แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า ชีววิทยา 1 รหัสวชิ า ว30241 ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1/2565 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอื่ ง การศึกษาชวี วิทยา แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง การศึกษาชวี วิทยาและวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 6 ชั่วโมง ครูผ้สู อน นายสรุ ิยา สุขมาเพียร 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตวั ชว้ี ัด สาระชวี วทิ ยา มาตรฐาน ว 1 เข้าใจธรรมชาติของสิง่ มีชวี ิต การศกึ ษาชวี วทิ ยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่ี เป็นองค์ประกอบของสง่ิ มชี วี ิต ปฏิกริ ยิ าเคมีในเซลล์ของสิ่งมชี วี ติ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของ เซลล์ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์ ผลการเรยี นรู้ อภิปรายและบอกความสำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และ วิธกี ารตรวจสอบสมมตฐิ าน รวมทงั้ การออกแบบการทดลอง เพอ่ื ตรวจสอบสมมตฐิ าน 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อภิปรายและบอกความสำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และวธิ ีการตรวจสอบสมมตฐิ าน รวมทัง้ การออกแบบการทดลอง เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน (K) 2. ออกแบบ และทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์จากตัวอย่า ง การศึกษาและดำเนินการทดลองตามวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 3. สนใจใฝร่ ู้ในการศึกษา และมคี วามรบั ผิดชอบ (A) 3. สาระสำคญั การสังเกตเป็นทักษะสำคัญที่นำไปสู่การตั้งปัญหาและรวบรวมข้อมูล ความเป็นคนช่างสังเกตของ นักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการค้นพบความรู้ต่าง ๆ มากมายรวมทั้งการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่อำนวย ความสะดวกใหแ้ ก่มนษุ ย์ นักชีววิทยาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาชีววิทยา ซึ่งประกอบด้วยการตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล การทดลอง ความรู้ทางชีววิทยาอาจได้จากการสำรวจและการศึกษาภายในและภายนอกห้องปฏิบัติการ ความร้ทู ีไ่ ด้จากการศึกษาบางเรอื่ งสามารถนำไปตง้ั เปน็ กฎและทฤษฎสี ำหรับใช้อ้างองิ ได้
4. เกณฑก์ ารประเมนิ ด้าน รายการวดั วิธกี ารประเมนิ เครอื่ งมือ เกณฑ์ ความรู้ (K) การประเมนิ การ ประเมิน ด้านทกั ษะ การประเมนิ กอ่ นเรียน - - กระบวนการ - แบบทดสอบก่อน - เรียนหนว่ ยการเรียนรู้ - ตรวจบนั ทกึ สรุป ใบ - แบบประเมนิ คดิ (P) ที่ 1 กจิ กรรมในการทำ ชิน้ งาน/ภาระงาน - ระดับ ประเมินชิ้นงาน / กิจกรรม คุณภาพ 3 ดา้ น ภาระงาน - ประเมนิ การ - แบบประเมินการ ผา่ นเกณฑ์ คุณลักษณะ ปฏิบตั ิการ ปฏบิ ตั ิการ - ระดับ การปฏิบัติการ คุณภาพ 3 (A) ผ่านเกณฑ์ การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดบั คุณภาพ 3 ผลงาน นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์ - ประเมินผังมโนทศั น์ - แบบประเมินผงั มโน - ระดับ คณุ ภาพ 3 ทัศน์ ผา่ นเกณฑ์ - ระดับ พฤตกิ รรมการทำงาน - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต คุณภาพ 3 ผา่ นเกณฑ์ รายบุคคล การทำงานรายบุคคล พฤตกิ รรมการทำงาน - ระดับ คณุ ภาพ 3 รายบุคคล ผา่ นเกณฑ์ พฤตกิ รรมการทำงาน - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต กลมุ่ การทำงานกล่มุ พฤติกรรมการทำงาน กลุ่ม คณุ ลกั ษณะอันพึง - สังเกตความมีวนิ ยั - แบบประเมนิ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั คณุ ลักษณะอนั พึง ในการทำงาน ประสงค์
