สารบัญ หนา ๑ เร่อื ง ๖ ๑. คาํ ศัพทน ยิ าม ๑๐ ๒. นามอนั เปนชือ่ ๑๕ ๓. เหลาน้คี ือหลกั ฐานรอ งรอย ๒๘ ๔. ยอนเกร็ดเล็กเกร็ดนอ ยสปู จ จบุ ัน ๓๒ ๕. หมูบา นเตบิ โตพัฒนา ๓๕ ๖. เสมาหลกั บาน ๓๗ ๗. บุญบาน บุญกมุ ขาวใหญ ๔๑ ๘. เฒาในบา นผูน ําชุมชน ๔๖ ๙. ภาคภมู ิใจชนชาวนํา้ ปลีก ๕๙ ๑๐. น้ําปลกี ในวนั นี้ ภาคผนวก
๑. เรอ่ื งคาํ ศัพทนยิ าม อสี าน คําวา “อีสาน” มีรากคํามาจาก ภาษาสันสกฤต ซ่ึงสะกดวา “อีศาน” หมายถึง นามพระศิวะ ผูเปนเทพดาประจําทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แตคํา บาลีเขียนเปน “อีสาน” ไทยเรายืมรูปคําจากบาลีมาใช หมายถึง ภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื อีสาน จึงเปนชื่อเรียกพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ไทยทมี่ กี รงุ เทพฯเปน ศูนยก ลาง ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทมี่ คี วามหมายตรงกับคํา “อีสาน” เร่ิมใชเ ปน ทางการ สมยั รัชกาลท่ี ๕ ราว พ.ศ.๒๔๔๒ ในช่อื “มณฑล ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ” แตย งั หมายเฉพาะลมุ น้ํามลู ถงึ อุบลราชธานี จาํ ปาสกั ฯลฯ คนอีสาน บางทีเรียก ชาวอีสาน มีหลักแหลงอยูฝงขวาแมนํ้าโขง ทาง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย รวมความแลวใครก็ตามท่ีมีถ่ินกําเนิดหรือหลักแหลงอยูทางภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จะโดยการเคล่ือนยายเขามาอยูเม่ือใด ก็ตามถาถือตัววาเปนคนอีสาน หรือชาวอีสานอยางเต็มอกเต็มใจ ดวยความ องอาจเตม็ ภาคภูมิก็ถือเปน คนอีสาน เปนชาวอีสานดว ยกนั ทั้งน้นั ฉะน้ันคนอีสานหรือชาวอีสานจึงไมใชชื่อเช้ือชาติเฉพาะแตเปนชื่อ สมมุติเรียกคนหลายหลากมากมายในดินแดนอีสานและเปนชื่อเรียกอยาง กวา งๆ รวมๆ ตงั้ แตอ ดีตดึกดาํ บรรพส ืบจนปจจบุ ัน
ดวยเหตุดังกลาว ความเปนมาของคนอีสาน หรือ ชาวอีสาน จึงไมหยุด นิ่งอยูโดดเด่ียว แตลวนเกี่ยวของเคลื่อนไหวเปนอันหน่ึงอันเดียวกันกับความ เปน มาของผคู นใน “สวุ รรณภมู ิ หรอื อษุ าอาคเนย” ตงั้ แตยุคด้ังเดิมเริ่มแรก สืบจนทุกวันนี้ ซึ่งมีความเคล่ือนไหวไปๆ มาๆ ท้ังใกลและไกล ในทุกทิศทาง หลายครั้งหลายหนจนระบุชัดเจนแนน อนไมไดว า ใคร? ที่ไหน? และเมอื่ ไร? ชาวอีสานหรือคนอีสาน ไมใชชื่อชนชาติหรือเช้ือชาติเฉพาะอีสาน แต เปนช่ือทางวัฒนธรรมมีที่มาจากภูมิศาสตรท่ีเรียกวา “อีสาน” หรือทิศ ตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ชาวอีสานหรอื คนอีสาน มีบรรพชนมาจากการประสมประสานของผคู น ชนเผาเหลากอหลายชาติพันธุท้ังภายใน และภายนอก ท้ังทางสังคม และ วัฒนธรรมไมต ่าํ กวา ๕,๐๐๐ ปม าแลว แลว ยงั มีตอ เนื่องถึงทุกวันน้ี และอาจมี ตอ ไปในอนาคตอกี ไมรูจ บ สวุ รรณภูมิ สุวรรณภูมิ แปลตามรูปศัพทวา “แผนดินทอง” หรือ “ดินแดนทอง” แตม ี คําเฉพาะเรยี กใชมานานแลววา “แหลมทอง” เปนชื่อเรียกภูมิภาคอุษา อาคเนย หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต ต้ังแตคร้ังโบราณกาลราว ๒,๕๐๐ ป มาแลว หมายถึง ดินแดนอุดมสมบูรณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบดวยสัตวกับพืชพันธุธัญญาหาร และแรธาตุตางๆ ทั้งเปนหลักแหลง ของกลุมชาติพันธุหลากหลาย ที่ลวนเปนเครือญาติทางสังคม วัฒนธรรมซ่ึง เปน บรรพบรุ ุษของคนไทยทกุ วนั นี้ พจนานุกรมมติชน อธิบายคํา “สุวรรณ” (สุ-วัน) น.ทอง (ส.สุวรรณะ บ.สุวณฺณ) ภูมิ ๑. ภูมิ – (พูม, พู-มิ) น. แผนดิน ที่ดิน ภูมิ ๒. น.พื้นความรู, ปญญา, ภูมิ ๓. ว.สงา, ผึง่ ผาย, องอาจ สวุ รรณภูมิ น. ดินแดนทองคํา
สุวรรณภูมิ เปนชื่อเกาแก มีในคัมภีรโบราณ เชน มหาวงคพงศาวดาร ชาวสิงหล (ลังกา) ชาวชมพูทวีป (อินเดีย) และชาวอาหรับ-เปอรเซีย (อหิ ราน) ที่เปน นักเดินทางผจญภยั แลกเปลย่ี นคา ขายส่งิ ของเครื่องใชตาง พากนั เรยี กบริเวณอุษาอาคเนยโบราณวา “สุวรรณภูมิ” ไมนอยกวา ๒,๕๐๐ ปมาแลว สวนชาวฮั่น (จีน) ยุคโบราณ เรียกดินแดนนี้วา “จินหลิน” หรือ “กิมหลนิ ” มีความหมายเดียวกับชอ่ื สวุ รรณภูมิ ฉะนั้น สุวรรณภูมิ จึงไมใชชื่อ รัฐ หรือ อาณาจักร แตเปนช่ือดินแดน โดยรวมๆ บริเวณหมูเกาะและแผนดินใหญของอุษาอาคเนยหรือเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตปจจุบัน ที่ขนาบดวย ๒ มหาสมุทร คือ “มหาสมุทรแป ซิฟค” อยูทางดานตะวันออก กับ “มหาสมุทรอินเดีย” อยูทางดาน ตะวันตก สงผลใหดินแดนสุวรรณภูมิเปนศูนยกลางการแลกเปล่ียนคาขาย หรือ “จุดนดั พบ” ระหวา งโลกตะวันตก (หมายถึง อินโด-เปอรเซีย-อาหรับ) กับโลกตะวันออก (หมายถึง ฮั่น) มีความมั่งคั่งและม่ันคง แลวมีรัฐใหญๆ เกดิ ขึ้นในยุคตอๆ มา เชน ทวารวดศี รวี ชิ ยั , ทวารวดีศรอี ยุธยา, ละโว-อโยธยา ศรีรามเทพ จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดึงดูดใหผูคนจากที่ตางๆ ทุกทิศทาง เคลื่อนยายเขามาต้ังหลักแหลง จนทําใหเกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ สบื จนปจจบุ นั สุวรรณภูมิ คือนามอันเปนมงคลท่ีคนแตกอนยกยองเปนชื่อบานนาม เมืองสืบเนื่องหลายยุคหลายสมัย ไดแก “รัฐสุพรรณภูมิ” (ราวหลัง พ.ศ. ๑๖๐๐) จนเปนเมือง สุพรรณภูมิ (ราวหลัง พ.ศ.๑๘๐๐) และจังหวัด สุพรรณบุรี ปจจบุ นั รวมท้ังถงึ อาํ เภอสุวรรณภูมิ ในจังหวัดรอ ยเอด็ ทาอากาศยานสุวรรณภูมิ เปนนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระเจาอยูหวั เมื่อวันท่ี ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๓
จังหวัดอํานาจเจริญ มีพื้นท่ีอยูในอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย เปนสวนหนึ่งของบริเวณสองฝงแมนํ้าโขงในภูมิภาคสุวรรณ ภมู ิหรอื อษุ าอาคเนย สบื มาจนถึงปจจบุ ัน พัฒนาการทางสงั คมและวัฒนธรรม ของจังหวัดอํานาจเจริญ จึงเปนสวนหน่ึงอยางแยกไมไดกับพัฒนาการทาง สังคมวัฒนธรรมอสี าน หรอื ภาคตะวันออกเฉพียงเหนือของประเทศไทย ขณะท่ีบานเมืองในทางภาคกลางลุมนํ้าเจาพระยา คือเมืองนครปฐม โบราณ และพระปฐมเจดีย อยูใกลทะเลโคลนตม ทางลํานํ้าทาจีน-แมกลอง แตทาง ลําน้ําลพบุรี-ปาสัก มีบานเมืองขนาดใหญ อยูจังหวัดลพบุรี มีช่ือ สมมุติเรียกรัฐเหลาน้ีรวมๆ วา “ทวารวดี” มีแบบแผนวัฒนธรรมเรียก “วัฒนธรรมทวารวดี” แพรหลายออกไปกวางขวางถึงบริเวณสองฝงแมนํ้า โขง ขณะเดยี วกันทางอีสานและลาวยอมรบั ศาสนาพุทธ-พราหมณ ท้ังจากลุม น้ําเจาพระยา และปากแมน้ําโขงทางเวียดนาม-กัมพูชา ทําใหมีบานเมือง และรัฐใหญเกิดขึ้นแลวมีช่ือตอมาวา “เจนละ” บริเวณปากนํ้ามูล-ชี ทาง อุบลราชธานี-ยโสธร-อาํ นาจเจรญิ (รัฐเจนละจะเตบิ โตเปนรัฐเศรษฐปรุ ะ ที่วัด ภูจาํ ปาสักในแขวงจําปาสกั ของลาวตอไปในภายหนา) คนพื้นเมืองเริ่มปรับเปล่ียนหินต้ังในศาสนาผีด้ังเดิมใหเปนเสมาใน พทุ ธศาสนา ใชปกเขตศักด์สิ ิทธิท์ างศาสนา ท่ยี อมรบั เขา มาใหม ตอ จากนน้ั จะ สลักเปนรูปเรื่อง พุทธประวัติ และอ่ืนๆ แลวเรียกวา “เสมาหิน” ซึ่งไมเคยมี ใน อินเดีย-ลังกา สิ่งน้ีถือเปนตนแบบ “เสมามีเอวคอด” สืบจนปจจุบัน พบ มาก ในอีสาน และสองฝงแมน้ําโขง รวมทั้งบริเวณจังหวัดอํานาจเจริญ เชน เขตอาํ เภอเมืองอาํ นาจเจริญ พบทีว่ ดั พุทธอุทยาน บานโพธิ์ศลิ า วัดดงเฒาเกา รวมไปถึงกลุมตําบลนํ้าปลีก พบท่ีวัดโนนสําโรง วันโนนสัมโฮง ศาลหลักบาน สาํ นักงานเทศบาลตาํ บลนํา้ ปลกี (เดิม) ฯลฯ
