ นสนั ดาน ฯ ๑๒. กจิ ในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : มี ๑. ปริญญา กาหนดรู้ทุกขสจั ๒. ปหานะ ละสมุทยั สจั ๓. สจั ฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นิโรธสัจ ๔. ภาวนา ทามคั คสัจใหเ้ กิด ฯ ๑๓. ทักขิณา คืออะไร ? ทกั ขิณาน้ัน จะบริสุทธ์หิ รือไม่บริสุทธ์ิ ในฝ่ ายทายกและในฝ่ ายปฏิคาหกน้ัน มอี ะไรเป็ นเครื่องหมาย ? (๒๕๕๔) ตอบ : คอื ของทาบญุ ฯ ทกั ขิณาจะบริสุทธ์ิ มีศีลมีกลั ยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย ทกั ขิณาจะไมบ่ ริสุทธ์ิ มีทศุ ีล มีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ ๑๔. ทักขณิ าวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานสิ งส์มากท่สี ุด ? (๒๕๕๖) ตอบ : ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บริสุทธ์ิฝ่ายทายก ไมบ่ ริสุทธ์ิฝ่ายปฏิคาหก ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บริสุทธ์ิฝ่ายปฏิคาหก ไมบ่ ริสุทธ์ิฝ่ายทายก ทกั ขิณาบางอยา่ ง ไม่บริสุทธ์ิท้งั ฝ่ายทายก ท้งั ฝ่ายปฏิคาหก ทกั ขิณาบางอยา่ ง บริสุทธ์ิท้งั ฝ่ายทายก ท้งั ฝ่ายปฏิคาหก ฯ อยา่ งท่ี ๔ คอื ทกั ขณิ าที่บริสุทธท์ ้งั ฝ่ายทายก ท้งั ฝ่ายปฏิคาหก ฯ ______________________________________________________________________________

๒๗ ปัญจกะ คือหมวด ๕ ๑. ธรรมมจั ฉริยะ ความตระหนธ่ี รรม มอี ธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : มีอธิบายวา่ ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรงวา่ เขาจะรู้เทียมตน ฯ ๒. มจั จมุ ารได้แก่อะไร ? ได้ช่ือว่าเป็ นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : ไดแ้ ก่ความตาย ฯ ชื่อวา่ เป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดข้ึน บุคคลยอ่ มหมดโอกาสที่จะทาประโยชน์ ใด ๆ อีกต่อไป ฯ ๓. มารมีอะไรบ้าง อกศุ ลกรรมจัดเป็ นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒) ตอบ : มีดงั น้ี ๑. ขนั ธมาร มารคอื ปัญจขนั ธ์ ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๓. อภิสังขารมาร มารคอื อภิสังขาร ๔. เทวปตุ ตมาร มารคือเทวดา ๕. มจั จุมาร มารคอื ความตาย อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสงั ขารมาร ฯ ๔. ปัญจขันธ์ได้ช่ือว่าเป็ นมาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๐) ตอบ : เพราะปัญจขนั ธ์น้นั บางทีทาความลาบากให้ อนั เป็นเหตเุ บ่ือหน่ายจนถึงฆ่าตวั ตาย เสียเองก็มี ฯ ๕. ในพระพทุ ธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คาว่า มาร หมายถึง อะไร ? กเิ ลสได้ช่ือว่า มารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : หมายถึง ส่ิงที่ลา้ งผลาญทาลายความดี ชกั นาใหท้ าบาปกรรม ปิ ดก้นั ไมใ่ หท้ าความ ดี จนถึงปิ ดก้นั ไมใ่ หเ้ ขา้ ใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ เพราะผทู้ ่ีตกอยใู่ นอานาจของกิเลสแลว้ ยอ่ มจะถกู ผกู มดั ไวบ้ า้ ง ถูกทาใหเ้ สียคน บา้ ง ฯ ๗. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กเิ ลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตไุ ร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ ปัญจขนั ธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และ เทวบตุ ร ฯ ไดช้ ื่อวา่ มาร เพราะผทู้ ี่ตกอยใู่ นอานาจแห่งกิเลสแลว้ กิเลสยอ่ มผกู รัดไวบ้ า้ ง ยอ่ มทาใหเ้ สียคนบา้ ง ฯ

๒๘ ๘. สังวรคืออะไร ? สตสิ ังวร สารวมด้วยสตนิ ้นั มอี ธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : คอื การสารวมระวงั ปิ ดก้นั อกศุ ล ฯ มีอธิบายวา่ สารวมอินทรียม์ ีจกั ษเุ ป็นตน้ ระวงั รักษามิใหอ้ กุศลกรรมเขา้ ครอบงา เม่ือเห็นรูปเป็นตน้ ท้งั มีสติไม่ฟั่นเฟื อนหลงลืม ระลึกไดก้ ่อนแตท่ า พดู คิด ไมใ่ ห้ ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทากรรมชวั่ ฯ ๙. ชิวหาวิญญาณ และกายวญิ ญาณ เกดิ ขนึ้ ได้เพราะอาศัยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : ชิวหาวิญญาณเกิดข้ึน เพราะอาศยั ลิ้นกบั รส (กระทบกนั ) และกายวญิ ญาณเกิดข้ึน เพราะอาศยั กายกบั โผฏฐพั พะ (กระทบกนั ) ฯ ๑๐. ในวิมตุ ติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็ นโลกยิ ะ อย่างไหนเป็ นโลกุตตระ ? (๒๕๖๐) ตอบ : ตทงั ควิมุตติ และวกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ จดั เป็นโลกยิ ะ ส่วนสมจุ เฉทวิมตุ ติ ปฏิปัสสทั ธิวิมุตติ และนิสสรณวิมตุ ติ จดั เป็นโลกตุ ตระ ฯ ๑๑. ความรู้สึกเฉยๆ ทางกาย กบั ความรู้สึกเฉยๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : จดั อยใู่ นอุเบกขาฯ ๑๒. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็ นพหุสูต เพราะประกอบด้วยคณุ สมบัตอิ ะไรบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : คุณสมบตั ิของพหูสูต คอื ๑. พหุสฺสุตา ฟังมาก ๒. ธตา จาได้ ๓. วจสา ปริจติ า คล่องปาก ๔. มนสานุเปกขติ ก เพง่ ข้ึนใจ ๕. ทฏิ ฐิยา สุปฏิวทิ ฺธา ขบไดด้ ว้ ยทฤษฎี ฯ _____________________________________________________________________________ ฉักกะ คือหมวด ๖ ๑. จริต คือ อะไร ? คนมปี กตเิ ชื่อง่ายเป็ นจริตอะไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : คอื พ้นื เพอธั ยาศยั ของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจา ฯ เป็นสทั ธาจริต ฯ ๒. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมกั นกึ พล่านจะพงึ แก้ด้วยกมั มัฏฐานอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ไดแ้ ก่ ๑) ราคจริต ๒) โทสจริต ๓) โมหจริต ๔) วิตกั กจริต ๕) สัทธาจริต ๖) พทุ ธิจริต ฯ พงึ แกด้ ว้ ยวธิ ีเพง่ กสิณ หรือเจริญอานาปานสั สติกมั มฏั ฐาน ฯ