5. เน้ือหา ในชีวิตประจำาวันของมนุษย์เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ มากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนใหญ่ มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องราว หรือสิ่งใดก็ตามที่จะส่งผลต่อตนเองไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย เป็น เพราะว่าส่ิงท่ีจะมีอทิ ธิพลต่อการดำรงชีวติ มักจะได้รับความสนใจท่ีจะศึกษาหรือแกป้ ญั หา ส่งิ ที่นา่ สนใจกค็ ือ มีวิธีการในการศกึ ษา หรือค้นหาคำาตอบตา่ ง ๆ เหล่าน้ไี ดม้ าอยา่ งไร การศึกษาชีววิทยามีแนวทางเช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีกระบวนการ (process) ในการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ที่เริ่มจาก การสังเกต (observation) การตั้งสมมติฐาน (hypothesis) การตรวจสอบสมมติฐาน (hypothesis testing) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มูล (data collection and analysis) และการสรปุ ผล (conclusion) การสังเกต การสังเกตเป็นทักษะที่สำคัญอย่างหนึง่ ของนักวิทยาศาสตร์ การสังเกตจะใช้ประสาท สมั ผสั เช่น การมองเหน็ การได้ยนิ การรับรส การดมกลนิ่ หรือการสมั ผัส ส่งิ ทไี่ ด้จากการสงั เกตอาจนำไปสู่ ความสงสยั อยากรู้ ทำให้ค้นพบปญั หาและการแกป้ ญั หาต่อไป การตั้งสมมติฐาน เมื่อได้รับข้อเท็จจรงิ หรือข้อมูลมากพอทำให้เห็นปัญหาได้ชัดเจน ก็จะสามารถ ตัง้ สมมติฐานได้ สำหรบั ผทู้ ม่ี ีความคดิ หลายแง่หลายมมุ อาจตัง้ สมมตฐิ านไดม้ ากกว่าหน่งึ สมมตฐิ าน สำหรับ ผ้ทู ่ไี มไ่ ด้ฝึกให้คดิ หรอื ตัง้ สมมตฐิ าน มกั จะคิดว่าสมมตฐิ านที่ตง้ั ไว้เป็นสมมตฐิ านทีถ่ กู ตอ้ งเสมอ การตรวจสอบสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐานอาจทำได้หลายวิธี เช่น การเฝ้าสังเกต การ สำรวจและการทดลอง เป็นต้น การเลือกใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของสมมติฐาน ส่วนใหญ่การ ตรวจสอบสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์มักใช้การทดลอง (experiment) เพราะสามารถควบคุมตัวแปร (variable) ไดเ้ ปน็ ส่วนใหญ่ จึงทำใหไ้ ด้ขอ้ สรปุ ที่เชอื่ ถือซ่งึ เรยี กว่า การทดลองทมี่ กี ารควบคุม (controlled experiment) การเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนของการลงมือปฏิบัติ และเก็บข้อมูลที่ได้ จากการทดลอง การสรปุ ผลการทดลอง เป็นการสรปุ ผลตามวัตถุประสงค์ท่ีได้ตัง้ ไว้ ซ่ึงถา้ นกั ศึกษาตั้งวัตถุประสงค์ ได้อย่างชดั เจนและสามารวดั ผลลพั ธไ์ ดจ้ ะทำให้การสรปุ ผลการทดลองน้นั งา่ ยขึ้น การสรุปผลมักเป็นการนำ เนื้อหาในส่วนของผลการทดลอง และวเิ คราะห์ผลมาสรุปตามวัตถุประสงคท์ ตี่ ง้ั ไว้ 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำ ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (engagement) 1. ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ดูภาพสง่ิ มชี วี ติ และสงั เกตลกั ษณะตา่ ง ๆ ของส่ิงมชี ีวิตชนดิ น้ัน
2. ใหน้ กั เรียนจดบันทึกลักษณะต่าง ๆ ของสงิ่ มีชวี ิตท่ีสังเกต และต้ังคำถามเก่ียวกับลักษณะของ ส่งิ มีชีวติ นั้นท่กี ลมุ่ ตนสงสยั จำนวน 1 คำถาม 3. ให้นักเรยี นนำเสนอลกั ษณะทส่ี ังเกต และคำถามลักษณะต่าง ๆ 4. ครูถามนกั เรียนว่า คำถามท่นี ักเรียนตง้ั ขึ้น เมอื่ เปรยี บเทียบกับกลุ่มอ่นื มีลักษณะเหมือนหรือ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร (แนวตอบ นกั เรยี นอาจตง้ั คำถามออกมาเหมอื นกนั บางคน) 5. ครูยำ้ ให้นกั เรียนตระหนักว่า การสงั เกตเปน็ ทักษะสำคญั ท่ีนำไปสู่การคน้ พบปัญหา ท่ีเปรียบ ได้กบั นักเรยี นดรู ูปภาพนแ้ี ล้วเกิดความสงสัยจนพบปัญหา 6. ครูกล่าววา่ วนั น้ีจะไดเ้ รียนรูเ้ กีย่ วกับ การศึกษาชีววิทยาและวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั สอน ข้นั ท่ี 2 สำรวจและค้นหา (exploration) เร่ืองท่ี 1 การศกึ ษาชวี วทิ ยา 1. ครูให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ 4 คน และให้ตวั แทนกลมุ่ ออกมารบั อปุ กรณ์การทำกิจกรรม 2. ใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ งส่ิงทีน่ ักเรียนเคยสนใจทอ่ี ยากจะเรยี นรเู้ กย่ี วกับสงิ่ มชี วี ติ 1 ตัวอย่าง สง่ิ นน้ั ศกึ ษาเก่ยี วกับอะไร และเกย่ี วข้องกบั แขนงใดของวิชาชีววทิ ยา (แนวตอบ การเลี้ยงกล้วยไม้: ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของกล้วยไม้ ชนิดของกล้วยไม้ วิธีการ เลีย้ งดู การบำรุงรกั ษาใหอ้ อกดอกสวยงาม เป็นตน้ สง่ิ ท่ีสนใจจะศกึ ษาน้ีเกยี่ วข้องกับแขนงวชิ าพฤกษศาสตร์ เกษตรศาสตร์เทคโนโลยีชวี ภาพ) เรื่องที่ 2 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 1. ครูต้งั คำถามเพอื่ นำเขา้ สูก่ ารสบื ค้นข้อมูล ดังน้ี 1.1 วธิ กี ารทางวิทยาศาสตรป์ ระกอบด้วยอะไรบา้ ง (แนวตอบ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเกบ็ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์ข้อมูล และการสรุปผล) 1.2 นกั เรียนคิดวา่ นกั วิทยาศาสตรค์ วรมีลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบ นักวทิ ยาศาสตร์มกั เป็นคนช่างสงั เกต ซ่งึ การสงั เกตจะนำไปสู่การตัง้ คำถาม) 2. ให้นักเรียนสบื คน้ ข้อมูลเร่ืองการสงั เกต และเนน้ ใหน้ กั เรยี นทงั้ หมดตระหนกั ว่าการสังเกตเป็น ทกั ษะที่สำคญั นำไปสกู่ ารคน้ พบปญั หาและการรวบรวมข้อมูล ดงั น้ันนักเรยี นจึงควรฝกึ ให้เปน็ คนช่างสังเกต สนใจธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมรอบตวั
3. ครูยกตัวอย่างการค้นพบยาเพนิซิลลิน ยาปฏิชีวนะชนิดแรกของโลก ซึ่งได้มาจากการเป็นคน ช่างสังเกต ช่างคิด ช่างวิเคราะห์และความอยากรู้อยากเห็นของอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง นักจุลชีววทิ ยาชาว องั กฤษ โดยชี้ใหเ้ ห็นวา่ การค้นพบนี้เป็นการคน้ พบโดยบงั เอิญ แต่ก่อใหเ้ กิดคณุ ประโยชน์อยา่ งมหาศาล 4. ครูตั้งคำถามเพ่อื นำไปสกู่ ารอภิปราย ดงั นี้ 4.1 จากตัวอย่างการค้นพบเชื้อราเพนิซิลเลียมของเฟลมิง นักเรียนคิดว่าเฟลมิงมีสมบัติของ นกั วิทยาศาสตร์อย่างไรบา้ ง (แนวตอบ การเป็นคนช่างสังเกต สามารถค้นพบปัญหา ซึ่งนำไปสู่การค้นหาสาเหตุของ ปัญหา) 5. ให้นกั เรยี นอภิปรายและตอบคำถามเกี่ยวกบั คำกล่าวของแอลเบริ ์ต ไอน์สไตน ดงั น้ี 5.1 นักเรียนเห็นดว้ ยกับคำากล่าวของ ไอนส์ ไตน์ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด (แนวตอบ ควรให้นักเรียนตอบอย่างอิสระ โดยควรให้เหตุผลทางวิชาการมาสนับสนุน ความคิดเหน็ ของนกั เรียน) 6. ครใู หน้ กั เรียนทำกิจกรรมท่ี 1.5 การตั้งคำถามจากสถานการณ์ทเ่ี ปน็ ปญั หา 7. ครใู หน้ ักเรยี นทำกิจกรรมที่ 1.6 การตั้งสมมตฐิ าน 8. ครตู ้งั คำถามเพื่อนำเขา้ สกู่ ารสบื คน้ ขอ้ มลู ดงั นี้ 8.1 สมมตฐิ านมีความสำคญั ในการแก้ข้อสงสัยทางวิทยาศาสตร์อย่างไร (แนวตอบ เป็นคำตอบที่คาดคะเนว่าน่าจะเป็นคำตอบของปัญหาที่สงสัย ส่วนจะใช่คำ ตอบทีแ่ ทจ้ รงิ หรอื ไม่จะตอ้ งผา่ นการตรวจสอบอยา่ งรอบคอบ) 9. ครูใช้คำถามวา่ การตรวจสอบสมมตฐิ านสามารถทำได้อยา่ งไร (แนวตอบ การสังเกต การตอบแบบสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสำรวจ และการทดลอง) 10. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเร่ืองการเก็บรวบรวมข้อมูลและวเิ คราะห์ข้อมลู และการสรุปผลจาก หนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 แล้วร่วมกันตอบคำถามจากผลการทดลองและข้อมูลจากตัวอย่างใน หนงั สอื เรียนไดเ้ ลอื กบนั ทกึ ลงในตาราง หนา้ 31 11. ครูให้นกั เรยี นทำกจิ กรรม 1.7 เรอื่ ง วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์และการรายงานผล ขนั้ สรปุ ขนั้ ที่ 3 อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (explanation) เรื่องท่ี 1 การศึกษาชีววิทยา 1. ครูให้นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ออกมานำเสนอผลงานของตนหนา้ ชนั้ เรียน 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน เรื่อง การศึกษาชีววิทยา โดยสรุปถึงสิ่งที่นักเรียนสนใจ เก่ียวกบั สง่ิ มีชีวติ อาจพบวา่ มีหลากหลายซง่ึ ความสนใจในการศึกษาเก่ียวกับสง่ิ มีชวี ิตน้ัน เป็นพน้ื ฐานในการ นำไปสู่การศึกษาชีววิทยาได้หลากหลายแขนงในเวลาต่อมา ความรู้ดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ สิง่ มีชีวติ ทกุ ชนิดโดยเฉพาะมนุษย์
เรอ่ื งที่ 2 วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรปุ เรื่อง การสงั เกต โดยใหน้ ักเรยี นเข้าใจวา่ ปญั หาไดม้ าอย่างไร ซึ่ง นักเรยี นควรสรปุ ได้ว่า ได้มาจากการสังเกตปรากฏการณ์และความอยากรู้อยากเห็นของมนษุ ย์ 2. ครสู ุ่มนักเรียนนำเสนอกิจกรรมท่ี 1.5 การตัง้ คำถามจากสถานการณ์ทเี่ ปน็ ปัญหา 3. ครูใช้คำถามนำอภปิ รายว่า จากสถานการณ์ท่เี ป็นปญั หานีน้ ักเรียนคิดวา่ คำถามทีอ่ าจเป็นไปได้ มอี ะไรบา้ ง (แนวตอบ 1. อณุ หภมู ขิ องสถานทเ่ี ก็บมีผลตอ่ การสลายนำ้ ตาลของยีสตห์ รอื ไม่ 2. ความเข้มข้นของน้ำตาลในน้ำสับปะรดมีผลต่อการสลายน้ำตาลของยีสต์ หรอื ไม่ 3. ปรมิ าณนำ้ สบั ปะรดมีผลตอ่ การสลายน้ำตาลของยีสต์หรอื ไม่ 4. ปรมิ าตรอากาศในขวดมีผลต่อการสลายนำ้ ตาลของยีสต์หรือไม่ 5. ปรมิ าณยีสตใ์ นน้ำ สับปะรดมีผลตอ่ การสลายน้ำตาลของยสี ต์หรือไม่) 4. ครสู ่มุ นักเรียนนำเสนอกิจกรรมท่ี 1.6 การตัง้ สมมติฐาน 5. ครใู ช้คำถามนำอภปิ รายว่า สมมติฐานมีความสำคญั ในการแก้ข้อสงสยั ทางวทิ ยาศาสตร์อย่างไร (แนวตอบ สมมติฐานมีความสำคัญในการแก้ข้อสงสยั ทางวทิ ยาศาสตร์ กลา่ วคอื เปน็ คำตอบท่ี คาดคะเนวา่ น่าจะเปน็ คำตอบของปัญหาที่สงสยั ส่วนจะใช่คำตอบท่แี ท้จรงิ หรอื ไมจ่ ะต้องผ่านการตรวจสอบ อย่างรอบคอบ) 6. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกยี่ วกับ การต้ังสมมติฐาน 7. ครูใช้คำถามนำอภปิ รายเรื่องการตรวจสอบสมมติฐาน ดงั นี้ 7.1 จากการทดลองน้ี ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคมุ คอื อะไร (แนวตอบ ตัวแปรตน้ คอื ความเข้มข้นของสารละลายนำ้ ตาลทแ่ี ตกต่างกัน ตวั แปรตาม คือ ปรมิ าณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซดท์ เ่ี กดิ ข้ึน ตัวแปรที่ควบคุม คือ ปริมาณของยีสต์ปริมาณน้ำสับปะรด ขนาดของขวดรูปชมพู่ และ อุณหภูม)ิ 8. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเก่ยี วกับ การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้ คำถาม ดงั นี้ 8.1 นกั เรยี นจะอธิบายผลการทดลองนี้อย่างไร (แนวตอบ เมื่อความเข้มขน้ ของน้ำตาลในน้ำสับปะรดเพิม่ ข้ึน ปริมาณแก๊ส CO2 จะมาก ขน้ึ ) 8.2 ผลการทดลองนี้เชือ่ ถอื ได้หรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ น่าจะเช่อื ถอื ได้เพราะไดท้ ดลองถึง 3 ครง้ั )
8.3 เพราะเหตใุ ดจงึ ทำ การทดลองซำ้ 3 ครงั้ จงอธบิ าย (แนวตอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถอื จะต้องทำการทดลองหลายๆ ครั้งแล้วหาค่าเฉล่ีย เนื่องจากผลการทดลองแต่ละคร้งั มคี ่าไมเ่ ท่ากนั ซง่ึ อาจเกิดจากความคลาดเคลื่อนของการวัด) 8.4 ถ้าทำการทดลองอีกครั้ง ขอ้ มูลจะเหมอื นเดมิ หรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ อาจไม่เหมอื นเดิม เพราะเปน็ การทดลองคนละคร้งั อาจมีการคลาดเคล่ือนจาก การวัด การสงั เกต แตค่ วรได้ค่าที่ใกล้เคยี งกนั ) 9. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั การสรุปผล โดยใช้คำถาม ดังนี้ 9.1 การสรุปเชน่ นี้สอดคล้องกับสมมติฐานท่ีต้งั ไวห้ รือไม่ (แนวตอบ สอดคล้องกนั ) 9.2 ผลการทดลองจำเป็นต้องสอดคลอ้ งกับสมมตฐิ านทีต่ ั้งไวเ้ สมอไปหรอื ไม่ (แนวตอบ ผลการทดลองทีเ่ กิดข้ึนอาจจะสอดคล้องหรือไมส่ อดคลอ้ งกับสมมตฐิ าน) 9.3 ถา้ ผลการทดลองไม่สอดคลอ้ งกับสมมติฐานทต่ี ัง้ ไวน้ กั เรียนควรจะดำเนนิ การอยา่ งไร (แนวตอบ พิจารณาหาข้อผิดพลาดแล้วดำเนินการทดลองซ้ำ ถ้าทดลองซ้ำหลายครั้งผล การทดลองไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ตี ้งั ไว้ควรตง้ั สมมติฐานใหม่ และดำเนินการตรวจสอบสมมติฐาน อีกคร้ัง) 10. ครูสมุ่ นักเรยี นนำเสนอกิจกรรม 1.7 เรื่อง วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์และการรายงานผล 11. ครูใช้คำถามนำอภิปรายว่า จากผลการทดลองของนักเรียนและผลการทดลองของเพื่อน จะสรปุ ได้วา่ อย่างไร (แนวตอบ ตามแตล่ ะกลุ่มทน่ี กั เรียนทำการศึกษา) 12. ครใู ห้นักเรียนร่วมกันสรปุ อีกครงั้ หน่งึ ว่าการศึกษาทางวทิ ยาศาสตรห์ รอื ชวี วิทยา นอกจากตอ้ ง อาศยั วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) แลว้ ยังตอ้ งมีความเข้าใจและตระหนกั ในธรรมชาติของ ความร้วู ทิ ยาศาสตรด์ ว้ ยเชน่ กนั ว่าสามารถเปลยี่ นแปลงได้และผลของการเปลี่ยนแปลงน้นั จะเป็นประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิตของมนษุ ยต์ อ่ ไป ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้ (elaboration) 1. ครูถามนักเรียนว่า หากผลการทดลองไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ นักเรียนควร ดำเนินการอยา่ งไร (แนวตอบ หากผลการทดลองไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ต้ังไว้ ควรพิจารณาหาข้อผิดพลาด แล้วดำเนนิ การทดลองซ้ำ แต่หากทดลองซ้ำหลายคร้ังแล้วผลการทดลองไม่สอดคล้องกับสมมติฐานท่ตี ัง้ ไว้ ควรตง้ั สมมติฐานใหม่ และดำเนินการตรวจสอบสมมติฐานอกี คร้งั )
2. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกับการศึกษาชวี วทิ ยา โดยควรได้ข้อสรปุ ดงั น้ี การศึกษาชีววิทยาประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นความรู้ และส่วนที่เป็นกระบวนการ ค้นหาความรู้ ซึ่งได้แก่ การกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวม ข้อมูลและวเิ คราะหข์ ้อมลู และการสรุปผล ความรู้ท่ีได้จากกระบวนการตรวจสอบสมมติฐาน ต้องผ่านการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์ หลายๆ ทา่ น จนกระทง่ั ได้ข้อสรุปท่ีเป็นหลกั การเดยี วกัน ความร้นู น้ั ๆ จงึ สามารถนำไปตงั้ เป็นกฎและทฤษฎี เช่น กฎของเมนเดล ทฤษฎเี ซลล์ เปน็ ต้น ขน้ั ท่ี 5 ประเมนิ (evaluation) 1. กิจกรรมท่ี 1.5 การต้งั คำถามจากสถานการณ์ทเี่ ปน็ ปัญหา 2. กจิ กรรมท่ี 1.6 การตง้ั สมมติฐาน 3. กิจกรรมที่ 1.7 เร่ือง วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการรายงานผล 7. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวิชาเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตร์ ชีววิทยา ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เล่ม 1 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ของสถาบันสง่ เสรมิ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2. ส่อื นำเสนอ Power point เรื่อง การศึกษาชวี วทิ ยาและวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 8. ประเมนิ การเรยี นรู้ ครูประเมินผลการเรยี นรู้ของนักเรียน ดงั น้ี 1. ประเมินการปฏบิ ัติกจิ กรรมรวบรวมขอ้ มลู 2. ประเมินความสามารถในการสบื ค้น 3. ประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม และความใฝ่เรียนรู้ด้วยแบบประเมินกระบวนการกลุ่ม การดำเนินการทดลอง และความใฝเ่ รียนรู้
บันทึกหลงั การจัดการเรียนรู้ รายวิชา..................................................................ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ …../......... ภาคเรียนที่ ……….../………. แผนการจดั การเรียนรู้ที่.......เรอื่ ง............................................................................................เวลา.......ชั่วโมง 1. จำนวนนกั เรยี นทใ่ี ชส้ อน ระดับช้นั จำนวนนกั เรยี น(คน) มัธยมศกึ ษาปที ี.่ ......../......... 2. ผลการจัดการเรยี นรู้ ด้านความร(ู้ K) 1. .............………………………………………………………………………………………………………………………… 2. .............………………………………………………………………………………………………………………………… ผา่ นเกณฑ.์ .............. คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.......... % ดา้ นคณุ ลักษณะ(P) ผ่านเกณฑ์ระดบั ......................................................................... 1. ……………………………………………………………………………………………………………………….…………… 2. ……………………………………………………………………………………………………………………….…………… ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ด.ี .........คน ผา่ นเกณฑร์ ะดบั พอใช้...........คน ไมผ่ า่ นเกณฑ์...........คน ดา้ นทักษะ(A) 1. ……………………………………………………………………………………………………………….………………… 2. ………………………………………………………………………………………………………………..……………….. ผ่านเกณฑ์ระดบั ด.ี .........คน ผ่านเกณฑร์ ะดับพอใช้...........คน ไม่ผา่ นเกณฑ.์ ..........คน 4. ปัญหาและอปุ สรรค ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ 5. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ลงชือ่ .......................................................... ลงชอ่ื .......................................................... (นายสรุ ยิ า สุขมาเพยี ร) (นางสาวดวงพร เขยี วพระอนิ ทร)์ ครปู ระจำวชิ า (ครพู ่เี ลีย้ ง) นักศึกษาฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู
กจิ กรรม 1.5 การต้งั คำถามจากสถานการณ์ที่เป็นปญั หา ชื่อ…………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชนั้ ……………... เลขที่…………… สถานการณ์ตวั อยา่ ง นกั เรยี นสองคนคัน้ นำ้ สบั ปะรดจากสบั ปะรด 2 ลูก ใส่ขวดแยกกันซ่ึงมนี ้ำเชอ่ื มบรรจุอยคู่ นละขวด แลว้ นำไปเกบ็ ไว้ เมอ่ื นำน้ำสับปะรดที่เกบ็ ไวม้ าเพ่ือจะด่ืมพบว่า นำ้ สบั ปะรดขวดหน่ึงมฟี องอากาศเกดิ ข้ึน มากกว่าอกี ขวดหนงึ่ และเมือ่ เปิดฝาขวดน้ำสับปะรดทงั้ สองขวดและดมกลิน่ พบว่าขวดท่มี ฟี องอากาศมาก จะมีกล่นิ แอลกอฮอร์มากกวา่ อกี ขวดหนึง่ นกั เรยี นท้ังสองสงสยั ว่า เพราะเหตใุ ดในน้ำสับปะรดจงึ มีฟองอากาศเกดิ ข้ึน เกดิ กลน่ิ แอลกอฮอร์ได้ อยา่ งไร ฟองอากาศท่ีเกดิ ข้ึนเปน็ ฟองของแก๊สอะไร และเพราะเหตุใดทัง้ สองขวดจงึ มปี ริมาณฟองแกส๊ แตกต่างกนั 1. จากสถานการณท์ ่ีเปน็ ปัญหานน้ี กั เรยี นคดิ วา่ คำถามที่อาจเป็นไปไดม้ อี ะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ถ้ามีการเกบ็ ข้อมูลเพม่ิ เตมิ และพบว่า ขวดน้ำสับปะรดท้ัง 2 ขวด ตงั้ อยู่ในสภาพทมี่ อี ณุ หภูมิเทา่ กัน ขนาดของขวด และรูปรา่ งของขวดเหมอื นกันทกุ ประการ นักเรียนคิดวา่ ข้อมูลเพียงพอทจี่ ะต้ังคำถามชดั เจน แลว้ หรือไม่ ถ้ายงั ไม่ชดั เจนนักเรียนควรหาข้อมูลใดเพิม่ เติม แต่ถา้ นักเรียนคิดว่าสามารถตง้ั คำถามไดช้ ัดเจน แล้ว จงระบคุ ำถามว่า คำถามมอี ะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลยกจิ กรรม 1.5 การตงั้ คำถามจากสถานการณท์ เี่ ป็นปญั หา ชอ่ื …………………………………… นามสกุล……………………………………….. ช้นั ……………... เลขที่…………… สถานการณต์ ัวอยา่ ง นักเรียนสองคนคั้นนำ้ สบั ปะรดจากสับปะรด 2 ลูก ใสข่ วดแยกกนั ซึ่งมีนำ้ เชือ่ มบรรจุอยู่คนละขวด แล้วนำไปเก็บไว้ เมอื่ นำนำ้ สับปะรดที่เกบ็ ไวม้ าเพื่อจะด่ืมพบวา่ น้ำสบั ปะรดขวดหนึง่ มีฟองอากาศเกดิ ข้นึ มากกว่าอีกขวดหนง่ึ และเม่ือเปดิ ฝาขวดนำ้ สับปะรดทงั้ สองขวดและดมกลิ่นพบว่าขวดทมี่ ฟี องอากาศมาก จะมกี ล่นิ แอลกอฮอร์มากกวา่ อีกขวดหนง่ึ นักเรียนท้ังสองสงสัยว่า เพราะเหตใุ ดในนำ้ สับปะรดจงึ มีฟองอากาศเกิดข้ึน เกิดกล่นิ แอลกอฮอร์ได้ อย่างไร ฟองอากาศทเี่ กิดขนึ้ เป็นฟองของแก๊สอะไร และเพราะเหตุใดท้งั สองขวดจงึ มีปริมาณฟองแก๊ส แตกตา่ งกัน 1. จากสถานการณท์ ี่เป็นปัญหานี้นักเรียนคดิ วา่ คำถามที่อาจเปน็ ไปไดม้ อี ะไรบา้ ง คำถามทอ่ี าจเป็นไปไดค้ ือ 1. อุณหภูมิของสถานท่ีเก็บมผี ลตอ่ การสลายนำ้ ตาลของยีสตห์ รอื ไม่ 2. ความเขม้ ขน้ ของนำ้ ตาลในนำ้ สับปะรดมีผลตอ่ การสลายน้ำตาลของยีสต์หรอื ไม่ 3. ปรมิ าณน้ำสับปะรดมีผลตอ่ การสลายนำ้ ตาลของยีสต์หรอื ไม่ 4. ปริมาตรอากาศในขวดมผี ลต่อการสลายน้ำตาลของยีสตห์ รือไม่ 5. ปรมิ าณยสี ต์ในนำ้ สับปะรดมีผลต่อการสลายนำ้ ตาลของยสี ตห์ รือไม่ 2. ถ้ามกี ารเก็บขอ้ มูลเพมิ่ เติมและพบว่า ขวดนำ้ สับปะรดท้งั 2 ขวด ตงั้ อยู่ในสภาพที่มีอุณหภูมิเทา่ กัน ขนาดของขวด และรปู รา่ งของขวดเหมอื นกันทุกประการ นักเรยี นคดิ ว่าข้อมูลเพยี งพอท่ีจะตง้ั คำถามชดั เจน แลว้ หรือไม่ ถา้ ยงั ไมช่ ัดเจนนกั เรียนควรหาขอ้ มลู ใดเพิม่ เตมิ แตถ่ า้ นักเรยี นคดิ วา่ สามารถตงั้ คำถามไดช้ ัดเจน แล้ว จงระบคุ ำถามวา่ คำถามมีอะไรบ้าง คำถามอาจเกย่ี วขอ้ งกบั 1. ความเข้มข้นของนำ้ ตาลในนำ้ สบั ปะรดผสมน้ำ เช่อื ม 2. ปริมาณยสี ต์ในนำ้ สับปะรด 3. พนั ธุข์ องสับปะรด 4. อายุของผลสับปะรด 5. สถานท่ปี ลกู สับปะรด
กจิ กรรม 1.6 การต้งั สมมติฐาน ชื่อ…………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชั้น……………... เลขที่…………… จดุ ประสงค์ ต้ังสมมติฐานจากปญั หาที่กำหนดขน้ึ สถานการณต์ วั อย่าง ปญั หาที่ 1: ความเข้มขน้ ของนำ้ ตาลในน้ำสับปะรดมีผลตอ่ การสลายนำ้ ตาลของยีสตห์ รอื ไม่ สมมตฐิ าน: ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหาท่ี 2: ปรมิ าณยีสต์ในนำ้ สบั ปะรดมผี ลตอ่ การสลายน้ำ ตาลของยีสตห์ รอื ไม่ สมมตฐิ าน: ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามท้ายกจิ กรรม 1. สมมตฐิ านมคี วามสำคัญในการแก้ขอ้ สงสยั ทางวิทยาศาสตร์อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กิจกรรม 1.6 การตงั้ สมมติฐาน เฉลย ชอื่ …………………………………… นามสกุล……………………………………….. ช้นั ……………... เลขท่ี…………… จดุ ประสงค์ ตัง้ สมมติฐานจากปัญหาทก่ี ำหนดขึ้น สถานการณ์ตัวอยา่ ง ปัญหาท่ี 1: ความเข้มขน้ ของน้ำตาลในนำ้ สับปะรดมผี ลตอ่ การสลายน้ำตาลของยสี ตห์ รอื ไม่ สมมตฐิ าน: ถา้ ความเข้มข้นของน้ำตาลในนำ้ สับปะรดมีผลต่อการสลายนำ้ ตาลของยีสต์ ดงั นนั้ ในนำ้ สับปะรดที่มีความ เขม้ ขน้ ของน้ำตาลสงู จะเกิดแก๊ส CO2 มากกว่าในน้ำสับปะรดท่มี คี วามเขม้ ขน้ ของน้ำตาลตำ่ ปญั หาท่ี 2: ปรมิ าณยสี ตใ์ นน้ำ สับปะรดมีผลต่อการสลายนำ้ ตาลของยสี ตห์ รอื ไม่ สมมติฐาน: ถา้ ปริมาณยีสต์ในน้ำสับปะรดมผี ลต่อการสลายน้ำตาล ดงั นั้นในน้ำสับปะรดท่มี ปี รมิ าณยีสตม์ าก ยอ่ มเกดิ แกส๊ CO2 มากกวา่ ในน้ำ สับปะรดท่ีมีปรมิ าณยีสต์น้อย คำถามทา้ ยกิจกรรม 1. สมมติฐานมีความสำคัญในการแก้ข้อสงสยั ทางวิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร สมมติฐานมีความสำคัญในการแก้ข้อสงสัยทางวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ เป็นคำตอบที่คาดคะเนว่าน่าจะเป็น คำตอบของปญั หาทีส่ งสยั ส่วนจะใช่คำตอบทแี่ ทจ้ ริงหรือไม่จะตอ้ งผ่านการตรวจสอบอยา่ งรอบคอบ