พ้นื ท่ีจังหวดั อาํ นาจเจริญ มลี าํ นํา้ เซบาย และเซบก ไหลผา นลงมาแมน ํ้า มูล (ที่จังหวัดอุบลราชธานี) ทําใหมีแมน้ําใหญขนาบ ๓ ดาน คือ ดาน ตะวันตก เปนแมน้ําชี ดานตะวันออก เปน แมนํ้าโขง สวนดานใต คือแมนํ้า มลู ทาํ ใหบริเวณน้เี ปนพื้นทข่ี องรัฐเกาแกแหงหนึ่ง มชี อื่ เรยี กตอมาภายหลงั วา “เจนละ” มีตระกลู ใหญเ รอื งอํานาจควบคุมอยใู นนาม “เสนะ” ผนู ําตระกลู นี้ มีนามในจารึกวา “จิตรเสนะ” ยกยองนับถือศาสนาทั้งพุทธ และพราหมณ โดยมศี าสนาผี เปน พื้นดงั้ เดิมผสมดวย พระธาตุพนม เปนศูนยกลางของพระพุทธศาสนายุคแรกท่ีแพรเขามา บริเวณลุมนํ้าโขง พระพุทธศาสนาแสดงอํานาจ “ปราบนาค” และหลอ หลอมใหชนทุกกลุมเหลาทุกเผาพันธุท่ีนับถือผีตางกันและมีมากในเขตน้ีเขา มานับถือพระพุทธเจาองคเดยี วกนั จนกลายเปน พวกเดยี วกัน ฉะนน้ั พระธาตุ พนมจึงเปนศูนยกลางความสัมพันธทางสังคม และวัฒนธรรมของคนตาง เผา พนั ธุในบริเวณ สองฝงโขง-ชี-มลู เมอ่ื พราหมณ กับ พุทธ เขามาถงึ ดนิ แดนอสี าน กลุมชนตางๆ ท่ีมีมาแต เดิม ก็เปลี่ยนไป เพราะมีผูคนจากภายนอกหลายทิศทางเขาปะปนเพ่ิมข้ึน ประกอบดวยพวกขา พวกไท กับชนเผาอื่นๆ จาก นานเจา กัมพูหรือกัมพูชา พวกจาม พวกเวียด พวกสยาม และพวกลาว (จากหนงั สอื ชอื่ บานนามเมอื ง จงั หวัดอาํ นาจเจริญ ของสจุ ิตต วงษเทศ สนง.กรรมการวัฒนธรรมแหงชาติ พ.ศ.๒๕๔๙)
๒. เร่ืองนามอนั เปนช่อื จากชอื่ “นํ้าหลีก หรอื นํ้าผีก” มาเปน นา้ํ ปลีก นํ้าปลีก เปนชื่อ ชุมชนขนาดใหญเกาแก ชุมชนหนึ่ง ของจังหวัด อาํ นาจเจรญิ มคี วามเปนมาอันยาวนาน ทนี่ ารูจกั ยิ่งชุมชนหนึ่ง ช่ือ หมูบานน้ํา ปลกี นัน้ มาจากคําวา “น้ําหลกี ” หรือ “น้ําผีก” ในภาษาถิ่น เน่ืองจากหนวย เสียง “ผ” ในภาษาถิ่นใชแทนหนวยเสียง “ป” ในภาษากลาง เชน ผีเผด แทน ผีเปรต ผญา แทน ปญญา หรือ ปรัชญา เปน ตน ตามคําบอกเลาของคนรุนเกาในชุมชนไดเลาอธิบายไววา เนื่องจาก ทําเลที่ตั้งของหมูบานน้ีตั้งอยูบนที่ “โคก” ซ่ึงหมายถึงที่เนิน สูง หรือ ดอน สภาพบรเิ วณรอบๆ จึงลุมต่ํา สังเกตไดจากที่รอบๆ หมูบานจะมีช่ือเรียกท่ีลุม ต่ํารอบๆ หมูบานตางๆ กัน เชน มีคําวา “คํา” นําหนาช่ือ ซ่ึงนั่นหมายถึงวา บริเวณนั้นเปนท่ีลุมต่ํา มี “นํ้าครํา“ ดินชุมช้ืนตลอดป เชน คํากกหวด คําบักลาว คําบอน คําขี้เสื้อ คําไฮ คําเส้ือดํา คํากลาง คําโก คํานาหลง เปน ตน บางแหงก็มีคําวา “หนอง” นําหนาน่ันหมายถึงวา บริเวณท่ีลุมต่ํานั้น มี หนองนํ้า เปนแหลงนํ้าตามธรรมชาติอยูในบริเวณน้ันๆ เชน หนองปลาตอง (บริเวณฐานจุดบง้ั ไฟเกา) หนองอายทา หนองสาวทุง หนองบัว (บริเวณที่พบ เสมามากอีกแหงหน่ึง) หนองหมาจอก หนองสมโฮง หนองเซียงมอง หนองอี หด หนองเทวดา (บางทานเรยี ก กุดเทวดา) เปน ตน ทางทิศเหนือของหมูบานจะมีลําหวยผีบา ซ่ึงเปนสายนํ้าเดียวกับหวย ยาง จากบาน นาหวยยาง เม่ือถึงฤดูน้ําหลาก จูๆ จะมีน้ําเออลนหลาก ลาํ หวยออกเปน “น้ําแกง” โดยไมท ราบวา น้ํามาจากไหน ชาวบานจึงเรียกลํา
หวยสายนี้วา “หวยผีบา” หมายถึงวา คลุมดีคลุมรายเอาแนนอนอะไรไมได อะไรทาํ นองนัน้ และไหลไปตก ลาํ เซบาย สวนทางทิศใตของหมูบานก็มี “ลํ้าหวยปลาแดก” ซึ่งเปนสายนํ้า เดียวกับ ท่ีไหลผาน “บานบุง” อําเภอเมืองอํานาจเจริญ และหลายๆ หมูบาน ซึ่งไหลไปตกรวมกันท่ี “ลําเซบาย” เชนกัน เมื่อถึงฤดูฝนจะมีนํ้า หลากท่ชี าวบา นเรียกวา “น้ําแกง ” ไหลหลากเออ ออกจากลําหวยท้ังสองสาย แตจะไหล “หลกี ” หรือ “ผกี ” ซึง่ ในภาษากลางหมายถึง “ปลีก” หนีไปจาก หมูบานที่ต้ังอยูบนท่ีสูงแลว ไปตกรวมกันท่ีลําเซบาย น้ําไมเคยทวมหมูบาน เน่ืองจากตั้งอยูบนท่ี เนิน สูงอยูท่ีดอน หรือโคก เมื่อทางราชการมาสํารวจ และตั้งช่ือหมูบานเปนภาษากลางของทางราชการจึงใชช่ือหมูบานวา “นํ้า ปลีก” ต้งั แตน้นั สืบมาจนปจ จุบัน (จากคําบอกเลาของคณุ พอ คําม่ัน เรืองบุตร อดีตครูโรงเรียนชุมชนบาน น้าํ ปลกี บอกเลาใหผ ูเ ขยี นเรียบเรยี ง ฟง เมือ่ ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๙ ขณะเรยี น อยรู ะดับประถมศกึ ษาปท ่ี ๑)
อาณาบริเวณรอบๆ ชมุ ชนนํ้าปลีกในอดีต บริเวณท่ีตงั้ ชมุ ชนนาํ้ ปลีกปจจุบัน ในอดีตนน้ั คนรนุ เกาไดเ ลา สืบทอดมา วา ภูมิประเทศแหงนี้ ประกอบไปดวย สายน้ํา ลําธาร หลายสาย ปาดงพง ไพรกวา งขวางพอสมควร มีอาณาบริเวณดังน้ี คือ ทิศตะวันตกของหมูบานเปนท่ีราบ และมีลํานํ้าสายใหญเรียกวา ลําเซ บาย หางจากหมบู านประมาณ ๒,๐๐๐ เมตร ทศิ ใตข องหมูบานก็เปนท่ีราบ และมีลําหวยเรียกวา หวยปลาแดก หาง จากหมูบ า นประมาณ ๓,๐๐๐ เมตร ทิศเหนือ มีที่ราบเล็กนอยมีปาดงพงไพร และลําหวยเรียกวา หวยผีบา หา งจากหมูบา นประมาณ ๔๐๐ เมตร ทิศตะวันออกน้ันประกอบไปดวย ปาไม ซ่ึงชาวบานเหลานั้นเรียกวา “ปาดงบาน ดงคําไฮ ดงคําขี้เสือ ดงหนองเบือก ดงเลายอ ดงเหลาน้ัน ประกอบ ไปดวย ไมนานาชนิด ตนหวา ไมยาง ไมแดง ไมเต็ง ไมรัง ไมสะ แบก ไมตะเคยี น ไมพะยงู และไมอนื่ ๆ อีกมาก สวนทางดานทิศตะวันตก นั้นจะมี “ดงดอนหอ” หรือปาดอนปูตาใน ปจ จุบัน ตอจากน้ันก็จะเปนที่ราบริมฝงลําเซบายประกอบดวยหนองบึงตางๆ มีช่ือดังน้ี กุดหรือหนองเทวดา หนองสาวทุง หนองกวง หนองตาลอด หนอง ไผ หนองบักจาง หนองบัว ปจจุบันเหลือเปนหนองสาธารณะ เพียง ๒ แหง คอื หนองบัว และหนองหรือกดุ เทวดาเทา นั้น สวนทิศใต ซ่ึงเปนที่ราบก็มีแหลงนํ้าหลายแหงดวยกันอาทิ หนองอีหด หนองอายทา หนองโอ หนองไขผํา หนองแมใคร หนองสมโฮง (สําโรง) หนองเซียงมอง แตเหลือเปนหนองสาธารณะเพียง ๓ แหง คือ หนองไขผํา
หนองสมโฮง และหนองเซียงมอง นอกน้ันถูกเอกชนรุกเปนกรรมสิทธิ์ไป หมดแลว ทางทิศเหนอื ลาํ หวยผบี าน้นั เปน ปา ดง มตี นไมขึน้ หนาแนน จนปาแถบ นั้น มีช่ือเรียกตางๆ ดังนี้ ปาดอนบักโงก ดอนปาหวาย ปาคําบักลาว ปาคํา โกปาคาํ บักสะดาํ (ปาคําเสอ้ื ดํา) ปาดงหนองพงโพด ปา บากกขามเรียน ปาบา ใหญ ปานํา้ สรางลงิ ปา บากะดูก ปาดงเย็น ปาเหลานี้เต็มไปดวยสัตวปานานา ชนิดเปนตนวา กวาง ละมั่ง อีเกง หมูปา กระตาย อีเห็น (นางเห็น) ลิง คาง ปาง ชะนี สัตวปก ก็มี นกยูง ไกฟา ไกปา นกแกว นกขุนทอง และนกนานา ชนิดนับไมถวน สวนสัตว ที่เปนศัตรูแกสัตวอื่นก็มี เสือโครง เสือดาว หมา จิ้งจอก หมาปา ชางปา ก็มี สวนตามหวยหนอง หรอื ลําเซบาย กม็ ีสัตวน ้ําหลายอยา ง เชน เตา ปลา ปลาก็มีปลาสะโห ชะโด สวาย เทโพ และปลานํา้ จดื อน่ื ๆ ก็มีมาก (จากบันทึกประวัติบานน้ําปลีกของนายไทย ภิรมย อดีตผูใหญบานหมู ๒ ซึ่งมชี วี ติ รวมสมัยกบั กาํ นันจันทร อินลเุ พท)
๓. เรอื่ งเหลา น้ีคือหลักฐานรอ งรอย รองรอยทางประวตั ิศาสตรการกอ ต้ังหมูบา นนํ้าปลีก รอบๆ ใกลเคยี งบริเวณหมูบานน้ําปลีก ปรากฏหลักใบเสมาท่ีมีลักษณะ เอวคอด ดังที่กลาวมาแลวในตอนตน และมีปรากฏอยูหลายสถานท่ี เชน กลมุ บรเิ วณโนนหนองบัว โนนวัดฮาง (โนนวดั รา ง) โนนเมือง บานโคก วัดโนน สําโรง วัดโนนสมโฮง วดั เกา (วดั ศรีมงคล) บรเิ วณโรงฆาสัตว บริเวณนาวัดปา (ที่ดินของคุณพอวิชัย อุปนิสากร) ท่ีของเอกชนบางแหง อันเปนประจักษ พยานวา บริเวณสถานที่ต้ังหมูบานนํ้าปลีกนี้ มีกลุมชนมากอต้ัง ชุมชน บานเรือนมาแลวแตโบราณกาล อยา งนอ ยก็ตั้งแต สมยั ทราวดี เปนตนมาหรือ อาจจะเกา แกกอ นหนา นนั้ แตจะเปน กลุมใดน้ันยังคงเปนส่ิงที่ตองศึกษาตอไป เน่ืองจากไมมีบันทึกหรือจารึกอยูในบริเวณเหลาน้ีไวเลย ใบเสมาที่ปรากฏยัง ไมป รากฏวา มจี ารกึ บนั ทึกเปน ลายลกั ษณอักษร โบราณไวแ ตอยางใด จะมีก็เพียงจารกึ เสมาหลักบา น ซึ่งบันทกึ เปนอกั ษรไทยปจ จบุ นั ซงึ่ จารึกขึน้ ไวใ นภายหลงั เมอื่ ป พ.ศ.๒๕๐๐ ดานทศิ ตะวนั ออก เปนขอ ความ เพยี ง ๔ บรรทดั วาดงั น้ี “...บ.ส. ๒๒๔๘ เฒา พรหมหชย เฒา มหาสงคราม อานุสรณ ๒๕ ศตวรรษ...” บรรทดั ท่ี ๒ ขอ ความทีบ่ อกวา “เฒาพรหมหชย” น้นั ตง้ั ขอสงั เกตไดวา นา จะเปน คาํ วา “เฒาพรหมหชัย” คําวา “เฒา” คนรุนเกาเลาใหฟงวา เปน
ตําแหนงผูนําชุมชนในสมัยกอน เรียกวา “ผูเฒาในบาน” ซึ่งหมายถึง ผูมี อาวุโสสูงสุด ของชุมชน ท้ังดานวัยวุฒิ และคุณวุฒิน่ันเอง ปญหาตอมาคือ อักษรยอในบรรทัดแรกของจารึกดานน้ี บ.ส.ยอมาจากอะไรหมายความวา อยา งไร หรอื เปน หลกั การ นบั เวลา ศักราชแบบใดกนั แนผเู รยี บเรียงก็สบื เสาะ สอบถาม จนไดค ําตอบ คุณพอเกง สิงหแกว อดีตกํานันลําดับที่ ๖ ของตําบลน้ําปลีก ไดกรุณา อธิบายความใหฟงวา เม่ือทานยังเด็กอยู คุณพอใหญกิ่ง วิเศษชางผูสลักจารึก ขอความในเสมาหลักบาน ขณะท่ียังมีชีวิตอยูน้ันไดเคย บอกเลาอธิบาย ความหมายใหฟงเม่ือเกิดความสังสัยวา “บ.ส.” หมายถึงอะไร ยอมาจากคํา ใดไวด ังนี้ “บ.ส.” นั้นยอมาจาก “บานสราง” ซ่ึงหมายถึงการกอต้ังบานเรือน สรางบานสรางเมืองของชาวนํ้าปลีกสวนตัวเลข ๒๒๔๘ น้ันคือ ป พ.ศ. (พุทธศักราช) โดยมี “เฒาพรหมหชย กับ เฒามหาสงคราม” หัวหนา หรือ ผูนําในการกอต้ัง กอสรางบานเรือน ของหมูบานนํ้าปลีก เสมาหลักน้ีนํามา จากวดั โนนสาํ โรง (วัดโนนสม โฮง หรอื วัดปา บานยางคํา หรือวัดทุงสิริวิปสนา ราม) โดยมีคุณพอบุญแตง ลุผล ซ่ึงเปนอดีตครูผูมีลายมือดีเปนผูเขียน ตัวหนังสือแลวคุณพอใหญก่ิง วิเศษ เปนชางผูสลักจารึก ตามรอยเขียน เพื่อ เปนอนุสรณแด ๒ ผูนําในการกอต้ังหมูบาน แตสลักในภายหลังเมื่อป พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งตรงกบั พุทธศตวรรษท่ี ๒๕ พอดี (จากคําบอกเลาของคุณพอเกง สิงหแกว อดีตกํานันตําบลน้ําปลีก อันดบั ท่ี ๖ ซง่ึ ตอจากกํานันจันทร อินลุเพท)
ขอ ความจารกึ ในเสมาหลักบา นดานทศิ ตะวันตก อีกดา นหนง่ึ ของเสมาหลักบา น คอื ดานตะวนั ตกนั้น มอี กั ษรไทย ภาษาไทย จารกึ อยู ๑๔ บรรทัด ความวา บรรทัดที่ ๑ “...พ.ศ.๒๔๘๕ รฐั บาลไดม ี บรรทัดที่ ๒ นโยบายบรู ณะชนบทขยาย บรรทัดที่ ๓ บา นใหมรี ะเบียบ บา นนก้ี ็ บรรทดั ท่ี ๔ ไดขยายตามแนวของรฐั บรรทดั ท่ี ๕ หลักเดิมสาบสญู ไป บรรทดั ที่ ๖ ลุ ๒๕๐๐ นายจนั ทร บรรทัดที่ ๗ อนิ ลุเพท พระครูบริหาร บรรทัดท่ี ๘ วัฒนกจิ พรอมดวย บรรทัดที่ ๙ ประชาชน ยา ยพระภูมิ บรรทัดท่ี ๑๐ หลักเดิม นาํ เอาหลัก บรรทดั ที่ ๑๑ ศิลาจากโนนสําโรงมา บรรทดั ที่ ๑๒ ฝงไวที่น่ี บรรทัดที่ ๑๓ ๒๘ มกราคม ๒๕๐๐ บรรทัดท่ี ๑๔ กงิ่ วิเศษ ผูสลัก”
ดานบนสุดมีรูปสลักเปนลวดลาย บางทานตั้งขอสังเกตวาเหมือนรูป ดอกไม แตผูเรียบเรียง เห็นวาคลายและนาจะเปนรูป กงลอ หรือเสมา ธรรมจักร อะไรทาํ นองนน้ั รอยบุมที่ ๑ นา จะเปน คาํ วา “รัฐบาล” รอยบมุ ท่ี ๒ นาจะเปนคาํ วา “ม”ี รอยบมุ ท่ี ๓ นา จะเปนคําวา “ขยาย” หรือ “กย็ า ย” การสันนิษฐาน การตีความอาศัย “บริบท” ขางเคียงเพ่ือใหไดความ สอดคลองกัน และเมื่อตรวจสอบขอมูลกับหนังสือเสมาหิน จังหวัด อํานาจเจริญ ซึ่งนายขจร มุกมีคา สํานักงานโบราณคดี และพิพิธภัณฑ สถานแหงชาติที่ ๘ อุบลราชธานี ซึ่งไดพิมพเผยแพรในนาม สภาวัฒนธรรม จังหวัดอํานาจเจริญ หนวยอนุรักษสิ่งแวดลอมศิลปกรรมทองถ่ินจังหวัด อาํ นาจเจริญแลวก็ไดความ ถกู ตอ งตรงกนั ดงั น้ี “...พ.ศ.๒๔๘๕ รัฐบาลไดมี นโยบายบรู ณะชนบท ขยาย บา นใหมีระเบยี บ บา นน้ีก็ ไดขยายตามแนวของรฐั หลักเดมิ สาบสญู ไป ลุ ๒๕๐๐ นายจันทร อินลุเพท พระครูบรหิ าร วฒั นกิจ พรอมดว ย ประชาชน ยา ยพระภมู ิ หลกั เดมิ นําเอาหลัก
ศิลาจากโนนสาํ โรงมา ฝง ไวท่นี ่ี ๒๘ มกราคม ๒๕๐๐ กิง่ วเิ ศษ ผสู ลกั ...” ขอความที่จารึกขึ้นทั้ง ๑๔ บรรทัดนี้ แสดงใหเห็นถึงการดําเนินตาม นโยบายของรฐั บาลในสมยั นน้ั (พ.ศ.๒๕๐๐) โดยมนี ายจันทร อินลเุ พท (ดํารง ตําแหนงกํานันในขณะนั้น) และพระครูบริหารวัฒนกิจ (พระมหาภา ปภาโส) เจาอาวาสวัดโนนสําโรง บานนํ้าปลีกในขณะนั้น เปนผูนําในการนําหลักศิลา จากโนนสาํ โรง (โนนสมโฮง) ปจจุบันคือ (วัดโนนสมโฮง หรือวัดปายงคํา หรือ วัดทุงสิริวิปสสนาราม บานยางคํา) หลักนี้มาปกไวเปนหลักบานของบานน้ํา ปลีก สวนชื่อก่ิง วิเศษ ผูสลักน้ัน จากการสอบถามนายแสวง วิเศษรัตน ซึง่ เปนบุตรบุญธรรม (ปจจุบัน ถึงแกกรรมแลว) เลาวานายก่ิง วิเศษ เปน ชา งท่ีมีฝมอื ดีในดานการสักลาย (ชา งบง) (จากจารึกเสมาหลักบาน บานนํ้าปลีก และหนังสือเสมาหิน จังหวัด อํานาจเจรญิ ของ ขจร มกุ มีคา สภาวฒั นธรรมจังหวัดอํานาจเจริญ พิมพท่ีศิริ ธรรมออฟเซ็ท อ.เมอื งฯ จ.อบุ ลราชธานี หนา ๒๑-๒๒ พ.ศ.๒๕๔๓)
๔. เรอ่ื งยอ นเกรด็ เล็กเกรด็ นอยสูป จ จบุ ัน ระยะเวลา ป พ.ศ. ท่ีระบุการกอต้งั หมบู า นน้าํ ปลีก ในหนังสอื ชื่อบานนามเมืองจงั หวดั อํานาจเจริญ ซง่ึ อาจารยสุจติ ต วงษเ ทศ ไดศกึ ษาเรยี บเรียงไวใ นบทที่ ๑๔ หนา ๑๐๐ ไดก ลา วถึงความ เปน มากอ นมีชอ่ื อํานาจเจริญอยา งยอๆ ดังน้ี อาํ นาจเจรญิ เริม่ จากชุมชนหมูบา นเติบโตเปนเมอื งแลวเปน จงั หวัด ๑. บริเวณจงั หวัดอํานาจเจรญิ เมอ่ื ราว ๓,๐๐๐ ปมาแลวเปนหลักแหลง ของกลมุ ชนหลายชาตพิ ันธุ พดู ภาษาตระกลู ตางๆ หลายตระกูล ๒. หลัง พ.ศ.๑๐๐๐ รับศาสนาพุทธ-พราหมณ ก็เติบโตเปนบานเมือง สวนหนึ่งของรัฐเจนละในอํานาจของตระกูลเสนะ เชน จิตรเสน หรือ มเหนทรวรรมนั ๓. หลงั พ.ศ.๑๖๐๐ กลุม ชนหลายชาตพิ ันธุเคลื่อนยายไปต้ังหลักแหลง ท่ีอื่นๆ ท่ีอุดมสมบูรณกวาทําใหบริเวณจังหวัดอํานาจเจริญโรยรา แลวรกราง ไป เปน ปา ดงราว ๕๐๐ ป หรืออาจมากกวา นั้น ๔. หลัง พ.ศ.๒๒๓๗ มีความขัดแยงทางการเมืองในราชสํานัก เวียงจันทน พระสงฆมีสมณศักด์ิวา พระครูโพนสะเม็ก หรือพระครูยอดแกว ชาวบานท่ัวไปรูจักในนาม “ญาคูข้ีหอม” เปนผูนําอพยพหนีจากเวียงจันทน ลงมาตามลํานํ้าโขงผานบริเวณจังหวัดอํานาจเจริญ ถึงเมืองจําปาสัก ก็ตั้ง บา นเมอื งใหม มีคําบอกเลาวาคนกลุมหนึ่งท่ีอยูในกลุมอพยพหนีความขัดแยงจาก เวียงจันทนคราวนั้น แยกจากขบวนใหญเขาไปต้ังบานเรือนทางฝงขวาแมน้ํา
โขงบริเวณที่มีชื่อเรียกวา “บานทรายมูล” กับ “บานดอนหนองเมือง” สืบ จนปจจุบัน คือ บานพระเหลา กับ เมืองพนานิคม อําเภอพนา จังหวัด อาํ นาจเจรญิ จะสงั เกตเหน็ ไดจาก ขอ ๔ หลงั ระยะ พ.ศ.๒๒๓๗ ทางฝง ซา ยแมน้ําโขง เกดิ มีความขัดแยงทางการเมอื งในราชสํานักเวียงจันทน “ทานราชครูโพนสะ เม็กหรือพระครูยอดแกว” ชาวบานท่ัวไปรูจักในนาม *“ญาคูขี้หอม” เปน อาจารยบอกอรรถธรรม กัมมัฏฐานแกชาวเมืองและเจานายในราชตระกูลมี ผูค นนับถอื มากมีเกียรตคิ ณุ โดง ดงั เปนที่เคารพของสามญั ชนทวั่ ไปและเจานาย ในราชตระกูลในคราวเปล่ียนแปลงแผนดินครั้งนั้นชายาเจาชมพู พระเชษฐา ของพระเจาสรุ ยิ วงศากาํ ลงั มคี รรภแ ก ไดหลบซอนเขาไปพึ่งทานราชครูพรอม ดวยเจาองคหลอ ผูเปนโอรส ซึ่งมีพระชนมเยาวอยู ทานราชครูจึงไดใหศิษย นําเจา องคห ลอ ไปไวเ มืองญวน สว นชายาเจา ชมพนู ั้นใหนําไปไวภูชะงอ คําหลงั เวยี งจนั ทน ครัน้ ประสูติโอรสที่นั้นจึงขนานนามวา “เจา หนอกษัตรยิ ” ครั้นอยูตอมา ทานราชครูก็เปนที่ระแวงของกษัตรย มีผูทูลยุยงวาจะ เปนภัยแกราชสมบัติ ทานเห็นวาจะอยูในเวียงจันทนไมผาสุก จึงคิดอุบายพา ศิษยโยมอพยพ ไดถวายพระพรลาพาญาติโยมอพยพลงมาบูรณะพระธาตุ พนมเม่ือไดรับอนุญาตแลวจึงพาครอบครัวชาวเวียงจันทน ๓,๐๐๐ คน และ ใหศ ิษยเ ชญิ เจาหนอกษตั รยิ ลงมาดวย (จากประวัติยอพระธาตุพนม พระเทพรัตนโมฬี หนา ๓๔ พิมพครั้งท่ี ๑๒ พ.ศ.๒๕๓๗) เสมาหลักบานนํ้าปลีก จารึกไววา “บ.ส.๒๒๔๘” หมายถึงหมูบานนํ้า ปลีกท่ีมีบรรพบุรุษเช้ือสายไทย-ลาว เร่ิมมากอตั้ง บานเรือนสรางบานเมือง ตามที่คุณพอเกง สิงหแกว เคยถาม คุณพอใหญกิ่ง วิเศษ วา บ.ส.ยอมาจาก
บา นสราง พ.ศ.๒๒๔๘ ซึง่ มีเฒาพรหมหชัย และ เฒามหาสงคราม เปนผูนําได อพยพมาใน ชวงครั้งคราว ทานราชครูโพนสะเม็ก ออกอุบายอพยพลงมา บูรณะพระธาตพุ นมน้นี นั่ เอง * เขยี นสะกดตามเสียง สําเนียง ไทยอีสาน (สมัยผูเรียบเรียงยังเด็ก เคยไดรับฟงจากบิดาคือ นายเฉลิม ศรีเดช เลาใหฟง วา สมัยเมอื่ ทา นบวชเณรเรียนหนังสือ ครูบาอาจารยของทานไดเคย บอกเลาใหฟงวา บรรพบุรุษชาวอํานาจเจริญ น้ําปลีก อพยพเขามากอต้ัง บานเรือนพรอมๆ กับ “ญาคูขี้หอม” ซ่ึงไดพยายามสืบคนเพื่อตรวจสอบอยู นาน ชวงระยะเวลากใ็ กลเคียงกนั จรงิ ) หลักฐานอีกอยางหน่ึงท่ีสอดคลองกับระยะเวลาและเหตุการณกอตั้ง บานน้ําปลีกอีกเลมหน่ึง คือขอเขียนในหนังสือของอาจารยเติม วิภาคยพจน กิจ พ.ศ.๒๕๓๐ หนา ๓๗-๓๘ กลาวถึง กลุมแรก กลุมชนไทย-ลาว อพยพมา จาก กรุงศรีสตนาคนหุต เวียงจันทน พรอมกับพระครูโพนเสม็ด หรือโพน สะเม็ก ประมาณ พ.ศ.๒๒๓๓ โดยอพยพหนีราชภัยพระยาแสน หรือพระยา จนั ทน จากเมืองเวยี งจันทน ลงมาตามแมน้าํ โขงจนถึงนคร*จําปาสัก นค่ี อื หวงระยะเวลาชว งแรกทบ่ี รรพบรุ ุษกลุม ไทย-ลาวของชาวนํ้าปลีกท่ี อพยพเขามากอต้ัง สรางบานเรือนกลุมแรก โดยอพยพหนีราชภัยจาก เวยี งจันทน ในคราวทพี่ ระครูยอดแกว หรือพระครโู พนสะเม็กหรือญาคูขี้หอม ออกอุบายขอลงมาบูรณะพระธาตุพนม แลวมีกลุมแยกจากขบวนใหญเขามา ตั้งบานเรือนทางฝงขวาแมน้ําโขง ท่ีบานพระเหลา อําเภอพนา และเลยลวง เขาสูอํานาจเจริญ และหมูบานนํ้าปลีก โดยมีเฒาพรหมหชัยและเฒามหา
