Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารสรุป มบ.ศกพ.ปี64

เอกสารสรุป มบ.ศกพ.ปี64

Published by channarong.56op, 2021-07-30 08:14:36

Description: เอกสารสรุปผลโครงการ มบ.ศกพ.ปี64

Search

Read the Text Version

๔๕ Loss is Our Gain”ยง่ิ ใหไ้ ปยงิ่ ได้มำ เปน็ ฐำนแหง่ ควำมควำมสุข ท่ำมกลำงควำมแล้ง ร้อน โลภ ของสงั คมท่ีมุ่ง แข่งขนั อย่ำงทกุ วนั นี้

๔๖ แบบสรปุ ผลกำรประเมนิ รำยวชิ ำฯ วิชำ หลักกสิกรรมธรรมชำติ ชอ่ื วทิ ยำกร นำงกรรณิกำร์ ก๋ำวติ ำ นกั ทรพั ยำกรบคุ คลชำนำญกำร สว่ นที่ ๑ ควำมคดิ เหน็ เกีย่ วกบั เน้อื หำวิชำ หวั ข้อ มำกทส่ี ดุ ระดับควำมคดิ เห็น น้อยทส่ี ดุ ค่ำเฉลย่ี กำร แปลผล มำก ปำนกลำง น้อย ๑.กำรบรรลวุ ตั ถุประสงค์ของรำยวชิ ำ 178 130 16 1 0 4.49 มำก (53.8%) (39.3%) (4.8%) (๐.3%) (0.0%) ๒.ควำมชดั เจนของเนอ้ื หำวิชำ 172 139 14 1 1 4.46 มำก (52%) (42%) (4.2%) (0.3%) (0.3%) ๓.ควำมรู้ ทกั ษะ ทีไ่ ดร้ บั เพ่มิ เติมจำก 182 126 16 0 0 4.51 มำก วชิ ำน้ี (55%) (38.1%) (4.8%) (0.0%) (๐.0%) ท่สี ุด ๔.ควำมสำมำรถนำไปประยุกตใ์ ช้ 179 126 21 0 0 4.48 มำก (54.1%) (38.1%) (6.3%) (0.0%) (0.0%) ภำพรวม 4.48 มำก จำกตำรำงท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 331 คน แสดงควำมคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหำวิชำ หลักกสิกรรมธรรมชำติ โดยภำพรวมอยู่ในระดับ มำก ค่ำเฉลยี่ 4.48 โดยแยกพจิ ำรณำได้ ดังนี้ 1. กำรบรรลุวัตถปุ ระสงค์ของรำยวิชำ ระดับมำก คำ่ เฉลี่ย 4.49 2. ควำมชดั เจนของเนอ้ื หำวชิ ำ ระดับมำก ค่ำเฉลย่ี 4.46 3. ควำมรู้ ทกั ษะ ทไ่ี ด้รบั เพิ่มเตมิ จำกวชิ ำน้ี ระดับมำกที่สดุ คำ่ เฉลีย่ 4.51 4. ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ระดบั มำก ค่ำเฉลยี่ 4.48 สว่ นที่ ๒ ควำมพงึ พอใจต่อวิทยำกร หวั ข้อ ระดับควำมพงึ พอใจ ค่ำเฉลี่ย กำร 4.52 แปลผล ๑.ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถำ่ ยทอด/ มำกท่สี ุด มำก ปำนกลำง น้อย นอ้ ยท่สี ดุ บรรยำย มำก 186 125 15 0 0 ท่สี ดุ (56.2%) (0.0%) (37.8%) (4.5%) (๐.0%) ๒.เทคนคิ และวิธีกำรท่ีใชใ้ นกำรถ่ำยทอด 190 118 15 1 0 4.53 มำก ควำมรู้ (57.4%) (35.6%) (4.5%) (0.3%) (0.0%) ทสี่ ุด ๓.กำรเปดิ โอกำสใหซ้ ักถำม แสดงควำม 169 141 14 3 0 4.45 มำก คิดเห็น (51.1%) (42.6%) (4.2%) (0.9%) (๐.0%) ๔.กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ 175 135 15 2 0 4.47 มำก (52.9%) (40.8%) (4.5%) (0.6%) (๐.0%) ๕.บคุ ลกิ ภำพ (กำรแต่งกำย ทำ่ ทำง 170 131 22 0 0 4.45 มำก นำ้ เสียง ฯลฯ) (51.4%) (39.6%) (6.6%) (๐.0%) (๐.๐%) ภำพรวม ๔.48 มำก

๔๗ จำกตำรำงที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 331 คน แสดงควำมพึงพอใจต่อวิทยำกรในวิชำ หลักกสิกรรมธรรมชำติ โดยภำพรวมอยใู่ นระดบั มำก ค่ำเฉล่ยี 4.50 โดยแยกพจิ ำรณำเปน็ รำยประเด็น ได้ดังนี้ 1. ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถำ่ ยทอด/บรรยำย ระดับมำกท่สี ุด ค่ำเฉลี่ย 4.52 2. เทคนิคและวิธีกำรทใี่ ช้ในกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ ระดบั มำกทส่ี ดุ ค่ำเฉลย่ี 4.53 3. กำรเปดิ โอกำสใหซ้ ักถำม แสดงควำมคดิ เหน็ ระดบั มำก คำ่ เฉลีย่ 4.45 4. กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรยี นรู้ ระดับมำก คำ่ เฉล่ีย 4.47 5. บุคลิกภำพ (กำรแต่งกำย ท่ำทำง นำ้ เสยี ง ฯลฯ) ระดับมำก คำ่ เฉล่ยี 4.45 สง่ิ ทที่ ำ่ นประทบั ใจในวิทยำกรทำ่ นนี้คอื - กำรให้ควำมรู้ ชัดเจน เป็นกันเอง - กำรนำเสนอเนอื้ หำวิชำมคี วำมหลำกหลำยดคี ่ะ - สกู่ ำรเรียนรแู้ ละปฏบิ ตั ิได้ - พดู เก่งเขำ้ ใจชดั เจน - ทุกท่ำนมีคำตอบท่กี ระจ่ำงเสมอมคี ำถำม - สนกุ สนำนดี - วิทยำกรมคี วำมรคู้ วำมสำมำรถทจ่ี ะถ่ำยทอดวชิ ำเปน็ อย่ำดีเยยี่ ม - ใหค้ วำมรู้ดเี ยย่ี มทุกฐำน สง่ิ ทวี่ ทิ ยำกรควรปรบั ปรงุ คอื - เนือ้ หำนำนเกินจนหลับ - อยำกใหม้ ีกำรคุยทต่ี น่ื เตน้ มำกกวำ่ น้ี ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ อน่ื ๆ - ลงภำคปฏิบัตเิ ยอะๆ

๔๘ 7. วชิ ำ แบง่ กลมุ่ ฝกึ ปฏบิ ตั ฐิ ำนกำรเรียนรู้ วทิ ยำกร 1. นำยณัฐนชิ รักขตวิ งศ์ นักวิชำกำรพัฒนำชุมชนชำนำญกำร 2. ทีมวทิ ยำกร ศพช.ลำปำง ครพู ำทำประจำฐำนเรยี นรู้ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือให้ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรมรู้และเข้ำใจถึงกำรนอ้ มนำหลกั ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงมำปรับ ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั และสำมำรถปฏบิ ตั ิจนเป็นวถิ ีชีวติ ๒. เพือ่ ผเู้ ข้ำอบรมมีทักษะควำมร้ใู นแต่ละฐำนกำรเรียนรูแ้ ละนำไปปฏบิ ัติได้ ๓. สำมำรถนำควำมรู้และเทคนิคในฐำนต่ำง ๆไปประยุกต์ใช้เป็นอำชีพเสริมในครัวเรือนเพื่อให้เกิด รำยไดแ้ ละพ่งึ พำตนเองได้ ระยะเวลำ 6 ช่วั โมง ขอบเขตเน้ือหำ หลักกสกิ รรมธรรมชำติ เทคนคิ /วธิ กี ำร 1. วิทยำกรทำกำรแบ่งกลุ่มฯ และชแ้ี จงกติกำในกำรเข้ำฝกึ ปฏบิ ตั ิฐำนกำรเรียนรู้ 2. เรียนรู้ฐำนกำรเรียนรู้ โดยแบ่งออกเป็น ช่วงเช้ำ ได้แก่ ฐำนฅนติดดิน ฅนรักษ์แม่ธรณี ฅนมีน้ำยำ และ ฅนเอำถ่ำน และช่วงบ่ำย ได้แก่ ฐำนฅนมีไฟ ฅนรักษ์ป่ำ ฅนรักษ์น้ำ ฅนรักษ์สุขภำพ และฐำนฅน รกั ษแ์ ม่โพสพ ๓. ถอดบทเรยี นกจิ กรรมทที่ ำรว่ มกนั ขน้ั ตอน/กำรดำเนนิ กำร 1. วิทยำกรทำกำรแบ่งกลุ่มฯ และช้ีแจงกติกำใน กำรเข้ำฝึกปฏิบัติฐำนกำรเรียนรู้โดยแบ่งออกเป็น ช่วงเช้ำ ได้แก่ ฐำนฅนติดดิน ฅนรักษ์แม่ธรณี ฅนมีน้ำยำ และ ฅนเอำ ถ่ำนส่วนช่วงบ่ำย ได้แก่ฐำนฅนมีไฟ ฅนรักษ์ป่ำ ฅนรักษ์น้ำ ฅนรักษ์สุขภำพ และฐำนฅนรักษ์แม่โพสพ โดยกำหนด เวลำ ในกำรเข้ำประจำ แต่ละฐำนเรยี นรู้ ช่วงเช้ำ ฐำนละ 30 นำที สว่ นชว่ งบำ่ ย กำหนดเวลำ ฐำนละ 40 นำที 2. กำหนดให้แต่ละกลุ่ม ได้ทำกำรบันทึกองค์ ควำมรู้ที่ได้จำกกำรฝึกปฏิบัติ เพ่ือนำมำแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลงั จบกจิ กรรมฝึกปฏิบัติ 3. แต่ละกลมุ่ สี เข้ำฝกึ ปฏบิ ตั ิประจำฐำนฯ โดย มกี ิจกรรมดงั นี้

๔๙ ฐำนฅนตดิ ดนิ ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำยณฐั นิช รักขติวงศ์ นกั วชิ ำกำรพฒั นำชมุ ชนชำนำญกำร 2. นำยประยรู ปะละจนั ทร์ พนักงำนทว่ั ไป 3. นำยฉัตรมงคล ฉตั รอินทรแ์ กว้ พนกั งำนทว่ั ไป กิจกรรมทใี่ หผ้ ้เู ข้ำรบั กำรฝึกอบรมได้ปฏบิ ตั ิ 1. เรียนรพู้ น้ื ฐำนกำรทำบำ้ นดนิ วิทยำกร ได้ชี้แจงถึงประวัติควำมเป็นมำของกำรทำบ้ำน ดิน ว่ำเป็นส่ิงก่อสร้ำงที่เก่ำแก่และเกิดขึ้นในยุคแรกๆ ของมนุษย์ บ้ำนดินบำงแห่งมีอำยุกวำ่ 2,000 ปี และยงั มมี นุษย์อำศัยอยู่ ซ่งึ ต้ังอยู่ที่รัฐนิวแมคซิกัน และกำรสร้ำงบ้ำนดินในแบบต่ำงๆ อำทิ บ้ำนดินแบบปั้น ซ่ึงจะทำโครงบ้ำนสำนซ่ึงทำ จำกไม้ไผ่ข้ึนมำก่อน จำกน้ัน จึงปั้นเข้ำแบบตำมรูปทรง ส่วนแบบกำรทำบ้ำนดินที่จะมีกำรฝึกปฏิบัติกำรกัน วันน้ี จะเปน็ บำ้ นดินแบบก่อบลอ๊ คอฐิ ดนิ ดิบ ซึ่งในกำรจะทำบ้ำนดิน จำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องมีกำร วำงแผนก่อน ซ่ึงคือกำรเลือกพื้นที่ ซ่ึงจุดท่ีต้ังต้องคำนึงถึง ควำมสูงต่ำของพื้นท่ี เป็นลำดับแรก ซึ่งจุดตั้งบ้ำนดินจะต้อง อยู่สูงกว่ำระดับท่ีน้ำสำมำรถท่วมได้ และเลี่ยงบริเวณที่อยู่ ใกล้แหล่งน้ำ หรือน้ำไหลผ่ำน เพรำะควำมช้ืนจำกกำรถูกนำ้ ท่วมขังบ้ำนดินตลอด จะสำมำรถทำให้บ้ำนดินทรุดได้ และ ยิ่งง่ำยข้นึ ถ้ำสว่ นผสมมที รำยปนในปริมำณท่สี ูง เมื่อได้พ้ืนท่ี ที่เหมำะสมในกำรทำบ้ำนดินแล้ว จำกนั้นจึง จะเป็นขั้นตอนของกำรออกแบบ กำรเทพื้น และทำคำนคอดิน และจะเป็นข้ันตอนของกำรทำบล๊อคอิฐดินดิบ เพื่อนำไปก่อเป็นผนังของบ้ำนดินต่อไป ซ่ึงจะต้องมีกำรเวน้ ชอ่ งว่ำงสำหรับประตูและหน้ำต่ำงไวด้ ้วย ซ่ึงเมื่อก่อ เสรจ็ จงึ จะเป็นข้นั ตอนกำรทำหลังคำ 2. เรยี นรูก้ ำรทำบลอ็ กอฐิ ดินดิบ คณะวิทยำกรได้พำผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม ทำบล๊อคอิฐดินดิบ โดยมีวัตถุดิบ ที่สำมำรถหำได้ง่ำย ได้แก่ ดินในพื้นที่ แกลบดิบซ่ึงทำหน้ำทเ่ี ป็นเสน้ ใยประสำนรอยร้ำว ในดินและลดกำรแตกร้ำวของก้อนอิฐ และใช้น้ำผสมเพื่อ เป็นตวั ไลอ่ ำกำศออกจำกก้อนดนิ จำกน้ันได้มีกำรนำผู้อบรมไปฝึกปฏิบัติ โดยนำผู้ ฝึกอบรมไปย่ำดินโคลนที่แช่น้ำเตรียมไว้ในบ่อซีเมนต์ ใน ระหว่ำงนั้น ก็ทำกำรเติมแกลบเข้ำผสมคลุกเคล้ำ และย่ำ ผสมกันจนได้ที่แล้ว ทดสอบง่ำยๆ ด้วยกำรแทงมือ ลงไป ทีด่ นิ และยกมือออก หำกดินปดิ เขำ้ หำกันโดยทันที แสดงว่ำ

๕๐ สวนผสมเหลวเกินไปยังไม่ได้ท่ี ให้ย่ำต่อไปอีก(อำจเพ่ิมน้ำ แกลบ หรือทรำยละเอียดเล็กน้อย ตำมควำม เหมำะสม) เม่ือแก้ไขจนไดท้ ี่ ให้ผู้เข้ำอบรมใช้ถงั ตักดินออก และนำไปเข้ำแบบไม้อดั ที่วำงเตรียมไว้ ขนำดแบบไม้ฯ ที่ฐำนฯ ได้เตรียมไว้ เป็นขนำด สูง 4 น้ิว กว้ำง 8 นิ้ว ยำว 16 นิ้ว ซ่ึงด้ำนของอิฐที่มี ควำมกวำ้ ง 8 นิว้ ก็คือ ควำมหนำของผนังบ้ำนดินนั่นเอง ซง่ึ ผนังท่ีหนำ 8 น้ิวขนึ้ ไป สำมำรถปอ้ งกนั ควำมร้อน ทจี่ ะซมึ ผำ่ นผนังบำ้ นดินไดด้ ี เป็นเวลำประมำณตง้ั แต่ ชว่ งสำยๆ ถึง 4 โมงเย็น ในกำรตำก ก้อนอิฐดินดิบ จะใช้เวลำประมำณ 7 วัน หำกอิฐ ถูกตำกในบริเวณที่อำกำศถ่ำยเทได้ สะดวก หรือที่กลำงแจ้งก็ได้ โดยหลังจำก 2 วันแรก ให้พลิกก้อนอิฐตั้งขึ้น ซึ่งจะทำให้ก้อนอิฐแห้งทุกด้ำน สำมำรถเก็บสะสมไวใ้ ชส้ รำ้ งบำ้ นดิน ตำมแบบท่วี ำงแผนได้ ฐำนฅนรักษแ์ มธ่ รณี ทมี วทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำงอรณุ ศรี เดชะเทศ นักจดั กำรงำนท่ัวไปชำนำญกำร 2. นำงนอม เถำเปย้ี ปลูก พนักงำนทำควำมสะอำด 3. นำยสมศักด์ิ สทิ ธินนท์ พนักงำนทำควำมสะอำด กจิ กรรมทใ่ี ห้ผู้เข้ำรับกำรฝกึ อบรมไดป้ ฏิบัติ 1. ร่วมกันสร้ำงสรรค์กิจกรรมปุ๋ยหมักแห้งแบบ ด่วน เพื่อนำมำใช้บำรุงดินในพ้ืนท่ีต้นแบบกำรพัฒนำ คุณภำพชีวิตตำมหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นำ โมเดล” และเปน็ แหล่งเรยี นรู้ครูพำทำ ประจำ ฐำนคนรกั ษแ์ ม่ธรณี โดยใชใ้ บไมแ้ ห้ง บรเิ วณฐำนคนรักษ์ ป่ำและภำยใน ศพช. ลำปำง มำเป็นวัสดุในกำรทำปุ๋ย หมักแห้ง จำนวน 3 สตู ร 1.1 สูตร 1 อัตรำส่วน 1 : 1 : 1 : 1 (แกลบดิบ : แกลบดำ : ปุ๋ยคอก : รำละเอียด) ผสมน้ำหมัก ชีวภำพรสจืด 1 : 50 รำดบนกองปุ๋ยให้ชมุ่ ใชม้ ือกำและบีบปุ๋ยจับกันเปน็ ก้อนโดยให้มีน้ำซึมตำมร่องมือ สูตรนี้ จะย่อยสลำยไดเ้ รว็ ประมำณ 1 สัปดำห์ จะเกิดจลุ ินทรียข์ ำวท่ีเป็นประโยชน์ เทคนิคกำรผสมใชพ้ ลั่วชนิดแบนผู้ พลิกอยู่กันคนละฝ่งั ใช้พลั่วสอดกองปุ๋ยฝง่ั ละคร่ึงพร้อม ๆ กันโดยใหพ้ ลัว่ ชนกนั และพลกิ ไปพรอ้ ม ๆ กัน ไมต่ ้อง ยกพล่วั จะได้กองปุ๋ยทคี่ ลุกเคล้ำกันอย่ำงลงตัวและสวยงำม 1.2 สูตร 2 อัตรำส่วน 3 : 1 : 1 : 1 (ใบไม้ : แกลบดำ : แกลบดบิ : ปุ๋ยคอก) คลกุ เคล้ำ ให้เข้ำกัน ผสมน้ำหมักชีวภำพรสจืด 1 : 50 รำด บนกองปุ๋ยให้ชุ่ม วิธีกำรนี้จะเป็นกำรลดรำยจ่ำย และได้ปรมิ ำณปุ๋ยทม่ี ำก 1.3 สูตร 3 เป็นกำรต่อยอดจำก สูตร 2 นำไปบดละเอียดด้วยเคร่ืองบด ก็จะได้ปุ๋ย ชีวภำพที่มีควำมละเอียดและพร้อมที่จะเป็นดิน พรอ้ มปลกู

