ประโยชนของธรรมะ
หนงั สือธรรมะขนาดพกพา รายเดอื น ๑๒ เรือ่ ง ๑๒ เลม สำหรบั เปน พน้ื ฐานศกึ ษาธรรมปฏบิ ัติ ใชเวลาไมน านในการทำความเขา ใจ ๑. ผูทอ่ี า นแลว คดิ วาดมี ปี ระโยชน โปรดสงมอบใหแ กผ ูอ น่ื ตอ เปรยี บดงั่ บำเพ็ญทาน. ๒. สมัครสมาชกิ ไดท ่ีหอ งหนังสอื และสอ่ื ธรรม. ๓. สนบั สนุนการจัดพิมพห นังสอื ธรรมะเลม นอ ยตามกำลงั . ๔. เลือกจัดพิมพหนงั สือธรรมะเลม นอย เพื่อเผยแผในวาระตางๆ เชน วันข้ึนปใ หม, วนั เกดิ , งานมงคลสมรส, งานเฉลิมฉลอง, งานบญุ หรอื งานฌาปนกจิ ฯลฯ. ธรรมะเลมนอ ย ใกลมอื อันจะชวยใหทกุ คนมพี ระเจาอยใู นตน มีพระธรรมอยูในใจ
ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐
รายช่ือหนงั สือธรรมะเลม่ น้อย ๑๒ เล่ม สำ� หรบั ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑. การมีอายุครบรอบปี...เป็นเช่นนั้นเอง ๒. สิ่งที่เป็นคู่ชีวิต ๓. มาฆบูชา วันนี้เป็นการกระท�ำเพ่ือบูชาพระอรหันต์ ๔. ความถูกต้องของการศกึ ษา ๕. ความหมายและคุณค่าของ ค�ำว่า “ล้ออายุ” ๖. การท�ำงานน้ันคือการปฏิบัติธรรม ๗. เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ ๘. พระธรรมในทุกแง่ทุกมุม ๙. มอื ขวาทำ� บญุ อยา่ ใหม้ อื ซา้ ยรู้ ๑๐. ปวารณา คอื เครอ่ื งหมาย แหง่ คนดี ๑๑. ประโยชนข์ องความกตญั ญู ๑๒. ภมู ติ า่ งๆ และ แนวครองชีวติ ๑๒ เลม่ สำ� หรับปี ๒๕๕๖ ประกอบดว้ ย ๑. ธรรมะเผดจ็ การ ๒. ความเป็นไปของจติ ๓. ความเข้าใจถกู เก่ียวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษท่ีเกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง นั้นเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สันทฏิ ฐิโก ๑๒ เลม่ สำ� หรบั ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะท�ำไมกัน ๒. แผ่นดินรองรับร่างกาย ธรรมะ รองรับจิตใจ ๓. สิ่งท่ีเรียกว่ากิเลส ๔. ธรรมคอื สงิ่ จ�ำเปน็ แก่ มนษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. สิ่งซ่ึงเป็นอุปกรณ์แก่การ เลิกอายุ ๖. ทุกส่ิงอยู่เหนือปัญหา ๗. รู้จักธรรมะให้ถึงที่สุด ๘. หลักธรรมท่ีทุกคนควรทราบ ๙. ธรรมท่ีเป็นเคร่ืองมือใน การเดินทาง ๑๐. ผลพลอยได้ท่ีเนื่องถึงกันและกันในโลก ๑๑. ประโยชนข์ องธรรมะ ๑๒. ธรรมะคือหน้าท่ี
ประโยชนข์ องธรรมะ โดย พทุ ธทาสภกิ ขุ ลำ� ดบั ท่ี ๑๑ ประจ�ำปี ๒๕๕๗ www.life-brary.com
สนทนาธรรมวันอาทติ ยท์ ห่ี น้ากุฏิ บรรยายเมื่อวนั ท่ี ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๕ ผู้ถอดคำ� บรรยาย คุณสุนนั ทา แซโ่ ล้ว ผตู้ รวจทาน คุณสรรวิมล หงสเวส
ประโยชนข์ องธรรมะ เรอ่ื งทเี่ อามาพดู กนั วนั อาทติ ย์ พยายาม ใหม้ นั เปน็ เรอื่ งทไ่ี มค่ อ่ ยจะพบ หาพบ หรอื หาอา่ น ไดจ้ ากหนังสอื ทีม่ ีๆ อยู่ หรือไมใ่ ชใ่ นรปู แบบทเี่ รา พดู กนั เปน็ รปู แบบหนงึ่ ซงึ่ จะพมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื หนงั หา ข้ึนมา เรียกว่าเรื่องนอกรปู แบบ ผมคิดว่าจะพูดเร่ือง ประโยชน์ของ ธรรมะ ผู้ที่ได้ฟังก็จะคิดว่ามันก็เรื่องท่ีพูดๆ กัน อยทู่ กุ วันนน่ั แหละ พดู เรอ่ื งประโยชน์ของธรรมะ ๑
อานิสงส์ของธรรมะ มันก็คือเร่ืองที่พูดกันอยู่ทุก วันอย่างนี้ก็ได้ ถูกแล้วเร่ืองน้ีมันพูดกันอยู่ทุกวัน เรื่องประโยชน์ของธรรมะ แต่มันก็ไม่ได้พูดกัน หมดจดสนิ้ เชงิ ได้ คอื มกั จะพดู กนั ตามแบบนนั่ เอง ถ้ามาพูด มาเทศน์ มาอะไรมันก็พูดกันตามแบบ นั่นเอง ส่วนที่มนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปตามแบบ หรอื มนั ละเอยี ดลงไปกว่าที่พูดกันอยู่ตามแบบ มนั ก็ไม่ได้ พดู กนั ผมกช็ อบทจี่ ะพดู เรอื่ งทำ� นองนนั้ คอื มนั จะ ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ส้ินเชิง แล้วก็มักจะจริงกว่า ด้วย เร่ืองพูดตามแบบนั้นมันก็จริงแค่ตามแบบ แล้วก็ไม่ค่อยหมดจดสิ้นเชิง เช่นว่ามาบวช บวช อย่างท่บี วชกนั อยูใ่ นพรรษาก็มีนิยมมาบวช แล้ว ก็ศึกษา เราศึกษากันตามแบบหรือพูดกันตาม แบบ แม้ผู้มาบวชก็หวังจะได้อะไรกันตามแบบ ขอใหม้ นั หยดุ เพียงตามแบบ ให้มันลงไปถงึ ความ จริงหรือข้อเท็จจริงที่เรามีอยู่จริง ท่ีจริงมันมีอยู่ ๒
ทุกคน แต่เขาไม่มองเห็น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือน กบั ไม่มี เขาก็ไม่เอามาพดู กนั แต่เราอยากจะสอด ส่องดใู หห้ มด กห็ ยบิ ข้ึนมาพิจารณาใคร่ครวญให้ หมด เอาไปใช้ใหค้ รบถ้วน ความละเอียดสุขมุ มัน อยู่ตรงน้ี โดยมากมนั ท�ำตามธรรมเนียม พูดตาม ธรรมเนียม อะไรก็ตามธรรมเนยี ม ผเู้ ทศน์ ผู้พดู ผู้บอกอานิสงส์ ผู้อบรมส่ังสอนในชั้นเรียน นอก ช้ันเรียนอะไรก็ตาม มันมักจะเป็นเรื่องตามแบบ ไปเสยี หมด ฉะน้ันเราเอาให้มันมากกว่าน้ัน ให้มัน ลึกลงไปถึงตามท่ีมันอยู่จริง แม้ท่ีพูดกันอยู่ตาม พระบาลี ตามคมั ภรี ์ มนั กย็ งั ไมค่ อ่ ยจะถกู หรอื ยงั ไม่ค่อยจะครบถ้วนตามความหมายของพระบาลี มันก็พูดตามท่บี อกๆ สอนๆ กันมาเป็นแบบฉบบั หรอื อยา่ งเรยี นนกั ธรรมมา มนั กพ็ ดู ไปตามแบบท่ี สอนกนั อยใู่ นโรงเรยี นนกั ธรรม เพราะฉะนนั้ มนั จงึ ไม่บรบิ ูรณส์ น้ิ เชงิ ๓
ขอให้ทุกคนสนใจท่ีจะดูให้มันละเอียด ให้มันหมด ให้มันเก็บเอาปัญหามาให้หมด หรือ เก็บเอาความทุกข์มาให้หมดทุกชนิด แล้วก็ ท�ำความดับทุกข์ให้มันทุกชนิดจริงๆ เหมือนกัน แล้วแต่ละชนดิ กใ็ หส้ ิ้นสดุ เกลยี้ งเกลา แล้วทีน้ีหัวข้อเร่ืองของเราก็มีว่า ประโยชนข์ องพระธรรม พระธรรมในทนี่ ก้ี ค็ อื พระ ธรรมทเ่ี ปน็ ตวั ศาสนา ทเี่ ปน็ ตวั ทเ่ี รานบั ถอื วา่ เปน็ พระพทุ ธศาสนา แมว้ า่ คำ� วา่ ธรรมหรอื ธรรมะมนั จะหมายถึงทุกส่ิงไม่ยกเว้นอะไร แต่ถ้าเราพูด ออกมาในลกั ษณะเชน่ น้ี คำ� วา่ พระธรรมจะหมายถงึ แต่ระบบปฏิบตั ิเพ่ือดบั ทุกข์เทา่ นนั้ ทนี ้คี ุณมาบวช ศึกษาพระธรรม จะเอา ความรเู้ รอ่ื งพระธรรมไปดบั ทกุ ข์ ขจดั ปญั หาความ ทกุ ข์ทง้ั หมดได้อยา่ งไร ไดเ้ ท่าไร นน่ั แหละสำ� คญั มันจะท่องกันแต่บาลี พูดตามบาลี ระบุไว้ตาม จำ� นวนในบาลี ความทกุ ข์ ๑๑ อย่าง ความทุกข์ ๔