สงครามเปนผูนํา ตามจารึกหลักบานดานทิศตะวันออก สลักไวเปนอนุสรณ ดังไดกลาวมา * เขยี นสะกดตามตัวอักษรประเทศลาว
ระยะที่ ๒ ทีก่ ลาวถงึ บานนํ้าปลกี ในประวัตศิ าสตร ไทย-ลาว จากคําบอกเลา ใหการของคนเฒาคนแกรุนเกาหลายทานซึ่งบอกเลาสืบ ทอดตอๆ กันมามักจะบอกกับลูกหลานชาวนํ้าปลีกเสมอวา “อพยพจากฝง ลาว (ฝงซายของแมนํ้าโขง) ต้ังแตคร้ังคราวพระวอ-พระตา...” และ เอกลักษณหน่ึง ของชาวน้ําปลีกคือ *สําเนียงพูดท่ีชา และมีสําเนียงใกลเคียง กับ พี่นองชาวลาว ทางฝงซายแมนํ้าโขงมาก (ภาษาถ่ินเรียกวา “เวาเญ่ิน”) จึงเปนสิ่งท่ีสนับสนุน “ท้ังคําบอกเลาทางประวัติศาสตร และวัฒนธรรมทาง ภาษา ใหน าเช่ือถอื ยิ่งขึ้น พระวอ-พระตา เปนใครผูท่ีสนใจศึกษาอานไดในหนังสือ เลาเรื่อง เมืองอุบลราชธานี ของอาจารยบําเพ็ญ ณ อุบล ซึ่งไดเรียบเรียงเผยแพรโดย สํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถึง ๒ คร้ัง เมื่อง พ.ศ.๒๕๔๕, ๒๕๔๗ แลวจึงไมขอยกมากลาวใหยืดยาว เน่ืองจากมีผูแนะนําในการสืบคน ขอมูล ในคร้ังแรกมาแลวใหกลาวถึง ประวัติของการกอต้ังหมูบานนํ้าปลีก ตรงๆ เลยจะไดอานเขาใจงาย รวดเร็วข้ึน จึงตองขออภัย ผูตองการทราบ รายละเอียดของพระวอ-พระตา และขอบคุณทานที่กรุณาแนะนําแนวทางใน การเขียนใหต รงเรือ่ งมา ณ โอกาสนี้ เม่ือพระวอ-พระตามบาดหมางกับ เจาสิริบุญสาร (นักองคบุญ) แหง เมืองเวียงจันทน ก็เตรียมปรับปรุงบานเมืองและกองทัพไวใหมั่นคงแข็งแรง หาทางหนีทีไลไวใหพรอมสรรพ หากกองทัพเวียงจันทน ยกมารบจะได ปองกันบานเมืองไวได ดวยเหตุนี้ พระตาจึงไดฝกปรือทแกลวทหารพลรบไว พรอ มเพรียง และต้ังกองสอดแนมคอยสืบขาวสารการทัพอยูตลอดเวลา และ
ใหขยายต้ังเมือง หนาดานหาทางหนีทีไลไวอีกหลายเมือง ใหเดินขาวคราว ถึงกันใหทันทวงทีหากมี *ผูรูบางทานบอกวา เปนสําเนยี งเดียวกับ สาํ เนยี งเวียงจันทน กองทพั ขาศึกมาประชิดติดพนั กใ็ หยกกําลังมาชวยเหลือกันใหทันการในการนี้ พระตาไดแบง ครัวเรือนให หลวงราชโภชนัย ใหทาวคําโส ทาวคําสู ทาวคําสุย ทาวมุม (ภายหลังแยกไปต้ังอยูบานสิงหโคก ซึ่งนับวาเปนเช้ือสายพระวอ- พระตา อีกสายหนึ่ง) ทาวก่ํา ยกไปตามลํานํ้าพะชี หาที่ต้ังเมืองเปนดานทาง ตะวันออก ทาวคําโสกับพวกยกไปดงโตงโตน ไดสรางบานเมืองในท่ีน่ันคือ เมอื งสงิ หหิน เมืองสิงหทอง ซ่ึงตอมาภายหลังไดช่ือวา “บานสิงหทา” เพราะ อยูใกลกับแมนํ้าชี และตอมาไดตั้งเปนเมืองโดยสมบูรณ เรียกวา “เมืองยศ สุนทร ภายหลังเรียกวา ยโสธร” ปท่ีทาวคําโส ทาวคําสิงห ทาวคําสุย มาตั้ง บานสิงหทาน้ันเปนพุทธศักราช ๒๓๑๔ (วัฒนธรรม พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร เอกลกั ษณและภูมิปญญา จงั หวัดยโสธร ๒๕๔๓ : ๓๖) จากคําบอกเลาของคนรุนเกา สอดคลองตองกับประวัติศาสตร็ในชวงนี้ เชนกันกลาวคือ บรรพบุรุษรุนตอๆ มาของชาวน้ําปลีกมีความเก่ียวของกับพี่ นอง ชาวจงั หวัดยโสธรมาชานาน ผูกพันกันอยแู นนแฟน แรกๆ ก็คงอพยพมา กับลูกหลาน พระวอ-พระตาตามแผนยุทธศาตรของพระตา จนมาถึงฝงลําเซ บาย (เขตอําเภอปาต้ิว แถวบานเซียงเพ็ง) แลวจึงอพยพขามมาอีกฝงหน่ึง ทางดานฝง บานน้ําปลีก ต้ังหมูบานชุมชนกับญาติพ่ีนองท่ีอพยพมากอนใน คร้ังคราว “เฒาพรหมหชัยและเฒามหาสงคราม” ในคร้ัง “ญาคูขี้หอม” อพยพหนีราชภัยมาบูรณะพระธาตพุ นม
ถาเปนไปตามคําบอกเลาของคนเฒาคนแกท่ีวา “อพยพมาจากฝงลาว เม่ือคร้ังคราวพระวอ-พระตา” ในครั้งนี้ก็ตรงกับ พ.ศ.๒๓๑๔ ตามท่ียกมา ดังกลาวแลว ขา งตน
ระยะที่ ๓ ทีก่ ลาวถึงบา นนํ้าปลกี ในประวัติศาสตร ไทย-ลาว จากคําใหการของคนรุนเกาของชุมชน คือคุณตาอาจ เถาวโทและ คณุ ตาลอ ม ทองยศ ในขณะทีท่ า นทงั้ สองยงั มชี วี ติ อยูไดใหการกบั คณะผูจัดทํา แผนปฏิบัติการประจําป ๒๕๔๐-๒๕๔๔ ของโรงเรียนน้ําปลีกศึกษาไดมา จัดทาํ เปน ขอ มูลประกอบภูมหิ ลังและบริบทของชมุ ชน โดยใหก ารตรงกันวา “...ประชากรผูอาศัยในชุมชนน้ําปลีก เดิมอพยพมาจากตําบล หนองบัวลําภู จังหวัดอุดรธานี ฝงลาว ซ่ึงตอนนั้นมี “พอเฒาชัยพร และพอ เฒาชัยสิงห” เปนผูนํา ผูอพยพมาตั้งอยูท่ีเมืองยศกอน (เมืองยศ คือ จังหวัด ยโสธร ซ่ึงเดิมเรียกวา เมืองยศสุนทร) แลวจึงขามลําเซบายมาต้ังบานเรือน ชุมชนในบา นน้ําปลีก...” เหตุการณในประวัติศาสตรในหนังสือ วัฒนธรรมพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร เอกลักษณและภูมิปญญาจังหวัดยโสธร ๒๕๔๓ : ๓๗-๓๘ ได กลาวถึง เมืองหนองบัวลําภู นครเข่ือนขันธกาบแกวบัวบานแตกพระตาเสียที ถูกขาศึกยิงตัวดวยอาวุธปน และฟนดวยดาบถึงแกพิราลัยในสนามรบ กองทัพของพระตาจึงแยงเอาศพของพระตากลับเขาเมืองแลวปดประตูเมือง ไว พระวอ เม่ือเสียพระตาไปแลวไดปรึกษากันวาคงจะรักษาเมืองไวไมได และควรจะทิ้งเมืองไวแลวหลบหนีไปต้ังหลักท่ีอ่ืนเพ่ือตอสูกอบกูเมืองตอไป โดยลงไปตามลําน้ําชีตามกองครัวไป เมื่อปรึกษากันเชนน้ันแลว พระวอก็จึง ปดประตูเมืองคอยทีอยูไมออกรบ ตอมาอีกหลายวันไดโอกาสจากเวลา กลางคืนดึกสงัด พระวอจึงไดเปดประตูเมืองดานหนึ่งแลวยกกําลังตีฝาออก จากวงลอ มไปได ซ่งึ ตรงกับวันข้ึน ๑๒ คํ่า เดือนอายเปนอันวาเมืองนครเขื่อน
ขันธกาบแกวบัวบานของเจาปางคําไดถึงแกกาลอวสานต้ังแตบัดน้ันมา...” การรบในคร้ังน้ปี ระมาณ พ.ศ.๒๓๑๗ “ยงั มีชนอีกกลุมหน่ึงไดอ พยพมาจากทางบานหอ งแซง อาํ เภอเลิงนกทา (ปจจุบันขึ้นกับจังหวัดยโสธร) โดยสมทบต้ังบานเรือนที่บานโคกดวยกัน...” (บานโคก คือ บานดอน บานเนิน เปนท่ีสูง ซ่ึงหมายถึงบานน้ําปลีกน่ันเอง) อธิบายความไดวา การอพยพในสมัยกอนชนกลุมไทย-ลาวนี้ ตองอาศัย สายนํ้า “ลําเซบาย” ลําน้ําสายน้ีมีตนน้ําจากภูจอกอในเขตอําเภอเลิงนกทา (คุณพอคํามั่น เรืองบุตร เคยเลาใหผูเรียบเรียงฟงวาสมัยทานบรรจุเปนครู ใหมๆ อยูทางอําเภอเลิงนกทา) และไหลไปบรรจบกับแมนํ้ามูล-แมนํ้าชีเปน เสนทางอพยพ ไพรพลของพระวอ ในการไปกอต้ังเมืองอุบลราชธานีท่ีดอน มดแดง พอดี ลําเซบายน้ีในอดีต เคยเปนเสนทางคมนาคมทางน้ําไปสูอุบลราชธานี โดยการลองเรือถอแพ สงสินคา เชน ขาวเปลือก ถาน เกลือ ของปาตางๆ ไปข้ึนทา ทตี่ ลาดใหญวัดหลวง ซ่ึงก็เปนเชนน้ันจริงๆ เมื่อสมัยยังเปนเด็กบิดา- มารดาก็เคยพาผูเรียบเรียงไปดูการลองเรือ ถอแพสงสินคาดังกลาวไปตามลํา เซบายและอธิบายใหฟงวา ไปถึงอุบลราชธานี, วารินชําราบตามลําน้ํามูล ไป ขึ้นทที่ า วัดหลวง ริมฝง มลู จริง หากเปนชวงระยะเวลาที่กลาวถึงการลมสลายของเมืองนคเข่ือนขันธ กาบแกว-บัวบานแตก แกกองทัพของเวียงจันทนและพมาและเสียพระตาใน การรบครง้ั นี้ บรรพบรุ ษุ ของชาวนาํ้ ปลกี ทเี่ ขามากอ ต้ังสรา งบานเรือนชุมชนคง เขามา ชวงราวๆ ประมาณ พ.ศ.๒๓๑๗ โดยมี “พอเฒาชัยพร และพอเฒาชัย สิงห” เปน ผูน ําตาม คําบอกเลา
(เอกสารโรเนียว แผนปฏิบัติการประจําป ๒๕๔๐-๒๕๔๔ โรงเรียน นํา้ ปลกี ศกึ ษา)
ระยะที่ ๔ ทีก่ ลาวถงึ บา นนา้ํ ปลีกในประวตั ิศาสตร “...บรรพบุรุษชาวน้ําปลีก เดิมอยูที่อําเภอหนองบัวลําภู จังหวัด อดุ รธานี ตอมาในป พ.ศ.๒๓๒๕ ไดอพยพครอบครัวมาอยูท่ีเมืองยศ (ยโสธร) และตอมา ไดเกดิ โรคฝด าด (ฝด าษ) จึงไดย ายมาอยูท่ีบา นโคก ซ่ึงอยูหางไป ทางทศิ ตะวันตกของบานนํ้าปลีกในปจจุบันประมาณ ๕๐๐ เมตร ตอมาจึงได ขา มวังซีโนยมาอยูใ นทีป่ จจุบันน.้ี ..” (จากเอกสารโรเนียว สุขาภิบาลน้ําปลีก ๓๒ ซ่ึงทางคณะกรรมการ สุขาภิบาลนํ้าปลีก ในสมัยกํานันจิตติ รัตนพิทักษสุข จัดทําข้ึนเพ่ือ ประกอบการประกวดหมบู า น เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๒ : ๑) ซ่ึงถาเปนชวงระยะเวลาน้ีก็คือ บรรพบุรุษชาวน้ําปลีกอพยพมาจาก หนองบวั ลาํ ภู ในชว งทีป่ ระวัติศาสตรชนชาติไทยมีการกอตั้งกรุงรัตนโกสินทร ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรม กษตั รยิ แหงบรมราชจกั รวี งศ นั่นเอง เม่ือไดขอมูลระยะเวลาจากเกาแกสุดเทาท่ีปรากฏจนมาถึงระยะที่ ๔ ก็ลองนําเอาขอมูลท้ัง ๔ ระยะจาก ๑-๔ มาปะติดปะตอกันเขาตามหวง ระยะเวลา กอ น-หลังตามลักษณะของ *๑ Jigzaw puzzle ตามลําดับก็พอจะ เห็นเปนรูปเปนรางรองรอยทางประวัติศาสตรประกอบกับการสืบทอดแบบ มุขปาฐะ (การบอกเลาสืบตอกันโดยปากเลาตอปาก) วัฒนธรรมทางภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีทองถิ่นบานนํ้าปลีก นาจะมีความเปนมาตามลําดับ ดงั ตอ ไปนี้ :-
*๑ ประวัตศิ าสตรไทย พ.ศ.๑๖๐๐-๒๓๑๐ ศาสตราจารยขจร สุขพานชิ โรงพิมพก รงุ ธน กรุงเทพฯ ๒๕๒๕ : ๗๕ บา นนา้ํ ปลีก เปนหมูบานเกาแกแหงหนึ่งในจังหวัดอํานาจเจริญ มีอายุการกอตั้ง ชุมชน ที่ยาวนานมากวา ๒๐๐ ป (ตามที่ไดนําเสนอการสืบคนอายุการ กอต้ังมาแลวขางตน) ตามที่ปรากฏบันทึกเปนลายลักษณอักษรและคําบอก เลาใหปากคําของผูรู ผูอาวุโสในชุมชนมาประกอบกันหลายๆ ดานหลายสวน หลายบุคคล พอจะลาํ ดับความ ไดด งั น้ี บริเวณที่กอต้ังชุมชนบานน้ําปลีก เปนบริเวณที่สูง เปนเนินเปนที่ดอน ชาวบานเรียกวา “โคก” (ชื่อเดิมของ น้ําผีก, นํ้าหลีก มาเปน นํ้าปลีก) มี รอ งรอยความเจริญมาตงั้ แตส มยั ทวารวดี (ลักษณะเสมาเอวคอด : สุจิตต วงษ เทศ ช่ือบานนามเมืองจังหวัดอํานาจเจริญ) หรืออาจเกาแกกวาน้ัน กอนหนา นั้นก็เปนได ผูคน มีท้ังชนทองถ่ินเดิม และท่ีอพยพเขามาจากภายนอก พ้ืนท่ี กลุมชนเขามาลาสุด อันเปนบรรพบุรุษของกลุมชนในปจจุบันเปน กลุม เชือ้ สายไทย-ลาว มีการอพยพเคลอื่ นยายเปนระยะๆ กลาวคือ ระยะที่ ๑ ประมาณหลัง พ.ศ.๒๒๓๗ มีความขัดแยงทางการเมือง ในราชสํานักเวียงจันทน พระครูยอดแกวหรือพระครูโพนสะเม็กหรือโพน เสม็ดหรือญาคูข้ีหอม ออกอุบายพาศิษยโยมอพยพหนีราชภัย พระยาแสน เมืองจันทน ลงมาบูรณะพระธาตุพนม ลงไปจนถึงจําปาสัก แลวมีกลุมที่แยก จากขบวนใหญ เขามาต้ังบานเรือนทางฝงขวาแมนํ้าโขงที่บานพระเหลา อําเภอพนา และลวงเลยเขาสูอํานาจเจริญและบานนํ้าปลีกโดยมี “เฒา
พรหมหชัยและเฒามหาสงคราม” เปนผูนํามากอตั้งสรางบานเรือนขึ้นเปน ชมุ ชนในบริเวณบา นนาํ้ ปลีกเมือ่ พ.ศ.๒๒๔๘ ตามจารึกเสมาหลักบาน ซึ่งคุณ พอ ก่งิ วิเศษเปน ผูส ลัก (ตามทีไ่ ดนาํ เสนอมาแลว ขางตน) ระยะที่ ๒ คราวเกิดศึกความบาดหมางระหวางพระวอ-พระตากับ เจาสิริบุญสาร (นักองคบุญ) แหงเวียงจันทน และพระตาวางแผนถายเทครัว หาทางหนที ีไหล ปองกนั นครเข่ือนขันธกาบแกวบัวบาน (หนองบัวลุมภู หรือ จังหวัดหนองบัวลําภูในปจจุบัน) ใหเขมแข็งพรอมสรรพ หากกองทัพ เวียงจันทน ยกขามแมนํ้าโขงติดตามมา การณในคร้ังน้ันทําใหเช้ือสายพระ วอ-พระตา หลายทาน อพยพครอบครัว และราษฎรมากอสรางบานเมืองข้ึน ใหม หลายเมืองโดยเฉพาะ “เมืองสิงหทา” ซ่ึงตอมาภายหลังเปน เมืองยศ สุนทร และมาเปน จังหวัดยโสธรในปจจุบันขบวนท่ีมาในคร้ังน้ีมาพักอยูที่ เมืองสิงหทากอน แลวมาถึงฝงลําเซบาย ทางบานเชียงเพ็งแลวจึงขามมายัง อกี ฝงหน่งึ ทางตะวันออก ทางบานนํ้าปลกี ตั้งบานเรอื นกับญาตพิ น่ี องท่อี พยพ มากอนตั้งแตคร้ังคราว “เฒาพรหมหชัยและเฒามหาสงคราม” ในคราว “ญาคูข้ีหอม” ออกอุบายอพยพหนีราชภัยลงมาบูรณะพระธาตุพนม เหตุการณในระยะดังกลาวน้ีราวๆ พ.ศ.๒๓๑๔ (ทางภาคกลางหลังกรุงศรี อยุธยาแตก ๔ ป พระเจาตากสินกําลังรวบรวมและปราบชุมนุมตางๆ เพื่อ สรา งความมั่นคงเปนปกแผน ข้ึนในชาติดว ยความยากลําบาก) ระยะที่ ๓ เจาสิริบุญสารแหงเมืองเวียงจันทนไดขอใหกองทัพพมาชวย ตี นครเข่อื นขนั ธก าบแกวบัวบานใหแตก พระตาตายในสมรภูมิรบ พระวอรอ จังหวะโอกาสแลวลอบตีฝาวงลอมหนีออกจากเมืองได แลวลําเลียงกําลังไพร พล ครอบครวั ราษฎรมาตามลํานาํ้ ชี มาพกั อยูเมอื งสงิ หทา (ยโสธร) ไปตามลํา
แมน ้าํ มลู อพยพไปพักอยู ดอนมดแดง (อุบลราชธานี) บรรพบุรุษชาวนํ้าปลีก ตามท่ีผูรู ผูอาวุโสบอกเลาไวคือ “พอเฒาชัยพรและพอเฒาชัยสิงห” เปน ผูนําโดยอพยพ มาอยทู ่เี มอื งยศ (ยโสธร) กอ นแลว จงึ มาตงั้ บานเรือนทบี่ า น น้าํ ปลกี ...” เหตกุ ารณในระยะนี้ เปนชวงเวลาประมาณ พ.ศ.๒๓๑๗ ระยะที่ ๔ “บรรพบุรุษชาวน้ําปลกี เดมิ อยูท่ีอาํ เภอหนองบวั ลาํ ภู จังหวัด อดุ รธานี ตอมาในป พ.ศ.๒๓๒๕ ไดอพยพครอบครัวมาอยูที่เมืองยศ (ยโสธร) และตอ มาไดเกิดโรคฝดาษ (ไขท รพษิ ) จงึ ไดย ายมาอยูที่บานโคก ซ่ึงอยูหางไป ทางทิศเหนือของบานนํ้าปลีกในปจจุบัน ประมาณ ๕๐๐ เมตร ตอมาจึงได ขา มวงั ซีโนยมาอยูในทีป่ จ จุบันน้ี (เอกสารโรเนียว สขุ าภบิ าลนาํ้ ปลกี ๓๒ คณะกรรมการสุขาภิบาลตําบล น้าํ ปลกี กํานันจติ ติ รตั นพิทกั ษส ขุ ๒๕๓๒ : ๑) ถาเปนชวงระยะเวลานี้ ประวัติศาสตรชนชาติไทยภาคกลางทางลุม แมน ํา้ เจา พระยาก็ตรงกบั ทพ่ี ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจฬุ าโลกมหาราช ป ฐ ม ก ษั ต ริ ย แ ห ง ร า ช จั ก รี ว ง ศ ท า ง ส ถ า ป น า ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร (กรุงเทพมหานคร) ขึน้ เปนราชธานนี น้ั เอง คําบอกเลาใหการของผูรูผูอาวุโสในหมูบานในชวงนี้จะมีสับสนขัดแยง กันบางก็เรื่อง “บานเดือด” ซึ่งหมายถึงการเกิดโรคระบาดในชุมชนน้ําปลีก บางทานบอกวา โรคท่ีระบาด ที่เรียกวาบานเดือด คือโรคหา ทางการแพทย เรียกอหิวาตกโรค บางทานบอกวา เรียกวาโรคฝดาด (ฝดาษ) ทางการแพทย เรียกวาโรคไขท รพิษซ่ึงผูเรียบเรียงก็เคยไดรับคําบอกเลาจากมารดา เมื่อสมัย ยังเปนเด็ก คนเฒาคนแกเลาใหฟงวาคนท่ีเจ็บปวย จะเปนตุมตามตัว เม่ือตุม สกุ จะเปนหนองแตกผูป วยจะตองนอนใบตองกลว ยทุกขท รมานมาก บางคนก็ ถึงตายดวยทนพิษบาดแผล ไมไหว สวนท่ีรอดตายก็จะมีแผลเปนตามตัว และ
ใบหนาเปนรอยไปท่ัวตัว ซ่ึงลักษณะเชนน้ันเปนอาการของผูปวยเปนโรคไข ทรพษิ หรือฝดาษนน้ั เอง และจากทีไ่ ดส อบถามจากผูรูผูอาวุโสในชุมชนหลาย ทาน เชน คุณพอเกง สิงหแกว คุณพอพุดทอง ทองโท ก็อธิบายวาเปนโรค ฝดาษจรงิ เปน อันยุติโรคระบาดในคราวบา นเดือดลงไปไดป ระเด็นหนึ่ง ขอจบั ความการอพยพจากเมอื งยศตอมาอกี เมอื่ ขามฝง ลําเซบายมาบา น นํ้าปลีกก็ขามลําหวยผีบามาต้ังบานเรือนอยูบริเวณ “คุมล้ินฟา” ระเร่ือยไป บริเวณหนาวัดศรีมงคล จนใกลกับโนนวัดฮางคางบั้งไฟเกาอันเปนบริเวณวัด เกา แกมากอ นซงึ่ ไมท ราบแนช ัดวา วดั น้นั เคยต้งั มมี าตั้งแตเ มื่อใด เมื่อคณะกลุมท่ีมาสํารวจมาเห็นสภาพความอุดมสมบูรณอาณาบริเวณ รอบๆ ชุมชนนํ้าปลีกดังกลาวมาแลวจึงไดยายมาจากยโสธร (เมืองยศ) ประมาณ ๘-๑๕ ครอบครัวโดยมีหัวหนาช่ือ *“พรหมชัย” บางทานบอกวา “พรหมบตุ ร” เปน หัวหนา ฝา ยพระสงฆก ม็ ีชอ่ื ขณะน้นั เรยี กวา “ญาคขู า งอง” ไดมาจัดต้ังหมูบาน ซึ่งเปนแหลมสุดทางดานตะวันตกของหมูบาน เด๋ยี วน้ีซงึ่ ขณะนไี้ ดเ รยี กท่ีนั้นวา “โนนวดั ราง” ชาวบา นเรยี ก “โนนวัดฮา ง” ซึ่งชาวบานสงวนไวเปน ทส่ี าธารณะ เม่ือมาอยูไดประมาณ ๔-๕ ปก็เกิดโรค ระบาดขึ้นมีคนลมตายลงในสมัยนั้นเรียกวา “บานเดือด” ดวยโนนวัดฮาง เปนที่มีเจาเคยอยูกอน “เปนท่ีเข็ดขวาง” อันหมายถึงเจาที่แรง ชัยภูมิไม เหมาะสม ไมเปนมงคลไมอุดมสมบูรณอะไรนํานองน้ัน จึงไดอพยพยายขาม ลําหวยผีบาไปทางทิศเหนือของหมูบานหางจากลําหวย ประมาณ ๑๐ เสน ชาวบานเรียกวา “บานโคก” จัดตั้งหมูบานขึ้นที่นั่นอีกอยูไดประมาณ ๑๐ ป ก็เกิดโรคระบาดอีก หัวหนาหมูบานจึงสํารวจท่ีตั้งหมูบานอีกในเวลานั้นก็มี โหรมาทํานายใหบอกวาใหกลับมาตั้งหมูบานทางทิศใตของลําหวยผีบาอีก และใหไปสํารวจหาตนไมหนึ่งซึ่งชาวบานเรียกตนไมน้ันวา “ไมล้ินฟา”
