ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทร หรือทะเลท่ีน้าอุณหภูมิ สูงตังแต่ 26–27 องศาเซลเซียสขึนไป ท้าให้อากาศที่มี อณุ หภูมิและความชืนสูงบริเวณนันเคล่ือนท่ีสูงขึนอย่างรวดเร็ว เป็นบริเวณกว้าง อากาศจากบริเวณอื่นเคลื่อนเข้ามาแทนท่ี และพัดเวียนเขา้ หาศนู ยก์ ลางของพายุ ย่ิงใกล้ศูนย์กลางอากาศ จะเคล่ือนท่ีพัดเวียนเกือบเป็นวงกลม และมีอัตราเร็วสูงท่ีสุด พายุหมุนเขตร้อนท้าให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ฝนตกหนัก ซึ่งอาจ ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน จึงควรปฏิบัติตนให้ ปลอดภยั โดยตดิ ตามข่าวสารการพยากรณ์อากาศ และไมเ่ ขา้ ไป อยใู่ นพนื ที่ท่ีเส่ยี งภยั 4. อธิบายการพยากรณ์อากาศ การพยากรณ์อากาศเป็นการคาดการณ์ลมฟ้าอากาศ และพยากรณ์อากาศอย่างง่าย ที่จะเกิดขึน ในอนาคตโดยมีการตรวจวัดองค์ประกอบลมฟ้า จากขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ อากาศ การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้า อากาศระหวา่ งพืนทก่ี ารวิเคราะห์ข้อมูล และสร้างคา้ พยากรณ์ อากาศ 5.ตระหนักถึงคุณค่าของการ การพยากรณ์อากาศสามารถน้ามาใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ พยากรณ์อากาศโดยน้าเสนอแนว เช่น การใช้ชีวิตประจ้าวัน การคมนาคม การเกษตร การ ทางการปฏิบัติตน และการใช้ ปอ้ งกัน และเฝา้ ระวงั ภยั พบิ ตั ิทางธรรมชาติ ประโยชน์จากคา้ พยากรณอ์ ากาศ 6 . อ ธิบ ายส ถาน การณ์ แ ล ะ ภูมิอากาศโลกเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเนื่องโดยปัจจัย ผลกระทบการเปล่ียนแปลง ทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบันการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิอากาศโลกจากข้อมูลท่ี เกิดขึนอย่างรวดเร็วเน่ืองจากกิจกรรมของมนุษย์ในการ รวบรวมได้ ปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกสู่บรรยากาศ แก๊สเรือนกระจก ทีถ่ ูกปลดปล่อยมากท่ีสุด ได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่ง หมุนเวียนอยใู่ นวัฏจกั รคารบ์ อน 7. ตระหนักถึงผลกระทบของการ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกก่อให้เกิดผลกระทบต่อ เปล่ยี นแปลงภูมิอากาศโลกโดย สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น การหลอมเหลวของน้าแข็ง น้าเสนอแนวทางการปฏิบัติตน ขัวโลก การเพิ่มขึนของระดับน้าทะเล การเปลี่ยนแปลงวัฏ ภ า ย ใต้ ก าร เป ล่ี ย น แ ป ล ง จักรน้า การเกิดโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้า และการเกิดภัย ภมู อิ ากาศโลก พิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึน มนุษย์จึงควรเรียนรู้แนว ทางการปฏิบัติตนภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ทังแนวทาง การปฏิบัติให้เหมาะสม และแนวทางการลดกิจกรรม ท่ี สง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศโลก
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพื่อการดา้ รงชีวติ ในสังคมทีม่ ี การเปลย่ี นแปลง อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตรอ์ ืน่ ๆ เพือ่ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอยา่ งมคี วามคิดสร้างสรรค์ ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยี อยา่ งเหมาะสม โดยค้านงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และส่ิงแวดล้อม ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 ๑.อธบิ ายแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีในชีวติ ประจา้ วัน และ •เทคโนโลยีเป็นสิ่งทีม่ นุษย์สร้างหรอื พฒั นาขนึ ซ่งึ อาจเป็นได้ วเิ คราะหส์ าเหตุหรือปจั จัยทส่ี ง่ ผลตอ่ การเปล่ยี นแปลงของ ทงั ชินงานหรอื วิธกี ารเพอ่ื ใช้แกป้ ัญหาสนองความตอ้ งการ เทคโนโลยี หรอื เพิ่มความสามารถ ในการทา้ งานของมนุษย์ ๒. ระบปุ ญั หาหรอื ความต้องการในชีวติ ประจ้าวัน •ระบบทางเทคโนโลยเี ป็นกลมุ่ ของส่วนต่าง ๆตังแต่ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู และแนวคิดท่เี กย่ี วขอ้ ง กับ สองส่วนขนึ ไปประกอบเข้าด้วยกนั และ ท้างานรว่ มกนั ปญั หา เพือ่ ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์โดยในการทา้ งานของระบบทาง เทคโนโลยีจะประกอบ ไปดว้ ยตวั ป้อน (input)กระบวนการ (process)และผลผลติ (output)ที่สัมพนั ธก์ นั นอกจากนี ระบบ ทางเทคโนโลยอี าจมีขอ้ มลู ย้อนกลบั (feedback)เพอ่ื ใช้ปรับปรุง การท้างานไดต้ าม วตั ถุประสงค์ ซึ่งการวเิ คราะห์ ระบบทาง เทคโนโลยชี ว่ ยให้เข้าใจองค์ประกอบและการ ทา้ งานของเทคโนโลยี รวมถึงสามารถ ปรับปรงุ ให้ เทคโนโลยีทา้ งานไดต้ ามต้องการ •เทคโนโลยีมกี ารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ซงึ่ มสี าเหตหุ รอื ปจั จัยมาจากหลายด้านเช่น ปญั หาความต้องการ ความก้าวหนา้ ของศาสตร์ ตา่ งๆ เศรษฐกิจสงั คม •ปัญหาหรือความต้องการในชีวติ ประจา้ วนั พบได้ จากหลายบริบทขนึ กบั สถานการณ์ทป่ี ระสบ เช่น การเกษตรการอาหาร •การแกป้ ญั หาจา้ เปน็ ตอ้ งสบื ค้น รวบรวมข้อมลู ความร้จู ากศาสตรต์ า่ งๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งเพ่อื น้าไปสู่ การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา ๓. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหาโดยวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บ •การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตัดสินใจเลือกขอ้ มลู ที่ และตดั สินใจเลอื กขอ้ มูลที่จา้ เปน็ นา้ เสนอแนวทาง จา้ เปน็ โดยคา้ นงึ ถึงเงอ่ื นไข และทรพั ยากรท่ีมีอยู่ การแกป้ ัญหาใหผ้ ู้อื่นเข้าใจ วางแผนและดา้ เนนิ การ แก้ปญั หา ชว่ ยให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาทเ่ี หมาะสม •การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทา้ ไดห้ ลากหลายวิธเี ชน่ การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ การเขยี นผังงาน •การก้าหนดขันตอนและระยะเวลาในการท้างาน ก่อน ดา้ เนนิ การแกป้ ญั หาจะชว่ ยใหท้ า้ งานส้าเรจ็ ไดต้ าม เป้าหมายและลดข้อผิดพลาด ของการท้างานที่อาจเกดิ ขึน
๔.ทดสอบ ประเมนิ ผล และระบุข้อบกพร่องที่ •การทดสอบ และประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ เกิดขนึ พรอ้ มทงั หาแนวทางการปรับปรุงแกไ้ ข และ ชนิ งานหรือวธิ กี ารวา่ สามารถแกป้ ัญหาไดต้ าม นา้ เสนอผลการแกป้ ญั หา วัตถุประสงคภ์ ายใต้กรอบของปญั หา เพื่อหา ขอ้ บกพร่องและดา้ เนนิ การปรบั ปรุง โดยอาจ ทดสอบซ้าเพ่ือให้สามารถแก้ปัญหาได้ ๕.ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ •การนา้ เสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคดิ เพื่อให้ เครอื่ งมอื กลไก ไฟฟา้ หรอื ผู้อน่ื เขา้ ใจเกย่ี วกับกระบวนการท้างาน และชินงาน หรือวธิ ีการทไี่ ด้ ซ่ึงสามารถท้าได้ หลายวิธี เช่น อเิ ล็กทรอนิกส์ เพอ่ื แกป้ ัญหาได้อย่างถูกต้อง การเขียนรายงานการทา้ แผ่นน้าเสนอผลงาน การ เหมาะสม และปลอดภัย จัดนทิ รรศการ การน้าเสนอผ่านสื่อออนไลน์ •วัสดแุ ต่ละประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกนั เชน่ ไม้ โลหะพลาสตกิ จงึ ตอ้ งมกี ารวเิ คราะหส์ มบตั ิเพื่อ เลอื กใช้ให้เหมาะสมกับลกั ษณะของงาน •การสรา้ งชินงานอาจใชค้ วามรเู้ รื่องกลไก ไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ LED บซั เซอร์ มอเตอร์ วงจรไฟฟ้า •อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างชินงานหรอื พัฒนาวิธกี ารมหี ลายประเภทต้องเลอื กใช้ ให้ ถกู ต้องเหมาะสมและปลอดภัยรวมทงั รู้จกั เก็บรักษา
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคา้ นวณในการแก้ปัญหาทพ่ี บในชีวิตจริง อยา่ งเป็น ขันตอนและเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทา้ งาน และการ แก้ปญั หาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมีจริยธรรม ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 ๑. ออกแบบอัลกอริทมึ ทใี่ ชแ้ นวคดิ เชงิ นามธรรม เพือ่ •แนวคิดเชิงนามธรรม เป็นการประเมนิ แก้ปญั หาหรอื อธบิ ายการทา้ งานทพี่ บในชีวิตจริง ความสา้ คัญ ของรายละเอียดของปัญหา แยกแยะส่วน ที่เปน็ สาระสา้ คัญออกจากส่วนท่ไี มใ่ ชส่ าระสา้ คัญ ๒.ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย เพ่อื •ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ ต้องการปูหญา้ ในสนามตามพนื ท่ี แก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์หรือวทิ ยาศาสตร์ ที่ก้าหนดโดยหญา้ หน่งึ ผืนมคี วามกว้าง ๕๐ เซนตเิ มตร ยาว ๕๐ เซนติเมตร จะใชห้ ญ้าทงั หมดก่ผี นื ๓.รวบรวมข้อมูลปฐมภมู ิ ประมวลผล ประเมนิ ผล นา้ เสนอข้อมูล และสารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์ •การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมกี ารใชต้ ัวแปร โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ เงือ่ นไขวนซ้า หลากหลาย •การออกแบบอัลกอริทึม เพ่ือแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์วิทยาศาสตรอ์ ยา่ งงา่ ย อาจใช้ แนวคดิ เชงิ นามธรรมในการออกแบบ เพื่อให้การแกป้ ัญหามี ประสทิ ธิภาพ •การแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ขนั ตอน จะช่วยใหแ้ ก้ปญั หา ได้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ •ซอฟตแ์ วรท์ ีใ่ ช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, python, java, c •ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ โปรแกรมสมการการเคลอ่ื นที่ โปรแกรมค้านวณหาพนื ท่ี โปรแกรมค้านวณดชั นีมวล กาย •การรวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มลู ปฐมภมู ิ ประมวลผลสร้างทางเลอื ก ประเมินผล จะ ท้าให้ ได้สารสนเทศเพอ่ื ใช้ในการแก้ปัญหาหรอื การ ตดั สินใจได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ •การประมวลผลเปน็ การกระทา้ กบั ข้อมลู เพ่ือให้ ได้ ผลลัพธท์ ่ีมีความหมายและมีประโยชนต์ อ่ การนา้ ไปใช้ งานสามารถทา้ ได้หลายวิธี เชน่ คา้ นวณอตั ราสว่ น คา้ นวณค่าเฉล่ยี •การใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เนต็ ท่ี หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ ง ทางเลอื ก ประเมินผลนา้ เสนอ จะชว่ ยให้ แกป้ ญั หาไดอ้ ย่างรวดเร็วถูกต้อง และแมน่ ยา้ •ตวั อย่างปัญหา เน้นการบรู ณาการกบั วิชาอืน่ เช่น ต้มไข่ใหต้ รงกับพฤติกรรมการบรโิ ภค ค่าดชั นีมวลกาย ของคนในทอ้ งถ่นิ การสร้างกราฟผลการทดลองและ วเิ คราะหแ์ นวโน้ม
ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔.ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย ใชส้ ื่อ •ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั เชน่ การ และแหลง่ ข้อมูลตามข้อกา้ หนดและข้อตกลง ปกปอ้ งความเป็นส่วนตัวและอัตลักษณ์ •การจดั การอัตลกั ษณ์ เช่น การตังรหสั ผ่านการ ปกป้องขอ้ มลู ส่วนตวั •การพิจารณาความเหมาะสมของเนือหา เช่น ละเมิดความเปน็ ส่วนตัวผ้อู ืน่ อนาจารวิจารณผ์ ้อู น่ื อยา่ งหยาบคาย •ขอ้ ตกลงข้อกา้ หนดในการใช้สอ่ื หรอื แหล่งข้อมลู ต่างๆ เช่น Creative commons
ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง วทิ ยาศาสตร์ ม.2 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัตขิ องสิง่ มีชีวติ หนว่ ยพนื ฐานของส่งิ มชี วี ิต การล้าเลยี งสารผ่านเซลล์ ความสัมพนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ทท่ี า้ งานสมั พนั ธ์กนั ความสมั พันธ์ ของโครงสร้างและหน้าทขี่ องอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทา้ งานสัมพันธ์กนั รวมทังน้าความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ - ระบบหายใจมอี วยั วะต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง ไดแ้ ก่ จมกู ท่อลม ปอด อวัยวะ ทเ่ี ก่ยี วข้องในระบบหายใจ กะบงั ลม และ กระดูกซ่โี ครง 2. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก - มนุษยห์ ายใจเขา้ เพื่อน้าแกส๊ ออกซเิ จนเขา้ สรู่ ่างกายเพอื่ น้าไปใชใ้ น โดยใช้ แบบจ้าลอง รวมทังอธิบาย เซลล์ และ หายใจออกเพ่อื กา้ จดั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกจาก กระบวนการ แลกเปลย่ี นแก๊ส รา่ งกาย 3. ตระหนักถึงความส้าคัญของระบบ - อากาศเคลื่อนทเี่ ขา้ และออกจากปอดได้ เนือ่ งจากการ หายใจ โดยการบอกแนวทางในการดูแล เปลย่ี นแปลงปริมาตร และความดนั ของอากาศภายในช่องอกซ่งึ รักษา อวัยวะในระบบหายใจให้ท้างาน เกีย่ วข้องกบั การทา้ งานของกะบงั ลม และกระดูกซีโ่ ครง เป็นปกติ - การแลกเปล่ียนแกส๊ ออกซิเจนกับแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ใน ร่างกายเกิดขนึ บรเิ วณ ถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอยที่ถงุ ลม และระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกับเนอื เย่ือ - การสูบบุหร่ี การสดู อากาศทมี่ สี ารปนเป้อื น และการเป็นโรค เกยี่ วกบั ระบบหายใจ บางโรค อาจท้าให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งมี ผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง ดงั นัน จึงควรดูแลรกั ษาระบบ หายใจใหท้ ้าหนา้ ทีเ่ ป็นปกติ 4. ระบุอวยัวะและบรรยายหน้าท่ีของ - ระบบขับถ่ายมีอวัยวะที่เก่ียวข้อง คือ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ อวัยวะ ในระบบขับถ่ายในการก้าจัดของ และท่อ ปัสสาวะ โดยมีไตท้าหน้าที่ก้าจัดของเสีย เช่น ยูเรีย เสียทาง ไต แอมโมเนีย กรดยูริก รวมทัง สารท่ีร่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด 5. ตระหนักถึงความส้าคัญของระบบ และควบคุมสารท่ีมีมาก หรือน้อยเกินไป เช่น น้า โดยขับออกมาใน ขับถ่าย ในการก้าจัดของเสียทางไต โดย รปู ของปสั สาวะ การบอก แนวทางในการปฏิบัติตนที่ช่วย - การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น รับประทานอาหารที่ ใหร้ ะบบ ขับถ่ายทา้ หน้าทไ่ี ด้อยา่ งปกติ ไม่มีรสเค็มจัด การด่ืมน้าสะอาดใหเ้ พียงพอเป็นแนวทางหน่งึ ที่ช่วยให้ ระบบขบั ถา่ ยทา้ หน้าที่ได้ อยา่ งปกติ ม.2 6. บรรยายโครงสร้างและหนา้ ท่ีของหัวใจ - ระบบหมุนเวยี นเลอื ดประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และเลือด หลอดเลอื ด และเลือด - หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ หัวใจห้องบน 2 ห้อง และ 7. อธิบายการท้างานของระบบหมุนเวียน ห้องล่าง 2 ห้อง ระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่างมีลินหัวใจ เลอื ดโดยใชแ้ บบจ้าลอง กนั - หลอดเลือด แบ่งเป็นหลอดเลือดอาร์เตอรี หลอดเลือดเวน หลอด เลอื ดฝอย ซ่ึงมี โครงสร้างต่างกัน
ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง - เลือด ประกอบด้วยเซลลเ์ มด็ เลอื ด เพลตเลต และพลาสมา - การบีบและคลายตัวของหัวใจท้าให้เลือดหมุนเวียน และล้าเลียง สารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอื่น ๆ ไปยังอวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ทว่ั รา่ งกาย - เลือดท่ีมีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจไปยังเซลล์ต่าง ๆ ท่ัวรา่ งกาย ขณะเดียวกนั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากเซลล์จะแพร่ เข้าสเู่ ลือด และล้าเลียง กลับเข้าสู่หัวใจและถูกส่งไปแลกเปล่ียนแก๊ส ท่ีปอด 8. ออกแบบการทดลองและทดลองใน - ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจซ่ึงอัตราการเต้นของหัวใจ การ เปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจ ในขณะปกติและ หลังจากท้ากิจกรรมต่าง ๆ จะแตกต่างกัน ส่วน ขณะปกตแิ ละหลงั ทา้ กิจกรรม ความดันเลือดเกดิ จากการทา้ งาน ของหวั ใจและหลอดเลอื ด 9. ตระหนักถึงความส้าคัญของระบบ - อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล คนท่เี ป็น หมุนเวียนเลือด โดยการบอกแนวทางใน โรคหวั ใจ และหลอดเลือดจะส่งผลท้าให้หัวใจสูบฉดี เลอื ดไม่เป็นปกติ การดูแลรักษาอวัยวะในระบบหมุนเวียน - การออกก้าลังกาย การเลือกรับประทานอาหาร การพักผ่อน และ เลอื ดใหท้ า้ งานเป็นปกติ การรักษาภาวะ ทางอารมณ์ให้เป็นปกติ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการ ดูแลรกั ษาระบบ หมนุ เวียน เลอื ดให้เป็นปกติ 10. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ - ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง จะท้า อวัยวะ ในระบบประสาทส่วนกลางในการ หน้าที่ร่วมกับ เส้นประสาท ซึ่งเป็นระบบประสาทรอบนอกในการ ควบคมุ การทา้ งานตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ควบคุมการทา้ งานของอวยั วะ ตา่ ง ๆ รวมถงึ การแสดงพฤตกิ รรมเพ่ือ 11. ตระหนักถึงความส้าคัญของระบบ การตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้า ประสาท โดยการบอกแนวทางในการดูแล - เมื่อมีส่ิงเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึกจะเกิดกระแสประสาท รั ก ษ า ร ว ม ถึ ง ก า ร ป้ อ ง กั น ส่งไปตามเซลล์ ประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบประสาทส่วนกลาง กระทบกระเทือนและ อันตรายต่อสมอง แล้วส่งกระแสประสาทมา ตามเซลล์ประสาทสั่งการไปยังหน่วย และไขสนั หลัง ปฏิบัตงิ าน เช่น กล้ามเนือ - ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและมีความสัมพันธ์กับ ทุกระบบใน ร่างกาย ดังนัน จึงควรปูองกันการเกิดอุบัติเหตุท่ี กระทบกระเทือนต่อสมอง หลีกเล่ียงการใช้สารเสพติด หลีกเล่ียง ภาวะเครียด และรับประทานอาหารท่ีมี ประโยชน์ เพ่ือดูแลรักษา ระบบประสาทใหท้ ้างานเปน็ ปกติ 12. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของ - มนุษย์มีระบบสืบพันธ์ุท่ีประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ท้าหน้าท่ี อวัยวะ ในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและ เฉพาะ โดยรังไข่ใน เพศหญิงจะท้าหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะใน เพศหญิง โดยใชแ้ บบจา้ ลอง เพศชายจะท าหนา้ ทส่ี ร้างเซลล์ อสุจิ 13. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและ - ฮอร์โมนเพศท้าหน้าท่ีควบคุมการแสดงออกของลักษณะทางเพศที่ เพศ หญิงท่ีควบคุมการเปล่ียนแปลงของ แตกต่างกัน เมื่อ เข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะมีการสร้างเซลล์ไข่และเซลล์ รา่ งกายเมอื่ เข้าสู่วัยหนุ่มสาว อสจุ ิ การตกไข่ การมีรอบเดือน และถา้ มีการปฏิสนธิของเซลล์ไขแ่ ละ