๑๒ อยา่ งอะไรกว็ า่ กนั เทา่ นน้ั ผมไมเ่ หน็ ดว้ ยวา่ มนั พอหรอื มนั เหมาะสมเพราะวา่ มนั ควรจะมากกวา่ นน้ั ฉะน้ันถ้าเราเอา จะเอาประโยชน์ของ พระธรรม ซึ่งเรียกกนั รวมๆ วา่ ดับทุกข์ ดบั ทุกข์ มันจะต้องแยกออกเป็น ๒ ส่วน ๒ ฝ่าย เราจะ ต้องกำ� จดั ฝ่ายท่ไี ม่ควรจะมีให้หมดเลย แล้วเราก็ จะท�ำให้มีฝ่ายท่ีควรจะมีอย่างครบถ้วน น่ีขอให้ สนใจหวั ขอ้ ๒ ขอ้ นี้ อยา่ เหน็ วา่ เปน็ คำ� พดู ธรรมดาๆ หรอื วา่ รอู้ ยแู่ ลว้ ถา้ จะมปี ระโยชนจ์ ากพระธรรม มี อานิสงสข์ องพระธรรม ก็อยากจะแยกเปน็ หัวข้อ สกั ๒ หวั ขอ้ วา่ ตอ้ งไมม่ สี ว่ นทมี่ นั ไมค่ วรจะมี แลว้ มันต้องมีสว่ นที่ควรจะมี ให้ถึงที่สุดดว้ ยกนั ทง้ั นัน้ เอ้า ทีน้ีจะพูดถึงส่วนที่ไม่ควรจะมี ที่ จะเรียกเหมาๆ กันว่าความทกุ ขน์ ัน่ แหละ ไม่ควร จะมี แต่ขอให้มันแยกรายการละเอียดออกไปให้ ละเอยี ดและครบถ้วนจริงๆ ฉะนนั้ จงึ อยากจะให้ สงั เกต ตงั้ ตน้ มาตง้ั แตค่ ำ� ทเ่ี ขาไมค่ อ่ ยจะพดู กนั ผม ๕
จะระบเุ อาคำ� วา่ ความรำ� คาญ ความรำ� คาญในทกุ ชนดิ ทนี คี้ ณุ กไ็ ปสอบสวนดเู องวา่ วนั หนง่ึ วนั หนง่ึ คณุ อยู่ หรอื วา่ ผอู้ นื่ เพอื่ นฝงู ของเรา มนษุ ยเ์ ราอยู่ โดยปราศจากความร�ำคาญโดยประการทงั้ ปวง หรอื หาไม่ ค�ำว่า ความร�ำคาญ ไม่มีในบัญชีเรื่อง รายละเอยี ดของความทกุ ข์ ในทุกขอรยิ สจั หรอื ทุกข์ มันจะไปมบี า้ งกใ็ นเรอื่ งของนวิ รณ์ แต่เดี๋ยว นี้เราไม่ได้หมายถึงความร�ำคาญชนิดน้ัน ความ ร�ำคาญท่ีมิใช่นิวรณ์ ท่ีมันมีอยู่ส�ำหรับให้รำ� คาญ เม่ือพูดหรือจดลงไปว่าร�ำคาญ แล้วต่อไปน้ีก็ไป ต้ังขอ้ สังเกตศึกษาเลย ตง้ั แตพ่ รงุ่ นีเ้ ปน็ ต้นไปก็ได้ หรือว่าต้ังแต่เสร็จจากน้ีไปก็ได้ว่าคุณจะมีความ ร�ำคาญอะไรบ้าง ท่ีจริงค�ำว่าร�ำคาญคงจะมีตั้งสิบอย่าง หรือร้อยอย่างก็ได้ มันรู้สึกร�ำคาญ แต่ท่ีแท้มันก็ คือความทุกข์ทรมานชนิดท่ีละเอียดท่ีสุด ชนิดท่ี ๖
ละเอียดท่ีสุด ตัง้ แต่วา่ เสื้อผ้า จวี ร อังสะ มนั ไม่ สะอาดอย่างนี้ คุณร�ำคาญหรือเปล่า ถ้าร�ำคาญ มันก็คือบ้าหรือมีความทุกข์ มันต้องมีจิตใจชนิด ท่ีไม่ร�ำคาญสิ เอาไปซักเสียสิ ถ้าเม่ือมันยังไม่ได้ ซกั แลว้ มนั จะรำ� คาญอยูไ่ ม่ได้ เช่นว่าท่ีนอนมันไม่อบอุ่น มันไม่สบาย มนั ขน้ึ รา อยา่ งน้มี นั ร�ำคาญหรือเปล่า หมอนมนั ไมส่ ะอาดร�ำคาญหรอื เปลา่ มดแมลงกวนรำ� คาญ หรือเปล่า อะไรมาดังก๊อกแก๊กๆ อะไรหล่นใส่ หลังคาบ้าน มันร�ำคาญหรือเปล่า บางทีมันก็ ร�ำคาญเสียงสัตว์ ถ้าว่าจิตมันโง่ขึ้นมาแล้ว มันก็ ร�ำคาญแม้แต่เสียงสัตว์ ซึ่งแท้จริงมันสามารถจะ ทำ� ใหก้ ลายเป็นไม่นา่ รำ� คาญก็ได้ ฉะนั้นผมจึงให้ใช้ค�ำว่า ฟังยุงร้องเพลง อาบน้�ำในคู ร�ำคาญหรอื เปล่า กนิ ขา้ วจานแมวน่ี คุณรู้สึกร�ำคาญหรือเปล่า อยู่กุฏิแคบๆ ชนิดน้ัน แลว้ กฟ็ งั ยงุ รอ้ งเพลง ถา้ ยงุ มารอ้ งอยขู่ า้ งหรู ำ� คาญ ๗
นนั่ แหละมันกค็ อื ร�ำคาญ มันเปน็ สมบัตขิ องคนโง่ ของคนไม่มีธรรมะ มันจึงร�ำคาญแม้แต่ยุงมาร้อง เพลงอยู่ข้างหู ทีนี้ถ้ามันบังคับไม่ได้มันก็จะเกิน ร�ำคาญ คือมันจะโกรธขึน้ มา มันจะตึงตงั ๆ อะไร ขึ้นมาเพยี งแตว่ ่ายงุ มารอ้ งเพลงใหฟ้ งั ทีน้ีคุณจะร�ำคาญสิ่งต่างๆ ท่ีมันไม่ เรียบร้อย มันไม่เรียบร้อย มันไม่สะอาด ย่ิงว่า ถ้าเราไปยึดถือแบบใหม่ๆ ของเขา ต้องสะอาด ต้องเรียบร้อยก็จะร�ำคาญ จะร�ำคาญส่ิงท่ีมันไม่ เรยี บรอ้ ยในห้องนอนหรอื ในห้องทอ่ี ยู่อาศยั ออก ไปบณิ ฑบาตมนั มอี ะไรรำ� คาญบา้ งหรอื เปลา่ กลบั มาแล้วมีอะไรร�ำคาญบ้างหรือเปล่า เช่น เสียง รถมันอ้ืออยู่บ่อยๆ อย่างน้ีคุณร�ำคาญหรือเปล่า บางทีสุนัขมันกัดกัน หอนกัน ร�ำคาญหรือเปล่า เอาแต่เพียงค�ำว่าร�ำคาญอย่างเดียวเท่าน้ันแหละ จดไม่ไหวแล้ว อะไรๆ มันก็ชวนให้เกิดความ ร�ำคาญได้ทั้งนั้นแหละ ไม่เข้าตา ไม่เข้าหู ไม่ถูก ๘
กับจมูก ไม่ถูกกับลิ้น ไม่ถูกกับผิวหนัง ไม่ถูกกับ อายตนะท้งั ๖ อย่างน้ีแลว้ มันก็รำ� คาญ มันไมใ่ ช่ เร่ืองกเิ ลสจากภายในโดยตรงหรอก มันเปน็ เรอื่ ง ข้างนอกเป็นชนวน แล้วกิเลสมันก็รับเอาข้ึนไป เขา้ ไปปรงุ แต่งเปน็ ความรำ� คาญ นมี้ นั คนละอนั กบั ทว่ี า่ เรยี กวา่ อทุ ธจั จกกุ - กุจจะ อุทธัจจกุกกุจจะโน่นมันปรุงข้ึนมาจาก ภายใน จากอนุสัยท่ีสะสมอยู่ในสันดาน ปรุงข้ึน มาเป็นเพียงควันฉุยๆ ไม่รุนแรงอะไร อย่างนี้ เรียกว่านิวรณ์ มีค�ำว่าร�ำคาญค�ำหน่ึงรวมอยู่ด้วย ในเรื่องของนิวรณ์ แต่ผมไม่ได้หมายถึงนิวรณ์ ชนดิ น้นั หมายถึงร�ำคาญทคี่ นธรรมดามันกม็ ี จะ เอามาเรยี กวา่ นิวรณ์มันก็ไดเ้ หมอื นกนั แต่เรามัน อยากจะเอามาจดั ไวใ้ นพวกทเี่ ปน็ ความทกุ ขอ์ ยา่ ง ละเอยี ดจนไมเ่ ห็นว่าเป็นความทุกข์ เพราะวา่ เรา มนั รำ� คาญแลว้ มนั ทรมานใจของเราไมใ่ หส้ งบเยน็ ๙
ถา้ นิวรณม์ ันรบกวนสมาธิ ไมใ่ หจ้ ติ เป็น สมาธิ แต่น้ีความที่เราร�ำคาญอย่างน้ีมันรบกวน ความสงบสุข มีมดมากวน มแี มลงมากวน มอี ะไร มากวนก็ตาม มนั ท�ำให้เกิดความรำ� คาญ มนั ไกล ออกไปถงึ วา่ สงิ่ ตา่ งๆ มนั กเ็ ปน็ เหตใุ หร้ ำ� คาญ ชวี ติ น้ีไม่สงบเย็น เพราะมีความร�ำคาญรบกวน มัน เป็นธรรมชาตพิ ืน้ ฐาน ถ้าไม่มจี ะดีไหม ถ้าไม่มีจะ ทำ� อย่างไร มันกค็ ือเรามธี รรมะพอทีจ่ ะไม่รำ� คาญ พูดเรื่องตถาตาวนั ก่อนๆ นั่นมปี ระโยชนท์ ี่สดุ แต่ ดูไม่คอ่ ยจะสนใจฟังกันก่อี งค์ เรอื่ งตถตา ตถาตา เร่ืองเช่นน้ันเอง เรื่องเชน่ น้นั เอง ถา้ มธี รรมะเรอ่ื งตถตาเพยี งพอมนั กเ็ ชน่ นนั้ เอง แลว้ กไ็ มร่ ำ� คาญ แตก่ ม็ ไิ ดห้ มายความวา่ ไม่แก้ไขสิ่งเหล่าน้นั มนั แก้ไขกไ็ ด้ แกไ้ ขไมใ่ ห้เกดิ ความรำ� คาญอกี ตอ่ ไปกไ็ ด้ แตว่ ่าตอ้ งอยา่ รำ� คาญ กันให้เป็นทุกข์ ให้เสียความสงบสุข เห็นเช่นน้ัน เองเร่ือย เชน่ นั้นเองเร่ือย ๑๐
บางทีเป็นพ่อแม่ ลูกเด็กๆ มันท�ำให้ ร�ำคาญมาก ผมไม่ได้มีลูกมีเต้าอะไรกับเขา แต่ ว่าลูกเด็กๆ บางคนท่ีมันมาอยู่ด้วยมันก็มีอะไรที่ ท�ำให้เกิดความรู้สึกร�ำคาญตามประสาเด็กๆ เรา กร็ รู้ สของความรำ� คาญเหมอื นกนั กเ็ ลยคำ� นวณดู วา่ ถา้ อยา่ งนนั้ ทบี่ า้ นนนั่ ทบี่ า้ นทเ่ี รอื น ทคี่ รอบครวั ท่ีเขามีเด็กๆ มาก เขาจะร�ำคาญมากกว่าน้ีสักก่ี เท่า เหมือนคนโตๆ ท่ีมันไม่รู้จักท�ำอะไรให้ถูก กาลเทศะ น่าร�ำคาญอย่างนี้มันก็มี คนใช้หรือ ลูกจ้าง แม้แต่ลูกจ้างนี้ หรือแม้แต่ระหว่างบุตร ภรรยา สามี มันก็ยังมีส่วนท่ีท�ำให้คอยร�ำคาญ เหมอื นกนั บางเวลา บางคร้งั บางกรณี มันท�ำให้ เกดิ ความร�ำคาญแก่กันและกัน แล้วคุณกร็ �ำคาญ เปน็ การทรมานชีวิตอยู่ดว้ ยความรำ� คาญ ลองตง้ั ตน้ จดรายการของสงิ่ ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความรำ� คาญเหลา่ นกี้ นั ดสู กั ทไี หม จะดไี หม ผมวา่ ได้หลายสิบ หรือหลายร้อยก็ได้ หลายร้อยชนิด ๑๑
อาการและตน้ ตอ นยี้ งั ไมใ่ ชค่ วามทกุ ขใ์ หญโ่ ตอะไร ไมใ่ ชค่ วามทกุ ขช์ นดิ ทก่ี ลา่ วไวใ้ นพระคมั ภรี ์ ความ เกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย ความโสกปร-ิ เทวะ โสกะ –ร�ำ่ ไรรำ� พัน นัน้ มนั ก็มาก แล้วกท็ กุ ข์ ทกุ ขเ์ ตม็ ๆ อตั ราของมัน ความร�ำคาญนี้จะเป็นอันต่�ำที่สุด เป็น พื้นฐานที่ต�่ำที่สุดของความทุกข์ แล้วมันยังเขยิบ สูงข้ึนมาเป็นความไม่ถูกใจก็เยอะแยะ ความไม่ ไดอ้ ยา่ งใจก็สงู ขนึ้ มาอีก กระทัง่ ความขัดอกขดั ใจ กระท่ังความหงุดหงิดงุ่นง่าน กระท่ังความโกรธ ความโกรธเต็มท่ี ความบันดาลโทสะเตม็ ท่ี จนถึง กับว่าปวดหัว เราจะไม่พูดตามพระคัมภีร์ จะไม่ พูดตามรายชือ่ ทม่ี อี ยู่ในพระคัมภรี ์ แต่จะพดู ตาม ทม่ี นั มอี ยตู่ ามธรรมชาตจิ รงิ ๆ ของคนทคี่ รองเรอื น มนั จะตอ้ งประสบกบั อะไรบา้ งทจ่ี ะทำ� ใหช้ วี ติ นม้ี นั กระวนกระวาย สูงถึงความร้อนอกรอ้ นใจ ความ ทุกข์ทรมานใจ ถ้าเขียนเป็นรายละเอียดคงจะ ๑๒
ต้ังพนั ต้ังพนั คำ� พนั ชอ่ื ถา้ เอาออกไปเสยี ได้จะดี ไหม ถา้ มนั ไมม่ ีจะดไี หม คณุ คิดว่าอยา่ งน้นั ดกี วา่ สิ่งเหล่าน้ีตั้งร้อยต้ังพันแล้ว ถ้าไปเป็น ฆราวาสอยู่บ้านเรือนครองเรือน ถ้ามันไม่มีส่ิง เหล่าน้ีจะดีไหม หรือว่าจะเอากันตามเร่ืองมันก็ ถูไถกันไป ถ้าอย่างนี้ก็มันไม่ค่อยจ�ำเป็นที่จะต้อง มาหาธรรมะธัมโมอะไรกันนัก มันก็ปล่อยกันไป ตามเรอ่ื งทนๆ ทนเจบ็ ทนปวด ทนหนกั อกหนกั ใจ ทนอะไรกนั ไปตามเรือ่ ง ความรกั ความโกรธ ความเกลยี ด ความ กลวั ความวิตกกงั วล อาลัยอาวรณ์ อิจฉารษิ ยา หึงหวง น่ีมันเขม้ ขน้ มาก มนั สงู กว่าความรำ� คาญ มากทีเดียว แล้วท�ำไมมันจึงมีเข้ามา ทั้งที่เราไม่ ปรารถนา ท�ำไมมนั จงึ มีเขา้ มา หรอื วา่ มนั มเี ขา้ มา แลว้ ทำ� ไมเราจงึ เหน็ วา่ มนั เชน่ นนั้ เองไมไ่ ด้ ไมค่ อ่ ย รสู้ กึ วา่ เชน่ นนั้ เองหรอก มนั มแี ตจ่ ติ ทหี่ วนั่ ไหว จติ ที่กระวนกระวายเร่ารอ้ น เรียกกนั ใหง้ า่ ยๆ กจ็ ะ ๑๓
เรียกว่า ชวี ิตร้อน ชีวิตรอ้ น ทีนี้คุณก็วัดเอาเองสิ ชีวิตรอ้ น ร้อน ๑ องศา ร้อน ๕ องศา รอ้ น ๑๐ องศา ถ้ารอ้ นรอ้ ยหนึง่ เซลเซียสมนั กเ็ ดือด เดือด เป็นน�้ำ เพราะฉะน้ันความท่ีร�ำคาญนั้นมันก็คือ รอ้ น ร้อน ๑ องศา ๒ องศา ทีนีถ้ ้ามนั ข้ึนไปถงึ ขดั อกขดั ใจ กระวนกระวาย จนโกรธเป็นฟนื เปน็ ไฟ มันกร็ ้อย ครบรอ้ ย ชีวติ นัน่ ร้อนครบร้อย ท�ำไมต้องพูดเร่ืองอย่างน้ีล่ะ เพราะว่า ถ้ามันไม่มองเห็นความทุกข์แล้วมันก็จะไม่จริงจัง กับความดบั ทกุ ข์หรอก มันจะไม่มีศรัทธาในพระ ธรรม มีพระบาลีตรัสไว้ชัดเจนว่า ต้องมีความ ทุกข์จึงจะมีศรัทธาในพระธรรม ในความดับ ทกุ ข์ ฉะน้ันถ้าเราไม่รู้สึกวา่ มนั มคี วามทกุ ข์ มันก็ ไม่จ�ำเป็นท่ีจะต้องไปหาอะไรมาดับทุกข์ มันก็ไม่ ศรทั ธาในสงิ่ ท่จี ะช่วยดบั ทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีศรัทธาใน พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ เพราะ ๑๔
เราไมม่ คี วามดบั ทกุ ข์ มนั เพราะเราไมม่ คี วามทกุ ข์ เราไม่ได้ต้องการความดับทุกข์ แต่ถ้าเราเห็นว่า ความทุกขม์ นั เปน็ อย่างน้ี มีส่ิงทเี่ ป็นเหตุปัจจยั ให้ เกิดความทุกข์นับได้ร้อยได้พัน แล้วมันก็มีความ ทกุ ขอ์ ยู่ในรูปแบบต่างๆ กันตั้งรอ้ ยต้ังพัน เหมอื น อย่างท่ีว่า ลองจดดู ลองจดดู ผมคิดว่าต้ังหลาย ร้อยหรือถึงพนั แง่มุมที่จิตมันกระวนกระวายมัน แล้ว มนั กม็ มี าโดยทเี่ ราไมอ่ ยากใหม้ ี แลว้ มนั กม็ มี าชนดิ ทไ่ี ม่มรี ่องรอย ไมม่ หี วั นอนปลายตนี อะไรนกั เชน่ ต่นื ข้นึ มากร็ ำ� คาญ ไมไ่ ด้รู้วา่ เรอ่ื งอะไร ตืน่ ขนึ้ มา กร็ �ำคาญ รสู้ ึกละห้อยละเห่ียใจ ว้าเหว่ใจ ซึ่งสรุป แลว้ มนั กค็ อื ความรำ� คาญวา่ ทกุ สงิ่ มนั ไมป่ ลอดภยั สังเกตดูเถอะ ส่วนลึกของจติ ใตส้ ำ� นกึ น่นั มนั มัน รู้สึกว่าทุกสิ่งมันไม่ปลอดภัย หรือยังไม่ปลอดภัย หรือแม้แต่อาจจะไม่ปลอดภัย ตลอดคืนมันมีใต้ ส�ำนึกอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างน้ีตื่นขึ้นมาก็ละห้อย ละเหย่ี ๑๕
ฉะน้ันถ้าเรามีอะไรมาท�ำไม่ให้จิต ใต้ส�ำนึกมันปรุงความคิดอย่างนั้น ให้มันเช่ือแน่ วา่ ปลอดภยั ปลอดภยั ปลอดภัย เช่นวา่ เขาสวด มนตไ์ หวพ้ ระกอ่ นนอน มนั เปน็ เคลด็ อนั หนง่ึ เปน็ ศลิ ปะอนั หนง่ึ ทจ่ี ะทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ วา่ ปลอดภยั ปลอดภัย เพราะเขาเชื่ออย่างนั้น ทีนี้เม่ือเวลา หลับ จิตใต้ส�ำนึกมันก็ไม่ปรุงไปในเรื่องความไม่ ปลอดภัย เป็นหว่ งวิตกกังวล เพราะฉะนัน้ ตื่นขึน้ มนั กจ็ ะสดชนื่ แจม่ ใส เยอื กเยน็ ฉะนน้ั ถา้ วา่ มนั ตน่ื ขน้ึ มาแลว้ มนั มคี วามวา้ เหว่ หดหู่ บอกไมถ่ กู บอก ไม่ถูกว่าเพราะเหตุอะไร คนน้ันจะบอกไม่ถูกว่า เพราะเหตอุ ะไร แตค่ วามจรงิ มันก็คอื จติ ทีม่ ันไมร่ ู้ สกึ วา่ ปลอดภยั ไดโ้ ดยไมม่ ีเหตุผล ความปลอดภัยท่ีส�ำคัญที่สุดมันก็คือ ปลอดภัยว่าเราจะไม่ตาย เราจะไม่ตาย ท่ีจริง มันมีความหมายอยู่ท่ีค�ำว่าเราจะไม่ต้องตาย เรา ปลอดภัยจากความตาย เราปลอดภัยจากความ ๑๖
เจ็บไข้ หรือเรามีความปลอดภัยทางสุขภาพ แต่ จิตบ้าๆ บอๆ ที่ไหนก็ไม่รู้มันจะคิดไปในทางเรา ยังไม่มีความปลอดภัยในส่วนสุขภาพ เราจะเจ็บ จะไข้ เราจะตาย เราจะต้องมีสุขภาพอันเลวอัน น้ี มันไมม่ ีความแน่ใจวา่ มีสขุ ภาพปลอดภัย มันก็ ว้าเหว่เทา่ นน้ั แหละ หรือว่ามันไม่แน่ใจว่าเรามีความ ปลอดภัยทางการเงิน การเศรษฐกิจ จะเพราะ ว่ายังไม่พอก็ได้ หรือว่ามันจะกลัวว่าท่ีมีอยู่แล้ว นี้จะวินาศ จะวิบัติ จะฉิบหาย จะมีอะไรเข้ามา แทรกแซงทำ� ใหฉ้ บิ หายหมดอยา่ งนี้ หรอื วา่ มนั เคย หวังอะไรไว้แล้วมันก็ไม่ได้ในเร่ืองทางเศรษฐกิจ เรอ่ื งเงนิ เรอ่ื งนั้น มนั ก็ไม่มคี วามรูส้ ึกวา่ ปลอดภัย ในทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นพอตื่นข้ึนมาโดยไม่มีได้คิดนึก อะไรมนั กห็ ดหลู่ ะเหยี่ ละหอ้ ย ไมส่ ดชน่ื ไมแ่ จม่ ใส ไม่มีความปลอดภัยแก่ชีวิต ไม่มีความปลอดภัย ๑๗
แก่เศรษฐกิจ แล้วกระทั่งถ้ามีครอบครัวมันก็ ความปลอดภัยของครอบครัวอีกด้วย หรือภาระ หน้าท่ีการงานที่ได้รับผิดชอบอยู่มันก็ไม่ถูกต้อง และมันไม่ปลอดภัย มันทรมานจิตใต้ส�ำนึกบ้าง เต็มส�ำนึกบ้าง ถึงแม้ท่ีไม่ได้หลับ ต่ืนๆ อยู่นี่มัน ก็ทรมานใจ ถ้าความรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยแล้ว มันก็ทรมานใจทั้งน้ัน เรายังไม่มีความปลอดภัย ในสุขภาพ ในชีวิต ไม่มีความปลอดภัยในหน้าที่ การงานต�ำแหน่ง หรือในอาชพี ของเรา หรือทเ่ี รา รับผิดชอบ ถ้าบางทีจติ มันคิดไปในทางไมเ่ ห็นว่า ไม่ปลอดภยั ไม่แน่ใจว่าปลอดภยั มนั ก็เปน็ ทนั ที แหละ แลว้ ถา้ มนั คดิ นกึ ใตส้ ำ� นกึ เมอื่ เวลากลางคนื เม่ือนอนแล้วตื่นขึ้นมันก็เหมือนกับคนไม่มีก�ำลัง คนไม่มชี วี ิต ไม่มีชวี ิต น่ีชีวติ ทีผ่ ิดพลาด ชวี ติ ท่ีมันรอ้ น ถา้ อยา่ ตอ้ งมอี ยา่ งนจี้ ะดไี หม อยา่ พดู ถงึ ทกุ ข์ ความทกุ ขท์ ี่ มันเข้มขน้ เลย ความทกุ ขท์ ่ีมนั ซอ่ นเร้นอยูอ่ ยา่ ง ๑๘
เข้าใจยากน่ี ไปดูเถอะมันทรมานเรามากกว่า ความทุกข์ ความทกุ ขท์ ่ีดุ้นโตๆ ชัดเจน น้ันมนั ยังทรมานเราน้อยกว่าความทุกข์ชนิดละเอียด จนเกอื บจะจบั ตวั มนั ไมไ่ ด้ แลว้ ทรมานใตส้ ำ� นกึ ดว้ ย เราใช้ค�ำว่าชีวิตร้อนก็แล้วกัน มันจะได้ คกู่ นั กบั ชวี ติ เยน็ สงิ่ ทไ่ี มค่ วรจะมแี กเ่ รากค็ อื ชวี ติ รอ้ นในทกุ รปู แบบ ชวี ติ รอ้ นทกุ รปู แบบ ใหค้ ณุ ไป จดรายละเอยี ดเอาเอง ประกวดชงิ รางวลั กนั สกั ที ก็ได้ ใครจดมาได้มากกวา่ ใคร มาให้ผมดูสิ ผมจะ ใหร้ างวลั ชวี ติ รอ้ นทม่ี นั ทกุ รปู แบบ ทม่ี นั มแี งเ่ งอื่ น ของมนั มันมีอะไรบา้ ง ผมวา่ ตั้งพัน ตงั้ พันรายการ อันน้ีถ้าไม่มีจะดีไหม จะเรียกว่าพระธรรมวิเศษ จรงิ ไหม ชีวิตที่มันหนักอึ้ง หนักอึ้ง ค�ำฝร่ังมันมี อยู่ค�ำหนึง่ ดีมาก พอได้เห็นคำ� แรกผมกช็ อบใจคำ� น้ี มนั ใชค้ �ำวา่ Burden of Life. Burden –ของ หนัก ภาระหนกั หรอื แอก Burden of Life – ๑๙
ภาระหนกั แหง่ ชวี ติ คำ� นคี้ ณุ กระจายออกไปเถอะ มันก็จะได้อย่างที่ว่าตั้งพันรายการอีกเหมือนกัน Burden of Life แก่ตัวเรา แกอ่ ะไรของเรา แก่ ครอบครัวของเรา แก่อะไรมันล้วนแต่มารวมลง เป็น Burden คือของหนัก แล้วก็ทับถมอยู่บน ชีวติ ตลอดเวลา ถา้ มนั ไมม่ จี ะดีไหม ถา้ มันไมม่ จี ะ ดีไหม คิดดูเถอะ มันจะเป็นชีวิตชนิดไหน จะแปลเป็น ไทยๆ ก็ว่าอะไรล่ะ ของหนัก ภาระหนกั ของชวี ิต ภาระของชวี ติ ของหนกั ของชีวติ มันมีมูลมาจาก ความไม่ถูกต้องของระบบจิต ถ้าพูดอย่างเอา เปรียบมันก็วา่ มนั มีความยดึ ถือ มคี วามยดึ ถอื อยู่ ในสงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ โดยรูส้ กึ ตัวบ้าง โดยไม่รู้สึกตวั บา้ ง สงิ่ ใดยดึ ถอื แลว้ สง่ิ นน้ั มนั กห็ นกั อปุ าทานแปลวา่ ยึดถือ ไปยึดถือข้ีฝุ่นสักเม็ดหนึ่งมันก็หนักเท่า ขฝ้ี ุ่นเม็ดหนงึ่ ไปยึดถอื เงนิ ทอง ขา้ วของ บุตร ภรรยา สามี อะไรมนั กห็ นกั ทง้ั นน้ั เพราะฉะนน้ั ๒๐
จึงมีคำ� วา่ ยดึ ถอื แล้วกต็ ้องเป็นทุกข์ คือมนั หนัก ทีนี้ส่ิงท่ีให้เกิดความยึดถือนี่มันมาก ที่ มนั เขา้ มายว่ั ตามธรรมชาตนิ ก้ี ม็ มี าก เทา่ ทม่ี นั เกดิ ขนึ้ จากความคดิ ปรงุ แตง่ ในภายในของเราเอง มนั ปรงุ แตง่ กนั ไดน้ ะ ทเี่ รยี กวา่ สงั ขาร สงั ขารมนั ปรงุ แต่งอยตู่ ลอดเวลา ปรงุ แต่งสำ� หรบั ยดึ ถอื ทงั้ น้นั แล้วเด๋ียวมันก็ไปเข้าเรื่องหลักธรรมะสูงสุดท่ีว่า ขันธ์ทัง้ ๕ เป็นของหนักเนอ้ เมื่อตะกีส้ วดกนั หรอื เปล่า ภารา หะเว ปัญจักขนั ธา –ขนั ธท์ ้งั ๕ เป็น ภาระหนักเน้อ สวดอย่างนกแก้วนกขุนทองหรือ เปลา่ ถา้ สวด นน่ั มันเหลอื เกนิ แหละคำ� นั้น ภารา หะเว ปัญจักขันธา –ขันธ์ทั้ง ๕ ภาระหนักเน้อ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล –บุคคลนั่น แหละ ความรสู้ กึ วา่ บคุ คลน่ันเป็นผ้แู บกของหนัก พาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก –การแบกถือ ของหนกั เป็นความทุกข์ในโลก ๒๑
ภาระนกิ เขปะนงั สขุ งั –เหวยี่ งของหนกั ท้ิงไปเสียเป็นความสุข เหวี่ยงแล้วไม่เอากลับมา อกี กเ็ ปน็ พระอรหนั ต์ รคู้ �ำวา่ ขนั ธ์ ๕ เป็นภาระหนักเนอ้ แลว้ จะรจู้ กั คำ� วา่ Burden of Life มนั อยใู่ นรปู ของรปู - ธรรมภายนอก ทรพั ยส์ มบตั ิ บตุ ร ภรรยา สามี ขา้ ว ของ เงินทอง ววั ควาย ไรน่ า รถยนต์ บา้ นเรือน มนั เปน็ รปู ขันธ์ แล้วก็ยึดถือกนั ไมม่ ที สี่ น้ิ สดุ รู้สึก ไม่ปลอดภัยในสิ่งเหล่าน้ีแล้วก็นอนไม่หลับ หรือ รู้สึกว่ารถยนต์คันน้ีแพงมาก มันมีอะไรบกพร่อง ขัดข้องไปเสียนิดหนึ่ง แล้วก็ชักจะนอนไม่หลับ แลว้ เพราะรถยนตค์ นั นม้ี นั แพงมาก นคี่ ณุ เอาเรอื่ ง จริงอยา่ งน้ีกนั สิ อย่าเอาเร่อื งในคัมภีร์บาลีกันนัก สิ บางทเี ราจะเกดิ สงสยั กนั โอย๊ ภรรยานท่ี า่ จะไม่ ซอ่ื เสยี แลว้ สามกี ท็ า่ จะไมซ่ อื่ เสยี แลว้ อยา่ งนี้ มนั ก็ เป็นเร่อื งฝนั ท้ังน้ัน ใหม้ นั เปน็ ทุกข์บา้ ๆ บอๆ มัน ก็เปน็ เร่อื ง Burden of Life ทง้ั นัน้ แหละ ๒๒
ถ้าส่วนท่ีมันเป็นรูปธรรมก็เป็นรูปขันธ์ รปู ปู าทานกั ขนั โธ –ขนั ธเ์ ปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความยดึ มนั่ ถือมั่นคอื รูป อยา่ งน้ีก็พวกที่มีรปู ที่เรายึดถอื นบั ตง้ั แตว่ า่ รา่ งกาย เนอื้ หนงั นกี้ เ็ ปน็ รปู กย็ ดึ ถอื แลว้ ออกไปข้างนอกก็ บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา สามี ข้าวของ เงินทอง เรียกทุกอย่างท่ี มนั เก่ยี วกนั อยู่กบั รูปขนั ธน์ ้ี นี่ภาระหนกั แห่งชีวิต มันก็มีขน้ึ มาเพราะความยดึ ถอื สงิ่ ท่เี รายดึ ถืออยู่ ตามธรรมดา เราไมม่ ปี ัญญามาแต่ในท้อง เรากม็ ี แตย่ ึดถอื ๆๆ มันก็หนักๆๆๆ เพิม่ ขึ้น ทีนี้ส่วนที่สองมันยึดถือท่ีเป็นนามธรรม เปน็ อรปู รปู ขนั ธน์ น้ั มนั กค็ อื รปู แลว้ ทนี ที้ เ่ี ปน็ นาม มันคือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เม่ือจิตมนั ท�ำหน้าที่ ๔ อย่างน้ี ล้วนแต่เป็นที่ตั้งแห่งความ ยึดถือทั้งน้ัน บางทียึดถือเมื่อเป็นรูปของเวทนา อันนี้ส�ำคัญมาก ดูพระบาลีจัดไว้เป็นต้นเหตุแห่ง ปญั หาทง้ั ปวง ยดึ ถอื ในสขุ เวทนา ในทกุ ขเวทนา ๒๓
ในอทกุ ขมสขุ เวทนา เปน็ ตน้ เหตแุ หง่ กเิ ลส แหง่ ปัญหาทงั้ ปวง ถา้ พดู ใหง้ า่ ยๆ กท็ งั้ โลก ทงั้ จกั รวาล มนั ยึดถือในสขุ เวทนา ปัญหาทั้งโลกเกิดขน้ึ เพราะ ว่าท้งั โลกมันก�ำลงั ยึดถอื ในสุขเวทนา นายทุนก็ ตอ้ งการอยา่ งนน้ั ชนกรรมาชพี กต็ อ้ งการอยา่ งนนั้ ตอ้ งการสขุ เวทนาอนั ไมม่ ขี อบเขตจำ� กดั ฉะนน้ั เขา ตอ้ งแสวงหาปจั จยั อปุ กรณแ์ หง่ สขุ เวทนา เชน่ เงนิ อ�ำนาจ เปน็ ตน้ เอามาแสวงหาสุขเวทนา ถา้ เรามี อ�ำนาจครองโลกแล้วสุขเวทนาท้ังหมดก็เป็นของ เรา เพราะเรามีอ�ำนาจครองโลก น่ีมันท�ำให้เกิด ปัญหาถงึ ขนาดน้ี แม้ในบุคคลคนหนึ่งๆ ก็เพราะสุข เวทนาทเ่ี ขาหลงรกั ผลกั ไสใหเ้ ขาไปทำ� อะไรทงั้ ท่ี ควรทำ� และไมค่ วรทำ� ถา้ ไปทำ� ทคี่ วรทำ� มนั กด็ ไี ป มนั กไ็ มค่ อ่ ยจะมปี ญั หา แตถ่ า้ มนั ไปทำ� ทไ่ี มค่ วรทำ� คอื มนั ไปโกง มนั ไปทจุ รติ แลว้ มนั กไ็ ปกนั ใหญ่ จะมี ๒๔
เรอื่ งไมส่ น้ิ สดุ แลว้ สขุ เวทนานนั้ มนั เปน็ สง่ิ ทหี่ ลอก ลวงทส่ี ุด มันเปน็ เพยี งความรสู้ กึ ท่ีระบบประสาท ตามกฎเกณฑข์ องธรรมชาติ มนั มเี ทา่ นั้น มันเป็นเร่ืองธรรมชาติล้วนๆ ธรรมชาติ แท้ๆ รู้สึกที่ระบบประสาทนั้น ไม่รู้สึกท่ีไหน แล้วก็หลอกให้จิตยึดถือได้มากมาย ตามกฎของ ธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น สุขเวทนา ทางตากด็ ี ทางหูก็ดี ทางจมูกกด็ ี ทางลน้ิ กด็ ี ทาง ผิวหนังซ่ึงเป็นเรื่องทางเพศ เพศตรงข้ามแล้ว ย่ิงร้ายก็ดี ก็รวมอยู่นี่ มันอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะมันปลุกเร้าความรู้สึกแก่ระบบ ประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแล้วก็เรียก วา่ สุขเวทนา มันกห็ ลงรักย่ิงกว่าอะไร ทีน้ีที่ว่าสุขเวทนามันมีหลอกลวงหลาย ช้ันนั่น ชั้นธรรมดา ไม่เก่ียวกับกามารมณ์ คือ อร่อยตามธรรมดา ไม่เก่ียวกับเพศมันก็มี ก็เป็น เหตุให้มปี ัญหามากเหมอื นกัน เชน่ คนเดี๋ยวนเี้ ขา ๒๕
จะต้องกินน�้ำอัดลมแทนน�้ำธรรมดากันแล้ว มัน เรื่องอะไรล่ะ เพราะว่ามันเร้าระบบประสาทได้ดี กวา่ ผมกฉ็ นั อยบู่ อ่ ยๆ เหมอื นกนั แลว้ กร็ สู้ กึ วา่ มนั อยา่ งน้ันแหละ ยิง่ เขาหลอกว่ามนั ท�ำให้สขุ สดช่นื ชมุ่ ชน่ื ยิง่ เอากันใหญเ่ ลย มันจะตอ้ งกินนำ�้ ที่แพง จะตอ้ งกนิ นำ้� อดั ลมกอ่ นอาหารและหลงั อาหารกนั อยู่แล้ว แลว้ ยงั จะตอ้ งทำ� ใหเ้ ย็นด้วย ถา้ เย็นมนั มี ผลกระตุ้นประสาทกว่า เพราะฉะนน้ั จงึ เกดิ ระบบการกนิ อาหาร ที่แพง ท่ีแพงที่สุดขึ้นมา และบางทีก็น่าเกลียด นา่ ชัง นา่ สะอิดสะเอียนดว้ ย ท่วี ่าแพงท่สี ุดระบบ อาหาร แล้วก็เกินไปแล้ว ต้องสวยด้วย ถึงกิน อร่อยไม่ได้ อาหารท่ีปรุงน้ันต้องสวยด้วย ต้อง มีกล่ินดี ต้องมีสีสวย แล้วยังจะต้องไพเราะทาง หูเม่ือกินด้วย ผมคิดว่าคุณคงรู้เร่ืองนี้ดีกว่าผม เพราะผมไม่เคยเลย ผมได้ยินแต่เขาว่าหรือเขา เล่า แต่คณุ เปน็ ฆราวาสมา คณุ เคยมาแล้วนี่ ๒๖
เดย๋ี วนมี้ นั บา้ มากจนถงึ กบั วา่ มนั จะตอ้ ง เอาส่ิงกระตุ้นเหล่าน้ีมากระตุ้นอยู่เรื่อยไป เช่น ทางวิทยุ พอเขาจะเปล่ียนโปรแกรมใหม่ เขาก็มี เพลงขึ้นมาทันที รายการหมุนตามวัน รายการ อะไรกต็ ามเถอะ พอมนั จะเปลย่ี นรายการใหมม่ นั มเี พลงขึ้นมาทนั ที มนั บ้าไม่ใชม่ นั ดี แลว้ มนั ทำ� ให้ เสียสมาธิในการฟัง เราบอกว่าต่อไปนี้เราจะมี รายการนี้ เงยี บ ท�ำสมาธิ ทำ� จิตเปน็ สมาธิ แล้วก็ จะดงั ออกมาให้ฟัง อย่างนีจ้ ะดกี วา่ น่มี นั เอาเพลงเรา้ อะไรกไ็ มร่ ู้ แล้วพอจบ เพลงก็พูด พูดแต่เร่ืองที่จะพูดเลย คนฟังมันยัง ฟุ้งซ่านอยู่ด้วยเพลงบ้าๆ อย่างน้ัน มันจะจับใจ ความขอ้ ความทพี่ ดู นนั้ ไดด้ อี ยา่ งไรเลา่ ผมอตุ สา่ ห์ ทนฟัง มนั มีเพลงน�ำทง้ั น้ัน จบด้วยเพลง เร่มิ ดว้ ย เพลง แม้แต่สารคดี เร่ืองสารคดีมันต้องน�ำด้วย เพลง มนั จบด้วยเพลงนม่ี ันบา้ กนั ใหญ่ นั่นดูเถอะ ว่าสุขเวทนามันมีอ�ำนาจเหลือเกิน นี้ไม่เกี่ยวกับ ๒๗
กาม ไม่เก่ียวกับกาม วิทยุท่ีจะส่งสารคดี ต้อง เอาเพลงมาใส่ด้วย หรือจะกินข้าวต้องมีคนมา ร้องเพลงให้ฟัง น่ีมันกลุ่มหนึ่งยังไม่เก่ียวกับกาม ยังเป็นเรื่องกระตุ้นระบบประสาทตามธรรมชาติ ล้วนๆ อย่างน้ีก็เป็นปัญหาหนักมากแล้ว เราจะ ตอ้ งใชเ้ งินเพอ่ื การน้ีเพิ่มขึ้นอกี มาก ทนี ถี้ า้ ไปถงึ กาม เรอื่ งเพศนย่ี ง่ิ หนกั ขนึ้ ไป อกี แพงเท่าไรก็ไม่ว่า ก็รกู้ นั อยแู่ ล้วไม่ตอ้ งพดู กไ็ ด้ แล้วเม่ือ ไม่ได้อย่างใจแล้วมันก็เป็นเหตุให้โกรธ แคน้ มาก เปน็ ทกุ ขม์ าก ความทรยศทางเพศ ความ ไมไ่ ดต้ ามทต่ี อ้ งการทางเพศนนั้ มนั เปน็ ปญั หามาก เป็นความทุกข์มาก เป็นสิ่งกระวนกระวายมาก แลว้ ความอจิ ฉาริษยา ความหงึ ความหวง ความ คดิ มากไปมนั กม็ าจากอนั น้ี นค่ี อื ยดึ ถอื ในเวทนาขนั ธ์ เวทนาขนั ธท์ ป่ี รุงขนึ้ มาในสงั ขารรา่ งกายของเรา เดยี๋ วนมี้ นั มสี ง่ิ อกี สง่ิ หนงึ่ ซงึ่ กระเดน็ ออก ไปจากกามคอื เสพติด สงิ่ เสพติด เชน่ บุหรี่ ยาฝนิ่ ๒๘
เฮโรอีนอะไรนี่ เหล้าก็ตามเถอะ มันส่ิงเสพติด มนั มสี ขุ เวทนาเกิดจากสงิ่ น้นั แยกออกไปอกี เม่อื เสพติดแล้ว ความเสพติดน้ันจะมีรสมากกว่า กามารมณ์ไปก็ได้ เช่น คนมันติดบุหร่ีนี้ มันจะ ขอไปสูบบุหร่ีก่อนมาท�ำกามารมณ์ก็ได้ วันก่อน หนงั สอื พมิ พเ์ ขาลงหนา้ หวั ผวั ของเขาใชบ้ งั คบั เมยี ของเขาใหไ้ ปเปน็ โสเภณี ไดเ้ งนิ มาเทา่ ไรเอามาให้ เขาซอ้ื ยาเสพตดิ มฉิ ะนน้ั เขาเตะ เขาตี เขาทบุ เขา ถองอะไรเรอื่ ย นนั่ คดิ ดสู ิ ทม่ี นั ยงิ่ ไปกวา่ กามารมณ์ คอื สง่ิ เสพตดิ มนั กส็ ขุ เวทนาเหมอื นกนั ไอส้ งิ่ เสพตดิ น้ันมันให้สุขเวทนาแบบที่บ้าหลังท่ีสุด มึนเมา ทีส่ ุด อะไรที่สุด ฉะนั้นเรามีสุขเวทนา ไม่เก่ียวกับกาม มนั พนื้ ฐานทว่ั ไปไมเ่ กยี่ วกบั กาม แลว้ ประเภทท่ี ๒ มนั เกีย่ วกบั กาม เพศโดยตรง ประเภทท่ี ๓ มนั เกี่ยวกับสิ่งเสพติด อ�ำนาจของการเสพติดน่ี ๒๙
รนุ แรงทส่ี ดุ สามอยา่ งนก้ี ป็ ญั หา ทว่ มทบั ชวี ติ จติ ใจ เปน็ Burden of Life หรอื เปน็ ภาระ ภาระหาโร –แบกของหนัก ทีนี้มันยังมีส่วนที่เป็นสัญญา สังขาร วญิ ญาณอกี ทำ� หนา้ ทก่ี นั คนละอยา่ ง ความสำ� คญั ม่ันหมายนั้นก็เหมือนกัน ส�ำคัญว่าอะไร ส�ำคัญ วา่ หญงิ ส�ำคัญวา่ ชาย ส�ำคัญว่าได้ สำ� คัญว่าเสยี สำ� คัญว่าแพ้ สำ� คัญว่าชนะ ส�ำคญั ว่าสุข สำ� คัญวา่ ทกุ ข์ ไอส้ ำ� คญั ๆ นเ้ี ขาเรยี กวา่ คู่ เปน็ คๆู่ นบั ไมไ่ หว เหมอื นกัน ในหนงั สอื บางเลม่ เขียนใหด้ ู ๓๗ คู่ ลว้ น แตเ่ หน็ ดว้ ยทง้ั นน้ั แหละ แตผ่ มวา่ มมี ากกวา่ นน้ั มี เปน็ รอ้ ยๆ คู่ ทท่ี �ำใหส้ ำ� คญั วา่ อยา่ งนนั้ อยา่ งนแี้ ลว้ ยดึ ถอื กนั อยา่ งแนน่ แฟน้ ยดึ ถอื วา่ ลกู ยดึ ถอื วา่ เมยี ยดึ ถอื วา่ ผวั ยดึ ถอื วา่ อะไรกต็ าม มนั สำ� คญั อยา่ งน้ี ทง้ั น้ัน นี้กเ็ ป็นทต่ี ั้งแหง่ ความทุกข์ท้งั นนั้ เรยี กว่า ยึดถอื ในสัญญา เพราะจ�ำกดั ไวเ้ พยี งขนั ธ์ ๕ นี้เรา ก็พดู ไดแ้ ตใ่ นวงของขนั ธ์ ๕ ความยดึ ถือท้งั หลาย มารวมอยูท่ ่ีหมวดสัญญา ๓๐
ทนี ห้ี มวดสงั ขารกค็ อื คดิ นกึ คดิ นกึ คดิ นกึ สารพัดอย่าง ล้วนแต่คิดนึกให้เป็นทุกข์ท้ังนั้น ลองคิดดูเถอะ มันคิดไปส�ำหรับมีปัญหาส�ำหรับ ยึดถือทั้งน้ัน สังขารชนิดที่เป็นความคิด มันก็ เพือ่ ความทกุ ข์ ทีนี้วิญญาณ วญิ ญาณน้ันควรจะอยขู่ ้าง ตน้ มาอยขู่ า้ งปลายเหตุ ตน้ เหตุ วญิ ญาณนกี้ ค็ อื วา่ มนั มตี า หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ แลว้ มนั กไ็ ดร้ แู้ จง้ รรู้ ส รเู้ รื่อง ร้อู ะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน ทาง กาย ทางใจ ถา้ อยา่ มวี ญิ ญาณ ๖ ประการนแ้ี ลว้ มนั จะไม่มีปัญหาอะไร สัตว์ทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ ท้ังหลายมันมีวิญญาณให้สัมผัสโลก สัมผัสทุกสิ่ง ทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ นน่ั ตัวรา้ ยเหมอื นกัน ตัวร้าย ในฝ่ายธรรมะเราเรียกว่าของหนักคือ ขันธ์ ๕ ที่ยึดถือโดยอุปาทาน ว่าเป็นตัวเราบ้าง ว่าเป็นของเราบ้าง มันตรงกันได้เลยกับค�ำท่ีฝรั่ง ๓๑
เขาเรียกวา่ Burden of Life เมือ่ ฝรงั่ เขาพูดถึง Burden of Life เขาก็พูดในฐานะที่ว่าเป็นของ เลวร้ายเหมือนกัน เป็นของรู้สึกน่าเกลียดน่าชัง เป็นเร่ืองทุกข์รอ้ นเลวทราม ทรมานจติ ใจ น้ีเม่ือพูดกันตามความรู้สึกแล้วมันตรง กันทั้งนั้น แม้ตัวหนังสือจะเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ตามแบบของตนๆ ไม่ค่อยจะตรงกัน แต่เนื้อแท้ ตัวจริงมันก็ตรงกัน มันคือชีวิตน้ีมีสิ่งท่ีท�ำให้ ยดึ ถอื มนั มสี ิ่งท่ีทำ� ใหจ้ ติ ทค่ี ิดนึกไดน้ น้ั ไปยึดถอื โดยความโง่ ดว้ ยอุปาทาน ด้วยอวชิ ชา ชวี ติ น้ี ก็เป็นของหนัก ชีวิตที่ทนทรมานอยู่ด้วยความ หนักนี้ เราจะเรียกมันว่าเป็นชวี ิตร้อน ค�ำนีด้ มี าก คุณเอาไปคิดเถอะ ชีวิตร้อนทั้งนั้นแหละ มันจะ อมความหมายหมดทั้งโลกไว้ ถ้าไมม่ จี ะดีไหม ถา้ ตอ่ ไปนเี้ ราจะไมม่ ชี วี ติ รอ้ น แมแ้ ตค่ วามรำ� คาญสกั นดิ หนงึ่ กไ็ ม่มชี วี ิตรอ้ น เป็นชีวิตเยน็ เป็นชวี ติ เยน็ ไม่มีความรำ� คาญอะไรแม้แต่สกั นดิ หนึง่ จะดไี หม ๓๒
ถ้ามาบวชทีหนึ่งได้ความรู้เร่ืองน้ีคุ้มกัน ไหม มนั ควรจะคดิ อย่างน้ันบา้ ง ถ้ามนั ไม่ได้ความ รอู้ นั นเี้ ลยแลว้ ไมค่ มุ้ คา่ บวช คา่ รถไฟมาแตว่ ดั ชล- ประทานฯ กไ็ มค่ มุ้ อยา่ วา่ คา่ บวชเลย ขอใหน้ กึ กนั ใหท้ ต่ี วั จรงิ ทมี่ นั ลงไปทข่ี องจรงิ มนั มาอยา่ งไร มนั เป็นอยู่อยา่ งไร มนั ขึน้ มาอย่างไร ผมไม่ใช่ไม่เป็นห่วง ผมเป็นห่วงเพ่ือน มนษุ ยท์ กุ คน กลวั วา่ จะทำ� อะไรไมไ่ ดค้ มุ้ คา่ ทลี่ งทนุ ไป แล้วผมก็นึกกันอยู่ตลอดเวลา แต่บางทีมันก็ ไม่อาจจะพดู หรอื มนั ไม่ควรจะพูด แตค่ วามจรงิ กิจกรรมของเราท่ีเรียกว่า สวนโมกข์ นี้มันก็เพื่อ จะหาหนทางปลดเปลื้องปัญหาและความทุกข์ ของเพอ่ื นมนษุ ยท์ ง้ั นน้ั จงึ ไดพ้ ยายามอธบิ ายแลว้ อธิบายอีก ในลักษณะที่คนอ่ืนเขาไม่อธิบายกัน แลว้ เขากลบั หาวา่ เราบ้าๆ บอๆ แหวกแนวแหวก อะไรไป ไม่เป็นไรเรื่องอย่างน้ีเราทนได้ แล้วไม่ รำ� คาญดว้ ย ใครจะหาวา่ อยา่ งไรกไ็ มร่ ำ� คาญหรอก ๓๓
แต่ต้องการจะให้ได้รับประโยชน์สมกับที่ว่าเรา มีพระพุทธศาสนา เราเป็นคนไทย ประเทศไทย มีพระพุทธศาสนา เราได้เกิดมาในร่มเงาของ พระศาสนา เราควรจะได้รับประโยชน์จาก พระศาสนา ฉะน้ันขอให้ศึกษามันจริงๆ อย่า ศึกษาตามธรรมเนียม อย่าศึกษาอย่างหนังสือ วรรณคดี หรอื อย่าศกึ ษาอยา่ งแบบพธิ ีรตี อง นี่จึงขอร้องให้ตั้งต้นสังเกตดูให้ดีว่า ความร้อนแห่งชีวิต ปัญหาแห่งชีวิตมันตั้งต้นมา ตัง้ แต่ว่า แมแ้ ตค่ วามร�ำคาญเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ที่เกิด อยเู่ ปน็ ประจำ� นน้ั กร็ วมเขา้ ไวใ้ นปญั หาดว้ ยเหมอื น กนั อยา่ มคี วามรำ� คาญใจ อยา่ มคี วามขดั อกขดั ใจ อย่ามีความหงดุ หงิดงุ่นงา่ น อยา่ มคี วามโกรธเปน็ ฟนื เป็นไฟ อยา่ งน้ันมันไม่ไหวแลว้ เลวเตม็ ทแี ลว้ แล้วก็อย่าให้เกิดของหนัก ความหนักแห่งชีวิต ไปยดึ ขนั ธท์ ้งั ๕ เป็นตวั ตนแลว้ มันกห็ นัก ๓๔
ทีนี้พูดถึงพระบาลกี นั บ้าง ถา้ เมอ่ื ถาม วา่ ความทกุ ขค์ อื อะไร ในพระบาลกี จ็ ะมวี า่ ชาตปิ ิ ทกุ ขา, ชะราปิ ทกุ ขา, มะระณมั ปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทกุ ขะโทมะนสั สปุ ายาสาปิ ทกุ ขา,อปั ปเิ ยหิสมั ปะโยโคทกุ โข,ปเิ ยหิวปิ ปะโยโค ทุกโข, ยมั ปจิ ฉัง นะละภะติ ตมั ปิ ทกุ ขงั , สงั ขิต- เตนะปญั จปุ าทานกั ขนั ธาทกุ ขา,เสยยะถที งั รปู ปู าทา- นกั ขนั โธ จนไปถงึ เวทะนู วญิ ญาณปู าทานกั ขนั โธ ไปคิดดเู ถอะ มันเรือ่ งทเ่ี ราพูดทง้ั นน้ั ทั้งหมดนั้นมันเร่ืองที่เราพูด ที่ว่าความ เกิดเป็นทุกข์ สอนกันอยู่ฟังไม่ค่อยรู้เร่ือง ใน โรงเรยี นนกั ธรรมครบู างคนสอนวา่ เกดิ จากทอ้ งแม่ เป็นทุกข์ เพราะเห็นได้ว่าพอเด็กออกมามันร้อง แงๆ ก็เลยสอนว่าคลอดจากท้องแม่มันเป็นทุกข์ ชาตปิ ิ ทกุ ขา ทจ่ี รงิ มนั มากกวา่ นนั้ ชาติ ความเกดิ เป็นทุกข์มนั ก็แบบเดียว Burden of Life ความ หนัก ภาระหนักแห่งการเกิดเป็นคนนั้นมันเป็น ๓๕
ทุกข์ มนั มีมาก มนั รวมปัญหาทง้ั หมด การท่เี กิด มาเปน็ คนมภี าระอะไรบา้ งตามหนา้ ทท่ี างรปู ธรรม ทางนามธรรม ทางอะไรก็เรียกว่าเป็นทุกข์ได้ ทีนี้ความแก่เป็นทุกข์ เพราะว่าเราไป หลงยดึ เอาความหมายของความแกม่ าเปน็ ของเรา เอาความแก่มาเป็นของเรามันก็ทุกข์ หรือความ หมายตา่ งๆ ทมี่ นั บบี คนั้ จติ ใจ เราไมช่ อบความแก่ อยา่ งไรเทา่ ไรความหมายเหลา่ นน้ั มนั บบี คนั้ เราให้ เป็นทุกข์ นี่คือความแก่เป็นทุกข์ ไม่ใช่ว่าความ ชราหวั หงอกฟนั หักจะเป็นตวั ทุกข์ แต่ว่าเราไป ยึดถือเอาส่ิงน้ันมาเป็นของเรามันจึงท�ำความ ทกุ ขใ์ หแ้ ก่เรา มันไปยดึ ถือว่าเราหัวหงอกฟนั หัก อะไรก็ตามเถอะที่เป็นลกั ษณะอาการของชรา ความเกดิ แก่ เจบ็ ตาย เปน็ ทกุ ข์ เพราะ เราไปยดึ ถอื เอามาเปน็ ของเรา ถา้ จติ มนั ไมโ่ งไ่ ป ยึดถือเอามาเป็นของเรา มันก็ไม่มีความทุกข์ ร่างกายของพระอรหันต์ก็แก่เจ็บตายลงทุกวัน ๓๖
เหมือนกัน แต่ท่านก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าจิตใจ ของพระอรหันต์ไม่ไดย้ ึดเอาแก่ เจ็บ ตาย มาเปน็ ของท่าน มาเป็นของเรา โสกะปะริเทวะ นม้ี นั เปน็ เพียงอาการที่ ออกมาจากความผิดหวัง ความไมไ่ ดต้ ามต้องการ ยึดถือส่ิงใดโดยความเป็นตัวตนเป็นของตนแล้ว มันไม่เป็นไปตามน้ัน ดังน้ันมันก็เกิด โสกะปะริ- เทวะ ทกุ ขะโทมะนสั อปุ ายาส มันอธิบายกันเอง อยู่ในตัว ก็ไม่แปลกไปจากนั้นหรอก ปรารถนา สิ่งใดแล้วกไ็ มไ่ ดส้ ่งิ น้นั มันก็เป็นทุกข์ ถ้าเห็นว่ามันเช่นน้ีเอง มันเช่นนั้นเอง น่อี ย่าเป็นทุกขส์ ิ แล้วควรท�ำอยา่ งไร ควรแก้ไข อย่างไร ปรับปรุงอย่างไรก็ท�ำไปสิ แล้วก็อย่า เป็นทุกข์ ความร้อนเหล่าน้ันมันก็ไม่เกิดขึ้นแก่ ชีวิต เม่ือไม่รับเอาส่ิงเหล่าน้ีมาเป็นของตนมัน ก็ไม่หนัก เม่ือไม่หนักมันก็ไม่ทุกข์ มันก็ไม่ร้อน ถ้าเราไปรับเอามามันก็เปน็ ชีวติ ร้อน ยึดถือความ ทกุ ข์ ความรอ้ น ความหนกั ไวเ้ ตม็ ท่ี นเ่ี ปน็ ชวี ติ รอ้ น ๓๗
ผมขอร้องว่าจ�ำค�ำนี้ไว้ดีๆ กลับออกไป คราวนกี้ ข็ อใหร้ ะวงั ชวี ติ รอ้ นใหม้ ากๆ เพราะไดเ้ คย รรู้ สชาตมิ าแลว้ ดว้ ย และเพราะไดร้ บั ความรใู้ หมๆ่ ของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสไว้นี้ไปเพิ่มให้ด้วย ฉะนนั้ จงึ หวงั วา่ คงจะรจู้ กั ชวี ติ รอ้ นกนั ถงึ ทส่ี ดุ สกั ที นั่นมันร้อน คือทุกข์ จนเกลียดกลัวย่ิงกว่าสิ่งใด แล้วก็อยากจะพ้นจากมันย่ิงกว่า ที่สุดเลย เป็น ความอยากหมดทง้ั จิตใจ มคี นๆ หนง่ึ เขาเขา้ ใจธรรมะขอ้ น้ี แลว้ เขา พูดกับผม เป็นการแสดงความคิดเห็นของเขานะ เขาเหน็ แลว้ เขาเขา้ ใจความข้อนี้ เขาพูดวา่ อยาก เหมอื นกับว่า เมือ่ เราถูกกดหัวให้จมอยู่ใต้นำ�้ เลย อยากจะโผล่ขึ้นพ้นน�้ำ มันอยากเท่าไร เคยไหม ถา้ ไมเ่ คยไปลองดสู ิ กม้ หวั ลงไปในนำ�้ จมอยใู่ ตน้ ำ้� แล้วมันก็อัดเข้าๆๆๆ แล้วมันอยากจะโผล่หัวให้ พ้นน้�ำ มันอยากเท่าไร นั่นคือมันอยากทั้งหมด ท้ังสิ้นของความอยากและความต้องการ เด๋ียวน้ี ๓๘
เรารู้สึกอย่างนั้นไหม เด๋ียวนี้เรารู้สึกอยากจะพ้น ทกุ ข์ อยากจะพ้นจากชวี ติ ร้อนมากขนาดน้นั ไหม นกี้ ลวั จะไปเหน็ วา่ ชวี ติ รอ้ นกส็ นกุ ดี มนั ไมไ่ ดอ้ ยาก เหมอื นกบั คนทถี่ กู กดหวั อยใู่ ตน้ ำ�้ แลว้ มนั อยากจะ โผลข่ น้ึ พน้ นำ�้ ไปลองดสู ิ พดู นมี้ นั ไมร่ สู้ กึ หรอก ไป ลองดู ไปมดุ หวั ลงในนำ�้ ในสระนาฬเิ กรน์ กี้ ไ็ ด้ แลว้ คณุ จะรสู้ ึกวา่ มันอยากกมี่ ากนอ้ ย มนั ทนไมไ่ ด้ถึง นาทหี รอก มนั จะอยากเหลอื ประมาณ ถ้ามนั ขึน้ มาไมไ่ ดม้ นั กต็ อ้ งตาย ทีน้ีมันก็อยากอย่างยิ่ง กลัวอย่างย่ิง แล้วเดี๋ยวน้ีเรากลัวความทุกข์เท่าน้ันไหม เด๋ียว นี้เราอยากจะพ้นจากความทุกข์เท่านั้นไหม นี่ เป็นเครื่องวัดค�ำนวณ เม่ือเรารู้จักชีวิตร้อนแล้ว เราอยากจะพ้นเสียมากท่สี ดุ สุดชีวติ จติ ใจ สุด ทง้ั หมดของกำ� ลงั อะไรทงั้ สนิ้ ไหม นฝ่ี า่ ยชวี ติ รอ้ น สรปุ เรยี กดว้ ยคำ� สน้ั ๆ วา่ ชวี ติ รอ้ น ในฐานะเปน็ สง่ิ ทไ่ี มค่ วรจะมี ไม่ควรจะมี ๓๙