แลว กพ็ ากนั หาจนพบและเปนไมใหญขนาด ๔ อุม (๔ คนจับมือตอกันจึงรอบ ตน ) คอื เอาแขนวาไปวาไปถึง ๔ ครั้งจึงรอบ เมื่อพบตามโหรทํานายแลวก็ไดวาง รกรากที่น่ี *๑ ชื่อนี้พองกับจารึกหลักบาน อาจเปนบุคคลเดียวกันหรืออาจเปนตําแหนง ผูนําหัวหนาชุมชนในสมัยน้ัน (โปรดสังเกตการสะกดคําตางกัน คือ เฒา พรหมหชยั กับ พรหมชยั ) เด๋ียวน้ีหมูบานก็ยังอยูจนไดนามวา “คุมลิ้นฟา” แลวก็ตั้งสํานักสงฆข้ึนเหนือ หมูบาน เด๋ียวนี้โนนท่ีต้ังสํานักสงฆก็ยังเหลืออยู แตเอกชนเขายึดครองนาซึ่ง อยูใกลก บั สาํ นกั สงฆน้ีเรยี กวา “นาวดั ปา” จากชวงระยะเวลาท่ี ๔ น้ีพอจะทําใหทราบวา วัดแรกซึ่งกอต้ังขึ้นใน ชุมชนนํ้าปลีก คือ “วัดศรีมงคล” ชาวบานเรียกวา “วัดเกา” วัดตอมาคือ “วัดกลางน้ําปลีก” ซ่ึงเคยเปนสํานักสงฆอยูเรียกวา “นาวัดปา” แลวยาย สาขาเปนวัดกลาง ในปจจุบัน วัดลําดับตอมา คือ “วัดโนนสําโรง” ซ่ึง ชาวบานเรยี กวา “วัดปา” เปนวดั สายธรรมยุต ทีเ่ ครงปฏิบตั ิวปิ สสนา (บคุ คลผใู หขอ มลู ระยะเวลา การกอต้งั หมูบ า นนาํ้ ปลกี ) - พระครูมงคลวัฒนคุณ, คุณพอประเสรฐิ วิเศษ - คณุ พอเกง สงิ หแกว, คุณพอ พุดทอง ทองโท - คุณตาอาจ เถาวโ ท, คุณตาลอ ม ทองยศ - คุณพอไทย ภริ มย, คณุ พอ เฉลิม ศรเี ดช - คณุ แมด ารา ศรเี ดช, คุณพอคํามน่ั เรอื งบตุ ร - คุณพอจรูญ บุญธิมาศ, คุณพอ แทง ถีระพนั ธ
๕. เรอื่ งหมูบานเตบิ โตพฒั นา หมบู า นเตบิ โตชุมชนขยาย กาลตอมาเมื่อผูคนประชากรเพ่ิมมากขึ้น หมูบานนํ้าปลีกจึงขยายออก ตามยาวขึ้นมาทางตะวันออก ปาดงบานจึงคอยๆ ถูกรุกถากถางลงไปเรื่อยๆ หมูที่ ๑ จึงขยายและแยกออกเปนหมูที่ ๒ และเม่ือจํานวนประชากรเพ่ิมมาก ข้นึ เรอ่ื ยๆ หมทู ี่ ๑ จงึ แยกออกเปนหมูที่ ๘ และหมูที่ ๒ ก็แยกออกมาเปนหมู ที่ ๙ ดงั ทเ่ี ห็น ในปจ จุบนั คณุ พอประเสริฐ วิเศษ ใหการวา กํานันจันทร อินลุ เพท มีคุณพอปลัดเปง ไชยวงศ เปนที่ปรึกษาในการวางแผนพัฒนาปรับปรุง ผังหมูบานใหเปนระเบียบสวยงาม ถาครอบครัวใดมีบานเรือนติดที่จะขยาย ถนนก็ขอจับเขาคุย ขอใหเห็นประโยชนแกสวนรวมและลูกหลานในหมูบาน ในอนาคต คือใหมีวิสัยทัศน มองการณไกล ถาที่เดิมคับแคบก็ใหยายไปจับ จองท่ีสาธารณะ ทางทิศตะวันออกของหมูบานที่เรียกกันวา “ปาดงบาน” ถา อยูที่เดมิ กจ็ ะมสี ิทธิ์ครอบครองที่ดินไดไมเกิน ๒ งาน แตถาโยกยายไปจับจอง ใหมทางปาดงบานก็จะเพ่ิมกรรมสิทธิ์ครอบครองท่ีได ครอบครัวละ ๑ ไร ซ่ึง เพิม่ เปน ๒ เทา (๔ งาน = ๑ ไร) ทําใหม หี ลายครอบครวั ที่มีจํานวนสมาชิกใน ครอบครวั มหี ลายคนตดั สินใจยายจากที่เดิมข้ึนไปจับจองท่ีใหมตามนโยบายน้ี รวมถึงคุณพอแทง ถีระพันธ ก็เปนอีกคนหน่ึงที่อพยพไปต้ังบานเรือนใหม ท่ี หมูท่ี ๙ ซ่ึงเปน “ปาดงบาน” เดิม ทําใหหมูบานมีการเติบโต ชุมชนขยาย ขึ้นมาทางทิศตะวันออกของหมูบานเปนสวนใหญ (โปรดสังเกตแผนที่ หนา ๓๐-๓๑ ประกอบ)
แผนที่เขตการปกครองระดบั อาํ เภอ จงั หวัดอํานาจเจรญิ
แผนที่แสดงตาํ บลเปา หมาย ตําบลน้ําปลีก อาํ เภอเมือง จังหวัด อํานาจเจริญ
น ๑๑,, ๘๘, , ๒,๒, ๙ ๙
๖. เรือ่ งเสมาหลักบาน บอื บา นหรอื ศาลหลกั บานหลักเมือง ในชมุ ชนใหญเ กาแกแตด้ังเดิมในภาคอีสานจะมี *๑“ศาลมเหศักดิ์ หลัก บานหลักเมือง” ซ่ึงมักจะต้ังอยูกึ่งกลางในใจกลางยานชุมชน การกอตั้งและ เติบโตของชุมชนนํ้าปลีกนั้นเร่ิมจาก หมูท่ี ๑ แลวขยายเปนหมูท่ี ๒ เกี่ยวกับ ที่ตั้งของบือบานหรือหลักบานหลักเมืองบานนํ้าปลีกน้ันมีคําบอกเลาใหการ เปน ๒ สถานที่ คอื :- ๑. บือบาน เดิมตั้งอยูบริเวณในเขตบานคุณแมชื่น-คุณพอสนับ สายวรณ คมุ คณุ พอ สําลี วงคละคร ๒. บือบาน ต้ังอยูในเขตบริเวณบานของนายกุมล-นางอินทรแปลง ดา นุวงศ อยูคนละฟากฝงถนนประชาชนบูรณะจากคําบอกเลายืนยันของ “คุณพอ แทง ถีระพันธ” ผูอาวุโสทานหนึ่งของชุมชน และเคยอาศัยอยูบริเวณใกล กับบือบานเกามากอ นที่ จะยายไปอยูหมูที่ ๙ น้ันทานไดใหการยืนยันวา “... หลักบือบานดั้งเดิมน้ันทําจากไมเน้ือแข็ง ตั้งอยูบริเวณที่ของบานเลขท่ี ๒๘ หมู ๘ ต.น้ําปลีก อ.เมือง จ.อํานาจเจริญ เม่ือเวลาผานไปเน่ินนานไปจึงผุพัง ลงไปตามกาลเวลา ประกอบกับมีการจัดวางปรับผังบานครั้งใหญในสมัยของ “กํานันจันทร อินลุเพท” เม่ือมีผูยืนยันที่ตั้งบือบานเดิมวาอยูในเขตบริเวณ บา นของนายกมุ ล ดานุวงศเ ชน นีก้ เ็ ปนอนั ยุติ และเช่อื ได คําวา “บือ” เปนภาษาถ่ิน หมายถึง กึ่งกลาง, ภาษากลางใช สะดือ หรอื สายดอื เนอ่ื งจากบรเิ วณพน้ื ทบ่ี านของนายกมุ ล ดานวุ งศ ปจจุบันนั้นเมื่อ คร้ังอดีตเปนบริเวณก่ึงกลางของบานนํ้าปลีก ระหวางหมูที่ ๑ กับหมูท่ี ๒ กอนทจี่ ะแยกออกเปน
*๑. พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ๒๕๒๕ อธบิ ายไววา - มเหศกั ดิ์ (ถ่นิ – อีสาน) น. เจา ผซี ง่ึ เดิมเปนเจา เมอื งถ่นิ น้นั - มเหสกั ข น. เทวดาผเู ปน ใหญ (ป) หมูท่ี ๘ และหมูที่ ๙ ในภายหลังเม่ือประชากรในชุมชนเพิ่มมากขึ้น จากน้ัน จงึ ไดม กี ารเคลือ่ นยายหลกั บา นหลกั เมืองมาไวในบริเวณหมทู ี่ ๒ ตรงหนาทีท่ าํ การสํานักงานเทศบาลตาํ บลนํ้าปลกี เดมิ ซ่ึงปจจุบันเปนศูนยการเรียนรูชุมชน นํ้าปลีก ดวยบริเวณนี้เปนจุดก่ึงกลางระหวางหมูท่ี ๑, ๘ กับหมูที่ ๒, ๙ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ดังน้ีขอความในหลักเสมาจารึกหลักบานดานทิศตะวันตกท่ีเคย นาํ เสนอมาแลว โดยมีความเปนมาดงั น้ี คณะผูนําหมูบาน นําโดยกํานันจันทร อินลุเพท ฝายฆราวาส พระครู บริหารวัฒนกิจ (ภา ปภาโส) สมณศักด์ิในขณะนั้น (ตอมาไดดํารงตําแหนง เจาคุณโพธิญาณมุนี อดีตเจาคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝายธรรมยุตและ เจาอาวาสวัดสุปฎนารามวรวิหาร) ไดอัญเชิญ “หลักเสมา” จาก “วัดโนน สําโรง” ชาวบานเรียก “วัดโนนสมโฮง” ซึ่งตั้งอยูบริเวณทางทิศตะวันตก เฉียงใตของ หมูบานนํ้าปลีกใกลกับบานยางคํา (หมูที่ ๖) บริเวณนั้นมีสภาพ เปนวัดรางเกาแก มากอน มีใบเสมาปรากฏอยูหลายใบทั้งท่ี ต้ังโผลพน พ้ืนดิน และยังอยูในดินก็มี ยังมีบริเวณอื่นๆ ใกลเคียงกับบานน้ําปลีกมี สถานท่ีเกาแกหลายๆ แหง เชนโนนเมือง (บานคําพระ – โนนเมืองหรือกุด ซวย) โนนหนองบัว โนนวัดฮาง โนนนาหนองวัดปา บริเวณโรงฆาสัตว และ โนนสมโฮง แตละแหงลวนมีหลัก ใบเสมาเกาแก ทั้งที่สมบูรณและท่ีผุกรอน ตามกาลเวลา ปรากฏอยูแตด้ังเดิมท้ังสิ้น และเคยเปนท่ีปฏิบัติวิปสสนา
กัมมัฏฐานของพระผูเครงปฏิบัติมาแลวสันนิษฐานวาเปนเพียงสํานักสงฆ เทานั้นจึงไมป รากฏจารึกหรือหลักฐานอืน่ ระบเุ ปนชอ่ื วัด วัดโนนสมโฮง หรือวัดปายางคําหรือวัดทุงสิริวิปสสนาราม ระยะหน่ึง เคยเปนสถานท่ีปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสายพระอาจารยม่ัน (ภูริทตฺโต) มา กอน คือทานหลวงปูสิงห (ขนฺตยาคโม) หน่ึงในเกจิอาจารยสายธรรมยุตของ ภาคอีสาน ซึ่งกํานันจันทร อินลุเพท และคุณตาลอม ทองยศ เคยสนทนา ธรรมดว ยเม่ือครง้ั ทท่ี า นมาปฏิบัตธิ รรมท่ีวัดโนนสมโฮง การอญั เชิญหลกั เสมานม้ี าจากวดั โนนสมโฮงก็เพื่อใหเปนศูนยรวมจิตใจ ใหชาวน้าํ ปลกี ไดยึดเหน่ียวสักการะเปนหลักชัยหลักบานหลักเมือง เพ่ือความ เปน สิริมงคลของชาวบานน้าํ ปลกี โดยทําพิธีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ไดมีการสลักจารึกเรื่องราวของหมูบาน วัน เดือน ป ที่ทําพิธีอัญเชิญ ไวท เ่ี สมาหลักบานโดยมี *๑คณุ พอบุญแตง ลุผล เปนผูเขียนตัวอักษร มีคุณพอ ใหญกิ่ง วิเศษ เปนชางผูสลัก ดวยเหตุนี้ ลูกหลานชาวน้ําปลีกจึงถือวันที่ ๒๘ มกราคม ของทกุ ปเปนวันงานบุญประเพณี ทเี่ รยี กวา “บญุ บาน” *๑ คําบอกเลา ของ พ.ต.ท.เย่ียม กาฬบตุ ร หลานของคณุ พอ ใหญก ง่ิ วเิ ศษ