ช้นั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 14. ตระหนักถึงการเปล่ียนแปลงของ เซลล์อสจุ จิ ะทา้ ใหเ้ กดิ การตงั ครรภ์ ร่างกาย เม่ือเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยการ ดูแลรักษา ร่างกายและจิตใจของตนเอง ในช่วงทีม่ กี าร เปลย่ี นแปลง 15. อธิบายการตกไข่ การมีประจ้าเดือน - การมีประจ้าเดือนมีความสัมพันธ์กับการตกไข่ โดยเป็นผลจากการ การ ปฏิสนธิ และการพัฒนาของไซโกต เปล่ียนแปลง ของระดบั ฮอรโ์ มนเพศหญิง จน คลอดเป็นทารก - เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไขไ่ ด้รับการปฏิสนธิกับเซลล์อสุจิ 16. เลือกวิธีการคุมก้าเนิดที่เหมาะสมกับ จะท้าให้ได้ ไซโกต ไซโกตจะเจริญเป็นเอ็มบริโอและฟีตัส จนกระทั่ง สถานการณท์ ่กี า้ หนด คลอดเปน็ ทารก แต่ถ้าไมม่ ี การปฏิสนธิ เซลล์ไขจ่ ะสลายตวั ผนงั ดา้ น 17. ตระหนักถึงผลกระทบของการ ในมดลูกรวมทังหลอดเลือดจะสลายตัว และหลุดลอกออก เรียกว่า ตังครรภ์ ก่อนวัยอันควร โดยการประพฤติ ประจ้าเดอื น ตนให้ เหมาะสม - การคุมก้าเนิดเป็นวธิ ปี ้องกนั ไมใ่ ห้เกดิ การตังครรภ์ โดยป้องกันไม่ให้ เกิดการ ปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝังตัวของเอ็มบริโอ ซ่ึงมีหลายวิธี เชน่ การใช้ถุงยางอนามยั การกินยาคุมก้าเนิด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.2 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ - ยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธิ์ท้าได้หลายวิธี ขึนอยู่กับสมบัติ ระเหยแห้ง การตกผลึก การกล่ันอย่าง ของสารนัน ๆ การระเหยแห้งใช้แยกสารละลายซงึ่ ประกอบดว้ ย ง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การ ตัวละลายท่ีเป็นของแข็งใน ตัวท้าละลายท่ีเป็นของเหลว โดยใช้ สกัดด้วยตัวท้าละลาย โดยใช้หลักฐาน ความรอ้ นระเหยตวั ทา้ ละลายออกไปจนหมด เหลือแต่ตัวละลาย เชงิ ประจกั ษ์ การตกผลึกใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็น 2. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตก ของแข็งในตวั ละลายที่เป็นของเหลว โดยทา้ ให้สารละลายอ่ิมตัว ผลึก การกล่ันอย่างง่าย โครมาโทกราฟี แล้วปล่อยให้ ตัวท้าละลายระเหยออกไปบางส่วน ตัวละลายจะ แบบกระดาษ การสกัดดว้ ยตัวทา้ ละลาย ตกผลึกแยกออกมา การกล่ันอย่าง ง่ายใช้แยกสารละลายท่ี ประกอบด้วยตัวละลายและตัวท้าละลายที่เป็นของเหลวท่ีมี จุด เดือดต่างกันมาก วิธีนีจะแยกของเหลวบริสุทธิ์ออกจาก สารละลายโดยให้ ความร้อนกับสารละลาย ของเหลวจะเดือด และกลายเป็นไอแยกจากสารละลายแล้ว ควบแน่นกลับเป็น ของเหลวอีกครัง ขณะที่ของเหลวเดือด อุณหภูมิของไอจะคงท่ี โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นวธิ ีการแยกสารผสมที่มปี ริมาณ น้อยโดยใช้แยกสารท่ี มีสมบัติการละลายในตัวท้าละลายและ
ช้นั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง การถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับแตกต่างกัน ท้าให้ สารแต่ละชนิด เคลื่อนท่ีไปบนตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึงแยกออกจากกันได้ อั ต รา ส่ ว น ร ะ ห ว่ างร ะ ย ะ ท า งท่ี ส าร อ งค์ ป ร ะ ก อ บ แ ต่ ล ะ ช นิ ด เคลื่อนท่ีได้บนตัวดูดซบั กับระยะทางท่ีตัวท้าละลายเคลื่อนทไี่ ด้ เป็นค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดในตัว ท้าละลายและตัว ดดู ซบั หน่ึง ๆ การสกัดดว้ ยตัวทา้ ละลายเปน็ วธิ ีการแยกสารผสม ที่มี สมบัติการละลายในตัวท้าละลายท่ีต่างกัน โดยชนิดของตัว ท้าละลายมีผลต่อชนิดและ ปริมาณของสารที่สกัดได้ การสกัด โดยการกล่ันด้วยไอน้าใช้แยกสารท่ีระเหยง่าย ไม่ ละลายน้าา และไม่ท้าปฏิกิริยากับน้าออกจากสารที่ระเหยยากโดยใช้ไอน้า 3. น้าวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาใน เปน็ ตัวพา ชี วิ ต ป ร ะ จ้ า วั น โ ด ย บู ร ณ า ก า ร - ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เก่ียวกับการแยกสาร บูรณาการกับ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรม และวศิ วกรรมศาสตร์ สามารถน้าไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจ้าวันหรือ ปัญหาท่ีพบใน ชมุ ชน หรือสรา้ งนวตั กรรม โดยมีขันตอนดังนี - ระบุปัญหาในชีวิตประจ้าวันที่เก่ียวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพ หรือนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนา โดยใช้ หลกั การดังกล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับการแยกสาร โดยใช้สมบัติ ทางกายภาพที่ สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ หรือน้าไปสู่การ พฒั นานวตั กรรมนัน 4. ออกแบบการทดลองและทดลองใน - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรมท่ีเกี่ยวกับ การ อธิบายผลของชนิดตัวละลาย ชนิด การแยกสารในสารผสม โดยใชส้ มบตั ิทางกายภาพ โดยเชอื่ มโยง ตัวท้าละลาย อุณหภูมิท่ีมีต่อสภาพ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิ ตศาสตร์ เทคโนโลยี แ ละ กระบวนการทางวิศวกรรม รวมทังก้าหนดและ ควบคุมตัวแปร อย่างเหมาะสมครอบคลมุ - วางแผนและด้าเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรม รวบรวมข้อมูลจัดกระท้าข้อมูล และเลือกวิธีการสื่อความหมาย ที่เหมาะสมในการน้าเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหา หรือนวัตกรรม ท่พี ัฒนาขึนโดยใช้ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ทร่ี วบรวมได้ - น้าเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือผลของนวัตกรรมท่ีพัฒนาขึน และผลท่ไี ด้ โดยใช้ วธิ กี ารสือ่ สารที่เหมาะสมและน่าสนใจ - สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สารละลายประกอบด้วย ตัวท้าละลายและตัวละลาย กรณี
ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ละลายได้ ของสาร รวมทังอธิบายผลของ สารละลายเกิดจากสารท่ีมีสถานะเดียวกัน สารท่ี มีปริมาณมาก ความดันท่ีมี ต่อสภาพละลายได้ของสาร ท่ีสุดจัดเป็นตัวทา้ ละลาย กรณสี ารละลายเกดิ จากสารที่มีสถานะ โดยใช้ สารสนเทศ ต่างกัน สารที่มีสถานะเดียวกันกับสารละลายจัดเป็นตัวท้า ละลาย - สารละลายท่ีตวั ละลายไม่สามารถละลายในตวั ท้าละลายได้อีก ทอ่ี ณุ หภมู ิหนึง่ ๆ เรยี กว่า สารละลายอม่ิ ตัว - สภาพละลายได้ของสารในตัวท้าละลายเป็นค่าที่บอกปริมาณ ของสารท่ีละลายได้ ในตัวท้าละลาย 100 กรัม จนได้ สารละลายอิ่มตัว ณ อุณหภูมิ และความดันหน่ึง ๆ สภาพ ละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถในการละลายได้ของ ตัวละลายในตัวท้าละลาย ซึ่งความสามารถในการละลายของ สารขึนอยู่กับชนิด ของตัวท้าละลายและตัวละลาย อุณหภูมิ และความดนั - สารชนิดหน่ึงมีสภาพละลายได้แตกต่างกันในตัวท้าละลายที่ แตกต่างกัน และ สารต่างชนิดกันมีสภาพละลายได้ในตัวท้า ละลายหน่งึ ๆ ไม่เทา่ กนั - เม่ืออุณหภูมิสูงขึน สารส่วนมากสภาพละลายได้ของสารจะ เพ่ิมขึน ยกเว้นแก๊ส เม่ืออุณหภูมิสูงขึนสภาพการละลายได้จะ ลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดยเม่ือ ความดันเพ่ิมขึน สภาพละลายไดจ้ ะสูงขนึ - ความรเู้ ก่ียวกับสภาพละลายได้ของสาร เมื่อเปล่ียนแปลงชนิด 5. ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย ตัวละลายตัวท้าละลาย และอุณหภูมิ สามารถนา้ ไปใช้ประโยชน์ ใน ห น่วยความเข้มข้นเป็ นร้อยละ ในชีวิตประจ้าวัน เช่น การท้าน้าเชื่อมเข้มข้น การสกัดสารออก ปริมาตรต่อ ปริมาตรมวลต่อมวล และ จากสมุนไพรให้ได้ปริมาณมากท่ีสุด มวลต่อปรมิ าตร - ความเข้มข้นของสารละลายเป็นการระบุปริมาณตัวละลายใน 6. ตระหนักถึงความส้าคัญของการน้า สารละลาย หน่วย ความเข้มข้นมีหลายหน่วย ท่ีนิยมระบุเป็น ความรู้ เรื่องความเข้มข้นของสารไปใช้ หน่วยเป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อ โดย ยกตัวอย่างการใช้สารละลายใน ปรมิ าตร ชี วิ ต ป ระ จ้ าวัน อ ย่ างถู ก ต้ อ ง แ ล ะ - รอ้ ยละโดยปริมาตรต่อปริมาตรเป็นการระบุปรมิ าตรตวั ละลาย ปลอดภัย ในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตรเดียวกัน นิยมใช้กับ สารละลายท่ีเปน็ ของเหลว หรือแก๊ส - ร้อยละโดยมวลต่อมวลเป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยมวล เดียวกัน นยิ มใช้กับสารละลายท่ีมี สถานะเปน็ ของแข็ง - ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตรเป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วย ปริมาตร นิยมใช้กับสารละลายท่ีมีตัว
ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ละลายเปน็ ของแขง็ ในตวั ท าละลายท่ีเปน็ ของเหลว - การใช้สารละลายในชีวิตประจ้าวันควรพิจารณาจากความ เขม้ ข้นของสารละลาย ขึนอยู่กบั จุดประสงค์ของการใช้งาน และ ผลกระทบตอ่ ส่ิงชีวติ และส่งิ แวดล้อม มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจา้ วนั ผลของแรงท่กี ระทา้ ต่อวตั ถุ ลกั ษณะการ เคลอื่ นท่ีแบบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทังน้าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 1. พยากรณ์การเคล่ือนที่ของวัตถุท่ี - แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรงกระทา้ ต่อวัตถุ เป็นผล ของแรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรง แล้วแรงลัพธ์ท่ี กระท้าต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่ หลายแรงท่ี กระท้าต่อวัตถุในแนว เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ี แต่ถ้าแรงลัพธ์ท่ี กระท้าต่อวัตถุมีค่า เดียวกนั จากหลกั ฐาน เชิงประจักษ์ ไมเ่ ปน็ ศูนย์ วัตถจุ ะเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรง ลัพธ์ที่เกิด จากแรงหลายแรงท่ีกระท้า ตอ่ วัตถุในแนว เดยี วกัน ม.2 3. ออกแบบการทดลองและทดลอง - เมอ่ื วตั ถอุ ยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ขี องเหลวกระทา้ ต่อวตั ถุใน ดว้ ยวิธที ี่ เหมาะสมในการอธิบาย ทุกทิศทาง โดยแรงท่ี