ทีนี้ก็พูดถึงส่ิงตรงกันข้ามคือชีวิตเย็น ในฐานะเป็นสิ่งท่ีควรจะมี ชีวิตร้อนเป็นสิ่งท่ีไม่ ควรจะมี ไมค่ วรจะได้ ชีวิตเย็นเปน็ สิ่งทค่ี วรจะ ได้หรือควรจะมี ฉะนัน้ กอ็ าศยั พระธรรม อาศัย ธรรมะจะสกัดชีวติ ร้อน หรือว่าจะเปลีย่ นแปลง ชวี ติ รอ้ นใหก้ ลายกลับเป็นชีวติ เยน็ นซ้ี กี ฝา่ ยถกู ต้องหรือฝ่ายเย็น มันก็อย่างว่า ถ้าเราไม่มีแม้แต่ ความร�ำคาญสักนดิ หนงึ่ ดว้ ยเรอ่ื งอะไรก็ตาม ไมม่ ี ขัดอกขดั ใจ ไม่มีรักโกรธเกลยี ดกลัวอะไรทงั้ หมด น่ัน ชวี ิตนีก้ จ็ ะเป็นของเย็น ในพระบาลีมีเร่ืองท่ีพูดไว้แล้วและก็ใช้ คำ� พดู ไวแ้ ลว้ คำ� วา่ ชวี ติ เยน็ แตค่ นเขาไปแปลเปน็ พระนิพพานไปเสียหมด แปลไปถึงระดับสูงสุด เปน็ พระนพิ พานไปเสยี หมด เพราะรปู ศพั ทม์ นั รปู เดยี วกนั รากศพั ทร์ ากเดยี วกนั คอื เมอื่ หญงิ สาวใน สกลุ โคตมะคนหนงึ่ เหน็ พระสทิ ธตั ถะเดนิ มา หญงิ สาวคนนนั้ เขาออกอทุ านวา่ นพิ พตุ า นนู ะ โสปติ า นพิ พตุ า นนู ะ โสมาตา นพิ พตุ า นพิ พตุ า นนั่ คำ� นี้ ๔๐
มนั คอื คำ� เดยี วกบั คำ� วา่ นพิ พาน แตท่ แ่ี ทแ้ ลว้ คำ� พดู คำ� นมี้ นั แปลวา่ เยน็ เยน็ คอื หญงิ สาวคนนน้ั เขาพดู วา่ “บุรษุ นเ้ี ปน็ ลกู ของใคร พ่อของเขาจะนพิ พุตา คอื เยน็ บรุ ษุ นเ้ี ปน็ ลกู ของใคร แมข่ องเขาจะนพิ พตุ า คือจะเย็น บุรุษนี้เปน็ สามขี องใคร ภรรยาของเขา จะเยน็ ” พูดอยา่ งน้ีร่ายไปเป็นหลายๆ เย็น ค�ำว่า “เย็น” นี้ยังไม่ถึงนิพพานหรอก ยังไม่ถึงกับนิพพาน แต่ว่ามันศัพท์เดียวกัน มัน เป็นความหมายเดยี วกันคือเยน็ เพราะนิพพานก็ แปลวา่ เยน็ แตค่ ำ� วา่ เยน็ ในนพิ พาน ในความหมาย นิพพานมนั ถึงทส่ี ุด มนั หมดกิเลส แตใ่ นประโยค นี้ ค�ำพดู นเ้ี ขาหมายถงึ เย็นอยา่ งทอ่ี ยบู่ ้านเรือน ก็ เปน็ ชวี ิตเยน็ ฉะนัน้ พอ่ แมก่ ็จะมีชวี ิตเย็น ภรรยา ก็จะมีชีวติ เยน็ เพ่ือนฝงู ก็จะมีชีวิตเย็น อะไรกจ็ ะ มชี วี ติ เย็นกนั หมด ฉะนน้ั คำ� วา่ ชวี ติ เยน็ คำ� นม้ี นั เปน็ คำ� ทมี่ ใี ช้ แล้วในภาษาพดู ของชาวบ้าน แมใ้ นครั้งพทุ ธกาล นไี้ มเ่ ปน็ ไร มนั จะนานเทา่ ไรกช็ า่ งหวั มนั แตว่ า่ มนั ๔๑
มสี ง่ิ ทมี่ นษุ ยไ์ ดร้ จู้ กั แลว้ วา่ มนั เปน็ ชวี ติ แบบหนง่ึ ท่ี เปน็ ชวี ติ เยน็ เพราะวา่ เขาไดท้ �ำถกู ตอ้ งหมด ไมก่ อ่ ให้เกิดเรื่องทุกข์ร้อน แม้แต่ว่าจะร�ำคาญสักเท่า ปกี ริน้ มนั กไ็ มม่ ี จะเกิดความรำ� คาญเทา่ สักปีกร้นิ หนึ่งมนั กไ็ มม่ ี ไม่ขดั อกไม่ขดั ใจ ไม่งุ่นง่าน ไม่เป็น ฟืนไมเ่ ปน็ ไฟ ไมเ่ ปน็ อะไรเรยี กวา่ เปน็ ชวี ติ เยน็ มนั จะ ดไี หม มันจะดีเท่าไรกล็ องคดิ ดเู ถอะ ฉะนนั้ ใหถ้ อื วา่ ประโยชนข์ องพระธรรม อันสูงสุดก็คือให้เว้นท่ีไม่ควรจะมี คือชีวิตร้อน เสีย แล้วก็ให้ได้รับที่มันควรจะมี นั่นคือชีวิต เย็นน้ีเข้ามา ฉะนั้นท่านที่มาบวชมาเรียนแล้วจะ ลาสกิ ขากลบั ออกไปอกี นี้ ผมขอรอ้ งใหส้ นใจเรอ่ื ง นใ้ี หม้ ากทส่ี ดุ คอื ใหไ้ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากพระธรรม หรอื พระศาสนามากทส่ี ดุ จนเลกิ ชวี ติ รอ้ นกนั เสยี ได้แล้วก็มามีชีวิตเย็น ถ้ามันถึงท่ีสุดโดยประการ ทง้ั ปวงไดก้ ็วเิ ศษ ไมเ่ สียทที ่ีเกดิ มา ทีนก้ี ลวั วา่ มนั จะไม่ได้ มันจะร้อนๆๆๆ เย็นๆ หนาวๆ ร้อนๆ ๔๒
อย่างนี้เร่ือยไปจนเข้าโลง จนตายเข้าโลงไปมันก็ ไมส่ ลัดชวี ติ ร้อน หรือไมอ่ าจจะไดร้ บั ชวี ิตเยน็ นี่มันต้องเป็นความรู้ท่ีตนรู้ แล้วตน ปฏิบัติ แล้วตนก็ได้รับ พระพุทธเจ้าท่านตรัส อย่างน้ัน พ่ึงธรรมะน่ันคือพึ่งตนเอง รู้ธรรมะ แลว้ ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง อนั นเ้ี รยี กวา่ มธี รรมะเปน็ ท่ีพึ่ง มีตนเองเป็นท่ีพ่ึง เราก็เรียนให้รู้ในส่วนที่ เป็นธรรมะให้พอให้ถูกต้อง แล้วเราก็ปฏิบัติของ เราเอง ในสว่ นปฏบิ ตั เิ รากไ็ ดผ้ ล ฉะนน้ั ในระหวา่ ง ท่ีบวชอยู่น่ีก็ควรจะเรียนเรื่องของพระธรรมน้ี หรือจะปฏิบตั เิ อง ลองดูเอง ปฏิบตั ิดเู องเท่าที่จะ ปฏบิ ัติได้ ก็ดที ี่สดุ แตโ่ ดยเหตุทมี่ ันเป็นเรือ่ งยาว เรอ่ื งสลบั ซับซ้อน เรื่องยาว จะปฏิบัติเสร็จในระยะอันสั้น สองสามเดือนน่ีคงท�ำไม่ได้ ฉะนั้นขอให้เป็นที่ เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วท�ำเร่ือยไปเถอะ แม้สึกไป แล้ว ลาสิกขาไปแลว้ ก็ยังปฏบิ ัตไิ ด้เตม็ ท่ี ไม่ใชว่ ่า ๔๓
สึกไปแล้วมันจะปฏิบัติไม่ได้ เร่ืองน้ีมันก็ปฏิบัติ ได้ แต่ว่าไปเป็นชาวบ้านนั้นมันคงจะปฏิบัติยาก บ้างเป็นธรรมดาเพราะสิ่งที่รบกวนมันมีมากกว่า แตถ่ งึ อย่างนน้ั กต็ ้องปฏบิ ัติได้ เพราะวา่ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ด้ มีไวส้ ำ� หรับภกิ ษุเท่านัน้ ไปดเู ถอะ ท่านสอนให้ มหาชน ท้ังเทวดาและมนุษย์ จะต้องประพฤติ ธรรมะน้ีได้ แล้วก็ได้รับผลอันน้ีได้ ก็เป็นอันที่ แน่ เป็นอันแน่นอนว่าแม้ฆราวาสก็ท�ำได้ ท�ำไป เถอะ มันจะสลัดชีวิตร้อนน้ันออกไปเสีย แล้วก็ จะพบกันเข้ากบั ชีวิตเยน็ แลว้ มนั กเ็ จรญิ กา้ วหน้า ยงิ่ ขนึ้ ไป เยน็ ยง่ิ ขน้ึ ไปๆๆ มนั กถ็ งึ จดุ สงู สดุ คอื พระ นพิ พานอันสมบรู ณ์ไดส้ กั วนั หนึ่งถา้ ตอ้ งการ เดี๋ยวน้ีก็มันมีอย่างน้ี ว่าประโยชน์ของ พระธรรมหรือพระศาสนาอยู่ตรงที่ว่าจะให้เลิก ชีวิตร้อนหรือสิ่งท่ีไม่ควรจะมีน้ันออกไปเสียให้ หมด แล้วก็ให้ประสบชีวิตเย็นหรือสิ่งท่ีควรจะ ๔๔
Search