๒๙ ๓. คาว่า พระธรรม ในธรรมคณุ บทว่า “พระธรรมอนั พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว”หมายถงึ อะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๖) ตอบ : หมายถึง ปริยตั ิธรรม กบั ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารไดแ้ ก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกตุ รธรรม ๙ กบั ปริยตั ิธรรม ๑) ฯ ๔. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ธมฺม นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม อนั พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ทว่ี ่าตรัสดีแล้วน้ันมอี ธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีอธิบายอยา่ งน้ีคอื ดีท้งั ในส่วนปริยตั ิและดีท้งั ในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยตั ิไดช้ ่ือ วา่ ดี เพราะตรัสไมว่ ปิ ริต เพราะแสดงขอ้ ปฏิบตั ิโดยลาดบั กนั มีความไพเราะใน เบ้ืองตน้ ทา่ มกลาง ท่ีสุด พร้อมท้งั อรรถ ท้งั พยญั ชนะ บริสุทธ์ิบริบูรณ์สิ้นเชิง ใน ส่วนปฏิเวธน้นั ไดช้ ื่อวา่ ดี เพราะปฏิปทากบั พระนิพพานยอ่ มสมควรแก่กนั และกนั ๕. สวรรค์มีกชี่ ้ัน อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : มี ๖ ช้นั ไดแ้ ก่ ๑. ช้นั จาตมุ หาราชิกา ๒. ช้นั ดาวดึงส์ ๓. ช้นั ยามา ๔. ช้นั ดุสิต ๕. ช้นั นิมมานรดี ๖. ช้นั ปรนิมมิตวสวตั ดี ฯ ______________________________________________________________________________ สัตตกะ คือหมวด ๗ ๑. อนุสัย หมายถงึ กเิ ลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นน้นั เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : หมายถึง กิเลสอยา่ งละเอียดที่นอนเน่ืองอยใู่ นสันดาน ฯ เพราะกิเลสชนิดน้ี บางทีไมป่ รากฏ แตเ่ มื่อมีอารมณ์มายวั่ ยอ่ มเกิดข้ึนในทนั ใด ฯ ๒. กเิ ลสทีไ่ ด้ชื่อว่าอนุสัยและได้ช่ือว่าสังโยชน์ มีอธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : กิเลสท่ีไดช้ ื่อวา่ อนุสัย เพราะเป็นกิเลสอยา่ งละเอียด นอนเนื่องอยใู่ นสันดานของ สตั วม์ กั ไมป่ รากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายวั่ จึงปรากฏข้ึน กิเลสท่ีไดช้ ่ือวา่ สังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผกู ใจสตั วไ์ วก้ ้บั ภพไมใ่ หห้ ลดุ พน้ ไปได้ ๓. วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : ต่างกนั อยา่ งน้ี ภมู ิเป็นที่ต้งั แห่งวญิ ญาณ เรียกวา่ วญิ ญาณฐิติ ภพเป็นท่ีอยแู่ ห่งสตั ว์ เรียกวา่ สตั ตาวาส ฯ

๓๐ ๔. สมาธิระดับไหนจงึ จดั เป็ นจติ ตวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจติ ? (๒๕๕๕) ตอบ : สมาธิท้งั ที่เป็นอุปจาระท้งั ท่ีเป็นอปั ปนา โดยท่ีสุดขณิกสมาธิ คือ สมาธิชวั่ ขณะพอ เป็นรากฐานแห่งวปิ ัสสนา จดั เป็นจิตตวสิ ุทธิ ฯ ______________________________________________________________________________ อฏั ฐกะ คือหมวด ๘ ๑. ในอวชิ ชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มอี ธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : มีอธิบายวา่ ไม่รู้จกั คิดลว่ งหนา้ ไม่อาจปรารภการที่ทา หรือเหตอุ นั เกิดข้นึ ใน ปัจจุบนั วา่ จกั มีผลเป็นอยา่ งน้นั ๆ ฯ ______________________________________________________________________________ นวกะ คือหมวด ๙ ๑. พระพุทธคุณ บทว่า อรห แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : แปลวา่ เป็นผเู้ วน้ ไกลจากกิเลสและบาปกรรม เป็นผหู้ กั กาแห่งสงั สารจกั ร เป็นผคู้ วรแนะนาสง่ั สอนเขา เป็นผคู้ วรรับความเคารพนบั ถือของเขา เป็นผไู้ มม่ ีขอ้ ลบั ไม่ไดท้ าความเสียหายอนั จะพงึ ซ่อนเพ่อื มิใหค้ นอ่ืนรู้ ฯ ๒. พระพุทธคณุ บทว่า อรห เป็ นพระอรหันต์ มคี วามหมายอย่างไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๒ อย่าง (๒๕๕๙) ตอบ : มีความหมายได้ ๔ อยา่ ง ฯ คอื ๑.ชื่อวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผไู้ กลจากกิเลสและบาปธรรม กลา่ วคือเป็นผู้ บริ สุทธ์ ิ ๒.ชื่อวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผหู ้กั กาสังสารจกั ร คอื อวิชชา ตณั หา อุปาทาน กรรม ได้ ๓.ช่ือวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผคู้ วรแนะนาสั่งสอนเขา หรือเป็นผคู้ วรรับ ความเคารพนบั ถือ ๔.ช่ือวา่ เป็นพระอรหนั ต์ เพราะเป็นผไู้ มม่ ีความลบั คอื มิไดท้ าความเสียหายอนั ใด ที่จะพึงซ่อนเร้น ฯ

๓๑ ๓. พทุ ธคณุ ๒ กม็ ี พทุ ธคุณ ๓ กม็ ี พุทธคณุ ๙ กม็ ี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง (๒๕๕๖) ตอบ : พุทธคุณ ๒ คือ อตั ตนิตสมบตั ิ ความถึงแห่งประโยชนต์ น และปรหิตปฏิบตั ิ การ ปฏิบตั ิเพื่อประโยชนผ์ อู้ ื่น พุทธคณุ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวสิ ุทธิคุณ และพระกรุณาคณุ พทุ ธคุณ ๙ คอื อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปรุ ิสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ, ภควา ฯ ๔. พระพุทธคณุ บทว่า อรห ท่ีแปลว่า เป็ นผู้หกั กาแห่งสังสารจกั รน้นั กาแห่งสังสารจักร ได้แก่ อะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : ไดแ้ ก่ อวิชชา ตณั หา อุปาทาน และกรรมฯ ๕. พระพุทธคุณว่า อรห ใช้เป็ นคณุ บทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคาอะไรมา ประกอบร่วมด้วย เป็ นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็ นคุณบทของพระศาสดาหรือของพระสาวก ? (๒๕๕๔) ตอบ : ได้ ฯ สาหรับพระศาสดา ใชว้ า่ อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลวา่ พระอรหนั ต์ ผตู้ รัสรู้ ชอบเอง สาหรับพระสาวกใชว้ า่ อรห ขณี าสโว แปลวา่ พระอรหนั ตผ์ มู้ ีอาสวะสิ้นแลว้ ฯ ๖. พระพทุ ธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจดั เป็ นอตั ตหติ สมบัติและปรหติ ปฏิบตั ิ ?(๒๕๕๓) ตอบ : คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวทิ ู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พทุ ฺโธ, ภควา ฯ ๕ บทเบ้ืองตน้ เป็นอตั ตหิตสมบตั ิ ๔ บท เบ้ืองปลายเป็นปรหิตปฏิบตั ิ ฯ ๗. พระพทุ ธคุณบทหน่ึงว่า เป็ นผู้หักกาแห่งสังสารจักร ถามว่ากาได้แก่อะไร สังสารจกั รได้แก่ อะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : กา ไดแ้ ก่ อวิชชา ตณั หา อุปาทาน กรรม, สังสารจกั ร ไดแ้ ก่ กิเลส กรรม วบิ าก ฯ ๘. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง ? ตอบ : คอื ความสาคญั ตวั วา่ เป็นนนั่ เป็นนี่ ฯ ไดแ้ ก่ ๑. สาคญั ตวั วา่ เลิศกวา่ เขา ๒. สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา ๓. สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา ฯ ๙. คาว่า “อชุ ุปฏิปนฺโน เป็ นผู้ปฏิบตั ติ รง” คือปฏิบตั ิเช่นไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ ไม่ปฏิบตั ิลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรงต่อพระศาสดา และเพ่ือน สาวกดว้ ยกนั ไม่อาพรางความในใจ ฯ