กิจกรรม 1.7 เรื่อง วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์และการรายงานผล ช่อื …………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชั้น……………... เลขที่…………… ชื่อ…………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชน้ั ……………... เลขท่ี…………… ชื่อ…………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชน้ั ……………... เลขที่…………… ช่ือ…………………………………… นามสกุล……………………………………….. ชนั้ ……………... เลขที่…………… คำช้ีแจง : ให้นักเรยี นใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื ศึกษาสง่ิ ทส่ี นใจ วธิ ีดำเนินการ ให้นักเรยี นแบง่ กลมุ่ กลุม่ ละ 4 คน ออกแบบและดำเนินการทดลองโดยใช้วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์เพ่อื ศกึ ษาสิ่งทน่ี ักเรยี นสนใจ บนั ทกึ ลงในใบงาน และนำเสนอผลการทดลองหนา้ ชนั้ เรียน ปัญหา : สมมตฐิ าน : ตวั แปรในการทดลอง ตัวแปรต้น : ตวั แปรตาม : ตัวแปรควบคุม : วธิ กี ารทดลอง
ผลการทดลอง สรุปผล
กิจกรรม 1.7 เรือ่ ง วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการรายงานผล เฉลย คำชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นใชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ ศกึ ษาสิ่งทสี่ นใจ วธิ ดี ำเนินการ ใหน้ ักเรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 5-6 คน ออกแบบและดำเนนิ การทดลองโดยใชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื ศกึ ษาสิ่งที่นักเรียนสนใจ บันทกึ ลงในใบงาน และนำเสนอผลการทดลองหน้าช้นั เรียน ปัญหา : อณุ หภูมิมีผลตอ่ การสลายน้ำตาลของยสี ตใ์ นนำ้ สับปะรดหรือไม่ สมมตฐิ าน : ถา้ อณุ หภมู มิ ีผลต่อการสลายน้ำตาลของยีสตใ์ นน้ำสับปะรด ดงั นัน้ อุณหภูมทิ ีแ่ ตกต่างกนั ยอ่ มมผี ลต่ออัตราการเกิดแก๊ส CO2 ท่ไี ด้จากการสลายน้ำตาลของยีสต์ ตวั แปรในการทดลอง : ตัวแปรต้น : อุณหภูมิทแ่ี ตกต่างกนั ตวั แปรตาม : อตั ราการเกดิ แกส๊ CO2 ตัวแปรควบคุม : ขนาดขวดรูปชมพู่ ปริมาณน้ำสับปะรด ปริมาณยีสต์ วิธีการทดลอง : 1. คัน้ น้ำสับปะรดประมาณ 100 cm3 2. ตวงน้ำสับปะรดใสขวดรูปชมพู่ 3 ใบ ใบละ 10 cm3 3. ชั่งยสี ตใ์ สล่ งในขวดรูปชมพู่ในข้อ 2. ขวดละ 2.5 g 4. นำจุกยางที่มีหลอดนำแก๊สเสียบอย่ไู ปปดิ ขวดรปู ชมพู่ทงั้ 3 ใบ แล้วนำไปไว้ในสภาวะตา่ งกัน ดงั น้ี ชดุ ท่ี 1 แชใ่ นบีกเกอรท์ ่ีปรบั อุณหภมู ิเปน็ 0 oC ชดุ ท่ี 2 แชใ่ นบีกเกอรท์ ีป่ รบั อุณหภูมิเปน็ 25 oC ชุดที่ 3 แช่ในบกี เกอรท์ ี่ปรับอุณหภูมิเปน็ 40 oC 5. ตั้งชดุ การทดลองไว้ประมาณ 10 นาที สังเกตปรมิ าณแก๊สทเ่ี กิดขึ้น 6. ทำการทดลองซำ้ อีก 2 ครงั้ แลว้ นำผลการทดลองมาหาคา่ เฉลย่ี ตารางบนั ทึกผลการทดลอง : อณุ หภมู ิ (oC) ปรมิ าณแกส๊ CO2 ทเ่ี กิดขึ้น (cm3) ครง้ั ท่ี 1 ครั้งท่ี 2 คร้ังท่ี 3 ค่าเฉลยี่ 0 0.3 0.4 0.3 0.33 25 1.5 1.5 1 1.33 40 2.2 2.3 2.1 2.20
แบบประเมินกระบวนการกลมุ่ การดาเนนิ การทดลอง และความใฝเ่ รยี นรู้ 1. ให้พิจารณาความสอดคล้องระหว่างกระบวนการกลุ่ม การดาเนินการทดลอง และความใฝ่ เรยี นรู้กับรายการประเมินโดยใช้เกณฑ์ดังนี้ 1 = ปรบั ปรงุ 2 = พอใช้ 3 = ปานกลาง 4 = ดี 5 = ดีมาก 2. ให้เขียนวงกลมล้อมรอบผลการประเมิน พฤตกิ รรมทส่ี ังเกต รายการพฤติกรรมนกั เรียน ผลการประเมนิ 1 กระบวนการกลมุ่ • การวางแผนออกแบบการทดลอง/การวางแผน 1 2 3 4 5 รวบรวมขอ้ มูล • หัวหน้ามภี าวะผนู้ า 12345 • สมาชกิ กล่มุ รว่ มมอื ในการทางาน 12345 2 การดาเนนิ การทดลอง/รวบรวมขอ้ มูล 1 2 3 45 • ทาการทดลองตามขัน้ ตอนที่กาหนด • ปรับปรุงแกไ้ ขเป็นระยะ ๆ 12345 • มีการบนั ทกึ ผลเป็นระยะ ๆ 12345 • สอ่ื ความหมายข้อมูลเข้าใจและชดั เจน 12345 3 การใช้เทคนิคในการทดลอง 1 2 3 45 • ติดต้ังอุปกรณ์ เครอ่ื งมอื ไดถ้ กู ตอ้ ง • ใชว้ สั ดุ อปุ กรณ์ เครื่องมอื ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถูกต้อง 1 2 3 4 5 • ใชว้ สั ดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างชานาญและ 1 2 3 4 5 คล่องแคลว่ • ใช้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างระมัดระวัง 1 2 3 4 5 ไมก่ ่อใหเ้ กดิ อันตราย • มีการแก้ไขอุปกรณ์ที่ชารุด หรือเลือกใช้อุปกรณ์ 1 2 3 4 5 ทดแทนอุปกรณ์ท่ีชารุด
