รายงาน หลกั สตู รผบู้ รหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง(ผบก.) ประจาปี 2564 31 พฤษภาคม - 25 มถิ ุนายน 2564 รุน่ ท่ี 34 ประจำปีงบประมำณ 2564 จัดโดย วทิ ยาลัยการสาธารณสุขสริ นิ ธร จงั หวดั ยะลา นายกิตติพชิ ช์ เชาวด์ ี ศนู ย์สนบั สนนุ บริการสุขภาพท่ี 4
สรปุ ผลการเรยี นรูห้ ลักสูตรผบู้ ริหารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง(ผบก.) ร่นุ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 การเรียนรแู้ บบผสมผสาน (Blended learning) ระหวา่ งวันที่ 31 พฤษภาคม – 25 มถิ นุ ายน 2564 จัดทาโดย ผู้เข้าอบรมหลักสูตร ผ้บู ริหารการสาธารณสุขระดับกลาง(ผบก.) ร่นุ ท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 เสนอ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรนิ ธร จงั หวัดยะลา
คำนำ การอบรมหลกั สูตรผู้บริหารสาธารณสขุ ระดับ กลาง รุ่นท่ี34 ประจาปงี บประมาณ 256 4 โดย วิทยาลัยการสาธารณสขุ สริ ินธร จงั หวดั ยะลา ซึ่งเป็นหลักสูตรท่ีกระทรวงสาธารณสขุ โดยวิทยาลยั นักบรหิ าร สาธารณสุข ไดด้ าเนนิ การพัฒนาหลักสูตรตามสมรรถนะท่ีผบู้ รหิ ารระดับ กลาง เพ่ือใหไ้ ด้ผู้บรหิ ารทีม่ คี ุณสมบัติ พึงประสงค์ ในการอบรมครั้งนี้มผี ู้เขา้ ร่วมอบรม 46 คน มาจากหลายจังหวัด หลายวชิ าชพี ดว้ ยสถานการณ การ การแพร่ระบาดไวรสั โคโรนา-2019 มี การเรียนรแู้ บบผสมผสาน( Blended learning) ผเู้ ขา้ รว่ มอบรม ได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะ สมรรถนะในดา้ นการบริหารจัดการ การบริหารงานตามบทบาทหน้าที่และ ความรับผิดชอบของผบู้ รหิ ารระดบั กลาง เขา้ ใจถึงบทบาทหนา้ ที่ มกี ารพฒั นาตนเอง พัฒนางานและการ ทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ได้แลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ สร้างเครอื ข่ายในการทางาน ทาให้สามารถนาควา มรู้ท่ี ไดร้ บั ไปปรับใชต้ ามบรบิ ท เพ่ือให้เปน็ ผู้บรหิ ารทม่ี สี มรรถนะ บริหารงานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ คณะผ้จู ดั ทาได้ รวบรวมส่ิงทไ่ี ด้เรยี นรู้ จากการฝึกอบรม เพอ่ื ใหผ้ ู้สนใจไดศ้ ึกษา และนาไปใช้ประโยชนต์ อ่ ไป คณะผูจ้ ัดทา ผู้เข้าอบรมหลกั สูตรผูบ้ รหิ ารการสาธารณสุขระดบั กลาง รุ่นท่ี 34
สารบญั เรอ่ื ง หนา้ 1. นโยบายสาคัญดา้ นสาธารณสุข 1 2. บอกตวั ตนใน 2 นาที 3 3. การพฒั นาบุคลกิ ภาพ (Personality Development) 4 4. เทคโนโลยสี ารสนเทศและการตดั สินใจ 9 5. ธรรมาภบิ าลสาหรบั ผู้บรหิ าร 11 6. แนวคิดและกระบวนการ Community-Base Learning (CBL) 12 7. การบริหารเชิงกลยุทธ์ เครอื่ งมือการบรหิ ารจดั การ (Tool and Technical 15 Management) 17 8. การบรหิ ารมุ่งผลสมั ฤทธิ์ 18 9. ระบบสขุ ภาพในบริบทเขตสุขภาพที่ 12 20 10. การบรหิ ารด้านการเงนิ 30 11. การบริหารความเสยี่ งดา้ นการเงินบญั ชแี ละพัสดุ 38 12. หลมุ พรางทางการบริหาร 40 13. การสร้างเครือข่ายและการมสี ่วนร่วม 41 14. กระบวนการคิดในการตัดสินใจทางการบรหิ าร 42 15. ภาวะผนู้ ายคุ ใหม่กบั การบรหิ ารการเปลย่ี นแปลง 43 16. เทคโนโลยดี จิ ิทลั และนวัตกรรม 45 17. การบรหิ ารความขดั แย้ง 49 18. ผู้บรหิ ารและการขดั แย้งกันแห่งผลประโยชน์ 51 19. กิจกรรมกลมุ่ สัมพนั ธ์ 53 20. KM 57 21. การบริหารจดั การในภาวะวกิ ฤต 60 22. การพฒั นาทกั ษะการนาเสนอวชิ าการ 5 นาที 64 23. ภาคผนวก รายชื่อวทิ ยากรพีเ่ ล้ยี ง 65 24. รายชอ่ื ผู้เขา้ อบรมหลกั สูตรผบู้ รหิ ารสาธารณสขุ ระดับกลาง ร่นุ ที่ 34 69 25. ตารางการอบรม 72 26. คาสั่งแต่งต้ังผเู้ ข้ารบั การอบรมเปน็ กรรมการกลุ่ม เพอ่ื บริหารจัดการการอบรมหลกั สูตร 76 ผู้บรหิ ารการสาธารณสขุ ระดับกลาง ร่นุ ท่ี ๓๔ ประจาปงี บประมาณ ๒๕๖๔ 27. ประมวลภาพถา่ ยกจิ กรรม ตลอดหลกั สตู ร
หวั ข้อ นโยบายสาคญั ด้านสาธารณสขุ วันท่ี 31 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.00 – 12.00 น. วิทยากร ทพญ.ขวญั จิต พงศ์รตั นามาน รปู แบบการนาเสนอ เอกสารประกอบการบรรยาย เร่ือง นโยบายสาคัญดา๎ นสาธารณสุข สรุปประเดน็ สาคญั นโยบาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 1. ให๎ความสาคัญสูงสุดตํอโครงการพระราชดาริ โครงการเฉลมิ พระเกยี รติฯ 2. ระบบสขุ ภาพ มํุงพฒั นาระบบสขุ ภาพปฐมภูมิ ยกระดบั ระบบสุขภาพปฐมภูมิและ อสม. คนไทยทุกคนตอ๎ งมีหมอประจาตัว 3 คน ดูแลสขุ ภาพองคร์ วม ท้ังรํางกายจติ ใจ สังคม 3. ระบบบรกิ ารกา๎ วหน๎า เสรมิ สร๎าง พัฒนา Basic Excellence ให๎มศี กั ยภาพ ครอบคลุมทกุ เขตสุขภาพ New Normal Medical Care ยกระดบั สํู Innovation healthcare management สนับสนุน 30 บาท รกั ษาทกุ ท่ี 4. เศรษฐกจิ สุขภาพ เพม่ิ มลู คําทางเศรษฐกจิ ในผลติ ภัณฑแ์ ละบริการสขุ ภาพ ใหค๎ วามสาคัญกบั สมุนไพร กญั ชา กัญชง ทางการแพทย์ เพมิ่ โอกาสในการเข๎าถึงอยํางปลอดภัย 5. สขุ ภาพดวี ถิ ีใหมํ (New Normal) สร๎างความมน่ั ใจและความพร๎อมในการจัดการกับโรคอุบัติใหมํ COVID-19 สร๎างเสรมิ พฤติกรรมสขุ ภาพประชาชน สขุ ภาพดวี ถิ ีใหมํ 3 อ 6. บรหิ ารดว๎ ยหลกั ธรรมาภบิ าล บรหิ ารด๎วยหลักธรรมาภบิ าล โปรํงใส ตรวจสอบได๎ สรา๎ งความปลอดภัยให๎กบั บคุ ลากรและผูร๎ ับบรกิ าร งานไดผ๎ ล คนเปน็ สขุ มีความเปน็ พ่ี เพื่อน น๎อง สรา๎ งผน๎ู ารุนํ ใหมํ และ พัฒนาคนให๎เกงํ กลา๎ (อัศวิน สธ ) นโยบาย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง ประเทศไทยแขง็ แรง” 1. ระบบสขุ ภาพปฐมภมู ิเข๎มแข็ง : ยกระดบั ระบบสขุ ภาพปฐมภมู ิ และอสม. 1 ให๎คนไทยทุก ครอบครวั มีหมอประจาตวั 3 คน 2. เศรษฐกจิ สขุ ภาพ: เพม่ิ มูลคํานวตั กรรมผลติ ภณั ฑ์ บริการทางสุขภาพ มงํุ สํกู ารเป็นศูนยก์ ลาง สุขภาพนานาชาติ (Medical & Wellness Hub) 3. สมนุ ไพร กญั ชา กัญชง 3 ผลกั ดนั สมนุ ไพร กญั ชา กญั ชง เพือ่ สุขภาพ 4. สุขภาพดวี ิถีใหมํ : ปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ New Normal โดยเฉพาะอาหาร ออกกาลังกาย 5. COVID-19 : เพมิ่ ศักยภาพความมนั่ คงทางสุขภาพ 5 ในการจดั การกบั โรคอบุ ตั ใิ หมํ 6. หนวํ ยบรกิ ารก๎าวหนา๎ สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลกั สตู รผูบ๎ ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํนุ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 1
New Normal Medical Care Innovative Health Service 7. ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ดูแลสุขภาพกลํมุ วยั อยํางเป็นระบบ มุงํ เน๎นกลํุมเด็กปฐมวยั และ ผู๎สูงอายุ พัฒนาระบบการดูแลสขุ ภาพจิตเชงิ รุก 8. ธรรมาภิบาล โปรํงใส : บรหิ ารดว๎ ยหลกั ธรรมาภิบาล โปรํงใส เปน็ ธรรม ตรวจสอบได๎ 9. องค์กรแหํงความสุข : พัฒนาสูํองคก์ รแหํงความสขุ ทมี่ คี ณุ ภาพ งานไดผ๎ ล คนเปน็ สุข ปลอดภัย สร๎างผู๎นารุนํ ใหม(ํ Happy & High-Performance Organization) สรุปผลการเรยี นร๎หู ลักสตู รผ๎บู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนํุ ที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 2
หวั ขอ้ บอกตัวตนใน 2 นาที วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2564 เวลา 13.00 – 16.00 น. วทิ ยากร ดร.ภคั ณฐั วีรขจร และ คณะ รูปแบบการนาเสนอ บรรยาย และกจิ กรรมรวํ มกบั ผู๎เข๎ารวํ มอบรม สรุปประเดน็ สาคญั กิจกรรมกลํุมสัมพันธ์เพื่อสร๎างความคน๎ุ เคย และแนะนาตวั ของผเู๎ ขา๎ อบรมผ๎บู ริหาร การสาธารณสุข ระดับกลางรํุนที่ 34 สรุปผลการเรยี นร๎หู ลกั สูตรผบ๎ู รหิ ารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 3
หัวข้อ การพฒั นาบคุ ลิกภาพ ( Personality Development) วันท่ี 1 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 – 12.00 น. วิทยากร ผศ.ดร.พรทพิ ย์ พมิ พ์สุรโสภณ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย รํวมกบั การมีสํวนรวํ มในชัน้ เรยี น สรุปประเด็นสาคัญ บคุ ลิกภาพสาคัญอยํางไร : บคุ คลทีม่ บี ุคลกิ ภาพดีจะได๎เปรยี บผอู๎ นื่ เพราะสามารถสรา๎ งความนาํ เชือ่ ถือ ศรัทธาแกํผู๎พบเห็น รวมทง้ั ได๎รบั ความรวํ มมอื ในด๎านตํางๆ ซ่งึ จะชํวยใหก๎ ารทางานประสบความสาเร็จ การสรา๎ งคุณคาํ ใหต๎ วั เอง : การสรา๎ งคุณคาํ ในตนเองเปน็ กระบวนการพัฒนาบคุ คลเพ่ือใหเ๎ กดิ การยอมรบั ตนเองตามความเปน็ จรงิ มคี วามภาคภมู ใิ จและเชือ่ มั่นในความสามารถของตนเอง สามารถควบคุมการแสดงออก อยํางเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์ ขณะเดียวกนั ร๎วู ําตนมจี ดุ แข็ง หรอื ความสามารถในเรอื่ งใด พรอ๎ มที่ จะนาความสามารถมาใชใ๎ ห๎เกดิ ประโยชนต์ ํอตนเอง และผอ๎ู นื่ ได๎ ทดสอบ บุคลิกภาพแบบไหน ดา๎ นบวก ดา๎ นลบ เพอ่ื ร๎ูตวั และปรับเปลี่ยน หวั หนา้ แบบไหนทีล่ กู นอ้ งไม่ปล้มื - ไมํยตุ ธิ รรม มอี คติ - ไร๎หัวใจ ออกคาสั่งเป็นหํุนยนต์ - ไมํเคารพเวลา - ขาดวุฒิภาวะ อารมณไ์ มํม่นั คง - ขาดจรรณยาบรรณ ไมนํ าํ เคารพ - ไมมํ อบหมายงานชัดเจน - ขาดความสามารถ - ขาดความรบั ผิดชอบ ลูกนอ้ งแบบไหนท่หี วั หนา้ ไมป่ ลืม้ - นกสองหวั - ขาเมาท์ นินทา - ทศั นคติไมํดี - ชอบอา๎ ง - เอาดีเขา๎ ตวั ช่ัวเข๎าคนอ่ืน - อีโกส๎ งู - ล้าเสน๎ ขา๎ มหวั หน๎า - ให๎งานแตํมีปญั หา ลกั ษณะบุคลิกภาพ มี 2 แบบ Introvert คนท่มี ีโลกส่วนตัวคอ่ นข้างสงู - สาหรับคนประเภท Introvert คือ กลมุํ คนท่มี ีโลกสวํ นตวั คอํ นข๎างสูง มคี วามสขุ กบั การอยํูคนเดียว ชอบ คิดอะไรเรื่อยเป่ือยคนเดยี ว ดเู หมือนจะข้ีอาย มีจานวนเพื่อนสนิทแบบนบั คนได๎ มคี วามเห็นอกเหน็ ใจ เอาใจเขามา ใสํใจเรา ออํ นไหว เป็นพวกคดิ มาก คิดกํอนพดู และในขณะเดียวกันกพ็ ูดนอ๎ ย ไมชํ อบเสวนาเร่อื งท่ไี รส๎ าระ ฉาบฉวยซกั เทาํ ไหรํ Introvert มองเผนิ ๆ อาจจะดเู หมอื นคนข้ีอาย ไมกํ ลา๎ พดู แตทํ จี่ ริงแลว๎ พวกเขาแคเํ บอ่ื สงั คม สรุปผลการเรยี นร๎ูหลักสูตรผบ๎ู ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํุนท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 4
หรอื เบอ่ื หมํูคนมากๆ และมักถูกเข๎าใจผดิ วาํ กา๎ วร๎าว เนอื่ งจากรักสันโดษ มักจะไมํคํอยพดู คยุ เรอื่ งไร๎สาระ หรอื เรื่อง ทวั่ ๆ ไป น่ันทาใหถ๎ ูกมองวําเป็นคนไมนํ าํ คบหา ไมนํ ําพดู คยุ ดว๎ ย - คนประเภท Introvert ไมํชอบเป็นศูนยก์ ลางของความสนใจ ชื่นชอบการไดอ๎ ยเํู บ้ืองหลงั การได๎อยูํหลัง ไมค์ มากกวําการได๎อยูํทํามกลางสปอรต์ ไลทช์ อบสร๎างกาแพง เปดิ ใจใหใ๎ ครยาก ทาให๎มเี พอ่ื นน๎อย และพลาด โอกาสท่เี จอคนดๆี เข๎ามาในชวี ิต นอกจากน้ี พวกเขาคอํ นข๎างจะมีปญั หากบั การสานสายสัมพนั ธ์ ไมชํ อบปารต์ ้แี ตํ ในทางกลับกันเม่ือชาว Introvert มน่ั ใจ และเปิดใจจะเปน็ เพ่อื นกบั ใครแล๎ว สามารถม่นั ใจไดเ๎ ลยวาํ คุณท้ังสองจะ ได๎เป็นเพ่ือนกันอกี นาน เพราะ Introvert อาจไมถํ นดั ในเรื่องเริ่มต๎นสร๎างความสัมพนั ธ์ แตถํ นัดในเรอื่ งการพฒั นา ความสมั พันธใ์ หเ๎ ป็นความสมั พันธ์ระยะยาวได๎เป็นอยํางดี นอกจากน้ี คนประเภท Introvert น้นั จะร๎ูสึกดกี บั การ ไดอ๎ ยูคํ นเดยี ว เพราะรสู๎ ึกได๎พกั และรส๎ู กึ ผํอนคลายมากกวาํ Extrovert คนท่ชี อบการสงั สรรค์เป็นชวี ติ จติ ใจ - คนประเภท Extrovert นัน้ เรยี กงํายๆ วาํ พวกขาปารต์ ี้ เฮฮา มนุษยสมั พนั ธด์ ี เข๎าได๎กับทกุ คน ดนู ําคบ หา คนกลุมํ นี้จะเพิ่มพลงั งานของตวั เองจากการอยํูกบั คนหมํมู าก ซง่ึ ตรงกันขา๎ มกบั Introvert โดยส้ินเชงิ เพราะ Introvert ชนื่ ชอบและจะเพม่ิ พลังงานของตัวเองได๎จากการอยูํคนเดยี ว แตกํ ลบั กนั ชาว Extrovert จะรูส๎ กึ โดด เด่ยี ว และเบือ่ หนาํ ย ถา๎ จะตอ๎ งอยูคํ นเดียว เพราะพวกเขารสู๎ กึ ดมี ากกวาํ ถ๎ามีเพอ่ื นเยอะๆ หรอื อยูทํ ํามกลางคนหมํู มากน่ันเองชาว Extrovert ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจทาํ มกลางผ๎คู น ตอ๎ งการการยอมรับจากสงั คม ชอบแสดงออก ดว๎ ยการพดู มากกวําการเขียน เลือกทีจ่ ะไปปารต์ ี้ มากกวาํ ทจ่ี ะนอนอํานหนังสอื อยบํู ๎าน ดว๎ ยเหตนุ ี้ ทาใหพ๎ วกเขา คํอนขา๎ งแคร์ ชื่อเสียง ความมัง่ มี และสถานะในสงั คมจะเปน็ เรื่องสาคญั มากชาว Extrovert ด๎วยความทีเ่ ปน็ มติ ร และชอบเข๎าหาผูค๎ น ทาให๎ร๎จู ักผูค๎ นมากมาย หลากหลายประเภท จึงทาใหเ๎ ปน็ คนกว๎างขวาง มคี วามรร๎ู อบตัวเยอะ รว๎ู าํ การเข๎าหาคนแบบน้ตี อ๎ งทาตวั ยังไง มีความมน่ั ใจสูง นอกจากนี้ พวกเขายงั เป็นพวกกระตอื รือรน๎ ชาํ งพูดชาํ ง เจรจา สามารถตอํ รองเรอื่ งตํางๆ ได๎ดดี ๎วยเหตนุ ้เี อง คนประเภท Extrovert มแี นวโน๎มทจ่ี ะกา๎ วหน๎าในหนา๎ ทกี่ าร งานมากกวํา ชาว Introvert เพราะสามารถเขา๎ ก็เพือ่ นรวํ มงานไดง๎ าํ ยกวาํ เอาใจเจ๎านายได๎ดกี วาํ และมโี อกาสทจ่ี ะ ไดร๎ บั การชํวยเหลือมากมายเพราะรู๎จักคนเยอะ ที่สาคญั พวกเขามที ักษะการเปน็ ผน๎ู าสงู ทางานเป็นกลํมุ ได๎ดี ด๎วย ความโดดเดนํ ของ Extrovert ทาให๎พวกเคา๎ มีหน๎ามีตาในสงั คม และไดร๎ ับการยอมรบั มากกวาํ แตํ คน Extrovert ก็ มีข๎อเสียทเี่ ปน็ พวกพูดไมคํ ดิ ทาให๎เจอเรือ่ งเดอื ดร๎อน เพราะปากพาจนอยเูํ สมอ และทาใหด๎ เู ป็นคนทีไ่ มํใสใํ จผูอ๎ น่ื นอกจากนี้ พวกเขายังไมํสามารถแยกแยะเรอ่ื งราวความคิดตาํ งๆ ทแ่ี ลนํ เข๎ามาในหวั ออกจากกนั ได๎ เพราะชอบใช๎ เวลาอยกํู ับคนอ่ืน และรับขอ๎ มูลจากคนโน๎นคนน้ีมามากเกินไป ทาให๎จิตใจสบั สนวนํุ วาย ลงั เล และไมรํ ู๎ความ ตอ๎ งการท่แี ท๎จริงของตวั เองได๎ ปจั จัยท่ีนาไป สู่ความสาเร็จสาหรบั ผู้นา บคุ ลิกภาพของผ๎ูนา + กรอบแนวคดิ มคี วามสาคัญมาก Success = Mindset 80% + Strategy 20% บุคลกิ ท่ีควรมีในผูน๎ าแล๎วคณุ จะประสบความสาเร็จ - Kine ความเหน็ อกเห็นใจ - Firm ความม่ันคง ความชดั เจน รวมทั้ง 2 วธิ ที ี่ผู๎นาตอ๎ งผํานให๎ได๎ เพ่ือได๎รับการยกยํองจากผูใ๎ ตบ๎ ังคบั บญั ชา - วกิ ฤต - วสิ ยั ทัศน์ บุคลกิ 2 มติ ิ 1. มติ ดิ ๎านการแสดง และเกบ็ ตวั ซง่ึ ประกอบดว๎ ยลกั ษณะยํอย สรปุ ผลการเรียนร๎ูหลักสูตรผบ๎ู รหิ ารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หน๎าท่ี 5
2. มิตทิ ม่ี ีลกั ษณะทางด๎านอารมณ์ บคุ ลกิ ของผน๎ู าที่ประสบความสาเรจ็ >>>>> Passion แรงผลักดนั +Practice เทาํ กับ Professional 5 บคุ ลกิ ภาพร่วมที่ดขี องผู้นาองคก์ ร 1. Visionary Visionary ความเปน็ ผูม๎ วี ิสยั ทัศน์ สงั่ งานลูกน๎องได๎ 2. Harmonize Harmonize สรา๎ งความปรองดอง ให๎คาํ ของทีมงาน 3. Producer ProducerProducer เปน็ ผู๎สร๎างโฟกัสกบั ผลลพั ธ์ 4. Collaborator นากลุํมคนเกงํ ๆมาทางานได๎, คนแตกตําง 5. Coaching โค๎ชชิง่ Outsource ไมไํ ด๎ คุณสมบตั ขิ องผู้นาตามJohn C. Maxwell 1) ผ๎ูนาตอ๎ งเปน็ คนมีวิสัยทศั น์ ตอ๎ งมองไปถึงอนาคต และเหน็ จดุ มุํงหมายอยาํ งชัดเจน 2) ผู๎นาตอ๎ งใฝรุ ๎ู ตอ๎ งไมลํ ๎าหลงั ติดตามเรยี นรใ๎ู ห๎ทนั การเปล่ียนแปลงอยํเู สมอ 3) ผ๎นู าต๎องเปน็ ผร๎ู บั ใชท๎ ด่ี ี เรยี นรก๎ู ารปฏิบตั จิ ากผ๎อู ืน่ 4) ผนู๎ าตอ๎ งมีวินัยในตนเอง เพ่อื เป็นตวั อยาํ งในการสรา๎ งวนิ ัยให๎กับองคก์ ร 5) ผู๎นาต๎องเป็นผ๎ูมนั่ คง ในหลกั การ อุดมการณ์ ไมํหวนั่ ไหวตํอสถานการณ์ 6) ผู๎นาต๎องเปน็ คนกล๎ารบั ผดิ ชอบผลทเี่ กิดจากการตัดสินใจ 7) ผน๎ู าต๎องเปน็ ผม๎ู ีมนุษยสัมพนั ธ์ดี ทาให๎การทางานเกดิ ความราบร่นื 8) ผน๎ู าต๎องเป็นคนรูจ๎ ักแก๎ปญั หาทง้ั ระยะสน้ั ระยะยาวถ๎าร๎วู าํ มีปัญหาตอ๎ งรบี แกไ๎ มํปลํอยให๎ ปัญหาคง คา๎ ง 9) ผู๎นาต๎องเป็นผู๎มที ัศนคตทิ ่ีดใี นการทางาน ตอ๎ งเชอื่ วําทาได๎ 10) ผ๎นู าตอ๎ งมใี จรกั ในงาน รกั ผรู๎ ํวมงาน รักผ๎เู กย่ี วขอ๎ งในงาน รักผู๎รบั บรกิ าร รกั ตนเองเข๎าใจตนเอง 11) ผน๎ู าตอ๎ งมีคณุ ธรรม เชือ่ มั่นในหลกั คณุ ธรรม 12) ผ๎นู าต๎องมเี สนํห์ บคุ ลกิ ดี ความประทับใจแรกพบชวํ ยใหง๎ านประสบความสาเร็จไดง๎ าํ ย 13) ผน๎ู าตอ๎ งทมุํ เท เช่อื มน่ั ในส่ิงท่ที า หากไมํทมุํ เทจะเปน็ เพยี งนกั ฝัน 14) ผนู๎ าตอ๎ งรจ๎ู ักการส่ือสารทด่ี ี มคี วามสามารถสอ่ื ใหผ๎ อ๎ู ื่นเขา๎ ใจในสิ่งทีตนเองคดิ ทาเรือ่ งยากให๎งําย 15) ผน๎ู าตอ๎ งเป็นคนมปี ระสิทธิภาพ ทางานอยํางมีหลักวชิ าการใหเ๎ กิดความสาเร็จ 16) ผน๎ู าต๎องกล๎าหาญ ทาในสิง่ ทถ่ี ูกตอ๎ งกล๎าคดั ค๎านในส่งิ ผดิ 17) ผู๎นาตอ๎ งมวี จิ ารณญาณที่ดี ร๎ูจักวิเคราะห์ ตัดสนิ ใจถกู ต๎อง 18) ผน๎ู าต๎องมคี วามแจํมชัดในทุกด๎าน 19) ผู๎นาต๎องเป็นคนมีน้าใจ 20) ผู๎นาต๎องเป็นคนมีความคิดรเิ รม่ิ ในส่งิ ใหมํๆ 21) ผน๎ู าตอ๎ งเปน็ ผ๎ูฟงั ท่ดี ี เพ่ือเขา๎ ถงึ จิตใจคน บคุ ลิกภาพและความรับผิดชอบของผ้นู า 1) Create Vision Create Vision สร๎างวสิ ัยทศั น์ให๎องค์กร 2) Create Culture Create สร๎างวฒั นธรรมองคก์ รให๎ทมี งาน 3) Create Organization Create สร๎างองค์กร 4) Motivate Team Motivate สรา๎ งแรงจงู ใจให๎ทมี งาน 5) Get Result สรา๎ งผลลัพธ์ใหอ๎ งค์กร สรปุ ผลการเรียนรูห๎ ลกั สูตรผูบ๎ ริหารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 6
ลักษณะทงั้ ภายนอกและภายในผาํ นการแสดงออกทางราํ งกาย และท่ีสาคัญทีส่ ดุ ในการสร๎างเสรมิ บุคลิกภาพให๎ดขี ึ้น How to improve your personality ทาํ เดนิ ทํานงั่ ทาํ เดนิ การส่อื สารแสดงออกทางใบหนา๎ และการสรา๎ งความมั่นใจในตัวเอง 9 เร่ืองทคี่ นประสบความสาเร็จจะไมท่ า ซ่ึงคุณก็สามารถทาได้ 1) ไมปํ ลํอยให๎อดตี มากาหนดอนาคต ทุกคนเคยทาผดิ พลาด ส่งิ สาคัญคอื การเรียนร๎ูจากความผิดพลาดเหลาํ นนั้ ไดม๎ ากแคไํ หน ใชค๎ วาม ผิดพลาดมาเป็นบทเรยี น อยําพลาดโอกาสในการเรียนรู๎ 2) ไมํนินทาคนอนื่ เม่อื อยใํู นวงสนทนาคณุ ไมํสามารถปฏเิ สธเรือ่ งการนนิ ทาได๎เลย ถ๎าคุณไดพ๎ ดู ถึงคนนอกออกไป นนั่ หมายความวาํ คณุ ไดต๎ ัดสินพวกเขาไปแล๎ว ในทางกลบั กนั ถา๎ คุณเป็นคนที่ไมํไดอ๎ ยํูในวงสนทนาลํะ คณุ คดิ วําจะรอด หรอื ไมํ ไมนํ าํ รอด ไมํมใี ครหนคี านินทาได๎สาหรับคนที่ประสบความสาเร็จ พวกเขาจะพูดอยาํ งเปิดเผย แสดงความ คดิ เหน็ อยํางตรงไปตรงมา พดู กบั คนๆ น้นั โดยตรง ดว๎ ยเจตนาที่ดี อยาํ ลมื วําคาตาหนทิ ี่หวํ งใย ยอํ มดกี วํากาลังใจที่ ไมจํ รงิ จงั 3) จะไมํพูดวาํ “ใชํ” ถ๎าร๎สู กึ วาํ “ไม”ํ ไมํวาํ จะเป็นคาขอจากเพือ่ นรวํ มงาน ลูกคา๎ หรือแม๎กระทง่ั เพอื่ นสนทิ ถา๎ พวกเขาร๎สู กึ ไมเํ หน็ ดว๎ ย พวก เขากจ็ ะไมํทา จากท่ีเราเห็นกนั บอํ ยๆ คนสํวนใหญมํ ักจะตอบรับคาขอ โดยท่ีไมํร๎วู ําทาได๎ หรือไมไํ ด๎ ถ๎าคิดวาํ ทา ไมํไดจ๎ ริงๆ ก็ตอบปฏเิ สธไปเลยดีกวํา แมจ๎ ะเสยี ความร๎สู ึกกันอยสํู กั ครํู กด็ กี วาํ ตอ๎ งทาในส่งิ ที่ไมอํ ยากทา ซง่ึ สดุ ท๎าย แลว๎ คณุ ก็จะรูส๎ ึกผดิ กบั ตวั เองอกี ดว๎ ยในสวํ นของคนทปี่ ระสบความสาเรจ็ พวกเขาจะมศี ิลปะในการปฏิเสธคนอน่ื ๆ ทั้งวธิ กี ารพูด นา้ เสยี ง และทาํ ทาง เพอื่ ไมํใหเ๎ สยี ความร๎สู ึกกบั ทั้งตัวเอง และอีกฝุาย 4) ไมพํ ดู แทรกคนอนื่ การเป็นผฟ๎ู ังที่ดเี ปน็ สงิ่ ทที่ กุ คนควรจะเปน็ การรบั ฟงั ความคดิ เห็นจากคนอนื่ ๆ จะชวํ ยให๎คณุ ได๎เรยี นรู๎ แนวคิดที่นามาปรบั ใช๎ไดก๎ บั ตัวเองได๎ บางครั้งการพูดแทรกคนอื่นก็ทาลายความสัมพนั ธ์ได๎ ทางทด่ี คี วรปลํอยใหอ๎ ีก ฝุายพดู ให๎จบกํอน หรอื ถา๎ มีคาถาม ข๎อโต๎แย๎งใดๆ ใหต๎ อบคาถามตัวเองให๎ไดก๎ ํอนวํา คุณได๎ต้งั ใจฟงั จริงๆ หรอื ไมํ แลว๎ คอํ ยพูดในส่ิงทีต่ อ๎ งการ 5) ไมํผดิ นดั หรือไปสาย (โดยไมมํ ีเหตผุ ล) ใครๆ ก็เคยสาย ไปช๎าบ๎างนิดหนอํ ยคงไมํเปน็ ไร แตเํ ราเชอ่ื วํา ระหวาํ งทางคณุ จะรีบมาก จนจิตใจไมํอยํู กับเนื้อกบั ตวั การมาสายนอกจากจะทาให๎ตวั เองเหนื่อยแลว๎ ยงั ทาใหอ๎ กี ฝาุ ยไมํพอใจด๎วย “เวลา” เป็นส่งิ สาคัญ ทสี่ ดุ ในชวี ติ เลยก็วาํ ได๎ อยําปลํอยใหค๎ นอืน่ รอนานเกนิ ไป บางคร้งั คุณอาจเสียโอกาสดีๆ ไปโดยไมรํ ตู๎ ัววิธงี าํ ยๆ คอื ต่ืนใหเ๎ รว็ ข้นึ (นิดหนอํ ยก็ยังดี) แคํมากํอนเวลานัด คุณก็จะเครยี ดน๎อยลง ซึง่ จะสํงผลถึงการทางานตลอดวัน แลว๎ เคยสังเหตุไหมวาํ ทาไมคนทีป่ ระสบความสาเร็จ ถงึ มีความคดิ แปลกใหมไํ ด๎ตลอดเวลา นน่ั กเ็ พราะพวกเขาให๎เวลา กับทุกสิ่งท่ที า มีเวลาให๎ตัวเองเพื่อทบทวนส่งิ ตํางๆ 6) ไมํเปรียบเทยี บตวั เองกบั คนอ่นื ด่ังคากลาํ วของ Nelson Mandela ทีบ่ อกวาํ “ความไมํพอใจ (ความแค๎น) คอื การทีค่ ุณดมื่ ยาพษิ แลว๎ หวงั ทจ่ี ะให๎ศตั รูของคุณตาย” เชํนเดยี วกบั อารมณ์เดอื ด ความอิจฉา และไมํพอใจ เมอ่ื คณุ ร๎ูสกึ แบบน้ีกบั คนอนื่ คน ทเ่ี จ็บทสี่ ดุ กค็ อื ตวั เองคนทป่ี ระสบความสาเร็จจะไมหํ มกมุนํ ไปกบั อารมณเ์ หลํานี้ ไมํเปรยี บเทียบตัวเองกับคนอ่ืน จนทาใหเ๎ กดิ ความอิจฉา หรอื รูส๎ ึกไมพํ อใจในตัวเอง 7) ไมเํ คยบอกวาํ “ไมมํ เี วลา” สรปุ ผลการเรยี นรู๎หลักสตู รผ๎บู ริหารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 7
ไมํวําจะเป็นคนรวย คนจน หวั หน๎า หรือลกู นอ๎ ง เราทุกคนมเี วลาเทาํ กัน เคยสงสยั ไหมวํา ทาไมคนๆ เดียวถงึ ทาทุกอยาํ งได๎ทันเวลา จริงๆ แลว๎ พวกเขากแ็ คเํ ลือกทาสิ่งทสี่ าคญั กํอน ตดั สิ่งทไี่ มํจาเป็นออกไป แล๎วเร่มิ ลง มอื ทา เส๎นกน้ั บางๆ ของคนท่ีประสบความสาเร็จ กับคนธรรมดา อยํทู ี่การบริการจดั การเวลามีอยเํู ทาํ กัน ทา อยํางไรจงึ จะใช๎ได๎ค๎มุ คาํ และเกิดประโยชน์ท่สี ุด 8) ไมคํ ดิ วําตัวเองดีท่ีสุด ในโลกแหํงความเปน็ จริง เราไมสํ ามารถทาใหใ๎ ครรกั เราได๎ ทงั้ เสือ้ ผา๎ ท่ใี สํ รถทีข่ บั บา๎ นท่อี าศยั ไมํมใี คร ชอบทกุ อยํางทีเ่ ป็นเราไดท๎ ง้ั หมด รวมถงึ ตัวเราเองด๎วย เพราะจริงๆ แลว๎ ไมมํ ีใครที่ดที ่ีสดุ คนทป่ี ระสบความสาเรจ็ ก็ เชํนกัน พวกเขาจะไมํตัดสนิ คนโดยท่ยี ังไมรํ ู๎จกั กนั ดพี อ ไมํมองวาํ ตัวเองดีทสี่ ุด ไมยํ กตัวเองให๎อยํเู หนอื คนอ่ืน ไมํ แสดงออกในส่ิงทีไ่ มใํ ชํตวั เอง ดว๎ ยอุปนิสยั เหลําน้ี จะทาให๎พวกเขาได๎พบแตํคนดีๆ 9) ไมกํ ลัวที่จะทาเรือ่ งสาคัญ จากคาพูดของ แฟรงคลนิ ดี รูสเวลท์ กลําววํา “ส่งิ เดียวท่เี ราตอ๎ งกลัว คอื ความกลวั ที่เราสรา๎ งข้นึ มา เอง” ซง่ึ กเ็ ปน็ ความจรงิ เพราะเรามกั จะกลัวในสิง่ ที่ยังไมเํ กดิ ขนึ้ ส่งิ ท่คี าดเดาไมํได๎ สงิ่ ทย่ี ังไมไํ ดท๎ า หรอื กลัวคน อนื่ ๆ จะตาหนิ ความกลัวเหลํานี้ จะทาให๎เราลังเล ไมํกล๎าลงมือทาอะไรสักที มัวแตํรอนั่นรอน่จี นเหลอื ทางเลอื กไมํ มาก สุดทา๎ ยก็ไมไํ ดท๎ าส่ิงท่ีอยากทา เพราะฉะนนั้ อยําปลอํ ยใหค๎ วามกลัวมาเปน็ อุปสรรคในการดาเนินชวี ิต สุดทา๎ ยแลว๎ คนทจ่ี ะประสบความสาเร็จได๎ น้ันตอ๎ งเกิดจากความต้งั ใจ และลงมือทา ถ๎าไมเํ รม่ิ ต๎นตั้งแตํ ตอนน้ี ก็ไมํมวี ันทีจ่ ะก๎าวไปถงึ เส๎นชยั สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลกั สูตรผบ๎ู ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํนุ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 8
หัวข้อ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการตัดสินใจ วนั ที่ 1 มถิ ุนายน 2564 เวลา 13.00 – 16.00 น. วิทยากร ภก.ไพสฐิ จิรรัตนโสภา รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย รํวมกับ การมีสวํ นรวํ มในชนั้ เรียน สรปุ ประเด็นสาคัญ ปจั จุบันเทคโนโลยีสารสนเทศไดเ๎ ข๎ามามีบทบาทและความสาคญั ตํอการดาเนนิ ชวี ติ ของเรามาก โดยเฉพาะเมอื งใหญๆํ ที่มีอปุ กรณ์การสอื่ สารทีท่ ันสมยั เราจงึ จาเป็นต๎องศึกษาเรยี นรเ๎ู พ่ือจะได๎ใช๎งานไดอ๎ ยาํ ง เหมาะสมและเกดิ ประสิทธภิ าพสูงสดุ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีบทบาทและความสาคญั ตํอเราในแทบทุกด๎านท้งั ดา๎ น การประกอบอาชพี การงาน การศกึ ษาเลําเรยี น การติดตอํ สอื่ สารการรักษาพยาบาล ขอ๎ มลู กับสารสนเทศมีความหมายที่แตกตาํ งกนั คือ ขอ้ มูล(Data) หมายถงึ ข๎อเท็จจริงทเ่ี กีย่ วข๎องกบั คน สตั ว์ สิง่ ของ และเหตกุ ารณ์ตํางๆ ท่ีเกิดข้ึนในแตํ ละวัน อาจอยูํในรูปแบบของตวั อักษรหรือตัวเลขกไ็ ด๎ เปน็ ข๎อเท็จจริงที่มีการเกบ็ รวบรวมไวย๎ ังไมไํ ด๎ผาํ น กระบวนการประมวลผลใดๆ เชนํ ข๎อมลู รายการซอื้ ขายรายวนั ขอ๎ มูลสินค๎าคงเหลือรายวนั สารสนเทศ ( Information) หมายถงึ ผลลัพธ์ทไี่ ดจ๎ ากการนาเอาข๎อมูลมาทาการประมวลผล หรอื เปลี่ยนแปลงดว๎ ยกรรมวธิ ีทเี่ ชือ่ ถอื ไดจ๎ นเป็นขาํ วสารทพ่ี รอ๎ มสาหรับนาไปใช๎งานหรอื ใช๎ประโยชนด์ า๎ นใดด๎านหน่งึ ตามท่ผี ใู๎ ชต๎ ๎องการ ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง กระบวนการประมวลผลขอ๎ มลู ขําวสารหรอื การจดั การขอ๎ มลู ขาํ วสารใหอ๎ ยูํในรูปแบบทม่ี รี ะบบ เปน็ ระเบียบ เป็นหมวดหมํู เพ่อื ความสะดวกในการเรียกใช๎ และเป็นประโยชนต์ ํอการตัดสินใจของผูบ๎ รหิ าร ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) หมายถงึ วิชา ทวี่ ําดว๎ ยการเกบ็ รวบรวมข๎อมลู การจดั เก็บขอ๎ มูลท่ีมอยํใู หเ๎ ปน็ ระบบ เพื่อการเรยี กใช๎ข๎อมลู อยาํ งรวดเรว็ ในเวลาท่ี ตอ๎ งการ รวมไปถึงวธิ ีการตาํ งๆ ในการประมวลผล การวเิ คราะห์ผลท่ีได๎จากการประมวลผลและการแสดงผล ขอ๎ มลู ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การมีความสาคัญและมปี ระโยชน์ตอ่ องค์กร ดังนี้ 1. สนบั สนนุ การทางานขององคก์ ร เปน็ การใช๎ระบบสารสนเทศเพ่ือประกอบการทางานตาม ภาระหน๎าทีข่ ององค์กรนัน้ ๆ 2. สนับสนุนการตัดสินใจในระดับตา่ งๆ การทางานขององค์กรน้นั จะต๎องมกี ารตัดสนิ ใจโดยจะตอ๎ ง ตั้งอยํูบนพืน้ ฐานของขอ๎ มูล ซ่ึงก็คือ สารสนเทศท่เี ปน็ ระบบนัน่ เอง 3. สนับสนนุ การวางแผนระยะยาวขององค์กร ระบบสารสนเทศมีความสาคญั มากตอํ การวาง แผนการทางานขององคก์ ร เพราะแผนงานจะเกิดประสทิ ธิผลหรือมีประโยชนต์ อํ องคก์ รไดน๎ ั้นจาเป็นตอ๎ งอาศยั สารสนเทศท่ีมคี ณุ ภาพ 4. สนบั สนุนการวางแผนระบบปฏบิ ตั งิ านใหม้ มี าตรฐาน ชวํ ยในการวเิ คราะหป์ ญั หาและหทางแกไ๎ ข ปัญหาน้ันๆ ประเภทของระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการแบ่งตามลกั ษณะงานตา่ งๆ ไดด้ งั นี้ 1. ระบบการประมวลผลรายการระบบ: (TransactionProcessingSystem: TSP) 2. เปน็ การใช๎คอมพิวเตอรร์ ะดับพ้นื ฐานเพ่ือการประมวลผลรายการหรอื รายละเอยี ดทีเ่ กิดขึ้น ประจาวันใหเ๎ กดิ ความราบรืน่ เชํน รายการซอื้ ขายสินค๎า รายจํายตาํ งๆ สรปุ ผลการเรยี นร๎หู ลกั สูตรผบู๎ ริหารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุํนท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 9
3. ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ (Management Information System : MIS) 4. เปน็ ระบบทพ่ี ัฒนาข้ึนมาโดยมจี ุดประสงคเ์ พอ่ื รวบรวมข๎อมูลและสารสนเทศท่เี ป็นประโยชนต์ ํอการ ควบคมุ กากบั จัดการเก่ยี วกบั งานขององค์กร เป็นระบบทีน่ าเอาขอ๎ มูลจากระบบทีพีเอสมาจดั ทาเป็นรายงาน เพือ่ ใหผ๎ บ๎ู รหิ ารใชเ๎ พื่อประกอบการตัดสนิ ใจ 5. ระบบช่วยการตดั สนิ ใจ (Decision Support System : DSS) เปน็ ระบบท่ชี ํวยในการ จดั เตรยี มสารสนเทศเพอื่ ชํวยในการตัดสนิ ใจ หากเปน็ การใช๎โดยผบู๎ ริหารระดับสูง ระบบน้เี รยี กวาํ ระบบ สนับสนนุ การตัดสินใจเพอื่ การบรหิ าร ระบบนช้ี ํวยสนับสนนุ การตัดสินใจในการวางแผนเพือ่ แก๎ไขปัญหาตํางๆ ท่ี เกิดขน้ึ 6. ระบบสารสนเทศเพ่อื ผู้บรหิ าร (Executive Information System : EIS) เป็นระบบ สารสนเทศท่พี ฒั นาเพือ่ ผ๎บู ริหารโดยเฉพาะ ชวํ ยใหม๎ ีความคลํองตัวในการวางแผน กาหนดนโยบาย 7. ระบบสานกั งานอัตโนมตั ิ (Office Automatic System : OAS) เป็นระบบสารสนเทศท่ี สนบั สนนุ การสือ่ สารภายในองค์กรหรือกับหนํวยงานภายนอกก็ได๎ เพือ่ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพการทางานของทุกคนโดย ใชอ๎ ปุ กรณเ์ ทคโนโลยที ท่ี นั สมยั ระบบ OAS ครอบคลุมงานสานกั งาน 4 ด๎าน คอื งานด๎านการจัดการ เอกสาร งานด๎านขอ๎ มลู งานด๎านการประชมุ และงานสนับสนุนสานกั งาน 8. ระบบผเู้ ช่ยี วชาญ (Artificial Intelligence/Expert System : Al/ES) เปน็ ระบบที่ใช๎ ผู๎เชี่ยวชาญแตํละสาขาอาชพี ทาการใสขํ ๎อมูลไวใ๎ นเครื่องคอมพวิ เตอรเ์ พือ่ ใหเ๎ คร่อื งสามารถวเิ คราะหข์ ๎อมลู ประกอบการตัดสนิ ใจ เปน็ เสมอื นผเู๎ ช่ียวชาญอยูํรวํ มชวํ ยตัดสนิ ใจสาหรบั ความรทู๎ ี่เกบ็ ไวใ๎ นคอมพวิ เตอร์ ประกอบดว๎ ยความรพ๎ู ้ืนฐานและกฎข๎อวินิจฉยั สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลักสตู รผู๎บรหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รํนุ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 10
หวั ข้อ ธรรมาภิบาลสาหรับผบู้ ริหาร วนั ที่ 2 มถิ นุ ายน 2564 เวลา 09.00 – 12.00 น. วิทยากร นพ.ไพศาล เก้อื อรณุ รูปแบบการนาเสนอ การบรรยาย รํวมกบั การมสี วํ นรวํ มในช้ันเรียน สรุปประเดน็ สาคญั ธรรมาภิบาล คอื หลกั ในการบริหารจัดการบา๎ นเมืองที่ดี ถอื เป็นหลกั การบริหารเพอ่ื การอยรํู วํ มกันใน บา๎ นเมอื งและสังคมให๎เกิดความสงบสขุ โดยมีองคป์ ระกอบทสี่ าคัญ 6 ประการดังน้ี 1. หลักนติ ธิ รรม หมายถงึ การตรากฎหมาย กฎ ระเบยี บข๎อบงั คับและกติกาตําง ๆ ให๎ทันสมัยและ เป็นธรรม โดยคานึงถงึ สิทธิ เสรภี าพ ตลอดจนเป็นท่ยี อมรบั ของสงั คมและสมาชกิ ในการถือปฏบิ ตั ริ ํวมกนั อยาํ ง เสมอภาค 2. หลักคุณธรรม หมายถงึ การยึดถอื และเชอื่ มัน่ ในความถกู ตอ๎ งดงี าม เปน็ การสงํ เสรมิ สนับสนุนให๎ ประชาชนพัฒนาตนเองไปพรอ๎ มกัน เพอ่ื ใหค๎ นไทยมคี วามซื่อสตั ย์ จรงิ ใจ ขยัน อดทน มรี ะเบยี บวินยั ประกอบ อาชีพสุจริตจนเปน็ นสิ ยั 3. หลักความโปรงํ ใส หมายถงึ การสร๎างความไวว๎ างใจซึง่ กนั และกันของคนในชาติ การทาให๎ สงั คมไทยเปน็ สังคมทีเ่ ปดิ เผยขอ๎ มลู ขาํ วสารอยํางตรงไปตรงมา การทางานขององคก์ รทกุ องคก์ รมคี วามโปรงํ ใส สามารถตรวจสอบได๎ และชํวยให๎การทางานของภาครฐั และภาคเอกชนปราศจากการทุจรติ คอรัปชนั่ 4. หลักการมีสํวนรวํ ม หมายถงึ การเปิดโอกาสให๎ประชาชนมสี วํ นรวํ มรบั รแ๎ู ละแสดงความคดิ เหน็ โดย เปดิ โอกาสให๎ประชาชนมีชํองทางในการเขา๎ มามสี วํ นรํวม ได๎แกํ การแจ๎งความเหน็ การไตสํ วน สาธารณะ การ ประชาพจิ ารณ์ การแสดงประชามติ หรอื อื่น ๆ 5. หลกั ความรับผดิ ชอบ หมายถึง การตระหนกั ในสทิ ธิหน๎าที่ ความสานึกในความรับผิดชอบตํอสงั คม การใสํใจปญั หาสาธารณะของบ๎านเมอื งและการกระตือรือรน๎ ในการแก๎ปญั หา ตลอดจนการเคารพในความคิดเห็นท่ี แตกตาํ งและความกลา๎ ทจ่ี ะยอมรบั ผลดแี ละผลเสียจากการกระทาของตนเอง 6. หลกั ความคม๎ุ คํา หมายถึง การบรหิ ารจดั การและใชท๎ รัพยากรท่ีมอี ยอูํ ยาํ งจากดั เพอื่ ใหเ๎ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกสํ ํวนรวม โดยการรณรงคใ์ หค๎ นไทยมีความประหยดั ใช๎ของอยาํ งคม๎ุ คํา สร๎างสรรคส์ ินค๎าและ บริการท่มี ีคุณภาพสามารถแขงํ ขันไดใ๎ นเวทีโลก และรักษาพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติใหส๎ มบูรณย์ งั่ ยนื สรุป ความสาคัญของหลักธรรมาภบิ าลตอ่ ระบบราชการ หลกั ธรรมาภิบาล เปน็ แนวคดิ สาคัญในการบรหิ ารงานและการปกครอง โดยเฉพาะขา๎ ราชการ เพราะ ธรรมาภิบาลเปน็ การบริหารงานให๎มีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล ตงั้ มนั่ อยูบํ นหลักการบรหิ ารงานทเ่ี ทีย่ งธรรม สจุ ริต โปรงํ ใส และสามารถตรวจสอบได๎ ดงั นน้ั หลักธรรมาภบิ าลหรอื การบริหารกิจการบ๎านเมอื งที่ดี จงึ มี ความสาคญั ตํอระบบราชการเพราะเป็นการการพัฒนาระบบราชการ ซง่ึ เป็นกลไกสาคัญในการบรหิ ารราชการ แผํนดนิ ให๎สามารถขบั เคลอื่ นนโยบายตําง ๆ ไปสํูการปฏบิ ตั ใิ หบ๎ งั เกิดผลอยํางเป็นรปู ธรรม เพ่ือประโยชน์สุขของ ประชาชน สรปุ ผลการเรยี นร๎หู ลกั สูตรผู๎บรหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รนํุ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 11
หัวข้อ แนวคดิ และกระบวนการ Community-Base Learning (CBL) วนั ท่ี 2 มถิ นุ ายน 2564 เวลา 13.00 – 16.00 น. วิทยากร รองศาสตราจารย์ ดร.ปญุ ญพัฒน์ ไชยเมล์ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย และแบงํ กลุมํ ระดมสมอง สรุปประเด็นสาคัญ Community - base learning : CBL เป็นกระบวนการเรียนร๎ูอยาํ งหนึง่ ท่ีใชใ๎ นการจดั การเรยี นการ สอนโดยใช๎ชุมชนเปน็ ฐานการเรยี นรู๎ ท่ีเนน๎ ใหผ๎ ูเ๎ รียนไดเ๎ กิดการเรยี นรจ๎ู ากการได๎ปฏบิ ตั ิงานจากสถานการณ์จริงของ ชมุ ชน และยังเปน็ การผสมผสานทห่ี ลากหลายในชุมชน การสะท๎อนกลบั โดยผลลัพธ์ท่ไี ดช๎ ุมชนจะเกิด กระบวนการเรยี นร๎ู เกดิ การแกไ๎ ขปัญหาในชมุ ชน Community - base learning เปน็ วิธีการทใ่ี ช๎ในการฐานการศกึ ษาเป็นหลัก ซงึ่ การเรียนรหู๎ ากเรยี น เฉพาะในหอ๎ งอยํางเดยี ว อาจทาให๎นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู๎ไดไ๎ มเํ ตม็ ท่ี หลักการของ Community -base learning เป็นการเรียนรูจ๎ ากประสบการณข์ องผป๎ู ฏบิ ัตจิ ริง ซ่งึ ประสบการณ์ทไ่ี ดจ๎ ะชํวยสนบั สนุนตัวแนวทางปฏบิ ตั ิ เดมิ ทมี่ ี และเกดิ องคค์ วามร๎ูใหมํๆ ที่สามารถนาไปประยุกต์ใชใ๎ นแตํละชุมชนได๎ ซงึ่ แตลํ ะชุมชนจะเลือกใชว๎ ิธีการ แบบใด กข็ ้นึ อยูกํ ับบริบทของชุมชนแตํละแหงํ ผม๎ู ีสํวนได๎สํวนเสียทีเ่ กย่ี วข๎อง รวมทั้งประวตั ศิ าสตรข์ องชมุ ชน สังคม วฒั นธรรม และธรรมชาตสิ ง่ิ แวดลอ๎ มของชมุ ชนนัน้ ๆ ด๎วย ซง่ึ วิธกี ารเดียวกัน ผลลัพธท์ ่ีได๎ในแตํละชุมชนอาจ แตกตาํ งกันกไ็ ด๎นบั ได๎วาํ CBL เปน็ แนวทางท่ีดีอยาํ งหนึง่ ท่ใี ช๎ในการสร๎างความรใู๎ หมํ เพือ่ กาหนดแนวทางการดูแล สขุ ภาพ ซึง่ จะมาชํวยเติมเต็มความตอ๎ งการของชมุ ชน และยังทาให๎นักเรียนเกดิ ความรูเ๎ ชิงประจักษ์จาก ประสบการณใ์ นสถานการณจ์ รงิ วธิ กี ารของ CBL 1. ความเชอ่ื มโยงขององคก์ รตํางๆ ในพ้ืนที่ (Instructional connections) 2. การผสมผสานกันในชมุ ชน (Community integration) 3. การมีสวํ นรวํ มของชมุ ชน (Community participation) 4. พลงั ของชมุ ชน (Citizen action) Bloom’s Taxonomy จากทฤษฎกี ารเรียนรขู้ อง Bloom ไดแ้ บง่ ระดับการเรียนรู้เป็น 6 ระดบั คอื 1. ความร๎ทู เ่ี กดิ จากความจา ซ่งึ เป็นระดบั ลํางสุด 2. ความเขา๎ ใจ 3. การประยุกต์ 4. การวิเคราะห์ สามารถแก๎ปญั หา ตรวจสอบได๎ 5. การสงั เคราะห์ สามารถนาสํวนตํางๆ มาประกอบเปน็ รปู แบบใหมํได๎ให๎แตกตํางจากรูปเดิม เนน๎ โครงสรา๎ งใหมํ 6. การประเมนิ คํา วดั ได๎ และตดั สินไดว๎ าํ อะไรถกู หรือผดิ ประกอบการตัดสินใจบนพ้ืนฐานของเหตุผล และเกณฑ์ทแ่ี นํชดั สรปุ ผลการเรยี นรหู๎ ลักสูตรผู๎บริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํุนท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 12
Three R’sof CBL Reflection เชอื่ มโยงประสบการณแ์ ละ ทฤษฎี Rigor Reciprocity คณุ ภาพทางการ เรียนรจู้ ากชุมชนและ ศึกษาและบรกิ าร ประโยชนช์ ุมชน ของชุมชน องคป์ ระกอบของ CBL 1. Community Integration : การผสมผสานในชุมชน สามารถประสบความสาเร็จได๎ โดยการให๎ ผ๎ูนาชมุ ชน หรือปราชญช์ าวบา๎ น มามีสํวนรวํ ม 2. Service Learning : การนาระบบบริการไปใช๎ในพื้นที่ เพ่อื เป็นตวั ชํวยเสรมิ อาจเป็นโครงการท่ี เป็นความจาเป็นสาหรับชุมชน เพอ่ื ใหเ๎ กิดการเปล่ยี นแปลงผลลพั ธต์ ามท่ีต๎องการ 3. Community Participation : ทฤษฎกี ารมีสํวนรวํ ม มีความหลากหลาย เป็นตวั บงํ บอก กระบวนการเรยี นรใู๎ นตวั ชุมชนเอง 4. Community- Base research : แกป๎ ญั หาและตอํ ยอดโดยใช๎กระบวนการวิจยั การ Approaches 1. Knowledge Management : KM 1) การบํงชคี้ วามร๎ู 2) การสรา๎ งและแสวงหาความร๎ู 3) การจดั การความรู๎ให๎เป็นระบบ 4) การประมวลและกลนั่ กรองความร๎ู 5) การเขา๎ ถงึ ความร๎ู 6) การแบงํ ปันแลกเปล่ียนความรู๎ 7) การนาองคค์ วามร๎ูไปใชแ๎ ละการประเมนิ ผล 2. กจิ กรรมการเรยี นรจู้ ากกระบวนการวางแผนแบบมสี ว่ นร่วม AIC Approaches (Appreciation, Influencing and Control) เปน็ การประชมุ แบบมสี วํ นรํวม ต้ังอยบํู นพ้ืนฐานความพึงพอใจ และมจี ดุ มงํุ หมาย เดยี วกนั แบํงเป็น 3 ข้นั ตอน คือ 1) ขน้ั ตอนความพงึ พอใจ หรอื Appreciation (A) 2) ข้นั ตอนกลวิธีทที ี่มอี ิทธิพลตอํ ความสาเร็จหรอื Influence (I) 3) ขั้นตอนการควบคมุ หรือ Control (C) สรปุ ผลการเรยี นร๎หู ลักสูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 13
3. กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบมีส่วนรว่ ม (Participatory Learning Approach) โดยการสรา๎ งความคน๎ุ เคย กระต๎ุนให๎ผูเ๎ ข๎าอบรมไดพ๎ ดู คยุ แลกเปลยี่ นลักษณะนิสัยบางประการการสืบค๎นขอ๎ มูล ด๎วยวธิ ีการตาํ งๆ 1) การใช๎แผนทชี่ มุ ชน 2) การใชแ๎ ผนทรี่ าํ งกาย 3) การสรุป โดยสรุปกระบวนการการเรียนรโู้ ดยใชช้ ุมชนเป็นฐาน ประกอบด๎วย 1. การประเมินชุมชน (Community Assessment) : การศกึ ษาชุมชน รวบรวมขอ๎ มลู และวิเคราะห์ ขอ๎ มลู 2. การวินิจฉยั ปัญหาสุขภาพชมุ ชน (Community Diagnosis) : การวินจิ ฉัยปญั หา และการจดั ลาดับ ความสาคัญของปัญหา ระบุปัญหาทเี่ หมาะสม และสอดคลอ๎ งกบั ความต๎องการของคนในชมุ ชน ซ่งึ การระบุปัญหา ของชุมชน ใชห๎ ลกั 5D (Death, Disability, Disease, Discomfort, Dissatisfaction) แลว๎ เปรียบเทียบกบั เกณฑ์ มาตรฐาน ใช๎กระบวนการกลุํมในการระบปุ ัญหา 3. การวางแผนเพือ่ แกป๎ ัญหาสุขภาพชุมชน (Community Planning) 4. การปฏบิ ัตติ ามแผนงานสุขภาพชุมชน (Community Implementation) 5. การประเมินผลการดาเนนิ งานสขุ ภาพชุมชน (Community Evaluation) สรุปผลการเรียนรู๎หลกั สูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 14
หวั ขอ้ การบริหารเชงิ กลยุทธ์ เครือ่ งมอื การบริหารจัดการ (Tool and Technical Management) วันที่ 3 มิถนุ ายน 2564 เวลา 09.00 – 16.00 น. วทิ ยากร รองศาสตราจารย์ ดร.จรสั อติวทิ ยาภรณ์ รูปแบบการนาเสนอ การบรรยาย และแบํงกลุมํ ระดมสมอง สรปุ ประเดน็ สาคัญ การบรหิ ารจัดการที่ดี ตอ๎ งมเี ครอ่ื งมือทดี่ ี จะได๎ผลลพั ธ์ที่ดี คือ ตอ๎ งเหมาะสมกบั วัตถุประสงค์ Success = People + Tools + Process คอื สิง่ ทีผ่ ๎บู ริหารจาเป็นตอ๎ งรู๎ และทาความเขา๎ ใจ องค์ประกอบของผ๎บู รหิ าร 3 ภมู ิ 1. ภูมิรู้ (Cognitive) How to Learn ไดแ๎ กํ Learn to know, Learn to do, Learn to work together, Learn to be ซึ่ง ตอ๎ งมาจากฐานคดิ Thinking Base ได๎แกํ Creative think และ Critical think ฐานคดิ จะต๎องเป็นการคดิ เชิงบวก (Positive thinking) เพื่อให๎เกดิ การจัดการปญั หาทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ ผบ๎ู รหิ ารจะตอ๎ งมี ๓ น้า คอื นา้ คา น้ามอื นา้ ใจ 2. ภูมิธรรม (Effective) ฐานใจ Heart Base การตัดสนิ ใจดว๎ ยความดี ความงาม จิตใจทด่ี ีทง่ี ดงามต๎องหลํอเลี้ยงด๎วยสมุนไพร ๕ สวํ น ไดแ๎ กํ รากออํ นน๎อม, ๔ ใบยอ, กงิ่ เมตตา, กา๎ นกรณุ า, ดอกอภัย ต๎นไมจ๎ รยิ ธรรม ยอมงอแตํไมยํ อมหัก แตํ ข้นึ อยกูํ ับระดบั จติ ใจมนษุ ย์ท่ตี าํ งกัน ๓ ระดับ ๑. มนษุ ย์ทมี่ ีจิตใจเปน็ สตั ว์ คอื ต่ากวําเกณฑ์ทางสังคม ๒. มนุษยท์ ีม่ ีจิตใจเป็นคน คือ เทํากับกวําเกณฑท์ างสังคม ๓. มนษุ ยท์ ม่ี จี ติ ใจเป็นเทวดา คอื สงู กวาํ เกณฑ์ทางสังคม ผู๎บรหิ ารทม่ี คี วามดีงามต๎องไมํผิดจรยิ ธรรมสาคญั คือ คอรร์ ัปชั่นหรือทุจรติ และจริธรรมทางเพศ ต๎องไมํ ตดิ เบด็ พราน และระวงั พรานบญุ 3. ภูมิฐาน (Psychomotor) ฐานกาย (Body Base) คอื บุคลิกภาพภายนอกทต่ี อ๎ งพัฒนา ได๎แกํ ๑. บุคลกิ ภาพภายนอกเปรยี บเทียบสตั ว์ ๔ ชนดิ เสอื สงิ ห์ กระทิง แรด และหมแี พนดา๎ ๒. การพูดและทกั ษะทางสังคม ๓. ภาษา ๔. เศรษฐกจิ ชีวติ คนเราเปรียบเหมือนทะเลมีราบเรียบบ๎าง คล่ืนลมบา๎ ง สุขทกุ ขป์ ะปนกนั ไปเป็นธรรมดา เครอื่ งมอื การบริหารจดั การ เครอ่ื งมอื เริ่มตน๎ ของการบริหารท่ีมคี ุณภาพ Basic Quality Tools ๑. Management By Fact - Data collection - Figures - Statistics - Information 2. Brain storming เชอ่ื มน่ั วาํ ความคดิ ทกุ คนมีคาํ ใหอ๎ สิ ระการคดิ เป็นกนั เอง และเสริมตอํ ความคิด สรุปผลการเรียนร๎หู ลักสตู รผบ๎ู ริหารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 15
๓. The Deming Cycle วงล๎อ PDCA เริม่ ตรงจุดไหนกไ็ ด๎ ขน้ึ อยกํู ับลักษณะของงานนน้ั ๆ ๔. Cause& Effect Diagram การวางแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉนิ Scenario and Contingency Planning (SCP) กลวธิ ีหรอื เคร่อื งมอื การจัดการ ๑. การวเิ คราะหค์ วามเสีย่ ง - ความเส่ยี งกลยทุ ธ์ Strategic Risk ; SR - ความเส่ียงในการปฏบิ ตั กิ าร Operation Risk ; OR - ความเสีย่ งด๎านการเงนิ Financial Risk ; FR - ความเสี่ยงดา๎ นข๎อผกู พันตามกฎหมาย Compliance Risk ; CR จดั การวิเคราะหโ์ ดย ตารางวเิ คราะห์ความเส่ยี ง ระหวํางโอกาส และผลกระทบ ไดร๎ ะดบั ความเสี่ยง ๕ ระดับ ได๎แกํ เส่ยี งน๎อย เสยี่ งปานกลาง เสย่ี งมาก เส่ยี งมากที่สุด และเส่ยี งขน้ั วกิ ฤติ ๒. Benchmarking มี ๔ กล่มุ - Competitive Benchmarking เปรียบเทียบกบั คแูํ ขงํ โรงพยาบาลใชว๎ ิธีน้ี - Functional Benchmarking เปรียบเทยี บกับมาตรฐาน - Internal Benchmarking เปรียบเทยี บกนั ในองค์กร - Generic Benchmarking เปรียบเทยี บทวั่ ไป การใช๎วธิ กี าร Benchmarking จะทาใหไ๎ ด๎ Best Practice ๓. Budget Management - หาได(๎ ดว๎ ยความสามารถ) - ใชเ๎ ปน็ (ค๎ุมคาํ ครอบคลมุ ) - โปรงํ ใส (ถูกต๎อง ถูกใจ) หลักการ ไคเซน Kai Zen เป็นการปรับปรงุ ดว๎ ยการมีสํวนรํวมของบุคลากรทุกคน หาวิธีการ ใหมๆํ ในการทางานอยาํ งตํอเนอื่ ง (เลิก ลด เปลีย่ น) การเขียนไคเซน - กอํ นทา - หลังทา - ผลทไ่ี ด๎ ๔. การวางแผนกลยทุ ธ์ (SWOT) - องค์กรจะไปทางไหน - สภาพแวดลอ๎ มเป็นอยาํ งไร - องค์กรจะถึงจดุ หมายไดอ๎ ยาํ งไร S = Strength ขอ๎ ไดเ๎ ปรียบ จดุ เดนํ W = Weakness ขอ๎ เสียเปรยี บ จุดดอ๎ ย O = Opportunity ปัจจยั ภายนอกเชงิ บวก T = Threat ปจั จยั ภายนอกเชงิ ลบ อุปสรรค เครอื่ งมอื ในการทา SWOT มีท้งั แบบ Digital และ Manual มีการทดลองทาการสร๎างแบบเก็บขอ๎ มูล ออนไลน์ โดยใช๎ Google Form สรุปผลการเรียนร๎หู ลกั สูตรผูบ๎ ริหารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 16
หวั ขอ้ การบรหิ าร มงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ วนั ที่ 4 มิถุนายน 2564 เวลา 13.00 – 16.00 น. วทิ ยากร รองศาสตราจารย์ ดร.จรัส อตวิ ิทยาภรณ์ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย และแบงํ กลมุํ ระดมสมอง สรปุ ประเดน็ สาคญั องค์ประกอบ 1. Leadership 2. Results Base Management 3. Strategic Plan Leadership Boss ผ๎บู ริหาร Leader ผน๎ู า ทางานรวํ มกับผ๎รู ํวมงานจะต๎องมลี ักษณะเฉพพาะ คือ นกั บรหิ ารมืออาชพี และมีภาวะ ผู๎นาเชงิ กลยทุ ธ์ ซงึ่ สามารถพฒั นาได๎ ดงั นี้ ๑. ปรบั สมดุลชวี ติ ในเร่อื ง สํวนตัว ครอบครวั และการงาน เพือ่ ให๎เกดิ ความสขุ ในชีวิต ๒. Lifestyle ยอมรบั ตนเอง ยอมรับคนอน่ื Results Base Management การบริหารที่มํงุ เนน๎ ความประหยดั (Economy) ประสิทธภิ าพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectiveness) Result = Output + Outcome ผลสัมฤทธิ์ = ผลผลติ + ผลลพั ธ์ โดยวิธกี ารดงั น้ี ๑. กาหนดหลักปจั จยั แหํงความสาเร็จโดย KPI ( Key Performance Indicators ) ๒. กาหนด Goal ๓. การวางแผน - ผูบ๎ รหิ ารระดับสูงทาแผนยุทธศาสตร์ Strategic Plan - ผ๎บู รหิ ารระดบั กลางทาแผนยทุ ธวธิ ี Tactical Plan - ผบ๎ู รหิ ารระดับต๎นทาแผนปฏิบตั ิการหรือโครงการ Operation Plan Strategic Plan (ฝึกปฏิบตั ิ) วิเคราะห์องคก์ รโดยการมสี ํวนรวํ มจากทุกคน (SWOT) จากเครื่องมอื บน Google Form ทฝ่ี กึ เกบ็ เปน็ การบา๎ น โดยใชเ๎ ครื่องมือ Menti.comอาจารยเ์ ป็นผูก๎ าหนดรหสั การเข๎าใช๎งาน เมอ่ื ได๎ผล SWOT ทุกคนรวํ มสร๎างวิสัยทัศน์ องค์กร Vision เป็นภาพอนาคตท่ีสามารถทาไดใ๎ นเวลาทกี่ าหนดท่ีมาจากจดุ เดํน SO ปจั จุบันกาหนดน๎อยกวาํ ๕ ปี พนั ธะกิจ (Mission) ภาระตามขอบขาํ ยงานในองค์กร สอดคลอ๎ งกับวสิ ัยทศั น์ โดยคานึงถึง การบริหารแบบถวํ งดุล (Balance Scorecard) กิจกรรมกลํุม ฝกึ กาหนดแผนทั้ง ๓ ระดบั - Strategic Plan ระยะยาว ๕ ปี - Tactical Plan ระยะ ๑-๓ ปี - Operation Plan ระยะ ๑ ปี กิจกรรมกลมํุ ประเมินการเรียนรเู๎ ร่อื งการจัดทาแผน โดย Kahoot.it สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลกั สูตรผบ๎ู รหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 17
หัวขอ้ ระบบสุขภาพในบรบิ ทเขตสขุ ภาพท่ี 12 วันท่ี 8 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 – 10.00 น. วทิ ยากร นายแพทยส์ งกรานต์ ไหมชุม นายแพทย์สาธารณสุขจงั หวดั ยะลา ประธานคณะอนกุ รรมการยทุ ธศาสตร์ และสารสนเทศ เขตสุขภาพท่ี 12 รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย สรปุ ประเดน็ สาคัญ บริบทเขตสขุ ภาพที่ 12 เขตสขุ ภาพที่ 12 ประกอบดว๎ ย 7 จงั หวดั ได๎แกํ จังหวดั สงขลา จงั หวดั ตรงั จังหวัดพัทลุง จังหวัดสตลู จังหวดั ยะลา จังหวดั ปัตตานี และจังหวดั ยะลา มีการแบงํ โซนออกเป็น 3A ได๎แกํ โซน A1 ตรงั -พทั ลงุ เปูาหมาย Excellence Stroke, Newborn โซน A2 สงขลา-สตลู เปูาหมาย Excellence Cancer, STEMI โซน A3 ยะลา-ปตั ตานี-นราธวิ าส เปูาหมาย ExcellenceMaternal death, War surgery (Trauma) มปี ระชากรจานวน 4,985,402 คน สํวนใหญนํ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม รอ๎ ยละ 53.36 และศาสนาพุทธ ร๎อยละ 45.43 พืน้ ทต่ี ิดชายแดนไทย – มาเลเซีย มีจดุ ผาํ นแดนถาวร 9 จดุ เป็นพน้ื ท่ีการค๎าอนั ดบั 1 ของประเทศ มี มูลคํากวาํ 222,872 ล๎านบาท โดยดํานสะเดา มีมลู คาํ การคา๎ ชายแดน และการผํานแดนสูงสุด สถานะสุขภาพในเขต 12 อตั ราการเกดิ สงู สดุ อยํูท่ีจังหวดั ยะลา และอัตราตายสงู สดุ อยํูทจี่ งั หวดั สงขลา 5 อันดบั สาเหตุการปว่ ยผปู้ ่วยใน เขต 12 อันดบั 1 ปอดบวม อันดับ 2 ความผดิ ปกตเิ กย่ี วกับตอํ มไร๎ทํอ โภชนาการ และเมตาบอลิซมึ อื่นๆ อนั ดับ 3 โรคความดนั โลหิตสูง อนั ดบั 4 โรคหลอดลมอกั เสบ ถงุ ลมโปุงพองและปอดอุดกน้ั แบบเร้อื รังอืน่ ๆ 5 อนั ดบั สาเหตกุ ารป่วยผปู้ ว่ ยนอก เขต 12 อนั ดบั 1 โรคความดนั โลหิตสงู อนั ดบั 2 การติดเช้ือทางเดินหายใจสํวนบนแบบเฉียบพลันอ่ืนๆ อันดบั 3 เบาหวาน อนั ดับ 4 โรคระบบไหลเวยี นเลอื ด อันดับ 5 เน้อื เย่อื ผิดปกติ ปญั หาสาคัญของเขตสขุ ภาพท่ี 12 อันดับ 1 ปัญหามารดาตายจากการคลอด ยังคงสงู ตํอเนือ่ ง อนั ดับ 2 ปัญหาวณั โรค มีแนวโนม๎ ตกเกณฑ์ อนั ดับ 3 ความแออดั ในสถานพยาบาล อันดับ 4 บาดเจบ็ /เสียชีวติ จากเหตุการณค์ วามไมํสงบ อนั ดับ 5 กัญชา เป็นความทา๎ ทา๎ ย อันดบั 6 การสงํ ตอํ โรค มะเร็ง NB Trauma อันดบั 7 โรคเร้ือรัง ไตวาย Stroke STEMI เปน็ สาเหตกุ ารตายหลกั สรปุ ผลการเรียนร๎ูหลกั สตู รผบ๎ู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 18
อนั ดบั 8 การเจริญเติบโตและพัฒนาการ ยังตกเกณฑ์ จดุ เนน้ การพัฒนาและแกไ้ ขปญั หาสาธารณสขุ จดุ เน๎นของเขตสขุ ภาพที่ 12 “เครือขาํ ยสุขภาพเข๎มแข็ง ระบบสขุ ภาพยง่ั ยนื ประชาชนสุขภาพ ดี เจ๎าหนา๎ ทม่ี คี วามสขุ ” โดยใช๎โมเดล 5 โรค 5 ระบบ 5 สนับสนุน 5 โรค Service Excellence ประกอบด๎วย (1)Primary care (NCD, IMC,CKD,Stroke,STEMI) (2) Fast Track (Highrisk pregnancy, Sepsis) (3) Newborn (4) Cancer (5) Trauma 5 ระบบ Agenda base ประกอบดว๎ ย (1) Vaccine (2) พระราชดาริราชทัณฑ์ปนั สขุ (3) 30 บาทรกั ษาทุกที่ (4) Growth & Development (5) สมนุ ไพร กญั ชา กัญชง 5 สนบั สนุน (1) CPPO-CSO (2) CHRO (3) CIO (4) CFO (5) CGO ประเด็นความท้าทา้ ย 1. โรคอุบัติใหมํบรู ณาการในทกุ ภาคสวํ นโดยใช๎คณะกรรมการ EOC 2. ผลกระทบด๎านเทคโนโลยีมีการปรบั เปลยี่ นรูปแบบการใหบ๎ รกิ าร เชนํ ระบบนัด การรับยาใกล๎ บ๎าน 3. ความเชอ่ื ทางศาสนาและพหวุ ฒั นธรรมทส่ี ํงผลกระทบตอํ สุขภาพประชาชน ได๎แกํ 3.1 ปัญหาการวางแผนครอบครวั สํงผลตํอสขุ ภาพของมารดา มปี ญั หาของ Teenage pregnancy เกดิ การตัง้ ครรภบ์ ํอย การฝากครรภ์ไมตํ อํ เนื่อง ไมไํ ด๎เล้ียงดบู ตุ รอยาํ งเต็มที่ เกดิ ภาวะ Malnutrition ในเดก็ เปน็ ตน๎ ในสวํ นนไี้ ดม๎ กี ารทาความเขา๎ ใจกับผ๎นู าทางศาสนา เพื่อให๎เป็นตัวแทนของสาธารณสุข ในการประชาสัมพนั ธใ์ ห๎กับประชาชนในพ้นื ทีไ่ ด๎เข๎าใจ 3.2 การฉีดวัคซนี ในเด็กไมคํ รอบคลุม ต๎องสร๎างความเขา๎ ใจ โดยการใช๎หลักทางศาสนาเขา๎ ชวํ ย 4. ปญั หาการเคลอ่ื นย๎ายของประชากรข๎ามแดน มีการปรับ Information system เพอ่ื เชอ่ื มขอ๎ มูล ประชากรในพื้นท่ี 5. กัญชา พบการใช๎ไมํถกู ตอ๎ ง เป็นฮารอม(ตามหลักศาสนา) ตอ๎ งปรับภาพลกั ษณใ์ หมํ โดยให๎รพ.สต. มีสํวนรํวม สรุปผลการเรียนรู๎หลักสูตรผ๎ูบรหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนํุ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 19
หวั ขอ้ การบรหิ ารดา้ นการเงิน วันท่ี 10 มถิ นุ ายน 2564 เวลา 09.00-12.00 น. วิทยากร คณุ กฤตยา วลั อาจ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย สรปุ ประเด็นสาคัญ สรปุ สาระสาคญั การเบิกจ่ายเงินจากคลงั การเกบ็ รกั ษาเงนิ และการนาเงินส่งคลัง พ.ศ.2562 ระเบียบกระทรวงการคลังวาํ ด๎วยการเบกิ เงนิ จากคลัง การรับเงนิ การจาํ ยเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงินและการ นาเงินสงํ คลงั พ.ศ.2562 สาระสาคัญ ดังน้ี วัตถปุ ระสงค์ 1) ให๎มคี วามสอดคลอ๎ งกบั พระราชบัญญตั วิ ินยั การเงินการคลังของรฐั พ.ศ. ๒๕๖๑ 2) ให๎มีความสอดคล๎องกับพระราชบัญญัตวิ ิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และแผนยทุ ธศาสตร์การ พฒั นาโครงสรา๎ งพ้ืนฐานระบบการชาระเงินแบบอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ หํงชาติ (National e-Payment Master Plan) 3) ให๎รองรับการปฏบิ ัติงานดา๎ นการเงินการคลงั ตามระบบการบรหิ ารการเงินการคลังภาครัฐดว๎ ยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System : GFMIS) เป็น New GFMIS Thai คานยิ ามท่เี ก่ียวข้อง ระเบยี บกระทรวงการคลงั วําด๎วยการเบกิ เงินจากคลัง การรับเงิน การจํายเงนิ การเกบ็ รักษาเงนิ และ การนาเงนิ สงํ คลัง พ.ศ.2562 ได๎ใหค๎ านิยามไว๎ ในทีน่ จี้ ะกลําวถึงเฉพาะคานยิ ามท่ีเกีย่ วขอ๎ ง ดงั นี้ 1) หนวํ ยงานของรัฐ หมายความวาํ 1.1. สํวนราชการ 1.2 รฐั วิสาหกจิ 1.3 หนํวยงานของรฐั สภา 1.4 ศาลยตุ ธิ รรม 1.5 ศาลปกครอง 1.6 ศาลรัฐธรรมนูญ 1.7 องคก์ รอิสระตามรฐั ธรรมนูญ 1.8 องคก์ รอัยการ 1.9 องคก์ ารมหาชน 1.10 ทนุ หมนุ เวยี นท่ีมีฐานะเปน็ นติ บิ คุ คล 1.11 องค์กรปกครองสวํ นทอ๎ งถนิ่ 1.12 หนวํ ยงานอนื่ ของรฐั ตามท่กี ฎหมายกาหนด 2) หนํวยงานผ๎ูเบิก หมายความวาํ หนํวยงานของรฐั ท่ีไดร๎ บั จดั สรรงบประมาณรายจําย และเบกิ เงินจาก กรมบญั ชกี ลางหรอื สานกั งานคลังจงั หวัด แล๎วแตกํ รณี 3) หนํวยงานยํอย หมายความวาํ หนํวยงานในสงั กดั ของสํวนราชการในราชการบรหิ ารสวํ นกลาง หรอื ในราชการบรหิ ารสวํ นภมู ิภาค หรอื ทต่ี ัง้ อยใูํ นอาเภอ ซง่ึ มิไดเ๎ บกิ เงินจากกรมบญั ชกี ลาง หรือสานกั งานคลังจังหวดั แตเํ บิกเงินผาํ นสวํ นราชการทเ่ี ป็นหนํวยงานผเู๎ บกิ 4) เจ๎าหน๎าท่ีการเงนิ หมายความวาํ หวั หน๎าฝุายการเงนิ หรอื ผด๎ู ารงตาแหนํงอืน่ ซึง่ ปฏบิ ัตงิ านในลักษณะ เชนํ เดียวกนั กับหัวหน๎าฝุายการเงิน และใหห๎ มายความรวมถึงเจา๎ หน๎าทรี่ ับจาํ ยเงนิ ของสํวนราชการดว๎ ย สรุปผลการเรยี นร๎หู ลกั สูตรผบ๎ู ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํุนท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 20
5) งบรายจําย หมายความวาํ งบรายจํายตามระเบยี บวําดว๎ ยการบรหิ ารงบประมาณ 6) หลกั ฐานการจาํ ย หมายความวํา หลักฐานที่แสดงวาํ ได๎มีการจํายเงนิ ใหแ๎ กผํ ูร๎ บั หรือเจา๎ หน้ีตามขอ๎ ผกู พันโดยถูกตอ๎ งแลว๎ 7) เงนิ ยืม หมายความวาํ เงินท่สี ํวนราชการจํายใหแ๎ กํบคุ คลใดบุคคลหนึ่งยมื เพอื่ เป็นคําใช๎จํายในการ เดินทางไปราชการ หรือการปฏิบตั ิราชการอน่ื ท้ังน้ี ไมํวาํ จะจาํ ยจากงบประมาณรายจํายหรอื เงินนอกงบประมาณ สรุปสาระสาคญั ของระเบียบทเี่ กย่ี วข้องกบั หนว่ ยงาน มดี ังนี้ หมวด 1 ความท่วั ไป กรณี หนวํ ยงาน มีปญั หาเก่ยี วกับการปฏิบตั ิหรอื ไมํสามารถปฏิบัติ ตามข๎อกาหนดในระเบียบน้ี ให๎ หัวหน๎าหนวํ ยงาน ขอหารอื ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อใหก๎ ระทรวงการคลังวนิ ิจฉัย หรือขอทาความตกลงกับ กระทรวงการคลัง หรือให๎กระทรวงการคลังกาหนดหลกั เกณฑ์วธิ ีปฏบิ ัตใิ นการเบิกเงนิ จากคลงั การรบั เงิน การ จํายเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงิน และการนาเงินสงํ คลงั แล๎วแตํกรณี เพื่อเป็นแนวทางใหห๎ นวํ ยงานถือปฏิบัติ หมวด 2 การใช้งานในระบบ หมวดนีจ้ ะเนน๎ การดาเนินงานของหนํวยงานผูเ๎ บิก เป็นผใ๎ู ชร๎ ะบบโดยใหก๎ าหนดถึงหนา๎ ท่ี ความ รับผดิ ชอบ แนวทางการควบคุม การเข๎าใชง๎ าน สทิ ธติ ํางๆ ตามที่กระทรวงการคลังกาหนดไว๎ หมวด 3 การเบกิ เงนิ หลกั เกณฑ์ วิธีการเบกิ จา่ ยเงิน การขอเบกิ เงนิ ทุกกรณีใหร๎ ะบุวัตถปุ ระสงค์ทีจ่ ะนาเงนิ นัน้ ไปจาํ ย เงนิ ที่ขอเบกิ จากคลงั เพอื่ การใด ให๎นาไปจํายไดเ๎ ฉพาะเพ่ือการนนั้ เทาํ นัน้ จะนาไปจาํ ย เพื่อการอนื่ ไมํได๎ เชนํ กรณีเบกิ เงินยมื ไปราชการ ผย๎ู ืมต๎องนาไปใช๎เปน็ คาํ ใชจ๎ าํ ยในการเดนิ ทางไปราชการ หนํวยงานผู๎เบกิ จะจํายเงินหรอื กอํ หนผ้ี กู พนั ไดแ๎ ตํเฉพาะทีก่ ฎหมาย ระเบียบ ข๎อบงั คับ คาส่ัง กาหนดไว๎ หรือมติคณะรัฐมนตรอี นญุ าตใหจ๎ ํายได๎ หรอื ตามทไี่ ด๎รับอนุญาตจากกระทรวงการคลงั ดังน้ัน หากหนํวยงานจะ จํายเงนิ หรือกอํ หนผ้ี กู พัน จะตอ๎ งคานึงวําไดจ๎ าํ ยเงนิ หรือกอํ หน้ีผกู พนั ที่เกิดขึ้น ตามระเบยี บใด เชํน การเบกิ คาํ ทาง ดํวนพเิ ศษ ในการเดินทางไปราชการ เป็นการเบกิ จาํ ยตามระเบยี บคาํ ใชจ๎ ํายในการบรหิ ารงาน ซึง่ การเบกิ คําทาง ดํวนพเิ ศษ แบํงเป็น 2 กรณี คอื กรณีไปราชการ ต๎องขออนมุ ตั เิ ดินทางไปราชการแลว๎ มคี ําทางดํวนพิเศษ กบั กรณี เดนิ ทางไปประชมุ ไปตดิ ตอํ งาน ไปสงํ หนงั สอื ไปกรมบัญชีกลาง ซึง่ ต๎องอธิบายความจาเปน็ วาํ ทาไมต๎องใช๎เสน๎ ทาง ดํวน การเบิกคาํ ทางดวํ น ใหแ๎ ยกเบิกจากรายงานการเดนิ ทางไปราชการ (8708) สาหรับรถที่เบกิ ได๎ ตอ๎ งเป็นรถ สวํ นกลาง หรอื รถสํวนตัวทนี่ ามาเป็นรถประจาตาแหนงํ (เลอื กรบั เงินคําตอบแทน) หรอื การเบิกคาํ อาหารวาํ งใน การประชมุ ระหวํางประเทศ เป็นการเบกิ จาํ ยตามระเบียบเฉพาะเร่ืองการจดั ประชุมระหวํางประเทศ เป็นต๎น หลกั เกณฑก์ ารเบิกเงนิ ของส่วนราชการ การขอเบิกเงินทกุ กรณีหา๎ มมใิ ห๎ขอเบกิ เงนิ จนกวาํ จะถงึ กาหนด หรอื ใกล๎จะถึงกาหนดจาํ ยเงิน เชํน หาก บุคลากรในสังกัด สงํ เรอ่ื งขอเงินยืมไปราชการ โดยย่ืนเรื่องลวํ งหนา๎ กอํ นเดินทางไปราชการ เปน็ เวลา 2 อาทติ ย์ โดยหนวํ ยงานจะพจิ ารณาตามเร่ืองท่สี งํ มาวําจะเบิกไดเ๎ ลยหรอื ไมํ กรณยี มื เงนิ ไปราชการ ซ่ึงคําใช๎จาํ ยในการยืมครัง้ นี้ ไดร๎ วมคาํ บตั รโดยสารเครอ่ื งบนิ ไวด๎ ว๎ ย ตอํ มาผ๎ูยืมได๎ จํายเงินสารองคําบตั รโดยสารเคร่อื งบินไปกอํ น (บัตรเครดิต) กอํ นไดร๎ ับเงินยืม สอบถามวําการสงํ ใชห๎ ลักฐานการ จาํ ยครั้งนี้ จะพิจารณาหลกั ฐานการสงํ ใช๎เงินยืมดังกลําวอยํางไร ขอชแ้ี จงวาํ วนั ที่จาํ ยเงนิ ยืม หนํวยงานจะไมเํ หน็ หลักฐานการจํายคําบัตรโดยสารเครือ่ งบนิ แตถํ า๎ มีกรณีนาเงนิ สํวนตัวไปสารองจํายกํอน กไ็ มสํ ามารถยืมเงินคาํ บตั ร โดยสารเครื่องบนิ ได๎ ตอ๎ งนาหลกั ฐานคําบัตรโดยสารเคร่ืองบนิ ดงั กลําว สงํ เบิกเงนิ สด ทง้ั นี้ การตรวจสอบหลกั ฐาน สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลักสูตรผบู๎ ริหารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หน๎าที่ 21
สํงใชเ๎ งินยมื ในทางปฏบิ ัติเจ๎าหนา๎ ทอี่ าจจะไมํไดต๎ รวจสอบวันทีใ่ นใบเสรจ็ รบั เงนิ คาํ บัตรโดยสารเคร่อื งบนิ แตโํ ดย หลกั การของการยืมเงนิ จะให๎ยมื เฉพาะเทาํ ท่ีจาเปน็ กรณีท่ีสารองจํายเงนิ คาํ บตั รไปกอํ นที่จะรับเงินยมื นน่ั หมายถงึ การยมื เงนิ คําบัตรโดยสารเคร่ืองบินดงั กลาํ ว จงึ ไมเํ ข๎าหลกั การของการยมื เงิน (ไมเํ ป็นไปตามระเบียบ กาหนด ขอ๎ 59) ดงั นน้ั ผ๎ยู มื เงิน หรอื ผ๎เู ดินทางไปราชการ ควรสํงเบกิ คาํ บตั รโดยสารเครือ่ งบิน เปน็ เงินสด ไมํควร นาหลักฐานดงั กลาํ ว ไปสงํ หักลา๎ งเงนิ ยมื คาํ ใช๎จาํ ยท่ีเกดิ ขนึ้ ในปงี บประมาณใด ใหเ๎ บิกเงนิ จากงบประมาณรายจาํ ยของปนี ้นั ไปจําย ในกรณีมเี หตุ จาเปน็ ไมสํ ามารถเบิกจากเงินงบประมาณรายจํายของปนี น้ั ไดท๎ นั ให๎เบกิ จากเงินงบประมาณรายจาํ ยของ ปีงบประมาณถัดไปได๎ โดยเป็นการกอํ หนี้ผูกพันตามงบประมาณรายจํายทไ่ี ด๎รับอนุมตั ิ และให๎ปฏบิ ตั ิตามวธิ กี ารที่ กระทรวงการคลังกาหนด คาํ ใช๎จาํ ยทถ่ี อื เปน็ รายจําย เม่ือไดร๎ บั แจ๎งให๎ชาระหนี้ หมายถงึ ให๎นามาเบิกจํายจากงบประมาณรายจําย ประจาปที ไ่ี ด๎รบั แจง๎ ให๎ชาระหนี้ เชํน คาํ เชําบา๎ น เดือนตุลาคม รบั หลกั ฐานการจํายในเดือนตลุ าคม (เปน็ คาํ เชําบ๎าน เดือน สิงหาคม หรอื กนั ยายน) เปน็ ตน๎ สํวนคําใช๎จํายท่เี บกิ เงนิ งบประมาณปถี ดั ไปทนี่ ามาเบกิ ได๎ แตํแคํเฉพาะคําใช๎จํายที่เกดิ ขน้ึ ในเดือน กนั ยายน เทํานน้ั ได๎แกํ คาํ นา้ มนั เช้ือเพลงิ ตามหนงั สือเวยี นกระทรวงการคลงั ท่ี กค 0502/ว 178 ลงวันท่ี 12 พฤศจิกายน 2535 เรอื่ ง คําใชจ๎ าํ ยทีใ่ หถ๎ ือวาํ เป็นรายจาํ ยเม่อื ไดร๎ ับแจง๎ ให๎ชาระหน้ี วิธกี ารเบิกเงินของส่วนราชการ แบ่งเปน็ การขอเบิกเงนิ ท่ตี อ๎ งทาตามระเบียบพัสดุ ไดแ๎ กํ ซื้อทรพั ยส์ ิน จา๎ งทาของหรอื เชําทรพั ยส์ ิน โดยระเบียบฯ กาหนดให๎สวํ นราชการขอเบิกเงนิ จากคลงั โดยเร็วอยาํ งช้า ไมเํ กิน 5 วนั ทาการนับแตวํ ันท่ีได๎ตรวจรบั ทรพั ย์สินหรอื ตรวจรับงานถกู ต๎องแลว๎ หรือนบั แตวํ ันทีไ่ ด๎รับแจง๎ จากหนวํ ยงานยอํ ย ตามระเบยี บฯ ขอ๎ 28 (2) วรรคสอง 1) ถา๎ มีการทา PO คอื ใบสั่งซือ้ ใบส่ังจ๎างและมีวงเงนิ ตง้ั แตํ 5,000 บาท ขน้ึ ไปหรอื ตามท่ี กระทรวงการคลังกาหนดใหส๎ วํ นราชการจดั ทา หรือลง PO เพ่อื ทาการจองงบประมาณในระบบ โดย กรมบัญชกี ลางจะเป็นผ๎จู าํ ยเงนิ เขา๎ บัญชีให๎กบั เจ๎าหนีห้ รอื ผม๎ู สี ทิ ธริ ับเงินของสวํ นราชการโดยตรง 2) ไมํมกี ารทา PO คอื ใบสง่ั ซอ้ื ใบสง่ั จ๎างวงเงินนอ๎ ยกวํา 5,000 บาท ซ่งึ กรณนี ้ี หนวํ ยงานมสี ทิ ธทิ ่ีจะ จาํ ยเงิน ได๎ 2 แบบ คือ 2.1 จาํ ยเงนิ ผํานบญั ชสี ํวนงาน แลว๎ ใหจ๎ าํ ยเงนิ ใหเ๎ จ๎าหน้ีหรอื ผม๎ู ีสทิ ธริ ับเงินตอํ ไป หรือ 2.2 หากสวํ นงาน ต๎องการให๎จาํ ยเงนิ เขา๎ บัญชใี หก๎ บั เจ๎าหน้ีหรอื ผม๎ู ีสิทธิรับเงนิ ของสวํ นงานโดยตรง ก็ได๎ หมวด 4 การจา่ ยเงินของส่วนราชการ หลกั เกณฑก์ ารจาํ ยเงิน 1. ตอ๎ งมีกฎหมายระเบยี บขอ๎ บงั คับคาส่ังกาหนดไว๎หรือมตคิ ณะรัฐมนตรอี นญุ าตให๎จํายได๎ หรือตามท่ี ได๎รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และ 2. ให๎ผ๎ูมอี านาจอนุมัติ ส่ังอนมุ ัติการจํายเงนิ พร๎อมกับลงลายมอื ชอ่ื ในหลกั ฐานการจําย หรือหลักฐานการ ขอรับชาระหนีท้ กุ ฉบบั หรือจะลงลายมอื ชอ่ื อนุมัติในหนา๎ งบหลักฐานการจาํ ยก็ได๎ 3. การจาํ ยเงินตอ๎ งมีหลักฐานการจํายไว๎เพอื่ ประโยชนใ์ นการตรวจสอบทุกคร้งั 4. การจํายเงิน โดยทย่ี งั ไมไํ ดม๎ กี ารจํายเงนิ ให๎แกํเจา๎ หน้หี รอื ผม๎ู ีสทิ ธริ ับเงนิ หา๎ มมิใหผ๎ ๎ูมีหน๎าทจ่ี าํ ยเงิน เรยี กหลกั ฐานการจาํ ย หรือใหผ๎ ๎รู ับเงินลงลายมอื ชื่อรบั เงินในหลักฐาน สรุปผลการเรยี นร๎หู ลักสูตรผู๎บริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รุํนท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 22
5. ใหเ๎ จ๎าหน๎าที่ผ๎ูจํายเงนิ ประทบั ตราข๎อความวาํ “จํายเงินแลว๎ ” โดยลงลายมอื ชื่อรบั รองการจาํ ยเงิน และระบชุ ่ือผู๎จํายเงินดว๎ ยตัวบรรจง พรอ๎ มทั้งวนั เดอื น ปี ท่ีจาํ ยกากบั ไว๎ในหลกั ฐานการจํายเงนิ ทุกฉบับ เพ่อื ประโยชนใ์ นการตรวจสอบ 6. ในกรณที ห่ี ลกั ฐานการจํายเปน็ ภาษาตํางประเทศ ให๎มีคาแปลเป็นภาษาไทยตามรายการ และใหผ๎ ๎ูใช๎ สิทธขิ อเบิกเงินลงลายมือชอื่ รับรองคาแปลดว๎ ย 7. เงนิ ประเภทใดซ่ึงโดยลักษณะจะต๎องจํายประจาเดอื นในวนั ทาการสิ้นเดือน ให๎สวํ นราชการสํงคาขอ เบิกเงนิ ภายในวันท่ี 15 ของเดือนนนั้ หรอื ตามทีก่ ระทรวงการคลงั กาหนด 8. การจํายเงิน ถ๎าหนวํ ยงานยงั ไมํได๎มกี ารจาํ ยเงิน ใหแ๎ กเํ จ๎าหนี้หรือผู๎มสี ทิ ธิรบั เงิน หา๎ มเรียกหลกั ฐาน การจาํ ย หรือให๎ผู๎รับเงนิ ลงลายมอื ช่อื รบั เงินในหลกั ฐาน 9. ข๎าราชการ พนักงานราชการ ลกู จา๎ ง หรือผู๎รบั บานาญ หรอื เบ้ยี หวดั ไมํสามารถมารับเงนิ ได๎ด๎วย ตนเอง จะมอบฉนั ทะให๎ผูอ๎ น่ื เปน็ ผรู๎ ับเงนิ แทนได๎ โดยใชใ๎ บมอบฉันทะตามแบบทกี่ ระทรวงการคลังกาหนด ซงึ่ หนํวยงานจะจํายเป็นเงนิ สด หรือจาํ ยเปน็ เชค็ กไ็ ด๎ แตํถ๎าตอ๎ งการใหจ๎ าํ ยเป็นเช็ค เลอื กท่ีจะส่งั จาํ ยในนามผม๎ู อบ ฉนั ทะ หรอื ผรู๎ บั มอบฉันทะ ก็ได๎ หลกั ฐานการจา่ ย หลกั ฐานที่การจํายเงิน หมายความวํา หลักฐานท่แี สดงวําไดม๎ กี ารจํายเงินให๎แกํผ๎รู บั เงินหรอื เจา๎ หนี้ ตาม ข๎อผกู พันโดยถกู ต๎องแลว๎ **การจํายเงนิ ต๎องไดร๎ ับใบเสร็จรับเงนิ และใบเสรจ็ รับเงนิ ตอ๎ งมีรายการ ดงั นี้ (๑) ชือ่ สถานท่ีอยํู หรือทท่ี าการของผู๎รับเงิน (๒) วนั เดือน ปี ท่ีรับเงิน (๓) รายการแสดงการรับเงินระบวุ าํ เปน็ คาํ อะไร (๔) จานวนเงนิ ท้งั ตัวเลข และตัวอักษร (๕) ลายมอื ชือ่ ของผ๎รู ับเงิน * ถ๎าผูท๎ ่จี ะรบั เงนิ ไมํมีใบเสรจ็ รบั เงิน และจํายเงนิ จากสวํ นราชการ หนํวยงานจะออกใบสาคญั รบั เงินให๎ผู๎รับเงินลง ชอื่ รบั เงนิ กรณขี า๎ ราชการ พนักงานราชการ หรอื ลูกจา๎ งของสํวนราชการ จาํ ยเงนิ ไปโดยไดร๎ บั ใบเสรจ็ รับเงนิ ซงึ่ มี รายการไมคํ รบถ๎วน ตามรายการขา๎ งต๎น หรอื ซึง่ ตามลกั ษณะไมํอาจเรียก ใบเสรจ็ รับเงินจากผู๎รบั เงนิ ได๎ เชํน ยืมเงิน ไปจาํ ยคําพาหนะ ( Taxi) เดินทางไปราชการ หรอื จํายสารองสวํ นตัวไปกํอน ก็ใหท๎ าใบรบั รองการจาํ ยเงนิ หรอื ปัจจบุ ันทเ่ี ราใช๎คอื บก.111 ใบรบั รองแทนใบเสร็จรบั เงนิ กรณใี บเสร็จรบั เงนิ หาย ให๎ใชส๎ าเนาใบเสร็จรับเงิน ซึง่ ผูร๎ ับเงินรับรองเป็นเอกสารประกอบการขอเบิกเงิน แทนได๎ แตถํ า๎ ขอสาเนาใบเสรจ็ ไมไํ ด๎ ใหท๎ าใบรบั รองการจาํ ยเงนิ โดยชแ้ี จงเหตผุ ลวําสญู หายไปอยํางไร หรอื ไมํอาจ ขอสาเนาใบเสร็จรบั เงนิ ได๎ และรบั รองวํายังไมํเคยนาใบเสร็จรบั เงนิ นนั้ มาเบกิ จาํ ย แมพ๎ บภายหลงั จะไมนํ ามา เบิกจาํ ยอีก แล๎วเสนอปลดั กระทรวง เพอ่ื พิจารณาอนุมัติ ตอํ ไป การจํายเงินจากระบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ( e-Payment) ให๎เปน็ ไปตามหนงั สือเวียนกระทรวงการคลังดํวน ท่ีสุด ที่ กค.0402.2/ว 3 ลงวนั ท่ี 30 มกราคม 2562 เรอ่ื ง หลักเกณฑแ์ ละวธิ ปี ฏบิ ัติในการจํายเงนิ การรบั เงนิ และการนาเงินสงํ คลงั ของสํวนราชการผาํ นระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ( KTB Corporate Online) เพม่ิ เติม และ หนงั สอื เวยี นกระทรวงการคลังดวํ นที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 103 ลงวนั ที่ 1 กันยายน 2559 เรอ่ื ง หลักเกณฑ์ และวิธปี ฏบิ ตั ใิ นการจํายเงนิ การรับเงินและการนาเงนิ สํงคลงั ของสวํ นราชการผาํ นระบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ( KTB Corporate Online) สรุปผลการเรียนรูห๎ ลกั สูตรผ๎ูบริหารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รนํุ ที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หน๎าที่ 23
วิธปี ฏิบัตใิ นการจา่ ยเงนิ 1. การจํายเงนิ ให๎จํายผาํ นระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ( e-Payment) ให๎แกผํ ู๎มีสิทธริ ับเงนิ ทีเ่ ปน็ ข๎าราชการ ลูกจา๎ ง พนกั งานราชการ ผ๎รู บั บานาญ ผ๎ูรับเบยี้ หวัด หรือบุคคลภายนอก รวมทงั้ การจาํ ยเงินเพื่อชดใช๎คนื เงนิ ทด รองราชการ ท้ังน้ี ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธปี ฏิบตั ทิ ีก่ ระทรวงการคลังกาหนด 2. การจาํ ยเงนิ เปน็ เช็คหรือเงนิ สด ใหก๎ ระทาได๎เฉพาะในกรณีท่ีมีเหตุขดั ขอ๎ งหรอื มีความจาเป็นเรงํ ดวํ น ซงึ่ ไมสํ ามารถดาเนินการตามขอ๎ 1 ได๎ 3. ในกรณที ่ีต๎องจํายเงินเป็นเชค็ ใหเ๎ ขยี นเชค็ สัง่ จําย ดังนี้ 3.1 การจํายเงนิ ใหแ๎ กํเจ๎าหน้ีหรอื ผม๎ู สี ิทธริ บั เงนิ ในกรณีซอื้ ทรัพย์สนิ จา๎ งทาของ หรอื เชํา ทรัพยส์ นิ ใหอ๎ อกเชค็ ส่งั จาํ ยในนามของเจา๎ หน้ีหรอื ผู๎มีสทิ ธริ บั เงนิ โดยขดี ฆาํ คาวาํ “หรือผูถ๎ อื ” ออกและขดี ครอํ ม ด๎วย 3.2 การจํายเงินให๎แกเํ จ๎าหน้ีหรือผูม๎ ีสทิ ธริ ับเงิน นอกเหนอื จากขอ๎ 3.1 ให๎ออกเช็คส่ังจาํ ยในนาม ของเจา๎ หนหี้ รอื ผม๎ู สี ทิ ธิรับเงิน โดยขีดฆาํ คาวาํ “หรือผู๎ถอื ” และจะขดี ครํอมหรือไมํกไ็ ด๎ 3.3 ในกรณีสง่ั จาํ ยเงินเพื่อขอรับเงินสดมาจาํ ย ใหอ๎ อกเชค็ สั่งจํายในนามเจา๎ หนา๎ ทกี่ ารเงินของ สวํ นราชการ และขีดฆาํ คาวํา “หรอื ผูถ๎ อื ” ออก ห๎ามออกเช็คสงั่ จาํ ยเงนิ สด 3.4 ห๎ามลงลายมือชอื่ สั่งจํายเช็คไว๎ลํวงหนา๎ โดยยงั มไิ ด๎มกี ารเขียนหรอื พิมพ์ชื่อผู๎รบั เงนิ หมวด 5 การเบกิ จา่ ยเงนิ ยืมของส่วนราชการ (ขอ้ 55-68) การจํายเงินยมื จะจาํ ยได๎แตเํ ฉพาะผู๎ยมื ตามสัญญาการยืมเงนิ และผู๎มอี านาจได๎อนุมตั ิแล๎ว โดยจํายผาํ น ระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-Payment) ตามหลกั เกณฑว์ ิธปี ฏิบตั ิทก่ี ระทรวงการคลงั กาหนด อนมุ ัตใิ หย๎ ืมเฉพาะเทําที่จาเปน็ และหากผู๎ยืมไมไํ ด๎คืนเงินยมื ทเ่ี คยยืมไว๎เดิม กไ็ มสํ ามารถยมื เงินใหมไํ ด๎ อนุมัตใิ ห๎ยมื เงนิ ให๎ใชด๎ ุลพนิ ิจใหย๎ มื ได๎เทาํ ทีจ่ าเปน็ เรงํ ดํวน และเหมาะสม โดยผย๎ู ืมตอ๎ งประมาณการ คาํ ใชจ๎ าํ ยในการยมื เงิน เพ่อื ใชใ๎ นราชการ เชนํ คาํ พาหนะ คําเบ้ียเลี้ยง คําท่ีพัก ใหเ๎ ปน็ ไปตามสทิ ธิ รวมเป็น คาํ ใชจ๎ าํ ยท่คี านวณได๎ เพ่ือนาไปทาสัญญาการยืมเงิน กรณีทีต่ อ๎ งจํายเงนิ ยืมในการปฏบิ ตั งิ านทีค่ าบเกีย่ วจากปีงบประมาณปจั จบุ นั ไปถงึ ปีงบประมาณถดั ไป ให๎ เปน็ เงินยืมคําใชจ๎ าํ ยในการเดินทางไปราชการ ให๎ใช๎จํายไดไ๎ มํเกนิ 90 วันนบั แตํวนั เริ่มตน๎ งบประมาณใหมํ เงินยืมปฏบิ ตั ิราชการอื่นๆ ให๎ใชจ๎ าํ ยได๎ไมเํ กิน 30 วันนบั แตํวนั เร่มิ ต๎นปงี บประมาณใหมํ การจาํ ยเงินยมื เพ่ือเปน็ คาํ ใช๎จาํ ยในการเดินทางไปราชการ ในราชอาณาจกั ร ใหจ๎ ํายได๎สาหรับระยะเวลา การเดินทางทไี่ มํเกิน 90 วนั หากมคี วามจาเปน็ จะตอ๎ งจํายเกินกวํากาหนดเวลาดงั กลําว สวํ นราชการจะตอ๎ งขอทา ความตกลงกบั กระทรวงการคลังกํอน ใหผ๎ ู๎ยืมสงํ หลกั ฐานการจาํ ยและเงินเหลือจํายท่ยี มื ไป (ถา๎ มี) ภายในกาหนด ระยะเวลา ดงั นี้ ๑) กรณเี ดนิ ทางไปประจาตาํ งสานักงาน หรือการเดินทางไปราชการประจาในตํางประเทศ หรอื กรณี เดินทางกลบั ภมู ิลาเนาเดิม ใหส๎ งํ แกํสวํ นราชการผ๎ูใหย๎ ืมโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบยี นภายใน 30 วนั นบั แตวํ นั ไดร๎ ับ เงิน ๒) กรณีเดินทางไปราชการอื่น รวมทัง้ การเดนิ ทางไปราชการตาํ งประเทศชว่ั คราว ให๎สงํ แกํสวํ นราชการผ๎ู ให๎ยืมภายใน 15 วนั นับแตํวันกลับมาถงึ ๓) การยมื เงนิ เพื่อปฏบิ ตั ิราชการนอกจาก (๑) หรอื (๒) ให๎สงํ แกํสํวนราชการผ๎ใู หย๎ ืมภายใน 30 วันนับ แตํวันไดร๎ บั เงนิ ในกรณที ีผ่ ย๎ู ืมได๎สํงใช๎คนื เงนิ ยมื แลว๎ หนํวยงานตรวจสอบแล๎วมเี หตตุ อ๎ งทกั ท๎วง ต๎องแจง๎ ข๎อทักท๎วงใหผ๎ ๎ู ยมื ทราบโดยดํวน แล๎วให๎ผ๎ยู มื ปฏบิ ัติตามคาทกั ท๎วงภายใน 15 วนั นับแตํวนั ที่ไดร๎ บั คาทกั ทว๎ ง สรุปผลการเรียนรู๎หลกั สตู รผบ๎ู ริหารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รํุนท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 24
เม่ือผ๎ยู มื สํงหลักฐานการจํายและ/หรอื เงนิ เหลอื จํายท่ียมื (ถ๎ามี) ใหเ๎ จ๎าหนา๎ ทผ่ี ู๎รบั คนื บันทึกการรับคนื ใน สญั ญาการยืมเงนิ และพิมพห์ ลักฐานการรับเงินคนื จากระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ( e-Payment) ตามท่ี กระทรวงการคลังกาหนด และ/หรอื ออกใบรับใบสาคัญตามแบบที่กรมบัญชกี ลางกาหนด ใหผ๎ ๎ูยืมไวเ๎ ปน็ หลักฐาน หมวด 6 การรับเงินของส่วนราชการ ใบเสร็จรับเงนิ 1) ใบเสร็จรบั เงนิ ใหใ๎ ชต๎ ามแบบทีก่ ระทรวงการคลัง กาหนดและให๎มสี าเนาเย็บตดิ ไว๎กับเลํมอยาํ งน๎อย หนงึ่ ฉบบั หรือตามแบบทีไ่ ด๎รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลงั 2) การจาํ ยใบเสร็จรบั เงนิ ให๎หนวํ ยงานหรอื เจ๎าหน๎าที่ไปจดั เก็บเงิน ใหพิจารณาจาํ ยในจานวนท่ี เหมาะสมแกลํ ักษณะงานท่ีปฏิบตั ิ และใหม๎ ีหลักฐานการรับสงํ ใบเสรจ็ รบั เงนิ นั้นไวด๎ ๎วย 3) ใบเสร็จรบั เงนิ เลมํ ใด เมอ่ื ไมํมีความจาเป็นตอ๎ งใช๎ เชํน ยุบเลกิ สานักงานหรอื ไมมํ กี ารจดั เกบ็ เงินตอํ ไป อีก ใหห๎ ัวหน๎าหนวํ ยงานทร่ี บั ใบเสร็จน้นั นาสํงคนื สํวนราชการทจ่ี าํ ยใบเสรจ็ รบั เงนิ นั้นโดยดวํ น 4) เม่ือส้นิ ปีงบประมาณ ใหห๎ ัวหนา๎ หนวํ ยงานซ่ึงรับใบเสรจ็ รับเงนิ ไปดาเนนิ การจดั เกบ็ เงนิ รายงานให๎ ผู๎อานวยการกองคลัง หรือหวั หน๎าสวํ นราชการในราชการบริหารสวํ นภมู ภิ าคทราบวํา มีใบเสรจ็ รบั เงินอยูํในความ รบั ผดิ ชอบเลํมใด เลขทใ่ี ดถึงเลขทีใ่ ด และได๎ใชใ๎ บเสร็จรบั เงนิ ไปแลว๎ เลมํ ใด เลขทใี่ ดถงึ เลขท่ใี ด อยํางชา๎ ไมํเกินวนั ที่ 31 ตลุ าคมของปีงบประมาณถดั ไป 5) ใบเสร็จรบั เงินเลํมใด สาหรับรบั เงินของปีงบประมาณใด ให๎ใชร๎ บั เงนิ ภายในปีงบประมาณน้ัน เมือ่ ขน้ึ ปีงบประมาณใหมํ ให๎ใช๎ใบเสร็จรบั เงินเลมํ ใหมํ ใบเสรจ็ รบั เงินฉบับใดยังไมํใชใ๎ ห๎คงติดไวก๎ ับเลมํ แตํใหป๎ รุ เจาะรู หรอื ประทับตราเลกิ ใช๎ เพอ่ื ใหเ๎ ปน็ ที่สงั เกต มใิ ห๎นามารับเงินได๎อกี ตํอไป 6) หากใบเสร็จรับเงินฉบบั ใดลงรายการรับเงินผิดพลาด ให๎ขดี ฆาํ จานวนเงนิ และเขียนใหมทํ ั้งจานวนโดย ใหผ๎ ๎ูรบั เงนิ ลงลายมอื ชอื่ กากบั การขดี ฆาํ น้ันไว๎ หรือขีดฆําเลิกใช๎ใบเสรจ็ รบั เงินนั้นท้งั ฉบบั แลว๎ ออกฉบบั ใหมํ โดยให๎ นาใบเสร็จรบั เงินท่ีขีดฆําเลกิ ใช๎นั้นตดิ ไวก๎ ับสาเนาใบเสรจ็ รบั เงินในเลํม การรับเงิน 1) การรบั เงนิ ให๎รับผาํ นระบบอิเล็กทรอนกิ ส์ (e-Payment) ตามหลกั เกณฑ์วธิ ปี ฏิบัตทิ ี่กระทรวงการคลัง กาหนด เว๎นแตํกรณที ม่ี เี หตุขดั ข๎องหรือมคี วามจาเปน็ เรํงดํวนซ่งึ ไมสํ ามารถรับผาํ นระบบอเิ ลก็ ทรอนิกสไ์ ด๎ ให๎รบั เป็นเงนิ สดหรือเชค็ หรอื เอกสารแทนตวั เงนิ อน่ื ทีก่ ระทรวงการคลังกาหนด 2) ให๎ใชใ๎ บเสรจ็ รบั เงนิ เลมํ เดยี วกนั รับเงนิ ทุกประเภท เวน๎ แตเํ งนิ ประเภทใดทีม่ ีการรบั ชาระเปน็ ประจา และมีจานวนมากราย จะแยกใบเสรจ็ รับเงนิ เลมํ หนึ่งสาหรบั การรับชาระเงินประเภทนัน้ กไ็ ด๎ โดยให๎บนั ทกึ ข๎อมูล การรบั เงนิ ในระบบภายในวนั ท่ีไดร๎ บั เงิน และเงินประเภทใดทีก่ ารออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ในวนั หนงึ่ ๆ หลายฉบับ จะ รวมเงนิ ประเภทนั้นตามสาเนาใบเสร็จรับเงิ นทกุ ฉบบั มาบันทกึ เป็นรายการเดียวในระบบก็ได๎ โดยให๎แสดง รายละเอียดวําเปน็ เงินรับตามใบเสรจ็ เลขทใ่ี ดถงึ เลขทีใ่ ด และจานวนเงินรวมรับทงั้ ส้นิ เทําใดไว๎ดา๎ นหลงั สาเนา ใบเสรจ็ รบั เงนิ ฉบับสุดท๎าย 3) เม่ือส้นิ เวลารบั จํายเงนิ ใหเ๎ จา๎ หน๎าทีผ่ ๎ูมีหน๎าท่ีจัดเก็บหรอื รับชาระเงิน นาเงนิ สดหรอื เช็ค หรอื เอกสาร แทนตัวเงินอ่นื ทีไ่ ดร๎ ับพร๎อมกับสาเนาใบเสรจ็ รับเงิน และเอกสารอืน่ ทจ่ี ดั เกบ็ ในวนั น้ันทง้ั หมดสงํ ตํอเจา๎ หน๎าที่ การเงนิ และสวํ นราชการน้ัน หมวด 7 การเกบ็ รกั ษาเงนิ ของสว่ นราชการ สถานท่เี ก็บรกั ษาเงิน ใหส๎ วํ นราชการเก็บรักษาเงนิ ทจี่ ดั เกบ็ หรอื ได๎รบั เปน็ เงินสดหรอื เช็คหรือเอกสารแทนตวั เงนิ อนื่ ไวใ๎ นตู๎ นริ ภัยซงึ่ ต้ังอยูํในทป่ี ลอดภัยของสวํ นราชการ โดยตน๎ู ิรภยั ใหม๎ ลี ูกกญุ แจอยาํ งน๎อยสองสารับ แตํละสารับไมนํ อ๎ ยกวาํ สรปุ ผลการเรียนรหู๎ ลักสูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 25
สองดอกแตํไมํเกินสามดอก โดยแตํละดอกต๎องมีลักษณะตาํ งกัน โดยสารับหน่ึงมอบให๎กรรมการเกบ็ รักษาเงนิ สวํ น สารบั ที่เหลอื ใหน๎ าฝากเก็บรกั ษาไวใ๎ นลักษณะหีบหํอ ณ สถานท่ีท่ปี ลอดภัย กรรมการเก็บรกั ษาเงิน 1) ให๎หัวหน๎าสวํ นราชการพิจารณาแตํงตงั้ ขา๎ ราชการ ซ่ึงดารงตาแหนํงประเภทวิชาการระดบั ปฏบิ ตั ิการ หรือประเภททัว่ ไป ระดับปฏบิ ตั ิงาน หรอื เทยี บเทาํ ขึ้นไป อยาํ งน๎อยสองคน เปน็ กรรมการเกบ็ รกั ษาเงิน 2) ใหก๎ รรมการเก็บรกั ษาเงินถือลูกกุญแจตนู๎ ริ ภยั คนละหนึ่งดอก ในกรณที ่ตี ๎ูนริ ภัยมีลูกกญุ แจสามดอก และมีกรรมการเก็บรักษาสองคน ให๎กรรมการเกบ็ รักษาเงนิ ถือลกู กญุ แจคนละดอก สํวนลูกกญุ แจท่เี หลอื ให๎อยใํู น ดลุ พนิ ิจของหัวหนา๎ สํวนราชการทีจ่ ะมอบให๎กรรมการเกบ็ รกั ษาเงนิ ผูใ๎ ดถอื ลูกกุญแจน้นั 3) ถา๎ กรรมการเกบ็ รกั ษาเงนิ ผ๎ูใดไมสํ ามารถปฏบิ ตั หิ นา๎ ที่ได๎ ใหห๎ วั หนา๎ งานราชการพิจารณาแตงํ ต้งั ข๎าราชการตามข๎อ 1 ปฏิบัตหิ นา๎ ทก่ี รรมการเกบ็ รักษาเงินแทนให๎ครบจานวน การแตงํ ตัง้ ผปู๎ ฏบิ ัติหนา๎ ทกี่ รรมการ เก็บรกั ษาเงินแทนจะแตํงต้งั ไวเ๎ ป็นการประจากไ็ ด๎ การเก็บรักษาเงนิ 1) ในกรณที ่วี ันใดไมํมีรายการรับจาํ ยเงิน จะไมํทารายงานเงินคงเหลือประจาวันสาหรบั วนั นน้ั กไ็ ด๎ แตใํ ห๎ หมายเหตไุ ว๎ในรายงานเงินคงเหลือประจาวันท่ีมกี ารรบั จํายเงินของวันถดั ไปด๎วย 2) เม่ือสิ้นเวลารบั จํายเงินให๎เจ๎าหนา๎ ทกี่ ารเงินนาเงินทีจ่ ะเกบ็ รักษาและรายงานเงนิ คงเหลอื ประจาวันสํง มอบใหค๎ ณะกรรมการเก็บรกั ษาเงินรํวมกนั ตรวจสอบตวั เงิน และเอกสารแทนตวั เงนิ กบั รายงานเงนิ คงเหลือ ประจาวนั เมื่อปรากฏวําถกู ตอ๎ งแล๎ว ให๎เจา๎ หนา๎ ท่กี ารเงินนาเงนิ และและเอกสารแทนตวั เงนิ เก็บรักษาในตนู๎ ริ ภยั และให๎กรรมการเกบ็ รกั ษาเงนิ ทุกคนลงลายมอื ช่อื ในรายงานเงินคงเหลอื ประจาวนั ไวเ๎ ป็นหลกั ฐาน และเสนอ หวั หนา๎ สํวนราชการเพ่อื ทราบ หมวดท่ี ๘ การนาเงินส่งคลังและฝากคลงั การนาเงนิ ส่งคลังหรือฝากคลัง กาหนดเวลานาเงินสํงคลงั หรือฝากคลงั ของสวํ นราชการ 1. เชค็ /เอกสารแทนตวั เงินอืน่ -วันทไ่ี ด๎รบั หรอื อยํางช๎าภายในวนั ทาการถดั ไป ๒. เงินรายได๎แผํนดินท่ีรบั เปน็ เงินสด -อยาํ งนอ๎ ยเดอื นละครั้ง ถ๎าเกินหมืน่ บาทนาสํงโดยดวํ น ไมเํ กนิ 3 วนั ทาการ ๓. เงนิ รายไดแ๎ ผํนดินท่ีรับดว๎ ยระบบ e-Payment -วันทาการถดั ไปหรือตามที่กระทรวงการคลงั กาหนด 4. เงนิ เบิกเกินสงํ คืน/เงนิ เหลือจํายปี เกาํ สํงคืนท่รี ับเป็น เงินสดหรอื เชค็ -ภายใน 15 วันทาการ นบั จากวนั ไดร๎ บั เงนิ จากคลงั หรือไดร๎ ับเงินคืน 5. เงินเบกิ เกนิ สํงคนื /เงินเหลอื จํายปี เกําสงํ คืนทรี่ บั ผํานระบบ e-Payment -วันทาการถัดไปหรอื ตามที่กระทรวงการคลังกาหนด 6. เงินนอกงบประมาณทีร่ บั เป็นเงินสด -อยํางนอ๎ ยเดอื นละ 1ครัง้ 7. เงินนอกงบประมาณเบิกจากคลงั เพอื่ รอการจาํ ย -ภายใน 15 วันทาการนับจากวนั รับเงนิ จากคลัง สรุปผลการเรยี นรูห๎ ลกั สูตรผ๎ูบริหารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนํุ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 26
การนาเงนิ สง่ คลังหรือฝากคลังผ่านระบบ KTB Corporate Online บัญชีทีข่ อเปิดใช๎บรกิ ารนาเงินสํงคลัง ผํานระบบ KTB Corporate Online (GFMIS) บัญชที เ่ี ปดิ สาหรับรับชาาระเงนิ (Bill Payment) บัญชีเงินฝากธนาคารอน่ื ๆ ทสี่ วํ นราชการใช๎ในการรับเงนิ ตามท่ีกระทรวงการคลัง กาหนดหรือ ท่ีได๎รบั อนุมตั ิจากกระทรวงการคลัง ประเภทการนาเงินสํงคลังหรอื ฝากคลงั ผํานระบบ KTB Corporate Online การนาสํงเงินรายไดแ๎ ผนํ ดนิ การนาสงํ เงินรายได๎แผนํ ดินแทนกัน การนาเงนิ นอกงบประมาณฝากคลงั และการนาเงินนอกงบประมาณฝากคลงั แทนกนั การดาเนนิ การนาเงนิ สํงคลงั หรอื ฝากคลังผํานระบบ KTB Corporate Online เลอื กหมายเลขบัญชีเงินฝากธนาคาร ระบุประเภทและจานวนเงินทีจ่ ะนาสงํ คลงั หรอื ฝากคลัง เขา๎ บญั ชีเงินฝากธนาคารของกรมบญั ชีกลางหรือสานักงานคลังจังหวดั เพื่อรบั เงนิ ของ หนํวยงานภาครฐั พมิ พ์หน๎าจอการทารายการสาเรจ็ จากระบบ KTB Corporate Online ทุกส้นิ วนั ทาการใหต๎ รวจสอบการนาเงินสํงคลังหรอื ฝากคลงั จาก เอกสารท่ีพิมพจ์ ากหน๎าจอการทารายการสาเรจ็ และ รายการสรุปความเคลื่อนไหวทางบัญชี (e-Statement/Account Information) สรุปผลการเรยี นร๎หู ลักสตู รผ๎บู รหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รํนุ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 27
การนาเงนิ ส่งคลังในระบบ GFMIS จัดทาPay-in Slip ทีม่ ี Barcode เพื่อนาฝากเงนิ สด/เชค็ เข๎ากรมบญั ชีกลางหรือสานกั งานคลังจงั หวัด หมวดท่ี ๙ การกนั เงินไว้เบกิ เหลือ่ มปี หลักเกณฑ์ หนํวยงานของรฐั ใดได๎กํอหนีผ้ ูกพนั ไว๎กํอนสน้ิ ปีงบประมาณและมีวงเงนิ ตัง้ แตหํ น่งึ แสนบาทขน้ึ ไปหรอื ตามท่ีกระทรวงการคลงั กาหนด กรณีทีไ่ มสํ ามารถเบิกเงนิ ไปชาระหนี้ไดท๎ นั สนิ้ ปีงบประมาณให๎ขอกันเงินไวเ๎ บกิ เหลือ่ มปีตํอไปไดอ๎ กี ไมํเกนิ หกเดอื นของปงี บประมาณถดั ไป เวน้ แต่ มีความจาเป็นตอ๎ งขอเบิกเงนิ จากคลังภายหลังเวลาดังกลาํ ว ให๎ขอทาความตกลงกับ กระทรวงการคลัง เพ่ือขอขยายเวลาออกไปไดอ๎ กี ไมเํ กินหกเดอื น ต้องดาเนินการกอํ นสน้ิ ปงี บประมาณ หมวดท่ี ๑๐ หน่วยงานยอ่ ย การเบิกเงนิ การรับเงิน การจาํ ยเงนิ การเกบ็ รักษาเงนิ และการนาเงินสํงคลงั ให๎เปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วธิ ีปฏิบตั ิทก่ี ระทรวงการคลังกาหนด หมวดท่ี ๑๑ การควบคมุ และตรวจสอบของหนว่ ยงานผเู้ บิกที่เปน็ ส่วนราชการ - ทกุ สิน้ วนั ทาการ ใหเ๎ จา๎ หนา๎ ทก่ี ารเงินของสํวนราชการตรวจสอบจานวนเงินสด และเช็คคงเหลือกับ รายงานเงนิ คงเหลือประจาวันทก่ี รมบญั ชกี ลางกาหนด - กรณีการรบั จํายเงินผํานระบบอิเล็กทรอนิกส์ ( e-Payment) ใหส๎ ํวนราชการจดั ให๎มีการตรวจสอบ การรับให๎หนวํ ยงานผเ๎ู บิกท่เี ป็นสวํ นราชการมหี น๎าที่ใหค๎ าชแ้ี จงและอานวยความสะดวก แกเํ จ๎าหน๎าท่ขี องสานักงาน การตรวจเงินแผํนดินในการตรวจสอบรายงานการเงินและหลกั ฐานการจาํ ย - เม่ือปรากฏวําสํวนราชการแหงํ ใดปฏบิ ตั ิเก่ยี วกับการเบกิ เงนิ จากคลัง การรบั เงนิ การจาํ ยเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงิน และการนาเงนิ สํงคลังไมถํ กู ต๎องตามระเบียบ ให๎หัวหนา๎ สํวนราชการ ระดบั กรม หรือผ๎ูวาํ ราชการจังหวัด แล๎วแตํกรณี พจิ ารณาส่งั การใหป๎ ฏิบตั ใิ หถ๎ ูกต๎องโดยดวํ น - หากปรากฏวาํ เงินในความรับผดิ ชอบของสวํ นราชการแหํงใดขาดบญั ชี หรือสญู หาย เสยี หายเพราะ การทุจรติ หรือมพี ฤติการณ์ทส่ี อํ ไปในทางไมสํ ุจริตหรอื เพราะเหตหุ นง่ึ เหตุใดซ่งึ มิใชํ กรณีปกติ ใหห๎ วั หน๎าสํวน สรปุ ผลการเรยี นรหู๎ ลักสตู รผ๎ูบรหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 28
ราชการระดบั กรมหรอื ผ๎ูวําราชการจังหวัด แลว๎ แตํกรณี รีบรายงานพฤตกิ ารณ์ ให๎กระทรวงเจ๎าสงั กดั ทราบโดยดวํ น และดาเนินการสอบสวนหาตวั ผร๎ู บั ผิดตามหลกั เกณฑ์ที่กาหนดไว๎ สรุปผลการเรียนรห๎ู ลักสูตรผู๎บรหิ ารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 29
หัวขอ้ การบรหิ ารความเสีย่ งดา้ นการเงินบญั ชแี ละพสั ดุ วนั ที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลา 13.00-16.00 น. วทิ ยากร คณุ กฤตยา วัลอาจ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย สรุปประเดน็ สาคัญ ประเด็นความเสีย่ ง ด้านการเงิน 1. ไมํนาเงินเก็บรกั ษาไวใ๎ นตน๎ู ิรภยั ของทางราชการ (ระเบยี บกระทรวงการคลงั วาํ ด๎วยการเบกิ เงนิ จากคลงั การรับเงิน การจาํ ยเงนิ การเก็บรกั ษาเงินและการนาเงินสงํ คลงั พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๘๔) 2. กรรมการเก็บรักษาเงินไมํปฏิบตั ิหน๎าที่ตามคาสง่ั /ระเบียบ(ระเบียบกระทรวงการคลังวําดว๎ ยการ เบิกเงนิ จากคลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข๎อ ๘๖) 3. เก็บรักษาเงินไวเ๎ กินวงเงินทไ่ี ดร๎ ับอนุญาต(กค ๐๕๒๖.๙/ ว ๑๐๗ ลงวนั ท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๔๓) 4. เบกิ จาํ ยเงนิ งบประมาณลําช๎า/ข๎ามปีงบประมาณ(ระเบยี บกระทรวงการคลังวําดว๎ ยการเบกิ เงนิ จาก คลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๒๓) 5. เงนิ งบประมาณทีเ่ บิกมาไมไํ ด๎จํายหรือจาํ ยไมหํ มดไมนํ าสํงคนื คลังภายใน ๑๕ วนั ทาการนบั แตวํ ันรับ เงินจากคลัง(ระเบียบกระทรวงการคลงั วาํ ด๎วยการเบกิ เงินจากคลงั ฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข๎อ ๙๙) 6. รายได๎แผนํ ดินนาสงํ คลังลําชา๎ ตามระเบยี บฯ อยํางนอ๎ ยเดอื นละ ๑ ครง้ั แตถํ ๎าสวํ นราชการใดมีเงนิ รายได๎แผํนดิน เก็บรกั ษาในวันใดเกิน ๑๐ ,๐๐๐ บาท ใหน๎ าสํงอยาํ งช๎าไมเํ กิน ๓ วัน(ระเบยี บระทรวงการคลังวาํ ดว๎ ยการเบิกเงินจากคลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๐๑ (๒)) 7. ไมไํ ด๎จัดทารายงานการใชใ๎ บเสร็จรบั เงิน ประจาปกี ารจัดทารายงานการใช๎ใบเสร็จรบั เงนิ ประจาปี เม่อื สิ้นปงี บประมาณอยํางชา๎ ไมํเกนิ วนั ที่ ๓๑ ตลุ าคม ของปงี บประมาณถดั ไป( ระเบียบระทรวงการคลงั วาํ ดว๎ ยการ เบกิ เงินจากคลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข๎อ ๗๕) 8. เงินนอกงบประมาณไมํไดน๎ าฝากคลังอยํางนอ๎ ยเดอื นละ ๑ คร้งั ใหน๎ าฝากคลงั อยํางนอ๎ ยเดือนละ ๑ ครั้งระเบียบระทรวงการคลงั วําดว๎ ยการเบกิ เงนิ จากคลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๑๐๐ (๕) 9. หลกั ฐานประกอบการเบกิ จํายเงินบางรายการไมํประทบั ตรา ขอ๎ ความ “จาํ ยเงินแล๎ว ” และลง ลายมือชื่อจาํ ยเงินด๎วยตวั บรรจงกากับ ไว๎ พรอ๎ มทั้ ง วัน /เดือน/ปี ที่จํายกากบั ไว๎ ในหลกั ฐานการจํ ายเงินทกุ ฉบบั ระเบยี บระทรวงการคลงั วาํ ด๎วยการเบิกเงนิ จากคลังฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข๎อ ๔๒ (๔) 10. การแตํงตงั้ ผป๎ู ฏบิ ตั ิหนา๎ ทีก่ รรมการเกบ็ รักษาเงินแทน จะแตงํ ตั้งไว๎เป็นการประจากไ็ ด๎ 11. การจาํ ยเงนิ ยืม (ระเบียบกระทรวงการคลังวําด๎วยการเบกิ เงินจากคลัง ฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๖๕ – ๖๘) -สญั ญาเงนิ ยมื สวํ นใหญํไมํระบุวันสงํ ใช๎เงินยืม -สํงใช๎คนื เงนิ ยืมลําชา๎ -ไมํออกใบรบั ใบสาคัญเมอื่ ผูย๎ มื สํงคืนเงินยืม -ยมื เงนิ ในโครงการมกี ารจัดซ้อื วัสดสุ นง. คําถํายเอกสาร คําจ๎างเหมาบริการ 12. การจาํ ยเงนิ คําสาธารณปู โภค เชํน คําประปา คาํ โทรศพั ท์ คาํ บริการไปรษณีย์โทรเลข คําบริการ สอื่ สารและโทรคมนาคม ไมจํ ํายเงินเขา๎ บัญชเี งินฝากธนาคารกับเจ๎าหนห้ี รอื ผ๎มู ีสิทธโิ ดยตรงระเบียบ สรปุ ผลการเรยี นร๎ูหลกั สูตรผ๎บู ริหารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รนํุ ที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 30
กระทรวงการคลังวําดว๎ ยการเบิกเงนิ จากคลัง ฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๒๙ (๑) 13. การเบิกจาํ ยน้ามนั เชื้อเพลิง ตรวจรับทุกครง้ั ที่มีการเตมิ นา้ มัน กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๔๖๒ ลง วนั ท่ี ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ยกเว๎นไมํตอ๎ งลง e-gp เบิกคําทพี่ กั ในการฝกึ อบรม ใช๎อตั ราเหมาจําย ระเบยี บ กระทรวงการคลงั วาํ ดว๎ ยคาํ ใช๎จาํ ยในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชมุ ระหวาํ งประเทศ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ และ กค ๐๔๐๖.๔/ ว ๕ ลงวนั ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ 14. การเดนิ ทางไปราชการโดยใชร๎ ถสํวนกลางไมรํ ะบุชื่อพนกั งานขับรถ หมายเลขทะเบยี นรถ และไมํได๎ ขออนุมตั เิ ดินทางไปราชการหรอื ไมํครอบคลุมวนั เดินทางพระราชกฤษฎีกาคาํ ใช๎จาํ ยเดินทางไปราชการ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๘ไมมํ ีการลงนาม ผร๎ู บั เงิน ผสู๎ งํ เงนิ และผต๎ู รวจสอบดา๎ นหลังใบเสรจ็ รบั เงนิ ฉบบั สดุ ท๎าย ระเบียบกระทรวงการคลงั วาํ ด๎วยการเบกิ เงินจากคลัง ฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๘๒ และ ๘๓ 15. เอกสารประกอบการเบกิ คําใช๎จาํ ยในการเดินทางไปราชการ ไมํครบถ๎วนถกู ตอ๎ ง 16. มีการเขยี นรายงานการเดนิ ทางไปราชการกอํ นเวลาการอบรมไมเํ หมาะสม ด้านบญั ชเี กณฑค์ งคา้ ง ๑. บนั ทกึ บญั ชีไมํถูกตอ๎ ง ๒. บนั ทกึ บญั ชีไมํเป็นปัจจบุ ัน ๓. จัดทาบญั ชไี มคํ รบถ๎วน เชํน ไมํบันทึกจํายเชค็ ๔. บนั ทกึ บญั ชโี ดยไมํมใี บสาคญั เอกสารเบิกจํายทเี่ กี่ยวข๎อง ๕. บันทึกรายการไมํตรงกบั หลักฐาน ๖. จดั ทารายงานการเงินสงํ ใหส๎ านกั งานการตรวจเงินแผนํ ดนิ ประจาปีภายใน ๖๐ วัน ประจาเดือน ภายในวนั ที่ ๑๕ ของเดือนถดั ไป (หนงั สือท่ี กค. ๐๔๒๓.๓/ว๓๐ ลงวนั ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) ๗. จัดทารายละเอยี ดประกอบรายงานการเงนิ ไมํครบถ๎วนหรือไมํถกู ตอ๎ ง ๘. ไมํจัดทารายงานเงนิ คงเหลือประจาวนั (ระเบยี บกระทรวงการคลงั วาํ ด๎วยการเบกิ เงินจากคลงั ฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ๎ ๙๒ ) ๙. การจดั ทางบพสิ ูจนย์ อดเงนิ ฝากธนาคาร ไมไํ ดจ๎ ัดทางบพสิ ูจนย์ อดเงินฝากธนาคาร จัดทาลาํ ชา๎ จดั ทาไมํถูกตอ๎ ง ด้านบัญชีGFMIS ๑. ไมมํ ีเอกสารระบตุ ัวตนการเขา๎ ใช๎งานระบบ GFMIS ๒. จัดทาคาสัง่ มอบหมายการปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่ีในระบบ GFMIS โดยแยกผูท๎ ่ปี ฏบิ ัติงานออกจากกันแตํไมํ ชดั เจน ๓. ขาดการตรวจสอบรายงานขอเบิกกบั รายงานสรปุ รายงานขอเบิกประจาวัน ๔. จากการตรวจสอบเอกสารจํายตรงผขู๎ ายไมมํ ใี บเสร็จรบั เงนิ แนบเปน็ หลกั ฐานการจาํ ย ๕. งบทดลองระบบ GFMIS ในภาพรวมของหนํวยงานแสดงข๎อมูลทางบัญชีไมถํ กู ต๎องตามดลุ บญั ชีปกติ ๖. งบทดลองในระบบบัญชีเกณฑค์ งค๎าง และบัญชใี นระบบ GFMIS มียอดคงเหลือไมตํ รงกนั ๗. ยอดเงนิ คงเหลือของบญั ชีเงินสดในมอื ตามงบทดลอง และรายงานเงนิ คงเหลอื ประจาวนั ไมตํ รงกัน ๘. ไมไํ ด๎ดาเนนิ การปรบั ปรุงข๎อมูลเงินงบประมาณและเงนิ นอกงบประมาณเข๎าระบบ GFMIS สรุปผลการเรียนร๎ูหลกั สตู รผบู๎ รหิ ารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 31
๙. งบทดลองของหนวํ ยงานมีบัญชพี กั สนิ ทรัพย์บางรายการคา๎ งในระบบ GFMIS ๑๐. ไมมํ ีการจัดพมิ พส์ รปุ รายงานบันทึกบัญชใี นระบบ GFMIS ด้านพัสดุ การบริหารพสั ดุ ๑) การจดั ทาทะเบยี นคุมพสั ดุ/การบนั ทึกรายการรับ -จําย พัสดุ ๒) การใหร๎ หสั ประจาตวั ครุภณั ฑ์ ๓) การจดั เก็บ ดูแล รักษา ๔) การใช๎ประโยชน์ ๕) การตรวจสอบพัสดุประจาปี การรายงาน ๖) พัสดชุ ารดุ เสอื่ มสภาพ สูญหาย การควบคุมทว่ั ไป 1. ไมํมีการมอบหมายหนา๎ ท่ีหัวหน๎าหนํวยพสั ดุเป็นลายลักษณ์อักษร 2. ทะเบยี นคมุ ทรัพยส์ นิ และบัญชวี สั ดไุ มไํ ดด๎ าเนินการตามระเบยี บที่กาหนด ไมเํ ปน็ ปัจจบุ ัน 3. ไมํไดท๎ าการจดั ซอ้ื จัดจ๎างในระบบ e-GPกรณจี ัดซอ้ื /จดั จา๎ งวงเงนิ ๕,๐๐๐ บาทขึน้ ไป ระเบยี บ กระทรวงการคลังวาํ ดว๎ ยการจัดซอื้ จัดจา๎ งและการบริหารพสั ดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๒๐๕ 4. สถานที่เกบ็ รกั ษาวัสดุไมปํ ลอดภยั /ไมํเป็นสัดสวํ น/การจาหนาํ ยพัสดุไมถํ ูกต๎อง ตามระเบยี บฯ 5. การจัดทาแผนจดั ซื้อยา การเพิม่ ลดจานวนยา ไมเํ ป็นไปตามแผนและไมมํ กี ารขออนมุ ัติปรับเพม่ิ ลด ทุกครง้ั 6. ไมํมีการจัดทาใบเบกิ พสั ดุ/ใบเบกิ พสั ดุระบรุ ายละเอียดไมํครบถ๎วน 7. รายงานผลการตรวจสอบพัสดุประจาปีลําช๎ากวําท่รี ะเบยี บกาหนด 8. ใบเบกิ วัสดุ ผูเ๎ บิกไมํใชํหัวหน๎ากลมุํ งาน/หัวหน๎าฝาุ ย และบางรายการไมํมีผล๎ู งนามอนุมัตกิ ารสง่ั จําย 9. ทะเบียนวสั ดุคงทนถาวร/ทะเบยี นครภุ ัณฑ์ กบั รายงานพสั ดคุ งเหลอื ประจาปี มรี ายการคลาดเคลอ่ื น กนั ไมตํ รงกนั ข้อสงั เกตจากการตรวจสอบการจดั ซอ้ื จดั จ้างวิธเี ฉพาะเจาะจง 1. จดั ทารายงานขอซื้อขอจ๎างไมเํ ป็นตามระเบียบฯ 2. ไมํจดั ทารายงานขอซอ้ื ขอจา๎ งระเบยี บกระทรวงการคลังวาํ ด๎วยการจดั ซ้อื จดั จา๎ งและการบริหารพัสดุ ภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ข๎อ ๒๒ 3. ใบส่งั ซ้ือส่งั จ๎างไมรํ ะบุวนั ครบกาหนด สงํ ผลใหก๎ ารคดิ คาํ ปรบั กรณีผูร๎ ับจา๎ งสงํ มอบพัสดไุ มตํ รงเวลา 4. กรรมการตรวจรับพสั ดุ/งาน ไมํรายงานการตรวจรบั และไมํเป็นไปตามระยะเวลาทรี่ ะเบยี บกาหนด * ผรู๎ บั จา๎ งต๎องมีหนังสือสงํ มอบงาน * ระยะเวลาในการตรวจรับพสั ดุ คณะกรรมการตรวจรบั พัสดุ ดาเนินการตรวจรบั ในวันทคี่ ํูสญั ญา นาพสั ดมุ าสงํ มอบและใหด๎ าเนนิ การให๎เสร็จส้นิ ไปโดยเรว็ ท่ีสดุ แตํอยํางชา๎ ไมเํ กิน ๕ วนั ทาการ นร ๑๓๐๕/ว ๕๘๕๕ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ และระเบยี บกระทรวงการคลังวําด๎วยการจัดซ้อื จดั จ๎างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๑๗๕ (๔) 5. แตํงตั้งหัวหนา๎ เจ๎าหนา๎ ทพ่ี ัสดุ เจ๎าหน๎าทพ่ี สั ดุ เปน็ กรรมการตรวจรบั 6. ดาเนินการจดั ซอ้ื ย๎อนหลัง (ซอื้ ของมากํอน แลว๎ ดาเนนิ การตามระเบียบพัสดยุ อ๎ นหลงั ) ระเบียบ กระทรวงการคลังวําดว๎ ยการจัดซ้ือจัดจา๎ งและการบริหารพสั ดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ข๎อ ๒๒ 7. ไมมํ ีการมอบหมายหรือแตงํ ต้งั ให๎มีผ๎จู ัดทาราํ งขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ สรปุ ผลการเรยี นรห๎ู ลักสูตรผบู๎ ริหารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รุนํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 32
ของพัสดุทีจ่ ะซ้ือหรือจ๎าง รวมท้งั กาหนดหลักเกณฑก์ ารพิจารณาคดั เลือกข๎อเสนอระเบียบกระทรวงการคลงั วาํ ด๎วย การจดั ซื้อจัดจ๎างและการบรหิ ารพสั ดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๒๑ 8. การแตํงตัง้ คณะกรรมการซ้อื หรอื จา๎ งแตํละคณะซ่ึงแตํงตง้ั จากขา๎ ราชการ ลกู จา๎ งประจา พนกั งาน ราชการพนักงานมหาวิทยาลัยพนักงานของรัฐ หรือพนักงานของหนํวยงานของรัฐที่เรียกช่อื อยํางอนื่ ไมคํ านึงถึง ลกั ษณะหน๎าท่ี และความรบั ผดิ ชอบของผ๎ทู ่ีไดร๎ ับแตํงต้ังเป็นสาคัญระเบียบกระทรวงการคลังวาํ ดว๎ ยการจัดซอื้ จดั จา๎ งและการบริหารพสั ดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๒๖ ข้อสังเกตจากการจดั ทาเอกสารเผยแพร่วธิ ีประกาศเชิญชวนทัว่ ไป (วธิ ปี ระกวดราคาอเิ ล็กทรอนิกส์) 1. การจัดทาแผนการจัดซ้อื จดั จา๎ งประจาปีไมํครอบคลุม รายการทจี่ ดั ซือ้ ทงั้ ปี เผยแพรํแผนฯ เพยี ง รายการที่จะดาเนินการในชวํ งเวลาใดเวลาหนงึ่ เทาํ นน้ั 2. แผนการจัดซ้ือจัดจ๎างประจาปี ไมรํ ะบุระยะเวลาท่ีคาดวํา จะจดั ซอ้ื จดั จา๎ ง 3. คณะกรรมการ/เจา๎ หน๎าที่ตรวจสอบคุณสมบัตไิ มํได๎ตรวจสอบคณุ สมบัติของผูเ๎ สนอราคาวาํ เปน็ ผู๎ เสนอราคาท่ีมผี ลประโยชนร์ วํ มกันหรือไมํ 4. ไมปํ ระกาศรายช่ือผู๎เสนอราคาหรือผ๎ูเสนองานที่มีสิทธิได๎รบั คัดเลือกไว๎ในที่เปดิ เผย ณ สถานทที่ า การของสวํ นราชการโดยพลนั ระเบียบกระทรวงการคลังวาํ ดว๎ ยการจดั ซื้อจดั จา๎ งและการบริหารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๕๕ 5. คณะกรรมการไมรํ ายงานผลการพิจารณาและความเห็นตอํ หวั หน๎าสํวนราชการ 6. สญั ญาจ๎างที่มวี งเงินจัดจา๎ งตง้ั แตํ ๒๐๐,๐๐๐.-บาทขนึ้ ไป 7. ไมใํ ช๎สลกั หลงั ตราสารแตํใชอ๎ ากรแสตมปแ์ ทน (พันละหนึ่งบาท)เอกสารสอบราคา/ประกวดราคา ทางอิเลก็ ทรอนิกส์ ระบหุ ลกั ประกันไมคํ รบ หลักประกนั สญั ญา ประกอบด๎วย - เงนิ สด - เชค็ ท่ีธนาคารเซน็ สงั่ จําย - หนงั สือค้าประกันของธนาคารภายในประเทศ - หนงั สอื คา้ ประกันของบรรษทั เงินทนุ อตุ สาหกรรมแหงํ ประเทศไทย - พันธบตั รรฐั บาลไทย 8. หลักประกนั ซองและหลักประกันสัญญาจานวนเงนิ ไมํถึงอัตราร๎อยละ ๕ ของวงเงินหรอื ราคาพสั ดทุ ่ี จัดหาครัง้ น้ัน 9. ไมสํ ํงสาเนาสญั ญาจา๎ งทีม่ ีวงเงินต้งั แตํ ๑,๐๐๐,๐๐๐.-บาทข้นึ ไป สงํ สานกั งานการตรวจเงนิ แผํนดิน หรือสานกั งานการตรวจเงนิ แผํนดนิ ภูมิภาคแล๎วแตํกรณี และกรมสรรพากร ภายใน ๓๐ วัน ระเบยี บ กระทรวงการคลงั วําดว๎ ยการจัดซ้อื จัดจ๎างและการบริหารพสั ดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๑๖๔, ๑๖๘ 10. เมอ่ื มกี ารจาหนาํ ยพัสดุแล๎ว เจ๎าหน๎าท่ีพัสดุไมํได๎จาหนํายพัสดุนนั้ ออกจากบัญชีหรือทะเบียนทนั ที และไมํได๎แจ๎งใหส๎ านักงานการตรวจเงนิ แผนํ หรือสานักงานการตรวจเงนิ แผนํ ดินภูมภิ าคแลว๎ แตํกรณที ราบภายใน ๓๐ วนั นบั แตวํ นั ลงจํายพสั ดุ ระเบียบกระทรวงการคลงั วําดว๎ ยการจัดซอ้ื จดั จา๎ งและการบริหารพสั ดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข๎อ ๒๑๘ 11. หลกั ประกันสัญญาเปน็ เงินสด และหนงั สอื คา้ ประกันสญั ญา ครบกาหนดแลว๎ แตยํ ังไมํได๎ดาเนินการ สํงคนื คสํู ญั ญา 12. ทะเบยี นคมุ หลกั ประกนั สัญญา มรี ายละเอียด ไมํครบถว๎ น ทาใหไ๎ มสํ ามารถทราบกาหนดการคืน สรปุ ผลการเรียนรู๎หลักสูตรผูบ๎ รหิ ารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รํนุ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 33
หลักประกันสญั ญาท่ีถูกตอ๎ งระเบยี บกระทรวงการคลังวาํ ด๎วยการจดั ซื้อจัดจ๎างและการบริหารพสั ดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ๎ ๑๗๐ (๒) การตรวจสอบพัสดปุ ระจาปี ๑. ตรวจสอบพัสดปุ ระจาปีลาํ ชา๎ หรอื ไมํไดร๎ ายงานผลตอํ ผู๎แตํงตง้ั ภายในระยะเวลาที่กาหนด ระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรวี ําดว๎ ยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และทแ่ี กไ๎ ขเพิ่มเติมข๎อ ๑๕๕ ๒. ไมไํ ด๎จัดทาทะเบยี นคุมทรพั ย์สิน หรือบญั ชคี ุมวัสดุการคานวณคาํ เส่ือมราคาประจาปีไมเํ ปน็ ไปตาม อัตราที่ สานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกาหนด กค (กวพ) ๐๔๐๘.๔/ว ๑๒๙ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๙ สธ ๐๒๐๑.๐๒๔.๖/ว ๖๘ ลงวันท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๕ ๓. ไมํสารวจและกาหนดเกณฑ์การใช๎นา้ มนั สิน้ เปลืองเช้ือเพลงิ ของรถราชการทกุ คัน ระเบียบสานัก นายกรฐั มนตรีวําด๎วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ขอ๎ ๑๐ ๔. การขออนุญาตเดินทางไปราชการโดยใชร๎ ถราชการไมบํ นั ทกึ ใบขออนญุ าตใช๎รถ (แบบ ๓) ๕. พนกั งานขบั รถไมบํ นั ทกึ การใชร๎ ถ (แบบ ๔) ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีวาํ ด๎วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ข๎อ ๑๓ และ ๑๔ ระเบยี บสานักนายกรัฐมนตรวี ่าด้วยรถราชการ พ.ศ.๒๕๒๓ ระเบยี บ สป. ว่าดว้ ยการใช้ รถส่วนกลางฯ พ.ศ.๒๕๒๖ ๑. การใช๎รถราชการ/การเก็บรักษา - ขออนมุ ตั ิใช๎ตามระเบยี บ/บันทกึ การใช๎รถฯ - ใชใ๎ นงานราชการเทาํ นั้น/ไมอํ อกนอกเส๎นทาง - เกบ็ สถานทร่ี าชการ/ท่อี น่ื ช่ัวคราว ขออนญุ าต ๒. กรณีรถราชการเกิดอบุ ัตเิ หตุ - ถํายภาพรถ/สถานท่ีเกดิ เหตุ - รายงาน ผบ. ระบบการควบคุมภายในตามหลักเกณฑ์ปฏิบตั ฯิ กระทรวงการคลงั พ.ศ. ๒๕๖๑ ความเส่ียงระบบการควบคุมภายในตามหลกั เกณฑ์ปฏบิ ัติฯ กระทรวงการคลงั พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑. การจัดทาระบบการควบคมุ ภายในไมํครอบคลุมกระบวนการปฏบิ ัติงาน/กิจกรรมในความรบั ผิดชอบ ของหนวํ ยงาน ๒. กาหนดกระบวนการปฏบิ ตั งิ าน/กจิ กรรม/โครงการไมํชัดเจนผลกระทบกบั ความเส่ยี งที่เหลอื อยํู และ วิธีการปรับปรงุ การควบคุมไมํสอดคล๎อง ไมชํ ดั เจน และไมํสัมพันธ์กัน ๓. จัดทารายงานระบบการควบคมุ ภายในไมํถูกต๎องตามรปู แบบทก่ี าหนด (ปค.๔, ปค.๕) ๔. คณะกรรมการระบบควบคุมภายในที่ไดร๎ บั แตงํ ต้งั ไมพํ ิจารณากล่ันกรองระดับความเสยี่ งของสํวนงาน ยํอย ซึ่งไมสํ ามารถแก๎ไขปรบั ปรงุ ได๎ภายในระดับสวํ นงานยํอยเพือ่ ยกระดบั เหนือชัน้ ข้นึ มาหนึ่งระดับ จดั สํงใน ภาพรวมของหนวํ ยงาน ๕. ผูบ๎ รหิ ารไมํให๎ความสาคัญเก่ียวกบั การจดั วางระบบควบคุมภายในและการบรหิ ารความเส่ยี ง -ผลกระทบหนวํ ยงานเกดิ ปญั หาร๎องเรยี นจากบุคคลภายใน และภายนอกหนวํ ยงาน (ประชาชน) -ขาดการควบคุม กากับ การปฏิบัตงิ านที่ดี สรปุ ผลการเรียนรูห๎ ลักสูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รนํุ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 34
สรุปภาพรวมการจดั วางและการประเมนิ ผลการควบคุมภายใน สรปุ ผลการเรียนรู๎หลกั สูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 35
สว่ นท่ี ๒ สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางแก้ไข ๓.๑ สาเหตุของความบกพร่องตา่ งๆ ๑. ระบบการควบคุมภายในของหนํวยงานไมํเหมาะสม ๒. เจา๎ หน๎าทีข่ าดความรบั ผดิ ชอบ ประมาทเลินเลอํ ไมเํ อาใจใสตํ ํอการปฏิบัติงานเทาํ ทีค่ วร ๓. เจ๎าหนา๎ ท่ีขาดความร๎ู ความเขา๎ ใจในระเบยี บ ข๎อบังคบั ตาํ งๆ ทเ่ี กี่ยวกบั งานที่จะปฏบิ ตั ิ ๔. ผบู๎ ริหารไมไํ ด๎กากบั ดูแลการปฏิบตั ิงานตามทคี่ วรจะเป็น ๕. การตัง้ ใจที่จะไมํปฏิบตั ิตามระเบยี บตํางๆ เพอ่ื ผลประโยชนต์ อํ ตนเองและพวกพอ๎ ง ๖. ความต๎องการอยากไดใ๎ นสง่ิ ท่ไี มใํ ชํของตน (ความโลภ/ความไมํร๎ูจักพอ) ๓.๒ ผลกระทบ ๑. ทางราชการเสยี หายจากขอ๎ บกพรํองตํางๆ และทจุ รติ * สูญเสยี เงนิ งบประมาณโดยไมจํ าเปน็ * ใชป๎ ระโยชน์จากพัสดไุ มํไดต๎ ามวตั ถปุ ระสงค์ ๒. ประชาชนได๎รับความเดอื ดร๎อนจากการกระทาของเจ๎าหน๎าที่ ของรฐั ๓. ประเทศชาติไมเํ จรญิ ๓.๓ “แนวทางแกไ้ ข” ๑. ให๎ความร๎ูดา๎ นกฎหมายและระเบยี บตาํ งๆ ๒. ผู๎บรหิ ารใหค๎ วามสาคัญกบั การควบคมุ /กากบั ดแู ลผู๎ใตบ๎ งั คบั บญั ชา ๓. จัดให๎มรี ะบบการควบคมุ ภายในท่ดี ี * การจดั แบํงสํวนงานทช่ี ัดเจน * มีการมอบหมายอานาจใหผ๎ รู๎ ับผดิ ชอบอยาํ งชัดเจน * มีบคุ ลากรท่ดี เี หมาะสมกบั งาน * มกี ารตรวจสอบภายใน สรปุ ผลการเรยี นรห๎ู ลักสูตรผู๎บรหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุนํ ที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 36
๔. การปลกู จิตสานึก ตวั อยา่ งการกระทาความผดิ ๑. ดา๎ นการเงิน - เบกิ จํายเงินเท็จ เชํน ทาเอกสารอบรม อสม.เทจ็ พาจนท.ไปเท่ียวตาํ งประเทศแตํทาเอกสารเบิก วําอบรมศกึ ษาดงู านท่ภี ายในประเทศ - ปลอมเอกสารเบกิ จาํ ย เชนํ ปลอมลายมือเบกิ เงนิ คําตอบแทน อสม. /คาํ ทาความสะอาดรพ.สต. - ยักยอกเงนิ จากใบถอนเงนิ /เชค็ /ใบเสรจ็ และอนื่ ๆ ๒. การจัดซ้อื /จัดจ๎าง -ตรวจรบั การจัดซื้อเท็จ -ซ้อื ยาและเคร่อื งมือแพทยแ์ พง -ซ้ือยาลม ๓. เบิกจาํ ยเงนิ โดยผิดกฎหมาย/ระเบียบ -เบกิ จํายคาํ ตอบแทนโดยทางานไมคํ รบ -เบิก OT เปน็ เทจ็ คณุ ธรรม/จรยิ ธรรม คุณธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี จรยิ ธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเปน็ ข๎อประพฤตปิ ฏิบตั ริ ัฐธรรมนญู แหํงราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ “มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของขา๎ ราชการหรือเจ๎าหนา๎ ทขี่ องรัฐ แตํละประเภทใหเ๎ ป็นไปตามประมวล จริยธรรมท่ีกาหนดขน้ึ ” ประมวลจริยธรรมขา๎ ราชการพลเรือน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมอื่ วนั ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ต๎องยึดมน่ั ในคํานิยมหลกั ของมาตรฐานจริยธรรม ๙ ประการ 1) การยึดมน่ั ในคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม 2) การมจี ติ สานกึ ทดี่ ี ซ่ือสัตย์ สจุ ริต และรับผิดชอบ 3) การยดึ ถอื ประโยชนข์ องประเทศชาตเิ หนอื กวําประโยชนส์ วํ นตนและไมมํ ีผลประโยชน์ทับซอ๎ น 4) การยืนหยดั ทาในสง่ิ ที่ถกู ตอ๎ ง 5) การใหบ๎ ริการแกปํ ระชาชนด๎วยความรวดเรว็ มอี ธั ยาศัยและไมเํ ลือกปฏบิ ัติ 6) การให๎ข๎อมูลขําวสารแกปํ ระชาชนอยาํ งครบถว๎ น ถูกต๎อง และไมบํ ดิ เบือนข๎อเท็จจริง 7) การมงุํ ผลสมั ฤทธ์ิของงาน รกั ษามาตรฐาน มีคณุ ภาพ โปรงํ ใสและตรวจสอบได๎ 8) การยึดม่นั ในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข 9) การยึดมน่ั ในหลกั จรรยาวชิ าชีพขององค์กร สรปุ ผลการเรียนรห๎ู ลักสูตรผูบ๎ รหิ ารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รนุํ ท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 37
หัวขอ้ หลุมพรางทางการบรหิ าร วันที่ 14 มถิ ุนายน 2564 เวลา 09.00-16.00 น. วิทยากร ดร.สชุ าติ คา๎ ทางชล รูปแบบการนาเสนอ การบรรยาย สรุปประเดน็ สาคญั หลมุ พรางทางการบริหาร เปน็ พฤตกิ รรมของการทางานของผ๎ูบรหิ ารทีไ่ มสํ มควร และไมถํ ูกตอ๎ ง ท่ีปฏิบตั ิ ตวั จนเคยชิน เกดิ จากความคิด ความร๎สู ึก ความเชอ่ื กิเลสตัณหา การควบคมุ อารมณ์ในดา๎ นตํางๆ โดยไมรํ ๎วู ําสง่ิ ที่ ทานนั้ ไมํถกู ตอ๎ ง หรอื รแ๎ู ตยํ ังมีพฤติกรรมดังกลาํ ว หลมุ พรางทเี่ กิดข้ึน ไดแ้ ก่ 1. หลมุ หลงตัวเอง เปน็ ผบู๎ ริหารท่ชี น่ื ชมตวั เอง โดยคดิ วําตวั เองเกํงและมคี วามสามารถกวาํ ใคร ยดึ ตดิ วาํ ตวั เองอาวุโส ไมํมีความมน่ั ใจและไมํไว๎ใจคนอ่นื หลกี เลยี่ งงานโดยอาศัยระบบ ชอบคนประจบสอพลอ 2. หลมุ ชัยชนะ เป็นผ๎ูบรหิ ารท่สี ร๎างผลงานมากเกนิ ไป ตอ๎ งเปน็ ผช๎ู นะตลอดทุกเรื่อง เป็นคนท่ีมี ความเครียดและอยใํู นภาวะกดดันรอบดา๎ น แพ๎ไมเํ ป็น โหมงานโดยไมรํ ู๎จกั เวลา 3. หลมุ ความคิด เปน็ ผู๎บริหารทมี่ องขา๎ มความบกพรอํ งของคนและงาน คิดบวกมากเกนิ ไป ไมมํ อง ข๎อผิดพลาดท่ีอาจจะเกดิ ขึ้นตามมา ผิดพลาดในเร่ืองการบริหารความเส่ียง หรอื คดิ ลบจนเกินไปไมศํ รัทธาใน ความคิด ไมํสูง๎ านทอ๎ ถอยเมอ่ื เจอปญั หา เฉ่อื ยชา หมดไฟ 4. หลมุ ความกลัว กลวั เกือบทุกเรื่องในการกระทา กลัวการขดั แยง๎ กับลกู น๎อง กลวั ถกู ตาหนิ ขาดความ ม่ันใจ ไมํกล๎าเสนองาน คิดวาํ เขามีอานาจมากกวํา หลงใหลนกั การเมอื ง ทาตามเพราะความกลวั ผิดๆ ถือแม๎วาํ มัน ไมํถกู ต๎อง ไมํกล๎าโตแ๎ ย๎ง ทั้งทีต่ วั เองกาลงั \"เสียเปรียบ” สํวนใหญํมกั จะปลํอย ให๎อีกฝาุ ยเป็น\"คนคมุ เกม\" 5. หลุมความเชอื่ ยึดตดิ รปู แบบ ทีเ่ คยทา ไมํเขา๎ ใจการนาไปใช๎จริง เปูาหมายไมํชัดเจน ไมํรสู๎ ิง่ ทีต่ อ๎ งการไปสํู เชํนวิสัยทศั น์ พนั ธกจิ เปาู หมาย หลงเช่อื ขอ๎ มูลมากมาย แตํขาดการประเมิน หลงเช่อื เทคโนโลยมี ากเกินไป หลงใหล Social หลงเช่ือกจิ กรรมมากมาย แตไํ มสํ ามารถเชอ่ื มโยงกบั ระบบงานได๎ จ๎องจะทาเพอื่ การแขงํ ขันเหอํ กจิ กรรมชํวงออกตัว ไมํจัดการปัญหาตอํ เน่ือง หลงการสือ่ สารที่ขาดประสทิ ธิภาพ ไมเํ ข๎าใจการบริหาร คน เงนิ เครื่องมอื เวลา 6. หลมุ กิเลส และคาํ นิยม ทุจริตเชงิ นโยบาย ตง้ั บริษทั ตนเอง พรรคพวก ฮว้ั ประมลู แพง ไมํมคี ณุ ภาพ ชาระเงนิ ช๎า มักจะนา \"เพอื่ นฝงู \" มา \"เก่ยี วขอ๎ ง\" กับธุรกิจเสมอโดยไมํคานึงถงึ ผลประโยชนท์ ่ีองคก์ รควรจะได๎รบั เชนํ การ \"จัดซอ้ื \"ข๎าวของภายในสานกั งานหลมุ อารมณ์ อคี ิว อคติ วาจาที่ไมรํ ะวัง พฤติกรรมลบ โวยวาย โมโหงําย ควบคุมอารมณไ์ ด๎ไมํดตี ่นื ตระหนก ทาใหใ๎ ช๎อารมณ์ มากกวําเหตุผลอาจสงํ ผลทาให๎ ขาดความ รอบคอบ และขาด ประสิทธภิ าพในการทางาน EQ ดไี มดํ ี มีสาเหตุเกดิ จา ก พันธกุ รรมและพื้นฐานทางอารมณส์ ภาพแวดลอ๎ มและการ เลยี้ งดไู อคิวคนมีไอควิ ดีอาจมีปัญหาชีวติ มากมายได๎ ไมํสามารถประกนั ไดว๎ าํ จะประสบความสาเร็จเสมอไป 7. หลมุ การพฒั นาคนประเมินผลจากกจิ กรรมไมํดผู ลลัพธก์ าหนดวัน กาหนดเงนิ กาหนดจานวนคน เป็นตัวตัง้ พัฒนาแตงํ าน แตํไมพํ ฒั นาการบริหาร หลกั สตู รไมตํ รงกับความต๎องการ ( Training need) เรียนแลว๎ ผาํ นเลยไปไมตํ ดิ ตามการประเมนิ ออนไลน์การสรปุ ผลการประเมินด๎วยอารมณส์ ํวนตนของลกู น๎อง สรปุ ผลการเรียนรู๎หลักสตู รผูบ๎ ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 38
การตะเกยี กตะกายข้นึ จากหลุม เพือ่ ใหพ้ น้ จากหลมุ พรางทางการบริหาร 1. ถํายโอนความกดดนั ความเครียดให๎ผ๎ูอื่นแทน อยํารับไวท๎ ั้งหมด 2. จดั เวทใี ห๎ลูกน๎องบ๎าง เพ่ือแสดงความเกงํ กระต๎ุนใหค๎ ิดวเิ คราะห์ หาคาตอบ 3. ยอมรับส่งิ ทีไ่ มรํ ๎ู เขา๎ ใจใหมวํ ําการท่ีตอ๎ งเกงํ กวาํ ลูกนอ๎ งไมจํ ริงเสมอไป 4. ไมเํ กงํ เกนิ หรอื ออํ นดอ๎ ยในเชิง รจ๎ู ริงในส่ิงทีต่ ๎องร๎ู บางเรอื่ งตอ๎ งยอมรบั วําไมรํ ๎ู 5. อยําแครส์ ายตาของคนอนื่ มาก ใชเ๎ วลาแตํละวนั ใหค๎ ๎ุมคาํ มองประโยชนข์ ององคก์ ร 6. ประเมินตัวเอง วําอะไรควรหยดุ อะไรควรไป 7. ให๎ความสาคัญกบั สถานภาพตนเอง ภาพภมู ใิ จในสงิ่ ที่ทา เมื่อเอาชนะได๎จะเหน็ คุณคํา 8. ทาให๎นายเห็นผลงาน ยอมรับเรา ทาให๎ลกู น๎องเตม็ ใจทา 9. ตงั้ คาถามวํา งานนใ้ี หป๎ ระโยชนอ์ ะไรกบั เรา มีคณุ คํากบั เราแคไํ หน ถา๎ ทาไปแล๎ว จะได๎ผลดอี ะไร 10. สนใจทางออกของปัญหา มากกวาํ ตวั ของปญั หา คดิ เอาชนะปัญหา เพ่ิมจดุ แข็งเพอ่ื ทาลายจุดอ่อน - ส่อื สารดี เคร่ืองมืออันทรงพลังในการทางานรวํ มกัน โดย อําน ฟงั พูด เขยี น ตอ๎ งเรยี นกนั ไมํร๎ูจบ - มหี ลักการ การมีหลกั การเพอื่ ทางานเป็นวิธีการของผู๎ทเ่ี จรญิ แล๎วโดย“หลกั ยึดที่เปน็ เหตเุ ปน็ ผลยอม เสียคนไมยํ อมเสียหลักการ” - ทางานไมพํ ลาด การคดิ วางแผนอยาํ งชาญ ฉลาดปอู งกนั ความผิดพลาดโดย “คร้ังแรกและทกุ ครั้งไมํ พลาด ถา๎ ทาอยํางฉลาดจะไมํพลาดเลย” ข้อคดิ ของการเป็นผบู้ รหิ าร - ไมตํ ดิ หลมํ ความเกงํ ไมํติดหลมํ ความดี ไมํติดหลมํ ความสาเรจ็ ในอดีต - เรยี นรูจ๎ ากอบุ ัตกิ ารณ์ทีเ่ กดิ ข้ึนแล๎วหาคาตอบท่ีดีใหก๎ ับตัวเองให๎ได๎ เพราะในโลกแหํงความเป็นจริงไมํ มที างทเี่ ราจะสามารถทาทุกสงิ่ ทุกอยํางใหส๎ าเรจ็ ราบรืน่ ไปได๎ทุกคร้งั - ทางานอยํางมีหลกั การ - เปลย่ี นจากสั่งการ เปน็ Inspire, Empower, Facilitate, Appreciate เปิดโอกาสให๎สมาชกิ องค์กร ไดเ๎ รยี นรู๎ สรุปผลการเรยี นรหู๎ ลักสูตรผบ๎ู ริหารการสาธารณสขุ ระดับกลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ท่ี 39
หวั ข้อ การสรา้ งเครอื ขา่ ยและการมสี ว่ นรว่ ม วันท่ี 15 มถิ นุ ายน 2564 เวลา 09.00-12.00 น. วิทยากร นายแพทยส์ มหมาย บญุ เกลี้ยง รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย สรุปประเดน็ สาคญั เลาํ ประสบการณ์การทางานต้งั แตปํ ี 2543 ถงึ ปัจจบุ ัน 6 ช่ัวโมงผํานระบบออนไลน์ โดยมีการเลาํ กระบวนการทางานแบบงาํ ยๆ ท่ีทกุ คนอาจไมเํ คยมอง มกี ารเสนอมมุ มองแบบเอาหน๎างานมาทาเปน็ นโยบาย และ ต๎องคดิ และต๎องทาเองใหเ๎ ขา๎ ดู มีความท๎าทายท่ีทุกคนคดิ วาํ เปน็ อุปสรรคแตํเรามองเปน็ โอกาส ตอ๎ งทาตวั นาํ รกั ทกุ คนคือคนสาคญั ขององคก์ ร ตอ๎ งบรหิ ารทกุ คนเหมือนลกู ต๎องมคี วามจรงิ ใจกบั ทุกคน และตอ๎ งมที ักษะการถาํ ยทอด ให๎กบั คนอนื่ ตอ๎ งใหเ๎ กยี รตทิ ุกวชิ าชีพ อกี หลากหลายเร่อื งราว สนุก สุข เศรา๎ หัวเราะ ท่มี งํุ ใหท๎ กุ คนคดิ ดีตอํ เพื่อน มนษุ ย์ โดยแบํงการบรรยายเปน็ ชวํ งเช๎า และบาํ ยดงั นี้ การสร๎างเครอื ขํายและการมีสํวนรํวมทดี่ ี จาเปน็ ต๎องเรม่ิ จากการสร๎าง Mindset รูจ๎ ักตัวเอง ตอบตัวเอง ไดว๎ ําเราเปน็ อยํางไร เปลยี่ นทัศนคตทิ ี่มีตอํ ตัวเองให๎ได๎ อยําคิดวําเราเปน็ คนทด่ี ีท่ีสดุ การมีการศึก ษาที่สูง การมี ฐานะทางสงั คมทีด่ ี ไมใํ ชกํ ารบอกวาํ เราคอื คนท่เี กํงท่สี ดุ เราตอ๎ งมีมมุ มองท่กี วา๎ งขนึ้ โลกน้มี ีคนที่เกงํ กวําเราได๎ใน หลายดา๎ น จงึ จาเปน็ ต๎องเปล่ยี นความคิดในการมองตนเองกํอนสิง่ ใด ควรมีการสร๎างงานแบบบูรณาการ ให๎หนวํ ยงานภายนอกเข๎ามามีสวํ นรวํ มในการทางานให๎ได๎ สง่ิ สาคัญ คอื การ Approach ให๎ถูกวธิ ี ตอ๎ งร๎ูจรงิ เขา๎ ใจ เขา๎ ถงึ กลมํุ ทีเ่ ราตอ๎ งการเข๎าถึง ปรบั มุมมองใหเ๎ ข๎ามาอยํใู นระดบั เดียว เรือ่ งเดียวกนั ใหไ๎ ด๎ เชํน กรณกี ารจัดบรกิ ารแบบเน๎นให๎มีการเขา๎ ถึงได๎สะดวกยิ่งขน้ึ ซง่ึ ต๎องออกแบบให๎ สอดคล๎องกับบุคคลและสถานการณ์ ตวั อยาํ งเชํน การบริการเจาะเลือดตรวจสุขภาพให๎ผว๎ู าํ ราชการจังหวดั ซ่งึ เปน็ บคุ คลทมี่ ีภารกจิ ในงานเยอะ การเขา๎ รับการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล จะมคี วามยุงํ ยาก หลายขัน้ ตอนมากกวาํ การออกบรกิ ารนอกโรงพยาบาล สง่ิ ท่ไี ด๎รบั จะเกิดผลท่ีดตี ํอองค์กร ตํอบุคลากรอกี มากมาย ควรคิดถึงความแตกตาํ งของบคุ คล เชํน ในเรื่องของความฉกุ เฉินของการเจ็บปุวย มมุ มองของผ๎ปู วุ ยกบั บคุ ลากรทางการแพทย์ยํอมแตกตาํ งกัน ท้งั น้เี พราะลกั ษณะพนื้ ฐานท่ีแตกตาํ งกัน Threshold ของบุคคลท่ีมีความ แตกตาํ งกัน เปลี่ยนทศั นคติ และมมุ มองในการทางาน สรา๎ งความคิดให๎เกดิ คณุ คาํ ในการทางาน เชํน การทางาน ประจาวัน อยาํ คิดถงึ จานวนผ๎ูรับบริการที่มารับบรกิ าร หรอื ภาระงาน แตใํ หค๎ ดิ วําจะทาอยาํ งไรทจ่ี ะใหบ๎ ริการท่ดี ี ท่สี ุดในผู๎รบั บริการแตลํ ะคนมากกวาํ อยําคดิ วาํ ทกุ อยาํ งเป็นภาระ แตใํ หร๎ ส๎ู กึ มคี วามสขุ กับการทางานหรือภาระงาน ท่ีมี ไมํทิ้งงาน แสดงน้าใจ เพื่อให๎เกิดดารยอมรับ ซ่ึงจะเป็นพ้นื ฐานการรํวมมือที่ดีในทกุ ๆดา๎ น มคี วามตงั้ ใจจรงิ ในการ ให๎ความชํวยเหลือ ใหค๎ วามสนใจ ใสํใจกบั ทุกปัญหา และความต๎องการ เลกิ การคดิ แบบ “ชํางมนั สิ” รักองค์กร พยายามให๎สิ่งดๆี เกดิ กับองค์กร เพอื่ ให๎เกดิ การยอมรับในระหวาํ งเครือขําย เครือขํายดี งาน สาเร็จเสมอ หลีกเลี่ยงการตดั สนิ การตาหนิเครือขําย ลดขั้นตอนการทางาน ลดความยํุงยาก ใหเ๎ กดิ ความสะดวกในการตดิ ตํอ หรอื ประสานงานตํางๆซง่ึ กัน และกัน ส่งิ เหลําน้เี ปน็ พ้ืนฐานสาคญั ของการสร๎างเครอื ขาํ ยทดี่ ี ได๎รับการยอมรบั การมีรอยย้ิมซ่งึ กันและกนั เปน็ ความสขุ ของการทางานรวํ มกัน สรุปผลการเรยี นรหู๎ ลกั สตู รผบู๎ ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 40
หัวขอ้ กระบวนการคดิ ในการตัดสินใจทางการบริหาร วนั ที่ 15 มถิ นุ ายน 2564 เวลา 13.00-16.00 น. วิทยากร นายแพทยส์ มหมาย บุญเกลยี้ ง รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย สรุปประเด็นสาคญั ในปัจจุบันการทางาน มักมํงุ ถงึ ตวั ชี้วดั เพอื่ ใหต๎ อบโจทย์ “เขา๎ ใจ เขา๎ ถึง พง่ึ ได๎” ซง่ึ ในความเป็นจริงไมไํ ด๎ เปน็ ไปเชนํ น้นั จงึ ตอ๎ งมีการปรับกระบวนการคิดให๎เกดิ ขน้ึ เพ่ือประกอบการคดิ ในการตัดสนิ ใจทางการบริหาร อยําคบคนเฉพาะกลุํม เราตอ๎ งคบใหไ๎ ดท๎ กุ คน ทกุ ระดบั เพราะแตํละคนมคี วามสาคัญแตกตํางกนั ไปตาม บทบาทหน๎าที่และความรับผดิ ชอบท่มี ี หลักการบริหารท่ดี ีต๎องท่ัวถึง ทุกระดบั เพอื่ ทาให๎ระบบอยไูํ ด๎ เชนํ แพทย์จะ ทาการรักาผปู๎ วุ ยจติ เวช ถ๎าไมมํ ีเวรเปลชํวยจบั ก็ไมสํ ามารถทจ่ี ะใหก๎ ารรกั ษาได๎ ผูบ๎ รหิ ารตอ๎ งคดิ ใหเ๎ ปน็ ให๎ครบ ให๎เฉียบ ทางานให๎เยอะ และตอ๎ งทาในส่งิ ท่ถี กู ต๎อง คิดหาวธิ ีที่ดีและ ถูกตอ๎ งเสมอ งานที่มคี ุณภาพต๎องให๎บคุ ลากรทป่ี ฏิบตั งิ านมคี วามรู๎ ทกั ษะท่แี มํนยา เชนํ การตรวจพัฒนการเด็ก จะตอ๎ งให๎บุคลากรผู๎ตรวจพัฒนาการมีวธิ ีตรวจท่ีถูกตอ๎ ง แปลผลทีถ่ ูกตอ๎ ง ไมใํ ห๎เกดิ การแปลผลผิดจากทักษะทีไ่ มดํ ี ของผต๎ู รวจ การบริหารบคุ ลากรในองคก์ รมีความสาคัญ ตอ๎ งให๎คนในองค์กรมคี วามสขุ ตามสทิ ธทิ ี่พึงไดร๎ ับ ต๎องไมํ เกลยี ดชังผ๎ูใตบ๎ ังคบั บัญชา ถงึ เราจะร๎ูสกึ วาํ ผใู๎ ต๎บงั คบั บญั ชาเกลยี ดเรา ตอ๎ งปรับความคดิ ดา๎ นการรัก การเกลียด ความชอบ ความไมชํ อบให๎ได๎ การเกิดเร่อื งรอ๎ งเรยี น หรือความผดิ พลาดใดๆ จาเปน็ ตอ๎ งรบี จัดการโดยเรว็ ลงมือแกไ๎ ขปญั หาโดยเรว็ ที่สุดเพ่อื ปกปอู งองคก์ ร ไมใํ ห๎เกดิ ความเสียหาย ต๎องมีวธิ กี ารจดั การใหเ๎ หตุการณส์ งบโดยเร็ว แม๎อาจตอ๎ งสญู เสีย บางสิ่งไปบ๎าง พึงระลึกเสมอวาํ คณุ คําของงานเราอยูํตรงไหน คอื อะไร การจะสร๎างคณุ คําให๎มากหรือน๎อย อยูํทต่ี วั เรา เปน็ สาคญั เชนํ คุณคําของงานบรกิ ารทางการแพทยท์ ีม่ ีมากกวาํ ส่ิงอน่ื คอื การรกั ษาชวี ิตให๎ได๎ การใหค๎ วามสาคัญกบั มมุ มอง ซึง่ อาจมไี มํเหมอื นกนั เราตอ๎ งยอมรับความแตกตําง เราต๎องทบทวนใหไ๎ ด๎ วาํ ตวั เรามองอยาํ งไร ตํางจากคนอื่นอยํางไร ต๎องมีความมํุงม่ันในการแกป๎ ญั หาให๎ประชาชน ผ๎บู ริหารท่ีดตี ๎องฉลาดในการแกป๎ ัญหา และกลา๎ ยืนยนั ใน สิ่งทถี่ กู ตอ๎ ง ต๎องไมํติดกรอบ ต๎องสู๎งาน และ Learning by doing เชนํ กรณกี ารสงํ ตํอระหวํางชายแดนไทย มาเลเซยี ท่ีทาสาเร็จ ต๎องเกิดจากการะบวนการคดิ การทาความเข๎าใจบรบิ ท วฒั นธรรมของพน้ื ท่ี การประสาน การลงมือทา และความตง้ั ใจจริงในการแก๎ปญั หา ควรคดิ วธิ ีทางานที่นอกกรอบ ทางานนอกเหนือจากตัวชวี้ ดั ซึ่งมีกถกู ตกี รอบจากการ “ผาํ น” หรอื “ไมํ ผาํ น” เพือ่ ใหเ๎ กิดความสอดคลอ๎ งกบั การแก๎ปญั หาในพื้นท่ี เชํน การมี อสม.พมาํ มถี งุ ยางอนามยั บริการในสถาน ประกอบการ ทุกอยํางเปน็ การปรบั กระบวนการคดิ เพื่อมํงุ ให๎ประชาชนมคี วามสขุ บคุ ลากรยม้ิ ได๎ “ ถ๎าเราไมเํ ข๎าใจ มนษุ ย์ จงอยาํ คิดเป็นผู๎บริหาร” สรุปผลการเรียนรห๎ู ลักสตู รผบ๎ู รหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รํุนท่ี 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 41
หวั ขอ้ ภาวะผู้นายคุ ใหม่กบั การบริหารการเปลีย่ นแปลง วันท่ี 16 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00-12.00 น. วทิ ยากร ผช๎ู ํวยศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ โยธาทิพย์ รูปแบบการนาเสนอ การบรรยาย สรปุ ประเด็นสาคญั ผู๎นายุคใหมแํ ละทักษะในการบรหิ ารงานในองค์กรในยุคปจั จุบนั ซึ่งเปน็ ยุคที่กลําวกันวาํ เป็นยุคแหงํ การ เปลีย่ นแปลงทุกๆ องคก์ รตอ๎ งเผชิญกับสภาวะการเปลีย่ นแปลง ทงั้ ในระดบั กลมุํ ระดบั องคก์ ร ระดบั ภูมิภาค ระดับประเทศ และระดบั สังคมโลก ท้ังในด๎านสภาพแวดล๎อม เศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง วฒั นธรรม คาํ นิยม ข๎อมลู ขาํ วสาร เทคโนโลยีและอื่นๆ ผลจากการเปลยี่ นแปลงตํางๆ เหลาํ น้ี สงํ ผลท้ังทางตรง และทางอ๎อมสาหรับประเทศ ไทย ที่ผํานมาเราได๎เผชิญกับสภาวะวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ อยํางรนุ แรงและยงั มีผลกระทบตอํ เน่ืองตามมาถึงปจั จบุ นั หาก มองในระดบั องค์กรทุกภาคสํวน ทัง้ ในภาครฐั ภาคเอกชน รฐั วิสาหกจิ และ และในทกุ ๆ ระดับมคี วามจาเปน็ อยําง ยิ่งทจ่ี ะตอ๎ งมีการวเิ คราะหอ์ งค์กร ตลอดจนวิเคราะหห์ รือหาจดุ เดํน จดุ ดอ๎ ย โอกาส และอปุ สรรคปญั หากับคูํแขํง ขันขององค์กรตํางๆ ซง่ึ ในความเป็นภาวะผ๎ูนายุคใหมํเปน็ หน๎าทีห่ น่ึงในหลายๆ หน๎าท่ขี องผูบ๎ รหิ าร ซึง่ ภาวะความ เปน็ ผนู๎ าหรอื ผบู๎ รหิ ารจงึ แตกตํางกันกลําวคอื ผ๎บู รหิ ารเปน็ ตาแหนงํ ท่กี าหนดขึ้นในองคก์ ร มอี านาจโดยตาแหนํง และไดร๎ ับความคาดหวงั ในหน๎าท่ีเฉพาะเจาะจง จะมุํงเนน๎ ทกี่ ารควบคมุ การตดั สนิ ใจ และผบ๎ู รหิ ารจะตอ๎ งมี ลักษณะของผูน๎ าองค์กร สํวนภาวะผู๎นายุคใหมํนัน้ จะไดร๎ ับมอบอานาจทางสายงานแตํมอี านาจโดยวธิ อี ื่นๆ มี บทบาทที่กว๎างกวาํ บทบาทผบ๎ู ริหาร ภาวะผน๎ู ายุคใหมํจะเนน๎ ท่กี ระบวนการการมสี วํ นสํวนของกลํุม การรวบรวม ข๎อมูล ขําวสาร การให๎ขอ๎ มลู ยอ๎ นกลบั และการใช๎อานาจกบั บคุ คลอนื่ ๆ ดังน้นั ภาวะผนู๎ าคอื ศาสตร์และศิลป์ในการ บรหิ ารงานของผน๎ู าและผู๎บริหาร จงึ เป็นปัจจัยสาคญั ตํอความสาเร็จขององคก์ ร งานจะดาเนนิ ไปดว๎ ยดแี ละบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ยํอมขึ้นอยกูํ บั ทกั ษะการบรหิ ารงานในองคก์ รทงั้ ภาครฐั ภาคเอกชน รัฐวิสาหกจิ และองค์กรอื่นๆ ท่ี สามารถพฒั นาได๎อยํางตํอยอดเพ่ือมํุงสูํความสาเรจ็ ความสาคัญของภาวะผนู๎ ายคุ ใหมกํ บั ทกั ษะในการบริหารงานในองค์กร และมคี วามเรงํ ดํวนในการท่ี จะตอ๎ งปรับเปลี่ยนหรอื เปล่ียนแปลงตนเอง และเพ่ือใหต๎ ระหนกั ถงึ ภาวะผ๎ูนายุคใหมํ และทักษะในการบรหิ ารงาน ในองค์กร รวมถึงการบริหารจดั การยคุ ใหมํ ทกุ วันนม้ี กี ารเปลยี่ นแปลงไปมาก ธรุ กิจก็ยอํ มจะเยอะขน้ึ ผู๎บริหารตําง กม็ เี ทคนคิ ในการบรหิ ารงานทเ่ี กงํ ดูทนั สมยั ขึน้ และเมอื่ ให๎งานเป็นไปอยาํ งมปี ระสิทธิภาพ และประสิทธผิ ลย่ิงขึน้ ซง่ึ เปน็ จดุ ประกายกอํ ให๎เกิดการประสบความสาเร็จในทกุ ๆด๎านในการบริหารองค์กร สรุปไดว๎ าํ ภาวะผู๎นายุคใหมํกับทกั ษะในการบริหารงานในองค์กรน้นั ทักษะผน๎ู าท่ดี ี เกํงคน เกํงงาน มี ความก๎าวหน๎าในอาชพี นกั บริหารถงึ แมว๎ าํ การไดร๎ บั หรอื ได๎เล่อื นตาแหนํงใหผ๎ น๎ู าน้นั เปน็ เร่อื งยาก แตํส่ิงทย่ี ากกวํา คอื การเปน็ ผน๎ู าทม่ี ี ทกั ษะผนู๎ า เพ่ือทาตัวเองกลายเปน็ ผ๎นู าท่ดี ี ซึ่งจะต๎อง เกงํ คน เกํงงาน และสามารถสรา๎ งความ เจริญกา๎ วหน๎าในอาชพี นักบรหิ ารได๎ ปกตผิ ูน๎ าจะตอ๎ งมีความสามารถมากกวําผต๎ู ามเสมอ ถึงจะได๎รับการยอมรบั และได๎รบั ความศรัทธาจากผ๎ตู าม ดงั นน้ั ผน๎ู าท่ีดคี วรพฒั นาตนเองอยํางตอํ เนอ่ื ง หมน่ั ศกึ ษาหาความรู๎ใหมํๆ รวมท้ังปรับปรุงภาวะความเป็นผูน๎ าให๎ดยี งิ่ ขึน้ ทกั ษะผู๎นาที่ดตี อ๎ งสามารถโน๎มนา๎ วผ๎ูตาม ใหล๎ งมอื ทางานจน บรรลผุ ลสาเร็จได๎ตามเปาู หมาย ท่ไี ด๎ตกลงรวํ มกันดว๎ ยความเตม็ ใจ ซ่ึงอาศัยเทคนคิ การมีสํวนรํวมของคนในองค์กร เปน็ สาคญั สรุปผลการเรียนรู๎หลักสูตรผู๎บริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รนํุ ท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 42
หวั ขอ้ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั และนวัตกรรม วันท่ี 16 มิถุนายน2564 เวลา 13.00-16.00 น. วทิ ยากร เภสัชกรไพสฐิ จิรรตั นโสภา รูปแบบการนาเสนอ การบรรยาย รํวมกบั เรอื่ งเลําประกอบ และการมสี วํ นรวํ มในชนั้ เรยี น สรุปประเด็นสาคญั Health 4.0 หมายถึง การปฏริ ูประบบการดูแลสขุ ภาพไปสูํ ยุคใหมํ โดยเปน็ องค์ประกอบทสี่ าคญั สวํ น หนึ่งของบริบท Thailand 4.0 การปฏริ ปู ระบบการดูแลสุขภาพในยคุ ใหมนํ ี้ จะดาเนนิ การเปลีย่ นแปลงระบบเดิม (แบบ Analog) ให๎เป็นระบบใหมํ (แบบ Digital) โดยใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศเปน็ เครือ่ ง มอื หลักในการปฏริ ปู ระบบ เนื่องจากเทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ๎ ข๎ามาเป็นสวํ นหนงึ่ ใน การใชช๎ วี ิตของประชาชนสวํ นใหญํ ทง้ั ในเร่อื ง การทางาน การจดั การกิจวตั รประจาวัน จนถงึ การพักผอํ นหยํอนใจ การใ ช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศชวํ ยการดูแลสขุ ภาพของประชาชน จะทาให๎เกดิ ผลลัพธ์ทก่ี ว๎างขวาง มีผลตํอประชาชนสวํ นใหญํ ในระดับสูงอยาํ งที่ไมํเคยเป็นมา กํอน หนวํ ยงานตาํ งๆ ท่มี ีบทบาทในการจัดระบบดแู ลสขุ ภาพ เชํน กระทรวงสาธารณสุ ขจงึ ควรให๎ ความสาคญั ทาง ความเขา๎ ใจการปฏริ ปู ระบบในภาพรวม ท้งั หมดแลว๎ กาหนดยทุ ธศาสตร์หลกั เพือ่ ขับเ คล่อื น การปฏริ ปู ไปสํู Health 4.0 อยํางม่ันคง และยงั่ ยนื ตํอไป ประโยชน์ eHealth 1) ชํวยใหผ๎ ปู๎ ุวยเข๎าถงึ ระบบบรกิ ารสุขภาพได๎สะดวกรวดเรว็ 2) ขอ๎ มูลสขุ ภาพขอ๎ มลู การรักษามีประสิทธภิ าพมากยิง่ ขึน้ สามารถบนั ทึกและสํงตํอขอ๎ มลู ได๎อยําง มีคณุ ภาพ 3) ทาให๎ผูป๎ ุวยสามารถไดร๎ ับการให๎คาปรึกษาผําน Video conference หรอื Telehealth และ ตดิ ตามอาการใน 24 ชม. 4) ชํวยใหป๎ ระชาชนสามารถจัดการสขุ ภาพของตัวเอง สามารถเข๎าถงึ คาแนะนา และขอ๎ มูลสขุ ภาพ PLATFORM REVOLUTION Uber : เป็นบริษทั แทก็ ซที่ ่ใี หญทํ ่ีสุดในโลก แตไํ มมํ ีแทก็ ซเี่ ป็นของตนเอง Facebook : เป็นบริษัทดานมเี ดยี ท่ีมีคนใช๎มากทส่ี ุดในโลก แตํไมํมีการผลติ เนื้อหา(Content) เป็นของ ตนเอง Alibaba : เป็นบริษัททีม่ ีมูลคําสงู สุ ดในโลก แตํไมตํ อ๎ งมีสินค๎าคงคลงั เปน็ ของตนเอง Airbnb : เปน็ บริษัทจดั หาห๎องพกั ทใี่ หญทํ ีส่ ุดในโลก แตไํ มตํ อ๎ งมีอสงั หาริมทรพั ยเ์ ปน็ ของตนเองเลย เทคโนโลยีทเ่ี ป็นกลไกขับเคล่อื น Health 4.0 เทคโนโลยที ่ีจะเปน็ กลไกหลกั ในการขับเคลอื่ นให๎เกดิ Health 4.0 ประกอบดว๎ ยเทคโนโลยีสาคัญที่ เปน็ หลัก 6 ประการ ดงั ตํอไปนี้ 1) Social Webs and Network เปน็ เทคโนโลยสี ารสนเทศ 2) ท่ีออกแบบมาให๎สามารถเช่อื มโยงและติดตํอกนั ได๎ เราจะได๎เห็นการใช๎ LINE, Facebook, YouTube ฯลฯ ในการเชือ่ มโยงการส่ือสารเพอ่ื ดูแลรกั ษา ระหวํางประชาชนดว๎ ยกันเอง ประชาชนกบั แพทยล์ ด คาํ ใชจ๎ าํ ยในระบบการดูแลสขุ ภาพไดม๎ ากข้นึ 3) Mobile Application เป็นการใชอ๎ ปุ กรณพ์ กพาติดตวั ในการติดตอํ สื่อสาร คน๎ หาข๎อมูล สํงภาพ สรปุ ผลการเรียนร๎หู ลักสตู รผบ๎ู ริหารการสาธารณสุขระดับกลาง (ผบก.) รนุํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 43
เสียง ภาพเคลอ่ื นไหว ให๎ถึงตัวบคุ คลในเวลาอันรวดเร็ว โดยการพฒั นา Application ที่สนับสนุ น การดแู ล สุขภาพ และการเสรมิ ประสทิ ธภิ าพการใหบรกิ ารของหนวํ ยบรกิ าร สุขภาพตํางๆ 4) Internet of Things ทุกส่งิ เชือ่ มโยงกับอินเทอร์เน็ต เพ่อื ให๎สงํ สญั ญานแกํระบบหรอื ผท๎ู เ่ี ก่ียวขอ๎ ง ผํานทางอินเทอรเ์ น็ตได๎ 5) Big Data and Health Analytics เทคโนโลยกี ารจดั เกบ็ ข๎อมลู จานวนมหาศาลไวไ๎ ดท๎ ้งั หมดโดยมี คําใช๎จํายไมมํ าก ขอ๎ มูลสุขภาพของประชาชนไทยทกุ คนจะถูกจดั เก็บ ไว๎ในระบบ Cloud Computing ไดต๎ ง้ั แตํ แรกเกดิ จนถึงวนั ตาย แพทยท์ รี่ กั ษาผูป๎ วุ ยจะไมตํ ๎องเสียเวลา ซกั ถามเร่อื งราวในอดตี จากตัวผป๎ู ุวย แตจํ ะ สามารถ เรยี กข๎อมูลจากระบบมาใชป๎ ระกอบการวินิจฉยั โรค และการรักษาไดเ๎ ลย กบั โรคท่ีผป๎ู วุ ยเปน็ และ เหมาะสมกับลกั ษณะของ ผูป๎ ุวยแตลํ ะคนได๎ 6) Robotics วทิ ยาการหนํุ ยนตม์ ีการพฒั นามาจนถึงขนั้ ใช๎งานจรงิ เพอ่ื ชํวยดูแลสขุ ภาพไดห๎ ลายด๎านใน โรงพยาบาล แพทยส์ ามารถทาการผาํ ตัดไดโ๎ ดยการ เจาะรเู ล็กๆเข๎าไปในรํางกายผป๎ู วุ ยแล๎ว ขยายภาพอวยั วะ ภายในใหเ๎ หน็ บนหนา๎ จอจากน้นั แพทยส์ ามารถ บงั คบั แขนกลหรอื เครื่องมือผาํ ตัดให๎ดาเนินการตามข้นั ตอนการ ผาํ ตดั ได๎อยํางแมํนยา ถูกตาแหนํง ได๎มากข้ึนลดความผิด พลาดและชํวยใหผ๎ ู๎ปุวยออกจาก โรงพยาบาลได๎ไวขนึ้ ใน บา๎ นทมี่ ผี ๎ูปวุ ยทีต่ อ๎ งการการ ดูแลเปน็ พเิ ศษ อาจใช๎หํนุ ยนต์ชํวยเตือนใหก๎ ินยา ตรวจจับการผิดปกต่ิ และยงั สามารถ สงํ สัญญานตดิ ตํอสอื่ สารขอความชํวยเหลอื จาก ห๎องฉุกเฉนิ ของโรงพยาบาลได๎ด๎วย 7) Artificial Intelligences ปญั ญาประดษิ ฐ์ เป็นเทคโนโลยีทสี่ ามารถทาใหเ๎ กดิ ระบบอตั โนมัตทิ ่ชี วํ ย ดแู ลสขุ ภาพประชาชนได๎โดยพฒั นา แบบ mobile application ใหผ๎ ๎ูใชส๎ ามารถสงํ ข๎อมูลใหร๎ ะบบ ชํวยวเิ คราะห์ และใหค๎ าแนะนาได๎ เชนํ ให๎ผ๎ูใชป๎ ูอนอาการงํายๆแล๎วจํายยาตามการวเิ คราะหเ์ บ้ืองต๎น แนวโนม๎ เทคโนโลยีสาคญั สาหรบั รัฐบาลดิจทิ ลั Data Mining การวิเคราะห์ขอ๎ มลู จากข๎อมลู จานวนมาก ( big data) เพ่ือหาความสัมพนั ธข์ องข๎อมลู ท่ีซํอนอยูํ โดยทา การจาแนก ประเภท รูปแบบ เช่อื มโยงขอ๎ มูลทีม่ ีความสมั พนั ธ์กนั และหาความนําจะเป็นทจ่ี ะเกิดข้นึ เพ่ือใหไ๎ ดอ๎ งค์ ความรู๎ใหมํ ท่ีสามารถนาไปใชป๎ ระกอบการตดั สินใจในดา๎ นตาํ งๆ สรุปผลการเรยี นร๎หู ลกั สตู รผู๎บรหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุนํ ที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าท่ี 44
หัวขอ้ การบรหิ ารความขดั แย้ง วันที่ 18 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00-12.00 น. วิทยากร นายแพทยธ์ ิติพันธ์ ธานรี ัตน์ รปู แบบการนาเสนอ การบรรยาย รวํ มกบั เรอื่ งเลําประกอบ และการมสี ํวนรํวมในชั้นเรยี น สรปุ ประเดน็ สาคัญ What is the Effective Leaders What is a Conflict? ความขัดแย๎ง (Conflict) หมายถึง สถานการณ์ที่ 2 ฝาุ ย (ขึน้ ไป) มคี วามคิดเห็นทแ่ี ตกตํางกันและยังไมํ สามารถหาข๎อสรปุ ได๎ VUCA World Compare with Conflict Thought แนวคิดเดิม 1. ความขดั แยง๎ เปน็ สงิ่ ที่ไมคํ วรหลีกเลยี่ ง 2. ความขดั แย๎งเกิดจากความผดิ พลาดของการบริหารงานและการสื่อสาร 3. ความขดั แย๎งทาลายความสามัคคขี องกลุํม และเกิดผลเสียตอํ การปฏิบตั ิงานขององคก์ ร ดงั นั้นไมํควร สรปุ ผลการเรยี นรูห๎ ลักสูตรผ๎บู รหิ ารการสาธารณสขุ ระดบั กลาง (ผบก.) รุํนที่ 34 ประจาปงี บประมาณ 2564 หน๎าที่ 45
มคี วามขดั แย๎ง 4. ภารกิจของผูบ๎ รหิ าร คอื การขจัดความขดั แยง๎ แนวคดิ ปัจจุบัน 1. ความขัดแยง๎ เป็นสง่ิ ที่เกดิ ขึน้ ตามธรรมชาติ และหลกี เลย่ี งไมไํ ด๎ 2. ความขดั แย๎งเกิดจากหลายสาเหตุ เชํน โครงสรา๎ ง, ทรพั ยากร, เปูาหมาย, คํานยิ ม และอน่ื ๆ 3. ความขัดแย๎งมที งั้ ประโยชนแ์ ละโทษ ขึน้ อยูํกบั การบรหิ ารความขดั แยง๎ ใหอ๎ ยูํในระดบั ทเ่ี หมาะสม จะ ชวํ ยใหผ๎ ลการปฏบิ ัติงานสงู และมีประสิทธิภาพ 4. ภารกิจของผบ๎ู ริหาร คอื การบรหิ าร และจัดการความขัดแยง๎ เพ่ือให๎เกิดผลดีตอํ การปฏบิ ตั งิ าน Signs of Conflicts 1. มกี ารแบํงฝักแบงํ ฝาุ ยอยํางชดั เจน 2. การประสานงานระหวาํ งหนํวยงานลาํ ชา๎ 3. มลี ักษณะการโยนความผดิ ซง่ึ กนั และกัน 4. มกี ารโต๎เถียงดว๎ ยอารมณห์ รอื ทะเลาะวิวาทอยํูบอํ ยครัง้ 5. มี turnover rate สงู โดยไมํมเี หตุผลท่เี หมาะสม 6. ผลลพั ธ์ขององค์กรและสัมพันธภาพในองคก์ รลดนอ๎ ยลง Leaderships VS Conflicts “ ผู๎บริหารท่ดี ตี อ๎ งสามารถบรหิ ารจดั การความขดั แย๎ง ภายใตท๎ รพั ยากรท่มี อี ยาํ งจากดั ไดอ๎ ยําง ประสิทธภิ าพ ” Steps of Conflict Management 1. ระบปุ ญั หาความขดั แยง๎ 2. สอ่ื สารทวั่ ถึง 3. เจรจาหาทางออก 4. ปฏบิ ตั ิตามข๎อตกลง 5. ติดตามผล Results of Conflict Management Domination ใช๎อานาจในการจดั การแตํละฝาุ ย ได๎ผล แพ๎-ชนะ Compromising Solution ไมมํ ีฝุายใดไดท๎ ัง้ หมด ตํางฝุายตาํ งได๎แคํบางสวํ น Integrated Solution เน๎นความพอใจของท้ังสองฝุาย ไมมํ กี ารแพ๎-ชนะ ไมตํ อ๎ งเสยี บางสํวน Types of Conflict Management Forcing 1. ผู๎บริหารใช๎อานาจในการบรหิ ารจดั การ 2. เนน๎ เปูาหมายมากกวาํ การรกั ษาสัมพนั ธภาพ 3. ใช๎กบั ปัญหาทเ่ี รํงดํวนและผูบ๎ ริหารมีอานาจเตม็ ที่ 4. ผล : แพ-๎ ชนะ และอาจสรา๎ งปญั หาอีกในภายหลงั Avoiding 1. ใชว๎ ธิ หี ลีกเล่ียง ไมํเผชญิ กบั คูกํ รณี 2. ใชก๎ ับปญั หาท่ีไมํสาคญั หรือเวลาขณะนนั้ ยงั ไมํเหมาะท่จี ะดาเนนิ การ 3. ผล : แพ-๎ ชนะ ตามกลไกของความขดั แยง๎ และอาจสรา๎ งปญั หาอีกในภายหลัง สรปุ ผลการเรยี นร๎หู ลกั สตู รผบ๎ู ริหารการสาธารณสุขระดบั กลาง (ผบก.) รนุํ ท่ี 34 ประจาปีงบประมาณ 2564 หนา๎ ที่ 46
Search