๓๒ ๑๐. สังฆคณุ ๙ มีอะไรบ้าง จะย่นให้เหลือเพยี ง ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิดีแลว้ ๒. อชุ ุปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิตรงแลว้ ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิเป็นธรรม ๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผคู้ วรของคานบั ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผคู้ วรของตอ้ นรับ ๗. ทกฺขเิ ณยฺโย เป็นผคู้ วรของทาบุญ ๘. อญฺชลีกรณีโย เป็นผคู้ วรทาอญั ชลี (ประณมมือไหว)้ ๙. อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยงิ่ กวา่ ฯ ขอ้ ๑ ถึงขอ้ ๔ เป็นอตั ตหิตคุณ คอื คณุ เก้ือกลู แก่ตนเอง ขอ้ ๕ ถึงขอ้ ๙ เป็นปรหิตคุณ คอื คณุ เก้ือกลู แก่ผอู้ ื่น ฯ ๑๑. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? คาว่า “อุขุปฏปิ นฺโน เป็ นผ้ปู ฏบิ ตั ิ ตรง” คือปฏบิ ัติเช่นไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : หมายถึง พระสาวกผไู้ ดบ้ รรลุธรรมวิเศษต้งั แต่พระโสดาปัตติมรรค เป็นตน้ ฯ คอื ไม่ปฏิบตั ิลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพอื่ น สาวกดว้ ยกนั ไม่อาพรางความในใจ ไมม่ ีแง่งอน ฯ ๑๒. คาว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณน้ัน ท่านประสงค์บคุ คลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู (๒๕๖๒, ๒๕๕๔) ตอบ : ทา่ นประสงคพ์ ระอริยบคุ คล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซ่ึงลว้ นแตท่ า่ นผทู้ ่ีต้งั อยใู่ นมรรคผล ท้งั สิ้น คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหตั มรรค พระอรหตั ผล คู่ ๑ ฯ ______________________________________________________________________________ ทสกะ คือหมวด ๑๐ ๑. บารมี คืออะไร ? ทาอย่างไร ? เรียกว่าอธษิ ฐานบารมี ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : คือ ปฏิปทาอนั ยงิ่ ยวด หรือคณุ ธรรมท่ีประพฤติอยา่ งยงิ่ ยวด ไดแ้ ก่ ความดีท่ีบาเพญ็ อยา่ งพเิ ศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ ความต้งั ใจมน่ั ตดั สินใจเดด็ เดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทาของตนไวแ้ น่นอน

๓๓ และดาเนินตามน้นั อยา่ งแน่วแน่ เรียกวา่ อธิษฐานบารมี ฯ ๒. ผ้บู ริจาคทานระดับใดจัดเป็ นทานบารมี ทานอปุ บารมี และทานปรมตั ถบารมี ?(๒๕๕๗) ตอบ : ทานบารมี คือ บารมีระดบั สามญั ไดแ้ ก่ ทรัพยส์ ินเงินทอง สมบตั ินอกกาย, อปุ บารมี คอื บารมีระดบั รอง ไดแ้ ก่ การเสียสละอวยั วะเป็นทาน, ปรมัตถบารมี คอื บารมีระดบั สูงสุด ไดแ้ ก่ การสละชีวติ เพ่ือประโยชน์แก่ผอู้ ื่น ๓. มิจฉัตตะคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะได้แก่พยายามผิดอย่างไร ?(๒๕๕๒) ตอบ : ความเป็นสิ่งที่ผดิ ฯ มี ๑) มิจฉาทิฏฐิ ๒) มิจฉาสงั กปั ปะ ๓) มิจฉาวาจา ๔) มิจฉากมั มนั ตะ ๕) มิจฉาอาชีวะ ๖) มิจฉาวายามะ ๗) มิจฉาสติ ๘) มิจฉาสมาธิ ๙) มิจฉาญาณะ ๑๐) มิจฉาวิมตุ ติ มิจฉาวายามะ ไดแ้ ก่ พยายามในทางยงั บาปธรรมใหเ้ กิดข้นึ และใหเ้ จริญ และ ในทางยงั กศุ ลธรรมไมใ่ หเ้ กิดข้ึนและใหเ้ ส่ือมสิ้น ฯ ______________________________________________________________________________ เอกาทสกะ คือหมวด ๑๑ ๑. พระบาลวี ่า “อวชิ ฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา” เพราะอวิชชาเป็ นปัจจยั จึงมสี ังขารดงั นี้ คาว่า สังขาร หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : หมายถึง สภาพผปู้ รุงแต่ง ฯ ไดแ้ ก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสงั ขารคอื บญุ ๒. อปุญญาภสิ ังขาร อภิสงั ขารคอื บาป ๓. อเนญชาภสิ ังขาร อภิสังขารคอื อเนญชา ฯ ๒. สมทุ ัยวาร กบั นโิ รธวาร ในปฏิจจสมปุ บาท ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : สมทุ ยั วาร คอื การแสดงความเกิดแห่งผล เพราะเกิดแห่งเหตุ ส่วนนิโรธวาร คือ การแสดงความดบั แห่งผล เพราะดบั แห่งเหตุ ฯ ______________________________________________________________________________ ทวาทสกะ คือหมวด ๑๒ ๑. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ ? ๑. อโหสิกรรม ๒. กตตั ตากรรม (๒๕๕๙) ตอบ : ๑. อโหสิกรรม คือ กรรมใหผ้ ลสาเร็จแลว้ เป็นกรรมล่วงคราวแลว้ เลิกใหผ้ ลเปรียบ