• ทาความสะอาด และเก็บอปุ กรณ์ และเคร่ืองมืออย่าง 1 2 3 4 5 ถูกวิธหี ลงั ทาการทดลอง พฤตกิ รรมที่สังเกต รายการพฤตกิ รรมนกั เรียน ผลการประเมิน 12345 4 การสรปุ ผลกิจกรรม การสรปุ ผลการทดลอง • สามารถแปลความหมายขอ้ มูลได้ • สามารถสรปุ ผลการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งตามข้อมูลทไ่ี ด้ 1 2 3 4 5 5 ความใฝ่เรยี นรู้ 1234 • มนี ิสยั รักการอ่าน 5 12345 • มีการต้งั ใจศกึ ษาเล่าเรียนรู้ • มีการแสวงหาความรู้ที่หลากหลายด้วยตนเองทาให้รู้ 1 2 3 4 5 ลกึ ซ้ึง • มีเจตคตทิ ี่/การสบื คน้ และสบื สอบ 12345
แบบประเมนิ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมรวบรวมข้อมลู ตัวชว้ี ัด ระดับคะแนน 1.ทากจิ กรรมตาม แผนท่กี าหนด 4 32 1 2.การทากิจกรรม ทากิจกรรมตาม ทากจิ กรรมตาม ทากจิ กรรมตาม ทากจิ กรรมไม่ 3.การจดั กระทา วิธกี ารและขน้ั ตอน วธิ กี ารและ วธิ กี ารและ ถูกต้องตามวิธีการ ข้อมูล ที่กาหนดไวอ้ ย่าง ขัน้ ตอนท่กี าหนด ขัน้ ตอนที่กาหนด และข้ันตอนที่ 4.การสรุปผล ถกู ต้องด้วยตนเอง ด้วยตงเองมกี าร ไวโ้ ดยครหู รอื ผู้อื่น กาหนดไมม่ กี าร มกี ารปรับปรงุ แก้ไข ปรับปรงุ แก้ไข เปน็ ผู้แนะนา ปรับปรงุ แก้ไข บ้าง บ้าง บันทกึ ผลเป็นระยะ บันทึกผลเป็น บนั ทกึ ผลเปน็ บนั ทกึ ผลไม่ครบไม่ อยา่ งถกู ต้องมีการ ระยะอยา่ งถูกตอ้ ง ระยะและไม่มกี าร เป็นไปตามการทา อธิบายข้อมูลให้ มกี ารอธบิ าย อธิบายขอ้ มูลให้ กจิ กรรม เหน็ ความเชอ่ื มโยง ข้อมูลใหเ้ หน็ ถงึ เห็นถึง เปน็ ภาพรวมเปน็ ความสัมพนั ธ์กัน ความสมั พนั ธก์ ัน เหตเุ ป็นผลและ เป็นไปตามการทา กจิ กรรม จัดกระทาข้อมลู จดั กระทาข้อมูล จดั กระทาขอ้ มลู จดั กระทาข้อมลู อย่างเปน็ ระบบมี อย่างเปน็ ระบบมี อยา่ งเปน็ ระบบมี อย่างไม่เป็นระบบ การเช่ือมโยงให้เหน็ การจาแนกข้อมลู การยกตัวอยา่ ง และมกี ารนาเสนอ เป็นภาพรวมและ ใหเ้ ห็น เพม่ิ เติมให้เขา้ ใจ ไมส่ อื่ ความหมาย นาเสนอดว้ ยแบบ ความสมั พนั ธ์ ง่ายและนาเสนอ และไมช่ ดั เจน ตา่ งๆ อย่างชัดเจน นาเสนอดว้ ยแบบ ด้วยวิธตี า่ งๆ แต่ ถกู ต้อง ตา่ งๆ ได้แตย่ ังไม่ ยงั ไม่ชดั เจนและ ชดั เจน ถกู ต้อง สรุปผลการทา สรปุ ผลการทา สรุปผลการทา สรปุ ผลการทา กิจกรรมไดถ้ ูกต้อง กิจกรรมได้ กิจกรรมไดโ้ ดยมี กิจกรรมตามความรู้ ชดั เจนกระชบั และ ถกู ตอ้ งแตย่ ังไม่ ครูหรือผู้อ่ืน ที่พอมีอยโู่ ดยไม่ใช้ ครอบคลุมข้อมลู ครอบคลุมข้อมูล แนะนาบา้ งจงึ ขอ้ มูลจากการทา จากการวเิ คราะห์ จากการวเิ คราะห์ สามารถสรปุ ได้ กิจกรรม ทง้ั หมด ทง้ั หมด ถกู ตอ้ ง
ประเมนิ ความสามารถในการสบื คน้ 1. ใหพ้ จิ ารณาความสอดคล้องระหว่างพฤตกิ รรมการสบื ค้นขา่ วสารของผเู้ รียนโดยใช้เกณฑ์ดงั นี้ 1 = ปรับปรุง 2 = พอใช้ 3 = ปานกลาง 4 = ดี 5 = ดมี าก รายการ ผลการประเมิน 1. มีการค้นควา้ แหล่งขอ้ มูลจากเอกสารแนะนาแค็ตตาลอ็ กและ 1 2 3 4 5 แหลง่ แนะนาอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 2. มีการคน้ ควา้ ข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มูลมากกวา่ 1 แหลง่ 12345 3. มกี ารตดั สนิ ใจในการเลอื กข้อมูลข้าวสารที่เกีย่ วข้อง 12345 4. มกี ารประเมินคุณภาพและความเก่ยี วข้องขอ้ มูลข่าวสารทจี่ ะ 1 2 3 4 5 รวบรวม 5. มีการเพม่ิ วิธกี ารรวบรวมข้อมลู ข่าวสารในระหวา่ งทก่ี าลงั 12345 คน้ หา 6. มีการใช้บรรณานุกรมหรือแหล่งขอ้ มลู แหลง่ ใดแหลง่ หนึง่ เพอ่ื 1 2 3 4 5 สง่ คนื แหล่งข้อมูลอนื่ ๆ 7. มีการแยกแยะข้อมลู ข่าวสารทเ่ี ป็นขอ้ เท็จจริงและความ 12345 คิดเห็น 1 2 3 4 5 8. มกี ารจัดระบบขอ้ มลู ข้าวสารที่ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 12345 9. ข้อมูลข่าวสารทไ่ี ด้มาสอดคลอ้ งกบั งานท่กี าหนดให้ 12345 10. เป็นการสบื คน้ ขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ ความคดิ เห็นเพิม่ เติม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: