จิตวิทยาสำหรับครู
บทที่1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาสำหรับครู
ความหมายของจิตวิทยา จิตวิทยาสำหรับครูเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อให้ผู้สอนมีความรู้ความ เข้าใจความแตกต่างและความต้องการของผู้เรียนในอันที่จะ สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไปสู่ในทางอันพึง ประสงค์ได้โดยผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจ
จุดมุ่งหมายของจิตวิทยาสำหรครู การให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้งด้านทฤษฎีหลักการและสาระ อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพื่อให้ครูสามารถนำ เทคนิคและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอนการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน ตลอดจนสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับครู ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน วันทนียตระกูล จะเห็นว่าการเป็นครูที่ดีนั้นจะต้องเป็นด้วยจิตวิญญาณมี ความเข้าใจหลักการสอนกระบวนการสอนตามหลักวิชาการ และยังไม่พอครูจะต้องรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเพราะครูทุกคนมี วิถีชีวิตอยู่กับคนแทบจะตลอดเวลาจึงจำเป็นจะต้องรู้ชีวิต จิตใจของมนุษย์ว่าเขาเหล่านั้นมีความต้องการอะไร
ประโยชน์ของจิตวิทยาสำหรับครู 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการ 2.ช่วสยอใหน้คไดรู้สอาย่มาางเรหถมเตาระียสมมบแทลเะรีสยอนดวคิธลี้ส อองนกับจัธดรกริจมกชร ารตมิ คตวลาอมดตจ้อนงใกช้าวริธคีกวาารมวัสดนใจของเด็กแต่ละวัย และประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของ ความเข้าใจการให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน
ขอบข่ายของจิตวิทยาสำหรับครู 1 จิตวิทยาทั่วไป ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น 2.จิตวิทยาพัฒนาการ ศึกษาเกี่ยวกับลำดับขั้นตอนของพัฒนาการเจริญเติบโต ในแต่ละวัยต่างๆของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา 3.จิตวิทยาสังคม ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มสังคม 4.จิตวิทยาการทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทและพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนว นักจิตวิทยาแนะแนวทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้แนวทาง และให้คำปรึกษา 6.จิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาคลิ นิกทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต 7.จิตวิทยาประยุกต์ เป็นการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประโยชน์ ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การแพทย์ การทหาร เป็นต้น 8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงาน 9.จิตวิทยาการศึกษา ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน 10.จิตวิทยาการทดลอง มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และสัตว์ทั้ง ในสภาพแวดล้อมทั่วไปและในห้องปฏิบัติการ
บทที่ 2 ปัจจัยมนุษย์ที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์
ความหมายของพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรม คือ กริยาอาการที่แสดงออกถึงปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อเผชิญ กับสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ต่างๆอาการแสดงออกต่างๆ เหล่านั้น อาจ เป็นการเคลื่อนไหวที่สังเกตได้หรือวัดได้ เช่น การเดินการพูด การ เขียน การคิด การเต้นของหัวใจ เป็นต้น ส่วนสิ่งเร้าที่มากระทบแล้ว ก่อให้เกิดพฤติกรรมก็อาจจะเป็นสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอก
พฤติกรรมมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1.พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน ได้แก่ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ(Reflect Action) เช่น การกระพริบตา และ สัญชาตญาณ เช่น ความกลัว การเอาตัวรอด เป็นต้น 2.พฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิดจากการที่บุคคล ติดต่อสังสรรค์และมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้เหมาะ สมกับสิ่งแวดล้อมแบ่งออกไดเป็น 4 ลักษณะ 1.การปรับเปลี่ยนทางด้านของสรีระร่างกาย เช่นการปรับปรุงบุคลิกภาพ การแต่งกาย การพูด 2.การปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ให้มีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น ปรับอารมณ์ความรู้สึกให้สอดคล้องกับบุคคลอื่น รู้จักการยอมรับผิด 3.ด้านปรับเปลี่ยนทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้มีความรู้ที่ทันสมัย ทัน เหตุการณ์ และมีความคิดเห็นคล้อยตามข้อคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ 4.การปรับเปลี่ยนอุดมคติ หมายถึง การสามารถปรับเปลี่ยนหลักการ แนวทางบางส่วนบาง ตอนเพื่อให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ โดยพิจารณาจากความจำเป็น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อสวัสดิภาพของตนเองและของกลุ่ม
ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ 1.ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ (Individual Differences) 2.ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ (Hereditary & Environment ) 3.พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม (Body Types) 3.ลักษณะรูปร่าง (Birth Orders) 4.การแสดงออก(Expression) 5.ความเข้าใจมนุษย์ตามหลักพระพุทธศาสนา
ความแตกต่างระหว่างบุคคล ทางกาย (Physical) รูปร่างที่เห็นภายนอก หน้าตา ท่าทาง โครง กระดูก ผิว ผม กล้ามเนื้อ เป็นต้น ทางอารมณ์ (Emotion) การแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ดีใจ เสียใจ โกรธ อิจฉา ก้าวร้าว ขบขันเป็นต้น ทางสติปัญญา (Intelligence) ความคิด หรือความสามารถในการ แก้ปัญหา ไอคิวสูง ไอคิวต่ำ เป็นต้น ทางสังคม (Social) ความสามารถในการแสดงออกในหมู่คน หรือ ระหว่างคน การเข้าสังคม การพูดคุยเป็นต้น
การพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ การพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 6 ประการคือ 1.การเรียนรู้ (Learning) 2.ค่านิยม (Value) 3.บรรทัดฐานของสังคม (Norms) 4.ทัศนคติ (Attitude) 5.ความเชื่อ (Belief) 6.การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Intersection
สรุป พฤติกรรมของมนุษย์มาจากแหล่งกำเนิดจากภายในและภายนอก การที่คนเราจะทำความดีหรือไม่ดี มาก น้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุทั้งภายนอกและภายในตัวบุคคล สาเหตุภายในคือ ลักษณะจิตต่างๆ เช่น การไม่เห็นแก่ตัว คิดเห็นแต่ส่วนรวม การมุ่งอนาคตและความสามารถในการควบคุมตนเอง ความเชื่อที่ว่า ทำดีจะนำไปสู่ผลดี และการทำชั่วจะต้องได้รับโทษ
บทที่ 3 พัฒนาการของมนุษย์
ความหมายจิตวิทยาพัฒนาการ คือลำดับของการเปลี่ยนแปลงหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลง (process of change) ของ มนุษย์ทุกส่วนที่ต่อเนื่องกันไปในระยะเวลาหนึ่ง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต การเปลี่ยนแปลง นี้จะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆเป็นขั้น ๆ จากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่งเพื่อที่จะไปสู่วุฒิภาวะ ทำให้มี ลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นตามลำดับ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาพัฒนาการมนุษย์ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการที่จะเข้าใจลักษณะของพัฒนาการในระยะเวลาต่างๆว่าเป็น อย่างไร และจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น ตามความเหมาะสมของ แต่ละอายุ ทั้งนี้เพราะว่า ในการที่เราจะเข้าใจลักษณะต่างๆ ได้นั้นจะต้องอาศัยปัจจัยหลาย อย่างช่วยกัน เช่น ประสบการณ์ในชีวิต การได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลต่างๆ
พัฒนาการของมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุได้เป็น 8 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะก่อนเกิด (Prenatal stage) คือตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงระยะคลอด พัฒนาการในระหว่างการตั้งครรภ์แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1 ระยะไซโกตหรือระยะที่ไข่ผสมแล้ว (period of the zygote or ovum) 2 ระยะตัวอ่อน (the embryo) 3 ระยะชีวิตใหม่หรือระยะที่เป็นตัวเด็ก (fetus period)
พัฒนาการของมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุได้เป็น 8 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะก่อนเกิด (Prenatal stage) คือตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงระยะคลอด พัฒนาการในระหว่างการตั้งครรภ์แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1 ระยะไซโกตหรือระยะที่ไข่ผสมแล้ว (period of the zygote or ovum) นับเริ่มตั้งแต่การ ปฏิสนธิจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ปกติการฝังตัวจะเกิดขึ้นภายใน 10 วันนับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ 2 ระยะตัวอ่อน (the embryo) เริ่มตั้งแต่ zygote เคลื่อนตัวมาเกาะที่ผนังมดลูกประมาณสัปดาห์ที่ 2 จนกระทั่งถึงสัปดาห์ ที่ 8 ระยะนี้ถือเป็นระยะสำคัญที่สุดของทารกในครรภ์ ตัวอ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและชัดเจน อวัยวะและ ระบบการทำงานในร่างกายจะพัฒนาขึ้น เช่น ระบบประสาท ระบบหายใจระบบทางเดินอาหารและอวัยวะต่างๆ 3 ระยะชีวิตใหม่หรือระยะที่เป็นตัวเด็ก (fetus period) เริ่มตั้งแต่สัปดาห์ที่ 8 จนกระทั่งคลอด ระยะนี้เป็น ระยะที่เปลี่ยนจากตัวอ่อน (embryo) มาเป็นทารก(fetus) มารดาจะรู้สึกว่ามีทรกอยู่ในครรภ์ โดยจะเริ่ม รู้สึกว่าทารกมีการเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ 16 เป็นระยะที่ใช้เวลานานที่สุด สัดส่วนโครงสร้างของ
วัยทารก วัยทารก เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปีวัยทารกเป็นวัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางรากฐานของชีวิตวัยนี้เริ่มตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดาจนถึง ประมาณ 2 ปีแรกของชีวิต หลังจากที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว ทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อจะ ได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ นอกจากการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญอีประการหนึ่งในวัยทารก คือ บุคคลรอบข้างของเต็ก ได้แก่ มารดาหรือผู้เลี้ยงดู ซึ่งดูแลให้อาหาร ให้ความรักความอบอุ่นสัมผัสอุ้มชูด้วยความรัก และทำความสะอาดร่างกายให้ ทารกจะได้เรียนรู้การสร้างความ สัมพันธ์กับบุคคลอื่นเป็นครั้งแรกในวัยนี้
วัยเด็ก •วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึง 6 ขวบ พัฒนาการทางร่างกาย ในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการค่อนข้างข้าเมื่อเทียบกับระยะวัย ทารกสัดส่วนของร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ฉะนั้นจึงเป็นระยะที่เหมาะที่สุดที่จะฝึก ได้เล่นกีฬาประเภทเคลื่อนไหวต่างๆ
วัยรุ่น วัยรุ่นการเข้าสู่วิยรุ่นของเด็กชายและเด็กหญิงแเตกต่างกัน พัฒนาการทารกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เด็กผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน เด็กผู้ชายเริ่มฝันเปียกมีลิจษณะเป็นวัยหนุ่งวียสาว
วัยผู้ใหญ่ วัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่อายุ 21 - 40 ปีวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทาง การพัฒนาเต็มที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
วัยกลางคน วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40 - 60 ปีสมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเสื่อมถอยการเปลี่ยนแปลงทางกายเช่นนี้ มี ผลสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจและสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทั้งหญิงและชายวัยกลางคนต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่า นี้การปรับตัวที่สำคัญ เช่น การปรับตัวทางอาชีพ
วัยสูงอายุ วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไปวัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิตลักษณะ พัฒนาการในวัยชราตรงกันข้ามกับระยะวัยเด็กดือเป็นความเสื่อมโทรม (Deterioration) และซ่อมแชมส่วนที่สึกหรอมิใช่การเจริญงอกงาม
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการมนุษย์ ปัจจัยวงจรชีวิตนี้ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยทางด้านชีวภาพ ปัจจัยทางด้านจิตใจและปัจจัยทางด้านสังคมและ วัฒนธรรม นั่นคือความแตกต่างระหว่างบุคคลมีพื้นฐานมาตั้งแต่ระดับของพันธุกรรมสิ่งแวดล้อมและการอบรม เลี้ยงดูจากครอบครัวเมื่อมีสถานการณ์ใดๆ เกิดขึ้นบุคคลจึงให้ความหมายของสถานการณ์นั้น แตกต่างกันไปตามความคิดประลบการณ์ของแต่ละบุคคล ปัจจัยด้านชีวภาพ ปัจจัยด้านจิตใจ ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรมและปัจจัยวงจรชีวิต
บทที่ 4 การจำ การลืม ของมนุษย์
ระบบของการจำ ความจำเป็นระบบการทำงานที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา (active system) ในการที่จำ รับ (receives) เก็บ (stores) จัดการ (organizes) เปลี่ยนแปลง (alters) และนำข้อมูลออก มา (recovers) การทำงานของการจำคล้าย ๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเริ่มจากการใส่รหัส ข้อมูลเข้าไป
การเก็บข้อบูลไว้ในระบบ(ซึ่งการจำของมนุษย์จะมีระบบการเก็บข้อมูล 3 ระบบ 1.ความจำจากการรับสัมผัส (sensory memory) 2.ความจำระยะสั้น (shot-term memory - STM) 3.ความจำระยะยาว (long-term memory - LTM)
1.2 ความจำระยะสั้น ถ้าต้องการทราบว่า ความจำระยะสั้นมีความสามารถในการจำเพียงใด ให้ลองอ่านตัวเลขต่อไปนั้นเพียงครั้งเดียง และปิดหนังสือลง ให้บอกสิ่งที่จำได้ 8517493
1.3 ความจำระยะยาว สิ่งที่อยู่ในความจำระยะยาวนั้น จะค่อนข้างถาวร แม้จะไม่อยู่ตลอดชีวิตก็ตามความจำระยะยาวมี 2ประเภท การจำความหมาย (S emantic Memory) กับการจำเหตุการณ์ (Episodic Memory)
1.4 การวัดความจำ การจำของเราไม่ได้อยู่ในลักษณะจำได้ทั้งหมด หรือไม่ก็จำไม่ได้เลย (all- or - none) เราอาจจำได้บางส่วน เช่น จำคำที่ต้องการไม่ได้ แต่จำอักษรตัวต้นและตัวท้ายได้หรืออาจจำ ความหมายได้หากนึกคำไม่ออกเพราะติดอยู่ริมฝีปาก
1.5 การลืม (Forgetting) อาจกล่าวได้ว่า การลืมส่วนใหญ่เกิดขึ้นทันทีภายหลังการจำ เฮอร์แมน เอบบิงเฮาส์ (Herman Ebbinghaus, 1885 ) ทำการทดสอบ ความจำ หลังการเรียนรู้คำที่ไม่มีความ หมายในช่วงเวลาที่ต่างๆ กัน และได้สร้างโค้งการลึมออกมา MAKE THINGS HAPPEN
สรุป การจำเป็นระบบ Active มีลักษณะคล้ายคอมพิวเตอร์ คือ รับ เก็บและนำข้อมูลออกมา รูปแบบของความจำมี 3 อย่างแยกออกจากกัน แต่ยังเกี่ยวข้องกันอยู่ คือ ความจำจากการรับสัมผัส ความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว ความจำจากการรับสัมผัสกินเวลาสั้นมาก และตรงตามที่รับสัมผัสทุกอย่าง เช่น ภาพติดตากิน เวลาน้อยกว่าครึ่งวินาที เสียงก้องหู ใช้เวลาน้อยกว่า 2 วินาที จากนั้นข้อมูลบางอย่างที่สนใจจะถูกส่งไปยังความจำระยะสั้น ความจำระยะสั้นมีความลามารถในการเก็บข้อมูลประมาณ 7ตัว แต่ลามารถเก็บข้อมูลได้ มากกว่านี้โดยการย่อคำลง ความจำระยะสั้นมักเก็บข้อมูล ในลักษณะของเสียง และไวต่อการ ถูกรบกวนมาก ความจำระยะสั้นอยู่เพียง 18 วินาที ถ้าไม่มีการทบทวน โดยข้อมูลใหม่จะเข้าแทนที่ข้อมูลเก่า ซึ่งจะหายไปเลย
บทที่5 สติปัญญา ความคิด เชาว์ปัญญา
ความหมายของเชาว์ปัญญา เชาวน์ปัญญา หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การปรับตัวต่อปัญหาอย่าง เหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำกิจกรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีคุณค่าหาง ลังคม ลามารถคิดอย่างมีเหตุผลลามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและลังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสามารถทางเชาว์ปัญญาของมนุษย์ ออกเป็น 3 ลักษณะคือ 1.ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความคิด สัญลักษณ์ การสร้างความสัมพันธ์ความคิด รวบ ยอด และความสามารถในทาความเข้าใจกฎเกณฑ์ 2.ความลามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งจะเน้นในเรื่องความสามารถในการปรับตัวเข้ากับ สภาพการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม 3.ความสามารถในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความสามารถทางด้านภาชาสัญลักษณ์ ความ สามารถ ทางคณิตศาสตร์ ความสามารถทางด้านมิติสัมพันธ์
บรูนเนอร์ (1966) ได้ศึกษาพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา จะเพิ่มความอิสระต่อสิ่งเร้ามากขึ้น โดยในวัยและได้สรุปลักษณะที่สาคัญ ดังนั้ เด็กจะมีความสามารถใน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างมีขีดจากัดกว่าในวัยผู้ใหญ่ เมื่อเด็กแต่ละคนมีทักษะในการใช้ภาษามาก ขึ้น เขาจะมีความ ลามารถในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา จะเพิ่มขึ้นตามพัฒนาการของ กระบวนการรับรู้และเก็บสะสมข้อมูล ถ้า เด็กไม่มีความลามารถทางด้านภาษาอย่างเพียงพอ เขาก็ไม่สารถจะทานายคาดคะเน หรือตัง สมมุติฐานต่อ ประลบการณ์ใหม่ ๆ ได้
ส่วนเพียเจท้ได้อธิบายถึงพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา โดยแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ขั้น คือ 1. ขันการใช้สัมผัสและกล้ามเนื้อ (Sensory - Motor Stage) 2. ขั้นเรีมต้นคิด (Preoperational Stage) 3. ขั้นความคิดเชิงรูปธรรม (Concrete Operational Stoge) 4. ขั้นความคิดเชิงนามธรรม (Formal Operational Stage)
สิ่งมีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา 1. พันธุกรรม พันธุกรรมเป็นตัวพื้นฐานระดับความสามารถทางเชาวน์ปัญญา และ มีผลใน Services 02 การกาหนดระดับเชาวน์ปัญญา 2. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวส่งเสริมหรือขัดขวางต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของมนุษย์แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนเชาวน์ปัญญาและพันธุกรรมกับสั่งแวดล้อม
Services 03 สรุ ป เชาวน์ปัญญามีความสาคัญและมีผลต่อความสาเร็จทาSงeดr้าvนicตe่sาง01ๆ ของ มนุษย์ก็จริงอยู่แต่มิใช่ ว่าเชาวน์ปัญญาเป็นองค์ประกอบเดียวที่จะทาให้ มนุษย์ประลบความสาเร็จ เพราะความสาเร็จของ มนุษSยe์rขึv้นicอeยsู่ก0ับ2ปัจจัย ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งปัจจัยด้านร่างกาย การรู้จักตั้งเป้าหมาย ตั้ง ความหวัง สร้างแรงจูงใจ และความลามารถในการเลือกเดินทางเพื่อไปสู้ เป้าหมายที่ต้องการได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม การศึกษาเรื่องเชาวน์ปัญญา ของบุคคล มิใช่เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินความ ฉลาดมากน้อยของคนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
บทที่ 6 การรับรู้เเละทฤษฎีการรับรู้
ความหมายการรับรู้ เป็นกระบวนการที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเรื่องความเข้าใจ การคิด การรู้สึก (Sensing) ความจำ (Memory) การเรียนรู้ (Learning) การตัดสินใจ (Decision making)
กระบวนการของการรับรู้ การแปลความหมายจากการสัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่ การมีสิ่งเร้ามา กระทบกับอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 และส่งกระแสประสาท ไปยังสมองเพื่อการแปลความ
ลำดับขั้นขอกระบวนการรับรู้ ขั้นที่ 1 สิ่งเร้า( Stimulus )มากระทบอวัยวะสัมผัสของอินทรีย์ ขั้นที่ 2 กระแสประลาทสัมผัสวิ่งไปยังระบบประสาทล่วนกลาง ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่สมอง เพื่อสั่งการ ตรงนี้เกิดการรับรู้ ( Perception ) ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจโดยอาศัย ความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ ปทัสถาน บุคลิกภาพ เชาวน์ ปัญญา ทำให้เกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง การรับรู้
Services 03 กลไกของ การรับรูS้ervices 01 กลไกการรับรู้เกิดขึ้นจากทั้ง สิ่งเร้าภายนอกและภายในอินทรีย์ มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรม อวัยวะรับลัมผัส (Sensory organ) เป็น เครื่องSรีeบrสvิ่iงcเeรs้า0ข2องมนุษย์ ส่วนที่ รับความรู้สึกของอวัยวะรับสัมผัสอาจอยู่ลึกเข้าไปข้างใน มองจากภายนอกไม่เห็น อวัยวะรับสัมผัส แต่ละอย่างมีประสาทรับสัมผัส (Sensory nerve) ช่วยเชื่อมอวัยวะ รับสัมผัสกับเขตแดนการรับสัมผัสต่าง ๆ ที่สมอง และส่งผ่านประลาทมอเตอร์ (Motor nerve) ไปสู่อวัยวะมอเตอร์ (Motor organ)
Services 03 สรุป Services 01 การรับรู้ป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญของบุคคล เพราะการตอบสนองพฤติกร รมใดๆ จะขึ้นอยู่กับการรับรู้จากสภาพแวดล้อม ของตSeนrvแicลesะ0ค2วามสามารถใน การแปลความหมายของสภาพนั้นๆ ดังนั้น การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจิงขึ้นอยู่ กับปัจจัยการรับรู้ และสิ่งเร้าที่มีประสิทธิภาพ
บทที่ 7 การรับรู้เเละทฤษฎีการรับรู้
ทฤการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้นั้น ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องศึกษา และทำความเข้าใจทฤษฎีการ เรียนรู้ และการสอนต่างๆ ในส่วนของกฎหรือหลักการที่จำคัญของทฤษฎีเหล่านั้นเพื่อ นำไปประยุกต์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105