๕๑ 2. กจิ กรรมกำรทำน้ำหมกั 7 รส โดยในกิจกรรม รุ่นท่ี 1 ได้อธิบำยสรรพคุณและวิธีใช้ประโยชน์ของน้ำหมัก ท้ัง 7 รส ได้แก่ รสจืด รสฟำด รสขม รสเบื่อเมำ รสหอมระเหย รสเปรี้ยว และรสเผ็ด ซ่ึงในฐำนฯ ได้ทำกำรสอนโดยให้ผู้เข้ำรับกำร ฝึกอบรมได้ปฏิบัติกำรทำน้ำหมักรสจืด ซึ่งมีสรรพคุณในกำรปรับสภำพบำรุงดินเป็นหลัก ส่วนสูตร อื่น ๆ จะมี สรรพคุณในกำรขับไลแ่ มลงศัตรูพชื เปน็ หลกั สำหรับสูตรในกำรทำ น้ำหมักรสจืดนั้น จะเป็นกำรใช้สูตร วัตถุดิบ 3 กิโลกรัม ซ่ึงในที่นี่จะเป็นต้น กล้วย(สำมำรถใช้ได้ท้ังต้น) โดยผเู้ ข้ำรบั กำรฝึกอบรมจะนำต้นกล้วยมำฝำนและสับให้มีขนำดเล็กลงเพื่อสะดวก แก่กำรย่อยสลำย ผสมกับน้ำตำลทรำยแดง 1 กิโลกรัม ซึ่งจะเป็นอำหำรของจุลินทรีย์ ซ่ึงทำให้กำรย่อยสลำย ของวัตถุดิบ เป็นไปได้อย่ำงรวดเร็วขึ้น สุดท้ำยคือน้ำเปล่ำ 10 ลิตร ใส่ผสมกันในถังขนำด 20 ลิตร และคนให้ เข้ำกัน จำกนัน้ จงึ ปดิ ฝำถัง ท้งิ ไว้ประมำณ 3 เดอื น (เปิดฝำถังทุก 7 วนั เพอื่ ระบำยแก๊ส) จะได้น้ำหมักรสจืดที่ พรอ้ มใช้งำน ฐำนฅนมนี ้ำยำ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. ว่ำท่ี ร.ต.ชัยณรงค์ บัวคำ นักทรพยำกรบุคคล 2. นำยศำนติ ธรรมไชย พนกั งำนขับรถยนต์ 3. นำงสำวสวุ ลี ฟูทอง พนกั งำนทำควำมสะอำด กจิ กรรมท่ีให้ผู้เขำ้ รับกำรฝึกอบรมได้ปฏบิ ตั ิ 1. กำรทำนำ้ ยำเอนกประสงค์ วิทยำกรได้แนะนำ และให้ควำมรู้เบ้ืองต้น เก่ียวกับน้ำยำเอนกประสงค์ สูตรที่ ศูนย์ ศึ กษำ แ ล ะ พั ฒ น ำ ชุ ม ช น ล ำ ป ำ ง ท ำ ข้ึ น ใ ช้ ภำยใน ซึ่งจะใช้น้ำหมักรสเปรี้ยวแทนสำรกัน บูด ซึ่งเป็นกำรลดกำรใช้สำรเคมีในกำรทำให้ น้อยที่สุด อีกทั้งน้ำหมักรสเปรี้ยว ยังมี สรรพคุณท่ีจะช่วยในกำรใช้ทำควำมสะอำด ได้ดี อำทิสับปะรด มะกรูด ฯลฯ ซ่ึงทำให้มี ประสิทธภิ ำพกำรใช้งำนต่อครำบสกปรกได้ดี

๕๒ 2. กำรทำตะไครห้ อมไล่ยงุ วิทยำกรได้แนะนำ และให้ ควำมรู้ในกำรทำตะไคร้หอมไล่ยุง ซึ่งใช้วัตถุดิบหลักเป็นตะไคร้หอม แต่หำกไม่มี สำมำรถใช้ตะไคร้บ้ำน ได้ โดยเพิ่มสมุนไพร อื่น ๆ อำทิ กำนพลู กะเพรำ โหระพำ สะระ แหน ผสมกับ ผิวมะกรูดซ่ึงท้ัง 2 อย่ำงต้องหัน่ เปน็ ชิน้ เล็ก ๆ ส่วนผสม ต่ อ ม ำ คื อ ก ำ ร บู ร แ ล ะ เอทิลแอลกอฮอล์ และใช้กำรหมัก ซึ่งคณะวิทยำกรประจำฐำน ได้นำผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม ฝึกห่ันวัตถุดิบ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในกำรหมักตะไคร้ หอมไลย่ ุง จำกนั้น นำไปห่อดว้ ยผำ้ ขำวบำง แลว้ นำไปใส่ในโหลแก้วท่ีเตรียมไว้ จำกนั้นจึงทำ เอทลิ แอลกอฮอล์ จำนวน 1 ลติ ร และกำรบรู ลง ไป ซึ่งเมื่อใส่ส่วนผสมครบแล้ว จึงปิดฝำ หลงั จำกผ่ำนไป 7 วันจึงคอ่ ยนำมำใช้ 3. สำธิตกำรทำนำ้ หมักรสเปรีย้ ว ซึ่งกำรทำน้ำหมักรสเปรี้ยวน้ัน สูตรที่ ช้ีแจงผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม จะทำมำจำกผลไม้ที่ มีรสเปร้ียว ซ่ึงจะใช้ท้ังเปลือกและผล โดย จะต้องนำมำล้ำงให้สะอำดก่อนที่จะนำไปสับ เป็นช้ินเล็กๆ แล้วนำไปคลุกน้ำตำลทรำยซึ่งจะ เป็นอำหำรของจุลินทรีย์ และเตรียมหมักพร้อม นำ้ สะอำด ในภำชนะท่มี ฝี ำปิด ฐำนฅนเอำถ่ำน ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำงสำวณฐั กฤตำ ชยั ตูม นกั ทรัพยำกรบุคคลปฏิบัติกำร 2. นำยวทิ ูล นำมบุดดี พนกั งำนทว่ั ไป 3. นำยเหล่ียม เถำเปี้ยปลูก พนักงำนทัว่ ไป กิจกรรมทใี่ หผ้ ู้เข้ำรบั กำรฝึกอบรมได้ปฏบิ ตั ิ

๕๓ 1. กิจกรรมกำรทำถงั สำหรับเผำถำ่ น ภำยในฐำนเรียนรู้ มีกำรสำธิต โดยกำรใช้ถังขนำด 200 ลิตร โดยเรียกว่ำ เตำเผำไหม้สมบูรณ์แบบ แบบไร้ควัน โดยในกำร เตรียมถังน้ัน จะใช้ถงั น้ำมัน ขนำด 200 ลติ ร จำนวน 2 ถงั ซึ่งจะ ทำกำรเจำะ 1 ถัง ด้วยกำรแบ่งคร่ึงและทำกำรม้วนและเช่ือมให้ เป็นปลอ่ งควัน ส่วนอีกถัง ให้เจำะรูที่ฝำหำจุดศนู ย์กลำงที่ รัศมหี ่ำง 14 เซนตเิ มตร ใหไ้ ด้ 13 รู (เป็นรรู ะบำยก้นถัง) โดยฝำปดิ ปลอ่ งใหเ้ จำะรูเป็นวงกลมตรงกลำง รัศมี 24 เซนตเิ มตร และใหใ้ ช้เหล็ก เช่ือมให้ฝำยกขึ้นเล็กน้อยมีช่องสำหรับอำกำศผ่ำนเข้ำได้ ตลอดจนทำท่ีสำหรับมือจับ 2. กำรเผำถ่ำนในถงั 200 ลติ ร เร่ิมแรกให้ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม หำวัสดุภำยในฐำนกำรเรียนรู้ซ่ึงได้แก่ ซังข้ำวโพด/ไม้เกี๊ยะ มำเป็น เชื้อเพลิงในกำรจุดไฟ และหำท่อนไม้ขนำด 3 – 4 เซนติเมตร มำกองรวมกันไว้เพ่ือง่ำยต่อกำรนำมำใส่ในเตำเผำ ถ่ำน จำกน้ัน จึงให้ผู้เข้ำรับกำรอบรม ทำกำรเรียงอิฐไว้เพ่ือรองเป็นฐำนสำหรับถังเผำถ่ำน จำนวน 3 ก้อน เพ่ือให้ อำกำศ สำมำรถเข้ำทำงก้นถังได้ เม่อื จดั วำงเรียบร้อยแลว้ จงึ นำถงั ขนำด 200 ลติ ร ที่เจำะรเู รียบร้อยแล้ว มำวำงไว้ ดำ้ นบน จำกนั้น ผเู้ ข้ำฝกึ อบรม ได้ร่วมกนั นำท่อนไม้ท่ีจะเผำเป็นถำ่ น มำใส่จนเตม็ ถัง 200 ลติ รดังกลำ่ ว เม่ือบรรจุท่อนไม้จนเต็มแล้ว หลังจำกน้ันจึงนำซังข้ำวโพด/ ไม้เก๊ียะ มำวำงไว้ข้ำงบน และจุดไฟให้ติด จำกนนั้ นำฝำถังท่ีเจำะรูเป็นวงกลมตรงกลำง ทร่ี ศั มี 24 เซนติเมตร มำปิดไว้ด้ำนบน (ซึ่งต้องมีกำรเชื่อมเหล็กให้เกิด ชอ่ งว่ำงทอี่ ำกำศผำ่ นเข้ำถึงได้) เม่ือทำกำรเผำชว่ งสำยๆ ในชว่ งเย็นผู้เข้ำอบรมได้มำดำเนนิ กิจกรรมอีกรอบ โดยให้เร่มิ ทำกำรดับไฟ โดยนำ ปล่องควัน ออกก่อน จำกนั้น นำอิฐ และฝำถัง ออกตำมลำดับ จำกน้ันนำฝำพร้อมคลิปล็อค มำปิดพร้อมปิดก้นถัง ดว้ ยกำรนำดินมำกลบก้นถังเพ่ือไม่ให้อำกำศเข้ำ ท้งิ ไว้จนอณุ หภมู ิเย็นลงประมำณ 3-4 ช่วั โมง กจิ กรรมฐำนกำรเรยี นรู้ช่วงบำ่ ย ฐำนฅนมีไฟ ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำยเกรียงไกร สิงห์แกว้ นักทรัพยำกร บุคคลชำนำญกำร 2. นำยถำวร ธนำจริ ฏั ฐกติ ติ์ พนักงำนรักษำ ควำมปลอดภัย

๕๔ กจิ กรรมทใี่ หผ้ ู้เขำ้ รบั กำรฝึกอบรมได้ปฏิบัติ 1. เรียนรู้เรื่องพลังงำนทดแทนซ่ึงเป็น กำรแลกเปล่ียนเรียนรู้กับผู้เข้ำรับกำ ฝึกอบรม โดยประเด็นกำรเรียนรู้ได้แก่ พลังงำนที่ใช้ทดแทนพลังงำนจำกฟอสซลิ เช่น ถ่ำนหิน, ปิโตรเลียม และ แก๊ส ธรรมชำติซ่ึงปล่อยคำร์บอนไดออกไซด์ มหำศำลอันเป็นสำเหตุโลกร้อน ตัวอย่ำง พลังงำนทดแทนท่สี ำคัญเชน่ พลงั งำนลม, พลังงำนน้ำ, พลังงำนแสงอำ ทิ ตย์ , พลังงำนน้ำข้ึนน้ำลง, พลังงำนคลื่น, พลังงำนควำมร้อนใต้พิภพ, เชื้อเพลิงชีวภำพ พลังงำนนำมันดิบ น้ำมันปำลม์ พลังงำนน้ำมันพืช เป็นต้น ในปี 2555 ประเทศไทยใช้พลังงำนทดแทนเพียง 18.2% ของพลังงำนทั้งหมด เพ่ิมข้ึนจำกปีก่อนหน้ำ เพียง 1.8% โดยที่พลังงำนแสงอำทิตย์ และเชื้อเพลิงชีวภำพ เพิ่มข้ึน 23% แต่ พลังงำนจำก ฟืน ถ่ำน แกลบ และ วัสดุเหลือใช้ทำงเกษตร โดยนำมำใช้เป็นเช้ือเพลิงด้ังเดิม มีอัตรำลดลง 10% (อำจเป็นเพรำะมวลชีวภำพ ดังกลำ่ วถูกแปรรปู ไปเปน็ เชื้อเพลงิ ชวี ภำพไปแลว้ ) พลังงำนทดแทนอีกประเภทหนงึ่ เป็นพลงั งำนท่ีถูกทำขนึ้ ใหม่ (renewable) ได้อยำ่ งต่อเนื่อง (เชน่ มวล ของลมกลุ่มแรกผ่ำนกังหันลมไป มวลของลมกลุ่มใหม่ก็ตำมมำอย่ำงต่อเนื่องเป็นต้น) เรียกว่ำ พลังงำน หมุนเวียน (renewal energy) ได้แก่ แสงอำทิตย์ ลม น้ำ และไฮโดรเจนเป็นต้น (บำงตำรำว่ำ มวลชีวภำพ ก็ เป็นพลงั งำนหมุนเวียน ขึ้นกบั ว่ำ มันทำข้ึนใหม่ได้อย่ำงตอ่ เน่ืองหรือไม่) ตำมแผนพัฒนำและส่งเสริมกำรใช้พลังงำนทดแทน 15 ปี ระหว่ำง 2555-2564 มีแผนท่ีจะให้มี กำรใช้พลังงำนทดแทนเป็นสัดส่วน 20% ของพลังงำนท้ังหมด กำรศึกษำและพัฒนำพลังงำนทดแทนเป็น กำรศึกษำ ค้นคว้ำ ทดสอบ พัฒนำ และสำธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงำนทดแทน ซงึ่ เปน็ พลงั งำนที่ สะอำด ไม่มีผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อม และเปน็ แหลง่ พลังงำนทีม่ อี ยู่ในท้องถ่ิน เช่น พลังงำนลม แสงอำทติ ย์ ชวี มวล และอื่น ๆ เพื่อให้มีกำรผลิต และกำรใช้ประโยชน์อย่ำงแพร่หลำย มีประสิทธิภำพ และมีควำมเหมำะสม ท้ังทำงด้ำนเทคนิค เศรษฐกิจ และสงั คม 2. เรยี นร้กู ำรทำนำ้ มันไบโอดเี ซลล์ ซ่ึงในขั้นตอนกำรทำได้สำธิตวิธีทำโดยเตรียมวัสดุอุปกรณ์ได้แก่ ๑) หม้อสแตนเลส 2) น้ำมันพืช/ น้ำมันสตั ว์เกำ่ 3) เมทิลแอลกอฮอล์ 4) โซดำไฟ 5) นำ้ เปล่ำ,นำ้ กรอง 6) ผ้ำกรองขำวบำง 7) แกลอน โดยในกำรสำธิตคร้ังน้ี วิทยำกรได้สำธิตโดยนำน้ำมันพืชเก่ำที่ใช้แล้ว มำกรองเศษอำหำรออกไปจน หมดกอ่ น 3. เรยี นรรู้ ะบบพลังงำนโซล่ำเซลล์ วิทยำกรได้แลกเปล่ียนเรียนรู้เรื่องระบบพลังงำนโซล่ำเซลล์ (Solar panel หรือ Photovoltaics) คือ กำรนำเอำ โซล่ำเซลล์ จำนวนหลำยๆเซลล์ มำต่อวงจรรวมกัน อยู่ในแผงเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้สำมำรถ ผลติ และจำ่ ยกระแสไฟฟำ้ ได้มำกขึ้น โดยไฟฟำ้ ท่ีได้น้นั เป็นไฟฟำ้ กระแสตรง (DC) มี 3 ประเภทดงั นี้

๕๕ โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Cells) ทำมำจำก ผลึกซิลิคอนเชิงเด่ียว (mono-Si) หรือบำงทีก็เรียกว่ำ single crystalline (single-Si) วิธีสังเกตง่ำยๆ คือ แต่ละเซลล์จะมีลักษณะ เป็นส่เี หลยี่ มตดั มุมทัง้ สีม่ มุ และมีสีเขม้ โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Cells) ทำมำจำกผลึกซิลิคอน โดยท่ัวไปเรียกว่ำ โพลีคริสตัลไลน์ (polycrystalline,p-Si) แต่บำงครั้งก็ เรียกว่ำ มัลติ-คริสตัลไลน์ (multi-crystalline,mc-Si) โดยในกระบวนกำรผลิต สำมำรถท่ีจะนำเอำ ซิลิคอน เหลว มำเทใส่โมลด์ที่เป็นสี่หล่ียมได้เลย ก่อนท่ีจะนำมำ ตัดเป็นแผ่นบำงอีกที จึงทำให้เซลล์แต่ละเซลล์เป็นรูป ส่เี หล่ยี มจัตรุ ัส ไม่มกี ำรตดั มมุ สขี องแผงจะออก นำ้ เงิน ไมเ่ ข้มมำก แผงโซล่ำเซลล์ชนิด ฟิล์มบำง (Thin Film Solar Cells) คือ กำรนำเอำสำรที่สำมำรถแปลงพลังงำน จำกแสงเป็นกระแสไฟฟำ้ มำฉำบเปน็ ฟลิ ม์ หรือชน้ั บำง ๆ ซอ้ นกันหลำยๆชั้น จงึ เรยี ก โซล่ำเซลล์ชนิดน้วี ่ำ ฟลิ ์ม บำง หรือ thin film แผ่นชนิดน้ีมีประสิทธิภำพเฉล่ียอยู่ที่ 7-13% ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับชนิดของวัสดุท่ีนำมำทำเป็น ฟลิ ์มฉำบ แต่สำหรับบ้ำนเรือนโดยท่ัวไปแลว้ มเี พยี งประมำณ 5% เทำ่ นน้ั ท่ใี ช้ แผงโซลำ่ เซลล์ ทเ่ี ป็นแบบชนิด ฟิลม์ บำง ขอ้ ดี/ข้อเสียของแผงโซล่ำเซลล์แต่ละชนิด โมโนคริสตลั ไลน์ ข้อดี ขอ้ เสีย - มีประสิทธิภำพสูงสุด เพรำะผลิตมำจำก ซิลิคอน - มีรำคำแพงที่สุด ในบำงครั้งกำรติดตั้งด้วย แผงโซ เกรดดีท่ีสุด โดยมีประสิทธิภำพในกำรเปลี่ยน ล่ำเซลล์ชนิด โพลีคริสตัลไลน์ หรือชนิด thin film พลงั งำนแสง เป็นกระแสไฟฟ้ำเฉลย่ี อยทู่ ี่ 15-20% อำจมคี วำมคุม้ คำ่ มำกกวำ่ - มปี ระสิทธิภำพต่อพ้นื ทีส่ ูงกว่ำแบบ Poly เพรำะว่ำ - ถ้ำหำก แผงโซล่ำเซลล์ชนิด โมโนคริสตัลไลน์ มี ให้กำลังสูงจงึ ตอ้ งกำรพื้นทน่ี ้อยทสี่ ุดในกำรตดิ ต้ังแผง ควำมสกปรกหรือถูกบังแสงในบำงส่วนของแผง อำจ โซลล่ำเซลล์ชนิดนี้ โมโนคริสตัลไลน์ สำมำรถผลิต ทำใหว้ งจรหรอื inverter ไหม้ได้ เพรำะอำจจะทำให้ กระแสไฟฟ้ำได้เกือบ 4 เท่ำ ของชนิด ฟิล์มบำงหรอื เกดิ โวลต์สูงเกนิ ไป thin film - มีอำยุกำรใช้งำนยำวนำนท่ีสุด โดยเฉล่ียแล้ว ประมำณ 25 ปขี ึน้ ไป - ผลิตกระแสไฟฟ้ำได้มำกว่ำชนิด โพลีคริสตัลไลน์ เมือ่ อยใู่ นภำวะแสงนอ้ ย

๕๖ โพลคี ริสตลั ไลน์ ข้อดี ขอ้ เสยี - มีข้ันตอนกระบวนกำรผลิตที่ง่ำย ไม่ซับซ้อน จึง ใช้ - มีระสิทธิภำพในกำรเปลี่ยนพลังงำนแสง เป็น ปริมำณซิลิคอน ในกำรผลิตน้อยกว่ำ เมื่อเทียบกับ กระแสไฟฟำ้ โดยเฉล่ยี อยทู่ ่ี 13-16% ซง่ึ ตำ่ กวำ่ เม่ือ ชนดิ โมโนครสิ ตลั ไลน์ เทียบกับชนิด โมโนคริสตัลไลน์ - มปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรใช้งำน ในท่ีอุณหภูมสิ ูง ดกี วำ่ - มีประสิทธิภำพต่อพื้นท่ีต่ำกว่ำ ชนิด โมโน ชนิด โมโนคริสตัลไลน์ เลก็ นอ้ ย ครสิ ตัลไลน์ ในกรณี ถำ้ แสงมีควำมเข้มน้อย - มีรำคำถกู กว่ำเมอ่ื เทยี บกับ ชนดิ โมโนครสิ ตัลไลน์ - แผงมีสีน้ำเงิน ทำให้บำงครั้งอำจดูไม่สวยงำม เม่ือ เทียบกบั ชนิด โมโนครสิ ตัลไลน์ และชนิด thin film ที่มีสีเข้ม เข้ำกับส่ิงแวดล้อม เช่น หลังคำบ้ำนได้ ดีกวำ่ ชนดิ ฟลิ ์มบำง ข้อดี ข้อเสยี - มีรำคำถูกกว่ำ เพรำะสำมำรถผลิตจำนวนมำกได้ - มปี ระสิทธภิ ำพตำ่ งำ่ ยกว่ำ ชนิดผลึกซลิ ิคอน - มีประสทิ ธิภำพต่อพืน้ ท่ีต่ำ - ในที่อำกำศร้อนมำก ๆ แผงโซล่ำเซลล์ ชนิด ฟิล์ม - ส้ินเปลืองค่ำโครงสร้ำงและอุปกรณ์อื่นๆ เช่น บำง มีผลกระทบน้อยกว่ำ สำยไฟ - ไม่มีปัญหำเร่ือง เม่ือแผงสกปรกแล้วจะทำให้วงจร - ไม่เหมำะนำมำใช้ตำมหลังคำบ้ำน เพรำะมีพื้นที่ ไหม้ จำกัด - ถ้ำคุณมีท่ีเหลือเฟือ แผงโซล่ำเซลล์ ชนิด ฟิล์มบำง - กำรรบั ประกนั ส้ันกว่ำชนิด ผลึกซลิ คิ อน กเ็ ป็นทำงเลอื กท่ีดี ในเวลำกลำงวันเมื่อผลิตไฟฟ้ำจำกโซล่ำเซลล์ ระบบก็จะนำไฟฟ้ำท่ีผลิตได้มำจ่ำยให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ำ ของเรำ แต่หำกกระแสไฟฟ้ำท่ีเรำผลิตได้ไม่เพียงพอ ก็จะไปดึงไฟจำกแบตเตอร่ี หรือกำรไฟฟ้ำฯมำใช้งำนได้ โดยอัตโนมัติ (ซ่ึงเรำสำมำรถตั้งค่ำได้ท่ีตัว ไฮบริดส์ อินเวอร์เตอร์) หรือหำกเรำผลิตไฟฟ้ำจำกโซล่ำเซลล์มำ ม ำ ก ก ว่ ำ ที่ เ ร ำ ใ ช้ ง ำ น ร ะ บ บ ก็ น ำ ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ ำ นี้ ไ ป ช ำ ร์ จ แ บ ต เ ต อ รี่ เ พื่ อ ส ำ ร อ ง ไ ฟ ฟ้ ำ ใ ช้ ง ำ น ต่ อ ไ ป ในเวลำกลำงคืนท่เี รำไมส่ ำมำรถผลิตไฟฟ้ำจำกโซลำ่ เซลลไ์ ด้ ทต่ี ัวไฮบริดส์ อินเวอรเ์ ตอร์ สำมำรถตั้งค่ำ ไดว้ ่ำจะเอำไฟจำกแบตเตอร่ีมำใช้งำนก่อนจนหมดแลว้ ค่อยนำไฟฟ้ำจำกระบบของกำรไฟฟ้ำมำใช้งำน ซึง่ ทำให้ เรำประหยัดค่ำไฟฟำ้ ลงได้ และหรอื บำงทำ่ นอำจกลัวว่ำแบตเตอร่ีจะเส่ือมเร็วเกินไป กส็ ำมำรถตง้ั คำ่ ให้ใช้ไฟฟ้ำ จำกกำรไฟฟ้ำเป็นอันดับแรกก่อน หำกระบบไฟฟ้ำของกำรไฟฟ้ำขัดข้องจึงไปนำไฟฟ้ำจำกแบตเตอร่ีมำใช้งำน ก็ได้ 4. เรยี นรู้กำรใชพ้ ลังงำนแบตเตอร่กี บั โซล่ำเซลล์ 4.1 ฝกึ กำรคำนวณ ระบบ DC ใชไ้ ฟกลำงวนั 4.2 ฝกึ กำรคำนวณ ระบบ DC ใชไ้ ฟกลำงคืน

๕๗ ฐำนฅนรักษป์ ำ่ ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำยชำญณรงค์ จริ ขจรกุล นักทรพั ยำกรบุคคล 2. นำยเหลยี่ ม เถำเปยี้ ปลูก พนักงำนทัว่ ไป กิจกรรมทใ่ี หผ้ ู้เขำ้ รับกำรฝึกอบรมได้ปฏิบตั ิ 1. เรยี นรู้กำรปลกู ปำ่ 5 ระดับ วิทยำกรไดเ้ ปิดเวทใี นกำรแลกเปลีย่ นเรยี นรู้เรื่อง กำรปลูกปำ่ 5 ระดับ พร้อมตัวอย่ำงประกอบอำทิ ระดบั ท่ี 1 ตน้ ไมท้ รงสูง อยใู่ นอำกำศ ในกลุ่มน้ีจะ ปลูกไม้ใหญ่ ไม้ยืนต้น ซึ่งเป็นไม้ติดแผ่นดิน ช่วยรักษำ ระบบนิเวศน์ อีกท้ังเป็นกำรออมเพ่ืออนำคตสำหรับตนเอง และลูกหลำน เช่น ตะเคียน ยำงนำ มะค่ำ มะฮอกกำนี ประดู่ ตน้ สกั ฯลฯ ระดบั ที่ 2 ปลูกไม้ระดบั กลำง เป็นชัน้ ที่มีควำมสูงเป็นรองกลุ่มไม้ยนื ต้น เช่น ขีเ้ หลก็ มะกรดู มะนำว มะพร้ำว สม้ โอ ขนนุ ทุเรียน มะมว่ ง ดอกแค กล้วย ชะอม พชื ไร่ พชื สวน ทุกชนิด ฯลฯ ระดับที่ 3 ปลูกไม้พนั ธ์ุเต้ีย เป็นกำรใชป้ ระโยชน์จำกต้นไมท้ ่มี ีทรง พุ่มเตย้ี เช่น พรกิ มะเขอื กะเพรำ ตะไคร้ ขำ้ ว ฟำ้ รทะลำยโจร ทำนตะวัน ไม้ดอก พืชสมุนไพรตำ่ ง ๆ ฯลฯ ระดบั ที่ 4 ปลูกไม้เลอื้ ย เชน่ บวบ นำ้ เตำ้ ถว่ั แตง มะระ ตำลงึ ผักบุง้ ฯลฯ ระดับที่ 5 ปลูกพืชท่ีมีหัวฝังดิน เช่น ขิง ข่ำ หัวหอม กระเทียม สำยบัว เผือก มัน ฯลฯ โดยจะปลูก พวกพืชหัว เพือ่ เปน็ อำหำร ไดแ้ กม่ ันสำประหลงั มันเทศ ท่ีสำคัญในกำรปลูกพืชในสวนของเรำนั้นให้ยึดหลักกำรใช้ประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ โดยแยก ประโยชนไ์ ดด้ ังน้ี กำรปลูกพืช 5 ระดับ โดยกำรปลูกพืชตำมควำมสูงระดับ ต่ำงกัน และอยู่ร่วมกันได้ ช้ันหนึ่ง อยู่สูงสุด ได้แก่ หมำก สะตอ ช้ัน สอง เป็นไม้ท่ีมีควำมสูงปำนกลำง จำพวกไม้ผล เช่น ทุเรียน มังคุด ลองกอง ช้ันสำมเปน็ ไมส้ งู จำกระดับ พ้ืนไม่เกิน 3 เมตร ได้แก่ ผักเหลียง พริกไทย ชั้นสี่ ได้แก่ ไม้ดอกไม้ ประดบั เช่น หนำ้ ววั ขงิ แดง ค้ำงคำว ดำ วำ่ นเพชรหึง ชั้นห้ำ เป็นไมห้ ัว ได้แก่ ข่ำ ขงิ ตะไคร้

๕๘ กำรปลูกพืชในลักษณะเกื้อกูลกันเช่นนี้ จะทำให้เกิดระบบนิเวศน์ซ่ึงมีลักษณะคล้ำยป่ำ พืชสำมำรถ พึ่งพำอำศัยกันได้ และยังเป็นกำรใช้พื้นท่ีให้เกิดประโยชน์สูง แม้เกษตรกรจะมีพ้ืนท่ีน้อยก็สำมำรถปลูกพืชได้ หลำกหลำยทำให้มีรำยได้ตลอดปี 2. เรยี นรปู้ ำ่ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง 3. เรียนรกู้ ำรขุดคลองไสไ้ ก่/ กำรทำหลุมขนมครก วิทยำกรได้บอกเล่ำเก่ียวกับคลองไส้ไก่ ว่ำเป็นกำรขุดคลองตำมลักษณะอิงธรรมชำติซึ่งไม่เป็น เส้นตรง คลองไส้ไก่จะมีลักษณะคดเคี้ยว มีผลในกำรลดควำมเช่ยี วของกระแสน้ำ และกำรพังทลำยของตลิ่ง มี กำรทำตะพักน้ำท่ีคลองใส้ไก่ด้วย ซึ่งนอกจำกมีผลในกำรลดกำรพังทลำยของหน้ำดินแล้ว ยังเป็นที่หลับนอน ของสตั วน์ ้ำ อำทิปลำ อีกดว้ ย จะทำใหป้ ลำเจริญเติบโตได้ดี หำกอธิบำยใหเ้ ห็นภำพ ประโยชน์หลกั ทไ่ี ด้จำกคลองไสไ้ ก่มี 4 อยำ่ งดว้ ยกนั คือ ชว่ ยกกั เก็บนำ้ ให้ซึม ลงใต้ดิน เปลี่ยนทำงน้ำให้กระจำยสู่พื้นที่เพำะปลูก ล็อกตะกอนดินหรือธำตุอำหำร และป้องกันกำรพังทลำย ของหน้ำดิน ในส่วนของกำรดักตะกอน ก็มีกำรขุดหลุมขนมครก เป็นระยะ ๆ ซึ่งมีควำมลึกประมำณ 2 เท่ำ ของคลองไส้ไก่ และมีสะดือตรงกลำง เป็นกำรช่วยดักตะกอน สำหรับคลองไส้ไก่ก็จะขุดให้มีควำมลำดเอียง ประมำณ 45 องศำ ด้วยกำรกะเกณฑ์จำกสำยตำ และมีควำมกว้ำงประมำณ 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร ในกำรฝึกปฏบิ ตั ิ

๕๙ 4. เรียนรู้กำรทำฝำยชะลอนำ้ ซ่ึงในฐำนกำรเรียนรู้ วิทยำกรได้ชี้แจง วัตถุประสงค์และประโยชน์ในกำรทำฝำยชะลอน้ำ ฝำยชะลอน้ำสร้ำงขวำงทำงไหลของน้ำบนลำธำร ขนำดเล็กไว้ เพื่อชะลอกำรไหล - ลดควำมรุนแรง ของกระแสนำ้ ลดกำรชะล้ำงพังทลำยของตล่ิง - เมอื่ น้ำไหลช้ำลง ก็มีน้ำอยู่ในลำห้วยนำนขึ้น โดยเฉพำะ ในหน้ำแล้ง ซ่ึงเป็นฝำยที่สร้ำงขึ้นช่ัวครำว สำมำรถ ร้ือถอนออกได้ในภำยหลัง จำกนั้นจึงพำผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรมทดลองทำ โดยมีกำรตัดไม้ไผ่เป็นท่อนๆ ขนำด พอเหมำะ เหลำให้มีปลำยแหลม และปักกันตรงจุดแบ่งเป็น 2 ฝ่ัง แล้วใช้เชอื กมัด เว้นตรงกลำงไวเ้ พื่อนำกอ้ น หนิ มำใส่ เป็นกำรชะลอกำรไหลของน้ำ เปน็ กำรเพม่ิ ควำมชุม่ ชืน้ ท่วั บริเวณ ฐำนฅนรักษน์ ้ำ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นำงอญั ชลี ปง่ แก้ว นักทรัพยำกรบุคคลชำนำญกำร 2. นำยประยรู ปะละจนั ทร์ พนกั งำนทวั่ ไป 3. นำงคำสขุ หนนุ หลี พนกั งำนทำควำมสะอำด กิจกรรมท่ใี หผ้ เู้ ข้ำรบั กำรฝกึ อบรมไดป้ ฏิบตั ิ และมกี ำรสำธติ คือ 1. ทำจลุ ินทรยี บ์ อล วิทยำกรแนะนำ/แยกจุลินทรีย์เป็น 3 ประเภทง่ำยๆ ได้แก่ 10% เป็นจุลินทรีย์ท่ีไม่ดี ทำให้เกิด โรคภยั นำ้ เนำ่ เสีย ฯลฯ 10% เป็นจลุ ินทรยี ด์ ี ใชป้ ระโยชน์ในกำรทำอำหำร รักษำโรค บำรงุ ดนิ บำบัดนำ้ ฯลฯ และ ๘๐% ทำตัวเป็นกลำง และจะเข้ำร่วมกับจุลีนทรีย์ พวกดีหรือไม่ดี หำกพวกใดมีจำนวนท่ีมำกกว่ำ วิทยำกรจึง แนะนำให้รวมจุลินทรีย์ดีๆ มำเป็นกลุ่มก้อนจุลินทรีย์บอล ใช้บำบดั นำ้ เสยี บำรุงน้ำ บำบัดกลิน่ และเป็นอำหำรปลำได้ วิทยำกรได้แนะนำส่วนประกอบที่ใช้ในกำรทำ วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ วิธีกำร/ขั้นตอนในกำรทำ แล้วให้ผู้เข้ำรับ กำรฝึกอบรมลงมือปฏิบัติร่วมกัน ซ่ึงเม่ือทำเสร็จแล้ว ให้ นำไปเก็บไว้ในท่ีร่มประมำณ 7 วัน จึงสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และควรใช้ให้หมดภำยใน 1 เดือน โดย อัตรำสว่ นทีใ่ ช้ คอื 1 ลกู ตอ่ พ้ืนท่ี 2 ตำรำงเมตร วิทยำกรได้สรุปผลกำรเรยี นรู้ โดยไดต้ ั้งคำถำม/ทบทวนควำมร้กู ับกลุม่ เปำ้ หมำยร่วมกัน

๖๐ 2. ทำจลุ นิ ทรยี ์สังเครำะห์แสง วิทยำกรเกริ่นแนะนำ กำรทำจุลินทรีย์สังเครำะห์แสง จำก น้ำเปล่ำในแหล่งต่ำง ๆ นำมำใส่ขวดน้ำ ขนำด 600 ML หรือ 1.5 ลิตร จำนวน 6 ขวด ผสมอำหำรให้จลุ ินทรีย์สังเครำะห์แสง คือ ไข่ไก่ 1 ฟอง กับผงชรู ส 1 ช้อนโตะ๊ ตใี ห้เข้ำกนั โดยตักใส่ขวดนำ้ เท่ำ ๆกัน หำกมีหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเครำะแสงไว้แล้ว ก็ให้แบ่งหัวเช้ือจุลินทรีย์ สังเครำะหแ์ สง ในอตั รำ 1 ขวด : 6 ขวด ใสเ่ ท่ำ ๆกัน เตมิ น้ำให้ถงึ คอ ขวดเหลอื พนื้ ท่วี ำ่ งประมำณ 1-2 นิ้ว ปดิ ฝำ จำกนน้ั จงึ เขย่ำอยำ่ งน้อย 100 ครัง้ เพอ่ื ให้จุลนิ ทรยี ์ทำงำนได้เร็ว ข้ึน และนำไปตำก แดดไว้ 7 วัน ก็สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ได้ สำหรับกำรนำไปใช้นั้น ถ้ำจะใช้รดน้ำ พืชผัก ผลไม้ ใช้ในอัตรำ 1 สว่ น ตอ่ น้ำ 200 สว่ น และสำหรบั บำรุง/ปรบั ปรงุ ดนิ ใชใ้ นอัตรำ 1 / 100 สว่ น 3. สำธติ ตะบนั นำ้ วิทยำกรชวนคุยเร่ือง พื้นท่ีทำกำรเกษตรทำง ภำคเหนือ ที่แหล่งน้ำอยู่ต่ำกว่ำ ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ ดึงน้ำ ขึ้นมำใช้ เสียค่ำใช้จ่ำยทั้งค่ำสูบน้ำ น้ำมันเชื้อเพลิง ค่ำไฟฟ้ำ ฯลฯ แต่อุปกรณ์ “ตะบันน้ำ” อำศัยพลังงำนจำกแรงดันของ น้ำไหลตำมธรรมชำติ ผ่ำนเช็ควำวล์ 2 ตัว เพ่ิมแรงดันน้ำได้ สงู กวำ่ 15 เมตร ไกลกว่ำ 30 เมตร โดยวสั ดอุ ปุ กรณ์ทลี่ งทุน ไมม่ ำก จำกน้ัน วิทยำกรได้นำผู้เข้ำอบรมไปทดลองใช้ เครอื่ งตะบนั น้ำสำธิต ในขั้นตอนสุดท้ำย ทีมวิทยำกรได้เปิดโอกำสให้ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรมได้แลกเปลี่ยน สอบถำม และ สรปุ ผลกำรเรียนร้รู ่วมกัน ฐำนฅนรกั ษ์สุขภำพ ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำงสำวศรญั ญำ ปำปลูก นักทรพั ยำกรบุคคลปฏิบตั ิกำร 2. นำงปรำณี เปยี้ ปลกู พนกั งำนทำควำมสะอำด 3. นำงสำวชำบดี ชมพพู ้นื พนกั งำนทำควำมสะอำด กจิ กรรมที่ให้ผ้เู ข้ำรับกำรฝึกอบรมได้ปฏบิ ัติ ภำยใตส้ ภำวะเศรษฐกิจสังคมและกำรแพร่ระบำดของโรคที่ เกิดข้ึน กำรดูแลสุขภำพเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งท่ีควรตระหนักและให้ ควำมสำคัญในกำรดำเนินชีวิต วิธีกำรดูแลสุขภำพมีหลำกหลำยวิธี ได้แก่กำรออกกำลังกำย ลดควำมเครียด รับประทำนอำหำรสุขภำพ หลีกเล่ียงควำมเส่ียงต่ำง ๆ และกำรใช้สำรธรรมชำติหรือพืช สมนุ ไพร นับเปน็ อีกหน่งึ ทำงเลือกในกำรรักษำและดูแลสุขภำพ สมุนไพร เปน็ พชื ทใี่ ชท้ ำเคร่ืองยำ มที ม่ี ำจำกธรรมชำตแิ ละมีควำมหมำยต่อชวี ติ มนุษย์ โดยเฉพำะในทำงสุขภำพ

๖๑ อนั หมำยถึงท้ังกำรส่งเสริมสุขภำพและกำรรักษำโรค สภำพฤทธิ์ของยำสมุนไพร สำมำรถแบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ โดยเลือกใช้ ให้เหมำะสมตำมสภำพอำกำรและผปู้ ว่ ย ได้แก่ 1) สมนุ ไพรฤทธ์เิ ย็น ช่วยระบำยพิษ สังเกตได้จำกสมนุ ไพรมีใบสีเขียว รสชำตจิ ืด ไมม่ กี ลนิ่ ฉุน เมื่อร่ำงกำย ไดร้ ับเขำ้ ไปจะทำให้รู้สึกเย็น ชุ่มช่ืนมำกข้ึน เป็นประเภทสมนุ ไพรที่คนไทยนิยมใช้ เชน่ ใบเตย: เปน็ ยำขบั ปัสสำวะ แก้กระษัย รกั ษำโรคหอบหืด บำรงุ หวั ใจ วอเตอร์เครส: ต่อต้ำนอนุมูลอิสระ ชะลอควำมแก่ชรำ เสริมสร้ำงภูมิคุ้มกัน บำรุงและรักษำสำยตำ ช่วย ย่อยอำหำร วำ่ นกำบหอย: แก้รอ้ นใน กระหำยนำ้ แกไ้ อ แก้ฟกชำ้ ภำยใน แก้บิด แกอ้ ำเจยี น และถ่ำยเปน็ เลือด ใบย่ำนำง: ต่อต้ำนอนุมูลอิสระ ชะลอควำมแก่ชรำ เสริมสร้ำงภูมิคุ้มกัน ฟ้ืนฟูเซลล์ต่ำง ๆ ในร่ำงกำย ปรับ สมดลุ 1 1 ใบออมแซ่บ (เบญจรงค์): ฤทธ์ิระงับกำรอักเสบ ลดระดับน้ำตำลและไขมันในเลือด ต้ำนอนุมูลอิสระ ต้ำนเชื้อ แบคทีเรยี และเชอ้ื รำ ผกั ปลำบแหลม: แก้โรคเรอื้ น แกอ้ ำกำรระคำยเคืองทผี่ วิ หนงั บรรเทำอำกำรปวด 2) สมุนไพรฤทธิ์ร้อน เม่ือร่ำงกำยได้รับเข้ำไป อุณหภูมิ รำ่ งกำยจะสูงขึน้ เชน่ ใบพลับพลึง: แกเ้ คลด็ ยอกและบวม ใบมะขำม: ช่วยฟอกเลือด สม้ ปอ่ ย: แกป้ วดเมอ่ื ย ตะไคร้: แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุก เสียด ขับลมในลำไส้ บำรุงไฟธำตุ แก้ปวดกระเพำะอำหำร ไพล: แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม แก้ผ่นื คัน กนั เล็บถอด ผิวและใบมะกรูด: แก้ปญั หำกลน่ิ เทำ้ เหม็น ขมิน้ : แกก้ ำรอกั เสบ กิจกรรมกำรพอกหน้ำ วสั ดอุ ุปกรณ:์ 1. ผงถ่ำน 1,000 องศำ 1 ส่วน (ดูดซับสำรพิษสำรเคมีในรูขุมขน ขจัดเซลล์ที่ตำย ช่วยกระตุ้นกำร ไหลเวียนของเลือดบนผวิ หนัง เพม่ิ ควำมชมุ่ ช้นื บำรุงผวิ ) 2. ดนิ สอพอง 7 สว่ น (ใช้แกพ้ ษิ รอ้ นกับร่ำงกำย ถอนพษิ อกั เสบ แก้ผด ผ่ืน และคนั ) 3. นำ้ สะอำด นำ้ คลอโรฟิลลส์ ดจำกธรรมชำติ หรือน้ำใบย่ำนำง 4. ภำชนะสำหรบั ผสมดินสอพองและผงถ่ำน 5. ผำ้ ขนหนสู ำหรบั เชด็ หนำ้ ข้นั ตอน: 1. นำผงถ่ำนและดินสอพองผสมกับน้ำสะอำดหรือน้ำคลอโรฟิลล์ แล้วคนให้เข้ำกันจนเป็นเนื้อครีม 2. ล้ำงหน้ำใหส้ ะอำดและเช็ดหนำ้ ให้แหง้ จำกน้นั นำดินสอพองและผงถ่ำนท่ีละลำยเป็นเน้ือครีมท่ีเตรียม ไว้ทำลงบนใบหน้ำ ใช้นิ้วนำงขัดหน้ำเบำ ๆ ให้ท่ัวใบหน้ำ โดยเว้นบริเวณรอบดวงตำและริมฝีปำก พอกหน้ำทิ้งไว้ นำน 10 - 15 นำที