๗. เรื่องบุญบา นบญุ กุมขาวใหญ จาก “บุญคุม” มาเปน “บุญบือบาน” จนถึงบุญบาน, “บุญกุมขาว ใหญ” ตามวิถีชีวิตของชนเชื้อสาย ไทย-ลาว ในภาคอีสานจะมี “ฮีตสิบสอง คองสิบส”ี่ เปนจารตี ครรลองในการดาํ เนนิ ชีวิต ยดึ ถือสบื ทอดเปนแนวปฏิบัติ มาแตโบราณ ชวงระยะเดือนยี่ยางเดือนสาม จะมีบุญประเพณีบุญคุม ทํา ขวัญขาว คูนขาวคูนลาน หรือบุญกุมขาวใหญ เพ่ือความเปนสิริมงคลแกการ ทํานาขาวและปตอๆ ไปจะไดมีผลผลิตเพ่ิมมากขึ้น (ภาคกลางมีพิธีทําขวัญ ขาวรับแมโพสพ) ในสมัยดั้งเดิม จะจัดเปน “คุม” ซ่ึงหมายถึง แตละ ละแวกชมุ ชนบริเวณชมุ ชน คุมดั้งเดิมใน บานน้ําปลีกมีหลายคุม เชน คุม ลิ้นฟา คุมวัดเกา คุมโนนวัดฮาง (ฐานจุดบั้งไฟเกา) คุมวัดกลาง คุมบือบาน คุมคําบอน คุมน้ําสรางกิน คุมหนองหมาจอก คุมวัดปา คุมเมืองเถ่ือน (คุม เมืองทองสามัคคี) คุมสุขศาลา (คุมอนามัยสามัคคี) คุมคํานกยูง (คุมโรงเรียน ชุมชนบานน้ําปลีก) เปน ตน เมื่อเสร็จจากการทํานาขาวแลว นําขาวข้ึนยุงข้ึนฉาง (ชาวบาน เรียกวา “ขาวข้ึนเลา”) จะมีประเพณีทําขวัญขาวคูนขาวคูนลาน ในแตละละแวกคุม เพื่อใหเกิดความเปนสิริมงคลแกขาวแกครอบครัว แตละคุมจะจัดกันเอง อาหารที่ตระเตรียมตอนรับ และฝากญาติพ่ีนอง เพ่ือนบานมิตรสหายที่แวะ มาเย่ียมเยียน สวนใหญจะทํามาจากขาวเกือบท้ังส้ิน เชน ขาวปุน (ขนมเสน ขนมจีน) ขาวหลง (ขาวเหนียวเปยก) ขาวปาด ขาวเหนียวแดง ขาวหมาก ขาวตม ขาวเกรียบ สาโทหรือน้ําใสใจจริง หมายถึง เหลากล่ัน ซ่ึงเปนสุราที่ ชาวบานตม กลั่นเองก็หมักและทําจากขา ว
ในกาลตอมาเพ่ือกอใหเกิดความสามัคคีกลมเกลียวรวมเปนน้ําหนึ่ง ใจเดียวกัน ผูนําชุมชนและกรรมการหมูบาน จึงดําเนินกุศโลบาย อยางแยบ คาย โดยจัดงานบุญคุมทุกคุมมารวมกัน เปนบุญประเพณีท่ี “บือบาน” โดย กะประมาณชวงเวลาที่ครัวเรือนสวนใหญเสร็จจากงานนา ขาวขึ้นเลาข้ึนยุง ข้ึนฉาง แลว จากบุญคุมตางๆ จึงกลายมาเปน “บุญบือบาน” ดวยความที่ ชนชาวน้ําปลีกเปนสังคมท่ีมีลักษณะโอบออมอารี เอื้อเฟอเผื่อแผ รักการ ประนปี ระนอม ไมชอบ มีความขัดแยง จึงตกลงพรอมใจกันรวมบุญคุมทุกคุม มาจัดรวมกันที่บือบานอันเปนท่ีตั้งของหลักบาน มีการขอบริจาค “แผขาว” รวมบริจาคขาวเปลือกมารวมกันเปน “กุมขาว” กองใหญทําพิธีสูขวัญขาว ตามประเพณเี กาแกแตโ บรา่ํ โบราณ มกี ารวา จางมหรสพ เชน ภาพยนตร และ หมอลํา มา “เสพงัน” หมายถึง การเฉลิมฉลองใหไดรับความสนุกสนาน บันเทิงกันในหมูชาวบาน ลูกหลานชาวนํ้าปลีก และหมูบานใกลเคียงมีพิธี ทําบุญพิธีสงฆและพิธีพราหมณ สูขวัญขาวเพื่อความเปนสิริมงคล ตั้งแตวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ มาเปนครั้งแรก และตอมาเปนประจําทุกป “บุญ คุม” จึงใชคําวา บุญบือบาน บุญกุมขาวใหญ หรือ บุญบาน แทนจน ปจจุบัน ลูกหลานชาวนํา้ ปลีกทไ่ี ปอยู ประกอบอาชพี การงานอยูแ หงหนตําบลใด ก็ตาม ก็จะมารวมกันจากท่ัวสารทิศที่งานบุญบาน หากไมมีภารกิจ ติดธุระที่ จําเปนก็จะมาถิ่นกําเนิดในวันท่ี ๒๗ – ๒๘ มกราคม ของทุกป โดยมิไดนัด หมาย
๘. เรือ่ งเฒาในบานผูนําชุมชน ผูนําชมุ ชนบานนา้ํ ปลีกจากอดีตถึงปจ จุบัน ผูนําชุมชนนํ้าปลีกในยุคแรกเร่ิมกอตั้งชุมชนมีตําแหนงเรียกกันวา “เฒาในบาน” ซ่ึงหมายถึง บุคคลผูสูงดวยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ที่มีความรู ความสามารถในการเปนผูนําได ถาเทียบกับชาวไทยภาคกลางก็คือ ตําแหนง “กํานัน” ถาเปนพ่ีนองชาวลาวทางฝงซายแมน้ําโขงก็จะเรียกวา ตําแหนง “ตาแสง” ผูนําในยคุ แรกเร่ิมกอต้งั ชมุ ชนนํ้าปลกี พอจะประมวลลําดบั มาไดด งั น้ี ๑. ยคุ แรกเริ่มกอ ตง้ั หมูบา น ประมาณ พ.ศ. ๒๒๔๘ ตามจารึกเสมาหลักบานระบุนามไว ๒ ทาน คือ “เฒาพรหมหชัย และเฒามหาสงคราม” ตอมาประมาณ พ.ศ. ๒๓๑๗ มี ปรากฏนามตามคําบอกเลาของผูรูผูอาวุโสอีก ๒ ทาน คือ “พอเฒาชัยพร และพอ เฒา ชยั สิงห” แลวในกาลตอมาอีกประมาณชวง พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่เรียก กันวา “ยุคบานเดือด” ก็ปรากฏนามผูนําวา “เฒาพรหมชัย” บางทานก็วา “เฒา พรหมบุตร” กม็ ี ๒. ยคุ บานคอมฐี านะสูงขึ้นเปน เมืองคอ เดิมบานนํ้าปลีกข้ึนอยูกับอําเภออํานาจนอย (อ.ลืออํานาจในปจจุบัน) บานคอ ใหญคอนชยั *๑มฐี านะสูงขึ้นเปนเมืองคอ ในแผนดนิ รัชกาลที่ ๓ แลวได ชื่อเมืองอํานาจเจริญในแผนดินรัชกาลท่ี ๔ เปลี่ยนเปนอําเภออํานาจเจริญใน แผนดินรัชกาลที่ ๕ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๓ ใหขึ้นกับเมืองเขมราฐบริเวณ อุบลราชธานี อํานาจเจริญยายสังกัดไปขึ้นเมืองยโสธร (เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒) แลว ยา ยไปขึน้ กับเมืองอบุ ลราชธานี (เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๕)
*๑ ช่ือบานนามเมืองจังหวัดอํานาจเจริญ สุจิตต วงษเทศ สภาวัฒนธรรม จังหวัดอํานาจเจริญ เรอื นแกว การพิมพ, ๒๕๔๙ : ๑๐๗ ตอมาบานน้ําปลีกไดเปลี่ยนมาขึ้นกับอําเภอบุง (อําเภออํานาจเจริญ) จังหวัดอุบลราชธานี เน่ืองจากระยะทางหางไกล ไมสะดวกในการเดินทางไป ติดตอราชการ *๑จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๔๕๗ บานน้ําปลีกมีครอบครัวและ ประชากรหนาแนนข้ึน จึงไดมีการเลือกและตั้งบานน้ําปลีกข้ึนเปน “ตําบล” มเี ขตปกครอง คอื บา นนาํ้ ปลีก บานดงบัง บานคําสรางบอ บานยางคํา และ บานดอนดู จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๕๓๖ *๒ทางราชการไดมีการประกาศจัดตั้ง อําเภออํานาจเจริญเปน จังหวัดอํานาจเจริญ โดยแยกจากจังหวัด อุบลราชธานี บานน้ําปลีกจึงข้ึนตรงกับอําเภอเมืองอํานาจเจริญ โดยมีผูนํา ชุมชนดํารงตําแหนงกํานันตําบลนํ้าปลีกจากอดีตจนถึงปจจุบันตามลําดับ รายนามดงั นี้ :- *๓ ๑. กาํ นนั คําชมพหู รือคําชมภู (นายชมพู อรสาร) ๒. กํานันสิทธิบาล หรือสิทธิจักร บางทานวา กํานันสิทธิบาลหรือ จันทรจกั รกม็ ี (นายจนั ทร ทองทพิ ย) ๓. กาํ นนั จนั ทรสมทุ ร (นายบวั กมลรตั น) ชาวบา นเรียกกํานันบวั ๔. กํานนั มลู เสนา (นายมุล ดอกไม) ชาวบานเรยี กกาํ นนั มลุ หรอื มุน ๕. กํานันจันทร อินลุเพท (บิดาช่ือนายพ่ัว อินลุเพท เปน ผูใหญบาน) เปนกํานันคนแรกที่ไดรับพระราชทานปริญญารัฐศาสตร มหาบัณฑิต (ร.ม.) กิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จากพระหัตถ พระบาทสมเด็จพระเจา อยูห วั ภูมิพลอดุลยเดช *๔ เม่อื พ.ศ. ๒๕๑๕ *๑ จากบันทึกของคุณพอเกง สิงหแกว อดีตกํานันลําดับท่ี ๖ ของตําบลนํ้า ปลกี
*๒ มี พ.ร.บ. จัดต้ังจังหวัดอํานาจเจริญเม่ือ ๒ ก.ย. ๒๕๓๖ ใหมีผลบังคับใช ต้ังแต ๑ ธ.ค. ๒๕๓๖ ในประกาศราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษหนา ๔-๖ เลม ๑๑๓ ตอนที่ ๑๒๕ เปนจังหวัดที่ ๗๕ ของประเทศไทย *๓ จากการสืบคน สอบถามตามคําแนะนําของคุณพอประเสริฐ วิเศษ จาก การใหขอมูลของคุณยายซาดี จิตรมาศ อายุ ๘๕ ป และคุณยายเสน บุญพุฒ อายุ ๙๔ ป *๔ แกไ ขตามทค่ี ณุ วรวทิ ย อนิ ลเุ พท แนะนํา ๖. กาํ นนั เกง สงิ หแกว (อดีตสมาชกิ สภาเทศบาล ตาํ บลน้ําปลกี ) ๗. กํ า นั น จิ ต ติ รั ต น พิ ทั ก ษ สุ ข ( ป จ จุ บั น ดํ า ร ง ตํ า แ ห น ง นายกเทศมนตรตี ําบลนํ้าปลกี ) ๘. กํานันบรรเทิง ศรีวลักษณ (อดีตสมาชิกสภาเทศบาลตําบลนํ้า ปลีก) ๙. กาํ นันกิ่ง พรรณรตั น (อดตี ผใู หญบ า นบา นคาํ สรา งบอ ) ๑๐. กํานนั บุญศรี แกว มาลา (อดีตผใู หญบ า นบานคําสรา งบอ ) ๑๑. กาํ นันสวุ รรณ พิลาชัย (อดีตผูใหญบ านหมทู ่ี ๑) ๑๒. กํานันสมพงษ พันธทอง (อดีตผูใหญบานบานดงบัง) คน ปจจบุ นั เม่ือ พ.ศ.๒๕๔๒ สุขาภิบาลตําบลน้ําปลีกไดรับการประกาศ เปลีย่ นแปลงฐานะเปน *๑ “เทศบาลตําบลน้ําปลีก” ซึ่งมีเขตปกครอง ๔ หมู ไดแ ก หมูท่ี ๑, ๘, ๒, ๙ สว นหมูอื่นๆ ไดแก หมูท่ี ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๑๐ น้ันอยู ในเขตปกครองขององคการบริหารสวนตําบลนํ้าปลีก ดังนั้นตําแหนงกํานัน ลําดับท่ี ๙, ๑๐ จึงอยูในเขตความรับผิดชอบของ อบต. ตามกระแสการเมือง ทอ งถิน่ ของชว งเวลานัน้ ตําบลน้ําปลีก ประกอบไปดวย ๕ หมูบาน แบงออก เปน ๑๐ หมู ดังตอไปน้ี