๓๔ เหมือนพชื สิ้นยางแลว้ เพาะไม่ข้นึ ๒. กตตั ตากรรม คือ กรรมสักวา่ ทา ไดแ้ ก่กรรมอนั ทาดว้ ยไม่จงใจ ฯ ๒. กรรมที่บุคคลทาไว้ ทาหน้าท่ีอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : ทาหนา้ ที่ คือ ๑. แตง่ (วบิ าก) ใหเ้ กิด เรียกวา่ ชนกกรรม ๒. สนบั สนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกวา่ อปุ ัตถมั ภกกรรม ๓. บีบค้นั (วบิ ากของกรรมอ่ืน) เรียกวา่ อุปปี ฬกกรรม ๔. ตดั รอน (วิบากของกรรมอ่ืน) เรียกวา่ อปุ ฆาตกกรรม ฯ ๓. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกบั สมาบัติ ๘ เป็ นครุกรรมฝ่ ายกศุ ลหรืออกุศล ?( ๒๕๖๑, ๒๕๕๔) ตอบ : คอื กรรมหนกั ฯ อนนั ตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล สมาบตั ิ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ ๔. ในกรรม ๑๒ อปุ ัตถัมภกกรรม กบั อปุ ปี ฬกกรรม ทาหน้าท่ีต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : อปุ ัตถมั ภกกรรม ทาหนา้ ท่ีสนบั สนุนผลแห่งชนกกรรม อปุ ปี ฬกกรรม ทาหนา้ ที่บีบค้นั ผลแห่งชนกกรรม ฯ ๕. อปุ ฆาตกกรรม คือกรรมตัดรอน ทาหน้าทอ่ี ะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ทาหนา้ ที่ตดั รอนผลแห่งชนกกรรมและอปุ ัตถมั ภกกรรมใหข้ าดแลว้ เขา้ ใหผ้ ล แทนที่ (ชนกกรรมและอปุ ัตถมั ภกกรรมน้นั ) ฯ ขบดว้ ยทิฏฐิ (ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา) ______________________________________________________________________________ เตรสกะ คือหมวด ๑๓ ๑. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกหี่ มวด ? หมวดไหนว่าด้วยเร่ืองอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : คอื วตั ตจริยาพเิ ศษอยา่ งหน่ึง เป็นอุบายขดั เกลากิเลส และเป็นไปเพอ่ื ความมกั นอ้ ย สนั โดษ ฯ มี ๔ หมวด ฯ ดงั น้ี หมวดที่ ๑ วา่ ดว้ ยเรื่องจีวร หมวดท่ี ๒ วา่ ดว้ ยเรื่องบิณฑบาต หมวดที่ ๓ วา่ ดว้ ยเรื่องเสนาสนะ หมวดที่ ๔ วา่ ดว้ ยเร่ืองความเพียร ฯ ๒. ธุดงค์ท่านบัญญัตไิ ว้เพ่ือประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ท่ีภกิ ษถุ ือได้มกี าหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะเหตใุ ด ฯ

๓๕ ตอบ : เพอ่ื เป็นอุบายขดั เกลากิเลส และเป็นไปเพ่อื ความมกั นอ้ ยสนั โดษ ฯ ขอ้ รุกขมูลิกงั คะ และ อพั โภกาสิกงั คะ ฯ ธุดงค์ ๒ ขอ้ น้ีภิกษถุ ือไดเ้ ฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุตอ้ งถือ เสนาสนะ เป็นท่ีอยอู่ าศยั ประจา ตามพระวนิ ยั นิยม ฯ ๓. ธุดงค์ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมือ้ เดยี วเป็ นวัตรทีเ่ รียกกนั ทว่ั ไปว่า“ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ? (๒๕๕๒) ตอบ : ไดแ้ ก่ วตั ตจริยาพิเศษอยา่ งหน่ึง เป็นอุบายขดั เกลากิเลสและเป็นไปเพอื่ ความมกั นอ้ ย สันโดษ ฯ จดั เขา้ ในขอ้ เอกาสนิกงั คะ คอื ถือนงั่ ฉนั ณ อาสนะเดียวเป็นวตั ร ฯ ๔. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ? (๒๕๕๑) ตอบ : คือ วตั ตจริยาพเิ ศษอยา่ งหน่ึง บญั ญตั ิข้ึนดว้ ยหมายจะใหเ้ ป็นอุบายขดั เกลากิเลส และเป็นไปเพือ่ ความมกั นอ้ ยสันโดษ ฯ ขอ้ ยารักษาโรค ฯ ______________________________________________________________________________

๓๖ ๒.๒ วชิ าอนุพทุ ธประวตั ิ บทท่ี ๑ องค์ท่ี ๑ – ๑๐ ๑. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพทุ ธะ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : สัมมาสัมพทุ ธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผอู้ ื่นใหร้ ู้ตาม ปัจเจกพทุ ธะ ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สอนผอู้ ื่นใหร้ ู้ตาม อนุพุทธะ ตรัสรู้ตามที่พระพทุ ธเจา้ ทรงสัง่ สอน และสามารถสอนผอู้ ื่นใหร้ ู้ตาม ฯ ๒. อนุพทุ ธองค์แรก คือใคร ? สาเร็จเป็ นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ฯ ชื่ออนตั ตลกั ขณสูตร ฯ ๓. พระอนุพทุ ธองค์แรก คือใคร ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ฯ เพราะฟังธรรมจกั กปั ปวตั ตนสูตร ฯ ๔. ประวตั อิ นุพุทธบุคคลมีความสาคัญต่อผ้ศู ึกษาอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : ทาใหผ้ ศู้ ึกษาไดร้ ับความรู้ในจริยาวตั ร และคุณความดีที่ท่านไดบ้ าเพญ็ มาตลอด จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาอนั ทาใหเ้ จริญสืบมาถึงทุกวนั น้ี นาใหเ้ กิดความเลื่อมใสและความนบั ถือเป็นทิฏฐานุคติอนั ดี สามารถนอ้ มนามา ปฏิบตั ิตามได้ ฯ ๕. อนุพทุ ธบคุ คล คือใคร ? มีความสาคัญอย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๖) ตอบ : คือ สาวกผตู้ รัสรู้ตามพระพทุ ธเจา้ ฯ อนุพทุ ธบคุ คลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็นพยานยนื ยนั ความตรัสรู้ของ พระพุทธเจา้ และเป็นกาลงั ใหญข่ องพระพทุ ธเจา้ ในอนั ช่วยประกาศพระธรรม ประดิษฐานพระพุทธศาสนาข้ึน เพ่อื ประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอนั มาก ฯ ๖. อนุพุทธบคุ คล คือใคร ? เป็ นได้เฉพาะบรรพชิตหรือเฉพาะคฤหสั ถ์ ? (๒๕๖๒) ตอบ : คือ สาวกของพระพุทธเจา้ ท่ีท่านไดต้ รัสรู้มรรคผลตามพระพุทธเจา้ ฯ เป็นไดท้ ้งั บรรพชิตและคฤหสั ถ์ ฯ ๗. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ? (๒๕๕๖) ตอบ : บวชเพราะเบ่ือหน่าย คือ พระยสะ พระมหากสั สปะ ฯ บวชเพราะเพอื่ น คอื พระภทั ทิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควมั ปติ และเพ่ือนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ (ตอบองคใ์ ดองคห์ น่ึงก็ให้ และ ตอบองคอ์ ื่น ถา้ ถูกก็ควรให)้

๓๗ ๘. พระอญั ญาโกณฑัญญะ กบั พระอรุ ุเวลกสั สปะทูลขอบวชในพระศาสนาโดยมมี ูลเหตคุ วามเป็ นมา ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : ตา่ งกนั อยา่ งน้ี พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดธ้ รรมจกั ษุ คอื ดวงตาเห็นธรรม ท่ีท่าน กลา่ ววา่ เป็นพระโสดาบนั มีศรัทธาในพระศาสนามนั่ คงแลว้ จึงขอบวช ฯ พระอุรุเวลกสั สปะไดป้ รีชาหยงั่ เห็นวา่ ลทั ธิของตนหาแก่นสารไม่ไดห้ ลงถือตนวา่ เป็นผวู้ ิเศษ แตห่ าเป็นเช่นน้นั ไม่ ไดค้ วามสลดใจจึงลอยบริขารชฎิลของตนเสียแลว้ จึงขอบวช ฯ ๙. พระอญั ญาโกณฑญั ญะสาเร็จเป็ นพระอรหันต์หลงั จากบวชเป็ นพระภิกษแุ ล้วกวี่ ัน ?สาเร็จเพราะ ฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ๕ วนั ฯ ช่ือ อนตั ตลกั ขณสูตร ฯ ๑๐. ภกิ ษผุ ้รู ัตตัญญู ย่อมมคี ุณสมบัตเิ ช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนวิ ่า โตเพราะกนิ ข้าว เฒ่าเพราะบวช นาน ? (๒๕๕๔) ตอบ : ยอ่ มเป็นผเู้ ก่าแก่ ไดพ้ บเห็นและสนั ทดั ในกิจการของคณะ ยอ่ มอาจจดั อาจทาให้ สาเร็จดว้ ยตนเองหรือบอกเลา่ แนะนาผอู้ ื่น เป็นเจา้ แบบเจา้ แผนดุจผรู้ ักษาคลงั พสั ดุ ๑๑. ความเหน็ ว่าพระขีณาสพตายแล้วดบั สูญ เป็ นความเห็นผดิ ความเห็นท่ถี ูกต้องเป็ นอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ความเห็นที่ถกู ตอ้ งวา่ พระขีณาสพตายแลว้ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ท่ีไม่เที่ยงดบั ไป ฯ ๑๒. พระปัญจวัคคีย์ได้สาเร็จเป็ นพระอรหนั ต์ เพราะฟังธรรมเทศนาช่ืออะไร ? พระธรรมเทศนา น้นั โดยย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : ช่ือ อนตั ตลกั ขณสูตร ฯ วา่ ดว้ ย รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ไมเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ ๑๓. พระอญั ญาโกณฑัญญะมมี ูลเหตุจูงใจอะไร จงึ ได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะ บาเพญ็ ทกุ รกริ ิยา ? (๒๕๕๓) ตอบ : เพราะไดเ้ คยเขา้ ร่วมทานายพระลกั ษณะของพระมหาบุรุษโดยเช่ือมนั่ วา่ จะตรัสรู้ เป็นพระพทุ ธเจา้ จึงตามอุปัฏฐากดว้ ยหวงั วา่ เม่ือพระมหาบุรุษตรัสรู้จกั ทรงเทศนา โปรด ฯ ๑๔. มารยาทดมี ีความสารวมย่อมเป็ นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกดิ แก่ผ้พู บ เห็น นเ่ี ป็ นปฏิปทาจริยาวตั รของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวตั ขิ องท่านโดยย่อ (๒๕๕๓) ตอบ : ของพระอสั สชิเถระ ฯ

๓๘ ท่านเป็นหน่ึงในพระปัญจวคั คีย์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาจนไดบ้ รรลุพระอรหัตแลว้ ไดเ้ ป็นกาลงั ในการประกาศพระศาสนา อปุ ติสสปริพาชกพบเห็นแลว้ เกิดความ เลื่อมใส ขอฟังธรรมจากทา่ น แลว้ ไดเ้ ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา ฯ พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษทั ฯ ๑๕. พระปัญจวัคคยี ์ได้บรรลเุ ป็ นพระอรหันต์พร้อมกนั แต่พระอญั ญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็ น ปฐมสาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : เพราะพระอญั ญาโกณฑญั ญะเป็นผไู้ ดด้ วงตาเห็นธรรมก่อนและไดร้ ับอุปสมบท ก่อนองคอ์ ่ืน ๑๖. ปัญจวัคคยี ์ท้งั ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลงั กนั อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ท่านโกณฑญั ญะ ไดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นองคแ์ รก ต่อมาทา่ นวปั ปะและทา่ น ภทั ทิยะจึงได้ และต่อมาทา่ นมหานามะและท่านอสั สชิจึงไดต้ ามลาดบั ฯ ๑๗. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้าง ได้ศิษย์ดีมีความสาคัญต่อพระศาสนา ศิษย์น้ันชื่ออะไรและเป็ นผู้ เลศิ ในทางด้านใด ? (๒๕๕๒) ตอบ : พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดพ้ ระปุณณมนั ตานีบุตรเป็นศิษยเ์ ป็นผเู้ ลิศในทาง ธรรมกถึก พระอสั สชิไดพ้ ระสารีบตุ รเป็นศิษย์ เป็นผเู้ ลิศในทางมีปัญญามาก ฯ ๑๘. “ทน่ี ี่ว่นุ วายหนอ ทีน่ ขี่ ดั ข้องหนอ” เป็ นคาอุทานของใคร ? เพราะเหตใุ ดจงึ อทุ านอย่างน้นั ? (๒๕๕๘) ตอบ : ของยสกลุ บุตร ฯ เพราะเห็นหมชู่ นบริวารนอนหลบั มีอาการพิกลตา่ ง ๆ ดุจซากศพ ที่ทิง้ อยใู่ นป่ าชา้ เกิดความสลดใจ คิดเบ่ือหน่าย ฯ ๑๙. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปพุ พกี ถาแก่ใครเป็ นคนแรก ? อนุปุพพกี ถาน้ันกล่าวถงึ เร่ืองอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : แสดงแก่ยสกลุ บตุ รเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานคอื การให้ แลว้ พรรณนาศีล คือ ความรักษากาย วาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรคค์ อื กามคุณที่บคุ คลใคร่ ซ่ึงจะ พงึ ได้ พงึ ถึง ดว้ ยกรรมอนั ดีคอื ทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และพรรณนา อานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ ๒๐. อนุปพุ พกี ถา คืออะไร ? ทรงยกขนึ้ แสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? ตอบ : คอื ถอ้ ยคาท่ีกล่าวโดยลาดบั ฯ ดว้ ยพระพทุ ธประสงคจ์ ะฟอกจิตกุลบตุ รใหห้ ่างไกลจากความยนิ ดีในกาม ควรรับ พระธรรมเทศนาใหเ้ กิดธรรมจกั ษุ เหมือนผา้ ท่ีปราศจากมลทิน ควรรับน้ายอ้ มได้ ฉะน้นั ฯ

๓๙ ๒๑. พระสาวกผ้สู าเร็จเป็ นพระอริยบคุ คลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดยี วซ้า ๒ คร้ัง คือใคร ? ธรรมเทศนาเร่ืองอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : คอื พระยสะ ฯ เรื่อง อนุปุพพีกถาและอริยสจั ๔ ฯ ๒๒. ยสกลุ บุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็ นคร้ังแรก ? ณ ทไ่ี หน ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๓) ตอบ : ไดฟ้ ัง อนุปพุ พกี ถา และอริยสจั ๔ ฯ ณ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ฯ ๒๓. พุทธบริษทั ๔ ผู้เป็ นอริยสาวก มลี าดบั การเกดิ ขึน้ ก่อนหลงั กนั อย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละ บริษัทน้นั คือใคร ? (๒๕๕๓) ตอบ : มีลาดบั อยา่ งน้ี คือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษณุ ี ฯ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษทั บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษทั มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอบุ าสิกาบริษทั ๒๔. อบุ าสกผู้ประกาศตนถงึ รัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็ นสรณะคนแรก คือใคร ?(๒๕๕๗) ตอบ : อุบาสกผปู้ ระกาศตนถึงรัตนะ ๒ คือ ตปสุ สะและภลั ลิกะ, ประกาศตนถึงรัตนะ ๓ เป็นสรณะคนแรกคอื บิดาพระยสะ ๒๕. เอหิภิกขุอปุ สัมปทาทป่ี ระทานแก่พระโกณฑัญญะและพระยสะต่างกนั อย่างไร ?เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๙) ตอบ : ต่างกนั คือ ที่ประทานแก่พระโกณฑญั ญะมีคาวา่ เพื่อทาท่ีสุดทุกขโ์ ดยชอบ ส่วนท่ีประทานแก่พระยสะไมม่ ีคาวา่ เพือ่ ทาที่สุดทกุ ขโ์ ดยชอบ ฯ เพราะพระยสะไดถ้ ึงท่ีสุดทุกขแ์ ลว้ ฯ ๒๖. พระวาจาท่ตี รัสให้อุปสมบทแก่พระอญั ญาโกณฑญั ญะ และพระยสะเหมือนกนั หรือต่างกนั ? เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๕) ตอบ : เหมือนกนั ตรงท่ีทรงรับเขา้ สู่พรหมจรรยว์ า่ “จงเป็นภิกษมุ าเถิด ธรรมอนั เรากล่าว ดีแลว้ จงประพฤติพรหมจรรยเ์ ถิด” ต่างกนั ที่พระอญั ญาโกณฑญั ญะ มีพระพทุ ธดารัสต่อทา้ ยวา่ “เพอ่ื ทาท่ีสุดทกุ ข์ โดย ชอบ” เพราะทา่ นยงั ไมบ่ รรลุพระอรหตั ส่วนพระยสะ ไม่มีคาวา่ “เพอื่ ทาที่สุด ทกุ ข์ โดยชอบ” เพราะท่านบรรลพุ ระอรหตั แลว้ ฯ