ของเหลวกระทา้ ตังฉากกบั ผิววัตถตุ อ่ หน่ึง ปจั จยั ที่มี ผลตอ่ ความดันของ หนว่ ยพนื ท่ี เรียกวา่ ความดนั ของ ของเหลว ของเหลว - ความดันของของเหลวมคี วามสมั พันธ์กับความลึกจากระดับ ผวิ หนา้ ของของเหลว โดยบรเิ วณท่ีลกึ ลงไปจากระดับผวิ หน้า ของของเหลวมากขึน ความดันของ ของเหลวจะเพิม่ ขึน เนอ่ื งจากของเหลวทอี่ ย่ลู ึกกว่าจะมนี า้ หนักของของเหลว ดา้ นบนกระท้ามากกว่า 4. วเิ คราะหแ์ รงพยุงและการจม การ - เม่ือวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงพยุง เนื่องจากของเหลว ลอยของ วัตถุในของเหลวจากหลกั ฐาน กระท้าตอ่ วตั ถุ โดยมีทศิ ขึนในแนวดง่ิ การจมหรอื การลอยของ เชิงประจกั ษ์ วตั ถุขึนอยู่กับแรงพยุง ถา้ นา้ หนกั ของวัตถุ และแรงพยุงของ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่ ของเหลวมีค่าเทา่ กนั วตั ถุจะลอยนง่ิ อย่ใู นของเหลว แต่ถา้ น้า กระท้าตอ่ วัตถใุ น ของเหลว หนกั ของวตั ถุมีค่ามากกว่าแรงพยงุ ของของเหลว วัตถจุ ะจม 6. อธบิ ายแรงเสียดทานสถติและแรง - แรงเสียดทานเปน็ แรงท่ีเกิดขนึ ระหวา่ งผวิ สมั ผสั ของวตั ถุเพอ่ื เสยี ดทานจลนจ์ ากหลักฐานเชิง ตา้ นการเคล่ือนที่ของ วตั ถนุ ัน โดยถา้ ออกแรงกระท้าต่อวัตถุท่ี ประจกั ษ์ อยูน่ ่ิงบนพืนผิวให้เคล่ือนที่ แรงเสยี ดทาน กจ็ ะตา้ นการเคล่ือนที่ ของวตั ถุ แรงเสยี ดทานที่เกดิ ขึนในขณะท่ีวัตถุยงั ไม่เคลื่อนที่ เรยี ก แรงเสียดทานสถิต แต่ถ้าวตั ถุกา้ ลงั เคลื่อนท่แี รงเสียดทาน กจ็ ะท้าใหว้ ัตถุนัน เคล่ือนท่ีชา้ ลง หรือหยุดนิง่ เรยี ก แรงเสียด ทานจลน์
ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย - ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถขุ นึ กับ วธิ ีท่ี เหมาะสมในการอธิบายปจั จยั ที่มี ลักษณะผวิ สมั ผสั และ ขนาดของแรงปฏิกริ ิยาตังฉากระหวา่ ง ผลตอ่ ขนาดของแรงเสยี ดทาน ผิวสมั ผสั 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน - กิจกรรมในชีวติ ประจ้าวนั บางกจิ กรรมต้องการแรงเสยี ดทาน และ แรงอืน่ ๆ ที่กระท าต่อวตั ถุ เชน่ การเปดิ ฝา เกลียวของนา้ การใช้แผ่นกนั ล่ืนในหอ้ งน้า บาง 9. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรู้ กิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เช่น การลากวตั ถบุ นพืน การ เรอ่ื งแรง เสยี ดทาน โดยวเิ คราะห์ ใชน้ า้ มันหล่อลืน่ ในเคร่ืองยนต์ สถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะ - ความร้เู ร่ืองแรงเสียดทานสามารถนา้ ไปใชป้ ระโยชนใ์ น วิธีการลดหรอื เพมิ่ แรงเสียดทานท่เี ป็น ชวี ติ ประจ้าวนั ได้ ประโยชนต์ อ่ การทา้ กิจกรรมใน ชวี ติ ประจ้าวัน 10. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย - เมอ่ื มแี รงที่กระท้าต่อวตั ถโุ ดยไม่ผ่านศนู ย์กลาง มวลของวตั ถุจะ วิธีที่ เหมาะสมในการอธิบายโมเมนตข์ อง เกิดโมเมนต์ของ แรง ทา้ ให้วัตถุหมุนรอบศูนย์กลางมวลของวตั ถุนัน แรง เม่ือวตั ถอุ ยใู่ นสภาพสมดลุ ตอ่ การหมุน - โมเมนตขอ์ งแรงเป็นผลคูณของแรงท่ีกระท้าตอ่ วัตถุกับระยะทาง และคา้ นวณการใชส้ มการ M = Fl จากจุดหมุนไป ตังฉากกบั แนวแรง เม่อื ผลรวมของโมเมนต์ของแรง มคี า่ เปน็ ศูนย์ วตั ถุจะอยูใ่ น สภาพสมดุลต่อการหมนุ โดยโมเมนต์ ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกาจะมีขนาด เทา่ กับโมเมนต์ของแรงใน ทศิ ตามเขม็ นาฬกิ า - ของเล่นหลายชนดิ ประกอบดว้ ยอุปกรณห์ ลายส่วนทีใ่ ช้หลักการ โมเมนตข์ องแรง ความรู้เร่อื งโมเมนตข์ องแรงสามารถนา้ ไปใช้ ออกแบบและประดิษฐข์ องเลน่ ได้ 11. เปรยี บเทยี บแหล่งของสนามแม่เหล็ก - วตั ถุทม่ี มี วลจะมสี นามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบแรงโน้มถว่ งอยู่โดยรอบ สนามไฟฟา้ และสนามโนม้ ถ่วง และทศิ ทาง แรงโน้มถ่วงที่ กระทา้ ต่อวตั ถจุ ะมที ิศพ่งุ เข้าหาวัตถทุ ีเ่ ปน็ แหลง่ ของ ของแรงท่ีกระทา้ ตอ่ วตั ถทุ ่ีอยูใ่ นแต่ละ สนามโนม้ ถ่วง สนาม จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ - วตั ถุท่ีมีประจไุ ฟฟ้าจะมสี นามไฟฟ้าอยโู่ ดยรอบ แรงไฟฟ้าทีก่ ระทา้ 12. เขยี นแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก ต่อวัตถุท่ีมีประจุ จะมีทศิ พงุ่ เข้าหา หรือออกจากวตั ถทุ ี่มปี ระจทุ เี่ ปน็ แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถว่ งทก่ี ระทา้ ต่อ แหล่งของสนามไฟฟ้า วัตถุ - วัตถุที่เปน็ แม่เหลก็ จะมสี นามแม่เหลก็ อยูโ่ ดยรอบแรงแม่เหลก็ ที่ กระท้าตอ่ ขวั แมเ่ หล็กจะมีทศิ พุ่งเขา้ หา หรือออกจากขวั แม่เหล็กที่ เปน็ แหล่งสนามแมเ่ หลก็ 13. วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขนาด - ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟาู และแรงแม่เหลก็ ทกี่ ระท้าตอ่ วัตถุ ของ แรงแม่เหลก็ แรงไฟฟ้า และแรงโนม้ ทอี่ ยใู่ นสนาม นนั ๆ จะมีคา่ ลดลง เมือ่ วตั ถอุ ยู่ห่างจากแหลง่ ของ ถว่ งท่ี กระท้าต่อวตั ถุที่อยู่ในสนามนัน ๆ สนามนนั ๆ มากขึน กับ ระยะห่างจากแหลง่ ของสนามถึงวัตถุ จาก ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้
ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 14. อธิบายและค านวณอตั ราเรว็ และ - การเคลื่อนที่ของวตั ถุเป็นการเปล่ียนต าแหน่งของวตั ถุเทียบ ความเรว็ ของการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ โดย กบั ตา้ แหน่งอ้างองิ โดย มปี รมิ าณท่เี กีย่ วข้องกบัการเคล่อื นท่ี ซงึ่ ใช้สมการ ������= ������ และ ������= ������ มที งั ปริมาณสเกลาร์ และปริมาณเวกเตอร์ เช่น ระยะทาง ������ ������ อตั ราเรว็ การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์เปน็ ปริมาณท่ีมี ขนาด เช่น ระยะทาง อตั ราเร็ว ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปริมาณทม่ี ี จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ 15. เขียน ทังขนาด และ ทศิ ทาง เชน่ การกระจัด ความเรว็ แผนภาพแสดงการกระจัดและ - เขยี นแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอรไ์ ดด้ ว้ ยลกู ศร โดยความ ความเร็ว ยาวของลูกศรแสดง ขนาด และหวั ลกู ศรแสดงทิศทางของ เวกเตอรน์ นั ๆ - ระยะทางเป็นปรมิ าณสเกลลาร์ โดยระยะทางเป็นความยาว ของเสน้ ทางทเี่ คลื่อนท่ี ได้ - การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัดมีทิศชีจากต าแหน่งเร่ิมตน้ ไปยงั ตา้ แหน่งสดุ ทา้ ย และมีขนาดเท่ากบั ระยะที่ สนั ทส่ี ดุ ระหวา่ งสองต้าแหนง่ นนั - อตั ราเร็วเปน็ ปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเรว็ เปน็ อตั ราสว่ นของ ระยะทางต่อเวลา - ความเร็วปรมิ าณเวกเตอรม์ ีทศิ เดียวกับทิศของการกระจดั โดย ความเรว็ เปน็ อัตราสว่ นของการกระจัดต่อเวลา มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลง และการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ ง สสาร และพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจ้าวนั ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่เี กยี่ วข้องกบั เสยี ง แสง และ คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทงั นา้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.2 1. วเิ คราะหส์ ถานการณแ์ ละคา้ นวณ - เม่ือออกแรงกระท้าต่อวัตถุ แล้วท้าให้วัตถุเคล่ือนท่ี โดยแรง เก่ยี วกบั งาน และก้าลงั ทเี่ กิดจากแรงท่ี อยู่ในแนวเดียวกับ การเคลื่อนที่จะเกิดงาน งานจะมีค่ามาก กระท้าต่อ วตั ถุโดยใชส้ มการ W =Fsและ หรือน้อยขึนกับขนาดของแรงและ ระยะทางในแนวเดียวกับ P =������ จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ ������ แรง 2. วเิ คราะห์หลักการท างานของเคร่ืองกล - งานท่ีท้าในหน่วยเวลา เรียกว่า ก้าลัง หลักการของงานน้าไป อย่างงา่ ย จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ อธิบายการท้างาน ของเคร่ืองกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน พนื เอียง 3. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของ รอกเดยี่ ว ล่มิ สกรู ล้อ และเพลา ซ่ึง นา้ ไปใช้ประโยชนด์ ้านตา่ ง เครื่องกลอยา่ งง่าย โดยบอกประโยชน์และ ๆ ในชีวิตประจ้าวัน การประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจ้าวนั - พลงั งานจลนเ์ ป็นพลงั งานของวตั ถทุ ี่เคลอื่ นที่ พลงั งานจลน์จะ 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีท่ีเหมาะสม มีค่ามากหรือน้อย ขึนกับมวลและอัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์ โน้มถ่วงเก่ียวข้องกับต้าแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือน้อย ใน การอธิบายปัจจัยท่ีมีผลต่อพลงั งานจลน์ ขึนกับมวลและต้าแหน่งของวัตถุ เม่ือวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง และพลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์และพลังงานศักย์
ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง โน้มถ่วงเปน็ พลงั งานกล 5. แปลความหมายขอ้ มลู และอธบิ าย - ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์เป็น การเปลี่ยนพลงั งานระหวา่ งพลงั งานศักย์ พลังงานกล พลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของ - โนม้ ถว่ งและพลงั งานจลนข์ องวัตถุ วัตถุหนึ่ง ๆ สามารถเปล่ียนกลับไปมาได้ โดย ผลรวมของ โดย พลังงานกลของวัตถุมคี า่ คงตัวจาก พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มีค่าคงตัว น่ันคือ ขอ้ มูลท่ี รวบรวมได้ พลงั งานกล ของวตั ถุมคี า่ คงตวั 6. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และอธิบายการ - พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซึ่งอาจเปล่ียนจาก เปลีย่ น และการถ่ายโอนพลงั งานโดยใช้ พลังงานหน่ึงเป็นอีกพลังงาน หน่ึง เช่น พลังงานกล กฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน เปล่ียนเป็นพลงั งานไฟฟ้า พลงั งานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงาน ความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เน่ืองมาจากแรง เสียดทาน พลังงานเคมีใน อาหารเปลี่ยนเป็นพลังงานท่ีไป ใชใ้ นการท างานของสิ่งมชี ีวิต - นอกจากนีพลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีกระบบหน่ึง หรือไดร้ ับพลังงานจาก ระบบอ่ืนได้ เช่น การถ่ายโอนความ ร้อนระหว่างสสาร การถ่ายโอนพลังงานของ การสั่นของ แหล่งก าเนิดเสียงไปยังผู้ฟัง ทังการเปล่ียนพลังงานและ การถ่ายโอน พลังงานพลังงานรวมทังหมดมีค่าเท่าเดิมตาม กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลงภายในโลกและ บนผวิ โลก ธรณีพิบัติภยั กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทังผลต่อ ส่ิงมีชีวิต และสง่ิ แวดลอ้ ม ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.2 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ - เชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์เกิดจากการเปล่ียนแปลงสภาพของซาก และการใช้ ประโยชน์ รวมทงั ส่ิงมีชีวิตในอดีต โดยกระบวนการทางเคมีและธรณีวิทยา เชือเพลิง อธิบายผลกระทบจาก การใช้ ซากดึกด้าบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ามัน และปิโตรเลียม ซึ่งเกิด เชือเพลิงซากดึกด าบรรพจ์ าก จากวัตถุต้นกา้ เนิด และสภาพแวดล้อม การเกดิ ท่ีแตกต่างกันท้าให้ ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ ได้ชนิดของเชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์ที่มีลักษณะ สมบัติ และ การ น้าไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ส้าหรับปิโตรเลียมจะต้องมีผ่านการ กล่ัน ล้าดับส่วนก่อนการใช้งาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เหมาะสมต่อ การใช้ประโยชน์ เชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์เป็นทรัพยากรท่ีใช้แล้ว หมดไปเนื่องจากต้องใชเ้ วลานาน หลายล้านปี จึงจะเกิดขนึ ใหม่ได้ ชัน้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 2. แสดงความตระหนกั ถึงผลจาก - การเผาไหม้เชือเพลิงซากดกึ ด้าบรรพ์ในกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ การใช้ เชือเพลิงซากดึกดา้ บรรพ์ จะท้าให้เกิด มลพิษทางอากาศ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและ โดยนา้ เสนอ แนวทางการใช้ สิ่งแวดล้อม นอกจากนี แก๊ส บางชนิดที่เกิดจากการเผาไหม้ เชอื เพลงิ ซากดึกดา้ บรรพ์ เชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์ เช่น แก๊สคาร์บอน - ไดออกไซด์และไน ตรัสออกไซด์ยังเป็นแก๊สเรือนกระจก ซึ่งส่งผลให้เกิดการ เปล่ียนแปลงภูมิอากาศของโลกรุนแรงขึน ดังนัน จึงควรใช้เชือเพลิง ซากดึกด้าบรรพ์โดยค้านึงถึงผลท่ีเกิดขึนต่อส่งิ มชี ีวิตและสง่ิ แวดล้อม เช่น เลือกใช้พลังงาน ทดแทน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีลดการใช้ เชือเพลิงซากดึกดา้ บรรพ์ 3. เปรยี บเทียบขอ้ ดีและข้อจ้ากดั - เชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์เป็นแหล่งพลังงานท่ีส้าคัญในกิจกรรม ของพลงั งาน ทดแทนแต่ละ ต่าง ๆ ของมนุษย์ เนื่องจากเชือเพลิงซากดึกด้าบรรพ์มีปริมาณ ประเภทจากการรวบรวม ขอ้ มลู จ้ากัดและมักเพ่ิมมลภาวะใน บรรยากาศมากขึน จึงมีการใช้ และน้าเสนอแนวทางการใช้ พลังงานทดแทนมากขึน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลงั งาน ทดแทนที่เหมาะสมใน พลังงานน้า พลังงานชีวมวล พลังงานคล่ืน พลังงานความร้อนใต้ ท้องถน่ิ พิภพ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งพลังงานทดแทนแต่ละชนิดจะมีข้อดี และข้อจ้ากัดทีแ่ ตกตา่ งกนั 4. สรา้ งแบบจา้ ลองทีอ่ ธิบาย - โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นชนั ตามองคป์ ระกอบทางเคมี โครงสร้างภายใน โลกตาม ได้แก่ เปลือกโลกซ่ึง อยู่นอกสุด ประกอบด้วยสารประกอบของ องคป์ ระกอบทางเคมจี ากข้อมูลท่ี ซิลิกอน และอะลูมิเนยี มเปน็ หลกั เนอื โลกคือส่วนท่ีอยู่ใต้เปลือกโลก รวบรวมได้ ลงไปจนถึงแกน่ โลก มีองคป์ ระกอบหลักเปน็ สารประกอบของ ซิลกิ อน แมกนีเซยี ม และเหล็ก และแก่นโลกคือส่วนทอ่ี ยู่ใจกลาง ของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและนกิ เกิล ซึง่ แต่ละชนั มี ลกั ษณะแตกตา่ งกัน
ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 5. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่ - การผุพงั อยู่กับท่ี การกรอ่ น และการสะสมตวั ของตะกอน เปน็ กับท่ี การ กร่อน และการสะสม กระบวนการ เปล่ียนแปลงทางธรณวี ทิ ยาทท่ี ้าให้ผวิ โลกเกดิ การ ตัวของตะกอนจาก แบบจา้ ลอง เปล่ยี นแปลงเปน็ ภมู ิลกั ษณ์ แบบต่าง ๆ โดยมปี จั จัยส้าคญั คือ รวมทังยกตวั อย่างผลของ น้า ลม ธารน้าแขง็ แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมชี ีวิต สภาพอากาศ กระบวนการดังกล่าวท่ที ้าใหผ้ ิว และปฏกิ ิรยิ าเคมี โลกเกดิ การ เปลี่ยนแปลง - การผพุ งั อยู่กับท่ี คือ การท่ีหินผุพังท้าลายลงดว้ ยกระบวนการ ต่าง ๆ ได้แก่ ลม ฟา้ อากาศกับน้าฝน และรวมทังการกระท้าของ ตน้ ไม้กับแบคทีเรยี ตลอดจนการ แตกตัวทางกลศาสตร์ซึ่งมกี าร เพม่ิ และลดอุณหภูมิสลบั กัน เป็นตน้ - การกร่อน คือ กระบวนการหน่ึงหรอื หลายกระบวนการที่ทา้ ให้ สารเปลอื กโลกหลดุ ไปละลายไป หรอื กร่อนไปโดยมีตัวน้าพา ธรรมชาติ คอื ลม น้า และธารน้าแขง็ ร่วมกับปจั จัยอนื่ ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครดู ถู การน้าพา ทงั นี ไมร่ วมถงึ การพังทลายเป็นกลมุ่ ก้อน เช่น แผ่นดนิ ถล่ม ภเู ขาไฟระเบิด - การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถจุ ากการ น้าพาของน้า ลม หรอื ธารนา้ แข็ง 6. อธบิ ายลักษณะของชันหนา้ - ดนิ เกดิ จากหินทผี่ ุพงั ตามธรรมชาติผสมคลุกเคลา้ กับอินทรียวตั ถุ ตดั ดินและ กระบวนการเกิดดิน ทไ่ี ดจ้ ากการ เนา่ เป่ือยของซากพืชซากสตั ว์ทบั ถมเป็นชัน ๆ บน จากแบบจา้ ลอง รวมทงั ระบุ ผิวโลก ชนั ดนิ แบ่งออกเป็น หลายชนั ขนานหรอื เกือบขนานไปกับ ปัจจยั ท่ที ้าให้ดินมลี ักษณะและ หนา้ ดิน แต่ละชันมีลักษณะแตกต่างกัน เนือ่ งจากสมบัติทาง สมบัตแิ ตกต่างกัน กายภาพ เคมี ชวี ภาพ และลักษณะอื่น ๆ เชน่ สี โครงสร้าง เนือ ดิน การยืดตวั ความเปน็ กรด-เบส สามารถสงั เกตได้จากการ สา้ รวจภาคสนาม การเรยี กชอื่ ชนั ดนิ หลักจะใชอ้ ักษรภาษาอังกฤษ ตัวใหญ่ ได้แก่ O, A, E, B, C, R - ชันหน้าตดั ดนิ เป็นชนั ดนิ ที่มีลกั ษณะปรากฏใหเ้ ห็นเรยี งลา้ ดบั เปน็ ชันจากชันบนสดุ ถงึ ชนั ล่างสดุ - ปัจจัยทท่ี าใหด้ นิ แตล่ ะทอ้ งถนิ่ มลี ักษณะและสมบัติแตกต่างกนั ได้แก่ วัตถุตน้ กา้ เนดิ ดิน ภมู ิอากาศ ส่งิ มชี วี ิตในดนิ สภาพภูมิ ประเทศ และระยะเวลาในการเกดิ ดิน 7. ตรวจวดั สมบัติบางประการ - สมบัติบางประการของดนิ เชน่ เนือดิน ความชืนดิน ค่าความ ของดิน โดยใช้ เครื่องมือที่ เป็นกรด-เบส ธาตุ อาหารในดิน สามารถน้าไปใช้ในการตดั สินใจ เหมาะสม และนา้ เสนอแนว ถงึ แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดย อาจนา้ ไปใชป้ ระโยชนท์ าง ทางการใช้ประโยชน์ดินจาก การเกษตร หรืออืน่ ๆ ซึ่งดินท่ีไมเ่ หมาะสมต่อการทา้ การเกษตร ข้อมลู สมบตั ิ ของดิน เช่น ดนิ จืด ดนิ เปรียว ดินเคม็ และดนิ ดาน อาจเกดิ จากสภาพดนิ ตาม ธรรมชาติ หรอื การใชป้ ระโยชนจ์ ะต้องปรบั ปรุงให้มีสภาพ เหมาะสมเพือ่ น้าไปใช้ ประโยชน์
ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง 8. อธบิ ายปจั จัย และกระบวนการ - แหลง่ น้าผวิ ดนิ เกดิ จากน้ าฝนทตี่ กลงบนพนื โลกไหลจากทส่ี งู ลงส่ทู ่ตี า่้ ด้วย เกดิ แหล่ง น้ าผิวดนิ และแหลง่ น้า แรงโน้มถว่ ง การไหลของนา้ ทา้ ใหพ้ ืนโลกเกดิ การกดั เซาะเป็นร่องน้า เชน่ ใต้ดิน จาก แบบจ้าลอง ล้าธาร คลอง และแมน่ า้ ซงึ่ รอ่ งนา้ จะมขี นาด และรปู ร่างแตกตา่ งกนั ขนึ อยู่ กับปริมาณนา้ ฝน ระยะเวลา ในการกดั เซาะ ชนดิ ดนิ และหิน และลกั ษณะ ภมู ิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูงตา้่ ของพนื ท ่เี ม่ือนา้ ไหลไปยงั บรเิ วณทเ่ี ปน็ แอง่ จะเกดิ การสะสมเป็นแหล่งน้า เชน่ บงึ ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร - แหลง่ นา้ ใตด้ นิ เกิดจากการซึมของนา้ ผิวดนิ ลงไปสะสมตัวใตพ้ นื โลก ซง่ึ แบ่งเปน็ น้าในดินและนา้ บาดาล นา้ ในดนิ เปน็ นา้ ท่ีอย่รู ่วมกบั อากาศตาม ช่องว่างระหวา่ ง เม็ดดิน สว่ นน้าบาดาลเปน็ นา้ ที่ไหลซึมลึกลงไปและถูกกกั เก็บไว้ในชนั หินหรอื ชันดนิ จนอ่มิ ตวั ไปดว้ ยนา้ 9. สรา้ งแบบจา้ ลองท่อี ธบิ ายการ - แหล่งนา้ ผวิ ดินและแหลง่ นา้ ใตด้ ินถูกนา้ มาใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ ใช้นา้ และ นา้ เสนอแนวทางการใช้ สง่ ผล ตอ่ การจัดการ การใชป้ ระโยชนน์ า้ และคณุ ภาพของแหล่งนา้ นา้ อย่างย่ังยืนใน ท้องถิน่ ของตนเอง เน่อื งจากการเพม่ิ ขึน ของจ้านวนประชากร การใช้ประโยชน์พนื ทใ่ี นด้าน ต่าง ๆ เชน่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลง ภูมอิ ากาศ ทา้ ใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลง ปริมาณน้ าฝนในพนื ทลี่ มุ่ นา้ และ แหล่งนา้ ผวิ ดินไมเ่ พยี งพอส้าหรบั กิจกรรมของ มนษุ ย์ นา้ จากแหลง่ นา้ ใตด้ นิ ถูกนา้ มาใชม้ ากขึน ส่งผลใหป้ รมิ าณนา้ ใต้ดนิ ลดลง มากจงึ ตอ้ งมกี ารจัดการ นา้ อย่างสะสมและยง่ั ยนื ซ่งึ อาจทา้ ไดโ้ ดยการจัดหา แหล่งนา้ เพือ่ ให้มี แหล่งน้าเพยี งพอสา้ หรับการด้ารงชีวติ การจัดสรรและการใชน้ า้ อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ การอนรุ กั ษ์และฟนื้ ฟแู หลง่ นา้ การป้องกันและแก้ไขปญั หา คุณภาพน้า
ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 10. สร้างแบบจา้ ลองท่ีอธบิ าย - นา้ ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลมุ ยุบ แผน่ ดินทรดุ มีกระบวนการเกดิ กระบวนการ เกิดและผลกระทบ และผลกระทบทีแ่ ตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ชวี ติ และ ของน้าทว่ ม การกัด เซาะชายฝงั่ ทรัพย์สิน ดินถลม่ หลมุ ยุบ แผน่ ดนิ ทรุด - น้าทว่ มเกิดจากพนื ที่หนงึ่ ไดร้ ับปรมิ าณนา้ เกินกวา่ ท่ีจะกกั เก็บได้ ทา้ ใหแ้ ผ่นดนิ จม อยู่ใตน้ ้า โดยขนึ อย่กู บั ปริมาณนา้ และสภาพทางธรณวี ิทยาของพนื ที่ - การกดั เซาะชายฝง่ั เป็นกระบวนการเปลยี่ นแปลงของชายฝั่งทะเลทเ่ี กดิ ขนึ ตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลนื่ หรอื ลม ทา้ ใหต้ ะกอนจากท่หี น่งึ ไป ตกทับถม ในอีกบริเวณหนึ่ง แนวของชายฝ่งั เดิมจึงเปลีย่ นแปลงไป บริเวณที่มตี ะกอน เคล่อื น เข้ามาน้อยกวา่ ปริมาณทีต่ ะกอนเคลือ่ นออกไป ถือว่าเปน็ บรเิ วณท่ีมกี าร กดั เซาะ ชายฝง่ั - ดินถลม่ เป็นการเคล่ือนทีข่ องมวลดินหรือหนิ จ้านวนมากลงตามลาดเขา เนอื่ งจาก แรงโน้มถ่วงของโลกเปน็ หลกั ซ่ึงเกิดจากปจั จัยสา้ คญั ได้แก่ ความลาด ชนั ของพนื ท่ี สภาพธรณวี ทิ ยา ปรมิ าณน้าฝน พชื ปกคลุมดนิ และการใช้ประโยชน์ พืนท่ี - หลมุ ยุบ คอื แอง่ หรือหลมุ บนแผน่ ดินขนาดต่าง ๆ ทอ่ี าจเกดิ จากการถลม่ ของ โพรงถ้าหินปูน เกลอื หนิ ใตด้ ิน หรอื เกิดจากนา้ พัดพาตะกอนลงไปในโพรงถา้ หรือ ธารนา้ ใต้ดิน - แผ่นดนิ ทรดุ เกดิ จากการยบุ ตัวของชนั ดนิ หรือหินรว่ น เมอื่ มวลของแขง็ หรอื ของเหลวปริมาณมากทรี่ องรับอยู่ใต้ชันดินบริเวณนันถกู เคลอ่ื นย้ายออกไปโดย ธรรมชาติ หรือโดยการกระทา้ ของมนษุ ย์ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ ค้านวณในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ติ จรงิ อย่างเปน็ ขนั ตอนและเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการเรียนรู้ การทา้ งาน และการ แก้ปัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทัน และมีจริยธรรม ชนั้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 ๑.ออกแบบอลั กอรทิ ึมที่ใชแ้ นวคิดเชิงคา้ นวณใน •แนวคิดเชิงค้านวณ การแก้ปัญหา หรือการทา้ งานทพี่ บในชวี ติ จรงิ •การแก้ปัญหาโดยใชแ้ นวคดิ เชงิ คา้ นวณ •ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ การเขา้ แถวตามลา้ ดับ ๒.ออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีใชต้ รรกะ และ ความสูงใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ จดั เรยี งเสอื ใหห้ าไดง้ า่ ยทสี่ ดุ ฟังก์ชันในการแก้ปญั หา •ตวั ด้าเนนิ การบูลนี •ฟังก์ชนั •การออกแบบและเขยี นโปรแกรมทีม่ กี ารใช้ตรรกะและฟงั ก์ชนั • การออกแบบอลั กอริทึมเพ่ือแกป้ ญั หาอาจใช้ แนวคดิ เชงิ ค้านวณ ในการออกแบบเพอื่ ใหก้ ารแก้ปญั หามปี ระสทิ ธภิ าพ •การแก้ปญั หาอย่างเป็นขนั ตอนจะชว่ ยใหแ้ ก้ปญั หา ได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ •ซอฟต์แวร์ทใี่ ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c •ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตดั เกรด หาคา้ ตอบทงั หมดของอสมการหลายตัวแปร
๓.อภปิ รายองค์ประกอบและหลกั การท้างานของ •องค์ประกอบและหลักการท้างานของระบบ ระบบคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยกี ารส่ือสาร คอมพิวเตอร์ เพือ่ ประยุกต์ใชง้ านหรอื แก้ปัญหาเบืองตน้ •เทคโนโลยีการสอื่ สาร •การประยุกตใ์ ช้งานและการแก้ปัญหาเบืองต้น ๔.ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั มี ความ รบั ผิดชอบ สรา้ งและแสดงสิทธิในการ •ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั โดยเลือก เผยแพร่ ผลงาน แนวทางปฏิบตั เิ มื่อพบเนือหาที่ไม่เหมาะสม เช่น แจง้ รายงานผ้เู ก่ยี วขอ้ ง ปอ้ งกนั การเขา้ มาของ ข้อมูลที่ไม่ เหมาะสม ไมต่ อบโต้ ไมเ่ ผยแพร่ •การใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผดิ ชอบ เชน่ ตระหนักถึงผลกระทบในการเผยแพรข่ ้อมูล •การสรา้ งและแสดงสิทธิความเปน็ เจา้ ของผลงาน •การกา้ หนดสทิ ธิการใชข้ ้อมลู สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพอ่ื การด้ารงชีวิตในสังคมท่ี มกี ารเปล่ยี นแปลง อยา่ งรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อ่ืน ๆ เพ่อื แก้ปญั หาหรือพัฒนางานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรค์ ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม โดยคา้ นึงถึงผลกระทบต่อ ชวี ติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑.คาดการณ์แนวโนม้ เทคโนโลยีท่ี •สาเหตหุ รือปัจจัยตา่ งๆเช่นความกา้ วหนา้ ของ ศาสตร์ตา่ ง ๆ จะเกิดขนึ โดยพจิ ารณาจาก การเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรมท้าใหเ้ ทคโนโลยี สาเหตุหรอื ปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อ การ มีการ เปล่ียนแปลงตลอดเวลา เปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยีและ •เทคโนโลยีแต่ละประเภทมผี ลกระทบต่อชวี ิตสังคม และส่ิงแวดลอ้ มที่ วิเคราะห์เปรยี บเทียบตัดสินใจ แตกต่างกนั จึงต้อง วเิ คราะห์เปรยี บเทียบข้อดขี ้อเสยี และตัดสินใจ เลือกใชเ้ ทคโนโลยี โดยค้านึงถงึ เลือกใช้ใหเ้ หมาะสม ผลกระทบทเ่ี กดิ ขึนต่อชวี ิต สงั คม และส่งิ แวดล้อม ๒.ระบุปัญหาหรือความต้องการ •ปญั หาหรอื ความต้องการในชุมชนหรือท้องถิ่นมีหลายอยา่ ง ขนึ กบั ในชมุ ชนหรอื ทอ้งถ่นิ สรุปกรอบ บรบิ ทหรือสถานการณ์ที่ประสบ เช่นดา้ นพลังงาน ส่งิ แวดลอ้ ม ของปญั หารวบรวมวิเคราะห์ การเกษตร การอาหาร ขอ้ มูลและแนวคิดท่ีเกย่ี วข้องกบั •การระบุปัญหาจ้าเป็นตอ้ งมีการวเิ คราะห์ สถานการณข์ องปญั หาเพ่ือ ปญั หา สรุปกรอบของปัญหาแล้วดา้ เนนิ การสบื คน้ รวบรวมข้อมูล ความรู้ จากศาสตรต์ ่างๆทเ่ี ก่ียวขอ้ งเพ่อื นา้ ไปสู่การ ออกแบบแนวทางการ แก้ปัญหา
๓.ออกแบบวธิ ีการแก้ปญั หาโดย •การวเิ คราะห์เปรียบเทยี บและตดั สินใจเลือกข้อมลู ทีจ่ ้าเปน็ โดย วเิ คราะห์เปรียบเทียบและ คา้ นงึ ถงึ เงอ่ื นไขและทรัพยากรเชน่ งบประมาณเวลาข้อมูลและ ตัดสินใจเลอื กขอ้ มูลท่จี ้าเป็น สารสนเทศวสั ดุ เครอ่ื งมือและอุปกรณ์ ให้ไดแ้ นวทางการแกป้ ญั หาที่เหมาะสม ภายใตเ้ ง่อื นไขและทรัพยากรทีม่ ี •การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทา้ ได้หลากหลายวธิ ีเช่นการร่าง อย่นู า้ เสนอ แนวทางการ ภาพ การเขยี น แผนภาพ การเขียนผังงาน •การก้าหนดขันตอนระยะเวลาในการท้างานก่อนด้าเนนิ การแก้ปัญหา แกป้ ัญหาให้ผู้อ่นื เขา้ ใจวางแผน จะช่วยให้การท้างาน ส้าเร็จไดต้ ามเปา้ หมายและลดข้อผดิ พลาด ขนั ตอนการท้างานและเนนิ การ แก้ปัญหา อย่างเปน็ ขนั ตอน ของการท้างานที่อาจเกิดขึน ๔.ทดสอประเมินผลและอธิบาย •การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบชนิ งานหรอื วิธีการว่า ปญั หาหรือข้อบกพร่องท่ีเกิดขึน สามารถแก้ปญั หาได้ตามวัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปญั หา เพื่อ ภายใต้กรอบเงอื่ นไขพร้อมทังหา หาขอ้บกพรอง่ และดา้ เนนกิ ารปรบปั รงุใหส้ามารถ แก้ไขปัญหาได้ แนวทางการปรับปรงุ แก้ไขและ •การน้าเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพ่ือใหผ้ ู้อืน่ เขา้ ใจเกีย่ วกับ น้าเสนอผลการแกป้ ญั หา กระบวนการท้างาน และชินงานหรอื วิธีการทไ่ี ดซ้ ่งึ สามารถท้าได้ หลาย วธิ ีเช่นการเขยี นรายงานการท้าแผน่ น้าเสนอผลงาน การจัดนทิ รรศกา ๕.ใช้ความรแู้ ละทกั ษะเกีย่ วกับ •วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมสี มบัตแิ ตกต่างกนั เชน่ ไมโ้ ลหะ พลาสตกิ จงึ ต้อง วสั ดอุ ปุ กรณเ์ ครอ่ื งมอื กลไกไฟฟ้า มีการวเิ คราะห์สมบัตเิ พ่อื เลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะของงาน และอเิ ล็กทรอนิกส์เพื่อแก้ปัญหา •การสร้างชินงานอาจใช้ความรเู้ รื่องกลไกไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หรือพัฒนางานได้อยา่ งถกู ต้อง LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟอื ง รอก ล้อ เพลา เหมาะส และปลอดภยั •อปุ กรณ์และเครื่องมอื ในการสร้างชนิ งานหรอื พัฒนาวิธกี ารมีหลาย ประเภทตอ้ งเลอื กใช้ ใหถ้ ูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทัง รู้จัก เกบ็ รักษา