๑. บานน้ําปลีก มี ๔ หมูไดแกหมูท่ี ๑, ๒, ๘, ๙ ตามลําดับการกอต้ัง หมูบาน ปจจุบันมีฐานะเปนเทศบาลตําบลนํ้าปลีก แบงเขตการปกครอง ออกเปน ๖ ชุมชน คอื หมทู ี่ ๑ ประกอบดว ย ชมุ ชนศรมี งคล หมทู ี่ ๘ ประกอบดว ย ชมุ ชนผดงุ ศาสน หมูท่ี ๒ ประกอบดวย ชุมชนสามัคคีสัมพันธ และชุมชนสมาน สามคั คี หมูที่ ๙ ประกอบดวย ชุมชนเมืองทองสามัคคี และชุมชนอนามัย สามัคคี *๑ สขุ าภิบาลตาํ บลนํา้ ปลีก ไดร ับการประกาศเปลยี่ นแปลงฐานะเปนเทศบาล ตําบลนํ้าปลีกเม่ือ ๒๕ พ.ค. ๒๕๔๓ ตามคําใหการของคุณอัษฎางค เถาวโท อดตี นายกเทศมนตรี (รักษาการ) ตําบลนา้ํ ปลกี ๒. บา นดงบงั ไดแ ก หมูท่ี ๓, ๑๐ ๓. บานคําสรา งบอ ไดแก หมทู ่ี ๔, ๕ ๔. บานยางคํา ไดแก หมทู ี่ ๖ ๕. บา นดอนดู ไดแก หมทู ี่ ๗ *หมายเหตุ* ขอความจากหนา ๓๗-๓๘ ตองมีการปรับปรุงแกไขใหม เนื่องจากไดรับคําแนะนําจากคุณพอประเสริฐ วิเศษ เพ่ือหาขอยุติเรื่องกํานัน คนแรก จึงไดสอบถามจากคุณยายซาดี จิตรมาศ อายุ ๘๕ ป ซึ่งยืนยันวา กํานันชมพู อรสาร เปนกํานันคนแรกเปนคุณตาของทานเอง และสอบถาม จากคุณยายเสน บุญพุฒ อายุ ๙๔ ป ก็ยืนยันวาจริง และเปนบรรพบุรุษของ บุตรเขยทานสวนขอยืนยัน ของคุณพอเกง สิงหแกว และหลายๆ ทาน
ท่ีวาเปนผูใหญบานนั้นไดสอบถามจากคุณครูธงชัย งอกงาม อดีตครูโรงเรียน บานดงบังพัฒนา และผูรวบรวมขอมูล สภาวัฒนธรรมตําบลนํ้าปลีกก็ ยนื ยนั รับรองวา นายริน ชมพู เปนอดีตผูใหญบานดงบัง ในยุคตนๆ จริงจึงเปน วา ยุตเิ รื่องกาํ นันคนแรกไดแ ลว
๙. เรือ่ งภาคภูมิใจชนชาวน้ําปลกี ส่งิ ศักด์ิสทิ ธิ์ที่ยึดเหนย่ี วจิตใจของชาวนาํ้ ปลกี ชาวน้ําปลีกเคยมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คูบานคูเมืองที่บรรพบุรุษสราง จากทองคําและเงินแทไวกราบไหวสักการะบูชามาชานาน แตเปนที่นา เสียดายวากลายเปนอดีตไปแลว เน่ืองจากถูกมือดีลักขโมยไปขายโดยไมเกรง กลัวตอบาปกรรมแมจะมีผูที่พยายามสืบคน เพื่อหาทางนํากลับคืนมาแตก็ไร ผล ดังน้ัน ส่ิงที่เปนที่ยึดเหน่ียวทางจิตใจ และสถานท่ีศักด็สิทธ์ิที่ชาว ลูกหลาน ใหความเคารพบูชากราบไหวเปนที่ยึดเหนี่ยวทางใจนอกจากวัด ประจําหมูบานสามวัดท่ีเคยเปนท่ีประดิษฐฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ท้ังสาม วัดอันไดแก วัดศรีมงคล วัดกลางนํ้าปลีก และวัดโนนสําโรง แลวยังมีศาล มเหศกั ด์ิหลกั บา นหลักเมอื งท่ีเปนเสมาหลกั บาน ที่ชาวบา นเรียกวา “พอปูบือ บาน” และ “ดอนปูตาพอปูดอนหอ” ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์อยางนา อัศจรรยย ิ่ง ผูเรียบเรียงเคยไดรับคําบอกเลาจาก พอจํ้าหิง นรศรี (นายหิง นรศรี ปจ จบุ นั เสยี ชวี ิตแลว) คําวา “พอ จาํ้ ” เปน คาํ ท่ีเปนคาํ ที่ชาวบานเรยี ก คนทรง รางทรง ของวญิ ญาณ ในภาษากลาง ทา นเลาใหฟ งอยา งยอๆ วา พอปูดอนหอ ของชาวน้ําปลีก มีนามวา “พอปูอินทบาล” “มีแม ยานางกลวย” เปนภรรยา เปนบุคคลท่ีมีชีวิตอยูในสมัยที่กําลังมีการกอสราง พระธาตุพนม ในยคุ แรกๆ เปน เช้ือชาตนิ กั รบ มีญาตพิ ี่นองอยูทาง “โนน เมือง” คนรุนเกาแกของบานคําพระ – โนนเมือง – กุดซวย เรียก “เมืองเปง จาล” ซึ่งมีนามวา “พอปูรัฐบาล” หลักฐานยืนยันประกอบคําบอกเลาก็คือ
เคยมีกอนหินศิลา วางคางอยูบนก่ิงไมยางท่ีสูงใหญที่โนนเมือง คนเฒาคนแก เลาสืบตอกันมาวาคนแปดศอก (คนในสมัยโบราณรางกายสูงใหญถึงแปด ศอก) พากันขนหินศิลาเหลาน้ีจะไปรวมสรางพระธาตุพนม แตเกิดเจ็บปวย ระหวางทาง จึงวางกอนหินศิลาไวบนกิ่งยาง แลวลมตายลงไปเสียกอน เวลา ผานไปเน่ินนาน ตนยางก็เจริญเติบโตสูงขึ้นมาเร่ือยๆ แตเปนที่นาเสียดายใน ปจจบุ ันน้ี ตนยางดงั กลาวไดโ คน ลงมาหลายปแลว ยงั คงหลงเหลอื เปนคําบอก เลากลาวขานใหล ูกหลานรนุ หลงั ไดฟงตอๆ มาเทานน้ั ทุกปกอนท่ีจะลงมือทํานา ชาวน้ําปลีกจะมีพิธีเล้ียง “พอปูดอนหอ” เพ่ือขอเส่ียงทาย ทราบชวงระยะเวลาท่ีจะมีฝนตกมีน้ําทํานา และประเพณี บุญบั้งไฟ ชาวบานเรียกพิธีน้ีวา “การเส่ียงหลวย” เส่ียง หมายถึง การเส่ียง ทาย หลวย หมายถึง มีดดาบ ซึ่งจะมี “พอเฒาจ้ํา” (รางทรง) ทําพิธี เสี่ยงดวยหลวย (มีดดาบ) โดยพอเฒาจํ้า หรือผูท่ีไดรับมอบหมาย จะนํามีด ดาบมาตั้งปกปลายดาบลงพ้ืนดิน แลวใชนิ้วช้ีประคองดามไวสองขาง แลวใช คําถามถามเปนการเส่ียงทาย แทนคําตอบ เชน ถามวาปนพ้ี อ ปจู ะใหลูกหลาน จัดประเพณีบญุ บ้งั ไฟไหม ถา ใหจดั ขอใหหลวยหมุน ใหเ ปนท่ีประจกั ษแจงแก ตาแกใจลูกหลานดู ถาพอปูประสงคจะใหจัดประเพณีบุญบั้งไฟ หลวยก็จะ หมุนใหเห็นเปนท่ีนาอัศจรรยอยางย่ิง ถาปใดพอปูไมประสงคจะใหจัด หลวย น้ันก็จะไมหมุนเลย อยางน้ีเปนตน หรือถามวา จะมีฝนตกลงมาใหลูกหลาน ทํานาเดือนใด? เดือนหกมีไหม? ถาเดือนหกฝนตกมีนํ้าไดทํานา หลวยก็จะ หมุนเปนคําตอบใหทราบ แตถาไมมีฝนในเดือนหก หลวยนั้นก็จะนิ่ง ไมหมุน แตอ ยางใด ปจจุบันสํานักงานเทศบาลตําบลน้ําปลีก ผูนําชุมชนและลูกหลาน ชาวน้ําปลีก จะพรอมใจกันจัดพิธีเล้ียงพอปูดอนหอและเสี่ยงหลวยในวัน
“พืชมงคล” ของทุกป จึงอยากขอเชิญชวนทานท่ียังไมเคยพบเห็นมาพิสูจน ความมหัศจรรยนี้ ดวยตัวทา นเอง ความภาคภมู ิใจของชาวนา้ํ ปลีก ความเจริญกาวหนาในดานการพัฒนาจนกลายมาเปนชุมชนแหง การศึกษาของบานนํ้าปลีก ก็เนื่องมาจากความสามัคคีรวมแรงรวมใจเปนน้ํา หนึ่งใจเดียวกัน ประสานกัน ความมีวิสัยทัศนของผูนําชุมชนมีการกอต้ัง โรงเรียนประชาบาล บานนํ้าปลีกที่วัดกลางน้ําปลีก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยมี หลวงอเนกอํานาจ นายอําเภอ กับกํานันสิทธิบริบาล เปนผูกอต้ังหลังจกนั้นก็ มีการกอตั้งโรงเรียนอีสานวิทยาลัย โรงเรียนมัธยมอีสานวิทยาลัย ตามลําดับ ขึ้นที่วัดกลางน้ําปลีก ทาํ ใหลกู หลานในชมุ ชนน้าํ ปลกี และหมูบานใกลเคียงได มีโอกาสไดรับการศึกษา และเปนชุมชนที่มีการพัฒนา นําหนาชุมชนอ่ืนๆ ใน สมยั น้ัน ๑* โรงเรยี นประชาบาลนํ้าปลีก น้ันตอมาไดยายมาต้ังที่ หมูท่ี ๙ และ เปลี่ยนช่ือเปน “โรงเรียนบานนํ้าปลีก (อ.บ.๗๑)” ตอมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ จึงใชช่ือวา “โรงเรียนชุมชนบานน้ําปลีก” (ชน.ป.)” สวนโรงเรียนมัธยม อีสานวิทยาลัยน้ัน ในเวลาตอมาก็ไดยายไปดําเนินการอยูที่ วัดศรีมงคล โดย ใชช่ือใหมวา “โรงเรียนน้ําปลีกวิทยา” (ป.ย.)” ดําเนินการจัดการโดย คุณ พอประเชิญ เตาเงิน และไดยายออกมาดําเนินการในที่ดินของตนเองในเวลา ตอมา เม่ือประสบกับภัยจากเศรษฐกิจจนไมอาจรับภาระและดําเนินการ ตอ ไปได จึงขอโอนกิจการเขา เปน ของรัฐ ประจวบกับเวลานั้นคณะผูนําชุมชน และชาวบานไดร ว มพรอมใจกันขอจัดต้ังโรงเรียนมัธยมศึกษาระดับตําบลจาก
ทางรัฐบาล จึงไดจัดตั้งเปน โรงเรียนน้ําปลีกศึกษา (น.ป.)” ข้ึนเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพนั ธ พ.ศ.๒๕๒๒ ๑* คุณพอแทง ถีระพันธ เลาวา ร.ร.ประชาบาลน้ําปลีก ยายจากวัดกลาง ไปอยูที่ วัดศรีมงคลกอน แลวจึงยายมาต้ังอยูท่ีหมูท่ี ๙ ในปจจุบัน ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ ความเจริญกาวหนา ในงานดานการพัฒนาปรากฏเห็นไดชัดเจนใน สมัย “กํานันนกั พฒั นา นายจนั ทร อนิ ลเุ พท” โดยอาศัยความรวมไมรวมมือ รวมแรงรวมใจ ความสามัคคีพรอมเพรียงกันของชาวบาน ๑* ไดมีการจัดวาง ผังหมูบานอยางมองการณไกลมีวิสัยทัศน เปนระเบียบเรียบรอย มีการนํา ระบบไฟฟา ประปา ถนนหนทาง การอนามัย ระบบสาธารณูปโภค เขามาใช ในหมูบาน สงเสริม สนับสนุนใหลูกหลานชาวน้ําปลีกหลายตอหลายทานเขา ไปศึกษาเลาเรียนตอ ในระดับมัธยมศึกษาในตัวเมือง และในระดับสูง คือ อดุ มศึกษา หลงั จากทท่ี า นเหลานัน้ สําเร็จการศึกษา กม็ ารวมกันสอนลูกหลาน ทโ่ี รงเรียนมัธยมศกึ ษาในหมูบานตอ ๆ กนั มา ผลผลิตที่ออกมาอยางมีคุณภาพ เหลานั้นไดออกมารับใชบานเมือง และสังคมอยางมากมาย ทั้งในสายงาน ราชการ เอกชน และอื่นๆ เกือบทุกสาขาอาชีพ ฝายพลเรือนมีทั้ง แพทย พยาบาล วิศวกร ครู-อาจารย สายตํารวจ-ทหาร ไดช้ันสัญญาบัตรก็หลาย ทาน เอกชนมีท้ังระดับผูบริหาร ผูจัดการ บุคคลเหลานี้ลวนเปนกําลังสําคัญ มาขับเคล่ือนผลักดันในการพัฒนาชุมชนนํ้าปลีก ใหเจริญกาวหนาขึ้นเรื่อยๆ ตามแนวทางการพัฒนาแบบ “สามเสา” อันไดแก บาน วัด และโรงเรียน (บวร (บอ-วอน, บอ-วอ-ระ) (แบบ) ว.ประเสริฐ, ลํ้าเลิศ) ตามแนวคิดของ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107