Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนึ่งจุดหมายหลายหนทาง REACHING THE SAME GOAL FROM DIFFERENT PATHS_ หนังสือประกอบการร่วมสนทนากับองค์ดาไลลามะ ณ กรุงเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ แล้วร่ว

หนึ่งจุดหมายหลายหนทาง REACHING THE SAME GOAL FROM DIFFERENT PATHS_ หนังสือประกอบการร่วมสนทนากับองค์ดาไลลามะ ณ กรุงเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ แล้วร่ว

Description: ✍️☸️✅แบ่งปันโดย ❝ ศร-ศิษฏ์❞ หนึ่งจุดหมายหลายหนทาง REACHING THE SAME GOAL FROM DIFFERENT PATHS_ หนังสือประกอบการร่วมสนทนากับองค์ดาไลลามะ ณ กรุงเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ แล้วร่ว

Search

Read the Text Version

ความรู้ พระพทุ ธโฆษาจารยจ์ งึ แตง่ คำ� อธบิ ายคาถาทงั้ สองนนั้ ขนึ้ เปน็ คมั ภรี ว์ สิ ทุ ธมิ รรค จากนน้ั กไ็ ดร้ บั อนญุ าตใหท้ ำ� งาน แปลอรรถกถาไดต้ ามประสงค์ เมอ่ื ทำ� งานเสรจ็ สนิ้ แลว้ ทา่ นกเ็ ดนิ ทาง กลับสู่ชมพูทวีป พระพุทธโฆษาจารย์ได้รับยกย่องเป็นพระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด มีผลงานมากทสี่ ดุ คณาจารย์ฝ่ายมหายาน พระนาคารชุน (Nāgārjuna) ประวตั ทิ ่านนาคารชุนมคี วามพสิ ดารมาก ยงั กลา่ ว ค่อนข้างเป็นต�ำนานและไม่ลงรอยกัน ท่านมีชีวิตประมาณ คริสตวรรษที่ ๒-๓ แต่ข้อมูลที่บันทึกโดยพระเสวียนจ้าง (พระถังซ�ำจั๋ง) ระบุว่า ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ ท่ีเมือง วิทารภะภาคใต้ของอินเดีย ท่านศึกษาพระไตรปิฎกเพียง ๙๐ วนั กม็ คี วามรแู้ ตกฉานในพทุ ธปรชั ญา จนไดร้ บั ยกยอ่ ง วา่ เปน็ “พระพทุ ธเจ้าองคท์ สี่ อง” ทา่ นศกึ ษามหายานศาสตร์ ประกอบด้วยปัญญาอันเฉียบแหลม สามารถเอาชนะฝ่าย ตรงข้ามโดยตรรกวิธี ในสมัยน้ันพวกพราหมณ์ท้ังหลาย พากนั กลวั วาทะของทา่ นมาก ทา่ นไดใ้ ชช้ วี ติ สว่ นใหญอ่ ยทู่ าง อินเดียตอนใต้ คือที่ศรีบรรพตหรือศรีไศล ท่านใช้สถานท่ี ภาพพระนาคารชนุ นักปราชญ์อนิ เดีย แห่งนี้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา คัมภีร์ทางฝ่ายทิเบต เปน็ ผกู้ อ่ ตงั้ สำ� นกั มธั ยมกะ (ทางสายกลาง) กลา่ ววา่ ทา่ นนาคารชนุ เคยมาศกึ ษาทม่ี หาวทิ ยาลยั นาลนั ทาดว้ ย ในนิกายมหายาน (พ.ศ. ๗๐๐-๘๐๐ ป)ี แต่หลักฐานแห่งอ่ืนกล่าวว่า ท่านเป็นผู้ก่อต้ังมหาวิทยาลัย นาลันทา ทา่ นนาคารชนุ ไดเ้ ผยแผน่ กิ ายมหายานออกไปอยา่ งแพรห่ ลายกวา้ งขวางในหมปู่ ระชาชน ทัว่ ไป ท่านเป็นทง้ั นกั ปรัชญาและตรรกวิทยาทม่ี ีชอ่ื เสียงรูปหนง่ึ ทา่ นสอนปรัชญาปารมิตาสูตร อยา่ งลมุ่ ลกึ ทา่ นเสนอวา่ สรรพสง่ิ เปน็ เพยี งสมมตอิ ยา่ งปราศจากสวภาวตา (คอื ปราศจากสาระ ท่แี ท)้ จงึ เปน็ ศูนยตา ค�ำสอนท่านเนน้ ทท่ี างสายกลาง หรอื มาธยมิกะ ซ่งึ โยงกลับไปหาคำ� สอน ของพระพทุ ธเจา้ โดยตรง (คอื มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื มาธยมาประฏปิ ตั ใิ นภาษาสนั สกฤต) ผลงาน ของทา่ นมปี รากฏอยู่ อาทิ หนึ่งจุดหมาย หลายหนทาง 51

• มาธยมิก การิกา หรือมาธยิกศาสตร์ มี ๔๐๐ คาถา แบ่งเป็น ๒๗ ปรจิ เฉท บรรจหุ ลกั ตรรกวทิ ยาและอภปิ รชั ญาชน้ั สงู ของมหายาน หนงั สอื เล่มน้ีเป็นท่ีรวมของมหายานสูตรทั้งหลาย หรือเรียกว่าเป็นหัวใจของ มหายานก็ว่าได้ • อกโุ ตภยา เปน็ หนงั สอื ทที่ า่ นแตง่ อธบิ ายขอ้ ความในมาธยมกิ า อกโุ ตภยา แปลวา่ ปลอดภยั หรือหาภยั แต่ท่ไี หนไม่ได้ • สหุ ทลุ เลขะ เปน็ หนงั สอื ทที่ า่ นเขยี นถงึ สหายคอื พระเจา้ ยชั ญศรี เคาตมบี ตุ ร เปน็ ท�ำนองจดหมายแต่แฝงไว้ด้วยคตธิ รรม นอกจากนย้ี งั กลา่ ววา่ ทา่ นนาคารชนุ ไดล้ งไปยงั นาคพภิ พเพอื่ สนทนา ธรรมกบั พญานาค ทบ่ี าดาลทา่ นไดค้ น้ พบปรชั ญาปารมติ าสตู ร จงึ ไดน้ ำ� กลบั มาเผยแผ่ยังโลกมนุษย์ และยังกล่าวกันว่าท่านนาคารชุนแต่งหนังสือไว้ ประมาณ ๒๐ เล่ม ค�ำสอนของท่านมีอิทธิพลต่อนกิ ายมหายานอ่นื ด้วย ท่าน นาคารชุนยังมีศิษย์คนส�ำคัญคืออารยเทวะ และนักคิดท่ีมีช่ือเสียงอ่ืนๆ ได้ พัฒนาปรชั ญามาธยมกิ ะให้เจริญตอ่ มาคือ จนั ทรกีรติ ศานตเิ ทวะ ศานตรัก- ษิต และกมลศีล ภาพพระอสงั คะ (Asanga) พระอสังคะ (Asanga) และพระวสุพันธุ (Vasubandhu) ท่านทั้งสองเกิดท่ีแคว้นคันธาระ ใน เมอื งปรุ ษุ ปรุ ะ มชี วี ติ ในราวครสิ ตวรรษท่ี ๔ อยู่ ในวรรณะพราหมณ์ เกาศกิ โคตร และไดร้ บั การ ศึกษาในศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างดี กล่าวกัน ว่าท่านอสังคะได้รับการสอนธรรมจากพระใน นกิ ายสรวาสตวิ าทจนทา่ นละลทั ธพิ ราหมณห์ นั มา ถอื พทุ ธ ชว่ งแรกทง้ั สองทา่ นบวชในนกิ ายสรวา- สตวิ าท ซงึ่ แพร่หลายในกศั มรี ะและคันธาระ 52

ภาพพระวสุพนั ธุ (Vasubandhu) ท่านอสังคะน้ันได้ศึกษาอยู่ท่ีนาลันทาเป็นเวลา ๑๒ ปี ทา่ นท้งั สองไดศ้ กึ ษาวิภาษาศาสตร์ ในแคว้นกัศมรี ะ ทา่ นอสงั คะเปน็ อาจารยอ์ งคส์ ำ� คญั ของสำ� นกั โยคาจาร หรอื วิชญาณวาท ท่านได้ชักชวนน้องชายคือท่านวสุพันธุให้ท้ิง นกิ ายสรวาสตวิ าทมานบั ถอื ในนกิ ายใหมน่ ้ี ทา่ นอสงั คะเปน็ ศิษย์คนส�ำคัญของพระไมเตรยนาถ เป็นผู้เขียนอรรถกถา อธิบายงานของไมเตรยนาถและอธิบายปรัชญาโยคาจาร อยา่ งเปน็ ระบบ หนงั สอื ทสี่ ำ� คญั ของทา่ นคอื มหายานสมั ปร-ิ ครหะ ประกรณอารยวาจา โยคาจารภูมิศาสตร์ มหายาน สูตราลังการ ๒ เล่ม สัปตภูมิสูตร มหายานสูตร อุปเทศ รวมทงั้ งานอรรถกถาทิเบตท่ีเรยี กว่า “ตันจ”ู บางสว่ นกเ็ ปน็ งานของทา่ นอสังคะ ปรชั ญาโยคาจารไดเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งอยา่ งมากกเ็ พราะทา่ นวสพุ นั ธุเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ทา่ นวส-ุ พันธุเดมิ เปน็ ปราชญแ์ ห่งสรวาสตวิ าทินและเสาตรานติกะ ท่านไดเ้ ขียนหนงั สอื ชอ่ื อภธิ รรมโกศะ ถอื วา่ เปน็ คลงั แหง่ พทุ ธปรชั ญา เขยี นขนึ้ ตามทศั นะของนกิ ายสรวาสตวิ าท ตอ่ มาไดร้ บั คำ� ชแี้ นะ จากอสงั คะผ้เู ป็นพี่ชาย เกิดความเลือ่ มใสในหลักการแหง่ มหายานโดยเฉพาะสำ� นกั โยคาจาร ทา่ นวสพุ นั ธไุ ดเ้ รม่ิ ศกึ ษาคมั ภรี ม์ หายานสำ� นกั โยคาจาร และแตง่ อรรถกถาอธบิ ายอกั ษ- ยมตินิรเทศสูตรและทศภูมิกสูตร น�ำหลักการส�ำคัญของโยคาจารที่ท่านอสังคะได้บรรจุไว้ใน คัมภรี ต์ ่างๆ ออกมาเผยแพรแ่ กน่ กั ปราชญ์ในยคุ นน้ั ทำ� หน้าท่ีสืบสานเจตนารมณ์ของทา่ นอสงั คะ ผู้เปน็ พี่ชาย โต้แยง้ ทฤษฎีสุดโต่งของส�ำนักสรวาสตวิ าทนิ และศนู ยวาทท่ีว่าด้วยสจั ภาวะสดุ โตง่ แห่งจิตและวัตถุ และความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุ สรรพส่ิงไม่มีอยู่จริง ยกเว้นจิต วัตถุ ภายนอกไมม่ อี ยจู่ รงิ เปน็ เพยี งภาพปรากฏเทา่ นนั้ เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ผมู้ สี ายตาพรา่ มวั มองเหน็ เสน้ ผมทล่ี อยพนั กนั อยใู่ นอากาศ งานเขยี นทส่ี ำ� คญั อกี เลม่ คอื วชิ ญาณมาตราสทิ ธติ รที ศศาสตร์ และฎีกาต่างๆ นอกจากน้ียังได้เผยแพร่ปรัชญาโยคาจารในรูปแบบต่างๆ โดยมีมหาวิทยาลัย นาลนั ทาเป็นศนู ยก์ ลางการเผยแพร่ หนงึ่ จดุ หมาย หลายหนทาง 53

ภาพพระศานตเิ ทวะ (Shantideva) พระศานตเิ ทวะ (Shantideva) ท่านศานติเทวะ เป็นราชโอรสของ กษตั รยิ ท์ างใตข้ องอนิ เดยี มชี วี ติ ประมาณครสิ ต- วรรษท่ี ๗-๘ ภายหลงั เบอื่ หนา่ ยโลกยี สขุ จงึ สละ ราชสมบัติออกบวชในส�ำนักท่านวิชัยเทพ แห่ง นาลันทา กล่าวกันว่าท่านศานติเทวะมีอ�ำนาจ ฌานสมาบัติแก่กล้า จนสามารถเข้าฌานไป ไต่ถามปัญหาธรรมะกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ผลงานทท่ี า่ นแตง่ คอื โพธสิ ตั วจรยิ าวตารศาสตร์ วา่ ดว้ ยการเปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ รมิ่ จากมโี พธจิ ติ ขนึ้ จนโพธิจิตเข้าสู่ปัญญา โดยมุ่งท่ีบารมี ๖ คือ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วริยบารมี ฌานบารมี และปัญญาบารมี คัมภีร์สำ� คัญของฝ่ายมหายาน ปรัชญาปารมิตาสูตร (Prajnaparamitasutra) ปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นชื่อพระสูตรส�ำคัญหมวดปรัชญาของฝ่าย มหายาน เช่ือกันว่าพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตาน้ีเป็นพระสูตรมหายาน รนุ่ แรกๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เปน็ มลู ฐานทฤษฎวี า่ ดว้ ยศนู ยตา พระสตู รนม้ี หี ลายคมั ภรี ์ ดว้ ยกัน เช่น มหาปรัชญาปารมิตา อัษตสหสั ริก ปรัชญาปารมติ าหฤทยะ วัชรัจเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร (Vajracchedikaprajnaparamitra- sutra) สอนวา่ “ทกุ ๆ สง่ิ ทกุ ๆ อยา่ งเปน็ เพยี งมายา เปน็ เพยี งปรากฏการณ์ และเป็นเพียงผลิตกรรมของจิตของเราเองเท่านั้น” แล้วลงท้ายด้วยค�ำว่า “สงิ่ ประกอบทั้งมวลเหมือนความฝนั ฟองน�้ำ เงาหยาดน�้ำค้าง แสงฟา้ แลบ” ปรชั ญาปารมติ าหฤทยะ ( )Prajnaparamitahdayasutra ซง่ึ เปน็ คมั ภรี ์ ทส่ี ้ันสดุ ถอื เปน็ หวั ใจ กลา่ วถงึ เรอื่ งศูนยตา 54

ภาพปฏบิ ตั ิบูชาพทุ ธชยันตี ๒๖๐๐ ปแี ห่งการตรัสรู้ บนเขาคชิ ฌกฏู สัทธรรมปณุ ฑริกสูตร (Saddharma Pundrīka Sūtra - Lotus Sūtra) สัทธรรมปุณฑริกสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยบัวขาวแห่งธรรมอันล้�ำเลิศ พระสูตรน้ี ไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมากในจนี และญป่ี นุ่ เพราะถอื วา่ เปน็ พระสตู รสดุ ทา้ ยของพระพทุ ธเจา้ ใจความพระสตู รโดยยอ่ กลา่ วถงึ พระพทุ ธองคท์ รงประทบั อยทู่ เี่ ขาคชิ ฌกฏู ทา่ มกลางพระภกิ ษุ พระโพธสิ ตั ว์ เทวดา และสตั ว์อน่ื ๆ เม่ือพระพทุ ธองค์ได้ทรงแสดงธรรมจบแลว้ กเ็ ขา้ สมาธิ เมื่อ ออกจากสมาธิได้ตรัสบอกพระสารีบุตรว่า เหตุท่ีพระองค์ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ด้วยอุบายวิธี ตา่ งๆ กนั เน่อื งด้วยพระมหากรณุ าท่ที รงมตี อ่ สรรพสัตว์ คำ� สั่งสอนอันแทจ้ ริงของพระตถาคต น้ันมีเพียงเพ่อื หนึง่ เทา่ น้ัน คอื เพ่ือสรรพสตั ว์ พระสูตรยังกล่าวถึงว่า พระธรรม (เท่ากับพระกาย) น้ันประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ตลอดกาล ไมม่ กี ำ� หนด ทรงชว่ ยสรรพสตั ว์ และทรงรบั ชว่ ยสรรพสตั วใ์ หบ้ รรลพุ ทุ ธภาวะอยเู่ ปน็ นจิ ในบทที่ ๒๕ ที่เรียกว่า สมันตมุขสูตร อธิบายถึงความกรุณาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ทรงแปลงร่างเพอ่ื ช่วยเหลอื สรรพสัตว์ถึง ๓๒ กาย หนึ่งจุดหมาย หลายหนทาง 55

ภาพกาลจักร (The Wheel of Life) ณ สวนโมกข์กรงุ เทพ แสดงปฏจิ จสมปุ บาท ทกุ สงิ่ ท่ลี ว้ นเกดิ แตจ่ ากเหตุและปัจจยั ไมม่ สี ิ่งใดเกดิ ขน้ึ อย่างลอยๆ ตา่ งลว้ นอาศัยกนั พรอ้ มแลว้ เกดิ ขน้ึ ในลกั ษณะ ๑๒ หว่ งโซ่ของอาการแหง่ จิต 56