๖๒ 3. ปะพรมน้ำสะอำด น้ำคลอโรฟิลล์ หรือน้ำใบย่ำนำงให้ท่ัวใบหน้ำ เพื่อเพ่ิมควำมชุ่มช้ืน จำกน้ันจึงล้ำง หนำ้ ด้วยนำ้ สะอำด และเชด็ หน้ำใหแ้ ห้ง กิจกรรมกำรแช่เท้ำสมุนไพร วัสดอุ ปุ กรณ:์ 1. ไพล 2. ขมิ้น 3. ใบมะกรดู 4. ตะไคร้ 5. ใบมะขำม 6. ใบพลับพลงึ 7. ส้มปอ่ ย 8. หม้อสำหรบั ตม้ สมนุ ไพร 9. เตำแก๊ส 10. ขนั ตักนำ้ 11. กะละมังสำหรับแชเ่ ท้ำ 12. เกลือ ขั้นตอน: กำรเตรียมน้ำสมนุ ไพรแช่มือแช่เท้ำ 1. นำสมนุ ไพรอย่ำน้อย 5 ชนดิ ใสล่ งในหม้อสำหรับตม้ จำกนน้ั เทน้ำลงไปให้ท่วมสมุนไพร 2. ต้มน้ำให้เดอื ด 10-15 นำที 3. ตักนำ้ สมนุ ไพรลงในกะละมังสำหรบั แชเ่ ทำ้ 4. เติมน้ำสะอำดและใส่เกลือลงไปผสมในกะละมังจนน้ำอุ่น ใช้วิธที ดสอบโดยใช้มอื จุ่มลงไปเพ่ือทดสอบควำม ร้อน และให้ได้ปริมำณน้ำในกะละมังแช่เท้ำให้ท่วมตำตุ่ม กำรแช่เทำ้ 1. ทำควำมสะอำดเท้ำ โดยใช้สบฟู่ อกทเี่ ท้ำและ ลำ้ งออกด้วยน้ำสะอำด 2. แช่เท้ำด้วยสมุนไพรนำน 3 นำที และพัก 1 นำที (ทำซำ้ กนั 3 ครั้ง) 3. ลำ้ งเทำ้ ให้สะอำด จำกนั้นเชด็ เทำ้ ให้แห้งด้วย ผ้ำที่สะอำด กจิ กรรมกำรทำนำ้ ตะไคร้ใบเตย วัสดอุ ปุ กรณ:์ 1. ตะไคร้ 2. ใบเตย 3. นำ้ ตำลทรำยแดง 4. นำ้ 5. เขียง 6. มีดสำหรบั หั่น 7. ช้อนสแตนเลส 8. กะละมงั 9. แกว้ น้ำหรือขวดน้ำสำหรบั บรรจุ ขัน้ ตอน: 1. นำต้นตะไคร้มำทุบและห่ันเป็นท่อน นำใบเตยมำห่ันเป็นท่อน ๆ เช่นกัน 2. เติมน้ำเปล่ำใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใสต่ ะไคร้และใบเตยลงไป 3. ต้มประมำณ 3 นำที แยกต้นตะไคร้และใบเตยออกมำจำกหม้อ 4. เติมน้ำตำลทรำย คนจนนำ้ ตำลละลำย

๖๓ กิจกรรมกำรอบสมุนไพร วสั ดุอุปกรณ:์ 1. ไพล 2. ขม้ิน 3. ใบมะกรูด 4. ตะไคร้ 5. ใบมะขำม 6. ใบพลับพลึง 7. ส้มป่อย 8. หม้อไฟฟ้ำสำหรับตม้ สมุนไพร 9. กระโจม 10. เก้ำอ้ี ขน้ั ตอน: 1. ต้มสมุนไพรจนเดือด 2. จัดอุปกรณ์ วำงหม้อไฟฟ้ำในกระโจม 3. อบตวั ในกระโจม ประมำณ 15 - 20 นำที พัก 5 นำที อบอีก 1 รอบ ประโยชน์กำรอบสมุนไพร: 1. เพ่ิมกำรไหลเวยี นของโลหิตในรำ่ งกำยดขี ้ึน คลำยควำมตึงเครียด 2. ชำระล้ำงและขับของเสียออกจำกร่ำงกำย ช่วยให้สบำยตวั ลดอำกำร ปวดศีรษะ 3. ผ่อนคลำยกล้ำมเน้ือและเส้นเอ็นบรรเทำอำกำรปวดเม่ือย 4. ทำให้ระบบกำรหำยใจดีข้ึน บำรุงผวิ พรรณ บรรเทำอำกำรผดผืน่ คัน 5. ชว่ ยให้นำ้ หนักร่ำงกำยลดลงได้ชว่ั ครำว 6. ชว่ ยให้มดลูกเข้ำอู่เรว็ ในหญิงหลังคลอด ข้อห้ำม: 1. มโี รคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรนุ แรง โรคติดเชื้อระบบทำงเดินหำยใจ รุนแรง ในรำยทม่ี ีควำมดันโลหิตสงู ไม่เกิน ๑๘๐ มลิ ลเิ มตรปรอท อำจให้อบได้ตำมดลุ ยพินจิ ของแพทย์ แต่ควรไดร้ บั กำร ดูแลอย่ำงใกล้ชิด 2. อ่อนเพลยี อดนอน อดอำหำร หรือหลังรบั ประทำนอำหำรใหม่ ๆ 3. ปวดศีรษะชนิดเวียนศีรษะ คล่นื ไส้ ฐำนฅนรกั ษแ์ มโ่ พสพ ทีมวทิ ยำกรประจำฐำน 1. นำงกรรณกิ ำร์ กำ๋ วติ ำ นักทรพั ยำกรบุคคลชำนำญกำร 2. นำยศรี อนิ ทะรส พนกั งำนท่วั ไป 3. นำยสมพร นำมชำลี พนกั งำนท่ัวไป กจิ กรรมทผี่ ู้เข้ำรับกำรฝึกอบรมไดป้ ฏิบัติ 1. กำรเตรียมทำนำข้ำวอินทรีย์ โดยเป็นกำร แลกเปล่ียนเรยี นรู้ ซึง่ เร่มิ ดว้ ยขน้ั ตอนของกำรเตรียมดนิ ซึ่งใช้ หลังกำรเก็บเก่ียวข้ำว จะทำกำรปล่อยน้ำเข้ำแปลงนำให้สูง 5-10 เซนติเมตร และทำกำรไถดะ เพ่ือทำลำยวัชพืชในนำ 1 รอบและเป็นกำรพลิกกลับหน้ำดิน ต่อมำจะมีกำรหมักดองดิน โดยใช้น้ำหมักรสจืด โดยพื้นท่ีนำ 1 ไร่ จะใช้ นำ้ หมักรสจืด 1 ลิตร เป็นกำรยอ่ ยสลำยตอซังใหเ้ ป็นปุ๋ย โดยจะปลอ่ ยท้ิงไว้ 7 – 15 วัน

๖๔ จำกน้ันจึงจะทำกำรไถแปร ซ่ึงจะไถตัดกับรอยไถดะเป็นกำรย่อยดินเป็นก้อนเล็กๆ ซ่ึงจะเป็นกำร ทำลำยต้นอ่อนของวัชพืชด้วย ต่อจำกน้นั จะเปน็ กำรไถครำด เพ่อื เอำวชั พืชออกจำกผนื นำอีกรอบหนึง่ และเปน็ กำรปรบั พืน้ ทีแ่ ปลงนำให้รำบเสมอกัน เพอ่ื ให้ข้ำวได้รับน้ำเท่ำกนั และงำ่ ยต่อกำรจดั กำรน้ำในแปลงนำ 2. กำรคดั เมล็ดพันธข์ุ ้ำวและกำรทดสอบควำมงอกของเมล็ดพันธุ์ขำ้ ว ซ่งึ มีควำมสำคัญโดยทีมวิทยำกร ไดท้ ำกำรชี้แจงถึงข้อดีในกำรคัดเมลด็ พันธ์ุข้ำวซึ่งทำเพ่ือคัดเมล็ดพันธ์ุดีไว้ใช้เอง อีกทัง้ ยังเป็นกำรลดตน้ ทุนกำร ผลติ ซงึ่ ตอ้ งคำนึงถึงกำรจัดกำรกับขำ้ วเจอื ปนในทุกขั้นตอน ทั้งจำกรวง และกำรคัดในแปลงนำ สำหรับกำรทดสอบอัตรำควำมงอกของเมล็ดพันธ์ุข้ำวนั้น ทีมวิทยำกรชี้แจงว่ำเป็นปัจจัยสำคัญ เน่ืองจำกหำกชำวนำใช้เมล็ด พันธุ์ข้ำวที่มีอัตรำกำรงอกต่ำกว่ำ 80% ทำกำรหว่ำลงนำ อำจทำให้ ได้ต้นข้ำวท่ีงอกมีจำนวนน้อย ซึ่งจะทำให้ต้องมีกำรปลูกซ่อม หรือ อำจต้องไถทิ้งและหว่ำนเมล็ดพันธ์ุใหม่ ซ่ึงจะทำให้เสียเวลำ และ คำ่ ใชจ้ ำ่ ยเพิม่ เติม โดยวิธีในกำรทดสอบอัตรำงอกน้ัน ในกำรทำกิจกรรมจะไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุที่อยู่ในระยะพักตัว และใช้ กระดำษท่ีมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี สะอำด ปรำศจำกสำรพิษ ไม่ฉีกขำดง่ำย โดยให้ผู้อบรมนับจำนวนกระดำษที่ ต้องกำรใช้ใส่ในถำด จำกน้ันเทน้ำเปล่ำให้ท่วม เม่ือน้ำซึ่มทั่วกระดำษดีแล้วให้เทน้ำออก และทำให้สะเด็ดน้ำ จำกนนั้ นำกระดำษดงั กลำ่ ว จำนวน 2 แผน่ วำงรำบบนพนื้ ถำด หรอื โตะ๊ ปฏิบตั งิ ำน จำกน้ัน นำเมล็ดพันธุ์ที่จะทำกำรทดสอบ จำนวน 100 เมล็ด วำงเรียงบนกระดำษเพำะท่ีเตรียมไว้ ให้ได้ 10 แถว แถวละ 10 เมล็ด เมื่อเรียบร้อยแล้ว จึงนำกระดำษที่มีควำมชื้นอีก 1 แผ่นมำปิดทับด้ำนบน จำกน้ันจึงทำกำรพับกระดำษจำกขอบซ้ำยมือประมำณครึ่งนิ้ว และทำกำรม้วนลงมำโดยไม่แน่นหรือหลวม จนเกินไปใหส้ ุดกระดำษ จำกนั้นทำกำรบนั ทึกวนั ที่ทำ และนำไปวำงในถงุ พลำสติกขนำด 8 x 12 นิ้ว ซง่ึ จะใส่ ไดท้ ้งั หมดถงุ ละ 4 มว้ น ใช้รำงรัด รดั รักษำควำมชนื้ และให้พอมอี ำกำศถำ่ ยเทได้บำ้ ง 3. กำรทำข้ำวกล้องงอกไร้มอด ซึ่งในกำรฝึก ปฏิบัติ จะเริ่มที่คณะวิทยำกรได้ทำกำรเตรียมข้ำวกล้อง ไรส์เบอร์รี่ไว้ให้แก่ผู้อบรมล่วงหน้ำ โดยในขั้นตอนกำร เตรียมข้ำวน้ัน ได้ชี้แจงว่ำจะต้องมีกำรล้ำงทำควำม สะอำดขำ้ วไวก้ ่อน จำกนน้ั จะตอ้ งแช่นำ้ ท้งิ ไวป้ ระมำณ 4 – ๘ ช่ัวโมง จำกนั้นจึงล้ำงทำควำมสะอำด และหวดข้ำว ให้สะเด็ดน้ำ จำกนั้น จึงจะนำมำบ่มในผ้ำขำวบำงเพื่อ เพำะใหง้ อก โดยจะใชเ้ วลำบ่มประมำณ 18 ชว่ั โมง จำกน้ันให้นำข้ำวกล้องท่ีพบตุ่มงอกมำล้ำงทำควำมสะอำด และพักหวดข้ำวให้สะเด็ดน้ำ จำกน้ันจึง ใหผ้ เู้ ขำ้ ฝกึ อบรมนำข้ำวท่เี พำะงอกแล้วไปน่งึ ท่ีหมอ้ นงึ่ ทเ่ี ตรียมไว้ โดยใช้เวลำประมำณ 10 – 20 นำที ใหข้ ำ้ ว ร้อนอยำ่ งท่วั ถงึ จำกน้นั จะนำไปตำกแดดประมำณ 2 – 3 วนั และนำไปบรรจุถุงปดิ ผนกึ

๖๕ ซ่ึงในกำรนึ่งข้ำวน้ัน จะต้องต้มน้ำให้เดือดจัดก่อน เพื่อ ยับยั้งกำรงอก ทำลำยไข่มอด ทำให้ข้ำวสุก บำงสว่ น ยับย้งั เอนไซม์ไลเปสซ่งึ จะป้องกนั กล่ินหนื และทำลำยจลุ ินทรีย์กอ่ โรค สรุปผลกำรเรยี นรู้ แต่ละกลุ่มสี ทำกำรถอดบทเรียน องค์ควำมรู้ท่ีได้รับ จำกกำรฝึกปฏิบัติ โดยใช้วิธีสุ่มด้วยกำรจับฉลำก สุ่ม กำรนำเสนอฐำนกำรเรียนรู้ (กลุ่มละ 1 ฐำนกำรเรียนรู้) และได้ถอดบทเรียนของกิจกรรม ต้ังแต่รุ่นท่ี 1 ถึง รุ่นท่ี 3 สรุปได้ดงั น้ี ดงั น้ี ฐำนฅนรักษ์น้ำ ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม ได้ส่งตัวแทน หมูบ่ ำ้ นนำเสนอกิจกรรมท่ีไดฝ้ ึกปฏิบตั ิ โดยลำดับแรก ได้ กล่ำวถึงกิจกรรมกำรทำจุลินทรีย์บอล ซ่ึงสมำชิกได้มีกำร แบ่งหน้ำท่ีกันจึงทำให้สำมำรถทำกิจกรรมเสร็จทันเวลำ ซง่ึ ไดเ้ หน็ ถึงกำรใช้วัสดุในกำรทำ ว่ำสว่ นใหญ่ จะเป็นส่ิงที่ มีอยู่ภำยในศูนย์ฯ หรือวัสดุท่ีสำมำรถใช้ทดแทนได้ อำทิ ถ้ำไม่มีจำวปลวก สำมำรถใช้ดินใต้โคนต้นไม้ใหญ่ทดแทน ในกำรเป็นจุลินทรีย์ในกำรย่อยสลำยได้ โดยกลุ่มจะลอง นำไปปฏิบัติดูว่ำ สำมำรถบำบัดน้ำเสียได้ผลอย่ำงไรที่ พื้นท่ตี นเองก็จะนำมำแบ่งปัน ในส่วนกำรทำจุลนิ ทรีย์สังเครำะห์แสง ทกุ คนได้ลงมือปฏิบัติ ซึง่ บำงคนก็ไดม้ ีกำรทำใช้เองท่ีพ้ืนที่ตน จงึ ทำ กำรแลกเปล่ียน ในส่วนของผลกำรใช้ว่ำสำมำรถใช้ในกำรเพิ่มผลผลิตเมื่อใช้กับพืชได้ เน่ืองจำกรำกพืชสำมำรถดูด ซมึ สำรอำหำรได้ดีย่ิงข้ึน และ ขยำยเชอ้ื ต่อได้ไม่ยุ่งยำก ในกิจกรรมกำรทำตะบันน้ำ เป็นวิธีที่ดีในกำรผันน้ำจำกที่ต่ำข้ึนสู่ที่สูง โดยสำมำรถปรับใช้ได้ดีกับพื้นท่ีใน ภำคเหนือ ซ่ึงวัสดุอุปกรณ์ที่สำธิต จะอำศัยพลังงำนจำกแรงดันของน้ำไหลตำมธรรมชำติ ผ่ำนเช็ควำวล์ สุดท้ำย เปน็ กำรสำธิตกำรใช้น้ำดี ไลน่ ำ้ เสียด้วยกำรแทนทน่ี ้ำ ซึง่ เป็นกำรทำควำมสะอำดสระน้ำ ดว้ ยวธิ ธี รรมชำติ

๖๖ ฐำนฅนมีน้ำยำ ในส่วนของกำรนำเสนอ ซ่ึ ง ก ลุ่ ม จ ะ มี ค ว ำ ม ส น ใ จ ใ น ด้ ำ น ก ำ ร ท ำ น้ ำ ย ำ เอนกประสงค์ ตำมสูตรของศูนย์ฯ ซ่ึงเป็นสูตรที่ สำมำรถลดกำรใช้สำรเคมีได้มำก เนื่องจำกวัสดุ บำงส่วนท่ีเป็นน้ำหมัก สำมำรถนำมำใช้ทดแทน วัสดทุ ่ตี อ้ งไปซ้ือหำจำกสหกรณ์ได้ และได้ฝกึ ปฏิบัติ อย่ำงเป็นข้ันเป็นตอน ทำให้เรียนรู้ในกำรใช้วัสดุที่ เหมือนเป็นขยะจำกครัว ให้เกิดประโยชน์ อำทิ เปลือกส้ม สัปปะรดฯลฯ ให้เกิดประโยชน์และเพ่ิม มูลคำ่ ได้ นอกจำกนี้ในกำรทำ ยังเป็นกำรฝึกควำมอดทน สมำธิ และช่วยออกกำลังกำยผำ่ นกำรกวนน้ำยำเอง ฐำนฅนเอำถ่ำน ซง่ึ ผู้อบรมได้เรียนรู้ในส่วนของเตำเผำซ่ึงมีอยู่ 2 แบบ ไดแ้ กเ่ ตำเผำแบบสมบูรณซ์ ึ่งก่อจำก อิฐ และสำมำรถบรรจุวัสดุได้เยอะสำหรับกำรเผำถ่ำนท่ีละมำกๆ ซึ่งรองรับอุณหภูมิได้ถึง 1,000 องศำเซลเซียส ข้อเสียคือกำรมีควันเยอะ หำกใช้นำนๆ จะต้องมีกำรซ่อมอยู่ตลอด โดยสำมำรถนำไปปรับใช้กับพ้ืนท่ี ที่มีไม้จำนวน เยอะๆ อีกแบบได้แก่เตำ 200 ลิตร ซ่ึงเป็นอุปกรณ์ที่หำง่ำยและลงทุนต่ำกว่ำ และสำมำรถจำกัดไม้ท่ีจะทำได้ และไม่มคี วัน เป็นกำรประยุกตใ์ ช้วัสดุท่ีมีให้เกิดประโยชน์ โดยในกำรเผำไหม้ โดยวัสดุที่นำมำใช้ในกำรฝึกปฏิบัติ จะเป็นไม้เน้ือแข็ง และเศษไม้ โดยเห็นว่ำ สำมำรถนำไปใช้ในครัวเรือน ซงึ่ ทำให้ประหยัด และเปน็ กำรแปรรูปเพิ่มรำยได้ ไดอ้ กี ทำงหน่ึง ฐำนฅนรกั ษ์ป่ำ ตัวแทนได้นำเสนอถึงกำรเรียนรู้ในกำรปลูกป่ำ 5 ระดับ ว่ำควรมีกำรปลูกอย่ำงผสมผสำน ภำยในพ้ืนที่ ซึ่งจะเป็นกำรให้ธรรมชำติช่วยธรรมชำติ ในกำรสร้ำงสมดุลซึ่งกันและกัน ในกำรปลูกป่ำก็จะทำให้เรำ ได้ประโยชน์ทัง้ ทำงตรง และทำงอ้อม ซง่ึ ทำให้พอมีกิน มใี ช้ มที ่ีอยอู่ ำศัย และทำใหเ้ กดิ ควำมร่มเยน็ ในกำรขุดคลองไส้ไก่ ควรขุดให้คดเค้ียวไปมำ และลำดเอียง 45 – 60 องศำ และควรมีกำรทำหลุมขนม ครกให้ลึกลงเป็นเท่ำตัว เพื่อเป็นกำรชะลอน้ำ และดักตะกอนท่ีจะส่งผลต่อกำรไปอุดตันในบริเวณฝำย ทำให้น้ำไม่ ไหลผ่ำน ซึ่งได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับกำรทำฝำยชะลอน้ำ ว่ำสำมำรถเป็นจุดท่ีทำให้เกิดควำมชุ่มชื่นในบริเวณได้ เนือ่ งจำกนำ้ จะถูกชะลอกำรไหลไวท้ ำให้สำมำรถซึมเข้ำสู่ผิวดนิ ไดม้ ำกขึ้น ในส่วนของกำรทำนำ ก็มีควรมีกำรทำหัวคันำให้กว้ำง 2 เมตร และสูงขึ้นจำกนำประมำณ 1 เมตร เพ่ือ สำมำรถใชใ้ นกำรปลูกพืชท่กี ินได้ และให้ผลผลติ เร็วได้ ซงึ่ จะเป็นกำรทำให้มีกินและสรำ้ งรำยได้ อกี ทำงหนึ่ง

๖๗ และควรมีกำรห่มดินด้วยฟำงหรือเศษพืช ไม่ให้ดินเปลือยเปล่ำ เป็นกำรทำให้ดินเกิดควำมช้ืนและปรับ สภำพดินใหเ้ กิดจุลนิ ทรยี ์และสัตวห์ น้ำดนิ นำไปสู่ควำมอุดมสมบูนณ์ ฐำนฅนรักษ์แม่โพสพ นำเสนอกำรเรียนรู้ ในกำรทำข้ำวกล้องงอกไร้มอด ซ่ึงสำมำรถนำไปปรับใช้ในกำร เพิ่มมูลค่ำจำกข้ำวกล้องธรรมดำ มำเป็นข้ำวกล้องงอกซ่ึงมีสรรพคุณเพ่ิมเติมในกำรมีกำบ้ำ ซ่ึงสำมำรถช่วยในกำร บำรุงสมอง โดยเห็นแนวทำงในกำรนำไปต่อยอดเพ่ือเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ตลอดจนภำยในชุมชน และเป็น แนวทำงหนงึ่ ในกำรถนอมอำหำร นอกจำกน้ียังได้เรียนรู้ในส่วนของกำรทำคันนำทองคำ ซึ่งเป็นกำรใช้พ้ืนที่คันนำให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน กำรเป็นแหล่งอำหำร และกำรเตรียมนำเพื่อทำนำอินทรีย์ ในด้ำนกำรย่อยตอซัง และกำรไถเพื่อเตรียมเพำะปลูก ตลอดจนเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ ซ่ึงเห็นว่ำสำมำรถนำไปปรับใช้ในครัวเรือน เป็นกำรเพิ่มรำยได้จำกกำรเพิ่มขึ้นของ ผลผลิตตอ่ ไร่ ได้ ฐำนฅนมีไฟ นำเสนอกิจกรรมกำรแลกเปล่ียเรียนรู้และสำธิตในส่วนของกำรใช้พลังงำนจำกแบตเตอร่ี ซ่ึง หำกใช้อย่ำงถูกต้อง และกำรชำร์ตไฟ ซ่ึงสำคัญที่จะต้องมีแบตข้ันต่ำท่ีเหลือเพ่ือให้แบตไม่ลดอำยุกำรใช้งำน รู้จัก แนวทำงในกำรคำนวณกำรใช้ไฟและคำ่ กำรแปลงไฟ ในกำรใชป้ ระกอบกับแต่ละชนิดของแบตเตอรี่

๖๘ นอกจำกน้ียังได้เรียนรู้กำรทำน้ำมันไบโอดีเซล จำกน้ำมันในครัวเรือนท่ีเหลือใช้ และสำมำรถนำมำเป็น เช้ือเพลิงสำหรับเคร่ืองยนต์ทำงกำรเกษตร กำรใช้เตำชีวมวลซึ่งสำมำรถเผำแกลบดิบ เป็นแกลบดำ เพ่ิมมูลค่ำ และ กำรใชโ้ ซล่ำเซลล์ท้ัง 3 ประเภท ได้แก่แบบ โมโน โพล่ี และครสิ ตัล นอกจำกนี้กลุ่มได้นำเสนอกิจกรรม ที่ได้มีกำรทบทวน และเรียนรู้ร่วมกันในด้ำนพลังงำนทดแทนซ่ึง ทำงกลุ่มเห็นว่ำมีควำมสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อกำรศึกษำเรียนรู้ ซ่ึงปัจจุบันได้มีควำมพยำยำมศึกษำ ค้นคว้ำ วิจัยและพัฒนำพลังงำนทดแทนในรูปแบบต่ำงๆ ให้สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ได้สะดวก และมี ประสิทธิภำพมำกข้ึน เพื่อช่วยประหยัดพลังงำน และช่วยลดค่ำใช้จ่ำย โดยต้ังอยู่บนพื้นฐำนของกำรพ่ึงพำ พลังงำนจำกแหล่งในท้องถ่ิน และภำยในประเทศ สำมำรถผลิตและใช้พลังงำนอย่ำงยั่งยืน ซ่ึงจะเป็นหนทำง หน่ึงที่ช่วยลดกำรทำลำยทรัพยำกรท่ีกำลังเกิดขึ้นอย่ำงมำกมำย และรุนแรงในปัจจุบัน ช่วยรักษำสมดุลย์ของ ธรรมชำติ อันเป็นภัยคุกคำมอย่ำงร้ำยแรงต่อโลก และมนุษยชำติ เชื่อว่ำพลังงำนทดแทนจะเป็นหนทำงหน่ึง ของกำรแกไ้ ขวกิ ฤตกำรณด์ ้ำนพลงั งำน และสิง่ แวดล้อมของโลกได้

๖๙ แบบสรปุ ผลกำรประเมนิ รำยวชิ ำฯ วิชำ แบ่งกลุม่ ฝึกปฏบิ ัติฐำนกำรเรยี นรู้ ช่ือวิทยำกร นำยณฐั นชิ รักขติวงศ์ และทมี วทิ ยำกร, ครพู ำทำ ศพช.ลำปำง สว่ นที่ ๑ ควำมคดิ เห็นเก่ียวกับเนือ้ หำวชิ ำ หวั ขอ้ มำกท่สี ดุ ระดับควำมคิดเหน็ น้อยทีส่ ดุ ค่ำเฉล่ยี กำร แปลผล มำก ปำนกลำง น้อย ๑.กำรบรรลวุ ัตถุประสงคข์ องรำยวชิ ำ 179 128 19 0 0 4.49 มำก (54.1%) (38.7%) (5.7%) (๐.0%) (0.0%) ๒.ควำมชดั เจนของเนอ้ื หำวชิ ำ 183 130 12 2 0 4.51 มำก (55.3%) (39.3%) (3.6%) (0.6%) (0.0%) ทส่ี ุด ๓.ควำมรู้ ทกั ษะ ที่ได้รบั เพ่ิมเติมจำก 181 134 12 0 0 4.51 มำก วิชำนี้ (54.7%) (40.5%) (3.6%) (0.0%) (๐.0%) ที่สุด ๔.ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ 176 138 12 0 0 4.50 มำก (53.2%) (41.7%) (3.6%) (0.0%) (0.0%) ภำพรวม 4.50 มำก จำกตำรำงท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 327 คน แสดงควำมคิดเห็นเก่ียวกับเน้ือหำวิชำแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติฐำน กำรเรียนรู้ โดยภำพรวมอยู่ในระดับ มำก ค่ำเฉลี่ย 4.50 โดยแยกพิจำรณำได้ ดงั นี้ 1. กำรบรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องรำยวชิ ำ ระดับมำก คำ่ เฉลีย่ 4.49 2. ควำมชดั เจนของเน้อื หำวชิ ำ ระดับมำกท่สี ุด ค่ำเฉลย่ี 4.51 3. ควำมรู้ ทกั ษะ ทไ่ี ดร้ บั เพ่ิมเติมจำกวิชำนี้ ระดบั มำกทสี่ ุด คำ่ เฉล่ยี 4.51 4. ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ระดับมำก คำ่ เฉลยี่ 4.50 สว่ นท่ี ๒ ควำมพงึ พอใจต่อวิทยำกร หัวข้อ มำกท่ีสุด ระดับควำมพึงพอใจ นอ้ ยทีส่ ุด ค่ำเฉล่ีย กำร แปลผล มำก ปำนกลำง นอ้ ย ๑.ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอด/ 182 136 10 1 0 4.51 มำก บรรยำย (55%) (41.1%) (3%) (๐.3%) (0.0%) ทส่ี ุด ๒.เทคนคิ และวิธีกำรที่ใช้ในกำรถ่ำยทอด 189 127 12 1 0 4.53 มำก ควำมรู้ (57.1%) (38.4%) (3.6%) (0.3%) (0.0%) ที่สุด ๓.กำรเปดิ โอกำสให้ซักถำม แสดงควำม 177 138 10 1 0 4.50 มำก (3%) (๐.3%) (๐.0%) คดิ เห็น (53.5%) (41.7%) ๔.กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรยี นรู้ 185 127 14 0 1 4.51 มำก (55.9%) (38.4%) (4.2%) (0.0%) (๐.3%) ท่ีสุด ๕.บุคลกิ ภำพ (กำรแตง่ กำย ทำ่ ทำง 178 132 15 1 0 4.49 มำก น้ำเสียง ฯลฯ) (53.8%) (39.9%) (4.5%) (๐.3%) (๐.๐%) ภำพรวม ๔.51 มำก ทสี่ ดุ

๗๐ จำกตำรำงที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 327 คน แสดงควำมพึงพอใจต่อวิทยำกรในวิชำ แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติฐำน กำรเรียนรู้ โดยภำพรวมอยใู่ นระดับ มำกท่ีสุด ค่ำเฉลีย่ 4.51 โดยแยกพิจำรณำเป็นรำยประเดน็ ไดด้ ังน้ี 1. ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอด/บรรยำย ระดบั มำกท่สี ดุ คำ่ เฉลี่ย 4.51 2. เทคนิคและวิธกี ำรทใี่ ชใ้ นกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ ระดับมำกทีส่ ดุ คำ่ เฉลยี่ 4.53 3. กำรเปิดโอกำสให้ซกั ถำม แสดงควำมคิดเห็น ระดับมำก คำ่ เฉลี่ย 4.50 4. กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรยี นรู้ ระดับมำก ค่ำเฉลย่ี 4.51 5. บคุ ลกิ ภำพ (กำรแตง่ กำย ท่ำทำง นำ้ เสียง ฯลฯ) ระดบั มำก คำ่ เฉลี่ย 4.49 สิ่งทที่ ่ำนประทับใจในวทิ ยำกรท่ำนน้ีคอื - กำรใหค้ วำมรู้ - ทุกท่ำนใจดี มีควำมต้งั ใจในกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ - อธบิ ำยไดด้ เี ข้ำใจงำ่ ย - วทิ ยำกรทกุ ท่ำนทมุ่ เทกบั งำนและกำรบรรยำยดีทกุ คนเลย - ทำให้เรียนรูป้ ฏบิ ัติได้ - สนกุ และได้เรียนรูส้ ง่ิ ตำ่ ง ๆได้ดี - ให้ฝกึ จริง จึงเรียนร้ไู ดด้ ี - แผนกำรนำเสนอกำรจัดกิจกรรมได้เหมำะสมและสมควรต่อกำรอบรมโปรแกรมโมเดล - วทิ ยำกรมีวิสยั ทศั นท์ ่ดี ีค่ะ - ให้ควำมรู้แก่พวกเขำดมี ำก - เก่ง สอนได้ดี สิง่ ทีว่ ทิ ยำกรควรปรับปรงุ คอื - ระยะเวลำ - อยำกใหม้ ีเวลำฝึกปฏบิ ตั นิ ำนกวำ่ นี้ ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม อื่น ๆ - เวลำทฐ่ี ำนสุดท้ำยไมเ่ พียงพอทำให้อำจจะได้รบั ควำมรูไ้ ปไมต่ รงกบั วัตถุประสงค์ - เป็นวิชำที่ได้ควำมรู้และสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีแต่ให้เวลำในกำรเรียนรู้ในแต่ละฐำนน้อย เกนิ ไปควรปรบั ปรงุ ด้ำนเวลำกำรเรยี นรใู้ หเ้ หมำะสมเพยี งพอ

๗๑ 8. วชิ ำ ถอดบทเรยี นผำ่ นสอื่ “วถิ ภี มู ปิ ญั ญำไทยกบั กำรพ่งึ ตนเองในภำวะวกิ ฤต” วทิ ยำกรหลกั วำ่ ที่ ร.ต.ชัยณรงค์ บัวคำ นกั ทรพั ยำกรบคุ คล วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ สรำ้ งแรงบนั ดำลใจสู่กำรเปลยี่ นแนวคิดตำมวถิ ีภมู ปิ ัญญำไทยกบั กำรพึ่งตนเอง 2. เพอ่ื สร้ำงควำมตระหนกั ถงึ ควำมสำคญั ของกำรน้อมนำหลกั ปรชั ญำเศรษฐกจิ พอเพยี ง และศำสตร์ พระรำชำไปประยุกตใ์ ช้ในกำรดำรงชีวิต 3. เพอื่ ใหผ้ ู้อบรมไดส้ ังเครำะหค์ วำมรู้ทไี่ ด้รบั จำกสื่อ ระยะเวลำ 2 ช่ัวโมง ขอบเขตเน้ือหำ - สรำ้ งแรงบันดำลใจสูก่ ำรเปลีย่ นแนวคดิ - กำรนำวิธภี มู ิปัญญำไทยมำปรับใชก้ ับกำรพงึ่ ตนเองในกำรดำรงชีวิต ขัน้ ตอน/กำรดำเนนิ กำร 1. วิทยำกรชวนพูดคุย สร้ำงบรรยำกำศใน กำรเรียนรู้ และเชิญชวนดูส่ือวิดิทัศน์ของ “นำยเลี่ยม บุตรจันทรำ” เกษตรกรบ้ำนนำอีสำน จังหวัด ฉะเชิงเทรำ ควำมยำว 15 นำที โดยในสื่อ วิดีทัศน์ ดงั กล่ำว มีเนื้อหำสรุปได้ดังน้ี พ่อเล่ียม บุตรจันทรำ เป็นปรำชญ์ชำวบ้ำน ภูมิปัญญำชำวบ้ำน เป็นเกษตรกรนักคิด นักปฏิบัติ และเป็นวิทยำกรบรรยำยให้ควำมรู้ กับประชำชน ผู้ท่ี สนใจใฝ่รู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มแรกเกิดจำกกำรท่ีตนเองได้ไปอบรม และมีวิทยำกรได้เล่ำประสบกำรณ์ พร้อมแนวคิดเชิงดูถูกวำ่ เกษตรกรไม่รจู้ ักตนเอง ซึ่งตนเองก็คิดอยู่ในใจ ว่ำไม่รู้จักได้อย่ำงไร เรำก็คือ นำยเลย่ี ม บตุ รจันทรำ 3 วนั เมำ 4 วนั เมำ และวิทยำกรยงั บอกอีกวำ่ “ถำ้ อยำกรจู้ ักตนเองให้มำกกว่ำนี้” ใหล้ องทำบัญชี ครัวเรือนดู เมื่อตนเองกลับมำบ้ำน จึงเริ่มทำบัญชีครวั เรือนดู โดยขอสมุดจำกลูกชำยมำจดบันทึกบัญชี ทำกำร บันทกึ งำ่ ยๆ ดว้ ยกำรตีตำรำง 3 ชอ่ ง ช่องที่ 1 คอื วนั เดอื นปที ่ซี ้ือ ชอ่ งที่ 2 รำยกำรท่ีซ้ือ และชอ่ งที่ 3 จำนวน เงินท่ีจ่ำย โดยตีตำรำงแยกออกเป็น 3 แผ่น แล้วเขียนชื่อแผ่นแรก ของนำยเล่ียม ของบุตรท้ัง 2 คน และของ ยำยตุ๋ย (ภรรยำ) เม่ือเริ่มทำเกือบจะไม่ได้ทำต่อ เพรำะถำม ลูกชำยว่ำแม่ให้เงินไปโรงเรียนใช้จ่ำยอะไรบ้ำง และถำม ภรรยำว่ำใช้จ่ำยอะไรบ้ำง แต่ก็โดนด่ำหำว่ำไม่ไว้ใจ ก็ถำม คำ่ ใช้จำ่ ยภรรยำเรอ่ื ยมำ จนภรรยำเลิกด่ำ เนอ่ื งจำกพอ่ เลี่ยม ถำมทุกวันและลงบัญชีทุกวันด้วยควำมเพียร ปลำยปี พ.ศ. 2539 ได้สรุปบัญชีรับ-จ่ำยในครัวเรือน ก็เรียกภรรยำ พร้อมลูกชำยท้ัง 2 มำนั่งคุยกันและนั่งดูรำยจ่ำยของตนเอง ปรำกฏว่ำมีแต่ค่ำอบำยมุข 60,000 กว่ำบำท กลับกันเมื่อหันมำดูรำยจ่ำยของภรรยำ มีแต่รำยจ่ำยซื้อของกนิ ของใช้ในครอบครัว 29,000 บำท พอภรรยำเห็นบญั ชหี ันมำบอกว่ำ “รำยจ่ำยตนเอง 29,000 บำท ไดใ้ ชอ้ ยู่

๗๒ ใช้กันกันไดท้ ้ังครอบครัว แต่ของพอ่ เลย่ี ม เสยี เงนิ ไปกบั อบำยมขุ ไม่สร้ำงประโยชนอ์ ะไรกบั ครอบครวั ” จนเกิด กำรทะเลำะถงึ ขัน้ จะเลกิ รำกนั จึงหนั ไปถำมลูกชำย 2 คน วำ่ ลกู จะเลือกอยกู่ ับใครระหวำ่ งพอ่ กบั แม่ ลกู ชำยทั้ง 2 ตอบเหมือนกันว่ำเลือกอยู่กับแม่ เมื่อได้ยินคำตอบของลูกชำยท้ัง 2 ก็เร่ิมคิดทบทวนตัวเองว่ำทำไมลูกถึง เลือกอยกู่ ับแม่ สุดท้ำยเลยตดั สินใจเลกิ อบำยมขุ ท้ังหมด จำกนั้นก็ได้มำทำบัญชีรับ-จ่ำย ในกำรทำไร่ของตนเอง เห็นว่ำรำยได้สุทธิเพียง 3 หมื่นบำท ซึ่งคิด คำนวณดูแล้วหำกจะนำเงินมำซ้ือกินใช้ในครอบครวั คงไมพ่ อแน่ ในปี พ.ศ. 2540 จึงบอกกับคนในครอบครัว ตัดสินใจจะปลูกทุกอย่ำงท่ีกิน และกินทุกอย่ำงที่ ปลูกในพ้ืนที่ของตนเอง จะไม่เอำเงินไปซ้ือกินอีก ต่อไป ภรรยำจึงถำมว่ำ “ถ้ำไม่ทำไร่ จะทำอะไร” พอ่ เลย่ี มจึงนำบญั ชรี ำยจำ่ ยของภรรยำ มำ กำงดจู งึ เหน็ ว่ำรำยจ่ำยบำงอยำ่ งเรำผลติ ใช้เองได้ ไม่ ต้องไปซื้อจำกภำยนอก พ่อเลี่ยมจึงเอำรำยจ่ำยของ ภรรยำ มำวำงแผนปฏิบัติ โดยยึดคำที่ว่ำ “รำยจำ่ ย ของเมีย คือลำยแทงชีวิต” จำกน้ันได้แยกรำยจ่ำย ในบ้ำนออกเป็น 2 หมวด คือ หมวดที่ 1 ซื้อของท่ี จำเป็น 25% และหมวดที่ 2 ซ้ือของท่ีต้องกำร 75% รวมแล้ว 100% ซึ่งในเกือบ 100% น้ัน เรำสำมำรถ ผลติ ใช้เองได้ จงึ ศึกษำหำข้อมูลทำเองใชเ้ องในครัวเรือนอยู่ 3 เดอื น พรอ้ มปลูกพชื ผกั ไปด้วย จำกนั้นจึงเกิด “บ้ำนสวนออนซอน” เป็นสวนแห่งควำมภำคภูมิใจ ท่ีพ่อเล่ียมและภรรยำได้ร่วมกัน ปลูกผัก รดน้ำรวมกันมำ ในช่วงท่ีรัฐบำลได้กำหนดพักชำระหนี้ ได้ร่วมเก็บหอมรอบริบจนสำมำรถใช้หน้ีสินได้ ส่วนหน่ึง ซึ่งตนเองและภรรยำดีใจมำก ด้วยเหตุน้ีพ่อเลี่ยมจึงให้ภรรยำดูแลเงินท่ีหำมำได้ และจัดตั้งกองทุน จำนวน 5 กองทนุ คือ 1. กองทุนปลดหน้ี 2. กองทนุ ซ้อื เสอื้ ผ้ำ 3. กองทุนซ่อมแซมบำ้ น 4. กองทนุ ค่ำเลำ่ เรยี นลูก 5. กองทุนสุขภำพ หลังครบ 3 ปี ท่ีรัฐบำลพักชำระหน้ีให้ กองทุนต่ำง ๆ ที่ตั้งไว้ อำทิ กองทุนซ้ือเสื้อผ้ำไม่ได้ซ้ือ กองทุนซ่อมแซมบ้ำนไม่ได้ใช้ กองทุนสุขภำพไม่ได้ไปหำหมอ พ่อเล่ียมจึงยุบ 3 กองทุน มำรวมกับกองทุนปลดหน้ี จนได้เงินมำปลดหน้ี ทัง้ หมด และยังคงกองทุนค่ำเลำ่ เรยี นลกู กับกองทุนสุขภำพไว้ พ่อเล่ียม มีบุตรชำย 2 คน จบแพทย์แผนไทย และอีกคนจบเกษตร มหำวิทยำลัยแม่โจ้ ซึ่งบุตรท้ัง 2 มคี วำมรคู้ วำมเชยี่ วชำญเดนิ ตำมรอยของบดิ ำตนเอง กลบั มำพัฒนำบ้ำนสวนออนซอน ในปี พ.ศ. 2542 พ่อเลี่ยมได้พูดคุยกับภรรยำ หำกแก่ตัวลงหำบน้ำไม่ไหวเรำจะทำอย่ำงไรต่อไป จน นึกถึงแนวคิดกำรปลูกป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง ที่ได้รับฟังจำก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขำธิกำรมูลนิธิ ชัยพัฒนำ คุณวิบูลย์ เข็มเฉลิม ปรำชญ์ชำวบ้ำนจังหวัดฉะเชิงเทรำ และ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ศูนย์กสิกรรม