๔๐ ๒๗. เอหภิ ิกขุอุปสัมปทาท่ีประทานแก่พระปัญจวคั คยี ์ และพระยสะต่างกนั อย่างไร ?เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๒) ตอบ : ต่างกนั คือ ท่ีประทานแก่พระปัญจวคั คยี ม์ ีคาวา่ เพอ่ื ทาที่สุดทุกขโ์ ดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไมม่ ีคาวา่ เพื่อทาที่สุดทุกขโ์ ดยชอบ ส่วนท่ีประทานแก่ พระยสะ ไม่มีคาวา่ เพือ่ ทาท่ีสุดทกุ ขโ์ ดยชอบ ฯ เพราะพระยสะไดถ้ ึงท่ีสุดทกุ ขแ์ ลว้ ฯ ๒๘. พระสาวกทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาคร้ังแรก มีจานวนเท่าไร ? ประกอบด้วยใครบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๗) ตอบ : ๖๐ องค์ ฯ ประกอบดว้ ย ปัญจวคั คยี ,์ พระยสะ, พระวมิ ละ, พระสุพาหุ, พระปณุ ณชิ, พระควมั ปติ, เพ่อื นพระยสะอีก ๕๐ องค์ ฯ ๒๙. พระเจ้าพมิ พสิ ารทรงถวายพระราชอทุ ยานเวฬุวนั แด่พระภิกษสุ งฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็ น ประธาน เพราะทรงพจิ ารณาเห็นอย่างไรและทรงถวายด้วยวธิ ีการอย่างไร ?(๒๕๕๒) ตอบ : เพราะทรงเห็นวา่ พระราชอุทยานเวฬวุ นั เป็นที่ไมไ่ กลไม่ใกลน้ กั แต่บริบรู ณ์ดว้ ย ทางเป็นที่ไปและเป็นท่ีมา ควรท่ีผมู้ ีธุระจะพึงไปถึง กลางวนั ไมเ่ กล่ือนกลน่ ดว้ ย หมคู่ น กลางคนื เงียบเสียงที่จะอ้ืออึงกึกกอ้ ง ปราศจากลมแต่ชนท่ีเดินเขา้ ออก สมควรเป็นท่ีประกอบกิจของผตู้ อ้ งการที่สงดั และควรเป็นท่ีหลีกออกเร้นอยตู่ าม วิสัยสมณะ ควรเป็นท่ีเสดจ็ อยขู่ องพระศาสดาดงั น้ี และทรงถวายดว้ ยวธิ ีการทรง จบั พระเตา้ ทองเตม็ ดว้ ยน้าหลงั่ ลงถวายพระราชอุทยานเวฬุวนั น้นั แก่พระภิกษุ สงฆม์ ีพระพทุ ธเจา้ เป็นประธาน ฯ ๓๐. การท่พี ระเจ้าพมิ พสิ ารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็ นเหตุให้พระองค์ได้รับอนุตตริยะอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : ไดอ้ นุตตริยะ ๓ อยา่ ง คือ พระองคไ์ ดเ้ ฝ้า เป็นทสั สนานุตตริยะ ไดท้ รงสดบั ธรรม เป็นสวนานุตตริยะ ไดธ้ รรมจกั ษุเห็นธรรมน้นั เป็นลาภานุตตริยะ ฯ ______________________________________________________________________________ บทท่ี ๒ องค์ที่ ๑๑ – ๒๐ ๑. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องใครว่าเป็ นผ้มู บี ริวารมาก ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๐) ตอบ : พระอุรุเวลกสั สปะ ฯ

๔๑ เพราะเหตทุ ี่ทา่ นเป็นผรู้ ู้จกั เอาใจบริวาร รู้จกั สงเคราะหด์ ว้ ยธรรมบา้ ง ดว้ ยอามิส บา้ ง ผปู้ ระกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิน้ี ยอ่ มเป็นผสู้ ามารถควบคมุ บริวารใหญ่ไวไ้ ด้ ฯ ๒. พระธรรมเทศนาท่ีได้ช่ือว่าอาทติ ตปริยายสูตร เพราะเหตไุ ร ? พระพทุ ธองค์ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๘) ตอบ : เพราะแสดงสภาวธรรมเป็นของร้อน อนั เหมาะแก่บุรพจรรยาของผฟู้ ัง ฯ แก่พวกปรุ าณชฎิล ฯ ๓. พระศาสดาทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : เพราะเป็นพระสูตรที่เหมาะแก่ปรุ พจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผอู้ บรมมาในการ บชู าไฟ ฯ ๔. ชฎลิ ๓ พน่ี ้อง ต้งั อาศรมบูชาไฟอยู่ ณ สถานที่ใด ? (๒๕๖๑) ตอบ : ๑. อรุ ุเวลกสั สปะ ต้งั อาศรมอยทู่ ่ี ตาบลอรุ ุเวลา ๒. นทีกสั สปะ ต้งั อาศรมอยทู่ ี่ ลาน้าออ้ มหรือคุง้ แห่งแมค่ งคา ๓. คยากสั สปะ ต้งั อาศรมอยทู่ ่ี ตาบลคยาสีสะ ฯ ๕. ชฎลิ ๓ พนี่ ้อง มีชื่ออะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหนั ต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : พระอรุ ุเวลกสั สปะ พระนทีกสั สปะ พระคยากสั สปะฯ ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ ๖. ชฎิล ๓ พน่ี ้องต่างละลทั ธขิ องตน บวชเป็ นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒) ตอบ : อุรุเวลกสั สปะ ถือตวั วา่ เป็นผวู้ เิ ศษ แต่พระพุทธเจา้ ทรงใชอ้ ิทธิปาฏิหาริยแ์ ละ อาเทสนาปาฏิหาริยท์ รมานจนถอนทิฏฐิมานะ ไดป้ รีชาหยงั่ เห็นวา่ ลทั ธิของตนหา แก่นสาร มิได้ ตนมิไดเ้ ป็นผวู้ ิเศษแต่ประการใด ไดค้ วามสลดใจ จึงทลู ขอ อปุ สมบท ส่วนนทีกสั สปะและคยากสั สปะ เห็นพี่ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบ ความวา่ พรหมจรรยน์ ้ีประเสริฐ จึงเขา้ ไปเฝ้าพระพุทธเจา้ ทลู ขออปุ สมบท ฯ ๗. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็ นผ้มู บี ริวารมากคือใคร ? ท่านมบี ริวารมากเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๓) ตอบ : พระอรุ ุเวลกสั สปะ ฯ เพราะทา่ นรู้จกั เอาใจบริษทั รู้จกั สงเคราะหด์ ว้ ยอามิสบา้ ง ดว้ ยธรรมบา้ ง ฯ ๘. อนัตตลกั ขณสูตร และ อาทติ ตปริยายสูตรว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑) ตอบ : อนัตตลกั ขณสูตร วา่ ดว้ ยเร่ือง ขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็น อนตั ตา ฯ ทรงแสดงแก่พระปัญจวคั คยี ์ ฯ