อวตังสกสูตร (Avatamsakasutra) อวตงั สกสตู ร อปุ มาเหมอื นตาขา่ ยของพระอนิ ทร์ ซง่ึ ถกั ดว้ ยมณรี ตั นะตา่ งๆ แตล่ ะเมด็ สะท้อนให้เห็นแสงของกันและกัน เป็นการโยงทางปัจจยาการ หรืออิทัปปัจจยตาของสรรพส่ิง ในสากลจักรวาล ฝ่ายมหายานถือวา่ อวตงั สกสตู รเป็นสตู รทีส่ ำ� คัญอีกสูตรหนง่ึ เพราะเป็นพระ สูตรที่ทรงแสดงหลังตรัสรู้แล้วเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ โดยรูปแห่งธรรมกาย มีอธิบายว่า พระพทุ ธเจา้ มไิ ดท้ รงแสดงดว้ ยพระโอษฐ์ ขณะทที่ รงประทบั ใตต้ น้ โพธ์ิ พระโพธสิ ตั วแ์ ละเทวดา ในจักรวาลทั้งหลายมาประชุมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ด้วยอานุภาพอันสูงสุดแห่ง ปรชั ญาธรรมของพระองค์ เหลา่ พระโพธสิ ตั วแ์ ละเทวดาสนทนาธรรมและปฏบิ ตั ธิ รรมกนั ได้ เชน่ เดียวกับฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ใจความสำ� คญั ของพระสตู รนค้ี อื “เมอื่ เราพจิ ารณาโลกในแสงจติ ภาพของไวโรจนพทุ ธ พทุ ธที่สูงสดุ หรือธรรมกาย เราเหน็ โลกเต็มไปด้วยความแจ่มใส เหน็ โลกแหง่ แสงบรสิ ทุ ธิแ์ ท้จรงิ ทกุ สิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นหนงึ่ หนงึ่ น้ันคือสจั จะสูงสดุ พทุ ธ จติ สรรพสตั วเ์ ปน็ หนงึ่ ” เรียบเรยี งจาก ส.ศวิ รกั ษ์ (นามแฝง). ความเข้าใจในเรือ่ งมหายาน. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : ศนู ยไ์ ทยทิเบต, ๒๕๔๕. สุชีพ ปุญญานภุ าพ. ประวตั ศิ าสตร์ศาสนา. พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓. กรุงเทพฯ : บ�ำรุงสาสน์ , ๒๕๑๖. สชุ ีพ ปุญญานภุ าพ. พระไตรปิฎก ฉบบั สำ� หรับประชาชน. พิมพค์ รั้งที่ ๑๗. กรุงเทพฯ : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . ๒๕๕๐. สมุ าลี มหณรงค์ชัย. พุทธศาสนามหายาน. พมิ พค์ รั้งแรก. กรุงเทพฯ : ศยาม, ๒๕๔๖. เสฐียร พนั ธรงั สี. พทุ ธศาสนามหายาน. พมิ พ์ครั้งที่ ๕. กรงุ เทพฯ : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔. เสถยี ร โพธนิ ันทะ. ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งท่ีสาม. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๒๕๒๒. อภชิ ัย โพธ์ปิ ระสิทธิศ์ าสต์. พระพทุ ธศาสนามหายาน. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๑. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๑. เว็บไซต์ พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโ. (๒๕๓๑). พุทธปรัชญาโยคาจาร : ประวัติ พัฒนาการ สารัตถธรรม และอิทธิพล. ในเว็บไซต์ http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=37๑&articlegroup_id=97 หน่งึ จดุ หมาย หลายหนทาง 57

ภ5า8พซ้มุ ประตมู หาสถปู ท่สี าญจี ประเทศอินเดยี

รอยพทุ ธในอนิ เดีย งานศิลป์ด้านพระพุทธศาสนาซึ่งสะท้อนถึงศรัทธาของผู้คนในอินเดียน้ัน ในระยะ เริ่มแรกหลังพุทธปรินิพพานต่อเนื่องมาประมาณ ๕ ศตวรรษ ถือหลักการไม่สร้าง รูปเหมือน มุ่งในค�ำสอนของพระพุทธองค์ที่ให้เคารพพระธรรมด้วยการปฏิบัติตาม พระธรรมคำ� สอน สรา้ งทำ� เพยี งรปู สญั ลกั ษณต์ า่ งๆ เชน่ บลั ลงั กว์ า่ ง ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ รอยพระบาทคู่ ธรรมจกั ร พรอ้ มกบั ภาพการเลา่ เรอ่ื งเกย่ี วกบั ชาดกพระชาตติ า่ งๆ กอ่ น การตรสั รู้ ประมวลและเรียบเรียงโดย นายแพทย์บญั ชา พงษ์พานิช หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 59

ภาพมหาสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย ภาพบุคคล สตั ว์ หนา้ บคุ คล และ ดอกบวั ประดบั เสาประตแู ละรั้วหนิ มหาสถูปท่ภี ารหตุ ภาพเสาซมุ้ ประตูมหาสถูปสาญจดี ้านทิศเหนอื โดยที่พระพุทธศาสนาแพร่ขยายอย่างมากหลัง ต้นตะวนั ออก มภี าพตรรี ัตนะขนาดใหญ่บนยอด จากพุทธปรินิพพาน มีการสร้างมหาวิหารและการบวช เรียน ปฏิบัติเพ่ือการหลุดพ้นซ่ึงต้องอาศัยความเพียร อย่างยิ่ง พร้อมกับการเกิดประเพณีการสักการบูชาและ สรา้ งเจตยิ สถานตา่ งๆ ดงั ทป่ี รากฏในพทุ ธประวตั วิ า่ หลงั ถวายเพลิงพระศพและแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุแล้ว มีการสถาปนาเป็นสถูปธาตุเจดีย์ใน ๘ นครก่อนที่ พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงรวบรวมจาก ๗ องค์แล้ว แบ่งประดิษฐานในพระสถูปเพ่ือแผ่พระศาสนาจนท่ัวท้ัง ชมพทู วปี ถงึ ๘๔,๐๐๐ องค์ พรอ้ มกบั เสาหนิ และจารกึ นนั้ กล่าวกันว่าสถูปอิฐองค์เดิมในมหาสถูปสาญจี (The Great Stupa of Sanchi) และธรรมราชกิ สถปู ทสี่ ารนาถ (Dharmarajika )Stupa in Sarnath น้ันสร้างโดย พระองค์ เชน่ เดยี วกบั เสาหนิ ทงั้ หลายทสี่ รา้ งทำ� ดว้ ยฝมี อื ชา่ งชน้ั ดี มผี วิ ขดั มนั บนยอดมแี ทน่ และรปู จำ� หลกั นานา สตั วท์ เี่ ชอ่ื วา่ รบั อทิ ธพิ ลจากตา่ งชาตภิ ายใตพ้ ระราชปู ถมั ภ์ ของพระองค์จนได้ชื่อว่า เสาอโศกแห่งสมัยโมริยะ (the Pillar of Ashoka, Maurya) ส่วนพระแท่นวัชรอาสน์ ท่โี คนพระศรีมหาโพธิ์แหง่ พุทธคยาน้นั ก็เชอ่ื ว่าเป็นสง่ิ ท่ี พระองคท์ รงสรา้ งถวายในคราวเสดจ็ มาสักการะ นอกจากวัดอโศการามที่กรุงปาฏลีบุตร (Patna) แล้ว พระองค์ทรงให้ ขยายสถูปพระโกนาคม พร้อมกับการให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระน�ำสังคายนา พระไตรปฎิ กครงั้ ท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๔) เพอื่ ความถกู ถว้ นตามแนวแหง่ เถรวาท กอ่ นทจ่ี ะเผยแผ่ ออกไปนอกพื้นท่ีรัฐอุตตรประเทศและพิหารของอินเดียปัจจุบัน จนท่ัวทั้งชมพูทวีป 60 ตลอดจนศรลี ังกา และนานาชาติในเอเชีย

ภาพยอดเสาซุ้มประตูทิศเหนือ มหาสถปู สาญจี มีภาพจ�ำหลักต่างๆ มากมาย ภาพพระพทุ ธรปู สมัยปาละ บนยอดสดุ มสี งิ ห์ ชา้ ง ตรีรัตนะ บุคคลและธรรมจักร ทีซ่ ุ้มรอบมหาโพธวิ ิหาร พุทธคยา สงุ คะ (Sunga) กานวะ (Kanva) และ สาตวาหนะ (Satavahana) คอื สมยั ตอ่ จากโมรยิ ะทกี่ ลา่ ว กนั วา่ มกี ารสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะในพระพทุ ธศาสนามากทส่ี ดุ โดยประชาชนจำ� นวนมากจากหลากหลายอาชพี โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าวานิช ท้ังๆ ท่ีผู้ปกครองเปล่ียนเป็นนับถือศาสนาพราหมณ์แล้ว รากฐานแห่ง พุทธสถานสำ� คัญ เชน่ ท่ี พทุ ธคยา (Bodhgaya) ภารหตุ (Bharhut) สาญจี (Sanchi) อมราวดี (Amar- vati) นาคารชุนโกณฑะ ( )Nagarjunakonda ภัชชา (Bhaja) นาสิก (Nasik) การ์ล่า (Karla) อชันตา (Ajanta) ฯลฯ ล้วนเร่ิมในสมัยนี้ ทง้ั รปู แบบคูหาวหิ าร (rock-cut )viharas ทต่ี ัดขดุ เข้าไปในเพงิ ผา และ ซมุ้ เสาประตูกับรว้ั (toranas and )railings รอบพระสถูป ดงั เชน่ ที่สาญจี ทเี่ ปน็ พระสถูปโดมครึ่งวงกลม มหี รรมกิ า (harmika) รองรบั รม่ บนยอดที่ก่ึงกลาง สถูปที่ภารหุตมีซุ้มเสาประตูหินท่ีแกะแสดงภาพบุคคล คชลกั ษมี ยกั ษนิ ี และยกั ษ์ โดยตามรวั้ เปน็ ภาพดอกบวั กบั หนา้ บคุ คล และสัตว์คล้ายมนุษย์ต่างๆ นอกน้ันเป็นภาพแสดงชาดกเมื่อครั้งยัง ทรงเป็นพระโพธิสัตว์และศากยมุนีโคตมะเมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมา- สัมโพธิญาณ นอกจากน้ี ภาพสลักหินที่สถูปภารหุต สาญจี และ อมราวดี ยงั แสดงใหเ้ หน็ ความนยิ มสกั การะพระศรมี หาโพธอ์ิ ยา่ งมาก ดว้ ย สถปู ทสี่ าญจซี ง่ึ มกี ารหมุ้ สถปู อฐิ เดมิ ทสี่ รา้ งสมยั พระเจา้ อโศก ดว้ ยหนิ ในศตวรรษหลงั นน้ั มหี ลกั ฐานจารกึ ชวี้ ่าซมุ้ เสาประตแู ละพน้ื ถูกเสริมเติมในพทุ ธศตวรรษที่ ๕ โดยทส่ี ถูปแหง่ อมราวดีทรี่ มิ แมน่ ำ้� กฤษณา-โคทาวารี (Krishna )Godavari ทางตะวันออกเฉียงใต้น้ัน นอกจากจะเป็นหลักฐานแสดงว่ามีการสร้างสถูปลักษณะนี้ท่ัวทั้ง อินเดียในสมัยน้ันแล้ว ยังเต็มไปด้วยแผ่นหินสลักประดับสถูปอย่าง วิจิตรกว่า ส่วนใหญ่เป็นภาพชาดกแสดงอดีตชาติของพระพุทธองค์ ภาพนางยกั ษิณี ที่ประตรู ว้ั มหาสถปู กับพทุ ธประวตั ิในรปู ลักษณะของสญั ลักษณ์ ภารหุต สวมสร้อยตรรี ัตนะ หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง 61

ทา่ มกลางการขยายตวั ของเครอื ขา่ ยการคา้ ขาย ท่ีรุ่งเรืองท้ังภายในและภายนอกอนุทวีปในสมัยราชวงศ์ กษุ าณะ (Kushanas )dynasty การกอ่ สรา้ งสถปู และการ สักการบูชาด้วยความมุ่งหมายในพระมหากรุณาคุณ จนกลายเปน็ การนบั ถอื พระพทุ ธองคเ์ สมอื นเทพเจา้ กเ็ ขา้ แทนท่ี พร้อมกับเกิดความต้องการรูปเหมือนเพื่อการ เคารพสักการะ และพึ่งพิง เร่ิมพบการสร้างรูปเหมือน พระพทุ ธเจา้ พระโพธสิ ตั ว์ และเทพตา่ งๆ ทม่ี เี อกลกั ษณ์ เฉพาะ ในหลายตระกูลงานศิลปะในหลายภูมิภาคของ อินเดีย ได้แก่ศิลปะแบบคันธาระ (Gandhara) ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ ศิลปะแบบมถุรา (Mathura) ใน ภาคเหนือ และแบบอมราวดี ของราชวงศ์สาตวาหนะ ทางตะวนั ออกเฉยี งใต้ โดยศลิ ปะแบบคนั ธาระมสี ว่ นผสม ภาพซุ้มประตูและร้ัวหินรอบมหาสถูปที่ภารหุต จัดแสดง ผสานของศิลปะกรีก โรมัน และปารเ์ ธยี น (Hellenistic, ที่พพิ ิธภณั ฑ์อนิ เดีย นครโกลกตั ตา้ Roman and )Parthian ท่ีนิยมท�ำด้วยหินชีสต์ (schist) และงานปูนป้ัน สว่ นศิลปะมถรุ าซง่ึ ถือเปน็ หนง่ึ ในศลิ ปะ ทไี่ ดช้ อื่ วา่ งดงามทส่ี ดุ ของอนิ เดยี มที งั้ ในศาสนาพราหมณ์ พทุ ธ และเชนพบตั้งแต่ยคุ ก่อนกุษาณะถึงจนสมยั คปุ ตะ (Gupta) นั้น นิยมแกะจากหินทรายแดง ส�ำหรับแบบ อมราวดที พ่ี บทอี่ มราวดี นาคารชนุ โกณฑะ และปรมิ ณฑล นิยมท�ำด้วยหินปูนขาวอมเขียว ล้วนแล้วแต่เป็นงานใน พระพทุ ธศาสนา กล่าวกันว่าเมื่อมหายานค่อยๆ ก่อตัวหลังการ สังคายนาครั้งที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๖) สนับสนุนโดยพระเจ้า กนษิ กะ (Kanishka) แหง่ ราชวงศก์ ษุ าณะ มกี รอบความ คดิ เรอื่ งพระธรรมกาย พระสมั โภคกาย และพระนริ มาณ- กาย ในลกั ษณะของตรกี าย มกี ารววิ ฒั นเ์ ปน็ กรอบความ คดิ พระพทุ ธเจา้ หา้ พระองคต์ ามทศิ ทง้ั ๔ และในใจกลาง รวมทั้งวัชรยานท่ีมีพระอาทิพุทธะ รวมทั้งพระธยานิ- ภาพแผ่นหินจ�ำหลักฯ สมัยอมราวดี จากมหาสถูปแห่ง พุทธะทัง้ ๕ จากน้นั ศิลปะแบบคุปตะซ่งึ ไดช้ อ่ื วา่ งดงาม นาคารชนุ โกณฑะ 62

ภาพพระโพธสิ ตั ว์ สมยั คนั ธาระ ภาพพระพทุ ธรูปสมยั คปุ ตะ ภาพพระพุทธรูปศลิ ปะแบบมถุรา ภาพพระพทุ ธรปู สมยั คนั ธาระ แสดงทพ่ี พิ ิธภณั ฑ์อนิ เดยี ปางธรรมจักรมุทรา หรือแสดง แสดงท่ีพิพิธภัณฑ์อินเดีย นครโกลกัตต้า ปฐมเทศนา พบท่ีสารนาถ นครโกลกัตตา้ อยา่ งทสี่ ดุ ของอนิ เดยี มศี นู ยส์ ำ� คญั ทมี่ ถรุ า สารนาถ อชนั ตา นาคาร- ชุนโกณฑะ โคลิ (Goli) ฯลฯ ก็พัฒนาข้ึน ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบ ทแ่ี พรห่ ลายทสี่ ดุ ทง้ั ในอนิ เดยี และนานาประเทศในเอเซยี โดยในสมยั คปุ ตะนเี้ องทกี่ ารสรา้ งทำ� ถำ้� วหิ ารและวดั ทอี่ ชนั ตาและเอลโลรา่ พฒั นา ถงึ ขดี สดุ รวมทงั้ การวาดภาพฝาผนงั ทง้ั นานาชาดกและพทุ ธประวตั ิ หลังสมัยคุปตะ ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในอินเดียอยู่ท่ี นาลนั ทา (Nalanda) วกิ รมศลิ า (Vikramshila) โสมาปรุ ะ (Somapura) โอทนั ตบรุ ี (Odantapuri) และชคทั ทละ (Jagaddala) ภายใตก้ ารทำ� นุ บ�ำรุงของราชวงศ์ปาละ (Pala dynasty) ซึ่งยังมีแบบอย่างเหลืออยู่ ที่นาลันทา กุรกิหาร (Kurkihar) ในพิหาร และโอริสสา (Orissa) มหาวิหารแห่งนาลันทาถือเป็นศูนย์กลางส�ำคัญ มีครูบาอาจารย์เจ้า เชน่ ศานตรกั ษติ ( )Shantarakshita เดนิ ทางไปเผยแผถ่ งึ ทเิ บต มกี าร พบรูปส�ำริดแบบนาลันทาท่ีเนปาล ทิเบต รวมทั้งชวาในอินโดนีเซีย ซง่ึ เชอื่ วา่ ลว้ นรบั อทิ ธพิ ลทางศลิ ปะไปดว้ ย ยคุ นร้ี ะบบคณุ คา่ ประเพณี พิธีกรรมของพุทธศาสนามหายานได้ผสมผสานกับประเพณีทาง ตันตระ และศาสนาพราหมณ์ จนถึงกับทางศาสนาพราหมณ์ถือว่า พระพุทธเจ้าคือพทุ ธาวตาร เป็นอวตารหนึง่ ของพระวษิ ณุ ภาพแผ่นหินจ�ำหลักภาพพุทธประวัติ คร้ังอสิตดาบสเข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะ ประดับมหาสถูปอมราวดี สมัยอมราวดี แสดงที่พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ กรงุ เดลี หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 63

โดยในอินเดียน้ัน ยังพบศูนย์กลางท่ีพุทธคยา และพหารปุระ (Paharpur) แถบมคธ (Magadh) พิหาร (Bihar) และเบงกอล (Bengal) สว่ นในอินเดียภาคใตน้ ้ัน นอกจากหลักฐานการสร้างพุทธสถานในคาบสมุทรแหลมทองของเอเซียอาคเนย์ภาย ใตร้ าชวงศ์โจฬะ (Chola )Dynasty แลว้ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ ทนี่ าคปฏั ฏนิ มั (Na- )gapattinam มกี ารสรา้ งวดั และการกลั ปนาถวายโดยกษตั รยิ จ์ ากเอเซยี อาคเนยอ์ กี ดว้ ย ภาพพระโพธิสตั วฯ์ สมยั คนั ธาระ รูปเคารพในพุทธศาสนาท่ีขยายเป็นหลายร้อย พันรูปแบบน้ัน เร่ิมจากไม่มีการสร้างรูปเหมือน มีแต่ เพียงเครื่องหมายสัญลักษณ์ เช่น สถูป เจดีย์ พระ ศรีมหาโพธิ์ พระบาทคู่ จากนั้นด้วยกรอบความคิดฝ่าย มหายานเกี่ยวกับตรีกาย น�ำมาซ่ึงหลากหลายรูปแบบ ของพระพทุ ธรปู ทมี่ หี ลกั รว่ มเกยี่ วกบั มหาปรุ สิ ลกั ษณะใน อาสนะและมุทราต่างๆ เม่ือมีกรอบความคิดเกี่ยวกับ พระโพธิสัตว์จ�ำนวนมากผู้มีมหากรุณาต่อสัตว์โลก โดย เฉพาะพระโพธสิ ตั วม์ ญั ชศุ รี และพระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ต- ศวร จนกระทงั่ ตาราในพทุ ธศาสนาแบบตนั ตระ มนตรา และมันดาลา ก็เกิดเป็นรูปแบบต่างๆ อย่างมากมาย โดยระดับชั้นของเทพในมหายานมีการจ�ำแนกไว้อย่าง เหลอื ประมาณ เรมิ่ จากพระอาทพิ ทุ ธะผสู้ รา้ ง พระธยา- นพิ ุทธะ ทงั้ ๕ (The Five Dhyani )Buddhas ประกอบ ดว้ ย พระไวโรจนะ พระอกั โษภยะ พระรตั นสมั ภวะ พระ อมิตาภะ และพระอโมฆสิทธิ (Vairocana, Akshobhya, Ratnasambhava, Amitabha, )Amoghasiddhi โดยใน เนปาลมีการเพม่ิ พระวัชรสัตวไ์ วด้ ้วย พระธยานิโพธสิ ัตว์ เหลา่ นย้ี งั มพี ระสมนั ตภทั ระ พระวชั รปาณิ พระรตั นปาณิ พระปัทมปาณิ พระวิศวปาณิ และพระคันธปาณิ ซึ่ง ซับซ้อนกว่ารูปแบบปางต่างๆ อย่างของเถววาท หรือ หนิ ยานอย่างมาก ยากทจี่ ะจดจำ� ได้หมด การได้รู้กรอบ ขอบเขตวิวัฒนาการนี้เป็นพ้ืนฐานอาจช่วยในการเข้าใจ จนเขา้ ถงึ ซง่ึ นยั ยะแหง่ พระธรรมและคตติ า่ งๆ ของผสู้ รา้ ง ท�ำไว้ไมม่ ากกน็ ้อย 64

ภาพเจดีย์มหาโพธวิ หิ าร ทพี่ ุทธคยา สมัยปาละ มีซุม้ พระพุทธรปู ปางตา่ งๆ รายรอบ เรยี บเรียงจาก The Way Of Buddha ของ Indian Museum, Kolkata, 2005. หน่งึ จดุ หมาย หลายหนทาง 65

กาลสมัยในอนิ เดยี โบราณ ๗,๐๐๐ ป ๒,๘๐๐ ป ๑,๐๐๐ ป เริ่มตน พ.ศ. ๑๐๐ พ.ศ. ๒๐๐ พ.ศ. ๓๐๐ พ.ศ. ๔๐๐ พ.ศ. ๕๐๐ พ.ศ. ๖๐๐ พ.ศ. ๗๐๐ พ.ศ. ๘๐๐ พ.ศ. ๙๐๐ พ.ศ. ๑๐๐๐ พ.ศ. ๑๑๐๐ กอนพทุ ธศักราช กอนพุทธศักราช กอ นพทุ ธศกั ราช พุทธกาล สมัยกอนประวตั ิศาสตร ชมุ ชนลุม น้ำสนิ ธุ (Indus) ๗,๐๐๐ ป กอ นพทุ ธศกั ราช สมัยเร่มิ ตน อารยธรรม โมเฮนโจดาโรและฮารปั ปา Mohenjo Daro & Harappa) ๒,๘๐๐ ป กอนพุทธศักราช ยุคพระเวทและมหาชนบท ๑,๐๐๐ ป- ๑๐๐ ป กอ น พ.ศ. อาณาจักรมคธ (ภาคกลาง) ราชวงศห ารยงั กะ (Haryanka) เรม่ิ ตนพุทธกาล-พ.ศ. ๑๒๖ ราชวงศศศิ นุ าค (Shishunaga) พ.ศ. ๑๒๖-๑๙๔ ราชวงศน ันทะ (Nanda) พ.ศ. ๑๙๔-๒๓๒ ราชวงศโมรยิ ะ (Maurya) พ.ศ. ๒๓๒-๓๕๘ ราชวงศสุงคะ (Sunga) พ.ศ. ๓๕๘-๔๗๐ ราชวงศก านวะ (Kanva) พ.ศ. ๔๗๐-๕๑๕ อาณาจกั รตะวันตกเฉียงเหนือ ราชวงศอ ันธระ (Andhra) พ.ศ. ๓๑๓-๗๔๒ ราชวงศคปุ ตะ (Gupta) พ.ศ. ๘๖๓-๑๐๙๓ ราชวงศห รษะ (Harsha) พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๑ ราชวงศค ชุ ระ-ปราติหาระ (Gurjara-Pratihara) พ.ศ. ๑๑๙๓-๑๕๗๘ ราชวงศปาละ (Pala) พ.ศ. ๑๒๙๓-๑๗๑๗ ราชวงศส ลุ ตานเดลี (Delhi Sultanate) พ.ศ. ๑๗๔๙-๒๐๖๙ ราชวงศโมกุล (Mughal) พ.ศ. ๒๐๖๙-๒๔๐๑ พศต. ๑ พศต. ๒ พศต. ๓ พศต. ๔ พศต. ๕ พศต. ๖ พศต. ๗ พศต. ๘ พศต. ๙ พศต. ๑๐ พศต. ๑๑ 66 * พศต. = พุทธศตวรรษ

พ.ศ. ๑๒๐๐ พ.ศ. ๑๓๐๐ พ.ศ. ๑๔๐๐ พ.ศ. ๑๕๐๐ พ.ศ. ๑๖๐๐ พ.ศ. ๑๗๐๐ พ.ศ. ๑๘๐๐ พ.ศ. ๑๙๐๐ พ.ศ. ๒๐๐๐ พ.ศ. ๒๑๐๐ พ.ศ. ๒๒๐๐ พ.ศ. ๒๓๐๐ พ.ศ. ๒๔๐๐ พ.ศ. ๒๕๐๐ ปจจุบนั ราชวงศอินโด-กรีก (Indo-Greek) พ.ศ. ๓๖๓-๖๑๓ ราชวงศกษุ าณะ (Kushanas) พ.ศ. ๕๔๒-๙๑๘ ราชวงศเฮฟธอลไลต (Indo-Hephthalites) พทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ ราชวงศคูลดิ สุลตา น พ.ศ. ๑๖๙๑-๑๗๕๘ อาณาจักรตอนเหนือและตอนกลาง อาณาจกั รตอนใต ยุคการปกครองขององั กฤษ ราชวงศก าลาบราส (Kalabhras) พศต. ๘-๑๑ ราชวงศก ทัมพะ (Kadamba) พศต. ๙-๑๑ พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๙๐ ราชวงศปล ลวะ (Pal ava) พศต. ๑๐-๑๓ ราชวงศจ าลุกยะ (Chalukya) พศต. ๑๐-๑๖ สาธารณรัฐอนิ เดยี ราชวงศปณ ทยะ (Pandya) พ.ศ. ๑๑๓๓-๑๘๘๘ ราชวงศโจฬะ (Chola) พ.ศ. ๑๓๙๑-๑๘๒๒ พ.ศ. ๒๔๙๓-ปจ จุบัน ราชวงศเ จระ (Chera) พศต.* ๑๓-๑๖ ราชวงศฮ อยซาลา (Hoysala) พศต. ๑๕-๑๙ พศต. ๑๓ พศต. ๑๔ พศต. ๑๕ พศต. ๑๖ พศต. ๑๗ พศต. ๑๘ พศต. ๑๙ พศต. ๒๐ พศต. ๒๑ พศต. ๒๒ พศต. ๒๓ พศต. ๒๔ พศต. ๒๕ พศต. ๒๖ หนึง่ จดุ หมาย หลายหนทาง 67

ภาพหนิ สลักพระโพธธิ รรม (ต้กั ม้อ โจวซอื )

พทุ ธศาสนามหายานในจีน พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปสปู่ ระเทศจนี ในสมยั ราชวงศฮ์ นั่ ตะวนั ออก จกั รพรรดฮิ นั่ หมงิ ต้ี (หลวิ จวง) ส่งคณะทตู ๑๘ คน ไปประเทศอนิ เดยี ที่เมืองโขตาน (Khotan ปจั จุบันเปน็ ของจีน สมัยนั้นอยู่ในอาณาเขตอินเดีย) เพื่อให้น�ำเอาพระพุทธศาสนากลับมาสู่ประเทศ จีน เมื่อคณะทูตกลับมาสู่ราชส�ำนักที่ล่ัวหยางในรัชศกหย่งผิงปีที่ ๑๐ (พ.ศ. ๖๑๐/ ค.ศ. ๖๗) พรอ้ มกบั คณะทม่ี าดว้ ยเปน็ พระภกิ ษชุ าวอนิ เดยี ๒ รปู ชอ่ื วา่ พระกสั ปมาตงั คะ และพระธรรมรักษ์ ได้ใช้ม้าสีขาวบรรทุกพระพุทธรูปและพระสูตรเข้ามาด้วย พระภิกษุ ชาวอนิ เดยี ทง้ั สองรปู ไดร้ บั การตอ้ นรบั ดว้ ยความยนิ ดยี งิ่ จากจกั รพรรดฮิ น่ั หมงิ ตี้ หลงั จากนนั้ พระองคโ์ ปรดใหส้ รา้ งอารามในนครลวั่ หยาง และพระราชทานนามวา่ “ไปห๋ มา่ ซอื่ ” แปลวา่ วัดมา้ ขาว นบั เปน็ พระสังฆารามแห่งแรกในประเทศจีน และถอื เปน็ อนุสรณแ์ ก่มา้ ที่บรรทุกพระธรรมคัมภีร์มา ในเวลาต่อมา ท่านทั้งสองก็ได้แปลพระสูตรเป็นภาษาจีน ๔๒ บท หลงั สมัยฮนั่ ตะวนั ออกเป็นต้นมา พระภกิ ษจุ ากอนิ เดียและเอเชียกลาง ทยอยกันเข้า สูแ่ ผ่นดินจนี แปลคมั ภีร์พทุ ธศาสนาจ�ำนวนมากโดยมคี นจีนชว่ ยในการแปล หลังจากนนั้ ค�ำสอนจึงเริม่ เผยแผอ่ อกไป ประมวลและเรยี บเรยี งโดย นายสมบัติ ทารัก หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 69

ภาพวัดม้าขาว เมืองลว่ั หยาง ประเทศจนี ภาพมา้ ทีบ่ รรทุกพระคมั ภรี ์ หลักส�ำคัญของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือหลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิ ซ่ึงเป็นหลักที่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานแต่ละนิกายยอมรับนับถือ มหายาน ทุกนิกายย่อมมุ่งหมายโพธิสัตวภูมิ ซ่ึงเป็นเหตุที่ให้บรรลุพุทธภูมิ บุคคลหน่ึง บุคคลใดที่จะบรรลุถึงพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบ�ำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ มากอ่ น เพราะฉะนนั้ จงึ ถอื วา่ โพธสิ ตั วภมู เิ ปน็ เหตุ พทุ ธภมู เิ ปน็ ผล เมอื่ บรรลพุ ทุ ธภมู ิ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวาง และขณะ บำ� เพญ็ บารมเี ปน็ พระโพธสิ ตั ว์ กย็ งั สามารถชว่ ยเหลอื สรรพสตั วท์ ต่ี กทกุ ขใ์ นสงั สารวฏั ได้มากมาย อุดมคตอิ นั เปน็ จุดหมายสงู สุดของมหายานจงึ อยู่ทกี่ ารบำ� เพญ็ บารมีตาม แนวทางพระโพธสิ ตั ว์ เพ่ือน�ำพาสรรพสัตว์สู่ความหลดุ พน้ จากวัฏสงสารให้หมดส้นิ นกิ ายสำ� คญั ของมหายานในประเทศจีน มหายานในอนิ เดยี มปี รชั ญาแบง่ ออกเปน็ ๓ สาย หรอื ๓ นกิ าย คอื ๑. นกิ าย ศูนยวาทหรือมาธยมิก แปลว่าทางสายกลาง ปฐมาจารย์คือท่านนาคารชุน อธิบาย พุทธมตดิ ้วยวภิ าษวธิ ี ๒. นิกายวชิ ญาณวาทหรือโยคาจาร ปฐมาจารย์คอื ทา่ นไมเตรยนาถ 70

นิกายนี้เน้นมโนภาพนิยม ๓. นิกายจิตอมตวาท นิกายนี้เจริญข้ึนสมัยราชวงศ์คุปตะ มีค�ำสอนว่า จกั รภพมปี ทฏั ฐานจากสมบรู ณภาพ ภาวะอนั เปน็ แกน่ สารของโลกคอื ความจรงิ แท้ ในชว่ งปลายมเี พม่ิ อกี หนง่ึ นกิ ายคอื ตนั ตรยานหรอื มนตรยาน นกิ ายนไ้ี ดน้ ำ� หลกั ของฮนิ ดเู ขา้ มาปนมาก เพอื่ ตอ้ งการจะแขง่ กบั ฮินดจู ึงกลบั ไปยกย่องเวทมนตร์ อาคมต่างๆ เม่ือพระพุทธศาสนาเข้าไปเจริญในประเทศจีนแล้ว แผ่นดินจีนได้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ ปรัชญาพุทธศาสนามหายานให้เจริญงอกงาม คณาจารย์จีนได้ปรับประยุกต์หลักธรรมโดยผนวกเอา ปรัชญาแนวคิดแบบจีนมาอธิบายต้ังเป็นส�ำนักนิกายต่างๆ ข้ึน มีลักษณะแตกต่างจากพุทธศาสนาเม่ือ แรกรับมาจากอินเดีย ยุครุ่งเรืองของพุทธศาสนาในจีนเร่ิมตั้งแต่สมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ ที่แผ่นดินจีน แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย และเข้าสู่ยุคทองสมัยราชวงศ์สุยและถัง นิกายท่ีเกิดข้ึนในเมืองจีนแท้ๆ คือ นิกายสัทธรรมปุณฑริก (เทยี นไทจ้ ง) นกิ ายเซ็นหรอื ธยฺ าน (ฉานจง) นิกายอวตังสกะ (หวั เหยนิ จง) และ นกิ ายสุขาวดี (จ้งิ ถูจ่ ง) นอกจากน้ียังมีนกิ ายท่สี ำ� คญั ๆ อกี หลายนกิ าย ดังตอ่ ไปน้ี ๑. นิกายตรีศาสตร์ (ซานลนุ่ จง) เปน็ นกิ ายทมี่ เี นอ้ื หาคำ� สอน หลกั ปรชั ญาการปฏบิ ตั ใิ กลเ้ คยี งกบั แนวคดิ ของพระนาคารชนุ ในอินเดีย ด้วยเหตุที่ยึดถือคัมภีร์ ๓ เล่มเป็นหลักของนิกาย ได้แก่คัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ คัมภีร์ ทวาทศนิกายศาสตร์ของพระนาคารชุน และคัมภีร์ศตศาสตร์ของพระอารยเทวะตามล�ำดับ ท่าน นาคารชุนได้ประกาศทฤษฎีศูนยตวาทินด้วยอาศัยหลักปัจจยาการ และอนัตตาของพระพุทธองค์ เป็นปทัฏฐาน กล่าวว่า สังขตธรรม อสังขตธรรม มีสภาพเท่ากัน คือ สูญ ไม่มีอะไรที่มีอยู่เป็นอยู่ ด้วยตัวของมันเองได้อย่างปราศจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แม้กระท้ังพระนิรวาณ เพราะฉะนั้น อย่า ว่าแต่สังขตธรรมเป็นมายาไร้แก่นสารเลย พระนิรวาณก็เป็นมายาด้วย สิ่งท่ีท่านนาคารชุนปฏิเสธ คือ “สงิ่ ทม่ี ีอยูด่ ้วยตัวของมันเอง” ทกุ อย่างไม่ว่าจะเปน็ อยโู่ ดยสมมตหิ รือปรมตั ถ์ โดยสรปุ คือ “มงุ่ เพง่ เหน็ ความเป็นสูญของสาระแทแ้ ห่งสรรพธรรม ฝึกใหเ้ กิดพลังชีวติ เป็นอิสระและปราศจากความ ขดั ข้อง ไม่ถกู กกั อยู่ในขอบเขตใด” พระจ๋ีจ้างซ่ึงมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์สุยและถังเป็นผู้วางระบบและเผยแพร่หลักธรรมของ นิกายน้ีจนเป็นทแ่ี พรห่ ลาย แตภ่ ายหลังการมรณภาพของพระจ๋จี ้าง ค�ำสอนตา่ งๆ รวมทัง้ ผู้ศรทั ธา ก็ได้รวมกบั นกิ ายเทยี นไท่และธยฺ าน ทำ� ให้นิกายน้ไี ม่มีการพฒั นาตอ่ หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 71

ภาพรูปหล่อพระเสวยี นจา้ ง (พระถงั ซำ� จ๋งั ) ๒. นกิ ายธรรมลกั ษณ์ หรอื วชิ ญาณวาทนิ หรอื โยคาจาร (ฝา่ เซ่ยี งจง) ภาพวาดพระเสวยี นจา้ ง 72 นิกายธรรมลักษณะ เป็นชื่อท่ีเรียกกันใน ภาษาจีนหมายถึงโยคาจาร หรือวิชญาณวาทิน นั่นเอง มีคุณลักษณะทั้งทางหลักค�ำสอนกับการ ปฏิบัติใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนาฝ่ายสาวกยาน ทสี่ ดุ จดั ไดว้ ่าเปน็ ปรชั ญาฝ่ายอภธิ รรมมหายานเลย ทีเดียว นิกายนี้พัฒนาขึ้นมาจากนิกายโยคาจารใน อินเดีย คัมภีร์ส�ำคัญของนิกายโยคาจารคือ โยคา- จารภูมิศาสตร์ โยคาจารเข้าสู่จีนในช่วงราชวงศ์ เหนือ-ใต้ โดยมีพระโพธิรุจิเป็นผู้น�ำเข้าไป คัมภีร์ ท่ีพระโพธิรุจิเผยแพร่คือ ทศภูมิศาสตร์ ต่อมาพระ เสวียนจ้าง (พระถังซ�ำจ๋ัง) ได้แปลคัมภีร์หลักคือ โยคาจารภูมิศาสตร์ ศิษย์พระเสวียนจ้างนามว่า พระคุยจีแห่งวัดฉือเอินเป็นผู้สืบทอดต่อ พระสูตรท่ี ส�ำคัญของนิกาย เช่น สันธินิรโมจนสูตร ลังกาว- ตารสูตร นอกจากน้ียังมีศาสตร์ส�ำคัญ เช่น โยคา- จารภมู ิศาสตร์ มหายานสมั ปริคหศาสตร์ ทศภูมิก- ศาสตร์ ธรรมลักษณ์ได้สอนหนักไปทางลัทธิ มโนภาพนิยม (Idealism) ด้วยการสอนว่า ทุกสิ่ง ทกุ อยา่ ง ไมว่ า่ สงั ขตะ อสงั ขตะ ลว้ นแตอ่ อกจากจติ ทง้ั สน้ิ จติ นเ้ี รยี กวา่ อาลยวชิ ญาณ หรอื อาลยวญิ ญาณ วิญญาณน้ีแท้จริงก็คือ ตัวภวังคจิตในอภิธรรม ปิฎกของฝ่ายเถรวาทน่ันเอง เป็นจิตท่ีเกิดดับอยู่ทุก ขณะ สืบภพสืบชาติและรับอารมณ์ เสวยวิบากอยู่ เรื่อยจนกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จิตน้ี ก็จักดับสุดรอบ มูลการณะของสรรพสิ่งอยู่ท่ีอาลย- วิญญาณ น้เี ปน็ ปทัฏฐาน นอกจากน้ีธรรมลกั ษณ์ได้

สอนถึงวญิ ญาณทั้ง ๘ คอื จกั ขวุ ญิ ญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ มโนวิญญาณ กลศิ ตมโนวิญญาณ และอาลยวิญญาณ เน่ืองจากหลักธรรมโยคาจารมีความละเอียดซับซ้อนเน้นไปทางอภิธรรม จึงไม่เป็นที่นิยม ของนักปราชญ์ชาวจีนนัก ด�ำรงอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง แผ่วลงสมัยราชวงศ์ซ่งและอับแสงลงในท่ีสุด และถูกนำ� กลบั มาศกึ ษาอกี ครั้งสมัยปลายราชวงศ์ชงิ ๓. นิกายวินยั (หลู่จง) ในสมยั พระธรรมกาลเดินทางจากอนิ เดยี เขา้ สู่จนี เรมิ่ มกี ารบวชให้กลุ บตุ รจีน โดยยดึ พระ วินัยของนิกายมหาสังฆิกะเป็นหลัก ต่อมามีการประมวลรวมพระวินัยปิฎกของนิกายธรรมคุปต์ สรวาสติวาทิน มหิศาสกะ นิกายนี้เน้นเรื่องของศีลและวินัย โดยถือพุทธพจน์ที่ว่า “เม่ือตถาคต ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมวินัยจักเป็นศาสดาของภิกษุท้ังหลาย” พระอาจารย์เต้าเซวียน แห่งเขา จงหนาน ในสมยั ราชวงศ์ถัง เปน็ ผเู้ ผยแพร่ โดยถอื เอาคมั ภรี ์ธรรมคปุ ตะวินยั ของนกิ ายธรรมคปุ ต์ เป็นหลักของนิกาย นับว่าท่านเป็นพระอาจารย์ผู้รักษาและเผยแพร่พระธรรมวินัยท่ีมีชื่อเสียงมาก ที่สุดรปู หนง่ึ แม้ในปจั จุบนั พระจนี มหายานนกิ ายโดยมากกร็ ักษาศีลตามแบบของนิกายนเ้ี ชน่ กัน ศีลของพระภิกษุ ๒๕๐ แบ่งเป็นปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ ปาจิตตีย์ ๑๒๐ อนิยต ๒ ปาฏเิ ทสนียะ ๔ สกิ ขากรณยี ์ (เสขยิ ะ) ๑๐๐ อธกิ รณสมถะ ๗ ศีลของภิกษุณี ๓๔๘ แบ่งเป็นปาราชิก ๘ สังฆาทิเสส ๑๗ ปาจิตตีย์ ๒๐๘ ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขากรณีย์ (เสขิยะ) ๑๐๐ อธิกรณสมถะ ๗ พระวินัยของนิกายนี้เป็นประมวลพระวินัยของหลายนิกายเข้าด้วยกัน นิกายน้ีถือว่าถ้าศีล ไมบ่ รสิ ทุ ธแ์ิ ลว้ สมาธิ ปญั ญากย็ ากจะเกดิ และแบง่ ประเภทของศลี ตามคตมิ หายานเปน็ ๓ ประเภท ๑) สมั ภารสงั คหศลี การงดเวน้ การประกอบอกศุ ลกรรมทผี่ ดิ บทบญั ญตั วิ นิ ยั ๒) กศุ ลสงั คหศลี การ ประกอบกุศลไม่ขาด ๓) สัตตวารถกริยาสังคหศีล การบ�ำเพ็ญประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ ทั้งสาม ประการนีต้ า่ งอาศยั กัน หน่ึงจุดหมาย หลายหนทาง 73

๔. นิกายมนตรยาน (มิกจง) ยดึ ถอื คมั ภรี ม์ หาไวโรจนสตู ร, วชั รเสขรสตู ร เปน็ ตน้ ซึง่ แปลโดยมหาบรุ ษุ ทง้ั ๓ คือ ทา่ นศภุ กร- สงิ หะ ทา่ นวชั รโพธิ ทา่ นอโมฆะวชั ระตามลำ� ดบั ซง่ึ ท่านศุภกรสิงหะน�ำตันตรยานเข้ามาเผยแผ่ในจีน สมัยราชวงศ์ถัง รัชศกไคหยวน สมัยจักรพรรดิถัง เสวียนจง ภาพพระโพธิสตั วก์ ับศักติ ยบั ยมุ ต�ำนานบอกว่า พระไวโรจนพุทธะเป็นผู้ แสดงหลกั ของตนั ตระ (มนั ตระ) ตอ่ มาพระนาคารชนุ น�ำออกมาประกาศแกช่ าวโลก ตนั ตระนี้ มชี ื่อเรียกอีกหลายชอ่ื คือ มนั ตระ วัชระ สหชะ หรอื คยุ หยาน ค�ำว่า “ตันตระ” แปลว่า ระเบียบ หรือเส้นด้าย เพราะเป็นนิกายที่มีระเบียบแบบแผน ที่ชัดเจนเคร่งครัดในการปฏิบัติ เม่ือปฏิบัติจนมีพัฒนาการทางจิตสูงส่งแล้ว สามารถเอา เพศตรงกนั เขา้ มาร่วมในภาคปฏิบตั เิ พ่ือเป็นปัจจัยเรง่ ใหบ้ รรลเุ รว็ ขึ้น นกิ ายนนี้ ิยมท่องมนต์ หรอื มันตระท่อี ยู่ในรปู ของธารณี เช่น มหากรุณา ธารณี หรือโอม มณี ปัทเม หูม มนั ตระเหล่านีเ้ ป็นพยางคศ์ ักด์ิสทิ ธิ์ อกั ษรทกุ ตวั จะเปน็ ตวั กระตุ้นกลไกการทำ� งานของรา่ งกาย “เมือ่ ปฏิบัตจิ นมพี ฒั นาการทางจิตสงู สง่ แล้ว สามารถเอาเพศตรงกนั เข้า มาร่วมในภาคปฏิบตั เิ พ่อื เปน็ ปัจจัยเรง่ ใหบ้ รรลเุ รว็ ข้นึ ” สัญลักษณ์เพศชายสะท้อนภาพออกมาเป็นพระโพธิสัตว์ ปัญญาเป็น สัญลักษณ์ของเพศหญิง จะเห็นว่ามหายานแบบตันตระนิยมท่ีจะสร้างรูปพระ โพธิสตั วค์ กู่ ับศักติ (Consort) รวมอย่ดู ้วย มรี ะบบการถา่ ยทอดคำ� สอนดว้ ยวธิ กี าร “อภเิ ษก” ผา่ นจากอาจารยส์ ศู่ ษิ ย์ จะเรยี นดว้ ยตวั เองมไิ ด้ ตอ้ งไดร้ บั การอภเิ ษกจากอาจารยเ์ ทา่ นน้ั ความรสู้ งู สดุ คอื การรูแ้ จง้ ในจิตของตน มี “สรรเพชรดาญาณ” คอื ความร้ชู ัดว่าจิตของตนแต่ไหน แตไ่ รมาก็ไมม่ ีการเกดิ ดับ รู้ชัดอยา่ งนกี้ ็จกั บรรลุพุทธภูมิ 74

นิกายมนตรยานในจีนและญ่ีปุ่นไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ของทิเบตพิสดารกว่า เพราะมี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยนาลนั ทา วกิ รมศิลา โอทนั ตบุรี น�ำเข้าไปเผยแผโ่ ดยตรง ๕. นิกายธยฺ าน หรือฌาน หรือเซน (ฉานจง) เป็นนิกายท่ีสืบทอดมาในสมัยของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ โจวซือ) ในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ นิกายนี้มีสัญลักษณ์การ ถ่ายทอดธรรมด้วยการมอบบาตรและจีวรในต�ำแหน่งพระสังฆ- ปริณายก ค�ำสอนฌานได้รับการสืบต่อจนถึงสังฆปริณายกองค์ ท่ีหกท่านฮุ่ยเหนิง ฌานในแผ่นดินจีนเร่ิมมีเอกลักษณ์เป็นของ ตนเอง เป็นพุทธศาสนาท่ีเกี่ยวข้องกับการด�ำเนินชีวิตมากกว่า เปน็ ทฤษฎี ในยคุ ของทา่ นฮยุ่ เหนงิ น้ี ฌานแตกออกเปน็ สองฝา่ ย คือฝ่ายเหนือน�ำโดยท่านเสินซิ่ว เน้นค�ำสอนแบบค่อยเป็นค่อย ไปเพ่ือมุ่งสู่ความหลุดพ้นอย่างเป็นข้ันเป็นตอน ฝ่ายใต้น�ำโดย ทา่ นฮ่ยุ เหนงิ เนน้ การบรรลเุ ฉยี บพลนั ไม่ตดิ ขอ้ งในอะไรทง้ั สนิ้ แม้แต่พระรัตนตรัย พิธีกรรม ปรัชญา รูปเคารพต่างๆ ต่อมา ฌานฝ่ายเหนือหมดอทิ ธพิ ล คำ� สอนฝ่ายใต้จึงไดร้ บั การสืบทอด ธรรมเนียมการสง่ มอบบาตรและจวี รกย็ ุตลิ งดว้ ย ภาพวาดพระโพธิธรรม (ตั๊กมอ้ โจวซอื ) ภายหลัง พ.ศ. ๑๓๘๘ เกิดการกวาดล้างพุทธศาสนา ครัง้ ใหญ่ ท�ำใหฌ้ านแตกออกเปน็ ๕ สาขาใหญ่ มีลักษณะการ สอนไปคนละแบบ ไดแ้ ก่ • สาขาเวย่ หยาง การปฏิบัตธิ รรมใชร้ ปู วงกลมเป็นสือ่ แสดงธรรมชาติของการตรสั รู้ • สาขาหยนุ เหมนิ วธิ กี ารของสาขานใี้ ชค้ ำ� พดู หรอื อกั ษรเพยี งคำ� เดยี วในการตอบคำ� ถาม ซึ่งตอ่ มากลายเปน็ ลกั ษณะของฌานโดยรวม • สาขาฟาเหยน วิธีการของสาขาน้ีนิยมตอบค�ำถามด้วยการพูดซ้�ำทวนค�ำถาม ต่อมา กลายเปน็ วธิ ขี องฌานโดยรวมเชน่ กนั • สาขาเฉาต้ง วิธีการของสาขานี้เรียกว่าข้ันตอนท้ังห้า ซึ่งเป็นการมองความจริงจากแง่ มุมต่างๆ ทกุ แงม่ ุมล้วนมเี อกภาพเดียวกัน • สาขาหลินฉี สาขาน้ีใช้การตะโกนและวิธีรุนแรงในการปลุกจิตให้ต่ืน สาขานี้โดดเด่น ท่ีสดุ สาขาทีส่ �ำคัญและไดร้ ับการสืบทอดมาจนทกุ วนั นีม้ เี พยี ง ๒ สาขา คือ เฉาตง้ และหลินฉี หนงึ่ จุดหมาย หลายหนทาง 75

ภาพพุทธเกษตร (อาณาจกั รแห่งพระพุทธเจ้า) หรอื วิสทุ ธิภูมิ (ดนิ แดนบรสิ ุทธิ์) ตามความเชอ่ื ของศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน การบรรลุธรรมในนกิ ายฌาน เรียกวา่ “ซาโตริ” ( satori) หมายถึง การรแู้ จง้ แห่งสภาวะความจริงสงู สุด กล่าวคอื ซาโตริ เป็นประสบการณ์การรับรู้ ความจรงิ วา่ สรรพสงิ่ ในจกั รวาลลว้ นเปน็ หนง่ึ เดยี วกนั หรอื กลา่ วไดว้ า่ ประสบการณ์ ซาโตรนิ เ้ี ปน็ การทำ� ลายความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความแบง่ แยก เปน็ การไดม้ า ซง่ึ ความเขา้ ใจวา่ ทแี่ ทแ้ ลว้ ทกุ สรรพสง่ิ ลว้ นเปน็ หนงึ่ เดยี ว กลา่ วคอื เปน็ เพยี งความ วา่ ง หรอื ความเปน็ เชน่ นนั้ เอง (Suchness) มวี ธิ กี ารหลกั เพอ่ื การบรรลธุ รรม ๓ วธิ ี ดว้ ยกนั คอื ซาเซน็ ( zazen) หรอื การนง่ั สมาธิ ซนั เซน็ ( sanzen) หรอื การขบคิดปริศนาธรรม ( kōan) และมนโด ( mondō) หรือการถาม ตอบอยา่ งฉับพลัน ถึงแม้ว่าหลักส�ำคัญของพุทธศาสนานิกายฌาน คือ การสืบทอดพิเศษ นอกคมั ภรี ์ ไมต่ อ้ งอาศยั คำ� พดู และตวั อกั ษร ชต้ี รงไปยงั แกน่ แทข้ องมนษุ ยใ์ หเ้ หน็ แจง้ ในธรรมชาติของตนเองและบรรลุความเป็นพุทธะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฌาน ปฏิเสธคัมภีร์หรือตัวอักษร ในทางตรงข้าม อาจารย์ฌานทั้งหลายต่างได้สร้าง วรรณกรรมมากมายดงั ปรากฏเปน็ ปรศิ นาธรรม บทกวี เปน็ ตน้ พทุ ธศาสนานกิ าย ฌานเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งซ่ึงได้รับอิทธิพลทางความคิดจากจีนและอินเดีย ท่ีได้รับสืบทอดจากพระสูตรส�ำคัญๆ ดังนี้ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร สัทธรรม 76

ภาพแดนสขุ าวดี หมายถงึ ดนิ แดนทีม่ แี ต่ความสุข ปราศจากทกุ ข์ ภาพพระพทุ ธเจ้าอมติ าภะ เป็นสวรรคท์ ี่งามวจิ ิตร ปุณฑริกสูตร สูตรเว่ยหลาง วัชรสูตร แต่พระสูตรที่ส�ำคัญคือลังกาวตารสูตร ดังมีประวัติเล่าว่า ท่านโพธิธรรมได้มอบลังกาวตารสูตรให้กับผู้สืบทอดต�ำแหน่งสังฆปริณายกเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ สืบตอ่ กันมา ๖. นกิ ายสขุ าวดี (เจง่ โทว้ จงหรือจงิ้ ถู่จง) ยดึ ถอื คมั ภรี ์ ๓ สตู ร ๑ ศาสตร์ เปน็ หลกั ของนกิ าย คอื อมติ ายสุ ตู ร (มหาสขุ าวดวี ยหุ สตู ร), อมติ ายรุ ธยฺ านสตู ร, อมติ าภะสตู ร (จลุ สขุ าวดวี ยหุ สตู ร) และอมติ ายสุ ตู รอปุ เทศศาสตรข์ องพระวส-ุ พนั ธ์ พระซา่ นเตา้ ในสมยั ราชวงศถ์ งั เปน็ ผนู้ ำ� คำ� สอนเรอ่ื งการระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ อมติ าภะ เพอ่ื การ ถอื กำ� เนดิ ในดนิ แดนสขุ าวดี นกิ ายนเ้ี นน้ ยำ�้ ในการสวดพระนามของพระอมติ าภะพทุ ธเจา้ วา่ “หนาน มอ อา มี ทอ้ โฝว” (ขอนอบน้อมแด่พระอมิตาภะพุทธเจ้า) ควบคู่กบั การบำ� เพ็ญกศุ ลในขณะที่ยัง มีชีวติ เปน็ นิกายที่เขา้ ถึงประชาชนท่ัวไป ส�ำนักสุขาวดีและพระอมิตาภะเป็นท่รี ูจ้ กั ของชาวพทุ ธจนี และญีป่ ่นุ มากกว่าสำ� นักพุทธอื่น หนึง่ จดุ หมาย หลายหนทาง 77

๗. นกิ ายสัทธรรมปณุ ฑริก (เทียนไท้จงหรือเทียนไถจง) นกิ ายเทยี นไถ ถอื กำ� เนดิ ในสมยั ราชวงศส์ ยุ ทภ่ี เู ขาเทยี นไถ มณฑลเจอ้ - เจยี ง โดยพระฉอี ี้ (ชอ่ื อน่ื จอ๊ื อ)ี่ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ พระฮยุ่ เหวนิ ไดศ้ กึ ษาคมั ภรี ์ มหาปรชั ญาปารมติ าและมาธยมกิ ศาสตรข์ องพระนาคารชนุ จนแตกฉาน เหน็ แจง้ ในข้อธรรม จึงน�ำความรู้นั้นออกเผยแผ่แก่ศิษย์ แต่ผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญเป็นศิษย์ รนุ่ ท่ี ๓ นามวา่ ฉอี ี้ ทา่ นเปน็ พระทท่ี รงคณุ ธรรมและมสี ตปิ ญั ญาเปน็ เลศิ เปน็ ผวู้ าง ระบบค�ำสอนของส�ำนักน้ีให้สมบูรณ์ และหยิบยกคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรข้ึน มาเปน็ หลกั ของนกิ าย ทา่ นไดจ้ ดั ระบบคำ� สอนการเผยแผพ่ ระธรรมของพระพทุ ธองค์ ออกเป็น “ระยะเวลา ๕ ชว่ ง” และ “ค�ำสอน ๘ อยา่ ง” ท่านฉีอี้ให้ความส�ำคัญกับความจริงในแง่บวก ท่านเช่ือว่าสัจภาวะไม่ อาจเข้าใจได้ถ้าแยกขาดจากปรากฏการณ์ (หรือโลกเชิงประจักษ์) สัจภาวะ ครอบคลุมปรากฏการณ์ท้ังหมด มีเนื้อหาท้ังในด้านยืนยันและปฏิเสธ สัจภาวะ เปน็ ทง้ั สญุ ญตาและไมใ่ ชส่ ญุ ญตา เนอ่ื งเพราะความจรงิ ครอบคลมุ ทกุ อยา่ งไวห้ มด จึงเกิดทฤษฎีการเพ่งพินิจเพ่ือมุ่งสู่ความจริง ๓ ประการ และทฤษฎีความจริง ๓ ประการหรอื ตรสี ัตย์ อันถอื เปน็ เอกลกั ษณ์ทางความคดิ ของนกิ ายน้ี ๘. นิกายอวตังสกะ (หวั เหยนิ จง) นกิ ายนไี้ ดร้ บั การกอ่ ตง้ั ขน้ึ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ มพี นื้ ฐานอยทู่ ี่ “อวตงั สกสตู ร” พระสตู รนมี้ คี วามยาวมากประกอบขน้ึ จากหลายๆ พระสูตรย่อย หลกั ธรรมสำ� คญั บางเรอื่ ง เชน่ เรอื่ งหล่ี (Li) วา่ ดว้ ยหลกั การสากล ความ จริงปรมัตถ์ โลกจริงแท้ เรื่องชิ (Shih) ว่าด้วยเรื่องส่ิงเฉพาะ โลกปรากฏการณ์ (Phenomenon) ทั้งโลกจริงแท้และโลกปรากฏการณ์หรือสมมติสัจจะกับปรมัตถ- สัจจะแทรกอยู่ในกันและกัน ท่านฝาซังได้แสดงธรรมแก่พระนางอู่เจ๋อเทียน อธบิ ายใหเ้ หน็ ความจรงิ ของแตล่ ะอยา่ งวา่ รวมหรอื แทรกอยใู่ นทเ่ี ดยี วกนั ตวั อยา่ ง เช่น สิงโตท่ีท�ำด้วยทองค�ำ รูปสิงโตเป็นชิ ส่วนทองค�ำที่เป็นเนื้อแท้ของสิงโตน้ัน เป็นหล่ี หากปราศจากรูปทรง ทองก็แสดงเนื้อหาไม่ได้ ดังนั้นท้ังหล่ีและชิต่างก็ ต้องอาศยั กนั และกนั ในการมอี ยู่ โลกปรากฏการณเ์ ปน็ ชอ่ งทางปรากฏตวั ของโลกจรงิ แท้ เพยี งแตโ่ ลกจรงิ แทม้ ีหนงึ่ เดียว โลกปรากฏการณ์มีมากกว่า แตจ่ ริงๆ แล้วก็คือทัง้ หมดอยู่ในหน่งึ 78

เดียว หนึ่งเดียวอยู่ในทั้งหมด แทรกอยู่ด้วยกัน นิกายหัวเหยินนิยมท่ีจะพูดเก่ียวกับความเป็นหนึ่ง เดียวของโลกธาตุ เรื่องเอกสัตยธรรมธาตุ เรื่องเอกจิตของจักรวาล เรื่องลักษณะร่วม ๖ ประการ ของโลกธาตุ เปน็ หลกั การสำ� คญั ของนกิ าย เปน็ การสะทอ้ นใหเ้ หน็ ความจรงิ เกย่ี วกบั วฏั ฏะ โลกธาตุ หมุนวนอยา่ งน้ี ในบรรดาพุทธศาสนามหายานท่ีแพร่หลายในจีนท้ัง ๘ นิกายนี้ นิกายเทียนไท้และอวตัง- สกะมเี นอ้ื หาคำ� สอนทเ่ี ปน็ แนวคดิ แบบจนี ทส่ี มบรู ณจ์ นถงึ ขดี สดุ มคี วามยากลกึ ซงี้ จ�ำแนกหลกั ธรรม โดยพิสดาร แต่ถึงกระน้ันก็มีผู้สนใจศึกษาอย่างแพร่หลาย ส่วนนิกายธฺยาน (เซน) และสุขาวดี กถ็ อื ก�ำเนิดในแผน่ ดนิ จนี เชน่ เดียวกนั แต่มคี วามเรยี บง่ายในการเข้าถงึ นอกจากนยี้ งั มปี ราชญบ์ างทา่ นจำ� แนกนกิ ายพทุ ธศาสนาแบบจนี เปน็ ๙, ๑๐, ๑๑ นกิ ายกม็ ี โดย เพม่ิ นกิ ายนริ วาณ นกิ ายมหายานสงั ครหะ และนกิ ายทศภมู กิ ศาสตร์ ซงึ่ ทงั้ หมดมเี นอ้ื หาสาระใกลเ้ คยี ง กับ ๘ นิกายหลัก ดังน้นั ปราชญบ์ างทา่ นจึงจดั รวมกับ ๘ นกิ ายขา้ งต้น คอื นกิ ายนิรวาณภายหลังรวม กบั นกิ ายตรศี าสตร์ นกิ ายมหายานสงั ครหะรวมกบั นกิ ายธรรมลกั ษณ์ นกิ ายทศภมู ศิ าสตรร์ วมกบั นกิ าย อวตังสกะ นิกายของพุทธศาสนาของจีนโดยมากมักถือก�ำเนิดโดยการยึดถือคัมภีร์หรือบุคคลใดบุคคล หนึ่งเป็นหลัก จึงก่อให้เกิดส�ำนักต่างๆ มากมาย มหายานสายจีนถือเป็นสดมภ์หลักและเป็นต้นเค้าให้ เกดิ การแตกนิกายและไดแ้ พรห่ ลายไปยงั เกาหลี ญ่ปี นุ่ เวียดนามในเวลาตอ่ มาดว้ ย เรียบเรยี งจาก พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต). กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๖/๒. กรงุ เทพฯ : วัดญาณเวศกวนั , ๒๕๕๕. สุมาลี มหณรงค์ชัย. พทุ ธศาสนามหายาน. พิมพ์ครงั้ แรก. กรุงเทพฯ : ศยาม, ๒๕๔๖. อภิชยั โพธปิ์ ระสิทธ์ิศาสต.์ พระพทุ ธศาสนามหายาน. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๑. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๑. เวบ็ ไซต์ http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/mahayana41.htm http://www.watpaknam.org/knowledge41-พระพุทธศาสนาในประเทศจนี .htm http://th.wikipedia.org/wiki/ พทุ ธศาสนาในประเทศจีน http://www.mahapadma.org http://www.philospedia.net/zen%20buddhism.html http://nikayamahayan2010.blogspot.com/2010/06/blog-post_23.html หนึ่งจดุ หมาย หลายหนทาง 79

พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) ณ กรงุ ลาซา ที่ประทบั ขององค์ดาไลามะก่อนท่านลภ้ี ัยมาอยู่ในประเทศอนิ เดยี ในเวลาปจั จบุ นั

ภมู ิปัญญาจากพุทธหมิ าลยั วัชรยาน แปลว่ายานวิถีแห่ง “เพชร” หรือ “สายฟ้า” สัญลักษ์ของเพชรคือ ความมั่นคงแข็งแกร่ง เป็นยานวิถีท่ีไม่สามารถทำ�ลายได้ ดุจดั่งเพชรที่มิอาจถูกทำ�ลาย หรือเป็นด่ังพลังแห่งการตื่นรู้อย่างเฉียบพลันเสมือนสายฟ้าฟาดที่เป็นพลังอันไม่มีอะไร ตา้ นทานได้ เป็นสายการปฏิบตั ิธรรมในดนิ แดนพุทธแถบหิมาลัย ในทเิ บต ภูฐาน (ภูฏาน) ภาคเหนือของเนปาล อินเดีย รอยต่อของพม่าเหนือและจีน รวมถึงมองโกเลียและบาง ส่วนในรัสเซยี ประมวลและเรียบเรียงโดย นายกณุ ฑ์ สจุ ริตกลุ หนงึ่ จดุ หมาย หลายหนทาง 81

ในทิเบตเองน้ันมีอยู่หลายสายปฏิบัติ แยกเป็น ๔ สายหลักๆ จากสายธาร ธรรมที่รับมาจากอนิ เดีย เรยี งตามล�ำดับทางประวตั ศิ าสตร์ ดงั น้ี ๑. นงิ มาปะ (ญิงมาปะ) สายแรกทีพ่ ฒั นาขึ้นในศตวรรษที่ ๗ ต่อมาพระครู (คุรุ) รินโปเช หรือพระปัทมสัมภวะแห่งอุฑฑิยาน (Oddiyana) ได้น�ำ คำ� สอนมาเผยแผ่เพ่ิมเตมิ ๒. กาจูร์ปะ (หรือที่คนไทยอ่านคากิว) ซึ่งแตกไปอีกหลายสาย รวมถึงสาย ประจ�ำชาติของภูฏานคือดรุกปะ กาจูร์ ท่านมาร์ปะ มิลาเรปะ ล้วนแต่ เป็นต้นก�ำเนิดของครูอาจารย์ในสายนี้ ประมาณศตวรรษที่ ๑๐ เป็นต้น มา ๓. สาเกยี ปะ บางทเี ขยี น ศากยะปะ สบื สายจากพระอาจารยว์ ริ ปู ะในอนิ เดยี และครูบาอาจารยท์ างภาคกลางของทิเบตในศตวรรษท่ี ๑๑ ๔. เกลกุ ปะ หรอื ทน่ี ยิ มเรยี กวา่ นกิ ายหมวกเหลอื ง โดยชาวทเิ บตเองไมเ่ คย เรียกนิกายของตนเองตามสีหมวกที่สวมใส่ในขณะประกอบพิธีกรรม สบื คำ� สอนจากพระอาจารยซ์ งคาปา (ศตวรรษ ๑๓๕๗-๑๔๑๙) ผสู้ งั คายนา คำ� สอนท่เี น้นเรื่องทางสายกลาง 82

แม้เกลุกปะจะได้เป็นนิกายหลักของทิเบตด้วยเหตุผล ทางการเมอื งมาตง้ั แตป่ ลายศตวรรษท่ี ๑๖ โดยมอี งคด์ าไลลามะเปน็ ประมุข แต่จริงๆ แล้วพระองค์เป็นท่ีเคารพบูชาของผู้ปฏิบัติธรรม ทกุ นกิ าย เชน่ เดยี วกบั ทที่ รงยกยอ่ งใหเ้ กยี รตนิ กิ ายตา่ งๆ อยา่ งเสมอภาค รวมทง้ั ทรงใหเ้ กยี รตผิ ปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมในศาสนาตา่ งๆ รวมทง้ั วธิ กี ารมอง โลกอย่างวิทยาศาสตร์ ศาสนาพทุ ธแบบทเิ บตมกี ารแบง่ ยอ่ ยเปน็ หลายนกิ าย แตไ่ ม่ วา่ จะเปน็ นกิ ายใด ลว้ นแตม่ หี ลกั ความเชอ่ื พน้ื ฐานและจดุ มงุ่ หมายใน การปฏิบัตธิ รรมทีค่ ล้ายคลึงกนั เหตทุ ี่ตอ้ งแยกเปน็ นิกายนน่ั กเ็ พราะ ภาพทา่ นซงคาปะ (Tsongkapa) พุทธศาสนกิ ชนชาวทิเบตตอ้ งมีครู พระอาจารย์ผ้รู ิเริ่มสายเกลกุ ปะ ซึง่ เปน็ สายขององค์ดาไลลามะ นอกจากนยี้ งั มสี ายปฏบิ ตั อิ นื่ อกี ของพทุ ธวชั รยานทเ่ี ชอื่ วา่ สบื มาจากพระพทุ ธเจา้ ในอดตี นามวา่ เตมิ ปา เชนรบั ผเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ในอดตี กอ่ นพระพทุ ธเจา้ สทิ ธารถะศากยมนุ ี คอื ยงุ ตรงุ เพนิ หรอื พทุ ธ- เพิน ซึ่งมีผู้ปฏิบัติธรรมและวัดวาอารามจ�ำนวนมากในทิเบตแม้ในปัจจุบัน องค์ดาไลลามะทรงจัดให้ ยงุ ตรงุ เพนิ เปน็ หนงึ่ ในนกิ ายสำ� คญั ของทเิ บตและทรงยกยอ่ งเสมอวา่ ยงุ ตรงุ เพนิ คอื รากเหงา้ ของความเปน็ ทเิ บต นอกเหนอื จากยงุ ตรงุ เพนิ แลว้ ยงั มสี ายการปฏบิ ตั ธิ รรมทม่ี จี ำ� นวนผปู้ ฏบิ ตั จิ ำ� นวนไมม่ ากนกั เชน่ ผเู ทิน (กำ� เนิดในศตวรรษที่ ๑๑) และโจนงั ปะ (กำ� เนิดในศตวรรษท่ี ๑๖) เปน็ ตน้ ด้วยเหตุที่ศาสนาในทิเบตเคียงคู่กับการเมืองการปกครอง จึงมีการเข้ายึดครองตลอด ประวัติศาสตร์นับพันปีที่นิกายหนึ่งถูกแทนท่ีด้วยนิกายหนึ่งอยู่เสมอ ท�ำให้การด�ำรงอยู่ของนิกายต่างๆ ของทิเบตมไิ ดด้ �ำรงอยอู่ ย่างกลมเกลยี วสมัครสมานและปรองดอง ตามต�ำราที่ทางนักวิชาการตะวันตกตีความเอาไว้และได้รับการขยายในวงกว้างว่าพุทธศาสนา ในพุทธหิมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของพุทธแบบมหายานแล้วแตกเป็นวัชรยานนั้น ในการศึกษาค้นคว้าและ อา้ งองิ ทางวชิ าการปจั จบุ นั ทย่ี งั มกี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา เราไมส่ ามารถสรปุ อยา่ งชดั เจนไดว้ า่ จรงิ ๆ แล้วววิ ัฒนาการเปน็ อย่างไร แต่ถ้าจะมองอย่างง่ายๆ แบบเบื้องต้น อาจแยกหลวมๆ เป็นพุทธสายบาลีในประเทศไทย ศรลี งั กา และนานาประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ณ ปจั จบุ นั กบั สายสนั กฤตซง่ึ รบั จากอนิ เดยี เหนอื จากนาลันทามาเป็นมหายาน วัชรยาน ในปจั จุบัน หน่ึงจุดหมาย หลายหนทาง 83

ภาพองคด์ าไลลามะที่ ๑๔ องค์ปจั จบุ ันเม่ือขึ้นทรงครองราชย์ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจ�ำชาติของทิเบต แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนการปกครองเป็นส่วนหน่ึง ของจีนและองค์ดาไลลามะได้ล้ีภัยมาอยู่ที่อินเดีย และ ทรงเปน็ ผนู้ ำ� ของรฐั บาลพลดั ถน่ิ ทเิ บตแลว้ แตพ่ ทุ ธศาสนา ก็ยังเปน็ หัวใจหลกั ของชาวทเิ บตท้ังในอินเดยี และจนี พุทธในทิเบตเป็นพระพุทธศาสนามหายาน ค�ำสอนเน้นการตั้งปณิธานของผู้ปฏิบัติธรรมเพ่ือช่วย สัตว์ท้ังหลายให้หลุดพ้นจากวนเวียนแห่งสังสารวัฏ ภาพมนตรา โอม มณี เป เม ฮมุ แกะสลักตามหินในดนิ ด้วยหนทางแหง่ จติ โพธสิ ตั ว์ แดนพทุ ธหมิ าลยั จุดเด่นอีกข้อหน่ึงของพุทธศาสนาแบบทิเบต คือ ความเช่ือเร่ืองการกลับ ชาตมิ าเกิด ( )reincarnation ซึ่งไม่เหมือนการเกดิ ใหม่ (rebirth) โดยธรรมดาที่พุทธ- ศาสนาทกุ นกิ ายมคี วามเชอ่ื ร่วมกัน ด้วยผปู้ ฏิบัตธิ รรมของทเิ บตต้งั ปณิธานท่จี ะไม่ไป พระนพิ พานแต่กลบั มาโปรดสตั วจ์ นกวา่ สงั สารวัฏจะสิน้ สญู ชาวทิเบตจึงเช่ือว่าครูบา 84

อาจารย์ของเขาแม้ละสังขารไปแล้ว จะยังคงกลับมาในร่างใหม่เพ่ือบ�ำเพ็ญประโยชน์ต่อไป ด้วยเหตุน้ี พวกเขาจึงมักจะแสวงหา ทุลกุ (ตุลกู) ซึ่งแปลว่า ร่างที่เปลี่ยนไป ซ่ึงมักถือก�ำเนิดในเพศชายมากกว่า หญงิ เปน็ อาจารยซ์ งึ่ ประกอบไปดว้ ยองคค์ ณุ แหง่ พระโพธสิ ตั ว์ สามารถเลอื กสภาวการณใ์ นการกลบั ชาติ มาเกิดใหม่ เพอื่ ว่าการเกดิ นน้ั จะเอือ้ ประโยชน์ในการน�ำพาผ้อู นื่ ไปสกู่ ารบรรลุธรรม นอกจากจะเชอ่ื เรอื่ งการเกดิ ใหมแ่ ละกลบั ชาตมิ าเกดิ แลว้ กม็ คี วามเชอ่ื ในเรอ่ื ง บารโ์ ด (bardo) บารโ์ ดนนั้ มคี วามหมายถงึ ชว่ งพน้ื ทรี่ ะหวา่ งชวี ติ (อนั ตรภพ) ในปจั จบุ นั ทเ่ี ชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งชาตนิ แ้ี ละชาติ ตอ่ ไปหรือสภาวะภพของจติ ขณะระหวา่ งปจั จบุ ันและอนาคต การเตรียมตัวตายด้วยการอ่านคัมภีร์มรณศาสตร์ให้ผู้ที่ก�ำลังจะล่วงลับ ด้วยเชื่อว่าเน้ือหาใน คัมภีร์จะช่วยน�ำดวงจิตให้ผ่านสภาวะแห่งบาร์โด (อันตรภพ) อันทุกข์ทรมานไปได้ ความเช่ือในคัมภีร์ มรณศาสตรไ์ ดท้ ำ� ใหช้ าวทเิ บตมกี ารเตรยี มตวั ตายทสี่ ำ� คญั และเปน็ แรงบนั ดาลใจอยา่ งใหญห่ ลวงสำ� หรบั การดำ� รงชวี ติ ใหม้ คี วามหมายอยา่ งทสี่ ดุ ขณะทมี่ ชี วี ติ อยู่ เราตอ้ งวางแผนกระทำ� สงิ่ ตา่ งๆ ใหล้ ลุ ว่ ง กอ่ น ตายกจ็ ำ� ตอ้ งเตรยี มตวั ตายอยา่ งมสี ติ การประคองจติ ใหน้ งิ่ มน่ั คงและตงั้ อยใู่ นธรรมเปน็ สง่ิ สำ� คญั สำ� หรบั การเกิดใหม่หรอื แมแ้ ต่พบสภาวะธรรมในระหวา่ งจะลาจากรา่ งน้ไี ป นอกเหนือจากการบ่มเพาะหนทางแห่งจิตโพธิสัตว์แล้ว ยังมีค�ำสอนแห่งหนทางตันตระ คือ การปฏิบัติเพ่ือให้เข้าถึงการหลุดพ้นในชีวิตเดียวตามครรลองที่เน้นการประสานจิตเป็นหนึ่งเดียวกับ พระพทุ ธเจา้ และโพธสิ ตั วต์ า่ งๆ เพอื่ คอ่ ยๆ เปลย่ี นแปลงดา้ นในของตนเอง เปลย่ี นจติ มนษุ ยธ์ รรมดาให้ เปน็ จิตตรัสรู้ ผา่ นการฝึกฝนและศรทั ธาทีไ่ มใ่ ช่จะได้มางา่ ยๆ เพราะตอ้ งมคี วามหนกั แนน่ ท่ีจะขัดเกลา ตวั เองใหร้ ซู้ ง้ึ ถงึ ปญั ญาทม่ี อี ยภู่ ายใน และการฝกึ ความกรณุ าตอ่ ตวั เองและสง่ิ รอบข้างแมใ้ นสถานการณ์ ซึง่ บีบค้นั ใหเ้ ราโกรธ เกลียด หรอื หลงแบบสดุ ๆ ในแงข่ องแก่นธรรมนน้ั ไมไ่ ด้แตกต่างกนั กฎแห่งกรรม ไตรลกั ษณ์ ศลี สมาธิ ปญั ญา พรหม- วิหาร ๔ แต่หัวใจหลักนั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างมีธรรมชาติเป็นความว่าง เป็นสุญญตา (ศูนยตา) การที่ เราคิดว่ามีสิ่งนั้น ส่ิงนี้มีอยู่เพราะเราคิดท้ังนั้น เพราะสิ่งท่ีเข้ามากระทบทางสัมผัสต่างๆ น้ันน�ำมาซึ่ง การปรุงแต่งของสภาวะจิตของเรา ในระดับสูงสุดคือแม้แต่พระพุทธเจ้าหรือโพธิสัตว์ท่ีเห็นเป็นพุทธรูป หรืออยู่ในพระบฏทังก้าน้ัน จริงแล้วก็ไม่มีอยู่ ซ่ึงเป็นแก่นหลักของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (Heart Sutra) พระสูตรหลักส�ำคัญบทหน่ึงแห่งพุทธทิเบต ซ่ึงเป็นบทสนทนาธรรมเกี่ยวกับความว่างของพระ สารบี ตุ รและพระอวโลกิเตศวร ท่สี รปุ ความส้นั ๆ วา่ สรรพส่งิ ตา่ งๆ นน้ั ไม่มสี งิ่ ใดเกิดข้นึ ไมม่ ีอะไรตัง้ อยู่ และไมม่ ีอะไรดบั ไป หนง่ึ จุดหมาย หลายหนทาง 85

ในแง่ของคัมภรี ์น้นั ทางทิเบตจ�ำแนกพระสตู รทางพุทธเป็น ๑. กันจรู ์ (Kanjur) - คำ� สอนของพระพทุ ธเจ้าศากยมุนี ๒. ตนั จรู ์ (Tanjur) - อรรถกถาเกยี่ วกบั พระไตรปฎิ ก เขยี นโดยพระอาจารย์ ตา่ งๆ ทั้งยังมีคัมภีร์ตันตระซึ่งมีมากมายหลายประเภทจากทุกสาย และยังพบใน สายยงุ ตรงุ เพนิ เพราะเชอ่ื วา่ คมั ภรี ต์ นั ตระไดร้ บั การถา่ ยทอดโดยพระพทุ ธเจา้ พระองค์ ก่อนพระศากยมนุ ีดว้ ย ค�ำถามท่ีส่วนมากจะถูกสงสัยจากชาวพุทธไทยน้ันคือ ตันตระ เก่ียวกับเร่ือง เพศ หรือเพศสัมพันธ์ไหม ประเด็นคือทางพุทธหิมาลัยน้ัน มีปางรูป ยับ-ยุม (yab- yum) ปางทดี่ ดู จุ เหมอื นพระพทุ ธเจ้านนั้ ไดส้ มสอู่ ยกู่ บั เพศหญงิ ทงั้ ทจ่ี รงิ แลว้ สญั ลกั ษณ์ ทางธรรมเช่นนไ้ี มค่ อ่ ยจะเปน็ ที่เขา้ ใจในหมู่ชาวพุทธไทย ค�ำว่า ยับ แปลว่า พ่อหรือบิดา และค�ำว่ายุม แปลว่าแม่หรือมารดา ภาษา ทางโลกก็ใช้ค�ำทั้งสองนี้เป็นค�ำสุภาพในการเรียกพ่อและแม่ ท่ีมักใช้เรียกบิดามารดา ของพระลามะหรือแม้แต่เป็นค�ำยกย่องที่ใช้เรียกสมเด็จพ่อและแม่ของสายราชวงศ์ ช้ันสูงในภฏู าน ในทางภาษาทางธรรม ทางภาษาสญั ลักษณ์ ยบั คอื ตวั แทนของวธิ ี (means) คอื ความกรณุ า ยุม คือ ตวั แทนของปญั ญา สัญลักษณ์ของปางนี้คือ ความกรุณาและปัญญา ซึ่งน�ำไปสู่การตระหนักรู้ สภาวะแหง่ สุญญตา สภาวะแหง่ การหลุดพ้น ยบั ยมุ คอื การประสานกรณุ าและปญั ญา เปน็ วถิ แี หง่ ตนั ตระพทุ ธธรรม ไมเ่ กยี่ ว กับเรอื่ งเพศแบบโลกๆ การผ่านสายธารธรรมแห่งวิถีตันตระน้ีส่วนมากจะเป็นการสอนระหว่างครู และศิษย์ เพราะจริตมนุษย์ธรรมดานั้นมีศักยภาพในการเข้าถึงปัญญาแห่งสภาวะ ธรรมแตกต่างกนั 86

ปญั ญานัน้ แบง่ แยกเป็นสามระดับในมุมมองของพทุ ธทเิ บต หนึ่งคือปญั ญาของระดบั แรก (tho, เทอ) การฟงั (listening) การสะสมความร้ผู ่านการพดู คุย ถกเถียง การอา่ นและคดิ คน้ เขา้ ใจทางความคิด มองอยา่ งเถรวาทคอื ระดับปรยิ ตั ิ ปัญญาระดบั สอง คอื (sam, ซัม) การคิดใคร่ครวญ ( )contemplation ประสานความร้ทู ่ีสะสม มากับการปฏิบตั ทิ ดลองผิดถูกดว้ ยตวั เองผา่ นการฝึก มองอยา่ งเถรวาทคือระดบั ปฏิบัติ ปัญญาระดับสามคือ (gom, กม) หรือสมาธิ (meditation) จากการท่ีความรู้นั้นเกิดขึ้นได้เอง ปญั ญาทเี่ กิดข้นึ เอง เป็นผลลัพทท์ ่ีมาเอง ผา่ นการสะสม และฝกึ ปรอื จนประสานกลายเป็นเน้อื เดยี วกับ ตวั เรา มองอย่างเถรวาทคือระดับปฏิเวธ สว่ นคำ� ถามทว่ี า่ ทำ� ไมพระจากดนิ แดนพทุ ธหมิ าลยั แตง่ งานได้ จรงิ ๆ แลว้ ในวฒั นธรรมพทุ ธทน่ี นั่ ผู้ปฏบิ ตั ิธรรมชนั้ สูงที่ไม่ใช่นักบวชกม็ ีอยูบ่ ้าง ในสว่ นของพระนกั บวชน้ันต้องตามทางแห่งพระสูตร ต้อง ถอื ศลี อยา่ งเคร่งครดั มีภรรยาไมไ่ ด้ และถ้าผิดวินยั นน้ั ก็ถูกประนาม หลายๆ อาจารย์หรือผู้บรรลธุ รรม ตามวถิ แี บบพทุ ธหมิ าลยั นนั้ บางทกี เ็ ปน็ ฆราวาส เปน็ ผคู้ รองเรอื นธรรมดา ใชช้ วี ติ ตามปา่ เขาหมิ าลยั เปน็ โยคแี ละโยคนิ ี หรอื เปน็ ผสู้ ละเรอื นและมเี พยี งสงิ่ ของสว่ นตวั เพยี งเลก็ นอ้ ย พวกเขาอาจมชี วี ติ ทางโลก แต่ ถา้ ปฏบิ ตั ธิ รรมไดด้ แี ละมจี ติ ยง่ิ ใหญแ่ ทบโพธสิ ตั วน์ นั้ บางทไี ดร้ บั การยกยอ่ งเกนิ กวา่ นกั บวชในจวี รเสยี อกี สายเกลุกปะ มีองค์ดาไลลามะเป็นประมุข แต่ดังที่กล่าว แล้ว พระองค์ท่านยังเป็นประมุขของชาวทิเบตทุกคนไม่ว่าพวกเขา จะปฏิบัตินิกายใด เน้นพระวินัยเข้มข้นและหนทางแห่งนักบวชเช่น เดียวกบั เถรวาท สายนเ้ี น้นการเรยี นรู้ พระสูตร ตันตระ โดยมีลัมรมิ (Lam Rim) เป็นค�ำสอนสูงสดุ ภาพสมเดจ็ องคด์ าไลลามะประทบั ยนื อยตู่ รงกลาง ทางขวาของพระองคค์ อื สมเดจ็ สาเกยี หน่งึ จดุ หมาย หลายหนทาง 87 ทริซิน รินโปเช (ประมุขนิกายสาเกียปะ) และสมเด็จซูชิกรินโปเช (อดีตประมุขนิกาย ญงิ มาปะ) ทางซา้ ยของพระองคค์ อื สมเดจ็ แมนรี ทรซิ นิ รนิ โปเช (ประมขุ นกิ ายพทุ ธเพนิ / ยุงตรุงเพิน) และสมเด็จองค์การ์มาปะ (ประมุขนิกายกาจูร์ปะ) พระอาจารย์อาวุโสสุด ในขณะน้ีคือแมนรี รินโปเช และสาเกีย รินโปเช ส�ำหรับท่านสาเกีย รินโปเช ท่านไว้ ผมยาว นุ่งสบงสขี าว สญั ลักษณข์ องผ้ปู ฏบิ ตั ิตนเป็นโยคี (ไม่ใชพ่ ระภิกษุ) พระอาจารย์ ท้ังหลายมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน มีใจเปิดกว้าง และภาวนาด้วยกันไม่ว่าท่านจะได้ รับการฝกึ ฝนในนกิ ายใด

สายสาเกียปะ ปัจจุบันประมุขคือท่านสาเกีย ทริซิน ประมุขทางธรรมนั้นมี คู่ปฏิบัติได้ เพราะการสืบทอดและถ่ายทอดค�ำสอนมีตามสายเลือด แต่พระสงฆ์ใน สำ� นักนต้ี อ้ งอย่ใู นพระวนิ ัย มคี ู่ไมไ่ ด้ สายน้ีเน้นพระสูตร ตันตระ โดยมลี มั เดร (Lam- dre หรือมรรคผล) เป็นค�ำสอนสูงสุด สายกาจูร์ปะ น้ันมีประมุขคือท่านการ์มาปะ (กรรมาปะ) เปน็ ประมขุ สงฆ์ แตส่ ายนมี้ อี าจารยห์ ลายทา่ น ทเ่ี ปน็ มหาสทิ ธา เปน็ โยคแี ละฆราวาสทบี่ รรลธุ รรมในอดตี ท่ผี ่านมาไมว่ า่ จะเปน็ ตีโลปะ นาโรปะ มิลาเรปะ เรชุง- ปะ กอมโปปะ สายน้ีเน้นพระสูตร ตันตระ โดยมีมหา มุทรา เป็นคำ� สอนสูงสดุ ภาพท่านมิลาเรปะ (Milarepa) พระอาจารย์ท่ีเป็นโยคีผู้ บรรลธุ รรมในชาติภพเดยี วตามความเชื่อของทิเบต สายนิงมาปะและยงุ ตรุงเพนิ เน้นการฝึกฝนตน โดยการประสานทั้งพระสูตร ตันตระและซกเช็น มีทั้ง นกั บวชและฆราวาส ครบู าอาจารยบ์ างทา่ นเคยเปน็ โยคี ในอดีตชาติ ในชาติปัจจุบันท่านอาจบวชเป็นพระภิกษุ และทำ� งานเปน็ เจา้ อาวาส ในสองสายนม้ี คี รุ ทุ เี่ ปน็ ผหู้ ญงิ ซงึ่ มที ้ังนักบวชและโยคินี ผู้ปฏิบัติทั้งทางแห่งพระสูตรอาจบวชเป็นภิกษุ สามเณร หรอื เป็นอุบาสก อบุ าสิกา พระภกิ ษเุ ปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ติ ามมรรควถิ ขี องพระสตู ร แต่งงานหรือมีคู่ไม่ได้ และวินัยนั้นก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ทางเถรวาท แต่ว่าจะมีบางข้อที่แตกต่างในรายละเอียด ท่ีเห็นได้ชัดคือ การฉันม้ือเย็น ไม่ออกบิณฑบาต ต้อง ท�ำอาหารเองด้วยบริบทความแตกต่างด้านภูมิอากาศ และวัฒนธรรม สว่ นการโดนตัวเพศหญงิ นัน้ การสมั ผสั มือในฐานะที่เป็นเพ่ือนมนุษย์ด้วยความเมตตาท�ำได้ แต่ไมใ่ ชจ่ ากตณั หาราคะ 88

ภาพองคด์ าไลลามะองค์ปจั จบุ ัน ผปู้ ฏิบตั ิในหนทางแหง่ ตนั ตระ (tantric )practitioner น้นั เรยี กว่า ซงั งักปะหรืองกั ปะ (ngakpa) ส�ำหรับผู้ชาย และงักมะ (ngakma) ส�ำหรับผู้หญิง หมายถึงผู้ปฏิบัติตามตันตรยานซึ่งถ่ายทอดจากครู สศู่ ษิ ย์ เปน็ คำ� สอนชนั้ สงู ทห่ี ากศกึ ษาดว้ ยตวั เองแลว้ อาจเปน็ อนั ตราย พลาดพลง้ั หลงทาง ไมเ่ ขา้ ใจอยา่ ง แท้ หรืออาจเขา้ ใจผิดและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย งกั ปะ พวกเขามคี รอบครวั ได้ แตก่ ารมคี รอบครวั นน้ั แตกตา่ ง จากทางคู่ชีวิตแบบโลกๆ แบบสังสารวัฏทั่วไป ภรรยาหรือสามีคู่ ปฏบิ ตั คิ อื คกู่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมทใ่ี ชช้ วี ติ รว่ มกนั โดยมโี พธจิ ติ เปน็ รากฐาน ภาพงักปะ โยคีซง่ึ ภาวนาอยตู่ ามป่าเขา งักปะบางคนก็เป็นโยคีตามป่าเขา ท่ีคนทิเบตเรียกว่า นัม- จอร์ปะ หมายถึงผูเ้ ขา้ ถึงสภาวะธรรมชาติ มีส่ิงของเล็กนอ้ ยเพอ่ื การ ปฏิบัติ เช่น วัชระ กลองดามารุ (บัณเฑาะว์) และกระด่ิง พร้อม เส้ือผ้าเรียบง่ายธรรมดา บางคนใช้ชีวิตดุจชาวบ้าน เลี้ยงวัวจามรี ชวี ติ ธรรมดาแตป่ ฏิบัติธรรมแบบเข้มข้น มีการอยู่จ�ำศีลเป็นช่วงๆ หนงึ่ จดุ หมาย หลายหนทาง 89

ผปู้ ฏบิ ตั ใิ นหนทางแหง่ ซกเชน็ (Dzogchen) เรยี กวา่ ซกเชน็ ปะ (dzogchenpa) เป็นค�ำสอนท่ีท�ำให้คนรู้และเข้าถึงจิตเดิมแท้ท่ีเป็นจิตกระจ่าง พระอาจารย์บางท่าน ไดก้ ลา่ ววา่ ซกเชน็ เปน็ เรื่องแหง่ สภาวะจิต ไปเกนิ เรอื่ งขอบเขตของศาสนาเหนอื สำ� นกั นิกายใดๆ ไม่ใช่วิชาการความรู้ แม้แต่ในบางดินแดนที่พุทธศาสนาอาจเข้าไปไม่ถึง กอ็ าจจะมผี เู้ ข้าถึงสภาวะธรรมน้กี ็เปน็ ได้ แม้ว่าพระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกในทิเบตเป็นเวลามาช้านานและปัจจุบัน พุทธธรรมฝ่ายทิเบตเป็นท่ีรู้จักกันทั่วโลกในด้านการเจริญโพธิจิตและความกรุณา แต่ไม่ได้แปลว่าชาวทิเบตจะไม่มีความขัดแย้ง ประวัติศาสตร์ของทิเบตเต็มไปด้วย ความขัดแย้งระหว่างนิกาย นิกายใหม่แทนที่นิกายที่มีมาแต่ก่อน และในการแทนที่ บางครั้งเต็มไปด้วยความรุนแรง ปัจจุบันความขัดแย้งเช่นน้ีก็ยังคงอยู่และยังมีความ เคลื่อนไหวของกลุ่มที่ต่อต้านองค์ดาไลลามะอยู่เช่นกัน พระองค์จึงทรงเผชิญกับ อปุ สรรคทงั้ จากภายนอกและภายในทเิ บตเอง แมก้ ระนน้ั ทรงมขี นั ตธิ รรมเปน็ เลศิ และ ได้แสดงให้เราเห็นปณิธานอันม่ันคงในการท�ำงานเพ่ือสรรพสัตว์ สมกับท่ีชาวทิเบตเชื่อ อย่างสนิทใจว่าทรงเป็นพระอวโลกิเตศวรกลับชาติมาเกิดเพื่อมาดูแลพวกเขา รวมท้ัง มนษุ ยชาติและเหลา่ สรรพสตั วท์ ้ังหลาย ภาพองคด์ าไลลามะองค์ปัจจุบัน กายทง้ั สาม เมอื่ ทรงพระเยาว์ ธรรมกาย - กายธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นสภาวะธรรมอันมีคุณลักษณะเป็น ความวา่ ง กระจ่าง สัมโภคกาย - กายทิพย์ของพระพุทธเจ้า ก�ำเนิดจากสภาวะจิตอันมีความกระจ่างชัด ใสและมีความกรุณา มีหลากหลายลักษณะ มีทั้งปางสันติและปางพิโรธ เป็นกายท่ี พระพุทธเจ้าใช้สอนธรรมะในพุทธเกษตร บุคคลท่ัวไปสามารถเข้าถึงกายน้ีได้ด้วยการ ปฏิบตั ธิ รรม นริ มาณกาย - กายเนอื้ ของพระพุทธเจ้า ผ้ปู รากฏมาเป็นองค์พระศาสดาบนโลกมนษุ ย์ และปรากฏมาเปน็ ครอู าจารยผ์ ู้มจี ติ ย่ิงใหญด่ ุจเดยี วกับจิตของพระพทุ ธเจา้ ด้วยความเชื่อในนิรมาณกาย ชาวทิเบตจึงมีประเพณีการประกาศว่าผู้ใดเป็นพระอาจารย์ในอดีตกลับชาติมาเกิด เช่น เชื่อว่าสมเดจ็ องค์ดาไลลามะ องคท์ ่ี ๑๔ (องคป์ จั จบุ นั ) เปน็ องคท์ ี่ ๑๓ กลบั ชาตมิ าเกดิ จนถงึ องคท์ ี่ ๑ ซง่ึ เชื่อว่าเปน็ นริ มาณกายของ พระอวโลกเิ ตศวร ส่วนพระอวโลกิเตศวรเป็นกายทิพยข์ องพระพทุ ธเจา้ ผกู้ �ำเนดิ จากพระอมิตาภะ ผ้มู จิี ติ เดิมแท้เป็นธรรมกาย 90

๑. การแสวงบุญ (nekor) - ส�ำหรับพุทธศาสนิกชนชาวทิเบตจะให้ความส�ำคัญกับ การเดินทางไปจาริกแสวงบุญเป็นอย่างมาก หลายคร้ังท่ีการเดินทางไปแสวงบุญ ในที่ไกลๆ หมายถึงว่า พวกเขาจะไม่มีโอกาสกลับมาเจอหน้าคนในครอบครัว อกี เพราะการเดินทางโดยวัดระยะทางจากรอยมือ รอยเทา้ และหน้าผากทีส่ มั ผัส พน้ื ดนิ เชน่ นเ้ี ปน็ สงิ่ ทอ่ี าศยั ความอดทนอยา่ งหนกั และใชเ้ วลาหลายปี พวกเขาอาจจะ ไมม่ ีชวี ิตรอดกลบั ไป แตพ่ วกเขาไมห่ วาดหว่ัน เพราะผลทีไ่ ด้จากการกระท�ำเช่นน้ี มคี า่ มหาศาล หากพวกเขาจารกิ แสวงบญุ โดยนง่ั รถหรอื ขมี่ า้ ผลบญุ ทไี่ ดจ้ ะไมม่ าก เท่ากับการเดินทางด้วยเท้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกราบไปตลอดทาง เพราะ ฉะน้ันเน้ือตัวของผู้ปฏิบัติธรรมจึงดูมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่หน้าและแววตา บ่งบอกถึงความเชื่อม่ัน ขณะท่ีประสานมือไว้กลางกระหม่อม พวกเขาตั้งจิตบูชา พระอาจารย์ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เมอื่ ประสานมอื ไว้ทห่ี น้าอก พวกเขา ตั้งจิตมั่นว่าจะเดนิ ตามทางท่ีพระอาจารยแ์ ละอรยิ บุคคลท้งั หลายได้ช้นี �ำ หากเงนิ กับอาหารท่ีติดตัวมาหมดลง พวกเขาจะด�ำรงชีวิตอยู่ด้วยการขอทานจากผู้ใจบุญ เพอื่ นรว่ มศาสนาคนอน่ื ๆ จะไมด่ ถู กู หรอื หวั เราะเยาะการกระทำ� ของพวกเขา ตรง กนั ขา้ มพวกเขาจะรว่ มอนโุ มทนาบญุ เพราะพวกเขารดู้ วี า่ จดุ หมายของชวี ติ ไมไ่ ดอ้ ยู่ ทก่ี ารใช้ชีวติ อยใู่ นโลกนี้ แตอ่ ยู่ท่ีการปฏิบัติเพอื่ สละโลก ๒. การกราบอษั ฎางคประดษิ ฐ์ - เปน็ การแสดงความเคารพดว้ ยวธิ นี อนราบไปกบั พน้ื เหยียดมอื และเทา้ ออกไปจนสดุ ใหอ้ งคาพยพ ๘ ส่วน คอื หนา้ ผาก ฝ่ามอื ท้งั ๒ หน้าอก เขา่ ทงั้ ๒ และปลายเทา้ ทั้งสองจรดพืน้ คอื วิธีการสกั การะอยา่ งสูงสุดต่อ พระรัตนตรัย การกราบมิเพียงเป็นการแสดงความเคารพทางกาย วาจาสวดมนต์ จติ ศรทั ธามน่ั ในพระรตั นตรยั และแผค่ วามกรณุ าปราณตี อ่ สรรพสตั ว์ ในการศโิ รราบ ผู้กราบจะตั้งจิตว่าได้น�ำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ร่วมกราบไปด้วย ข้างหน้าคือ พระพุทธเจา้ ทงั้ หลาย ทางขวาคือพ่อ ทางซา้ ยคอื แม่ สัตว์โลกอยขู่ า้ งหลัง ขา้ งบน และข้างล่าง ผู้กราบนึกถึงสรรพสัตว์ด้วยความกรุณาโดยเฉพาะบุคคลท่ีไม่รัก ไมช่ อบ ศตั รู และผปู้ ระกอบกรรมช่ัว หน่ึงจุดหมาย หลายหนทาง 91

อภธิ านศัพท์ (glossary) ปัทมสัมภวะ (Padmasambhava, Guru )Rinpoche - พระพุทธเจ้าองค์ท่ีสองของทางพุทธทิเบต โดยเฉพาะสายนิงมาปะ เป็นพระอาจารย์ทางตันตระท่ีน�ำพุทธศาสนามาจากอินเดียเหนือสู่ทิเบตใน ศตวรรษที่ ๘ กล่าวกันว่า กูรู (ครู) รินโปเช ได้รับนิมนต์จากกษัตริย์ตรีซง เตเซน (Trisong Detsen) พระองคไ์ ดน้ มิ นตพ์ ระอาจารยศ์ านตรกั ษติ ( )Shantarakshita เจา้ อาวาสจากนาลนั ทาไป แตไ่ มส่ ามารถ ปราบปีศาจที่มาขัดขวางการสร้างวัดได้ จึงต้องการมหาสิทธาด้านตันตระมาช่วยแสดงธรรมและขจัด อวมงคลในแผ่นดิน พร้อมทั้งน�ำพระธรรมตามมรรควิถีตันตระมาสู่ผู้คน และก่อต้ังวัดพุทธแห่งแรกคือ วดั ซมั เย่ (Samye) ในทเิ บต การกำ� เนดิ ของทา่ นมสี องตำ� นาน ตำ� นานหลกั คอื กำ� เนดิ จากดอกบวั ทที่ ะเลสาบธนโกษะ แควน้ อุฑฑิยานซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณพรมแดนปากีสถาน ต�ำนานรองคือมาจากอาณาจักรชางชุง บริเวณเขา ไกรลาศ โดยเชื่อวา่ ท่านเป็นบตุ รของมหาโยคีซกเช็น เทรนปา นัมคา กับฑากินเี ออเต็น ผามา ซงคาปา บางทเี ขยี น สองขะปะ (Tsongkapa) - พระอาจารยค์ นสำ� คญั ผรู้ เิ รมิ่ สายเกลกุ ปะ สรา้ งวดั กาน- เดน็ (Ganden )Monastery หนง่ึ ในมหาวทิ ยาลยั สงฆท์ สี่ ำ� คญั มากในอดตี ของทเิ บต รวมถงึ เปน็ ผรู้ วบรวม คำ� สอนทางพระวนิ ยั ตนั ตระ และพระสตู รจากพระไตรปฎิ ก หลอมรวมเปน็ แกน่ ของสายองคด์ าไลลามะ อตศิ ะ (Atisha) - พระอาจารยช์ าวอนิ เดยี จากแควน้ เบงกอล ทา่ นอตศิ ะไดเ้ ดนิ ทางเขา้ ทเิ บตและทำ� การ เผยแพร่ศาสนา ตลอดจนได้เขียนหนังสือที่มีช่ือเสียงเล่มหนึ่งช่ือว่า “โพธิบทประทีปศาสตร์” ที่มาของ ค�ำสอนลมั รนิ หรือระดับขั้นแหง่ การปฏบิ ตั ิ และแปลคัมภีร์เปน็ ภาษาทิเบตมาจากภาษาสันสกฤต นาคารชุน (Nagarjuna) - พระอาจารยท์ ไ่ี ด้ช่ือเป็นผู้เร่มิ ต้นส�ำนักมัธยมกะ (the Madhyamaka school of Mahāyāna )Buddhism พระอาจารย์นาคารชุนน้ันถือเป็นผู้พัฒนาปรัชญาทางสายกลางในวิถีแห่ง พระสูตร นาโรปะ (Naropa) - พระอาจารย์ชาวอินเดียผู้เคยเป็นถึงอาจารย์ใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยพุทธนาลันทา แตล่ าจากวถิ แี หง่ สถาบนั และวชิ าการเขา้ สกู่ ารเปน็ โยคผี ปู้ ฏบิ ตั ิ หนง่ึ ในมหาสทิ ธาผตู้ น่ื รสู้ ภาวะธรรม เปน็ ศิษย์ของท่านอาจารย์ตีโลปะ และเป็นพระอาจารย์หลักของสายการ์จูปะ รวมถึงชื่อท่านที่เป็นท่ีมาของ ช่อื และแรงบันดาลใจในการก่อต้งั มหาวิทยาลยั พทุ ธแห่งเดยี วในโลกตะวนั ตกในยุคปจั จุบนั 92

มหาสทิ ธา (Mahasiddha) - สายปฏบิ ตั ธิ รรมทหี่ ลดุ กรอบออกมาจากธรรมดา เตบิ โตมาจากอนิ เดยี จาก โยคีและโยคินีผู้รู้ซ่ึงถึงสภาวะธรรม เป็นสายที่เป็นผู้ค้นพบวิถีแห่งซกเช็น (dzogchen) และมหามุทรา (Mahamudra) ปรัชญาปารมิตาสูตร ( )Prajñāpāramitā - คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตรเป็นแก่นแนวคิดของพุทธ มหายาน และวถิ แี หง่ โพธสิ ตั ว์ พระสตู รหลกั สำ� คญั บทหนงึ่ แหง่ พทุ ธทเิ บต ซงึ่ เปน็ บทสนทนาธรรมเกย่ี วกบั ความว่างของพระสารีบุตรและพระอวโลกิเตศวร ท่สี รุปความสน้ั ๆ ว่าสรรพสิง่ ตา่ งๆ น้นั คอื ความว่าง โพธจิ ติ - จติ ซง่ึ ตงั้ ใจทจี่ ะบรรลกุ ารตนื่ รเู้ พอ่ื การพน้ ทกุ ขข์ องทกุ สรรพสง่ิ ในสงั สารวฎั จติ ทปี่ รารถนาการ บรรลธุ รรมเพอื่ ประโยชน์ของสัตว์ท้งั หลาย จติ พระโพธสิ ตั ว์ - เนอื่ งจากแนวคดิ เรอ่ื งโพธสิ ตั วข์ องมหายานและวชั รยานตา่ งจากโพธสิ ตั วข์ องเถรวาท ฝ่ายแรกเน้นเร่ืองการปลดเปลื้องสรรพสัตว์จากทุกข์โดยยังไม่ยอมนิพพาน ส่วนแนวคิดหลัง หมายถึงผูบ้ �ำเพญ็ บารมเี พื่อเปน็ พระพทุ ธเจ้า แนวคิดแรกเน้นเรื่องกรุณา แนวคดิ หลงั เน้นเร่ืองปญั ญา ดว้ ยเหตนุ ฝี้ า่ ยทเิ บตจงึ มเี รอ่ื งการกลบั มาเกดิ ใหมเ่ พอื่ ชว่ ยเหลอื สรรพสตั ว์ โดยเฉพาะการมาเกดิ ใหมเ่ พอ่ื สบื ตอ่ ต�ำแหน่งเดิม (อย่างดาไลลามะหรอื รินโปเชทั้งหลาย) ลามะ - คอื การเรยี กพระอาจารย์คล้ายคลึงกับคำ� วา่ คุรุ ในสันสกฤต รินโปเช - ฉายาทใ่ี หเ้ กยี รติพระอาจารยช์ นั้ สูง แปลตรงตัวว่าผ้สู งู คา่ ผดู้ ีเลิศ (precious one) ตุลกู - คือพระอาจารย์ช้ันสูงสามารถเลือกท่ีกลับชาติมาเกิด เช่น องค์ดาไลลามะ ปันเชนลามะ หรือ ท่านการม์ าปะ หน่ึงจุดหมาย หลายหนทาง 93

ภาพพระธาตุพนมวรมหาวหิ าร จังหวัดนครพนม ตามต�ำนานสร้างต้งั แต่ พ.ศ. ๘ โดยพระมหากสั ปะเปน็ ผู้อญั เชิญพระบรมธาตมุ าประดิษฐาน ณ ภกู ำ� พรา้