มาตรฐานและตวั ชวี้ ัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ สาระท่ี ๑ สิ่งมีชีวติ กับกระบวนการดา้ รงชวี ติ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจกระบวนการและความส้าคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยีชวี ภาพทม่ี ี ผลกระทบต่อมนษุ ย์และสง่ิ แวดลอ้ ม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สาร ส่งิ ทีเ่ รยี นรู้ และนา้ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑. สังเกตและอธิบายลกั ษณะ - เมือ่ มองเซลลผ์ า่ นกล้องจลุ ทรรศน์จะเหน็ เส้นใยเลก็ ๆ พนั กันอยู่ใน ของโครโมโซมทีม่ หี นว่ ย นิวเคลียส เมอื่ เกิดการแบง่ เซลล์ เสน้ ใยเหล่านีจะขดสันเข้าจนมี พันธุกรรมหรอื ยีนในนวิ เคลียส ลกั ษณะเปน็ ท่อนสัน เรียกว่า โครโมโซม - โครโมโซมประกอบด้วยดเี อน็ เอและโปรตีน - ยนี หรือหนว่ ยพันธกุ รรมเป็นส่วนหนึง่ ที่อยู่บนดีเอ็นเอ ๒. อธิบายความสา้ คญั ของสาร - เซลล์หรอื ส่ิงมชี วี ิต มสี ารพันธกุ รรมหรอื ดเี อน็ เอท่ีควบคุม พันธุกรรมหรอื ดีเอ็นเอ และ ลักษณะของการแสดงออก กระบวนการถา่ ยทอดลกั ษณะ - ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่คี วบคมุ ดว้ ยยีนจากพ่อและแมส่ ามารถ ทางพันธุกรรม ถา่ ยทอดสูล่ กู ผ่านทางเซลล์สบื พันธุแ์ ละการปฏสิ นธิ ๓. อภิปรายโรคทางพันธกุ รรมท่ี - โรคธาลสั ซีเมีย ตาบอดสี เป็นโรคทางพนั ธกุ รรม ทีเ่ กดิ จากความ เกิดจากความผิดปกติของยนี ผิดปกติของยีน และโครโมโซมและน้าความรู้ - กลมุ่ อาการดาวน์เปน็ ความผิดปกติของร่างกาย ซง่ึ เกดิ จากการที่มี ไปใชป้ ระโยชน์ จ้านวนโครโมโซมเกินมา - ความรเู้ กยี่ วกบั โรคทางพนั ธุกรรมสามารถน้าไปใชใ้ นการป้องกัน โรค ดแู ลผูป้ ่วยและวางแผนครอบครัว ๔. สา้ รวจและอธิบายความ - ความหลากหลายทางชวี ภาพทีท่ ้าให้สิ่งมีชีวติ อยู่อยา่ งสมดุล ขึนอยู่ หลากหลายทางชวี ภาพใน กบั ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด ทอ้ งถ่นิ ทท่ี า้ ใหส้ ิ่งมีชวี ิต ส่ิงมีชีวิต และความหลากหลายทางพนั ธุกรรม ดา้ รงชวี ิตอยไู่ ด้อยา่ งสมดุล ๕. อธิบายผลของความ - การตดั ไม้ทา้ ลายป่าเปน็ สาเหตุหน่ึงทที่ ้าใหเ้ กิดการสูญเสยี ความ หลากหลายทางชวี ภาพท่มี ตี ่อ หลากหลายทางชีวภาพ ซึง่ ส่งผลกระทบต่อการด้ารงชีวติ ของ มนษุ ย์ สัตว์ พชื และ มนษุ ย์ สัตว์ พืชและส่งิ แวดลอ้ ม สงิ่ แวดลอ้ ม - การใชส้ ารเคมใี นการก้าจดั ศัตรพู ืชและสัตว์ ส่งผลกระทบต่อ สงิ่ มชี วี ิตทังมนุษย์ สัตวแ์ ละพืช ทา้ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงความ หลากหลายทางชีวภาพและส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ๖. อภปิ รายผลของ - ผลของเทคโนโลยีชีวภาพ มีประโยชน์ต่อมนษุ ย์ ทังดา้ นการแพทย์ เทคโนโลยีชวี ภาพตอ่ การ การเกษตรและอุตสาหกรรม ดา้ รงชีวิตของมนุษยแ์ ละ สง่ิ แวดล้อม
สาระท่ี 2 ชวี ิตกับส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ว ๒. ๑ เข้าใจสิ่งแวดล้อมในทอ้ งถน่ิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงแวดลอ้ มกบั สง่ิ มีชีวติ ความสมั พนั ธ์ระหว่างสง่ิ มีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละ จิตวทิ ยาศาสตรส์ ่ือสารสงิ่ ทเี่ รยี นรแู้ ละนา้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวัดช้นั ปี สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑. ส้ารวจระบบนิเวศตา่ ง ๆ ใน - ระบบนิเวศในแต่ละทอ้ งถ่นิ ประกอบดว้ ย องค์ประกอบทางกายภาพ ท้องถิ่นและอธิบาย ความสัมพนั ธ์ และองค์ประกอบทางชวี ภาพเฉพาะถิ่น ซง่ึ มีความเกยี่ วขอ้ งสัมพนั ธ์กัน ขององคป์ ระกอบภายในระบบนเิ วศ ๒. วิเคราะหแ์ ละอธบิ ายความสัมพันธ์ - ส่งิ มชี วี ิตมีความเก่ยี วข้องสัมพันธก์ ัน โดยมกี ารถ่ายทอดพลังงานในรปู ของการถา่ ยทอดพลังงานของสงิ่ มชี ีวติ ของโซ่อาหารและสายใยอาหาร ในรปู ของโซ่อาหารและสายใยอาหาร ๓. อธิบายวัฏจกั รน้า วฏั จักรคาร์บอน - น้าและคารบ์ อนเปน็ องค์ประกอบในสิง่ มีชีวิตและส่ิงไม่มชี ีวติ - น้าและคารบ์ อนจะมีการหมนุ เวียนเป็น วฏั จักรในระบบนเิ วศ และความสา้ คญั ทม่ี ีตอ่ ระบบนิเวศ ทา้ ใหส้ งิ่ มชี ีวิตในระบบนิเวศน้าไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ๔. อธบิ ายปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การ - อตั ราการเกิด อตั ราการตาย อัตราการอพยพเข้า และอตั ราการ เปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรใน อพยพออกของสิ่งมชี วี ติ มีผลต่อ การเปลย่ี นแปลงขนาดของประชากรใน ระบบนเิ วศ ระบบ นเิ วศ มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจความส้าคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชท้ รัพยากรธรรมชาติในระดบั ท้องถน่ิ ประเทศ และโลกนา้ ความร้ไู ปใชใ้ นในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อมในท้องถิน่ อยา่ งยั่งยืน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. วิ เค ร า ะ ห์ ส ภ า พ ปั ญ ห า ส่ิ งแ ว ด ล้ อ ม - สภาพปัญหาส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น เกิดจากการ ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น และเสนอ กระทา้ ของธรรมชาติและ มนษุ ย์ แนวทางในการแกไ้ ขปัญหา - ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกิดขึน ควรมี แนวทางในการดแู ลรกั ษาและป้องกัน ๒. อธิบายแนวทางการรักษาสมดุลของ - ระบบนิเวศจะสมดุลได้จะต้องมีการควบคุมจ้านวนผู้ผลิต ระบบนิเวศ ผู้บริโภค ผู้สลายสารอินทรีย์ ให้มีปริมาณ สัดส่วน และการ กระจายท่เี หมาะสม - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างย่ังยืนและการดูแลรักษา สภาพแวดล้อม เปน็ การรกั ษาสมดุลของระบบนเิ วศ ๓. อภิปรายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่าง - การน้าทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างคุ้มค่าด้วยการใช้ซ้า ย่ังยนื น้ากลับมาใช้ใหม่ ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิด เดิม ซ่อมแซมสิ่งของเคร่ืองใช้ เป็นวิธีการใช้ทรัพยากร ธรรมชาตอิ ยา่ งย่ังยืน
ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. วิ เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ อ ธิ บ า ย ก า ร ใ ช้ - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติควรค้านึงถึงปรัชญาเศรษฐกิจ ทรัพ ยากรธรรมชาติ ตามป รัชญ า พอเพียงบนพืนฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดย เศรษฐกจิ พอเพียง ค้านึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผลและ การ เตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลงท่ี ๕. อ ภิ ป ราย ปั ญ ห าส่ิ งแ ว ด ล้ อ ม แ ล ะ เกดิ ขนึ เสนอแนะแนวทางการแก้ปญั หา - ปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจเกิดจากมลพิษทางน้า มลพิษทาง ๖. อภิปรายและมีส่วนร่วมในการดูแลและ เสยี ง มลพษิ ทางอากาศ มลพษิ ทางดนิ อ นุ รั ก ษ์ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ใน ท้ อ ง ถิ่ น อ ย่ า ง - แนวทางการแก้ปัญหามีหลายวิธี เร่ิมจากศึกษาแหล่งท่ีมาของ ย่ังยนื ปัญหา เสาะหากระบวนการในการแก้ปัญหา และทุกคนมีส่วน รว่ มในการปฏิบตั เิ พอื่ แก้ปญั หานนั - การดูแลและอนุรักษ์ส่ิงแวดลอ้ มในท้องถิน่ ให้ย่ังยืน ควรได้รับ ความร่วมมือจากทุกฝ่ายและต้องเปน็ ความรับผดิ ชอบของทุก คน สาระท่ี ๔ แรงและการเคล่ือนท่ี มาตรฐาน ว ๔. ๑ เขา้ ใจธรรมชาติของแรงแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แรงโน้มถ่วง และแรงนวิ เคลียร์ มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ส่ือสารสงิ่ ท่เี รียนรู้และน้าความร้ไู ปใช้ประโยชน์อยา่ งถกู ต้องและมคี ณุ ธรรม ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑. อธบิ ายความเร่งและผลของแรงลัพธท์ ่ี - วตั ถุเคล่ือนท่ีด้วยความเรว็ ท่เี ปลยี่ นแปลง เป็นการเคล่ือนที่ด้วย ท้าต่อวตั ถุ ความเร่ง เมื่อแรงลพั ธม์ ีคา่ ไมเ่ ท่ากับศูนย์กระทา้ ต่อวัตถวุ ตั ถุ จะเคล่อื นท่ดี ว้ ยความเรง่ ซึ่งมีทศิ ทางเดียวกบั แรงลัพธ์ ๒. ทดลองและอธิบายแรงกริ ิยาและแรง ปฏิกิรยิ าระหวา่ งวัตถุ และน้าความรู้ไปใช้ - ทกุ แรงกริ ิยาจะมแี รงปฏิกิรยิ าโตต้ อบดว้ ยขนาดของแรง ประโยชน์ เทา่ กัน แต่มที ิศทางตรงข้าม ๓. ทดลองและอธิบายแรงพยุงของ - การน้าความรเู้ รื่องแรงกิรยิ าและแรงปฏิกิริยาไปใชอ้ ธิบาย ของเหลวทก่ี ระท้าต่อวัตถุ เชน่ การชักเยอ่ การจุดบังไฟ - แรงพยุง คือ แรงทขี่ องเหลวกระทา้ ต่อวตั ถุมีค่าเทา่ กับน้าหนัก ของของเหลวท่ีมีปริมาตรเทา่ กับสว่ นท่จี มของวัตถุ - ของเหลวทมี่ ีความหนาแนน่ มากจะมีแรงพยุงมาก - วตั ถุทล่ี อยได้ในของเหลวจะมีความหนาแนน่ น้อยกวา่ ความ หนาแนน่ ของของเหลว