๔๒ อาทิตตปริยายสูตร วา่ ดว้ ยเรื่อง สิ่งท้งั ปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะ โทสะ โมหะ ฯ ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พีน่ อ้ ง พร้อมดว้ ยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ๙. โกลติ ะถามอุปติสสะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนดี้ ูใจเศร้า ท่านเป็ นอย่างไรหรือ ?” อปุ ติสสะตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๐) ตอบ : ตอบวา่ “โกลิตะ อะไรท่ีควรดูในการเล่นน้ีมีหรือ ? คนเหลา่ น้ีท้งั หมดยงั ไม่ทนั ถึง ๑๐๐ ปี กจ็ กั ไมม่ ีเหลือ จกั ลว่ งไปหมด ดูการเลน่ ไม่มีประโยชน์อะไร ควร ขวนขวายหาธรรมเครื่องพน้ ดีกวา่ ” ฯ ๑๐. “คนเหล่านีท้ ้งั หมดยังไม่ทนั ถงึ ๑๐๐ ปี กจ็ ักไม่มีเหลือจักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์ อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเคร่ืองพ้นดกี ว่า” นเ่ี ป็ นคาพดู ของใครพูดกบั ใคร? (๒๕๕๒) ตอบ : ของอปุ ติสสมาณพ พดู กบั โกลิตมาณพ ฯ ๑๑. อุปติสสปริพาชกเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มใี จความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : จากพระอสั สชิ ฯ มีใจความวา่ พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมท้งั หลาย เพราะเป็นไปแห่ง เหตุ และความดบั แห่งธรรมเหลา่ น้นั เพราะดบั แห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอยา่ งน้ี ฯ ๑๒. พระอสั สชิได้แสดงธรรมแก่อปุ ติสสปริพาชก มใี จความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : พระอสั สชิไดแ้ สดงธรรมแก่อปุ ติสสปริพาชก มีใจความยอ่ วา่ \"ธรรมเหล่าใดเกิด แต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมน้นั และความดบั แห่งธรรมน้นั พระ ศาสดา ทรงสงั่ สอนอยา่ งน้ี\" ฯ ๑๓. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบตุ รคู่กบั พระโมคคลั ลานะโดยอุปมาไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : พระพุทธองคต์ รัสอปุ มาวา่ พระสารีบตุ รเปรียบเหมือนมารดาผใู้ หท้ ารกเกิด พระโมคคลั ลานะเปรียบเหมือนนางนมผเู้ ล้ียงทารกน้นั ท่ีเกิดแลว้ ฯ ๑๔. ธรรมเสนาบดี และนวกมั มาธฏิ ฐายี เป็ นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจงึ มนี าม เช่นน้นั ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกาลงั สาคญั ยงิ่ ในการ ประกาศพระพุทธศาสนา ฯ นวกมั มาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคลั ลานเถระ เพราะท่านเป็นูส้ ามารถกากบั ดูแลการก่อสร้าง ฯ

๔๓ ๑๕. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอย่ใู นทิศใดกน็ อนหนั ศรีษะไปทางทศิ น้นั ? การปฏิบตั ิเช่นน้นั จัดเป็ นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : พระสารีบตุ ร ฯ จดั เป็นกตญั ญู ฯ ๑๖. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็ นผู้กตัญญกู ตเวที ? (๒๕๕๖,๒๕๕๔) จงแสดง ตวั อย่างมาสัก ๒ เร่ือง ตอบ : พระสารีบตุ รเถระ ฯ เรื่องที่ ๑ พระสารีบตุ รนบั ถือพระอสั สชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารยอ์ ยใู่ นทิศใด ก่อน จะนอน ทา่ นจะนมสั การและนอนหนั ศีรษะไปทางทิศน้นั เร่ืองท่ี ๒ พระสารีบตุ รระลึกถึงอปุ การะของราธพราหมณ์ท่ีเคยถวายภิกษาแก่ทา่ น ทพั พีหน่ึง ฯ ๑๗. พระโอวาทว่า “เราจกั ไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด? ที่ไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ : แก่พระมหาโมคคลั ลานะ ฯ ที่บา้ นกลั ลวาลมุตตคาม แควน้ มคธ ฯ ๑๘. พระมหากสั สปะโดยปกติถือธุดงค์กอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : ถือธุดงค์ ๓ อยา่ ง ฯ คือ ๑. ใชผ้ า้ บงั สุกลุ จีวรเป็นวตั ร ๒. ถือเท่ียวบิณฑบาตเป็นวตั ร ๓. ถือการอยปู่ ่ าเป็นวตั ร ฯ ๑๙. พระสาวกองค์ใด เป็ นผ้มู ักน้อยสันโดษอย่างย่ิง ? ท่านทาใจอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : พระมหากสั สปะ ฯ ทาใจอยา่ งน้ี คือ เม่ือแสวงหาไม่ได้ กไ็ ม่สะดุง้ ตกใจ เม่ือแสวงหาไดแ้ ลว้ กไ็ ม่ กาหนดั ยนิ ดีในปัจจยั ๔ น้นั ฯ ๒๐. พระโอวาททีพ่ ระศาสดาทรงประทานในการให้อุปสมบทแก่พระมหากสั สปะมกี ข่ี ้อ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : มี ๓ ขอ้ ฯ คือ ๑. เราจกั เขา้ ไปต้งั ความละอาย และความยาเกรงอยา่ งแรงกลา้ ไวใ้ นภิกษุท้งั ท่ีเป็น เถระปานกลาง และผใู้ หม่ ๒. เราจกั เง่ียหูลงฟังธรรม อนั ประกอบดว้ ยกศุ ล และพจิ ารณาเน้ือความแห่งธรรม น้นั ๓. เราจกั ไม่ละสติท่ีไปในกาย ฯ

๔๔ ๒๑. อปุ สมบทวิธพี เิ ศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทาน ให้แก่ใคร ? และท่านน้นั ๆ ได้รับการยกย่องเป็ นเอตทคั คะในทางไหน ?(๒๕๕๖) ตอบ : การรับพระโอวาท ๓ ขอ้ ทรงประทานแก่พระมหากสั สปะ การรับครุธรรม ๘ ขอ้ ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ พระมหากสั สปะไดร้ ับยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะในทางทรงธุดงคค์ ณุ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ไดร้ ับยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะในทางรัตตญั ญู ฯ ๒๒. อนุพุทธทีเ่ ป็ นสาวกสาวิกาของพระศาสดา ซ่ึงได้รับการอปุ สมบทด้วยวิธีพเิ ศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือใคร? อุปสมบทด้วยวิธใี ด ? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ฯ คือ พระมหากสั สปะ อปุ สมบทดว้ ยวิธีรับพระโอวาท ๓ ขอ้ , พระนางมหาปชาบดีโคตมี, อปุ สมบทดว้ ยวธิ ีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ ๒๓. พระมหากสั สปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลพุ ระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะ ไม่ละสตทิ ่ีไปในกาย คือพจิ ารณาร่างกายเป็ นอารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : ๘ วนั ฯ สงเคราะห์เขา้ ใน กายคตาสติ และ วิปัสสนาญาณ เป็นตน้ ฯ ๒๔. พระพทุ ธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติทไ่ี ปในกาย คือพจิ ารณาร่างกายเป็ นอารมณ์ ดงั นี้ พระองค์ ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปน้ันเป็ นเอตทคั คะในทางใด ? (๒๕๕๓) ตอบ : พระมหากสั สปะ ฯ เป็นเอตทคั คะในทางถือธุดงค์ ฯ ๒๕. พระมหากสั สปเถระ ชักชวนภิกษุสงฆ์ทาสังคายนารวบรวมพระธรรมวนิ ยั ต้งั ไว้เป็ นแบบ ฉบบั เพ่ือสมกบั พระพุทธพจน์ทไ่ี ด้ประทานไว้เม่ือคร้ังปรินิพพาน พระพทุ ธพจน์น้ันใจความ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : วา่ ธรรมกด็ ี วินยั กด็ ี อยา่ งใด อนั เราไดแ้ สดงไวแ้ ลว้ ไดบ้ ญั ญตั ิไวแ้ ลว้ ธรรมวนิ ยั น้นั จกั เป็นศาสดาของทา่ นทง้ั หลาย ในเมื่อเราล่วงไปแลว้ ฯ ๒๖. พระมหากสั สปเถระเป็ นประธานในการทาสังคายนาคร้ังแรกทไี่ หน ? ใช้เวลานานเท่าไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐) ตอบ : ที่ถ้าสัตตบณั ณคหู า เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ ใชเ้ วลา ๗ เดือน ฯ

๔๕ ๒๗. พระสาวก ผู้อธบิ ายภทั เทกรัตตสูตรท่ีทรงแสดงโดยย่อให้พสิ ดารคือใคร ?ท่านได้รับการ สรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : คอื พระมหากจั จายนะ ฯ ทา่ นไดร้ ับสรรเสริญจากพระศาสดาวา่ เป็นผฉู้ ลาดในการอธิบายคาท่ียอ่ ใหพ้ สิ ดาร ๒๘. พระมหากจั จายนะได้รับมอบหมายจากพระพทุ ธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาแทน พระองค์ ณ เมืองใด และได้ผลเป็ นอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ณ เมืองอชุ เชนี ฯ ไดร้ ับผล คือ พระเจา้ จณั ฑปัชโชตและชาวพระนครเล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนา ฯ ๒๙. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกนั แห่งวรรณะ ๔ เหล่าคือใคร ?แสดงแก่ใคร ?ท่ีไหนพระสูตร น้นั ช่ืออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : พระมหากจั จายนะเป็นผแู้ สดง ฯ แก่พระเจา้ มธุรราช อวนั ตีบุตร ฯ ที่คุนธาวนั แขวงมธุรราชธานี ฯ สูตรน้นั ชื่อวา่ มธุรสูตร ฯ ๓๐. พระมหากจั จายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพทุ ธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์ เม่ือคร้ังไหน ? ได้ผลอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : เม่ือคร้ังที่ทา่ นบรรลพุ ระอรหตั และอุปสมบทเป็นภิกษุแลว้ ไดท้ ลู เชิญพระพุทธเจา้ ใหเ้ สดจ็ ไปกรุงอุชเชนี เพ่อื ประกาศพระศาสนาตามพระราชประสงคข์ องพระเจา้ จณั ฑปัชโชต แต่พระพทุ ธเจา้ รับส่ังใหท้ ่านไปแทน ฯ พระเจา้ จณั ฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา ฯ ๓๑. การบวชของพระมหากจั จายนะ มคี วามเป็ นมาอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : มีความเป็นมาอยา่ งน้ี ท่านไดร้ ับมอบหมายจากพระเจา้ จณั ฑปัชโชตใหไ้ ปทลู เชิญ พระพุทธเจา้ เสดจ็ กรุงอชุ เชนี จึงทลู ลาบวชดว้ ย คร้ันไดเ้ ขา้ เฝ้าฟังธรรมแลว้ บรรลุ พระอรหตั จึงทูลขอบวช ฯ ______________________________________________________________________________ บทที่ ๓ องค์ที่ ๒๑ – ๓๐ ๑. จงระบชุ ื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตตุ ่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจาใจ ๓. บวช เพราะหลงไหลในรูป ฯ (๒๕๖๑, ๒๕๕๑) ตอบ : ๑. บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล

๔๖ ๒. บวชเพราะจาใจ คอื พระนนั ทะ ๓. บวชเพราะหลงใหลในรูป คือ พระวกั กลิ ฯ ๒. ข้อธรรมว่า “โลกคือหมู่สัตว์อนั ชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ย่ังยืน” เรียกว่าธรรมอะไร? ใครแสดงว่า ใคร ? (๒๕๕๑) ตอบ : เรียกวา่ ธรรมุเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจา้ โกรัพยะ ฯ ๓. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? .ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๖๐) ตอบ : มี ๑. โลกคอื หมสู่ ัตว์ อนั ชรานาเขา้ ไปใกล้ ไม่ยง่ั ยนื ๒. โลกคอื หม่สู ตั ว์ ไม่มีผปู้ ้องกนั ไมเ่ ป็นใหญ่จาเพาะตน ๓. โลกคือหมสู่ ัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน จาตอ้ งละทิง้ ส่ิงท้งั ปวงไป ๔. โลกคอื หมู่สัตว์ พร่องอยเู่ ป็นนิตย์ ไม่รู้จกั อ่ิม เป็นทาสแห่งตณั หา ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจา้ โกรัพยะ ฯ ______________________________________________________________________________ บทที่ ๔ องค์ที่ ๓๑ – ๔๖ ๑. สามเณรรูปแรกในพระพทุ ธศาสนาคือใคร ? ได้บรรลุพระอรหันต์เพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ : สามเณรรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา คอื พระราหุลเถระ ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ตเ์ พราะ ฟังธรรมจากพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ฯ ๒. พระสาวกองค์ใด กอบทรายเตม็ มือแล้วปรารถนาว่า “ขอให้เราได้รับโอวาทคาสั่งสอนแต่สานกั พระทศพล และพระอปุ ัชฌาย์อาจารย์ เท่าเม็ดทรายในกามือนเี้ ถดิ ” ? และท่านเป็ นเลศิ ในด้าน ใด ? (๒๕๖๑) ตอบ : พระราหุล ฯ เป็นเลิศในดา้ นเป็นผใู้ คร่ในการศึกษา ฯ ๓. การที่เจ้าศากยะทูลขอให้พระอบุ าลผี ู้เป็ นช่างกลั บกบวชก่อน เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : เพราะจะไดท้ าการเคารพกราบไหวเ้ ป็นตน้ แก่อบุ าลีก่อน เพ่ือเป็นการลดทิฏฐิมานะ ตวั เอง ๔. สตรีคนแรกทไี่ ด้อุปสมบทในพุทธศาสนาคือใคร ? อุปสมบทด้วยวธิ ใี ด ? (๒๕๕๙) ตอบ : คือ พระมหาปชาบดีโคตมี ฯ ดว้ ยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