๗๓ ธรรมชำติมำบเอื้อง จ.ชลบุรี ซึ่งตอนแรกตนเองก็ยังไม่รู้เข้ำใจ มำกนัก แต่ก็ได้วำงแผนชีวิตไว้ 3 ช่วง คือ ปัจจุบัน อนำคต และก่อนตำย จำกน้ันได้มำศึกษำรำยละเอียดกำรปลูกป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง จึงเกิดควำมสนใจ และปลูกป่ำ ตำมควำมเขำ้ ใจของตนเอง คือ 1. ป่ำท่ีมีควำมหลำกหลำย คือ ป่ำที่ปลูกต้นไม้ท่ีกิน ไดท้ กุ ชนิด เพอ่ื เปน็ แหลง่ อำหำรท่หี ลำกหลำย 2. ป่ำบำนำญ (ให้ควำมสำคัญตอนแก่ชรำ) คือ ปลูกต้นไม้ท่ีมีมูลค่ำ ซึ่งปัจจุบันตนเองปลูกไว้ รวม 5,000 ต้น ได้แก่ มะค่ำ ยำงนำ ตะเคียน มะฮอกกะนี และพะยูง (อย่ำงละ 1,000 ต้น) ซ่ึงกำรปลูกไม้เช่นน้ี พ่อเลี่ยมได้กล่ำวว่ำ “ตั้งแต่เกิดมำจนปัจจุบัน ยังไม่เคยเห็นต้นไม้รำคำตกต่ำ มีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ” ซึ่ง ตนเองคิดไว้คร่ำวๆ มะค่ำ ยำงนำ ตะเคียน มะฮอกกะนี หำกปลูกได้โตเต็มที่แล้ว ตนเองคิดต้นละ 10,000 บำท สว่ นต้นพะยงู ตนเองคิดตน้ ละ 100,000 บำท 3. ปำ่ โตเร็ว (ไม้โตเรว็ 2 ปี กินได้) คือ กระถนิ ยักษ์ กระถนิ เทพำ โตไดไ้ วกินได้ จำกกำรท่ีนำศำสตร์พระรำชำ เศรษฐกิจพอเพียงมำใช้ในกำรดำรงชีวิต ปัญหำต่ำง ๆ ได้แก่ หนี้ ทะเลำะในครอบครวั และสขุ ภำพ ได้หำยไป ซึ่งกำรดำเนนิ ชีวติ ของพอ่ เลี่ยมก็อยูใ่ น 3 หว่ ง 2 เง่อื นไข กลำ่ วคอื 3 ห่วง คอื ทำงสำยกลำง ประกอบไปด้วย ห่วงที่ 1 คือ พอประมำณ หมำยถึง พอประมำณในทุกอย่ำง ควำมพอดีไม่มำกหรือว่ำ น้อยจนเกินไปโดยต้องไม่ ห่วงท่ี 2 คือ มีเหตุผล หมำยถึง กำร ตั ด สิ น ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ร ะ ดั บ ข อ ง ค ว ำ ม พ อ เ พี ย ง น้ั น จะต้องเป็นไปอย่ำงมีเหตุผลโดยพิจำรณำจำกเหตุ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คำดว่ำจะ เกิดข้ึนจำกกำรกระทำนั้นๆ อย่ำงรอบคอบ เบยี ดเบยี นตนเอง หรอื ผ้อู ่ืนให้เดือดรอ้ น ห่วงท่ี 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมำยถึง กำรเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและกำร เปลี่ยนแปลงด้ำนกำรต่ำงๆ ทจ่ี ะเกิดขึ้นโดยคำนงึ ถึงควำมเป็นไปได้ของสถำนกำรณ์ตำ่ งๆ ที่คำดว่ำจะเกิดข้ึนใน อนำคตทงั้ ใกลแ้ ละไกล 2 เง่อื นไข ตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง ไดแ้ ก่ เงื่อนไขท่ี 1 เงื่อนไขควำมรู้ คือ มีควำม รอบรู้เก่ียวกับ วิชำกำรต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่ำงรอบ ด้ำน ควำมรอบคอบท่ีจะนำควำมรู้เหล่ำน้ันมำ พิจำรณำให้เชื่อมโยงกัน เพ่ือประกอบกำร วำงแผน และควำมระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรม

๗๔ ประกอบด้วย มีควำมตระหนักในคุณธรรม มีควำมซ่ือสัตย์สุจริต และมีควำมอดทน มีควำมเพียร ใช้สติปัญญำ ในกำรดำเนินชีวติ เงื่อนไขท่ี 2 เงอื่ นไขคณุ ธรรม คอื มีควำมตระหนักในคุณธรรม มคี วำมซ่ือสัตยส์ ุจรติ และมีควำมอดทน มีควำมเพยี ร ใช้สติปญั ญำในกำรดำเนินชวี ิต 2. หลักจำกดูสื่อวิดิทัศน์เสร็จ วิทยำกรได้ให้โจทย์ และมอบหมำยทุกกลุ่มสีร่วมกันแลกเปล่ียนควำม คิดเหน็ เปน็ เวลำ 15 นำที พร้อมเตรยี มผนู้ ำเสนอ กล่มุ ละ 5 นำที กลุ่มละ 1 คน 3. สดุ ทำ้ ยแตล่ ะกล่มุ สีรว่ มกนั แลกเปลย่ี นควำมคิดเหน็ และนำเสนอ สรุปผลได้ดงั น้ี รนุ่ ท่ี 1 บำ้ นแกงโฮะ๊ โมเดล ๑. ทำ่ นไดเ้ รยี นรอู้ ะไรจำกส่อื ดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร 1. กำรใชช้ วี ติ ใหพ้ อดี 1. รจู้ ักควำมเพียรพยำยำม 2. รจู้ กั ควำมพออยู่ พอกิน 2. ไมเ่ ปน็ หน้ี 3. กำรทำรำยรับ-จ่ำย 3. ไม่ทะเลำะกัน วำงแผนกำรดำเนินชีวิต ใช้หลัก “โอง่ ชีวิต” 4. มีกำรวำงแผนครอบครวั ใหม้ ีควำมสุข

๗๕ บำ้ นรม่ เยน็ ๑. ทำ่ นไดเ้ รยี นรู้อะไรจำกสื่อดังกลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ช้อยำ่ งไร 1. เปล่ียนมุมมองกำรใชช้ ีวติ 1. ค้นหำตวั เอง เพื่อปรับเปล่ียนตนเอง 2. วำงแผนกำรใช้จ่ำยในครัวเรือนโดยแยกเปน็ 2. วำงแผนกำรใชจ้ ่ำย กำรทำบญั ชคี รวั เรอื น รำยบคุ คล และนำขอ้ มลู ท่ีได้นำมำวเิ ครำะห์ปรบั ปรงุ วำงแผน 3. มีกำรปลูกทุกอยำ่ งทีก่ นิ กินทกุ อย่ำงทป่ี ลกู เพื่อ ลดค่ำใชจ้ ่ำยในครัวเรือน บำ้ นหนงึ่ ฝนั ๑. ทำ่ นได้เรยี นรอู้ ะไรจำกสอื่ ดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ช้อยำ่ งไร 1. ไม่ปลกู แล้วขำยเพ่ือไปใช้ซ้ือกนิ 1. ควำมซือ่ สัตย์ 2. อดทน ขยัน ใจเย็น ประหยัด 2. รู้จกั ตวั ตน 3. มีควำมเพยี ร 3. รักครอบครัว 4. รู้จักใชช้ วี ติ ใหพ้ อดีกับท่ีเป็นอยู่ บำ้ นโคกพฒั นำ

๗๖ ๑. ทำ่ นได้เรยี นรอู้ ะไรจำกสอื่ ดังกลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร 1. ร้จู ักตนเองพร้อมทจ่ี ะเปลี่ยนตนเอง 1. ใชศ้ ำสตร์พระรำชำ สคู่ วำมพอดี ทำชวี ิตเปน็ สขุ 2. กำรบริหำรจัดกำรในครอบครวั (รำยรับ-จำ่ ย) 2. สำมำรถวำงแผนชีวิตในอนำคตได้ 3. ปลูกปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง 3. รูจ้ ักแก้ปญั หำใหถ้ ูกจุด 4. ธนำคำรต้นไม้ 4. สร้ำงครอบครวั ให้มคี วำมสุข อยู่อย่ำงมคี ุณคำ่ ใช้ ศำสตรพ์ ระรำชำ นำชีวติ พอเพียง บำ้ นโคกสวรรค์ รนุ่ ที่ 2 ๑. ทำ่ นไดเ้ รยี นรอู้ ะไรจำกส่ือดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร - ภมู ิหลัง ของพ่อเลย่ี ม (รู้จกั ตนเอง) - นำไปใช้กบั ตนเองและครอบครวั รวมถงึ ผู้อน่ื โดย - กำรวำงแผนดำเนนิ ชีวิต (ทำบญั ชรี ับ-จำ่ ย ไม่หวงควำมรแู้ ละไมป่ ิดก้นั ครอบครัว) - นำศำสตร์พระรำชำท่พี ่อเลย่ี มปฏบิ ัติมำ ไป - ปญั หำอุปสรรค และกำรแก้ไขปัญหำของพ่อเล่ยี ม ประยุกต์ใช้ บำ้ นหรรษำ ๑. ทำ่ นได้เรยี นรู้อะไรจำกสื่อดังกลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ช้อยำ่ งไร - กำรทำบญั ชีครัวเรอื น - กลับไปทำรำยรับ-รำยจ่ำย - อำศัยควำมเพยี ร - ลดรำยจำ่ ยเพมิ่ รำยได้ - 3 ห่วง 2 เง่อื นไข

๗๗ บำ้ นสขุ ใจ ๑. ทำ่ นได้เรยี นรอู้ ะไรจำกส่ือดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ช้อยำ่ งไร - กำรทำบัญชีครัวเรอื น - ตนเอง - กำรวำงแผนกำรดำเนนิ ชวี ิต - ชมุ ชน ในดำ้ นปัจจยั 4 คอื หนี้สนิ ทะเลำะวิวำท 1. อำหำร สุขภำพ 2. ทอ่ี ยอู่ ำศัย - ปลูกปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง 3. เคร่อื งนงุ่ ห่ม 4. ยำรักษำโรค บำ้ นพฒั นำสำมคั คี ๑. ทำ่ นได้เรยี นรอู้ ะไรจำกส่ือดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร - กำรดำเนนิ ชวี ิตท่ีเรียบง่ำย - นำไปใชก้ ับตนเองและครอบครวั - เรยี นรวู้ ิธกี ำรแกป้ ัญหำจำกควำมผดิ พลำดทผ่ี ำ่ นมำ - มกี ำรวำงแผนกำรดำเนนิ ชวี ิตใหม่ - นำหลกั ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำประยกุ ตใ์ ช้ใน ชวี ติ จนประสบควำมสำเร็จ

๗๘ รนุ่ ที่ 3 บำ้ นเรำชนะ ๑. ทำ่ นไดเ้ รยี นร้อู ะไรจำกสื่อดังกลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร - กำรจดบันทึกรำยจ่ำยในครอบครัว - จดั ทำบัญชีครัวเรือน - ควำมเปน็ อยอู่ ย่ำงพอดี มเี หตุผล พอประมำณ - ปลูกปำ่ ไม้ท่ีหลำกหลำย ดำเนนิ ชวี ิตถูกทำง - ใช้ชวี ิตอยำ่ งพอเพียง - ควำมอดทน รจู้ กั เปลยี่ นแปลงตวั เองเพื่อคนในครอบครวั บำ้ นโคกเจรญิ ๑. ทำ่ นได้เรยี นรู้อะไรจำกสอ่ื ดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร - กำรทำบญั ชใี นครวั เรอื น - จัดทำบัญชีครัวเรือน รำยรบั -รำยจ่ำย - ปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมของตนเอง - กำรลด ละ เลิก อบำยมุขตำ่ งๆ เช่น สุรำ บุหร่ี - วำงแผนชวี ิตโดยใช้หลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพยี ง - รจู้ ักกำรวำงแผนชีวติ - กำรปลกู ปำ่ บำนำญ - รู้จักกำรปลูกป่ำ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง บำ้ นเกษตรสมบรู ณ์

๗๙ ๑. ทำ่ นได้เรยี นร้อู ะไรจำกสื่อดังกลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ช้อยำ่ งไร - กำรทำบญั ชีรำยรับ-รำยจำ่ ย - ทำบัญชีรบั -จำ่ ยในครัวเรือน - ลำดับควำมสำคัญ ระหวำ่ งควำมจำเป็น หรอื ควำม - ทำอะไรให้พอดีกบั ตนเอง ตอ้ งกำร - ปลูกปำ่ ปลูกพชื หลำกหลำยชนิด - วำงแผนอนำคตดว้ ยกำรปลูกปำ่ - กำรใช้ชวี ิตให้พอดีกับฐำนะควำมเปน็ อยู่ - เลิกอบำยมุข บำ้ นรวมใจ ๑. ทำ่ นไดเ้ รยี นรู้อะไรจำกสื่อดงั กลำ่ ว ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ตใ์ ชอ้ ยำ่ งไร - กำรทำบัญชีครัวเรอื น - กำรจดั ทำบญั ชีครัวเรอื น - กำรวำงแผนกำรปลูกต้นไม้ - กำรวำงแผนดำ้ นสุขภำพ - ควำมรบั ผดิ ชอบ - ด้ำนควำมเพียรควำมอดทน - กองทุนครอบครัว - กำรเปลีย่ นแปลงตนเอง สรปุ ผลกำรเรยี นรู้ จำกกำรดูส่ือวิดีทัศน์ของ พ่อเลี่ยม บุตรจันทรำ เกษตรกรบ้ำนนำอีสำน จังหวัดฉะเชิงเทรำ ผู้เข้ำอบรมได้เรียนรู้ ร่วมกันแลกเปลี่ยน มีแนวควำมคิดท่ีจะนำแนวทำงของพ่อเล่ียม ไม่ว่ำจะเป็นกำรนำ ศำสตร์พระรำชำ ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง กำรทำบัญชีครัวเรือน กำรวำงแผนชีวิต กำรปลูกป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง ไปประยุกต์ใช้ในกำรดำเนินชีวิต กำรสร้ำงควำมมั่นคง สมำรถพ่ึงพำตนเองให้ได้มำกที่สุด เพม่ิ รำยรับ ลดรำยจ่ำย ไม่เบียดเบยี นผอู้ ื่น โดยมหี ลักคดิ จำกสอ่ื ใน 4 เร่อื ง คือ 1. รจู้ กั ตนเอง (ทำอะไร มีหนำ้ ท่ี อำชีพอะไร) 2. รู้จักปญั หำของตัวเอง (กอ่ หนสี้ นิ ) 3. รจู้ กั ทรัพยำกรท่ตี นเองมีอยู่ (ทด่ี ิน นำ้ ) 4. รจู้ ักกำรใชท้ รัพยำกร (ศึกษำ ค้นคว้ำเพ่ิมเติม) และเมอื่ ทกุ คนรจู้ กั “พอ” ชีวติ จะมีควำมสขุ มีอำหำรปลอดภัยและสร้ำงรำยไดใ้ หก้ ับตนเอง

๘๐ แบบสรปุ ผลกำรประเมนิ รำยวชิ ำฯ วชิ ำ ถอดบทเรียนผ่ำนส่อื วถิ ีภมู ิปญั ญำไทย กับกำรพง่ึ ตนเองในภำวะวิกฤติ ช่อื วิทยำกร วำ่ ท่ี ร.ต.ชยั ณรงค์ บัวคำ นกั ทรัพยำกรบคุ คล สว่ นที่ ๑ ควำมคิดเห็นเกยี่ วกบั เน้อื หำวิชำ หวั ข้อ ระดับควำมคิดเห็น ค่ำเฉล่ยี กำร 4.47 แปลผล ๑.กำรบรรลุวัตถุประสงค์ของรำยวิชำ มำกทส่ี ดุ มำก ปำนกลำง น้อย น้อยทีส่ ุด มำก 175 129 21 0 0 (52.9%) (0.0%) (39%) (6.3%) (๐.0%) ๒.ควำมชดั เจนของเนอ้ื หำวชิ ำ 182 123 19 0 1 4.49 มำก (55%) (37.2%) (5.7%) (0.0%) (0.3%) ๓.ควำมรู้ ทกั ษะ ทไี่ ด้รบั เพ่ิมเติมจำก 178 128 18 1 0 4.48 มำก วชิ ำน้ี (53.8%) (38.7%) (5.4%) (0.3%) (๐.0%) ๔.ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ต์ใช้ 176 128 19 0 0 4.48 มำก (53.2%) (38.7%) (5.7%) (0.0%) (0.0%) ภำพรวม 4.48 มำก จำกตำรำงที่ ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 327 คน แสดงควำมคิดเห็นเก่ียวกับเน้ือหำวิชำถอดบทเรียนผ่ำนสอื่ วิถี ภมู ปิ ญั ญำไทย กบั กำรพึ่งตนเองในภำวะวิกฤติ โดยภำพรวมอยูใ่ นระดบั มำก ค่ำเฉลี่ย 4.48 โดยแยกพจิ ำรณำ ตำมลำดับควำมพึงพอใจได้ ดังนี้ 1. กำรบรรลุวตั ถุประสงค์ของรำยวชิ ำ ระดบั มำก คำ่ เฉล่ีย 4.47 2. ควำมชัดเจนของเนอ้ื หำวชิ ำ ระดับมำก ค่ำเฉลยี่ 4.49 3. ควำมรู้ ทักษะ ทีไ่ ดร้ บั เพิ่มเติมจำกวชิ ำน้ี ระดับมำก คำ่ เฉล่ีย 4.48 4. ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ระดับมำก คำ่ เฉลี่ย 4.48 สว่ นที่ ๒ ควำมพงึ พอใจต่อวิทยำกร หวั ข้อ ระดับควำมพึงพอใจ คำ่ เฉล่ยี กำร ๑.ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถำ่ ยทอด/ มำกทสี่ ุด มำก ปำนกลำง น้อย นอ้ ยทสี่ ดุ แปลผล บรรยำย ๒.เทคนิคและวิธีกำรทใ่ี ช้ในกำรถำ่ ยทอด 173 132 20 0 0 4.47 มำก ควำมรู้ (52.3%) (0.0%) (39.9%) (6%) (๐.0%) 179 (54.1%) 127 18 0 0 4.49 มำก (0.0%) (38.4%) (5.4%) (0.0%) ๓.กำรเปดิ โอกำสให้ซกั ถำม แสดงควำม 171 133 17 2 1 4.45 มำก คดิ เหน็ (51.7%) (40.2%) (5.1%) (0.6%) (๐.3%) ๔.กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ 173 130 19 1 0 4.47 มำก (52.3%) (39.3%) (5.7%) (0.3%) (๐.0%) ๕.บคุ ลิกภำพ (กำรแต่งกำย ทำ่ ทำง น้ำเสียง ฯลฯ) 172 123 26 0 0 4.45 มำก (52%) (37.2%) (7.9%) (0.0%) (๐.๐%) ภำพรวม ๔.46 มำก

๘๑ จำกตำรำงที่ 2 ผูต้ อบแบบประเมิน จำนวน 327 คน แสดงควำมพงึ พอใจตอ่ วทิ ยำกรในวชิ ำ ถอดบทเรยี นผำ่ นสอื่ วิถี ภูมิปญั ญำไทย กับกำรพ่งึ ตนเองในภำวะวิกฤติ โดยภำพรวมอยู่ในระดับ มำก ค่ำเฉลย่ี 4.46 โดยแยกพิจำรณำ เปน็ รำยประเดน็ ตำมลำดบั ไดด้ ังนี้ 1. ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอด/บรรยำย ระดบั มำก คำ่ เฉลย่ี 4.47 2. เทคนคิ และวธิ กี ำรทใี่ ช้ในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ระดับมำก คำ่ เฉล่ีย 4.49 3. กำรเปดิ โอกำสใหซ้ กั ถำม แสดงควำมคดิ เห็น ระดับมำก คำ่ เฉลย่ี 4.45 4. กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ ระดบั มำก ค่ำเฉลีย่ 4.47 5. บคุ ลิกภำพ (กำรแตง่ กำย ทำ่ ทำง นำ้ เสียง ฯลฯ) ระดบั มำก ค่ำเฉลย่ี 4.45 ส่งิ ท่ที ำ่ นประทับใจในวิทยำกรท่ำนนี้คอื - กำรให้ควำมรู้ชดั เจน - สนกุ - ลีลำกำรนำเสนอ - เรียนรู้สกู่ ำรปฏิบตั ไิ ด้ - ไม่เครียดเรยี นรู้อยำ่ งมคี วำมสุข - เหตกุ ำรณ์จริง - คำอธบิ ำยและเข้ำใจถึงกำรใช้วัตถดุ บิ ทรัพยำกรเคร่ืองมือในกำรปรบั ปรุงและพัฒนำได้อยำ่ งสมควร - บรรยำยได้ควำมรดู้ ี ส่งิ ทวี่ ทิ ยำกรควรปรับปรงุ คอื - ไมม่ ี ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ อ่นื ๆ - ไมม่ ี

๘๒ 9. วชิ ำ จิตอำสำพฒั นำ เอำม้อื สำมคั คี พฒั นำพน้ื ทต่ี ำมหลกั ทฤษฎีใหม่ วทิ ยำกรหลัก นำงสำวณัฐกฤตำ ชัยตมู นกั ทรพั ยำกรบุคคลปฏิบตั กิ ำร นำยชำญณรงค์ จิรขจรกุล นกั ทรพั ยำกรบุคคล วัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดกำรแลกเปล่ียนแรงงำน เอำม้ือสำมัคคี และเป็นกำรแลกเปล่ียนองค์ควำมรู้ในด้ำนกำร พัฒนำพ้ืนท่ีตำมหลักทฤษฎีใหม่ โดยประชำชนส่วนใหญ่มักรู้จักในชื่อ กิจกรรมกำร “ลงแขก”หรือ “เอำแรง” ซง่ึ เปน็ วัฒนธรรมชุมชนที่อย่คู ู่กับสังคมไทยมำอยำ่ งช้ำนำน โดยในชว่ งหลงั มำน้นี อกจำกจะเป็นกำรแลกเปล่ียน ในด้ำนแรงงำนแลว้ ยงั ได้เน้นใหเ้ กิดกำรสรำ้ งควำมร้ทู ี่เหมำะสมกบั สภำพพื้นที่ ขอบเขตเน้อื หำวิชำ กำรทำกิจกรรมร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกันในกำรประยุกต์ใช้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง กำรพัฒนำพนื้ ที่ตำมหลักทฤษฎีใหม่ ระยะเวลำ 7 ชั่วโมง เทคนิค/วธิ กี ำร 1. กำรสำรวจพื้นท่ี 2. วำงแผนกำรดำเนินงำน 3. ลงมอื ปฏบิ ัตโิ ดยมกี ิจกรรมทดี่ ำเนินตำมบรบิ ทของพื้นที่ 4. สรุปบทเรียน นำเสนอ แลกเปล่ยี นเรียนรู้ซ่ึงกนั และกัน ขั้นตอน/กำรดำเนินกำร ช่วงที่หน่งึ วิทยำกรขอตัวแทนกลุ่มสลี ะ 3 ท่ำน คือ ผู้ใหญ่บ้ำน เจ้ำของแปลง 1 ไร่ จำนวน 1 ท่ำน และเจ้ำของ แปลง 3 ไร่ จำนวน 1 ท่ำน รวมเป็น 3 ท่ำน เพ่ือช้ีแจงใบงำนกิจกรรมกำรเอำมื้อสำมัคคี สำรวจพื้นท่ี รับผิดชอบ และวำงแผนกำรดำเนินงำนของกลุ่มด้วยวิธี 5 ข้ันตอนครูพำทำ พร้อมอธิบำยกติกำและเกณฑ์ คะแนนกำรตรวจแปลงจำกคณะกรรมกำรพร้อมกำรตรวจเช็ควัสดุอุปกรณ์เบ้ืองต้น เพ่ือที่จะให้ตัวแทนทั้งสำม ทำ่ นเตรียมกำรประชมุ กลมุ่ ของตนเองในกำรวำงแผนกิจกรรมเอำม้ือในครง้ั นี้ พนื้ ทก่ี จิ กรรมกำรเอำมอื้ สำมคั คี รุ่นท่ี 1 - 3 พน้ื ท่ตี ้นแบบกำรพฒั นำคณุ ภำพชีวติ ตำมหลักทฤษฎใี หม่ 12 34 กจิ กรรม 1. ปรับแต่งคลองไสไ้ ก่ (หมู) 1.1 ซอ่ มผนัง 1.2 ปลูกแฝก รนุ่ ที่ 1

๘๓  C3 กจิ กรรม C1 1. ออกแบบแปลงปลกู พชื (A,B) 1.1 ขึ้นแปลงกวำ้ ง 1 ม. สงู 20 ซม. C2   1.2 ปลกู ดำวกระจำย  BA 1.3 ปลกู หอมแดง 1.4 ปลูกซอ่ มแฝก รุน่ ที่ 2 1.5 ปลกู ซ่อมชำอัสสมั 1.6 หม่ ดิน (แหง้ ชำม-นำ้ ชำม) ฐำนคนรักแมโ่ พสพ ๒. ปรับพื้นที่ (C) 1 23 4 2.1 ปรุงดนิ (นำปยุ๋ คอกมำผสมดิน) 2.2 ปลกู ดำวกระจำย รุ่นท่ี 3 2.3 ปลูกวำ่ นกำบหอย 2.4 ปลูกแฝกสลับฟนั ปลำ 2.5 หม่ ดิน (แหง้ ชำม-น้ำชำม) + c2 2.6 ซอ่ มผนังสระ + c3 กจิ กรรม 1. ปรับแปลงปลกู พชื 1.1 สร้ำงแปลงปลกู ไมเ้ ลอื้ ย 1.2 ปรงุ ดิน (นำปุ๋ยคอกมำผสมดิน) 1.3 หม่ ดิน (แหง้ ชำม-น้ำชำม) 1.4 ปลูกแฝก (ซ่อม) 1.4 สรำ้ งกำแพงปอ้ งกนั กำรพงั ทลำย *** กระบวนกำรทำกิจกรรมขั้นตอนตำม หลกั กสิกรรม หลกั กำรทำงำนแบบคนจน ใหย้ ดึ หลัก 3 ค  คึกคัก  คล่องแคล่ว  ครื้นเครง กตกิ ำกำรตรวจแปลง : คณะกรรมกำรตรวจแปลง ประกอบด้วย ตัวแทนกลมุ่ ละ 1 ท่ำน และ กรรมกำรกลำง 1 ท่ำน (ศูนย์ศึกษำและพัฒนำชุมชนลำปำง)  ตรวจแปลง เวลำ 10.45 น. พร้อมนำเสนอกิจกรรมที่ดำเนินกำรยึดหลัก 10 ข้ันตอนตำมหลัก กสิกรรมธรรมชำติ กลุม่ ละ 5-7 นำที  ปรับแก้ไขเพมิ่ เตมิ ตำมคำแนะนำ เวลำ 13.00 - 14.00 น.  สรุปผลกิจกรรมตำมประเดน็ เวลำ 14.00 – 15.00 น. 1. มีแผนกำรดำเนนิ งำนอย่ำงไร 2. ปญั หำ/อปุ สรรค & กำรแกไ้ ขปญั หำ 3. สิง่ ท่ไี ด้รบั จำกกิจกรรม

๘๔  นำเสนอสรปุ ผลกิจกรรมพรอ้ มขอ้ เสนอจำกคณะกรรมกำร เวลำ 15.00 – 17.00 น. ทำงตัวแทนจับฉลำกเพื่อเลือกพื้นท่ีในส่วนที่รับผิดชอบ สำรวจพื้นท่ีจริงเพ่ือทำกำรวำงแผน พร้อมตรวจเช็คอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับกิจกรรมเอำมื้อ และมีกำรประชุมชี้แจงภำรกิจให้ทำงสมำชิกภำยใน กลุ่มสีของตนเพื่อวำงแผนกำรดำเนินงำนด้วยวิธี 5 ข้ันตอนครูพำทำ ในวิชำจิตอำสำพัฒนำชุมชน เอำม้ือ สำมัคคีพัฒนำพื้นท่ีตำมหลักทฤษฎีใหม่ โครงกำรพัฒนำพ้ืนที่ต้นแบบกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตตำมหลักทฤษฎี ใหม่ ประยกุ ต์สู่โคก หนอง นำ โมเดล ชว่ งทสี่ อง วิทยำกรชวนพูดคุยสร้ำงบรรยำกำศ ทักทำยกลุ่มเป้ำหมำยอย่ำงเป็นกันเอง โดยมีกำรทบทวนเร่ือง โคก หนอง นำ เป็นเรื่องของกำรจัดกำรพื้นท่ีซึ่งเหมำะกับพื้นที่กำรเกษตร ซ่ึงเป็นผสมผสำนเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ำกับภูมิปัญญำพื้นบ้ำนที่อยู่อย่ำงสอดคลอ้ งกับธรรมชำตใิ นพ้ืนท่ีน้นั ๆ เป็นกำรให้ธรรมชำตจิ ัดกำรตัวมันเอง โดยมีมนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมให้มันสำเร็จเร็วข้ึนอย่ำงเป็นระบบ ซึ่งโคก หนอง นำ ซ่ึงเป็นแนวทำงทำเกษตร อินทรีย์และกำรสร้ำงชีวิตท่ียั่งยืนพร้อมรับชมคลิป “จุดเริ่มต้นกำรเอำมื้อสำมัคคี”และ “เกษตรทฤษฎีใหม่ ตอนท่ี 3 กำรเกบ็ น้ำด้วยโคก หนอง นำ โมเดล เพือ่ สรำ้ งควำมชัดเจนให้กบั ผู้เข้ำอบรมและหลกั กำรทำกจิ กรรม เอำม้ือสำมคั คี ในคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ - 10 ข้ันตอนกำรตรวจแปลงตำมหลักกสิกรรมธรรมชำติ 1. กำรจดั กำรกลมุ่ สำรวจพน้ื ที่ แบ่งหนำ้ ที่ แบ่งคน ควำมสำมัคคี 2. กำรเตรยี มดนิ ขดุ รอ่ งนำ้ +ฝำย 3. ปลูกป่ำ 5 ระดบั 4. ปลกู แฝก อนุรักษ์ดินและน้ำ 5. ปลกู ดอกไม้เพือ่ บรหิ ำรแมลง 7. กำรเลย้ี งดนิ ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรีย์ (แห้งชำม-น้ำชำม) 8. กำรท่องคำถำเล้ียงดนิ 5 ภำษำ 9. ศิลปะ ควำมสวยงำม เรียบรอ้ ยของแปลง 10. กำรจดั เกบ็ อุปกรณ์ ล้ำงทำควำมสะอำด จดั วำงให้เป็นระเบียบ - หลกั กำรทำงำนแบบคนจน ใหย้ ดึ หลัก 3 ค : คกึ คัก คล่องแคล่ว ครนื้ เครง เนน้ กำรวำงแผนกำรดำเนนิ งำนของกลมุ่ ด้วยวิธี 5 ขัน้ ตอนครพู ำทำ คือ 1. แบง่ คน แบ่งงำน 4. ประสำนงำน 2. ลงมือทำ 5. พลำธิกำร/สวสั ดิกำร 3. ตดิ ตำม

๘๕ ช่วงทสี่ ำม - ฝึกปฏิบัติทำกิจกรรมร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกัน ในกำรประยุกต์ใช้หลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนำ พ้นื ท่ีตำมหลักทฤษฎีใหม่ - กำรตรวจแปลงจำกกรรมกำรกลำง 1 ทำ่ นและทีม วิทยำกรศูนย์ศึกษำและพัฒนำชุมชนลำปำง เข้ำตรวจแปลง เบ้ืองต้นเพ่ือทรำบถึงกำรดำเนินงำน/กิจกรรม ของงำนที่ รับผิดชอบในแตล่ ะกลุ่มสีพรอ้ มให้คำแนะนำและปรบั แก้ตำม คำแนะนำของกรรมกำรกลำง - กำรตรวจแปลงจำกคณะกรรมกำรท้ัง 5 ทำ่ น (ตวั แทนสลี ะ 1 ทำ่ นและคณะกรรมกำรกลำง 1 ทำ่ น) พรอ้ มนำเสนอกิจกรรมท่ีดำเนนิ กำรยดึ หลกั 10 ข้ันตอนตำมหลกั กสกิ รรมธรรมชำติ - ปรับแก้ไขเพ่ิมเติมตำมคำแนะนำจำกคณะกรรมกำรและลำ้ งทำควำมสะอำด จัดเก็บอุปกรณ์ จัดวำง ให้เป็นระเบียบ

๘๖ ช่วงทสี่ ่ี มกี ำรชแี้ จงใหผ้ ู้เข้ำร่วมอบรมแต่ละกลุ่มให้สรปุ ผลกิจกรรมจำกกำรเอำมื้อสำมัคคีในครั้งนี้ตำมประเด็น ดังต่อไปน้ี 1. มแี ผนกำรดำเนินงำนอยำ่ งไร 2. ปัญหำ/อปุ สรรค & กำรแกไ้ ขปัญหำ 3. สง่ิ ท่ีได้รบั จำกกจิ กรรม โดยให้เวลำสรุปผลกิจกรรมตำมหัวข้อดังกล่ำว 30 นำทีพร้อมนำเสนอกลุ่มละ 7 -10 นำที ผลกำร สรปุ กจิ กรรมเอำมอ้ื สำมัคคใี นแตล่ ะกลุ่มตำมหวั ข้อที่กำหนดให้ 3 ประเด็น ดงั น้ี มแี ผนกำรดำเนินงำนอยำ่ งไร : - กำรวำงแผนจัดคนใหเ้ หมำะกับงำนตำมควำม ถนดั - แบง่ งำนใหเ้ ป็นหมวดหมู่ - ตรวจเชค็ อุปกรณก์ ่อนใช้ - มกี ำรชแ้ี จงรำยละเอียดใหท้ รำบกอ่ น - แบง่ หน้ำทก่ี ำรทำงำนทช่ี ดั เจน - สำรวจพ้นื ท่ีจริง - สรุปผลกำรดำเนินงำน ปญั หำ/อปุ สรรค & กำรแก้ไขปัญหำ : - สภำพดนิ แข็ง : ใสน่ ำ้ ไว้เพอื่ สร้ำงควำมช่มุ ช้ืน นุ่มขึน้ - เครื่องมือชำรดุ : ซอ่ มให้ใช้งำนเหมือนเดมิ - เคร่ืองมือไมเ่ พยี งพอ : แบง่ กันใช้ - ควำมคิดเห็นไมต่ รงกนั : แลกเปล่ียนควำมคดิ เห็นกนั - ขำดควำมชำนำญ : ฝึกปฏบิ ัติ ส่ิงทไ่ี ดร้ ับจำกกจิ กรรม : - เกิดควำมสำมัคคใี นหม่คู ณะ - ประสบกำรณต์ รงท่ีเกิดจำกกำรลงมือปฏิบตั ิ - เรยี นร้กู ำรแกป้ ญั หำเฉพำะหน้ำรว่ มกัน - ควำมภำคภมู ิใจ - ได้รับควำมรู้และประสบกำรณ์ที่สำมำรถนำไปปรับ ใช้ไดใ้ นครอบครัวและชุมชน - กำรมสี ่วนร่วม - กำรทำงำนอยำ่ งมีแบบแผน และเป็นระบบ - สำมำรถนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นครวั เรอื นและชุมชน

๘๗ ผลกำรเรยี นรู้ ผู้เข้ำอบรมส่วนใหญ่มีควำมสนใจในเนื้อหำวิชำเป็นอย่ำงมำก มีส่วนร่วมในกระบวนกำร และมีควำมต้ังใจในกำรเรียนรู้ ซึ่งจะเป็น เรือ่ งของหลักกสิกรรมธรรมชำตมิ ำแปลงสู่กำรปฏิบัติโดยมโี จทยใ์ ห้ทำง ผู้เข้ำอบรมได้มีกำรวำงแผนร่วมกันเพ่ือรองรับในกำรดำเนินโครงกำร/ กิจกรรมในพ้ืนท่ีต่อไป ทำงวิทยำกรมีกำรแจ้งผลคะแนนจำกกำรตรวจ แปลงของคณะกรรมกำรท้ัง 5 ท่ำนพร้อมมอบเมล็ดพันธุ์จำก ธนำคำรเมล็ดพันธ์ุศูนย์ศึกษำและพัฒนำชุมชนเป็นท่ีระลึกและสรุป อธิบำยเพ่ิมเติมพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบกำรณ์ซึ่งกันและกัน เนื่องจำกเป็นหัวข้อที่นำไปปรับใช้โดยตรงและเป็นประโยชน์ต่อกำร ทำงำนเป็นอย่ำงมำก

๘๘ แบบสรปุ ผลกำรประเมนิ รำยวชิ ำฯ วิชำ ฝกึ ปฏบิ ัติ จิตอำสำพฒั นำชมุ ชน เอำมือ้ สำมคั คี พัฒนำพ้นื ทีต่ ำมหลกั ทฤษฎใี หม่ ช่ือวิทยำกร นำงสำวณฐั กฤตำ ชัยตูม นักทรพั ยำกรบุคคลปฏบิ ตั กิ ำร นำยชำญณรงค์ จิรขจรกลุ นักทรพั ยำกรบุคคล สว่ นท่ี ๑ ควำมคิดเหน็ เก่ยี วกบั เนือ้ หำวิชำ หวั ขอ้ มำกทสี่ ดุ ระดับควำมคิดเห็น น้อยท่สี ุด ค่ำเฉลย่ี กำร แปลผล มำก ปำนกลำง น้อย ๑.กำรบรรลุวตั ถปุ ระสงคข์ องรำยวิชำ 205 114 16 1 0 4.55 มำก (60.8%) (33.8%) (4.7%) (0.3%) (0.0%) ที่สุด ๒.ควำมชดั เจนของเนอ้ื หำวชิ ำ 196 128 11 1 0 4.54 มำก (58.2%) (38%) (3.3%) (0.3%) (0.0%) ที่สดุ ๓.ควำมรู้ ทักษะ ท่ีไดร้ บั เพ่ิมเตมิ จำก 206 115 14 0 0 4.57 มำก วชิ ำน้ี (61.1%) (34.1%) (4.2%) (0.0%) (๐.0%) ทส่ี ุด ๔.ควำมสำมำรถนำไปประยุกตใ์ ช้ 208 114 13 0 0 4.58 มำก (61.7%) (33.8%) (3.9%) (0.0%) (0.0%) ที่สุด ภำพรวม 4.56 มำก ทสี่ ดุ จำกตำรำงที่ ๑ ผูต้ อบแบบประเมิน จำนวน 337 คน แสดงควำมคิดเห็นเก่ยี วกับเน้ือหำวิชำฝึกปฏิบตั ิ จิตอำสำพัฒนำ ชุมชน เอำมื้อสำมัคคี พัฒนำพ้ืนท่ีตำมหลักทฤษฎีใหม่ โดยภำพรวมอยู่ในระดับ มำก ค่ำเฉลี่ย 4.44 โดยแยก พิจำรณำตำมลำดับควำมพงึ พอใจได้ ดงั นี้ 1. กำรบรรลวุ ัตถุประสงคข์ องรำยวิชำ ระดับมำกทสี่ ดุ คำ่ เฉลีย่ 4.55 2. ควำมชัดเจนของเนอ้ื หำวชิ ำ ระดบั มำกท่ีสดุ ค่ำเฉลี่ย 4.54 3. ควำมรู้ ทักษะ ท่ไี ดร้ บั เพม่ิ เตมิ จำกวิชำนี้ ระดบั มำกที่สุด คำ่ เฉลี่ย 4.57 4. ควำมสำมำรถนำไปประยกุ ต์ใช้ ระดบั มำกทีส่ ดุ คำ่ เฉลี่ย 4.58 สว่ นที่ ๒ ควำมพงึ พอใจต่อวทิ ยำกร หวั ขอ้ ระดบั ควำมพึงพอใจ ค่ำเฉล่ีย กำร 4.57 แปลผล ๑.ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอด/ มำกทีส่ ดุ มำก ปำนกลำง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ดุ บรรยำย มำก 208 114 15 0 0 ท่สี ดุ (61.7%) (0.0%) (33.8%) (4.5%) (0.0%) ๒.เทคนคิ และวธิ ีกำรท่ีใช้ในกำรถ่ำยทอด 203 119 15 0 0 4.55 มำก ควำมรู้ (60.2%) (35.3%) (4.5%) (0.0%) (0.0%) ทีส่ ุด ๓.กำรเปดิ โอกำสให้ซักถำม แสดงควำม 199 119 18 1 0 4.53 มำก คดิ เหน็ (59.1%) (35.3%) (5.3%) (0.3%) (๐.0%) ทส่ี ุด ๔.กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรยี นรู้ 198 121 12 1 0 4.55 มำก (58.8%) (35.9%) (3.6%) (0.3%) (๐.0%) ที่สุด