พุทธศาสนาในประเทศไทย พระไพศาล วสิ าโล พุทธศาสนาท่ีแพร่หลายในประเทศไทย (ซึ่งนิยมเรียกว่าเป็นพุทธศาสนาแบบ “เถรวาท” มากกวา่ “หนิ ยาน”) มตี น้ ทางจากประเทศศรลี งั กาไมน่ อ้ ยกวา่ ๘๐๐ ปี ดงั นนั้ จงึ มลี กั ษณะหลายประเภทคลา้ ยกบั ทน่ี บั ถอื ในประเทศศรลี งั กา เชน่ การแบง่ พระภกิ ษเุ ปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ อรญั วาสี คือ พระทอ่ี ยูป่ ่า เน้นดา้ นการปฏบิ ัติกรรมฐาน กับ คามวาสี คอื พระทอี่ ยเู่ มืองหรอื บ้าน เนน้ ด้านปรยิ ตั ิ โดยมุ่งศกึ ษาและรักษาคัมภรี ์ทางพทุ ธศาสนา ซ่ึงท�ำให้การนับถือพุทธศาสนาของคนไทยมีการแบ่งแยกค่อนข้างชัดเจน ระหว่างการ ศึกษาต�ำรา กับการปฏิบัติ โดยเฉพาะในปัจจุบัน แม้จะมีความพยายามของบุคคลอย่าง ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสทปี่ ระสานการศกึ ษาและปฏบิ ตั เิ ขา้ ดว้ ยกนั และไดร้ บั ความสำ� เรจ็ ระดบั หนงึ่ แต่ก็ยังเปน็ กระแสรองอยู่ หนง่ึ จดุ หมาย หลายหนทาง 95

พระสงฆไ์ ทยหากแบง่ เปน็ ทางการจะมี ๒ นกิ าย คอื มหานกิ ายกบั ธรรมยตุ กิ - นิกายหลังน้ันเกิดข้ึนจากความพยายามปฏิรูปพุทธศาสนาเมื่อ ๑๗๕ ปีที่แล้ว มหานิกายน้ันประกอบด้วยพระสงฆ์ประมาณร้อยละ ๘๐ ของท้ังประเทศ ในความ เป็นจริงพระที่ถูกเรียกว่ามหานิกายนั้นหาได้มีแบบแผนการปฏิบัติเป็นหน่ึงเดียวไม่ แต่มีความหลากหลายมาก ท่ีจริงควรเรียกว่านิกายท่ีไม่ใช่ธรรมยุตมากกว่า (non-dhammayut) เพราะมหานิกายเป็นค�ำที่เกิดขึ้นหลังจากมีคณะธรรมยุตแล้ว ใช้เรียกพระทั้งหมดท่ีไม่สังกัดธรรมยุติกนิกายซ่ึงในเวลานั้นมีหลากหลาย “นิกาย” มาก แตภ่ ายหลังได้ถูกทำ� ให้เปน็ หน่งึ เดียวอยา่ งเป็นทางการ (แตก่ ็ยังมจี �ำนวนไม่น้อย ที่มีแนวปฏิบตั ิและคำ� สอนเฉพาะตน แตกตา่ งจากคณะสงฆส์ ่วนใหญ่) อยา่ งไรกต็ าม ในเมอื งไทยยงั มพี ระสงฆท์ ไี่ มใ่ ชเ่ ถรวาทดว้ ย ไดแ้ ก่ พระสงฆจ์ นี นกิ าย และอนั นมั นกิ าย แต่เป็นส่วนน้อยมาก นอกจากนั้นยังมีภิกษุณีซ่ึงปัจจุบันมีจ�ำนวนหลายสิบรูปแล้ว แต่ยังไม่ไดร้ บั การรบั รองจากมหาเถรสมาคม ปัจจุบันพระสงฆ์ท่ีสังกัดทั้งสองนิกายมีแนวทางการปฏิบัติและค�ำสอน คล้ายคลึงกันมาก แตกต่างตรงประเด็นปลีกย่อย ดังน้ันประชาชนท่ีเลือกนับถือ พระสงฆ์นิกายใดนิกายหนึ่งจึงมีความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติที่ไม่สู้แตกต่างกัน แตส่ ่วนใหญ่แลว้ กน็ บั ถอื พระสงฆ์ท้งั สองนิกาย ไม่มีการแบง่ แยก ท้ังมหานิกายและธรรมยุตล้วนอยู่ภายใต้องค์กรสงฆ์เดียวกัน โดยมีสมเด็จ พระสังฆราชเป็นประมุข มีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรบริหาร ซ่ึงมีตัวแทนของมหา นกิ ายและธรรมยตุ จำ� นวนเทา่ กนั ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ กรรมการโดยตำ� แหนง่ ทเี่ หลอื ไดม้ า จากการแตง่ ตงั้ คณะสงฆไ์ ทยนน้ั ไดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากรฐั บาล อกี ทง้ั ยงั ตอ้ งพงึ่ อำ� นาจ รัฐในการรักษาเอกภาพในคณะสงฆ์ นอกจากน้ันนายกรัฐมนตรียังมีหน้าท่ีเสนอช่ือ ผทู้ สี่ มควรเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเพอ่ื ใหพ้ ระมหากษตั รยิ ส์ ถาปนา ดงั นน้ั คณะสงฆก์ บั รฐั จึงมีความสัมพันธท์ ่ีใกลช้ ดิ กนั มาก ความสัมพันธ์ดงั กล่าวจดั ว่าเปน็ เอกลกั ษณข์ อง พุทธศาสนาไทยเมื่อเทียบกับพุทธศาสนาแบบเถรวาทในประเทศอื่นๆ ความสัมพันธ์ พิเศษระหว่างพุทธศาสนากับรัฐ ยังเห็นได้จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญท่ีระบุว่า พระมหากษตั รยิ ต์ อ้ งเปน็ พทุ ธมามกะ อกี ทงั้ พธิ กี ารของรฐั มกั มพี ธิ กี ารทางพทุ ธศาสนา มาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจ�ำชาติของไทยอยู่กลายๆ แมไ้ มม่ ีระบุไว้ในรฐั ธรรมนญู ก็ตาม 96

พุทธศาสนาไทยให้ความส�ำคัญกับบทบาทของพระสงฆ์มาก ในอดีตพระสงฆ์เป็นผู้น�ำท้ัง ทางธรรมและทางโลก คือไม่เพียงให้การอบรมทางด้านศีลธรรมและการพัฒนาจิตวิญญาณเท่านั้น แตท่ า่ นยงั สงเคราะหป์ ระชาชนในเรอื่ งอน่ื ๆ ดว้ ย เชน่ การศกึ ษา วฒั นธรรม การแพทย์ และการพฒั นา ชมุ ชน อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จบุ นั พระสงฆม์ บี ทบาทลดนอ้ ยลง (พรอ้ มๆ กบั ปรมิ าณทลี่ ดลงดว้ ย) วดั มไิ ด้ เปน็ ศนู ยก์ ลางของชมุ ชนตอ่ ไป โดยเฉพาะในเมอื ง พระมบี ทบาทดา้ นพธิ กี รรมเปน็ หลกั โดยเฉพาะงานศพ ดว้ ยเหตนุ คี้ ำ� สอนทางพทุ ธศาสนาจงึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ ของผคู้ นสมยั ใหมน่ อ้ ยมาก การศกึ ษาสมยั ใหม่ ตลอดจนส่ือมวลชนและระบบเศรษฐกิจซึ่งเน้นความส�ำเร็จทางโลก เช่น ความม่ังคั่งร่�ำรวย มีอิทธิพล มากกว่า ค่านิยมดังกล่าวกลับมามีอิทธิพลต่อพระสงฆ์จ�ำนวนไม่น้อย ท�ำให้ค�ำสอนของท่านเน้น ความส�ำเร็จทางโลกมากกว่าการลดละกเิ ลส หรอื การเข้าถึงความสขุ ทางจิตใจ ชาวพุทธไทยให้ความส�ำคัญกับเร่ืองการท�ำบุญมาก การท�ำบุญในพุทธศาสนานั้นแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คอื ทาน ศลี ภาวนา สว่ นใหญแ่ ลว้ การปฏบิ ตั ทิ างศาสนาของชาวพทุ ธไทยจะเนน้ หนกั ทกี่ าร ให้ทาน หรอื การประกอบพธิ ีกรรมมากกว่าการรกั ษาศลี ดงั น้ันในแตล่ ะปเี งนิ ท่ีใช้ในการทำ� บุญจึงมีเปน็ จำ� นวนนบั แสนลา้ นบาท แตใ่ นเวลาเดยี วกนั ความหยอ่ นยานในเรอ่ื งศลี โดยเฉพาะศลี ๕ อนั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ พน้ื ฐาน กลายเปน็ ปญั หาใหญข่ องเมอื งไทย ยงิ่ การบำ� เพญ็ ภาวนาดว้ ยแลว้ ยง่ิ มนี อ้ ยลงไป อยา่ งไรกต็ าม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีความตื่นตัวในเร่ืองสมาธิภาวนามากข้ึน มีส�ำนักปฏิบัติเกิดข้ึนเป็นจ�ำนวนมาก ขณะเดียวกันคนช้ันกลางจ�ำนวนไม่น้อยก็หันมาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมมากขึ้น หนังสือเก่ียวกับธรรมะ ได้รบั ความสนใจอยา่ งมากจนกลายเปน็ หนังสอื ประเภทหนงึ่ ที่ขายดใี นเมืองไทย ความเปล่ียนแปลงอย่างหนึ่งท่ีก�ำลังเกิดข้ึนในเมืองไทยก็คือ ส่ิงท่ีเรียกว่าพุทธศาสนาแบบ ฆราวาส คือ การท่ีฆราวาสมีบทบาทมากข้ึนในพุทธศาสนา ขณะที่บทบาทของพระสงฆ์ลดน้อยลง นอกจากครสู อนธรรมทงั้ ปรยิ ตั แิ ละปฏบิ ตั จิ ะเปน็ ฆราวาสมากขนึ้ แลว้ ฆราวาสทเี่ ปน็ ผนู้ ำ� ในพธิ กี รรมตา่ งๆ ก็มเี พ่มิ ขน้ึ เช่นกนั สาเหตทุ ีเ่ ป็นเชน่ นี้ก็เพราะชอ่ งวา่ งระหวา่ งฆราวาสกับพระมีมากข้นึ ฆราวาสมีความ ศรทั ธานอ้ ยลงต่อพระสงฆ์ ขณะที่การศึกษาของฆราวาสก้าวหนา้ มากขึ้นจนรุดหนา้ พระสงฆส์ ่วนใหญ่ อยา่ งไรกต็ าม ยังมีพระสงฆจ์ �ำนวนไม่นอ้ ยทเี่ ป็นผนู้ ำ� ด้านจิตวิญญาณ มีบทบาททง้ั ดา้ นปฏิบัติ และเผยแผ่ สามารถชักน�ำให้ฆราวาสหันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มีทั้งพระสงฆ์ ในเมืองและพระสงฆ์ในป่า โดยเฉพาะประเพณีการปฏิบัติแบบวัดป่าน้ันได้รับความนิยมอย่างมากใน หมู่ฆราวาสนักปฏิบัติที่อยู่ในเมือง ในหลายปีที่ผ่านมาจึงมีผู้นิยมไปปฏิบัติในวัดป่าเป็นจ�ำนวนมาก รวมท้ังเห็นคุณคา่ ของการถือเพศพรหมจรรย์อย่างภิกษุ (เป็นเหตุผลหน่ึงท่ีท�ำให้มีผู้หญิงจ�ำนวนไม่น้อย หน่ึงจุดหมาย หลายหนทาง 97

หันมาบวชภิกษุณี) นอกจากน้ันยังมีพระสงฆ์อีกมากที่มีบทบาทในงานพัฒนาชุมชน และการอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมท้ังการสงเคราะห์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากทั้งในเมืองและ ชนบท ในอดีตมีธรรมเนียมว่าผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนา เม่ืออายุครบ ๒๐ ปีจะ ต้องบวชก่อนท่ีจะมีครอบครัว หรือได้ใช้ชีวิตในสมณเพศสักคร้ังหน่ึงในชีวิตเป็นเวลา อย่างน้อย ๓ เดือน แต่ปัจจุบันธรรมเนียมน้ีเลือนหายไปมาก หลายคนแม้จะบวช ก็บวชแค่ ๑๕ วัน หรือน้อยกว่าน้ัน ขณะท่ีผู้ที่บวชนาน ๓ เดือนมีน้อยลงแม้กระท่ัง ในชนบท เพราะครอบครัวมีลูกน้อยลง (เฉลี่ย ๒ คน) จึงต้องการแรงงานไปช่วย ในไร่นาไม่สามารถใหล้ กู บวชพระได้นาน พุทธศาสนาแบบเถรวาทนั้น มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือนิพพาน อันเป็นผล จากการมีปัญญาเห็นความจริงแจ่มแจ้งว่าส่ิงทั้งปวงนั้นล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ตัวตน ไม่ควรยึดติดถือม่ัน เมื่อจิตปล่อยวางสังขารท้ังปวงได้ก็เป็นอิสระจาก ความทกุ ข์ อย่างไรกต็ ามชาวพทุ ธไทยในปจั จบุ นั สว่ นใหญม่ งุ่ หวงั เพยี งแคค่ วามสำ� เรจ็ ในทางโลก หรือประโยชน์ปัจจุบันที่จับต้องได้ เช่น ทรัพย์ สุขภาพ งานการ และ ครอบครัว รวมทั้งปลอดพน้ จากอันตรายทงั้ ปวง รองลงมาคือ การมชี ีวติ หนา้ ทผี่ าสุก หรือเป็นสุคติ เช่น บังเกิดในสวรรค์ มีส่วนน้อยท่ีมุ่งนิพพาน อย่างไรก็ตามปัจจุบัน การมีนิพพานเป็นเป้าหมายได้กลายเป็นอุดมคติของชาวพุทธจ�ำนวนมากข้ึน รวมท้ัง ฆราวาสชนชั้นกลางท่ีมีการศึกษา แม้ว่าแนวปฏิบัติเพ่ือบรรลุนิพพานน้ันยังมี ความแตกต่างกนั อยู่ 98

Overview of Buddhism in Thailand Phra Paisal Visalo The sect of Buddhism that has its influence over the Kingdom of Thailand (usually called Theravada rather than Hinayana) has its origins coming from the island of Sri Lanka more than 800 hundred years ago. The bhikkhus, or monks, were seen to be divided into two separate groups due to their distinct ways of living, namely the “Arannavasi” or the forest monks who focused on the meditation practice, and the “Gamavasi”, the village and urban monks who stressed the study of the scriptures. Therefore, in Thailand there was also a clear distinction between monkhood revolving around scripture study and that which focused on meditation practice. In the modern era there have been efforts to integrate both the study of texts and meditation practice together, such as the movement led by Buddhadasa Bhikkhu, but there has only been partial success while the two distinct ways remain the mainstream practices for Buddhist followers. The community of Buddhist monks in Thailand is officially divided into two sects. One is the Maha Nikaya and the other is the Dhammayuttika Nikaya. The Dhammayut sect came into creation due to an attempt to reform Buddhism in this country 175 years ago. Of the total number of monks in the country, eighty percent are considered part of the Maha Nikaya branch, but it should be noted that there is no common standard practice uniting the group, but in fact much diversity exists within the Maha Nikaya community. It is easier to say that they are the non-Dhammayut, because the term Maha Nikaya came after the creation of Dhammayut sect of thought. Since then, all the non-Dhammayuttika Nikaya, which includes diverse groups of practitioners, have been grouped under one category and called the Maha Nikaya. In Thailand, there are non-Theravadin Buddhist practitioners as well, such as the Chinese Mahayana Bud- dhists and the Vietnamese Buddhists. There are some Bhikkhunis as well, but still with no official recognition from the Sangha governing body. At present, the monks from both sects have very similar practices and teachings, with minor differences in little details. This is the reason why laypeople do not really separate or treat the monks of the two sects differently. หนง่ึ จุดหมาย หลายหนทาง 99

Both the Dhammayut and the Maha Nikaya are organized under the administration of the Council of Elders, Thailand’s highest ecclesiastic body. The Supreme Patriarch, the Sangha Raja, is the head of the Council. The Council of Elders is the governing body composed of an equal number of representatives from both sects. The majority of the elders are highest ranking monks while a small portion of them are lower ranking monks who are appointed. The Thai monastic institution receives patronage from the state. It also relies on the state to maintain the unity within the Sangha. By law, the prime minister has the duty to submit the name of the most fitting monk to His Maj- esty the King for royal consideration of the title “The Supreme Patriarch”, or Sangha Raja. The Thai monastic body has a very close relationship with the state, and this relationship is a characteristic unique to Thailand, in comparison to the other Theravadin Buddhist countries. It is stated in the constitution that the King must be a Buddhist. Besides, official ceremonies at the state level always involve Buddhist rites and rituals. It can be said that in practice, Buddhism is the state religion, even though there is no official recognition in the national constitution. The role of Buddhist monks in Thailand is very important. In the past, monks were not only leaders in spiritual affairs, but also in worldly duties: not only did they teach and help the lay people in their spiritual knowledge practice, but they also played a major role in education, culture, health care, and com- munity development. Nowadays, the role of monks is less active in the modern society (there are also fewer monks), and temples are no longer the center of the community, especially for those living in the city. The role of monks now focuses mainly in rituals, such as at funerals. So for this reason, the Dhamma and the teaching of Lord Buddha have less and less influence for those living a modern life. The modern education, the media, along with the economic system all con- tribute to defining success in terms of worldly achievements. For example, the wish for wealth is the present norm, and this has an influence on the mentality of many contemporary monks. So many modern teachings are supporting the success in the worldly affairs, rather than teaching us how to become aware of 100