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจลักษณะการเคลอื่ นท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวัตถใุ นธรรมชาติมีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สือ่ สารสง่ิ ท่เี รียนรู้และนา้ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑. ทดลองและอธิบายความ - แรงเสยี ดทานสถิตเป็นแรงเสยี ดทานที่กระท้าต่อวัตถุขณะหยุดนงิ่ สว่ น แตกต่างระหวา่ งแรงเสียดทาน แรงเสยี ดทานจลน์เป็นแรงเสียดทานท่กี ระทา้ ต่อวัตถุขณะเคลือ่ นท่ี สถิตกับแรงเสยี ดทานจลน์ และ นา้ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ - การเพิ่มแรงเสียดทาน เชน่ การออกแบบพืนรองเท้าเพ่อื กันลื่น - การลดแรงเสยี ดทานเชน่ การใช้น้ามันหล่อลืน่ ทีจ่ ดุ หมนุ ๒. ทดลองและวิเคราะหโ์ มเมนต์ ของแรง และนา้ ความรู้ไปใช้ - เมอ่ื มีแรงที่กระท้าต่อวตั ถุ แลว้ ท้าให้เกิดโมเมนต์ของแรงรอบจุดหมนุ ประโยชน์ วตั ถจุ ะเปลีย่ นสภาพการหมุน - การวเิ คราะห์โมเมนตข์ องแรงในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ๓. สังเกตและอธบิ ายการเคลอ่ื นที่ - การเคลอ่ื นที่ของวตั ถุมีทงั การเคลื่อนทใ่ี นแนวตรง เช่น การตกแบบเสรี และการ ของวตั ถุทีเ่ ปน็ แนวตรง และ เคลอื่ นทใ่ี นแนวโค้ง เชน่ การเคล่ือนทแ่ี บบโพรเจกไทล์ของลกู บาสเกตบอล แนวโคง้ ในอากาศ การเคลือ่ นท่แี บบวงกลมของวตั ถทุ ีผ่ กู เชือกแลว้ แกวง่ เปน็ ต้น สาระท่ี ๕ พลังงาน มาตรฐาน ว ๕. ๑ เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหว่างพลงั งานกับการดา้ รงชวี ิต การเปล่ยี นรปู พลังงาน ปฏิสมั พนั ธ์ ระหวา่ งสารและพลงั งาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชีวติ และสิ่งแวดล้อม มกี ระบวน การ สบื เสาะหาความรู้ สือ่ สารสิง่ ท่เี รียนรู้และ น้าความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑. อธบิ ายงาน พลงั งานจลน์ พลังงานศักย์ - การใหง้ านแกว่ ตั ถเุ ปน็ การถา่ ยโอนพลงั งานให้วตั ถุ พลังงานนี โนม้ ถว่ ง กฎการอนุรักษ์พลงั งาน เปน็ พลังงานกลซึ่งประกอบด้วยพลังงานศักย์และพลงั งานจลน์ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งปริมาณ พลงั งานจลน์เปน็ พลงั งานของวตั ถขุ ณะวัตถุเคล่ือนที่ สว่ น เหล่านี รวมทงั นา้ ความรู้ไปใช้ พลังงานศักย์โนม้ ถ่วงของวัตถุเป็นพลังงานของวัตถุที่อย่สู ูงจากพืน ประโยชน์ โลก ๒. ทดลองและอธิบายความสมั พันธ์ระหว่าง - กฎการอนรุ ักษ์พลังงานกลา่ ววา่ พลังงานรวม ความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟา้ ความต้านทาน ของวัตถุไมส่ ูญหาย แตส่ ามารถเปลีย่ นจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูป และน้าความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ หน่งึ ได้ ๓. คา้ นวณพลงั งานไฟฟ้าของ - การน้ากฎการอนุรกั ษ์พลังงานไปใชป้ ระโยชนใ์ นการอธิบาย เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ และนา้ ความรู้ไปใช้ ปรากฏการณ์ เช่น พลังงานน้าเหนือเขื่อนเปล่ียนรูปจากพลงั งานศักย์ ประโยชน์ โน้มถ่วงเป็นพลังงานจลน์, ปั้นจน่ั ตอกเสาเขม็ - ความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทานมคี วามสัมพนั ธก์ ัน ตามกฎของโอห์ม - การน้ากฎของโอห์มไปใชว้ ิเคราะห์วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย - การค้านวณพลังงานไฟฟา้ ของเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ เป็นสว่ นหนึ่งของการคิด ค่าไฟฟา้ และเป็นแนวทางในการประหยัดพลังงานไฟฟา้ ในบา้ น
ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๔. สงั เกตและอภปิ รายการต่อวงจรไฟฟา้ - การตอ่ วงจรไฟฟ้าในบ้านต้องออกแบบวงจรตดิ ตังเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อปุ กรณ์ ในบา้ นอย่างถูกต้องปลอดภัย และ ไฟฟ้าอย่างถูกต้อง โดยการตอ่ สวิตชแ์ บบอนุกรม ตอ่ เตา้ รบั แบบขนาน ประหยดั และเพอ่ื ความปลอดภยั ตอ้ งตอ่ สายดินและฟวิ ส์ รวมทังต้องคา้ นึงถึงการ ใช้ไฟฟา้ อยา่ งประหยดั ๕. อธบิ ายตัวตา้ นทาน ไดโอด - ชินสว่ นอิเลก็ ทรอนิกส์ เช่นตวั ตา้ นทานไดโอดทรานซิสเตอร์ มีสมบัติทาง ทรานซิสเตอร์ และทดลองต่อวงจร ไฟฟ้าแตกตา่ งกัน ตัวตา้ นทานทา้ หนา้ ท่จี า้ กดั กระแสไฟฟ้าในวงจรไดโอดมี อิเลก็ ทรอนิกส์เบืองตน้ ทมี่ ี สมบัติใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านได้ทศิ ทางเดียวและทรานซสิ เตอรท์ า้ หนา้ ทีเ่ ป็น ทรานซสิ เตอร์ สวติ ซ์ปิด-เปิดวงจร - การประกอบวงจรอเิ ล็กทรอนกิ สเ์ บืองต้นท่ีมที รานซสิ เตอร์ ๑ตวั ทา้ หนา้ ทีเ่ ปน็ สวิตซ์ สาระที่ ๗ ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว ๗. ๑ เขา้ ใจวิวัฒนาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแล็กซีและเอกภพการปฏสิ มั พนั ธ์ภายในระบบ สุริยะและผลต่อสิ่งมีชีวติ บนโลก มกี ระบวนการสบื เสาะ หาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ การสอื่ สารส่ิงทีเ่ รียนรู้และน้าความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. สืบค้นและอธิบายความสัมพันธ์ - ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจนั ทรอ์ ยูเ่ ปน็ ระบบได้ภายใตแ้ รงโน้มถ่วง ระหว่างดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ - แรงโนม้ ถ่วงระหว่างโลกกับดวงจนั ทร์ ทา้ ใหด้ วงจันทร์โคจรรอบโลก และดาวเคราะห์อื่น ๆ และผลท่ี เกิดขึนต่อส่ิงแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต แรงโนม้ ถ่วงระหวา่ งดวงอาทติ ย์กับบริวาร ท้าให้บรวิ ารเคลื่อนรอบ บนโลก ดวงอาทติ ย์กลายเป็นระบบสุริยะ - แรงโน้มถ่วงทด่ี วงจันทร์ ดวงอาทติ ย์กระท้าต่อโลกท้าให้เกิด ๑. สบื คน้ และอธบิ ายองค์ประกอบของ ปรากฏการณน์ า้ ขนึ นา้ ลง ซง่ึ ส่งผลตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มและส่งิ มีชีวิตบน เอกภพ กาแล็กซี และระบบสุริยะ โลก ๒. ระบตุ ้าแหนง่ ของกล่มุ ดาว และน้า - เอกภพประกอบด้วยกาแล็กซีมากมายนับแสนล้านแห่ง แต่ละ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ กาแล็กซีประกอบด้วยดาวฤกษ์จ้านวนมาก ท่ีอยู่เป็นระบบด้วยแรง โน้มถ่วง กาแล็กซีทางช้างเผือกมีระบบสุริยะอยู่ท่ีแขนของกาแล็ก ซีด่ า้ นกลุ่มดาวนายพราน - กลมุ่ ดาวฤกษป์ ระกอบดว้ ยดาวฤกษห์ ลายดวงทป่ี รากฏอยู่ในขอบเขต แคบๆ และเรียงเป็นรูปต่างๆกันบนทรงกลมฟ้า โดยดาวฤกษ์ท่ีอยู่ใน กลุ่มเดียวกัน ไม่จ้าเป็นต้องอยู่ใกล้กันอย่างท่ีตาเห็น แต่มีต้าแหน่งท่ี แน่นอนบนทรงกลมฟ้า จงึ ใช้บอกทิศและเวลาได้
สาระที่ ๗ ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว ๗.๒ เขา้ ใจความส้าคญั ของเทคโนโลยีอวกาศทนี่ า้ มาใชใ้ นการสา้ รวจอวกาศและ ทรพั ยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละ จติ วิทยาศาสตร์ ส่ือสารสง่ิ ทีเ่ รียนรู้และนา้ ความรูไ้ ปใช้ประโยชนอ์ ยา่ งมีคณุ ธรรมตอ่ ชีวิต และส่ิงแวดล้อม ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. สืบคน้ และอภิปรายความก้าวหนา้ ของ - มนษุ ย์ใช้กล้องโทรทรรศน์ จรวด ดาวเทียม ยานอวกาศ เทคโนโลยีอวกาศที่ใช้ส้ารวจอวกาศ วตั ถุ ส้ารวจอวกาศ วัตถทุ ้องฟา้ สภาวะอากาศ ทอ้ งฟา้ สภาวะอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ การเกษตรและใชใ้ นการสอื่ สาร การเกษตร และการสอ่ื สาร สาระที่ ๘ ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๘. ๑ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การ แกป้ ัญหา ร้วู ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กดิ ขึ้นส่วนใหญม่ รี ูปแบบที่แน่นอน สามารถ อธิบายและตรวจสอบได้ ภายใตข้ อ้ มลู และเคร่อื งมือท่ีมอี ยู่ในชว่ งเวลาน้นั ๆ เข้าใจว่า วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม มีความเกยี่ วขอ้ งสัมพันธ์กัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑. ตังคา้ ถามที่ก้าหนดประเด็นหรือตวั แปรท่ีสา้ คญั ในการส้ารวจตรวจสอบ - หรอื ศกึ ษาค้นควา้ เรอ่ื งทสี่ นใจได้อย่างครอบคลมุ และเชือ่ ถอื ได้ ๒. สร้างสมมติฐานทีส่ ามารถตรวจสอบไดแ้ ละวางแผนการสา้ รวจตรวจสอบ - หลาย ๆ วธิ ี ๓. เลือกเทคนิควธิ กี ารส้ารวจตรวจสอบทงั เชงิ ปริมาณและเชงิ คณุ ภาพท่ีไดผ้ ล - เที่ยงตรงและปลอดภัย โดยใช้วสั ดุและเครอื่ งมือที่เหมาะสม ๔. รวบรวมขอ้ มลู จัดกระท้าข้อมลู เชิงปริมาณและคุณภาพ - ๕. วิเคราะหแ์ ละประเมินความสอดคล้องของประจักษพ์ ยานกบั ข้อสรุป ทังท่ี - สนบั สนุนหรอื ขดั แย้งกบั สมมติฐาน และความผดิ ปกตขิ องข้อมูลจากการ สา้ รวจตรวจสอบ ๖. สรา้ งแบบจา้ ลอง หรือรูปแบบ ท่ีอธิบายผลหรือแสดงผลของการสา้ รวจ - ตรวจสอบ ๗. สร้างคา้ ถามท่นี า้ ไปส่กู ารส้ารวจตรวจสอบ ในเรื่องทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง และน้า - ความรู้ทไี่ ด้ไปใชใ้ นสถานการณใ์ หมห่ รืออธบิ ายเกยี่ วกบั แนวคิด กระบวนการ และผลของโครงงานหรือชินงานให้ผอู้ นื่ เขา้ ใจ ๘. บนั ทึกและอธิบายผลการสงั เกต การส้ารวจ ตรวจสอบ ค้นคว้าเพม่ิ เติม - จากแหล่งความร้ตู ่าง ๆ ให้ได้ขอ้ มลู ที่เชื่อถือได้ และยอมรบั การ เปล่ียนแปลงความรทู้ ี่คน้ พบเมื่อมีข้อมลู และประจักษพ์ ยานใหม่เพ่ิมขึนหรือ โต้แย้งจากเดมิ ๙. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรอื อธบิ ายเกีย่ วกับแนวคิด กระบวนการ - และผลของโครงงานหรือชินงานให้ผ้อู ่นื เข้าใจ
บรรณานกุ รม กลุ่มบรหิ ารวชิ าการ โรงเรียนนา้ ปลีกศกึ ษา. หลกั สตู รสถานศึกษา (ฉบับปรับปรุง 2560). อ้านาจเจรญิ : น้าปลกี ศึกษา,2560. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร, ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551, โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จา้ กดั , 2560. สา้ นักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สา้ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลางกลุ่มสาระวิทยา(ศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรงุ เทพ : กระทรวงศึกษาธิการ,๒๕๕๑.
คณะผู้จัดท้า กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรโ์ รงเรียนน้าปลกี ศึกษา 1.นางสาวภัทรยิ า โพธศิ์ รีคุณ ครู วิทยฐานะชา้ นาญการพิเศษ หวั หนา้ กลมุ่ สาระฯ 2.นางสมุ าลี สายธนู 3.นางสาวโฉมสดุ า บุญล้อม ครู วิทยฐานะช้านาญการ กรรมการ 4.นายเถลิงศกั ดิ์ เถาวโ์ ท 5.นางสาวภญิ ญดา วงศ์ปัดสา ครู วิทยฐานะชา้ นาญการพเิ ศษ กรรมการ 6. นายเอกชัย จันทรภ์ ิรกั ษ์ 7.นางสาวภกั ดินันท์ สมรักษ์ ครู วิทยฐานะช้านาญการ กรรมการ ครู กรรมการ ครผู ู้ช่วย กรรมการ ครผู ชู้ ว่ ย กรรมการและเลขานุการ
Search