๘๙ ๕.บุคลกิ ภำพ (กำรแต่งกำย ท่ำทำง 191 127 15 0 0 4.52 มำก น้ำเสียง ฯลฯ) (56.7%) (37.7%) (4.5%) (0.0%) (๐.๐%) ท่สี ดุ ภำพรวม 4.54 มำก จำกตำรำงที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 337 คน แสดงควำมพึงพอใจต่อวิทยำกรในวิชำฝึกปฏิบัติ จิตอำสำ พฒั นำชมุ ชน เอำม้อื สำมคั คี พัฒนำพ้นื ท่ีตำมหลกั ทฤษฎีใหม่ โดยภำพรวมอยใู่ นระดับ มำกทส่ี ุด คำ่ เฉลย่ี 4.54 โดยแยกพิจำรณำเปน็ รำยประเดน็ ตำมลำดับได้ดงั น้ี 1. ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรถำ่ ยทอด/บรรยำย ระดบั มำกท่สี ุด ค่ำเฉลยี่ 4.57 2. เทคนคิ และวธิ ีกำรที่ใช้ในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ระดับมำกท่ีสุด ค่ำเฉลีย่ 4.55 3. กำรเปดิ โอกำสให้ซักถำม แสดงควำมคิดเห็น ระดับมำกทส่ี ดุ ค่ำเฉลี่ย 4.53 4. กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำรเรยี นรู้ ระดับมำกที่สดุ ค่ำเฉลี่ย 4.55 5. บุคลกิ ภำพ (กำรแต่งกำย ท่ำทำง น้ำเสียง ฯลฯ) ระดับมำกท่ีสุด คำ่ เฉลย่ี 4.52 สง่ิ ทท่ี ำ่ นประทบั ใจในวทิ ยำกรทำ่ นนี้คอื - กำรใหค้ วำมรู้ ลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ - วทิ ยำกรสอนไม่ง่วง กระตุ้นผู้อบรมดี - วิทยำกรให้คำแนะนำทุกเรอ่ื ง ชดั เจน - อธบิ ำยเข้ำใจง่ำย มีกำรทวนซ้ำ - พูดเกง่ นำควำมรู้นำไปปรับใชใ้ นพน้ื ท่ีของตวั เอง - ให้คำแนะนำเป็นกนั เอง - แนวทำงอำจำรย์ยกั ษ์ - สร้ำงควำมสำมัคคี แกป้ ญั หำ - ดีทกุ คนพเ่ี ลี้ยงแต่ละวนั - กรยิ ำมำรยำทเรยี บร้อย - วิทยำกรใจดี สง่ิ ทว่ี ทิ ยำกรควรปรบั ปรุงคอื - เพ่ิมลลี ำ ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม อน่ื ๆ - จดั ในร่ม - สนกุ ดถี ้ำได้ออดพืน้ ท่ี - เข้มข้นดี

๙๐ 10. วิชำ กำรออกแบบเชงิ ภมู สิ งั คมไทยตำมหลกั กำรพฒั นำภมู ิสงั คมอยำ่ งยงั่ ยนื เพอ่ื กำรพง่ึ ตนเอง และรองรบั ภยั พบิ ตั ิ วทิ ยำกร นำยเกรยี งไกร สงิ หแ์ กว้ นกั ทรัพยำกรบุคคลชำนำญกำร วตั ถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในกำรออกแบบพื้นที่เชิงภูมิสังคมไทย ตำม หลกั กำรพัฒนำภูมสิ งั คมอย่ำงยั่งยนื เพื่อกำรพึง่ ตนเองและรองรบั ภยั พิบตั ิ “โคก หนอง นำ โมเดล” ระยะเวลำ จำนวน ๓ ช่วั โมง ขอบเขตเนื้อหำ 2.๑. กำรออกแบบเพอ่ื กำรสอ่ื สำร 2.๒. หลักกำรออกแบบโคก หนอง นำ โมเดลเบอื้ งตน้ 2.๒.๑ กำรวเิ ครำะควำมต้องกำรและองค์ประกอบของโครงกำร 2.2.๒ กำรคำนวณกำรจดั กำรนำ้ ฝนในพนื้ ที่ 2.๒.๓ กำรคำนวณเพือ่ จัดสรรพ้นื ท่ี 2.๒.๔ กำรวิเครำะหพ์ ้ืนที่ 2.๓ ชมส่อื วดี ที ศั น์กรณีศึกษำควำมสำเร็จ “โคก หนอง นำ โมเดล” 2.๔ แนวคดิ กำรออกแบบ และฝกึ ปฏิบัตกิ ำรเขียนแบบตำมหลกั “โคก หนอง นำ โมเดล” 2.๕ ฝึกปฏบิ ัติกำรเขียนแบบตำมหลกั “โคก หนอง นำ โมเดล” 2.๖ นำเสนอกำรออกแบบตำมหลกั “โคก หนอง นำ โมเดล” 2.7 เวทแี ลกเปล่ยี นเรียนรู้ เทคนคิ /วิธกี ำร บรรยำยประกอบสื่อ/ฝึกปฏิบตั ิ/นำเสนอผลกำรออดแบบ ข้นั ตอน/กำรดำเนนิ กำร 1 .วิทยำกรแนะนำตัวกับผู้เข้ำอบรม สร้ำงบรรยำกำศกำรเรียนรู้ด้วยกำรทักทำย ชวนคุยเล่ำถึง ประวตั ติ วั เอง 2. วทิ ยำกรตงั้ คำถำมทำไมตอ้ งมำออกแบบพนื้ ที่ จำเปน็ ไหม 3. วิทยำกรเล่ำถึงสถำนกำรณ์และวิกฤตของประเทศไทยพร้อมยกตัวอย่ำงเพื่อนำเข้ำสู่เนื้อหำกำร ออกแบบภูมิสังคมไทยตำมหลักกำรพัฒนำภูมิสังคมอย่ำงยั่งยืน เพื่อกำรพึ่งตนเอง และรองรับภัยพิบัติ “โคก หนอง นำ โมเดล” 4. วิทยำกรบรรยำยถึงกำรออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตำมหลักกำรพัฒนำภูมิสังคมอย่ำงยั่งยืน (กำรออกแบบพน้ื ทชี่ ีวติ ) แนวทำงแก้ไขและรองรับภัยพิบัติด้วยกำรบริหำรจัดกำรพื้นท่ี “โคก หนอง นำ”ท่ำมกลำงปัญหำกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศที่มีสำเหตุหลักมำจำกกำรใช้ทรัพยำกรธรรมชำติอย่ำงไรขอบเขตของมนุษย์ได้ ส่งผลกระทบในวงกว้ำง ต่อสมดุลระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมกำรเกิดปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ที่เป็นภัยคุกคำมต่อ แหล่งอำหำรเช่นควำมแห้งแล้งน้ำท่วมโรคระบำดโดยเฉพำะอย่ำงย่ิงภำวะวิกฤตท่ีส่งผลกระทบต่อภำคเกษตร อย่ำงมำกคือกำรเกดิ ภัยแล้งที่นับวนั จะมคี วำมรนุ แรงเพ่ิมข้ึนทุกปี ทีผ่ ่ำนมำประเทศไทยรับมือกับปัญหำภัยแล้ง

๙๑ ในหลำก หลำยรูปแบบเช่นกำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำกำรสร้ำงเข่ือนหรือกำรจัดทำระบบชลประทำนซ่ึงรูปแบบ เหล่ำน้ีสำมำรถใช้แก้ไขปัญหำได้ในบำงพ้ืนท่ีของประเทศไทยเท่ำนั้น สำหรับพ้ืนที่ห่ำงไกลนอกเขตชลประทำน ทม่ี ีพืน้ ทีถ่ งึ 121,200,000 ไร่ ยงั คงต้องประสบกับปัญหำกำรขำดแคลนน้ำเพ่ือใชใ้ นกำรเกษตร “โคก หนอง นำ โมเดล” จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของกำรแก้ไขปัญหำของเรื่องกำรจัดกำรน้ำ ที่สถำบันเศรษฐกิจพอเพียงและ มูลนิธิกสิกรรมธรรมชำติ ได้น้อมนำพระรำชดำรัสในรัชกำลที่ 9 ด้ำนกำรทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตำมแนว เศรษฐกิจพอเพียงมำใช้บริหำรจัดกำรน้ำและพ้ืนที่กำรเกษตร โดยมีกำรผสมผสำนกับภูมิปัญญำพ้ืนบ้ำนให้ สอดคลอ้ งกันหลักกำรออกแบบพนื้ ท่ตี ำมหลักภมู ิสังคม (Geosocial) มีตวั แปรสำคัญ 5 ประกำร ไดแ้ ก่ 1) ไฟ (ทิศทำงของแสง) สำรวจ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และทิศทำงกำรข้ึนของ ดวงอำทติ ย์ 2) ลม กำรออกแบบบ้ำนให้มีทิศทำงของช่องลมสอดรับกับลมที่พดั มำในแต่ละฤดูกำลจะช่วย ลด กำรใช้พลังงำนในบ้ำน และเพื่อให้บ้ำนเย็นอยู่สบำย โดยตำมหลักปกติ ลมฝนจะพัดมำทำงทิศตะวันตก เฉียงใต้และลมหนำวหรือลมข้ำวเบำจะพัดมำทำงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ควรวำงตำแหน่งอำคำร บ้ำนเรือน ลำนตำกขำ้ ว และลำนนวดขำ้ ว ไม่ใหข้ วำงทิศทำงลมหนำว 3) ดนิ วำงแผนกำรขดุ หนองนำ้ และกำรปรับปรุงสภำพดินให้เหมำะสม โดยนำดนิ ทีข่ ุดหนอง มำทำโคก ให้โคกอยู่ทำงทิศตะวันตกและปลูกไม้ใหญ่ไว้บนโคก พร้อมปลูกป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำงเมื่อ ตน้ ไมส้ งู ใหญ่จะช่วยบงั แดดและให้รม่ เงำ 4) ขุดหนองน้ำโดยดูทำงไหลของน้ำเข้ำและออกจำกพื้นที่ วำงตำแหน่งหนองน้ำในทิศทใ่ี ห้ ลมร้อนพัดผ่ำน จะทำให้บ้ำนร่มเย็น ขุดหนองให้มีขอบคดโค้งเพ่ือเพ่ิมพ้ืนที่เพำะปลูก และทำตะพักให้ลดหล่ัน ตำมระดับควำมสูง โดยชั้นแรกควรมีควำมสูงเท่ำกับระดับของแสงแดด ที่ส่องลงไปถึงปลูกไม้น้ำหรือพืชน้ำ เพ่อื ให้ปลำสำมำรถวำงไข่ อนบุ ำลสัตวน์ ้ำและเป็นทีอ่ ย่อู ำศัย 5) ออกแบบให้เหมำะสมกบั ควำมตอ้ งกำร ฐำนะ และกำลังของเจำ้ ของที่ดิน 5. วิทยำกรยกตัวอย่ำงแบบจำลอง “โคก หนอง นำโมเดล” โครงกำรบ้ำนพลังงำนแสงอำทิตย์ ตำหนักสวนจิตลดำ ในพ้ืนที่ 2 ไร่ สร้ำงกำรขับเคลื่อนระบบกำรบริหำรจัดกำรน้ำในพ้ืนที่ โดยยืดหลั ก ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ศิลปะงำมตำ เพื่อต้อนรับผู้ท่ีจะมำเรียนรู้ โคก หนองนำ โมเดล และบ้ำนพลังงำน แสงอำทิตย์ มีข้อมูลรำยละเอียดทุกมิติเช่น มิติด้ำนวัฒนธรรม และเป็นตำรำบนผืนขั้นก้ำวหน้ำของ “โคก หนอง นำ โมเดล”

๙๒ จำกภำพแผนที่ประเทศไทยจำกเหนือจรดใต้ เปรยี บดง่ั โคก หนอง นำ โมเดล กำรจะทำโครงกำรต้อง มีขบวนกำรในกำรทำงำนอย่ำงถูกต้องและรัดกุมเพ่ือป้องกันควำมผิดพลำดท่ีอำจจะเกิดข้ึนกระบวนกำร ออกแบบ จึงควรคำนงึ ถึงสง่ิ ตอ่ ไปน้ี - ปริมำณนำ้ ฝนทีต่ กในพ้นื ท่ี โดยต้ังโจทย์ให้พื้นที่สำมำรถเก็บน้ำได้ 100% โดยในพ้ืนท่ีสำมำรถแบ่ง สัดส่วน โคก หนอง นำ สำมำรถเก็บน้ำได้เท่ำไหร่ กำรคำนวณกำรจัดเก็บน้ำในพ้ืนที่ 1 ไร่ หน่วยท่ีใช้ คือ 1 ตำรำงวำ เทำ่ กบั 4 ตำรำงเมตร 100 ตำรำงวำ เทำ่ กับ 400 ตำรำงเมตร (1 งำน) 4 งำน เท่ำกบั 400 ตำรำงวำ เท่ำกับ 1,600 ตำรำงเมตร ยกตวั อยำ่ งกำรคำนวณกำรจัดเก็บนำ้ พ้ืนท่ี 5 ไร่ ** กำรค้นหำปริมำณน้ำฝนในพน้ื ท่ี ให้คน้ หำใน Google คำวำ่ “อุตุนิยมวทิ ยำน่ำรู้เพ่ือกำรเกษตรจังหวดั .......................”**

๙๓ ตำแหนง่ ดิน น้ำ ลม ไฟ คน - ดนิ ประเภทของดนิ และควำมลำด ชันของดินท่ีเหมำะสมกับกำรเพำะปลูกหรือ กิจกรรมกำรปรบั ปรงุ ดนิ - น้ำ ทิศทำงกำรไหลของน้ำและ ปริมำณน้ำฝนในพ้ืนท่ี ตกลงในพ้ืนที่หรือไหล ผ่ำนพ้ืนท่ี - ลม ทิศทำงกำรพัดผ่ำนของลม ลม ดีที่พัดผ่ำนเข้ำมำในพื้นท่ี หรือลมไม่ดีท่ีพัด นำเอำสำรพิษหรือกล่ินท่ีไม่พึงประสงค์ต่อ พ้นื ที่ - ไฟ ทศิ ทำงของแสงแดดทมี่ ผี ลต่อพน้ื ท่ี - คน ควำมต้องกำรและควำมถนัดของคนในพ้ืนที่ เพื่อสร้ำงเอกลักษณ์และกำหนดกิจกรรมที่ เหมำะสมกับพ้นื ที่ ขนั้ ตอนกำรทำโคก หนอง นำ 1. ศึกษำทฤษฎี (หลักเศรษฐกิจพอเพียง และหลัก กสกิ รรมธรรมชำต)ิ 2. ออกแบบพ้ืนท่ี (แบง่ สัดส่วนพ้ืนท่ี มผี ังแนวทำงในกำร ดำเนนิ กำร โคก หนอง นำ) 3. ปรบั พื้นที่ (ตำมแนวทำงทอ่ี อกแบบ) 4. ปลูกพืช (ตำมหลักกสิกรรม และบริบทของพืน้ ท)่ี ขนั้ ตอนกำรออกแบบ 1. กำรต้งั โจทย์ เปำ้ หมำยในกำรออกแบบพืน้ ท่ี ว่ำออกแบบเพอ่ื อะไร - เพ่อื สรำ้ งรำยได้ - เปน็ ท่ีฝกึ อำชพี ชมุ ชน - เพอื่ สรำ้ งแหล่งอำหำร - เพ่อื กักเก็บน้ำ - เพื่อรักษำภูมิปัญญำ - เพอื่ พึ่งพำตนเอง - เพ่ือกำรอนุรกั ษ์พนั ธุ์ไม้ - เป็นศนู ยเ์ รียนรู้ - เพอ่ื ฟน้ื ฟรู ะบบนิเวศ - เพอ่ื ทดแทนพลังงำน - เพื่อป้องกนั ภยั พิบตั ิ - เป็นสถำนท่ีปฏิบตั ิธรรม 2. กำรวเิ ครำะห์พนื้ ท่ี จัดทำ Check list และดูในพ้ืนทว่ี ำ่ มีอะไรบ้ำง  ตำแหนง่ ต้นไม้เดิม  ผลกระทบจำกพ้นื ท่รี อบข้ำง  ทศิ ทำงของแสงอำทติ ย์  คำนวณน้ำ  ทิศทำงของลม  ผลกระทบจำกลมที่พดั ผำ่ น  มุมมอง  ปรมิ ำณนำ้ ฝน  ควำมลำดชนั  ประเภทของดนิ  ควำมตอ้ งกำรของเจ้ำของพนื้ ที่  กฎหมำย  ทำงเขำ้ -ออก  ตำแหน่งอำคำร  ทำงสัญจร

๙๔ องคป์ ระกอบในพืน้ ท่คี วรมีอะไรบำ้ ง 3. กำรพฒั นำแบบ  เกบ็ น้ำได้ 100%  ขนำดนำสำมำรถผลิตขำ้ วได้เพยี งพอกบั ควำมต้องกำร  มีพื้นท่ปี ฏบิ ตั ธิ รรม  มบี ่อบำบัดนำ้ เสยี รองรบั นำ้ ท่ีไหลผ่ำนพน้ื ทีข่ ำ้ งเคียง  ขนำดของหนองนำ้ มีควำมกวำ้ งเพียงพอสำหรับทำตะพักรอบหนอง  คคู ลองไส้ไกส่ ่งน้ำระหวำ่ งแปลงเกษตร  สำมำรถผันนำ้ ผำ่ นแปลงนำได้  เสน้ ทำงกำรนำเคร่ืองมือลงแปลงนำ  ระบบบำบัดนำ้ เสียจำกบ้ำน  สำมำรถใชพ้ ลงั งำนทดแทนได้  พชื พ้นื ดนิ  เสน้ ทำงกำรเรยี นรู้  แนวปอ้ งกันสำรเคมี  แหล่งวัตถดุ บิ กำรทำนำ้ หมกั ,เผำถำ่ น,ทำนำ้ ยำอเนกประสงค์  คลองไส้ไก่สำมำรถกระจำยนำ้ ไดท้ ่วั พ้ืนที่  ตะพกั หนองสัมพนั ธ์กับควำมลำดชนั ของพื้นท่ี  ชนิดของพชื ที่ต้องกำรปลูก  กำรแบ่งระยะ (Phase) กำรพัฒนำพนื้ ท่ี  ตำแหนง่ ต้นไมเ้ ดมิ  แนวควำมคดิ  ตลำดขำยผลิตภัณฑ์ปลอดสำรพิษ  อัตลักษณ์ของพ้ืนที่  ตำแหนง่ คอกปศุสัตว์  สร้ำงจดุ สนใจในพืน้ ท่ี (Landmark)  ตำแหน่งโรงเห็ด  พน้ื ที่แปรรปู ผลิตภณั ฑ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook