Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เกษตรยั่งยืน ความหวังสร้างโลกเย็น พลิกวิกฤตโลกร้อน ด้วยวิถีเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

เกษตรยั่งยืน ความหวังสร้างโลกเย็น พลิกวิกฤตโลกร้อน ด้วยวิถีเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

Description: เกษตรยั่งยืน ความหวังสร้างโลกเย็น พลิกวิกฤตโลกร้อน ด้วยวิถีเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

Search

Read the Text Version

เกษตรยั่งยืน ความหวงั สร้างโลกเย็น พลกิ วิกฤตโลกร้อน ด้วยวิถีเกษตรกรรมที่ยัง่ ยนื พุทธิณา นนั ทะวรการ จตุพร เทยี รมา

เกษตรยง่ั ยนื ความหวงั สรา้ งโลกเยน็ บรรณาธิการ ดร.เดชรัต สุขก�ำเนดิ และ ดร. สุภาภรณ์ อนชุ ิราชีวะ ผ้เู ขียน พุทธณิ า นนั ทะวรการ และจตุพร เทียรมา ประสานงาน วิจิตร วอ่ งวารีทพิ ย์ พิสจู นอ์ กั ษร ดวงดาว ธรรมติน ออกแบบและจัดรปู เล่ม อดุ มศักด์ิ ปาติยเสวี จัดทำ� โดย มูลนธิ นิ โยบายสุขภาวะ เลขท่ี 87/495 หมบู า้ นภัสสร รัตนาธเิ บศร์ (ซอย 31) ถนนบางกรวย-ไทรนอ้ ย ต.บางรักใหญ่ อ�ำเภอบางบวั ทอง จังหวัดนนทบุรี 11110 โทรศพั ท์ 02 920 9691-2 โทรสาร 02 920 8845 สนบั สนนุ โดย องค์การออ็ กแฟม เกรท บริเทน ประเทศไทย (Oxfam GB Thailand) จัดพมิ พ์โดย ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสริมสุขภาพ ISBN 978-616-90194-3-5 พิมพค์ รัง้ แรก ธนั วาคม 2553 จ�ำนวนพิมพ ์ 1,000 เลม่ พิมพ์ท ี่ บริษทั โรงพมิ พ์ คลงั วิชา จ�ำกดั โทรศพั ท์ 02 968 6997 โทรสาร 02 968 6998

คำ�นำ� สภาพอากาศแปรปรวนอยา่ งรุนแรงทก่ี ำ� ลังเกดิ ข้นึ ทั่วโลกอยา่ งตอ่ เนอื่ งในช่วงทศวรรษท่ผี า่ นมา ไดก้ ่อ ใหเ้ กิดการสญู เสยี อยา่ งมากมายมหาศาลในหลายๆ ประเทศ จนยากทีจ่ ะประเมนิ มลู ค่าความเสียหายได้ ภัย พิบัตทิ เี่ กิดข้นึ ในภมู ิภาคเอเซยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในชว่ งไมก่ ป่ี ีทผ่ี ่านมาเปน็ หลกั ฐานอยา่ งชดั เจนว่า ประชากรโลก ก�ำลังเผชญิ กบั ความทา้ ทายครั้งยงิ่ ใหญ่ท่เี กิดจากการเปลีย่ นแปลงภมู ิอากาศโลกท่ผี ิดปกติ เมือ่ เช้าตร่ขู องวนั ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 พายไุ ซโคลนนาร์กีส ทม่ี คี วามเรว็ ลม 190 กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง ซัดถล่มเมืองยา่ งกุง้ และบาสเซน แถบสามเหล่ียมปากแมน่ ำ้� อริ ะวดี ประเทศพมา่ ไดค้ ร่าชีวิตประชาชน ทำ� ลายทรัพย์สินและชีวิต ความเปน็ อย่ขู องประชาชนอย่างรุนแรง ในปี พ.ศ. 2552 พายุกสิ นา ป้าหม่า ลูปิต และมิริแน ถลม่ ฟิลปิ ปนิ ส์ และเวยี ดนามอยา่ งตอ่ เนือ่ งในระยะเวลาเพียงไม่ก่ีเดือน และเม่ือต้นปนี เ้ี องประเทศไทยต้องประสบกับภยั แลง้ ทั่วประเทศทำ� ใหเ้ กดิ การขาดแคลนน�ำ้ ในการทำ� การเกษตร แต่ในปลายปีกลับตอ้ งเจอกบั ปัญหานำ้� ท่วมทีเ่ กิด ข้นึ ในพน้ื ท่ีภาคอีสานและภาคกลางอนั มสี าเหตมุ าจากปริมาณของนำ้� ฝนทมี่ ีมากกว่าปกติ และต่อเนอื่ งดว้ ยพายุ ดีเปรสช่ันพัดถลม่ หลายจังหวดั ชายฝ่งั ทะเลในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ก่อให้เกิดความเสียหายอยา่ งหนักหนา สาหสั ต่อชีวิตและความเปน็ อยู่ของประชาชน จากการประเมินความเสยี หายโดยรวมอาจกล่าวได้ว่าภาคการเกษตรเปน็ ภาคที่ได้รับผลกระทบมากทีส่ ุด จากภยั พิบัติท่กี �ำลงั เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะน้ี นาขา้ ว และพ้นื ที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ได้รับความเสีย หายจากน�้ำท่วม เรือและเครื่องมอื ประมงตลอดจนพ้ืนท่อี นรุ ักษช์ ายฝ่ังถูกทำ� ลาย ซึ่งจะส่งผลให้อาหารมรี าคาสงู ขึ้นในอนาคตอันใกล้และเกิดการขาดแคลนอาหารในหลายพนื้ ที่ทั่วโลกอยา่ งที่เคยเกดิ ข้นึ ในปี พ.ศ. 2551 เมื่อ หลายประเทศในภูมิภาคเอเซียสูญเสียพน้ื ทผ่ี ลิตขา้ วอนั เนือ่ งมาจากภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาติ ทำ� ให้ราคาข้าวในปีนัน้ สงู อย่างไมเ่ คยเปน็ มากอ่ น อ็อกแฟม เกรทบริเทน โครงการประเทศไทยก�ำลงั ทำ� งานร่วมกบั ภาคประชาสังคม นกั วิชาการ และกลุ่ม เกษตรกรในประเด็นเรื่องผลกระทบของการเปล่ียนแปลงภูมอิ ากาศตอ่ วิถีชีวิต การดำ� รงชีวิตของเกษตรกร และ ชมุ ชนชาวประมงชายฝัง่ ทยี่ ากจน เราเห็นความสำ� คัญในการเสริมสร้างภมู ิคุ้มกนั ให้กบั กลุ่มเกษตรกร และชมุ ชน ชาวประมงใหม้ ีความสามารถในการปรับตวั เพอ่ื รับมือกับปรากฏการณ์และผลกระทบทีเ่ กิดจากความแปรปรวน ของสภาพอากาศ โดยการสรา้ งความยดื หยนุ่ ในวิถีการผลติ ของครัวเรือนและการดำ� รงชีวิตของชมุ ชนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเปลี่ยนแปลงท่ีก�ำลังเกดิ ขน้ึ ตลอดจนใหค้ วามสำ� คญั กับการสร้างศกั ยภาพของกลุ่มและชมุ ชนเกษตรกร และ ชาวประมง ใหส้ ามารถดแู ลรักษาระบบนเิ วศและอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นให้อุดมสมบรู ณ์ เพ่อื เป็น ภมู คิ ุม้ กนั ชมุ ชนและลดปัจจัยเส่ยี งจากปรากฏการณ์และผลกระทบทเี่ กดิ จากภยั พบิ ตั ิได้ อาจกล่าวไดว้ ่ารายงานฉบบั นข้ี องมูลนธิ นิ โยบายสุขภาวะเปน็ ความพยายามชน้ิ แรกๆ ในการบูรณาการองค์ ความรทู้ ีม่ อี ยู่ในแหลง่ ความร้ตู ่างๆ ในเรื่องผลกระทบของการเปล่ียนแปลงของสภาพอากาศต่อภาคเกษตรและ ความพยายามของเกษตรกรรายย่อยในการรับมือกบั ผลกระทบท่ีเกิดขน้ึ เพื่อใหเ้ กดิ การวิเคราะหแ์ ละน�ำไปสู่ก้าว ต่อไปในการส่งเสริมการปรับตวั ของเกษตรกร โดยการรวบรวมเอกสารวิชาการท่เี ก่ยี วขอ้ งและการรว่ มทำ� งาน วิจัยระดบั พืน้ ทีก่ ับอีก 6 องคก์ รดว้ ยกนั อัน ได้แก่ มูลนธิ ิพัฒนาภาคเหนือ มลู นธิ สิ ายใยแผ่นดิน สถาบันชมุ ชน เกษตรกรรมยง่ั ยนื มูลนธิ ิขา้ วขวัญ ศูนย์จัดการความรดู้ ้านการเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศ และอ็อกแฟม เกรทบริ เทน ภายใต้หัวขอ้ “การเปล่ยี นแปลงสภาพอากาศทม่ี ีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร: เกษตรกรรมย่ังยืน และป่าชมุ ชน ทางออกในการปรับตวั รับมือกบั วิกฤต” เพอื่ นำ� เสนอผลกระทบของความเปลย่ี นแปลงของสภาพ อากาศที่มตี ่อผลผลติ ของภาคการเกษตร และแนวทางการปรับตวั ของเกษตรกรรายยอ่ ยทส่ี อดคลอ้ งกับทศิ ทาง การพัฒนาการเกษตรแบบยงั่ ยนื โดยรายงานฉบับน้ี ชี้ ใหเ้ หน็ วา่ การทำ� การเกษตรดว้ ยวิถีเกษตรยง่ั ยืนไมว่ า่

จะเปน็ เกษตรอินทรียห์ รือเกษตรผสมผสาน และการจัดการปา่ ไม้โดยชมุ ชนเป็นแนวทางทท่ี ำ� ให้โลกเย็น และ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเกษตรกรและชมุ ชนของพวกเขาจากความสุม่ เส่ยี งทเ่ี กดิ จากความแปรปรวนของสภาพ อากาศ ระบบเกษตรอนิ ทรีย์สามารถสร้างภูมคิ ุ้มกนั ให้กับการผลติ ของครัวเรือนเกษตรกรโดยการปกป้องความ หลากหลายของระบบนเิ วศและรักษาความชมุ่ ชืน้ ของดินในพื้นท่ีเพาะปลูก ในขณะทก่ี ารจัดการปา่ ไม้โดยชมุ ชนจะ ช่วยปกป้องระบบนเิ วศ แหล่งอาหารและรายได้ของชมุ ชนน้นั ๆ นอกจากนนั้ รายงานฉบบั นย้ี งั ชี้ ให้เห็นถึงวิถี การดำ� รงชีวิตของเกษตรกรรายยอ่ ยทผ่ี ลติ ดว้ ยระบบเกษตรยง่ั ยนื วา่ เปน็ ผมู้ รี อยเทา้ นเิ วศเลก็ ซง่ึ หมายความวา่ พวก เขาเป็นผทู้ ี่ ใชท้ รัพยากรของโลกและปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่ชู ้ันบรรยากาศของโลกนน้ี ้อยมากเมอื่ เทยี บกับคน กลุ่มอื่นๆ ในสงั คม ดร. สุภาภรณ ์ อนชุ ริ าชีวะ� องคก์ ารออ็ กแฟม เกรท บริเทน โครงการประเทศไทย� พฤศจิกายน 2553

สารบญั หน้า รเู้ ทา่ ทันปญั หาโลกร้อน 1-15 เมอื่ ภาวะโลกร้อนมาเยือนประเทศไทย 2 โลกร้อนเพราะน้ำ�มือมนษุ ย์ 8 เม่ือโลกตอ้ งเผชิญวิกฤตโลกรอ้ น 12 เจาะลึกภาคการเกษตรกบั ปญั หาโลกร้อน 16-35 การเกษตรกอ่ โลกร้อน 18 ผลกระทบโลกร้อนต่อภาคการเกษตร 22 เพลย้ี กระโดดสีนำ้ �ตาลเรงิ ร่า เมื่อโลกรอ้ นขน้ึ 24 ตอกยำ้ �วกิ ฤตอาหารเม่อื โลกร้อนขึ้น 28 วกิ ฤตโลกรอ้ น กับทางออกที่เปน็ ไปได 32 ชีพจรภาคการเกษตรไทยภายใตว้ ิกฤตโลกร้อน 36-55 สภาพแวดลอ้ มทางการเกษตร ปจั จัยกำ�หนดพชื 38 จับตาพชื เศรษฐกจิ ไทย เม่ือเงอื่ นไขสภาพแวดล้อมแปรเปลยี่ น 40 ผลกระทบจากภาวะโลกรอ้ นตอ่ ภาคการเกษตรไทย 48 ความมั่นคงทางอาหารของไทยภายใต้วกิ ฤตโลกรอ้ น 53 เกษตรยัง่ ยืนและปา่ ชมุ ชน ทางออกในการปรับตัวรบั มอื กับปัญหา 56-79 เกษตรอนิ ทรีย์และวถิ ีเกษตรกรรมยงั่ ยนื พลิกวิกฤตสู่โอกาส 58 เกษตรอินทรยี ์กบั การจดั การนำ้ �เพ่ือรับมือกับภาวะโลกรอ้ น 62 ปา่ ชุมชนและไรห่ มุนเวียน ศักยภาพและบทบาทในการช่วยลดวกิ ฤตโลกรอ้ น 70 การปรบั ตวั และเตรยี มพร้อมรับมอื กับวิกฤตโลกร้อนสำ�หรบั ภาคการเกษตรไทย 80-90 วิถีเกษตรกรรมยั่งยืนและภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน: เยยี วยาโลกรอ้ น เพื่อโลกเยน็ ท่ียงั่ ยืน 82 ความม่ันคงทางอาหาร ปราการดา่ นสำ�คัญในการรับมือวกิ ฤตโลกร้อน 85 การจดั การนำ้ �ในไร่นาเพือ่ ลดความเส่ยี งจากวกิ ฤตโลกร้อน 87 ศนู ยพ์ ยากรณ์สภาพอากาศชมุ ชนเพอ่ื เตรียมรบั มอื สภาพอากาศแปรปรวน 88 การจดั การความเสยี่ งสำ�หรบั เกษตรกรในภาวะวิกฤตโลกร้อน 89 บทบาทผบู้ รโิ ภค ร่วมดว้ ยช่วยกนั ลดวกิ ฤตโลกร้อน 90 เอกสารอ้างอิง 91-94 อธบิ ายคำ�ศัพท์ 95

ความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟา้ อากาศ� ทก่ี ำ� ลังก่อตัวขึ้นทั่วทั้งโลก ในห้วงเวลาน้ี เป็นสัญญาณเตือนวา่ …วิกฤตโลกร้อน กำ� ลังมาเยอื นโลกเรา เอ้อื เฟอ้ื ภาพโดย สำ� นกั งานคณะกรรมการสุขภาพแหง่ ชาติ

ร้เู ทา่ ทนั ปญั หาโลกร้อน 1

เม่อื ภาวะโลกร้อนมาเยือนประเทศไทย วิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนท่ีประเทศไทย รวมถึงประเทศตา่ งๆ ทั่วโลกก�ำลังเผชญิ อยู่ในปัจจุบัน เปน็ สญั ญาณเตือนวา่ โลกกลมๆ ใบน้ี ไมป่ กติเหมอื นเดิมเสียแลว้ โลกเรากำ� ลงั ปว่ ยหนกั เขา้ ขนั้ วิกฤตทเี ดียว กราฟแสดงปริมาณนำ�้ ฝน เฉลย่ี ทั่วประเทศ (พ.ศ.2494- 2548) เทียบค่าปกติและแนว โน้ม (กรระวี สิทธิชีวภาพ, 2550 อา้ งโดย อำ� นาจ ชดิ ไธ สง, 2552) โดยในระยะเวลา กวา่ 50 ปีที่ผ่านมา ปริมาณ นำ�้ ฝนเฉลีย่ รายปลี ดลง ประมาณ 150 มลิ ลิเมตร ในระยะหลังๆ มาน้ี เราจะพบเห็นปรากฏการณ์ดนิ ฟา้ อากาศวิปริตแปรปรวนเกดิ ข้ึนในประเทศไทยบอ่ ย ครั้งมากข้นึ ทั้งภาวะภยั แลง้ ฝนทง้ิ ชว่ งทีย่ าวนานกว่าเดมิ เกิดนำ�้ ทว่ มฉบั พลันบ่อยครั้งมากข้ึน รวมถงึ มฝี นหลง ฤดแู ละพายฤุ ดูร้อนทพี่ ัดกระหนำ�่ พร้อมพายุลูกเหบ็ ทสี่ รา้ งความเสยี หายอยา่ งรุนแรงในหลายๆ พน้ื ที่เพิ่มมาก ขึ้น ความถี่และความรุนแรงในการเกดิ ภยั พิบัตทิ างธรรมชาติทเ่ี พิ่มขน้ึ ตลอดจนความผนั ผวนและแปรปรวนของ ฤดกู าลที่มีแบบแผนไมแ่ นน่ อนมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณเ์ หลา่ นเ้ี ปน็ สญั ญาณบ่งชี้ถงึ “ความผิดปกตขิ องสภาพ ดินฟ้าอากาศ” ในประเทศไทย สัญญาณบง่ ชภ้ี าวะโลกรอ้ นในประเทศไทย ภาพแสดงปริมาณฝนรวมรายปีเฉลยี่ ในประเทศไทย และผลต่าง แสดงการเปล่ียนแปลงในอนาคตในอีก 20 ปีขา้ งหนา้ (สำ� นักงาน สภาพดนิ ฟ้าอากาศแปรปรวน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2552) ปรมิ าณฝนมแี นวโน้มลดลง ในรอบ 54 ปที ผี่ ่านมา (พ.ศ.2494-2548) ปริมาณน�้ำฝนเฉล่ยี ทั่วประเทศและจ�ำนวนวันฝนตก มีแนวโนม้ ลดลง โดยเฉพาะในพ้ืนท่ภี าคกลางและ ภาคตะวนั ออกปริมาณฝนรวมรายปมี ีแนวโนม้ ลดลง อยา่ งมนี ยั สำ� คญั (อำ� นาจ ชดิ ไธสง, 2552) จากการศึกษาของ SEA START RC พบ ว่าในระยะยาว ภาวะโลกรอ้ นจะส่งผลใหป้ ริมาณ ฝนมีแนวโนม้ เพ่ิมขึ้นในประเทศไทย แต่ในระยะ 2-3 ทศวรรษข้างหนา้ ปริมาณฝนจะมีแนวโน้ม ลดลง โดยเฉพาะในพน้ื ทีภ่ าคกลางและบางส่วน ของภาคอสี านและภาคเหนอื รวมทั้งชายทะเลภาค ใต้ตอนบนฝัง่ ตะวันออก(ส�ำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ, 2552) 2

วันเริ่มฤดูมรสุมแปรปรวน โดยทั่วไปวันเริ่มตน้ ฤดฝู นของประเทศไทย คอื วันที่ 9 พฤษภาคมของทกุ ปี โดยจะเริ่มตน้ เร็วทีส่ ุดวนั ท่ี 13 เมษายน และช้าทส่ี ดุ ในวันที่ 4 มถิ นุ ายน แต่ในอนาคต วนั เริ่มตน้ ฤดฝู นมีแนวโน้มลา่ ช้าขึ้นเรื่อยๆ และยังมี แนวโนม้ ทจ่ี ะมีความแปรปรวนมากข้ึนด้วย (อ�ำนาจ ชดิ ไธสง, 2552) ภาพแสดงความแปรปรวนและแนว โนม้ วนั เริ่มฤดูมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใต้ (ฤดฝู น)ของไทย ระหว่างปี 2494- 2539 (Zhang et al., 2002 อา้ ง โดย อำ� นาจ ชดิ ไธสง, 2552) จะเหน็ วา่ เม่ือพจิ ารณาจากเส้นแนวโน้ม (เส้นตรง) วนั เริ่มต้น 3วสเ5(นัพูงอกิ่มำ�จอแวนขำ�งลา่้ึนนาศะจวา2จ4นเ5�ำซช3วดินลันอไววเซทธงนนั สยีศ่ีอคงสาุณืน,เซหทเ2พลภ่ีอ5ิม่เูมุณซ5ขสิยี 2ห้ึนูงส)ภก2ูมว1ิ่า ของฤดูฝนจะมีแนวโน้มล่าชา้ ไปเรื่อยๆ และเมือ่ พิจารณาจากการกระ จายของจุดเริ่มตน้ ของฤดูฝนในแตล่ ะปี ก็จะพบว่ามแี นวโนม้ แปรปรวน มากออกไปจากเสน้ แนวโน้มดว้ ยเชน่ กนั ซ่งึ ทำ� ใหเ้ กษตรกรท่พี ่งึ พานำ�้ ฝน (ประมาณ 3 ใน 4 ของเกษตรกรทั่วประเทศ) จะต้องเผชญิ กับความ เสี่ยงเพม่ิ มากขึน้ อย่างหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ อากาศร้อนมากข้นึ ในช่วง 41 ปที ่ผี า่ นมา (พ.ศ.2508-2549) ประเทศไทยมอี ณุ หภูมสิ งู ข้นึ โดยเฉลย่ี 1 องศาเซลเซยี ส ซึ่ง เพม่ิ ขึน้ มากกวา่ อณุ หภมู ขิ องโลกทีเ่ พม่ิ ขนึ้ ราว 0.74 องศาเซลเซยี ส และแนวโนม้ การเปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ิใน ประเทศไทยในระยะ 20 ปขี า้ งหนา้ พบวา่ อณุ หภมู ิโดยเฉลีย่ จะสงู ขึ้นไมม่ ากนกั แต่ระยะเวลาทมี่ อี ากาศรอ้ นใน รอบปจี ะเริ่มมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ัด โดยวันทีร่ อ้ นจัดจะยาวนานมากขนึ้ (สำ� นักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ, 2552) ภาพแสดงระยะเวลาท่ีอากาศร้อนในรอบ ปเี ฉลีย่ ในประเทศไทย และผลต่างแสดง การเปลยี่ นแปลงในอนาคตในอกี 20 ปีขา้ ง หนา้ (สำ� นกั งานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2552) จะเหน็ ไดว้ า่ ในอกี 20 ปขี า้ งหนา้ ประเทศไทยจะมวี นั ทมี่ อี ากาศรอ้ นในรอบปเี พม่ิ ขน้ึ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั (สแี ดงทเ่ี ขม้ และกระจายตวั เพม่ิ ขนึ้ ) โดยเฉพาะภาคอสี านตอนลา่ งและภาคใต้ 3

การคาดการณ์การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิในประเทศไทยในอีก 20 ปขี ้างหนา้ จ�ำนวนวนั ทมี่ ีอุณหภูมสิ ูงสดุ เทา่ กบั หรือสงู กว่า 35 องศาเซลเซยี ส ในอีก 20 ปีข้างหน้า ภาคอสี านตอน ลา่ งและภาคใตจ้ ะมจี ำ� นวนวนั ท่รี ้อนจัด (อณุ หภูมมิ ากกวา่ 35 องศาเซลเซียส) ยาวนานมากกว่า 1 เดอื น ที่มา: สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2552 ฤดหู นาวจะเริ่มหายไป จมฟ(ะแาสา้เพลวพ�ำผนัะนริม่ ่าสอ้ทกัมมงัมงอ่ีาาคกากุณกมนับขขหแ้นึค้ึนลภหณูกูมเโง่เกะดหิสชกดิายงูบ็ รตพกเรฉ,ิาเวมกพย่า2กิดาฤุ53าะฝด5ร5ในนรูพ2ฟอ้อภ)ัฒนงาา้ ศคคนมาเะาาหนเกกซนาขอลร้นึอืงเเซแศแอยีลราลสะษจะอฐมีสกีาจิน ประเทศไทยมจี �ำนวนวนั ท่อี ุณหภมู ติ ำ่� กว่า 25 องศาเซลเซยี สลดลง พื้นท่ที ี่มีอากาศเยน็ หรือ มอี ณุ หภูมติ �่ำกว่า 16 องศาเซลเซยี ส จะถอยรน่ ขนึ้ เหนือไปเรื่อยๆ บริเวณพื้นทีร่ าบจะเหลอื จำ� นวนวัน ที่เยน็ กวา่ 16 องศาเซลเซียสไม่เกิน 1 เดอื นตอ่ ปี ส่วนพ้นื ท่ที ี่เปน็ ภูเขา (สว่ นใหญ่อยู่ในภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนบน) จะเหลอื วนั ที่ อากาศเย็นกวา่ 1 องศาเซลเซยี ส เพียง 1-2 เดือน ตอ่ ปี คาดการณก์ นั วา่ ช่วงปลายศตวรรษน้ี ฤดู หนาวของไทยอาจหายไป (อำ� นาจ ชดิ ไธสง, 2552 และอัฐพงศ์ เพลนิ พฤกษา, 2552) ปี 2553 ประเทศไทยมอี ากาศร้อนทส่ี ุดในทศวรรษ ผลจากภาวะโลกร้อนท�ำให้อณุ หภมู ิของโลก รวมทั้งของประเทศไทยมีแนวโน้มเพม่ิ สงู ข้ึน อกี ทั้งอทิ ธิพล จากปรากฏการณเ์ อลนโี ญ1 ขนาดปานกลาง ซง่ึ เกิดขน้ึ ต้งั แต่ปลายปที ่แี ล้ว และจะส้ินสุดประมาณเดือนมถิ นุ ายน 2553 ส่งผลใหฤ้ ดูแลง้ (มกราคม-เมษายน) ของปี 2553 ประเทศไทยมีอากาศร้อนอบอา้ วทีส่ ดุ ในรอบทศวรรษ (ค.ศ.2000-2010) โดยมีอณุ หภูมสิ งู สดุ สงู กว่าปกติ ประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส ซง่ึ สูงเปน็ อนั ดับสองรองจาก ปี 2541 (ปี 2541 เกิดปรากฎการณ์เอลนโี ญขนาดรุนแรง ซง่ึ สง่ ผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก) ซ่งึ มอี ณุ หภมู ิ สงู กว่าปกตปิ ระมาณ 1.8 องศาเซลเซียส นบั ตั้งแตม่ กี ารบันทกึ ข้อมูลต้ังแต่ปี 2494 เปน็ ตน้ มา (ศนู ยภ์ มู ิอากาศ สำ� นักพัฒนาอตุ นุ ยิ มวิทยา, 2553) โดยหากพิจารณาการกระจายตวั ของปที ม่ี ีอุณหภมู สิ ูงสดู สูงกว่าปกติ ตง้ั แตป่ ี 2494-2553 พบว่า ในช่วง 20 ปหี ลัง ประเทศไทยมอี ากาศร้อนมากขึน้ อยา่ งเห็นไดช้ ัด 1 ปรากฏการณเ์ อลนโี ญ ทำ� ให้เกิดภาวะความแห้งแล้งในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ รวมถงึ ประเทศไทย 4

การกระจายตวั ของปที ี่มีอุณหภูมิสงู สดุ สงู กว่าปรกติ ต้ังแต่ปี 2494 - 2553 ที่มา: ดัดแปลงจากศูนยภ์ ูมิอากาศ สำ� นกั พัฒนาอตุ ุนยิ มวิทยา, 2553 โดยในเดือนเมษายน 2553 เป็นเดือนที่มีอากาศรอ้ นอบอ้าวมากกว่าทุกปที ่ผี ่านมา อีกทั้งมีฝนตกน้อย กวา่ ปกติ เนอื่ งจากมหี ยอ่ มความกดอากาศต่�ำเนอื่ งจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบนต่อเนอื่ งเกอื บตลอด เดือน โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ และภาคกลางตอนบนมีอากาศร้อนจัดต่อเนือ่ งหลาย พนื้ ท่ี และบางพน้ื ท่ีอณุ หภมู ิสงู สดุ สูงกว่าสถติ เิ ดมิ ทเ่ี คยตรวจวัดได้ อณุ หภมู ิสงู สดุ ท่ที �ำลายสถิติเดมิ ของเดือนเมษายน สถานอี ุตนุ ยิ มวิทยา สถติ ิใหม่ 2553 สถติ ิเดิม แม่ฮ่องสอน ทา่ วังผา (จ.น่าน) อุณหภมู ิ วนั ท่ี อุณหภูมิ ปี ทุ่งช้าง (จ.นา่ น) 43.3 23 43.0 2534 เถนิ (จ.ล�ำปาง) 42.5 22 41.7 2526 สุโขทัย 40.3 22 39.5 2550 แม่สอด (จ.ตาก) 43.1 6,8 42.9 2550 พจิ ิตร 42.6 21 41.6 2546 บุรีรัมย์ 41.1 8 40.9 2547 ทองผาภมู ิ (จ.กาญจนบุรี) 40.7 10 39.3 2544 คอหงส์ (จ.สงขลา) 41.7 6,22 40.8 2550 สะเดา (จ.สงขลา) 43.0 8 42.0 2541 37.5 14 37.3 2541, 2547 37.2 22 37.1 2544 ท่ีมา: ศนู ย์ภูมิอากาศ สำ� นกั พัฒนาอุตุนยิ มวิทยา, 2553 5

นำ้� ทะเลรกุ คบื กลืนกนิ ผนื แผ่นดนิ ระดับน�้ำทะเลทีเ่ พิ่มสูงขึ้นเปน็ อกี สัญญาณเตอื นภยั ทบ่ี ่งชี้ว่าภาวะโลกร้อนกำ� ลงั มาเยอื นประเทศไทย จาก การศึกษาของ ศุภกร ชินวรรโณ (2551) พบวา่ การเปลยี่ นแปลงน�้ำทะเลในดา้ นทะเลอนั ดามันทส่ี ถานจี ังหวดั ภูเก็ต พบอตั ราการเพ่ิมขนึ้ ประมาณ 7-8 มิลลเิ มตรตอ่ ปี (อำ� นาจ ชดิ ไธสง, 2552) ดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดการ ทรัพยากรทางชายฝ่ังและป่าชายเลน ระบวุ า่ ภาวะโลกรอ้ นสง่ ผล ใหล้ มและคล่ืนในทะเลแรงมากขึน้ ทำ� ใหเ้ กิดปญั หาการกดั เซาะ ชายฝั่งตามมา โดยบริเวณทางอา่ วไทยมพี ื้นทว่ี ิกฤตท่ีมกี ารกดั เซาะเฉลย่ี มากกวา่ 5 เมตรต่อปี ครอบคลมุ พ้นื ที่ 12 จังหวัด รวมความยาว ประมาณ 180.9 กิโลเมตร และมพี ้ืนที่เส่ียงทีม่ อี ัตราการกดั เซาะ 1-5 เมตรต่อปีใน 14 จังหวดั เปน็ ระยะทาง 305.1 กิโลเมตร ที่มา: http://www.dmr.go.th/ewt_news. ในสว่ นทางอันดามนั มพี ื้นที่วิกฤตที่มกี ารกัดเซาะมากกวา่ php?nid=8228&filename=index 5 เมตรตอ่ ปี มอี ยู่ใน 5 จังหวัด รวมความยาว 23 กโิ ลเมตร และพ้ืนทีเ่ สย่ี งทมี่ ีอตั รากดั เซาะ 1-5 เมตรตอ่ ปี พบในทกุ จังหวัด รวมระยะทางประมาณ 90.5 กโิ ลเมตร (หนังสอื พิมพม์ ตชิ น, 16 ตลุ าคม, 2551) อยา่ งไรก็ดี สาเหตุสำ� คัญของปัญหาการกดั เซาะชายฝ่งั เกิด จากฝีมือของมนษุ ย์เป็นหลกั จากการใชป้ ระโยชนท์ ่ีไมเ่ หมาะสม ยุงดรุ ้ายมากขึ้น ภาวะโลกร้อนเออ้ื ให้เกิดการสร้างสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตของยงุ อณุ หภมู ทิ ี่สูงข้นึ ท�ำให้ยงุ ฟักตัวไดด้ ีและวางไขไ่ ด้นานขึ้น ยุงจึงสามารถดำ� รงอยู่และขยายพันธุ์ได้ดีขนึ้ มรี ายงานว่าพบผู้ปว่ ยไข้เลือด ออกในเขตกทม.เพ่ิมขน้ึ ซง่ึ สอดคลอ้ งกับงานวิจัยทย่ี ืนยันว่า ในเขตเมืองใหญ่พบระดับคารบ์ อนไดออกไซด์ ในนำ้� เพม่ิ ขนึ้ ทำ� ใหว้ งจรการฟักตัวของไข่ยุงเร็วขึ้น ก่อนปี 2546 ไขเ้ ลอื ดออกมีการระบาดที่รุนแรงในลกั ษณะ 1 ปี เว้น 2 ปี และเกดิ กบั เด็กเปน็ ส่วนใหญ่ แตห่ ลงั ปี 2546 พบวา่ มกี ารเกดิ ไข้เลือดออกทั้งปี โดยพบมากในฤดูฝน และไม่ไดเ้ กดิ เฉพาะในกลมุ่ เดก็ เทา่ นัน้ แตเ่ กดิ กบั คนทกุ วยั นอกจากนย้ี งั พบว่า ยุงลายตวั ผ้มู เี ชื้อไวรัสไขเ้ ลือดออก เดมิ ทพี บเฉพาะในตวั เมีย ท�ำให้ยงุ ลาย ตัวเมยี รับเชื้อไวรัสจากการผสมพันธุ์ได้ทันทโี ดยไมต่ อ้ งไปกดั ผทู้ เ่ี ปน็ ไข้เลือดออกเชน่ สมัยกอ่ น ที่ส�ำคัญยงุ ลายตวั ผู้ สามารถผสมพันธ์ุไดห้ ลายครั้ง ท�ำให้เช้อื แพร่อย่างรวดเร็ว (รายงานสขุ ภาพคนไทยปี 2551) ทีก่ ล่าวมาข้างตน้ เปน็ เพียงเศษเสีย้ วตวั อยา่ งทบ่ี ง่ ชี้ ใหเ้ หน็ วา่ ภาวะโลกร้อนกำ� ลังมาเยอื นประเทศไทย หากสงั คมไทยยังไมร่ รู้ อ้ นรหู้ นาวหรือเพกิ เฉยต่อปญั หาเหลา่ น้ี และไมเ่ ตรียมการรับมอื กบั การเปลยี่ นแปลงภูมิ อากาศเสียแต่วันน้ี อาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไขและเยยี วยาผลกระทบต่างๆ ท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนในอนาคตไดท้ ันท่วงที 6

ทวิสี่กฝดุฤนใปตนฟีสร2อภ้าร5บาแอ5พคป51ออ7ราชยกปาปฟาวรีศน้าชวฝาานฝทวน(นนี่ยพอาทโรยตสร้ิง่าอ้ธณชงงรว่ไดีรตงเำ�ค้ยสอ้ นาวงมาาวเอมผน(ภผาหชาญินงวค)ัง, 2553) ร(ับพครรวณามี เเสสยีมหอาภฝใยอเปานหนยอคเีขลดยา่ฟ,ณอืีงย่า2า้ะไงงวมท5แอหกข่5รชี่ปนันาว่่า3กัดรงม)กฤสปทลาดรร่ี ับยูเอวกมวนทบ็ีฝนั �ำเนเกใกหเ่ียทบ็ ท้ วลเุ่งใกงนขม่ีย้าาววได้ ภยั พบิ ัติรนุ แรงมากขึน้ � ฤเ2ไกฝมด5ดินล่5กู บหืม1า่อลหลปยงลู ผฤครมื าดนัรตกั้งูทผาฏม่มี วกาเานกมาเรยขือ่ ณึน้เอืกอในลเ์ นชาาเ่นอแมงนนเือนดาม้ีง่เือคกีแอนตรนามุงวนอีนโอนยาน้มคา่ งจมไมะ ไ่ ด้ และคาดการณ์ได้ยาก สญั ญาณเตอื นภาวะโลกร้อน� เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2552 เกิด ในประเทศไทย พายุฤดรู ้อนและพายุลกู เห็บพัดถลม่ หมูบ่ า้ นหินลาดใน จังหวัดเชียงราย (เวนซนั าเ้ี คชะัยจยนเตปเห็นนั ลแตอื ผิวแิทน่ ตยดห่าินบพลมหาิทเกั าขงลเักกตขขกั ษ่อตนุทเน,์ขเ่ี ทต2ร2ปยี8กะ5นจัรด5กจกุง0ับันุ้เบับท)นรนัอพะำ�้า่ถหมทวกู วหไะทน่าาเงย้�ำนลเทขคเ–ะตพรเลบมิ่ หกรสลดัิเงูวักขณึน้ สรา้ งความเสียหาย แก่ชมุ ชนเป็นอยา่ งมาก เปน็ ครั้งแรกท่เี กิดปรากฏการณ์เช่นน้ี ในชมุ ชน 7 (เวบไซด์มูลนธิ เิ กษตรกรรมยง่ั ยนื ) วงรจขะเรนึ้รเดจ(ช็วรบัรทขีวาคิญึ้นยิตำ� าใงเขรหแตาอ์บ้วนลิบงงอะสโจยนตอขุ รไงุณุภไกดดเาหาปอ้พใรภนอลคฟูมก่ียนกั7ิทไซนไต่ีสทดวไวังูยนัป์ ขใขปนอึ้นจีนงท2าไ้�ำขกำ�5เใ่ยพเ5หดงุิม่1ย้ิม)งุ 14 วัน

โลกรอ้ นเพราะน้�ำมือมนษุ ย์ กิจกรรมต่างๆ ของมนษุ ยท์ ั้งในอดีตและปจั จุบนั ก่อใหเ้ กดิ การปลดปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกออกสชู่ น้ั บรรยากาศจำ� นวนมหาศาล ปจั จุบันโลกของเรากำ� ลงั เดินทางมาสหู่ นทางแห่งความตีบตนั หายนะสิง่ แวดล้อมและ วิกฤตทรัพยากรธรรมชาตกิ �ำลังรอเราอยูเ่ บื้องหน้า มนษุ ยเ์ ป็นตน้ เหตุให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนถงึ 10 กกิ๊ กะตนั ตอ่ ปี (พ.ศ.2550) ซง่ึ สว่ นใหญ่มาจาก การเผาไหมเ้ ชือ้ เพลิงฟอสซลิ คาร์บอนที่ถกู ปลดปลอ่ ยออกมาในปริมาณมากเช่นน้ี เปน็ สาเหตหุ ลกั ที่กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาโลกรอ้ นในทกุ วนั น้ี ปจั จุบันมนษุ ย์ก�ำลงั เผชญิ วิกฤตสภาพอากาศเลวร้ายอยา่ งที่ไม่เคยประสพพบเจอมา ก่อน หนำ� ซ้ำ� ภัยพิบัตทิ างธรรมชาตกิ ็กำ� ลงั เล่นงานมนษุ ยอ์ ยา่ งไมป่ ราณปี ราศรัย โลกกำ� ลังขาดสมดลุ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาตซิ ึง่ เปน็ ระบบท่เี ปราะบางและซับซ้อนก�ำลงั ถูกทำ� ลายด้วยน�ำ้ มือมนษุ ย์ วฏั จกั รคาร์บอน: กลไกการควบคุมสมดุลของคาร์บอน ทม่ี า: ดดั แปลงจาก IPCC 2007b., อ้างโดย World Bank, 2009 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในช้นั บรรยากาศ เจพปเปะ(กล่าWถัจบ็เหิงพกูจoฟคาุ่ิมปบrกาอlขรลนัยdสน้ึบ์่อทังซถBยอม่ีพลิ งึนอaีกื้นดnอาเทัง2หรkกเป่ีลชป,มเน่ทา่่าลา2นมใใ่าอ่0นนจแี้ีย0ปซศานก9ึ่งกจัตวา๊ส)ทจโวซนวุบ่ีมรจนม้รีอนัาทลษกยาดปทกู่ใงนลาร่ีกร2งปิมับเเ1าัจรผคณจื่อตาวุบยไคาอ้หๆมนัางมรเกปเ้์บเาชพ็นรอื้อือ่พจนกรนื้ทักิงที่ ใน่ี ถูกควบคมุ ด้วยวฏั จักรชีวเคมี โดยมีการแลกเปลย่ี นถา่ ยเท คาร์บอนระหวา่ งมหาสมทุ ร ผืนดิน ส่ิงมชี ีวิต และชน้ั บรรยากาศ ปัจจุบันชนั้ บรรยากาศมีคารบ์ อนประมาณ 824 ก๊ิกกะตนั (Gt) โดยในปี พ.ศ.2550 มนษุ ย์เปน็ ตน้ เหตุให้ เกดิ การปล่อยคารบ์ อนถึง 10 กก๊ิ กะตนั ซ่งึ ประมาณ 7.7 กิก๊ กะตนั มาจากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ฟอสซิล (หรือเทา่ กบั 28.5 ก๊กิ กะตันคาร์บอนไดออกไซด์1 ) ทเี่ หลือเกิดจากการ เปล่ยี นแปลงการใชท้ ่ดี นิ (World Bank, 2009) 2 การแปลงคารบ์ อน (C) เปน็ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ให้คูณปริมาณคาร์บอนดว้ ย 3.67 8

มหาสมุทรและระบบชีวนเิ วศบนผนื ดินเปน็ แหลง่ กักเก็บคาร์บอน (Carbon sink) ขนาดใหญ่ โดย คารบ์ อนถูกกักเกบ็ ไว้ ในมหาสมุทรมากถงึ 38,000 กก๊ิ กะตัน และกักเก็บไว้ ในรปู ชีวมวลและในดินประมาณ 2,300 กิ๊กกะตัน โดยถกู เก็บในรปู ชีวมวลทั้งบนดินและใต้ดินประมาณ 500 ก๊ิกกะตัน และเก็บไว้ ในดินประมาณ 1,800 กิก๊ กะตนั หรือมากกวา่ ชีวมวลบนดนิ ถึง 3 เทา่ (World Bank, 2009) ก๊าซเรือนกระจกและสาเหตุการเกิดภาวะโลกรอ้ น ภาพแสดงสาเหตขุ องการเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศ ในสภาวะปกติ ชน้ั บรรยากาศของโลก (กัณฑรีย์ บญุ ประกอบ และศรัทธารา หตั ถีรัตน,์ 2549) ประกอบไปดว้ ยกา๊ ซต่างๆ จ�ำนวนมาก ก๊าซเรือน กระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มเี ทน และไน ตรัสออกไซดม์ ีอยู่ในชั้นบรรยากาศตามธรรมชาติ ในปริมาณนอ้ ย โดยทำ� หน้าทดี่ ูดกลนื ความรอ้ น จากดวงอาทิตย์ไม่ใหแ้ ผร่ ังสกี ลับออกไปจากช้นั บรรยากาศจนหมด ท�ำให้โลกอบอนุ่ และเหมาะสม ตอ่ การดำ� รงชีวิต หากไมม่ กี ๊าซเรือนกระจกดงั กลา่ ว พ้นื ผิวโลกจะเย็นกว่าปกติถึง 30 องศาเซลเซยี ส (เพญ็ ระพี นพรัมภา, 2548) แตป่ ัจจุบนั มนษุ ยก์ ำ� ลงั เปน็ ต้นเหตสุ ำ� คญั ท่ีทำ� ใหก้ ๊าซเรือนกระจกในช้ันบรรยากาศเพ่มิ ขน้ึ กว่าที่ควรจะเปน็ อย่างรวดเรว็ โดยเฉพาะภายหลงั จากมีการปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรมเมอื่ ศตวรรษที่ 17 ก๊าซเรือนกระจกทเี่ พิ่มข้นึ ส่ง ผลให้อณุ หภมู ิของผิวโลกเพิ่มขนึ้ ท�ำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และองคป์ ระกอบทางภูมอิ ากาศ เชน่ ปริมาณน้�ำ การหมนุ เวียนของกระแสลม ความรุนแรงของพายุ เป็นตน้ กา๊ ซเรือนกระจกสำ� คญั ทีก่ ่อให้เกิดปญั หาภาวะโลกร้อน ก๊าซเรื อนกระจก ศกั ยภาพในการทำ� ให้โลกรอ้ น � แหล่งท่ีมา (เทียบเทา่ CO2) 1. คารบ์ อนไดออกไชด์ (CO2) การเผาไหม้เช้ือเพลิงฟอสซลิ จากถา่ นหนิ 2. มีเทน (CH4) น้�ำมนั กา๊ ซธรรมชาติ 3.ไนตรัสออกไซด์ (N2O) 1 การตดั ไม้ท�ำลายป่า 4.ไฮโดรฟอู อโรคาร์บอน (HFCs ) 5.เปอรฟ์ ลอู อโรคาร์บอน (PFCs) ควนั จากไอเสยี รถยนต์ 6.ซลั เฟอร์เฮกซาฟลูโอไรด์ (SF6) ทมี่ า: IPCC, 1995 21 ของเสยี ปศสุ ัตว์ การทำ� นา 310 การใช้ป๋ยุ เคมีทม่ี ีส่วนประกอบของไนโตรเจน 140-11,700 กระบวนการแปรรปู ทางอุตสาหกรรม 6,500 – 9,200 กระบวนการแปรรปู ทางอตุ สาหกรรม กระบวนการแปรรปู ทางอตุ สาหกรรม 23,000 9

สัดสว่ นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกโดยภาคสว่ นต่างๆ ในปี 2004 ที่มา: IPCC 2007a อ้างโดย World Bank, 2009 ก๊าซเรือนกระจกท่ีมีการปลดปล่อยออกส่ชู นั้ บรรยากาศของโลกมากทส่ี ุด 3 อันดบั แรกได้แก่ กา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกทถี่ ูกปลดปลอ่ ยออก มามากทีส่ ุด คดิ เป็นร้อยละ 76.7 ของกา๊ ซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยสชู่ น้ั บรรยากาศ โดยสว่ นใหญ่เกิดจากการ เผาไหมเ้ ชอื้ เพลงิ ฟอสซลิ และการเปล่ียนแปลงทดี่ ิน ส�ำหรับกา๊ ซมเี ทนมกี ารปลดปล่อยสู่ชนั้ บรรยากาศ คิดเปน็ ร้อยละ 14.3 ซง่ึ สว่ นใหญม่ าจากภาคการเกษตร และพลังงานเปน็ หลกั สว่ นก๊าซไนตรัสออกไซดม์ กี ารปลดปล่อยสู่ชน้ั บรรยากาศ คิดเป็นรอ้ ยละ 7.9 ซ่ึงเกดิ จาก ภาคการเกษตรเป็นสว่ นใหญ่ โดยภาคการผลติ ทเ่ี ปน็ ต้นเหตขุ องการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกมากทีส่ ุด ได้แก่ ภาค พลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคมขนสง่ รวมถงึ การเปลย่ี นแปลงท่ดี ินและป่าไม้ (World Bank, 2009) การเปลยี่ นแปลงอณุ หภมู ิผิว โลกและการเพิม่ ขึน้ ของก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ ปริมาณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ในช้ันบรรยากาศเมือ่ เกอื บ 1 ล้านปกี อ่ น ยุคปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมมีเพียง 170- 280 ส่วนในล้านสว่ น (ppm) เทา่ น้ัน ปัจจุบันเพ่มิ ขึ้นเปน็ 387 ppm ซ่ึง มากกว่าจุดสูงสดุ ท่เี คยปล่อยออกมาเม่อื 800,000 ปที ่ีผา่ นมา (World Bank, 2009) กราฟอณุ หภูมเิ ฉลีย่ ของโลกและความเข้มขน้ ของก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ที่เพมิ่ ข้นึ เรื่อยๆ นบั แตป่ ี 1880 – 2007 (World Bank, 2009) 10

การเพิม่ ขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในช้นั บรรยากาศเริ่มข้ึนอยา่ งชดั เจนภายหลังจากมกี ารปฏวิ ัติ อตุ สาหกรรมในศตวรรษท่ี 17 ผลกระทบของการเปลยี่ นแปลงดงั กลา่ วเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแตก่ ลางศตวรรษ ท่ี 19 โดยมีหลกั ฐานท่เี ห็นอยา่ งเด่นชดั ในปัจจุบัน ไดแ้ ก่ การเพิม่ ขนึ้ ของอุณหภูมิอากาศและ มหาสมทุ ร การ หลอมละลายของหมิ ะและเกาะน้�ำแขง็ ทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ วนั ทีอ่ ากาศเยน็ ลด จ�ำนวนลง ในขณะทว่ี ันที่มอี ากาศรอ้ นเพมิ่ ขึน้ ในทุกภมู ภิ าค (Karl T.R., Meliloo J.M., Peterson, 2009 อา้ ง โดยวิพุธ พลู เจริญ, 2552) ขณะเดียวกนั ยังพบว่า บรรยากาศบริเวณเสน้ ศนู ยส์ ตู รมกี ารเกบ็ กักแสงอินฟาเรดได้ มากกว่าบริเวณขัว้ โลก กอ่ ให้เกิดการระเหยของไอนำ้� เพมิ่ ขึ้น ก่อให้เกิดพายุฝนและพายไุ ซโคลนเพ่มิ มากข้ึน พ.ศ. 2537 พ.ศ. 2547 ภาพแสดงธารนำ้� แข็ง Portage ทอี่ ลาสกา บริเวณข้วั โลกเหนอื เปรียบเทียบระหวา่ งปี พ.ศ.2537 กบั ปี พ.ศ. 2547 (Gary Braasch, อา้ งโดยประเสริฐสขุ จามรมาน, 2550) ปัจจุบันอุณหภมู ขิ องโลกไดข้ ยับเพ่มิ ขนึ้ 0.74 องศาเซลเซียส จากยคุ ก่อนการปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรม คาด การณ์กันวา่ หากปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกยงั สงู ข้นึ เรื่อยๆ ดังเชน่ ในปจั จุบนั อุณหภมู เิ ฉล่ยี ของผิวโลกจะ เพ่ิมขน้ึ ประมาณ 2 องศาเซลเซียส ในปี พ.ศ.2643 (ค.ศ.2100) ซง่ึ จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อมนษุ ย์ และสรรพชีวิตบนโลกใบนอ้ี ยา่ งยากทจี่ ะหลกี เลี่ยงได้ 11

เม่ือโลกต้องเผชญิ วกิ ฤตโลกรอ้ น โลกเราก�ำลังเดนิ ทางมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภมู อิ ากาศโลกกำ� ลังเปล่ียนแปลงอยา่ งสดุ ขัว้ อย่าง ที่ไมส่ ามารถหวนคนื กลับได้ วิกฤตธรรมชาติและภยั พบิ ัตติ ่างๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ทั่วโลกในห้วงเวลานเ้ี ปน็ เพียงเศษเสยี้ ว หายนะท่ีมนษุ ยชาติจะต้องเผชญิ อยา่ งหลีกเลยี่ งไม่ไดจ้ ากการเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศ อันเป็นผลพวงมาจากนำ�้ มือ ของมนษุ ย์เอง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” ไม่เพียงแตท่ ำ� ให้อุณหภมู ผิ ิวโลกสูงขนึ้ และอากาศร้อนระอมุ ากขึน้ เทา่ นน้ั หากยงั ก่อใหเ้ กิดผลกระทบสบื เนอื่ งตามมาอกี นานปั การจากการเปลย่ี นแปลงสภาพอากาศและองคป์ ระกอบทาง ภูมอิ ากาศของโลก ไมว่ ่าจะเปน็ การเกดิ ภัยพิบัติทางธรรมชาตทิ ่ีโหมกระหนำ�่ รุนแรงมากข้นึ ระดบั นำ้� ทะเลทเี่ พ่มิ สูง ขึน้ อยา่ งไมห่ ยุดยง้ั การเกดิ คล่ืนความรอ้ นคร่าชีวิตผูค้ นครั้งแลว้ ครั้งเลา่ รวมถึงการระบาดของโรคต่างๆ ที่ไม่ เลือกพรมแดนประเทศอกี ต่อไป เป็นตน้ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะกล่าวถึงตอ่ ไปน้ี เป็นเพียงเศษเสีย้ วตัวอยา่ งของผลกระทบทมี่ นษุ ยชาติ จะต้องเผชิญในศตวรรษนอ้ี ย่างหลีกเล่ยี งไม่ได้ และไมม่ ปี ระเทศใดในโลกนท้ี ีจ่ ะรอดพ้นจากผลกระทบดงั กล่าวไป ได้ โดยเฉพาะประเทศกำ� ลงั พัฒนาหรือประเทศยากจนจะเปน็ กลมุ่ เสย่ี งอันดบั ตน้ ๆ ท่จี ะไดร้ ับผลกระทบอย่าง รุนแรงจากภาวะโลกร้อน ภยั พิบัติทางธรรมชาติรนุ แรงขนึ้ ในรอบ 50 ปีท่ผี า่ นมา ทั่วโลกประสบปัญหาภยั พิบัติทางธรรมชาตเิ พมิ่ ขึน้ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั โดยเฉพาะ การเกิดนำ้� ท่วมและพายคุ รั้งใหญ่ ในชว่ งปี 1960 เกดิ นำ�้ ท่วมใหญ่ในโลกนเ้ี พียง 8 ครั้ง และเกิดพายคุ รั้งรุนแรง ประมาณ 20 ครั้ง ผา่ นมาไม่ถึงชั่วอายคุ น สถติ ิการเกิดน�ำ้ ทว่ มใหญเ่ พิ่มขึ้นถึง 170 ครั้ง ในขณะที่การเกิดพายุ เพ่มิ ขน้ึ เป็น 122 ครั้ง (Kirstin Dow and Thomas E.Downing , 2006) นอกจากความเสียหายและผลกระทบที่เกิดข้นึ โดยตรงจากภัยธรมชาติแล้ว ภายหลงั จากการเกิดพายุและ นำ้� ท่วมดังกลา่ ว มกั มกี ารระบาดของโรคตดิ ตอ่ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะโรคที่มยี งุ และหนูเป็นพาหะ ขณะเดียวกนั ก็ มเี ชือ้ โรคที่ปนเป้อื นมากบั น�้ำ ท�ำใหเ้ กิดการเจบ็ ป่วยตามมาอีกมากมาย การเกดิ น�้ำท่วมและพายุทวั่ โลกระหวา่ งปี 1960 - 2005 น�้ำทว่ ม� พายุ ท่มี า: Kirstin Dow and Thomas E.Downing , 2006 12

ระดับน�ำ้ ทะเลเพ่มิ สูงขน้ึ การขยายตวั ของน�้ำทะเลเนอื่ งมาจากอณุ หภูมิของน�้ำในมหาสมทุ รเพิม่ ขน้ึ และการละลายของนำ้� แข็งบน ยอดเขาสงู ส่งผลใหร้ ะดับนำ�้ ทะเลสูงขนึ้ ท�ำใหช้ มุ ชนจำ� นวนมากที่อาศัยอยูแ่ นวชายฝงั่ ไดร้ ับผลกระทบ ในช่วง ศตวรรษที่ 20 ระดับนำ้� ทะเลเพม่ิ ขึน้ โดยเฉล่ียประมาณ 15 เซนติเมตร และคาดการณ์ว่าระดับน้�ำทะเลจะเพ่ิมขึ้น ระหวา่ ง 20-90 เซนติเมตร ในระหวา่ งปี 1990-2100 (Kirstin Dow and Thomas E Downing, 2006) ผลกระทบจากการเพ่ิมข้นึ ของระดับนำ�้ ทะเล ท่มี า: Kirstin Dow and Thomas E.Downing , 2006. จำ� นวนพ้นื ทท่ี ่ีถกู น�้ำท่วมจากการเพม่ิ ของระดบั นำ�้ ทะเล (ตร.กม.) ทม่ี า: Kirstin Dow and Thomas E.Downing , 2006. 13

เกดิ คล่นื ความรอ้ นคร่าชีวิตผคู้ นเรือนหมืน่ ขอ้ มูลจากนกั วิทยาศาสตรช์ าวสหราชอาณาจักรรายงานว่า ภาวะโลกร้อนมแี นวโนม้ มากกวา่ 90% ที่จะ ทำ� ให้ภยั เสย่ี งจากคล่ืนความร้อนเพ่มิ ข้นึ เป็น 2 เทา่ คลื่นความรอ้ นไมเ่ พียงสง่ ผลกระทบตอ่ ประชาชนเท่านัน้ แต่ ยังสามารถสร้างความเสียหายแกพ่ ชื ผล ปศสุ ตั ว์ ประชากรปลา และ สตั ว์ปา่ ด้วย (เวบไซด์กรีนพีซเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต)้ และเมอ่ื ปี 2546 เกิดคล่ืนความรอ้ นในทวปี ยโุ รปคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 70,000 คน โดยเฉพาะใน ประเทศอิตาลี, ฝรั่งเศส, สเปน, เยอรมนี ซึง่ นบั เป็นครั้งเลวร้ายท่ีสดุ ในประวัติศาสตร์ จำ� นวนผ้เู สยี ชีวิตจากคล่ืนความรอ้ นในทวีปยโุ รปเม่ือปี พ.ศ.2546 ทีม่ า: Robing and other, 2008 อ้างโดย World Bank, 2009 ผลกระทบตอ่ การเจ็บป่วยและสุขภาพ ในแต่ละปีจะมีผู้ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากภาวะโลกร้อนจำ� นวนมาก โดยเฉพาะอนั เนือ่ งมาจากสภาพ อากาศเลวรา้ ย นำ้� ทว่ ม และพายุ โดยเฉพาะประชากรท่อี ยู่ในประเทศทีม่ รี ายได้ต�่ำและประเทศทมี่ รี ายได้ต�่ำถงึ ปานกลาง จำ� นวนผูเ้ สยี ชีวิตทั่วโลกจากภยั พบิ ตั ิตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกับสภาพอากาศ ในชว่ งปี 2000 - 2005 ท่ีมา: Kirstin Dow and Thomas E.Downing , 2006 14

จ�ำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบจากภยั พิบัตทิ เี่ กย่ี วเนอื่ งกบั สภาพอากาศเพิม่ ขึน้ เรื่อยๆ ที่มา: World Bank, 2009 ทำ� นายอนาคต…มหันตภัยโลกรอ้ น จากหนังสือ Six degrees: our future on a hotter planet ซ่งึ เขียนโดย Mark Lynas ไดท้ ำ� นายไวว้ า่ .. อุณหภูมิโลกทร่ี อ้ นขนึ้ ผลกระทบที่คาดวา่ จะเกิดขนึ้ 1 องศาเซลเซียส โลกจะประสบกบั ภาวะขาดแคลนนำ้� น�ำ้ ท่วมและพายุถี่ขน้ึ และความรุนแรงของ พายเุ พิม่ ขนึ้ 4-5 เทา่ 2 องศาเซลเซยี ส ภายใน 20 ปขี า้ งหนา้ สิ่งมชี ีวิตหลายชนดิ จะสญู พันธุ์ ผลผลิตขา้ วและธัญพืชลดลง เมอื งชายฝงั่ หลายประเทศจมอยู่ใต้นำ้� 3 องศาเซลเซยี ส ภายใน 30 ปี ขา้ งหน้าธารน้�ำแขง็ บนเทือกเขาแอลป์และหมิ าลัยจะละลายหมด ทวีปอารก์ ตกิ ไม่มนี ้�ำแข็งในหนา้ รอ้ น สง่ ผลใหร้ ะดับนำ้� ทะเลเพ่ิมสงู ขน้ึ ผลผลติ อาหารทั่วโลกลดลงอย่างตอ่ เนอื่ ง ปะการังตายทั่วโลก 4 องศาเซลเซยี ส ภายใน 40 ปีขา้ งหนา้ พ้นื ท่ีซง่ึ เคยอุดมสมบรู ณ์จะแห้งแลง้ สง่ิ มีชีวิตทั่วโลกจะสูญ พันธุค์ รั้งใหญ่ น�ำ้ แขง็ ข้วั โลกละลายหมด เกดิ ภาวะน้�ำทว่ มครั้งใหญ่ ผูค้ นมากมาย 5 องศาเซลเซยี ส หลายลา้ นครอบครัวตอ้ งอพยพถิ่นฐาน 6 องศาเซลเซียส …………………. …………………. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศคงไม่ใช่เรื่องไกลตวั มนษุ ยอ์ ีกต่อไป สัญญาณบ่งชี้และเตือนภัยต่างๆ ปรากฏ ชดั เจนมากข้ึนเรื่อยๆ ทุกวนั นแ้ี ม้จะไม่มี ใครสามารถลว่ งร้แู ละคาดการณ์ผลกระทบทีช่ ดั เจนท่ี (อาจจะ)เกิดขึน้ จาก การเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศโลกไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งแม่นยำ� แตผ่ ลกระทบท่ีมนษุ ย์ก�ำลงั เผชญิ อยู่ในปจั จุบันจากภัย พิบัตทิ างธรรมชาตติ ่างๆ รวมถงึ สภาพอากาศอนั เลวรา้ ยท่มี แี นวโนม้ เกดิ ถี่ขนึ้ เรื่อยๆ คงเปน็ บทเรียนครั้งสำ� คัญท่ี ท�ำใหเ้ ราตอ้ งตระหนกั มากข้นึ ถงึ หายนะที่ก�ำลงั รอเราอยเู่ บื้องหนา้ ถงึ เวลาแลว้ ทที่ กุ ภาคสว่ นตา่ งๆ ในสงั คมโลกตอ้ งหนั หนา้ มารว่ มมอื กนั อยา่ งจริงจังและจริงใจเพอื่ ชว่ ยกนั ลดผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากการเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศ รวมถงึ การเตรียมการรับมอื กบั ปญั หาท่ี (อาจจะ) เกดิ ขนึ้ หากโลกใบนย้ี งั ไมไ่ ดร้ ับการเหลยี วแลและขาดการเยยี วยารักษาอยา่ งจริงจัง เมอ่ื นนั้ มนษุ ยอ์ าจถงึ กาลวิบตั เิ ชน่ กนั 15

16

เจาะลึกภาคการเกษตร� กับปญั หาโลกรอ้ น การเผาไร่นาและทดี่ ินทางการเกษตร ก่อใหเ้ กิดการปลดปล่อยกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดส์ ู่ชนั้ บรรยากาศ และเป็นแหล่งใหญ่ของมลภาวะคารบ์ อนดำ� (ควนั เขม่า) 17

การเกษตรก่อโลกร้อน การเกษตรยคุ ใหมเ่ ปน็ หนึง่ ในกิจกรรมของมนษุ ย์ทีก่ อ่ ปา่ พรุผืนสุดทา้ ยท่ีเหลืออยบู่ นเกาะสุมาตรา ประเทศ ใหเ้ กดิ มลภาวะโลกร้อนท่ี ใหญท่ สี่ ุด เริ่มจากการเปล่ียนแปลง อินโดนเี ซยี ตน้ ไม้ถูกโค่นเผาและระบายนำ�้ ออกเพ่ือ พื้นทปี่ า่ เพ่ือน�ำมาใช้ ในการปลกู พชื เชงิ เดี่ยว ส่งผลใหด้ ินเสอ่ื ม เตรียมทำ� สวนปาล์ม (อัล กอร์, 2552) สภาพ ทำ� ให้เกิดการปลดปลอ่ ยคาร์บอนจำ� นวนมหาศาล ออกจากดิน ขณะเดียวกนั กระบวนการผลิตภายใต้ระบบ การเกษตรสมัยใหม่ทีเ่ นน้ การพึ่งพิงพลังงานจากเช้ือเพลิง ฟอสซิล ยังก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทาง ตรงและทางออ้ ม การปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร ในปี พ.ศ. 2548 ภาคการเกษตรปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกทางตรง คิดเป็นร้อยละ 10-12 ของปริมาณ กา๊ ซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนษุ ยท์ ป่ี ล่อยออกมาทั้งโลก หรือประมาณ 5.1-6.1 กิ๊กกะตนั คปารระ์บมอาณนได3อ.3อกกไกิ๊ ซกดะ์เตทันยี บคาเทร่า์บตอ่อนปไดี (อGอtกCไซOด2-์เทeยีqบyrเท-1่า)ต(่อBปarี kกe๊าrซ et al, 2007) โดยคิดเปน็ การปล่อยก๊าซมีเทน ไนตรัสออกไซด์ 2.8 กก๊ิ กะตันคารบ์ อนไดออกไซด์ เทียบเทา่ ต่อปี และกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ประมาณ 0.04 กกิ๊ กะตนั คารบ์ อนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (IPCC, 2007) อย่างไรกด็ ี หากพิจารณาการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตรทั้งทางตรงและทางอ้อม จะพบว่า ปริมาณการปลอ่ ยเพม่ิ ขึ้นเปน็ 8.5-16.5 กิก๊ กะตนั คารบ์ อนไดออกไซดเ์ ทยี บเท่าต่อปี หรือคิดเปน็ ร้อยละ 17-32 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาทั้งโลก (Jessica Bellarby, at el., 2008) ปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร ทีม่ า : Jessica Bellarby, at el., 2008 18

แหล่งที่มาของก๊าซเรื อนกระจกในภาคการเกษตร ชนดิ กา๊ ซ ปริมาณทีป่ ล่อยออกมา� แหล่งที่มา คดิ เปน็ สัดสว่ นของ (GtCO2-eqyr-1) ปริ มาณก๊าซเรื อน กระจกท่ีเกดิ จาก กิจกรรมมนษุ ย์ที่ ปล่อยออกมาทั้งโลก CO2 0.04 - การย่อยสลายของจุลนิ ทรีย์ - การเผาเศษวสั ดุทางการเกษตร - การย่อยสลายอนิ ทรียวตั ถุในสภาพไรอ้ อกซเิ จน - ปศุสัตว์ การปล่อย CH4 3.3 - มลู สัตว์ (การจัดการ) 10-12 % ทางตรง การปล่อย - การท�ำนา ทางอ้อม N2O - กระบวนการเปลีย่ นมลู สตั วแ์ ละไนโตรเจนใน 2.8 ดนิ โดยแบคทีเรีย เกิดข้ึนเมอื่ มีไนโตรเจนเกนิ ความจ�ำเป็นในสภาพน�้ำขงั (การใสป่ ุ๋ยเคมี) - กระบวนการผลิตปุย๋ และการใช้ 7-20% CO2 3.4-10.4 - กระบวนการผลิตในฟาร์ม - การเปลย่ี นแปลงทด่ี นิ รวม 17-32% ปริมาณกา๊ ซเรือนกระจกทีป่ ล่อยออกมาจากภาคการเกษตร ท่มี า : Jessica Bellarby, at el., 2008 19

อตุ สาหกรรมการเกษตรใชน้ ำ�้ และพลังงานจำ� นวนมหาศาล “ทกุ วเพนัใช่ือนจ้พผอ้ีาลลตุกเังติพสเงช(อาียาอ้อื หานลังเหพกก11ารลอ0รรแงิรทม,์ฟคแี่ก2ใอลคห5าสอล5ร้พซรอ2เลีกลิ่”)รังษ�ี่�งตานร�� ความต้องการบริโภคของมนษุ ยอ์ ย่างไร้ขีดจำ� กัดเป็น แรงผลกั สำ� คญั ท่ที �ำให้อตุ สาหกรรมการเกษตรขยายตวั อย่าง รวดเร็วในปัจจุบนั ไม่เพียงแต่พน้ื ท่ีปา่ ในประเทศต่างๆ จะ ถูกบุกรุกแผว่ ถางเพ่มิ มากขนึ้ อตุ สาหกรรมการเกษตรยงั ใช้ นำ้� และพลังงานจำ� นวนมหาศาลในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะ อตุ สาหกรรมการผลิตเนอ้ื วัว เปรียบเทยี บการผลติ อาหาร 1 กโิ ลกรัม กบั การปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกส่ชู ้ันบรรยากาศ การผลิต การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เทยี บเทา่ ระยะทางในการขบั รถ อาหาร 1 กก. (คาร์บอนไดออกไซดเ์ ทียบเท่า) ข้าวสาลี 6.80 3.6 km มนั ฝรัง่ 6.24 1.2 km ไก่ 4.60 22.7 km หมู 6.40 31.6 km วัว 16.00 79 km ทมี่ า: Wiliams, Audsley, and Sandars, 2006 อ้างโดย World Bank, 2009 การผลติ เนอ้ื ววั เชงิ อตุ สาหกรรมต้องใช้นำ�้ และพลงั งานจ�ำนวนมหาศาล ท่ีมา: Waterfootprint (https://www.waterfootprint.ortg) อา้ งโดย World Bank, 2009 “ตแ้อลงใะชใ้ชโเปพ้นรำ�้ื่อตมผานี ลกจิตกาเนวก่าอ้ืพวชื 6วั ม,0า1ก0ปก0วอ(า่ แนอัลกด7ล”์ กปลอรออ์,นน2�ด5์5�2) 20

“กระบวนการผลติ ภายใตร้ ะบบการเกษตรสมยั ใหมไ่ ม่เพียงแต่ก่อใหเ้ กิดการปลดปล่อยกา๊ ซเรือนกระจก ปริมาณมหาศาลส่ชู ัน้ บรรยากาศเทา่ นนั้ การพ่ึงพาอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ ยังท�ำใหต้ อ้ งสนิ้ เปลือง ปริมาณเชือ้ เพลงิ ทตี่ ้องใช้เพอ่ื ขนส่งอาหารจากไร่หรือทงุ่ ปศุสตั ว์ไปสู่โต๊ะอาหาร ซง่ึ มักขนขา้ มทวีป จากทวีปหนงึ่ ไป อีกทวีปหนงึ่ อีกทั้งยังตอ้ งใชพ้ ลังงานเชอ้ื เพลิงฟอสซิลปริมาณมหาศาลเพื่อขบั เคล่ือนรถแทรกเตอรแ์ ละรถบรรทกุ รวมถงึ การผลิตปยุ๋ เคมีและสารเคมีก�ำจัดศตั รพู ชื ทั้งหมดนส้ี ่งผลใหก้ ๊าซเรือนกระจกในช้นั บรรยากาศเพิ่มข้ึนอยา่ ง ไรข้ ีดจ�ำกัด” (อัล กอร์, 2552) 21

ผลกระทบโลกร้อนต่อภาคการเกษตร ภาคการเกษตรเป็นผู้ท่ีได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะโลกรอ้ น เพราะต้องอาศัยธรรมชาติและ พง่ึ พาดินฟา้ อากาศในการเพาะปลกู หากสภาพอากาศผันผวนแปรปรวน การเกษตรยอ่ มไดร้ ับผลกระทบ ภาค การเกษตรจึงเป็นเหย่อื ผลกระทบโลกรอ้ นอย่างยากทีจ่ ะหลีกเลี่ยงได้ ผลกระทบจากภาวะโลกรอ้ นต่อภาคการเกษตรของโลก ภาวะโลกรอ้ นสง่ ผลให้ผลผลิตทางการเกษตรของโลกลดลง รอ้ ยละ 3-16 จากการศึกษาของ William R.Cline (2007) พบว่า สภาพอากาศในอกี 60-90 ปขี ้างหนา้ อุณหภูมิ และปริมาณน้ำ� ฝนทั่วโลกมีแนวโนม้ เพ่ิมข้ึน โดยคาดการณ์ไวว้ า่ ในอีก 70 ปขี า้ งหนา้ (ค.ศ.2080) หากปริมาณ การปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกในโลกยงั คงเพิ่มข้นึ ในอัตราคอ่ นขา้ งสูงอยา่ งท่ีเป็นอยู่ในปจั จุบัน ผลิตภาพทางการ เกษตร (Productivity) ของโลกจะลดลงประมาณรอ้ ยละ 3 กรณีไมพ่ ิจารณาการนำ� คารบ์ อนไปใชป้ ระโยชนข์ องพชื และลดลงร้อยละ 16 กรณพี จิ ารณาการนำ� คารบ์ อนไปใช้ประโยชน์ของพชื การเกษตรของประเทศอตุ สาหกรรมไดป้ ระโยชนจ์ ากภาวะโลก แต่ไม่ ใช่ทุกประเทศท่ีผลผลิต ทางการเกษตรลดลงเหมือนกนั ประเทศที่ ตั้งอยูบ่ ริเวณแถบเส้นศนู ยส์ ูตร ซึง่ สว่ นใหญ่ เปน็ ประเทศกำ� ลงั พัฒนา ผลผลติ จะลดลง ส่วนประเทศในแถบละตจิ ดู สงู ๆ ใกลข้ ั้วโลก ซง่ึ เป็นประเทศอุตสาหกรรม ผลผลติ จะเพ่มิ ขนึ้ เนอื่ งจากมสี ภาพอากาศที่คาดวา่ หนาว เย็นนอ้ ยลง การเปลี่ยนแปลงศักยภาพผลผลติ ทางการเกษตร (%) ทมี่ า: ดดั แปลงจาก William R.Cline, 2007. 22

ภาพแสดงการคาดการณ์ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนตอ่ ภาคการเกษตรของโลก� ใน พ.ศ.2623 โดยไม่พจิ ารณาการนำ� คาร์บอนไปใช้ประโยชน์ของพืช (%) ท่ีมา: William R.Cline, 2007. หากไม่พิจารณาประโยชน์จากการท่ีมีคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศเพ่ิมขึ้น ทุกประเทศมีแนวโนม้ ผลผลิตทางการเกษตรลดลงจากการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สตู ร ประเทศที่ ผลผลิตทางการเกษตรมแี นวโนม้ เสียหายมากไดแ้ ก่ ประเทศในแอฟริกา ละตนิ อเมริกา และเอเชียใต้ ในทวปี แอฟริกา ความเสยี หายจะเกิดขึ้นวงกวา้ ง หลายประเทศผลผลติ ทางการเกษตรอาจลดลงมากกว่า 30% เช่น ประเทศเอธโิ อเปียและแอฟริกาใต้ ส่วนทวีปละตนิ อเมริกา ประเทศที่ผลผลติ ทางการเกษตรอาจจะเสยี หายมาก ไดแ้ กอ่ ารเ์ จนตินา่ และบราซิล และในทวปี เอเชียใต้ ประเทศอินเดียจะไดร้ ับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก ภาวะโลกรอ้ น ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศอาจลดลงถึง 40% (William R.Cline, 2007) abaster.storythai.com/200909 fทคขeเจเ่ีน้ึาrพรรtกiิมิ่ญบ์อlาiมอยzเราตนa่านกงtิบไำ�iไขดoโรคึน้ตอnกาอ)ขร็ดอกอ์บีหันงไยอซมเพังนปดาชืไไ็นย์มทปทถผ่ม่ีเใพ�ำชึงลผี ใป้ิม่มหลกรขาพ้ยาะจึ้นรืนชืโาอสยเยกจนังัชนักรเนเิาชนคญ์ขดัรรอื่ อเเเาตงพจงะจิบนพ่ิมหาโเขืชก์แตก้นึ กส(่ียขขCางอวอรไaกงงดเrพพบัก้เbพชืา๊กิม่ oซม่ิาขnรนึ้ ของ คารบ์ อนไดออกไซด์ 23

เพลีย้ กระโดดสนี ำ�้ ตาลเริงร่า เม่อื โลกร้อนขน้ึ ภาวะโลกรอ้ นเออ้ื ใหเ้ กดิ การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมต่อการเจริญ เติบโตของโรคแมลง อณุ หภูมิที่สงู ข้ึนทำ� ใหแ้ มลงหลายชนดิ มีระยะฟักตัวและวงจรชีวิต สน้ั ลง ทำ� ให้สามารถเจริญเตบิ โตและแพรพ่ ันธ์ุได้อยา่ งมหาศาลในเวลาอนั รวดเร็ว เพลี้ยกระโดดสีน�้ำตาล ศตั รตู วั ฉกาจของชาวนาไทย เพล้ียกระโดดสีนำ้� ตาล (Brown planthopper) เปน็ แมลงศัตรขู ้าวหมายเลขหนงึ่ ของชาวนาไทย ทั้งตวั ออ่ นและตัวเตม็ วยั ของเพลีย้ กระโดดสนี ำ้� ตาลท�ำลายตน้ ข้าวโดยการสอดแทรกส่วนปากท่ี ใช้ดดู เข้าไปในเนื้อเยือ่ ต้นขา้ ว และดดู กินน้ำ� เลี้ยงจากเซลลท์ ่ออาหารของต้นขา้ วบริเวณโคนตน้ เหนือระดบั นำ้� เพียงเล็กนอ้ ย เมอ่ื เพลยี้ กระโดดสนี ำ�้ ตาลจ�ำนวนมากดูดกินนำ�้ เลยี้ งตน้ ข้าว จะท�ำใหต้ น้ ข้าวใบเหลืองแห้ง มลี ักษณะคลา้ ยถกู นำ�้ รอ้ นลวก เกดิ ขึน้ ทั้งกอ หรือแหง้ เป็นหย่อมๆ ในแปลงนา การทำ� ลายของเพล้ยี กระโดดสนี �้ำตาลสร้างความเสยี หายอยา่ ง รุนแรงแก่ต้นข้าว ทำ� ให้ตน้ ขา้ วเหี่ยว เกดิ อาการท่เี รียกวา่ “hopperburn” อีกทั้งเพลี้ยกระโดดสนี �้ำตาลยังเปน็ พาหะนำ� โรคเขียวเตีย้ และโรคใบหงกิ จากเชือ้ ไวรัสมาส่ตู น้ ข้าวอกี ดว้ ย ท�ำใหผ้ ลผลิตขา้ วเสียหายอยา่ งหนักเมอ่ื เกิด การระบาดในแตล่ ะครั้ง (ส�ำนกั วิจัยและพัฒนาขา้ ว,2552) เพลยี้ มโหฬาร เม่อื โลกรอ้ นขึ้น โดยปกติการเจริญเติบโตของเพลี้ยกระโดดสีนำ้� ตาล ในระยะไข่ใชเ้ วลา 7 วัน ฟักเปน็ ตัวออ่ น โดยตัวอ่อน จะใช้เวลา 16 วันในการลอกคราบเพือ่ เจริญเตบิ โตเปน็ ตวั เตม็ วยั ตัวเต็มวยั เพศเมยี 1 ตวั สามารถวางไขไ่ ดค้ รั้งละ 100-300 ฟอง เพล้ียกระโดดสีนำ้� ตาลสามารถเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ 3 รุน่ ต่อการทำ� นาหนงึ่ รอบ (ส�ำนักวิจัย และพัฒนาขา้ ว, 2552) แตเ่ มอื่ อุณหภูมิสงู ขนึ้ ระยะไข่จะใชเ้ วลาเพียง 3 วันกจ็ ะฟักเป็นตวั ออ่ น และตวั อ่อนจะใช้ เวลาเพียง 12 วนั ในการเตบิ โตเปน็ ตัวเตม็ วัย ดงั น้ันในการทำ� นาหนงึ่ รอบเพลยี้ กระโดดสีนำ้� ตาลจึงสามารถเติบโต และแพร่พันธุ์เพิม่ ขนึ้ ไดถ้ งึ 5 รุ่นดว้ ยกนั เจริญเตภาิบวโะตปร3กรตุน่ ิ เจริภญาเวตะิบโลโตกร5อ้ นรุน่ ตตวั ่อเพสกาลามรย้ี ทากรำ�รถนะวาโาดง1ดไขสรไ่อนี ดบำ้� ถ้ ตงึ าล8เพลศ้านเมฟยี อง1 ทเสพำ� นนีม่ิ า้�ำขตนึ้ เ1มาถลรื่อึงอเอพ3บณุ ศ2หเ0มภ,0ียมู 0สิ 1งู0ขตน้ึลวั า้ เสนพาฟลมอย้ี างกรถรตะวอ่ โาดกงาดไขร่ได้ 24

หมายเหตุ คำ� นวณจากการวางไข่ 200 ฟองตอ่ ครั้ง ทม่ี า: คำ� นวณโดยผเู้ ขียน การอดั ปุ๋ยเคมี ย่งิ เร่งใหป้ ระชากรเพลยี้ เบง่ บาน เพลย้ี กระโดดสนี ้ำ� ตาลเปน็ แมลงศตั รขู า้ วท่สี รา้ งความเสยี หายใหแ้ ก่ชาวนาไทยเปน็ อนั ดบั ตน้ ๆ โดย เฉพาะนาในเขตพ้ืนทภ่ี าคกลางทม่ี กี ารท�ำกนั อยา่ งตอ่ เนอื่ งตลอดทั้งปี ท�ำใหเ้ พลย้ี มแี หล่งอาหารตลอด จงึ สามารถ เจริญเตบิ โตและแพร่พันธ์ุไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว หากปีใดเกดิ การระบาดของเพลีย้ กระโดดสนี �้ำตาล ผลผลติ ข้าวของ ชาวนาจะเสยี หายอย่างหนกั เพียงชั่วขา้ มคืน มผี ลการศกึ ษาพบว่า การเจริญเตบิ โตของเพลีย้ กระโดดสีน�ำ้ ตาลสัมพันธก์ ับการใช้ปยุ๋ เคมี โดยเฉพาะป๋ยุ ที่มีไนโตรเจนสูง พ้นื ทท่ี ีม่ ีการใช้ปุย๋ เคมมี ากมาเปน็ ระยะเวลายาวนานจะกอ่ ใหเ้ กดิ สภาพแวดล้อมท่เี อ้อื ตอ่ การเจริญ เตบิ โตของเพลย้ี กระโดดสนี ำ้� ตาลได้เปน็ อย่างดี ตน้ ข้าวที่มีไนโตรเจนสูง ( ใสป่ ยุ๋ เคมีมาก) เพลี้ยกระโดดส้นี �้ำตาลจะอย่รู อดได้ดีกว่า และจะแพรข่ ยาย พันธุ์ได้มาก โดยตัวออ่ นของเพล้ียสามารถเอาตัวรอดได้มากขนึ้ และมีวงจรชีวิตสัน้ ลง ขณะท่ีตวั เต็มวยั เพศเมยี จะ ตัวใหญ่ วางไข่มากข้นึ และมีชีวิตยาวนานข้ึน ไนโตรเจนในต้นขา้ วชว่ ยเพม่ิ ความทนทานต่อสภาพแวดลอ้ มท่ีไม่เหมาะ สมให้กับเพลย้ี ได้เปน็ อย่างดี โดยผา่ นการปรับเปลยี่ นทางนเิ วศและชีววิทยาในตวั เพลี้ยเอง โดยเฉพาะทนทานต่อ การขาดแคลนอาหารได้นานขน้ึ ทำ� ใหส้ ามารถอพยพไปหาแหลง่ อาหารใหมๆ่ ได้ไกลมากข้ึน การใชป้ ๋ยุ เคมจี ึง เปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ทำ� ใหเ้ กดิ การระบาดของเพลย้ี กระโดดสนี ำ้� ตาลอยา่ งกวา้ งขวาง (Zhong-Xian Lu et al., 2005) ขณะเดียวกันการใชย้ าฆ่าแมลงในการก�ำจัดเพลีย้ กระโดดสนี ำ�้ ตาลกท็ ำ� ใหต้ วั ออ่ นเพลีย้ ด้อื ยามากยงิ่ ขึ้นไปอีกดว้ ย 25

กราฟเปรียบเทยี บจ�ำนวนการวางไขแ่ ละเปอร์เซ็นตก์ ารฟักไข่ของเพลีย้ กระโดดสีนำ�้ ตาลเพศเมยี ตัวเต็มวยั 1 ตัว� ที่อณุ หภมู ิ 28 และ 38 องศาเซลเซยี ส และท่ปี ริมาณไนโตรเจนในต้นข้าวระดบั ต่างๆ ท่มี า: Zhong-Xian Lu et al., 2005 หากเราทดลองค�ำนวณว่า ถา้ มีปริมาณไนโตรเจนในตน้ ข้าวประมาณ 1.6 % เพล้ยี จะวางไขไ่ ดป้ ระมาณ 210 ฟองทอ่ี ณุ หภูมิ 28 องศาเซลเซยี ส และจะวางไข่ไดเ้ พียง 80 ฟอง เมื่ออุณหภมู ิสูงข้ึนเป็น 38 องศาเซลเซยี ส โดยที่เปอร์เซ็นตก์ ารฟักไขข่ องเพลย้ี กจ็ ะน้อยลงเมื่ออุณหภมู สิ งู ข้นึ เกินกว่าระดับท่ีเหมาะสม แต่ถา้ ปริมาณไนโตรเจนในตน้ ขา้ วเพิม่ ขึน้ เป็น 2 เทา่ หรือ 3.2% เพลย้ี จะวางไข่ไดเ้ พ่ิมข้ึนถึง 400 ฟองท่ี อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส และวางไขไ่ ด้ประมาณ 200 ฟองท่ีอณุ หภูมิ 38 องศาเซลเซียส ยงิ่ ปริมาณไนโตรเจน ในต้นข้าวมากขึ้นเพียงใด เปอรเ์ ซ็นต์การฟักไข่ของเพลย้ี ก็จะย่งิ เพ่ิมขน้ึ (Zhong-Xian Lu et al., 2005) การเปรียบเทยี บจำ� นวนการวางไข่และการฟักไข่ของเพล้ียกระโดดสนี ้�ำตาลเพศเมยี ตวั เตม็ วยั 1 ตัว� ที่อณุ หภมู ิ 28 และ38 องศาเซลเซยี ส และทป่ี ริมาณไนโตรเจน 1.6 % และ 3.2 % ปริมาณไนโตรเจนในต้นข้าว (1.6%) ปริมาณไนโตรเจนในต้นข้าว (3.2%) จำ� นวนการวางไข่� การฟกั ไข่ จำ� นวนการวางไข�่ การฟักไข่ (ฟอง) (ฟอง) 95 % 98% อุณหภมู ิ 28 ๐C 210 50 % 400 90% 200 อณุ หภมู ิ 38 ๐C 80 ที่มา: วิเคราะหจ์ าก Zhong-Xian Lu et al., 2005 26

หากเราทดลองค�ำนวณวิเคราะห์จ�ำนวนไข่และการฟักไขข่ องเพลยี้ กระโดดสนี ้ำ� ตาลเพศเมียตัวเต็มวัย 1 ตัว ต่อการท�ำนา ทรี่ ะดบั ไนโตรเจนในตน้ ขา้ ว 1.6% และ 3.2% พบวา่ ท่รี ะดบั ไนโตรเจนในต้นขา้ ว 1.6% ท่ีอณุ หภูมิ 28 องศาเซลเซยี ส เพลี้ยกระโดดสนี ้�ำตาลจะวางไขป่ ระมาณ 9.3 ล้านฟองต่อการท�ำนาหนึง่ รอบ โดยมจี ำ� นวนเพล้ียสามารถฟักเปน็ ตวั อ่อนได้ประมาณ 8.8 ลา้ นตวั แต่หาก ระดับไนโตรเจนในตน้ ข้าวเพมิ่ ขึ้นเป็น 3.2% จะพบว่า เพลี้ยกระโดดสีน�้ำตาลจะวางไขไ่ ด้เพิม่ ขนึ้ เปน็ 64 ลา้ นฟอง ตอ่ การทำ� นาหนึง่ รอบ และฟกั เป็นตัวอ่อนได้ 62.7 ลา้ นตวั ซ่ึงต่างกนั ประมาณ 6 เทา่ กวา่ ๆ ถ้าอณุ หภูมิยง่ิ สูงขนึ้ เพล้ียจะยิง่ วางไขไ่ ดเ้ พิ่มขึน้ ( ใช้ระยะเวลาฟักไข่น้อยลง จงึ ไข่ได้หลายรอบมากขน้ึ ) โดยหากอุณหภมู เิ พิม่ ข้ึนเปน็ 38 องศาเซลเซยี ส ทร่ี ะดับไนโตรเจนในต้นขา้ ว 1.6% เพลีย้ กระโดดสนี ำ�้ ตาลจะวางไข่ ประมาณ 3,276 ลา้ นฟองต่อการท�ำนาหนึง่ รอบ โดยมจี �ำนวนเพลี้ยสามารถฟกั เปน็ ตวั อ่อนได้ 1,638 ล้านตวั และหากระดบั ไนโตรเจนในตน้ ข้าวเพม่ิ ข้นึ เป็น 3.2% เพลย้ี จะวางไข่ได้เพิ่มข้ึนเป็น 320,000 ล้านฟองต่อการทำ� นา หนึง่ รอบ โดยสามารถฟกั เป็นตวั อ่อนไดถ้ งึ 288,000 ล้านตัว ปสเเพยุ๋นีวภลลเ้�ำคาา้ียตยมอจาใันมีงึลตารเวพส้กวาิม่ภดเงทาไปเขรา่วรแ่ว็ใะะดโลชละายกฟก่งิรรักทอ้ อไนำ�ขยใไ่ หา่ดยงเ้้เงิ่พมพชลหิม่า้ียาวมศนกาาารกลใะขสโใ้ึนนด่ ด 27

ตอกยำ้� วกิ ฤตอาหารเม่อื โลกรอ้ นขึน้ ในปี ค.ศ.2002 ทั่วโลกเกิดภาวะขาดแคลนธญั ญาหารครั้งใหญท่ ี่สุดเทา่ ทเี่ คยมกี ารบนั ทึกไว้ ถือเป็นปีท่ี ผลผลติ ธญั ญาหารไมเ่ พียงพอติดต่อกนั เป็นปที ่ี 3 สง่ ผลใหป้ ริมาณธัญญาหารสำ� รองทั่วโลกอยู่ในระดบั ต�่ำสุดในชว่ั อายคุ นรุน่ ปัจจุบัน (เลสเตอร์ อาร์ บราวน์, 2547) โลกก�ำลังเผชญิ วกิ ฤตอาหาร ทุกวันนพ้ี ืน้ ท่ผี ลติ อาหารของโลกก�ำลงั ลดลง อนั เป็นผลมาจากการขยายตวั ของพชื พลังงาน การเส่ือมโทรม ของทรัพยากรดนิ วิกฤตทรัพยากรน้�ำ การขยายตัวของทะเลทราย และการชะลา้ งพังทลายของดินที่รุนแรงเพม่ิ ขน้ึ พน้ื ทปี่ ลกู ธญั พชื ทั่วโลกมแี นวโนม้ ลดลง โดยในปี ค.ศ.1981 เปน็ ปที ท่ี ั่วโลกมพี น้ื ทปี่ ลกู ธญั พชื มากทสี่ ดุ ถงึ 732 ลา้ นเฮกตาร์ ตอ่ มาในปี ค.ศ.2002 ลดลงเหลอื เพียง 647 ลา้ นเฮกตาร์ ในขณะทค่ี วามตอ้ งการธญั พชื ทั่วโลกเพม่ิ ขนึ้ 3 เทา่ ในชว่ งครึ่งศตวรรษทผี่ า่ นมา โดยในปี ค.ศ.2002 ปริมาณธญั พชื ทเี่ กบ็ เกย่ี วไดท้ ั่วโลกมปี ระมาณ 1,807 ลา้ นตนั ซง่ึ ตำ่� กวา่ ปริมาณความตอ้ งการบริโภคทั่วโลกอยรู่ วม 100 ลา้ นตนั หรือประมาณรอ้ ยละ 5 (เลสเตอร์ อาร์ บราวน,์ 2547) ทมี่ า: ดัดแปลงจาก เลสเตอร์ อาร์ บราวน,์ 2547 ทกุ วันน้ี คนทั้งโลกพง่ึ พงิ การน�ำเข้าอาหารกวา่ รอ้ ยละ 90 จากเพียง 6 ประเทศผู้ส่งออกธญั พชื รายใหญ่ ซึ่งไดแ้ ก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อารเ์ จนตินา และไทย ในช่วงที่ผ่านมาผลผลิตธญั พชื ของ โลกลดลงรอ้ ยละ 5 ในขณะท่ปี ระชากรโลกเพม่ิ ขน้ึ เฉล่ียปีละ 7 ลา้ นคน ประกอบกับการลดลงของปริมาณสตอ็ ก ขา้ วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนและอินเดีย เนอื่ งจากประสบภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ ท�ำใหร้ าคาธัญญาหารของ โลกมแี นวโนม้ ขยับตวั สูงขึ้น (เลสเตอร์ อาร์ บราวน์, 2547) ปัจจุบนั 37 ประเทศทั่วโลกเกดิ วิกฤตอาหารแลว้ ประกอบดว้ ย แอฟริกา 21 ประเทศ เอเชีย 10 ประเทศ สหภาพยุโรป 1 ประเทศ และละตนิ อเมริกา 5 ประเทศ (ผูจ้ ัดการรายวัน, 23 เมษายน 2551) 28

ภาวะโลกรอ้ น ซ�้ำเตมิ วกิ ฤตอาหารโลก จากการศกึ ษาของ William R.Cline (2007) พบวา่ ในอกี 70 ปขี า้ งหนา้ (พ.ศ.2623) หากปริมาณการ ปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกในโลกยงั คงเพม่ิ ขน้ึ ในอัตราคอ่ นขา้ งสงู อยา่ งท่เี ป็นอยู่ในปัจจุบัน ผลติ ภาพทางการเกษตร (Productivity) ของโลกจะลดลงประมาณ ร้อยละ 3-16 โดยทปี่ ระเทศผสู้ ง่ ออกธญั พชื ทอ่ี ยู่ในเขตหนาวได้ ประโยชนจ์ ากภาวะโลกรอ้ นมากกวา่ ประเทศในเขตรอ้ น โดยประเทศออสเตรเลยี และไทยเปน็ ประเทศไดร้ ับผลกระทบ อยา่ งมาก โดยผลผลติ ทางการเกษตรอาจลดลงถงึ รอ้ ยละ 15-26 ราคาอาหารในตลาดโลกมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึน การคาดการณผ์ ลกระทบจากภาวะโลกร้อนตอ่ ประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก จากการคาดการณข์ องธนาคารโลก พบว่าความต้องการอาหารในระยะ 20 ปี ขา้ งหนา้ จะเพ่มิ ข้นึ จาก ปัจจุบันถึงร้อยละ 50 เนอื่ งจากการเพม่ิ ขึน้ ของประชากรโลก การเพ่ิมข้ึนของสดั สว่ นชนชน้ั กลางในประเทศต่างๆ อทิ ธิพลจากกระแสบริโภคนยิ ม การขาดแคลนน้�ำเพื่อการเกษตร และการลดลงของพน้ื ท่กี ารเกษตร (สำ� นกั งาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2552) สง่ ผลให้ราคาอาหารในตลาดโลกมแี นวโน้มสงู ข้ึน จากการศึกษาของ Gerald C.Nelson, et al., 2009 โดยเปรียบเทยี บราคาอาหารในตลาดโลกในปี ค.ศ.2000 และ ค.ศ.2050 พบวา่ ภาวะโลกรอ้ นยิ่งส่งผลใหร้ าคาอาหารแพงขน้ึ อยา่ งชัดเจน โดยเฉพาะขา้ วสาลี ขา้ ว และข้าวโพด ซงึ่ อาจมรี าคาอาจขยับเพมิ่ ขึน้ ถงึ ร้อยละ 30-50 29

ทีม่ า: Gerald C.Nelson, et al., 2009 วิกฤตอาหารทีก่ �ำลงั เกดิ ขึน้ ทั่วโลก สง่ ผลให้ราคาอาหารในตลาดโลกถีบตัวสงู ขนึ้ ซงึ่ กระทบตอ่ ความ ม่ันคงทางอาหารของคนจนทั่วโลก และยังสง่ ผลกระทบตอ่ การเกิดภาวะทุพโภชนาการในเดก็ ในภมู ิภาคต่างๆ เพิ่ม มากขน้ึ โดยเฉพาะภมู ภิ าคเอเชียใตแ้ ละแอฟริกาแถบซับสะฮารา และจากการคาดการณ์ของ Gerald C.Nelson, et. (2009) พบวา่ ในอกี 40 ปขี ้างหนา้ ภาวะโลกร้อนจะส่งผลใหจ้ �ำนวนเดก็ ขาดสารอาหารเพ่ิมขน้ึ ประมาณ 6.8 ล้านคนในภมู ภิ าคเอเชียใต้ และเพม่ิ ข้นึ ถงึ 10.5 ลา้ นคน ในแอฟริกาแถบซับสะฮารา ผลกระทบโลกร้อนต่อภาวะทพุ โภชนาการในเด็กในภมู ิภาคเอเชียใต้และแอฟริกาแถบซับสะฮาร่า ในระหวา่ ง ปี 2000 และ2050 ที่มา: Gerald C.Nelson, et al., 2009 30

โลกท่ีไมส่ มดลุ http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/Poor_7.jpg � http://www.rd1677.com/backoffice/PicUpdate/46871.jpg ถเดึงใก็ วนขันแาลตดะ่ลสะา2ปร0อี,0ทาห0่ัวาโ0ลรกตคมานย�ี � hstcthpn:/e/6b4lo4g/.alirbc.uhmitenc.etudrue//sPcohvneer6ty4.4jp/garchitecture/htdocs/blog/ 31

วกิ ฤตโลกร้อน กบั ทางออกทเี่ ป็นไปได้ แม้ว่าภาคการเกษตรจะเปน็ ตน้ เหตสุ ่วนหนงึ่ ของปญั หาโลกรอ้ น และเปน็ ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก การเปลีย่ นแปลงภมู ิอากาศ แต่ภาคการเกษตรก็มศี กั ยภาพในการช่วยลดผลกระทบและเยยี วยาปัญหาโลกร้อนได้ ไม่ใชน่ ้อย โลกรอ้ นใครกอ่ ..เกษตรเคมี VS. เกษตรอินทรีย์ ในการผลิตขา้ ว 1 ตนั ถ้าใชก้ ระบวนการผลติ แบบเกษตรเคมีต้องใชพ้ ลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมาก ถงึ 117.4 ลา้ นแคลอรี่/ไร่ ในขณะที่การผลิตในระบบเกษตรอนิ ทรีย์ ใช้พลงั งานเพียง 24 ล้าน แคลอรี่/ไร่เท่าน้ัน การ ผลิตอาหารโดยระบบเกษตรอนิ ทรีย์จงึ มีแนวโนม้ ในการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกตำ่� กวา่ ระบบเกษตรท่ีไม่ใชอ่ ินทรีย์ ท่ีมา: ดัดแปลงจาก T C Mendoza, 2002 กเาชใรงิหเทเสคญด�ำอ่ืถาี่ยกท่ มรูกาวำ�บ์คปรใในอุณหเลกนพเ้ดภกษป้ืนปาดิตทพรลภิรมี่ข่อาเเนายปควณาะอมน็ ดดมอีผนิหกลจาใศหากา้ ลดนิ 32

การกักเกบ็ คาร์บอนไว้ในดิน ภาคการเกษตรมีศกั ยภาพ คสพาขแาใรคอืชนใม(มหท์บงาอ กาค้รพั้อ้องัลราาบ์หนินชืรถรแกอทมยใบ์กดนนอล่อดรอกัินดระไียยบนเมดอ,์ินกส์คนบีบอิน็บ2ลาโา(อทท5รลคาSงกบ์บรย5สกาoไียรอา2วซ่ใilบพบ์ทนสน)ดนcืชจอาอถ์ aรกะซ้นียกูเrทหช่ึงัก่าไกb้อืกดมงเ่ีเกันoกรมรป้นุ เn่าาบ็ะากรเเ)วบกไปะบ็แวยีใวมอื่้นไลนนวาคยวะก้ณกใาแฎันลราเหจชดรบั์บ3ัน่กลดิน-สอรง่ังชู่4นใจคกน้ับ.เ5ุลาลคบไรินม่าลรเบ์ วท้ทรอ่ื กอเยา่รนปนง่ิขาียเน็กกขอข์ ชใ้าอาง้านอ่นศสงคดงโขใู่ดาลนทนิอรินกไางบ์ตมผงตอ้อช่โสา่ ้นดนา้งนำ� ใไยทคชรแม้่ีาัญต้ ก่ ในการกกั เก็บคารบ์ อนไว้ ในดนิ (Soil Carbon) ได้ถงึ รอ้ ยละ 89 โดยปกติ คาร์บอนจะถกู กกั เกบ็ ไว้ ในดินอดุ ม สมบูรณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ ใหม่ ดนิ อดุ มสมบรู ณส์ ดี ำ� จะมคี ารบ์ อนมาก การทำ� การเกษตรเคมี แบบเข้มขน้ ด้วยการตัดและการเผาตน้ ไม้ และพชื การไถพรวนดนิ และการใช้สาร เคมี จะทำ� ให้สูญเสียความอุดมสมบรู ณ์ของ ดนิ ในระยะยาว กอ่ ใหเ้ กดิ การคายคาร์บอน ปริมาณมหาศาลออกจากดิน เมือ่ คาร์บอน ในดนิ น้อยลง ปัญหาการสกึ กร่อนของดินก็ จะเพิ่มข้ึน (Soil Association, 2009 และ อลั กอร์, 2552) การอนรุ ักษด์ นิ และคารบ์ อนในดินสามารถทำ� ได้โดยการไมไ่ ถพรวนดนิ เพื่อลดปญั หาดินสกึ กร่อน รวม ถึงการทง้ิ เศษซากพชื ไว้บนดินเพ่ือป้องกันดินสึกกรอ่ นจากนำ�้ และลม อกี ทั้งยงั ช่วยฟืน้ ฟคู วามอุดมสมบรู ณข์ องดิน และเปน็ อาหารส�ำหรับส่งิ มีชีวิตในดนิ อีกดว้ ย เศษซากพืชท่ีท้งิ ไว้บนดินยังช่วยปกป้องและสร้างดนิ ขน้ึ ใหม่ (อลั กอร์, 2552) การกกั เก็บคาร์บอนไว้ ในดนิ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดนิ ท�ำใหด้ ินมคี ณุ ภาพดีข้นึ อีกทั้งยังสามารถ ชว่ ยลดผลกระทบจากนำ�้ ท่วม ภัยแล้ง การขาดแคลนนำ้� และการขยายตวั ของพนื้ ทท่ี ะเลทรายได้อีกด้วย (Soil Association, 2009) พื้นทช่ี ่มุ นำ�้ และป่าพรุเปน็ บริเวณท่ีมกี ารกักเก็บคาร์บอนไว้ ในดินได้มากทีส่ ดุ หากมกี ารนำ� พน้ื ทด่ี ังกลา่ วมาใช้ ในการเพาะปลกู จะทำ� ให้ระดับคารบ์ อนในดินลดลงอย่างมาก (อลั กอร์, 2552) กราฟเปรียบเทียบคาร์บอนในดินระหวา่ งการท�ำเกษตรอนิ ทรียแ์ ละเกษตรท่ีไม่ใช่อินทรีย์ ทีม่ า: Soil Association, 2009 33

การลดการปล่อยและการเพมิ่ การกกั เกบ็ กา๊ ซเรือนกระจกในภาคการเกษตร ภาคการเกษตรสามารถช่วยลดการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกและเพ่มิ การเกบ็ กักคาร์บอนในดนิ ได้โดยการ ปรับเปลยี่ นวิถีการผลติ จากระบบเกษตรเคมสี ่รู ะบบเกษตรท่ียง่ั ยนื และเกอ้ื กูลต่อธรรมชาติ รวมถึงการจัดการ ที่ดีและเหมาะสมในระบบการผลิต แนวทางต่อไปนเ้ี ปน็ ตวั อย่างในการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกในภาค การเกษตร (Jessica Bellarby et al., 2008) 1. การลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกโดยการเพ่มิ การดูดซบั และเก็บกักคารบ์ อนในดิน •• การฟน้ื ฟพู ชื พรรณตามธรรมชาติและป่าหัวไร่ปลายนา เพ่ือลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก ในไร่นา ขณะเดียวกันเปน็ การเพม่ิ แหล่งเกบ็ กักคารบ์ อนในดนิ ให้มากขน้ึ •• การจัดการระบบการเกษตรอยา่ งยัง่ ยนื เพ่อื เพม่ิ ปริมาณคารบ์ อนสะสมในพืน้ ทเ่ี พาะปลกู โดยการ -- เพ่ิมผลผลติ เชน่ การจัดการน�้ำใหม้ ีประสทิ ธิภาพ การปรับปรุงพันธุ์พชื ทีเ่ หมาะสมกบั สภาพแวดล้อมในทอ้ งถ่ิน การปลกู พชื ตระกูลถวั่ บ�ำรุงดนิ -- ลดการรบกวนดนิ โดยไมไ่ ถพรวนหรือลดการไถพรวนดนิ ใหน้ อ้ ยลง เพือ่ ลดการปล่อย คาร์บอนจากดนิ ขณะเดียวกนั กเ็ พิม่ คารบ์ อนในดินโดยใชฟ้ างหรือกิง่ ไม้ ใบหญา้ รวมถึง เศษวัสดเุ หลือใช้ทางการเกษตรคลมุ ดินไว้แทนการเผาเพอื่ ใหเ้ กดิ การย่อย สลาย เป็นการเติมอินทรียวตั ถุในดิน -- ทำ� วนเกษตรเพอ่ื เพิ่มการเก็บกกั คาร์บอนในดนิ และในตน้ ไม้ -- หลีกเลย่ี งการเปลือยดนิ เพอื่ ปอ้ งกันดินไม่ใหถ้ กู กดั เซาะและไม่ใหธ้ าตุอาหารถูกชะล้าง ออกไป ซึง่ มีผลท�ำให้คาร์บอนในดนิ ลดลง •• การจัดการปศสุ ตั ว์ มลู สตั ว์ และทุ่งหญา้ เลย้ี งสตั ว์ เชน่ การปรับเปลี่ยนวิธกี ารเล้ียง การนำ� มลู สตั ว์ไปหมักท�ำกา๊ ซชีวภาพ การดแู ลทงุ่ หญ้าเลี้ยงสตั ว์ไมไ่ ห้เกิดไฟไหม้ •• การจัดการนาข้าว เชน่ ปล่อยนำ�้ ออกจากนาเปน็ ระยะๆ ไมป่ ล่อยใหน้ ำ้� ขังในนาตลอดเวลา การ ปรับปรุงระบบการจัดการนำ้� •• ฟน้ื ฟดู นิ เสื่อมสภาพ 2. การลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกโดยการจัดการเรื่องป๋ยุ โดยเฉพาะลดการใช้ปุ๋ยเคมีสงั เคราะห์ และการปรับปรุงประสทิ ธภิ าพในการใช้ปุ๋ย 3. การปรับเปลี่ยนรปู แบบในการบริโภค เช่น ลดการบริโภคเนื้อวัว การหนั มาบริโภคอาหารท่ีผลติ ใน ท้องถ่ิน ปจั จุบันเปน็ ที่ปรากฏชัดเจนขน้ึ เรื่อยๆ ว่า “ระบบการเกษตรท่ียงั่ ยืน” ท่ีค�ำนึงถงึ วิถีธรรมชาติและเกอ้ื กลู ตอ่ สรรพชีวิตต่างๆ เป็นความหวังในการเพ่มิ คารบ์ อนในดนิ ได้อยา่ งยัง่ ยนื อันจะนำ� ไปสู่การลดปัญหาผลกระทบ และเยยี วยาวิกฤตโลกรอ้ นในระยะยาว 34

ศกั ยภาพภาคการเกษตรในการลดการปลดปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก ภาคการเกษตรปลดปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกออกสู่ ศักยภาพภาคการเกษตรในการลดผลกระทบและ บรรยากาศ ประมาณ 5.1-6.1 ก๊กิ กะตนั คารบ์ อนไดออกไซด์ เยียวยาปัญหาโลกรอ้ น เทียบเท่าในปี พ.ศ. 2548 (เฉพาะปลอ่ ยทางตรง) ในทาง กลบั กัน ภาคการเกษตรกม็ ศี ักยภาพในการลดการปลดปลอ่ ย ก๊าซเรือนกระจกไดถ้ งึ 4.3-6 กก๊ิ กะตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเทา่ ตอ่ ปี โดยสามารถกกั เกบ็ คาร์บอนไว้ ในดินไดม้ ากถงึ 89% ของปริมาณท่มี กี ารปลดปลอ่ ยออกมา และสามารถลด การปลอ่ ยกา๊ ซมีเทนไดป้ ระมาณ 9% และลดการปลอ่ ยไนตรัส ออกไซด์ได้ 2% (Jessica Bellarby et al., 2008) ดังน้นั หากมรี ะบบการจัดการท่ีดี ภาคการเกษตรกแ็ ทบจะไมม่ ีการ ปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกออกมาเลย ศักยภาพภาคการเกษตรในการลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก ภแโดาหคยลกเง่ฉากพรักเากเะกษห็บตาคกรามมรกีศีบ์ ากัอรยนจภัไดดากพเ้ ปาใรนน็ ฟกอาายรร่า์มเงปทด็นี่ดี ี ท่ีมา: IPCC, 2007 อ้างโดย Jessica Bellarby et al., 2008 (อภัลาไมคภกส่กาออาาคดุถรมรก์,ม้าเาากปสร2รษถญัม5เกตล5บหษด2รูราไ)ณตกดดารนิ์ไม้รมอเาปสย่ไกดลอื่า่ น้รง่อมกัับจยสรกภิCงาาจรOพัแง2ขกาเใร้ไดนขาคจควางากม 35

36

ชีพจรภาคการเกษตรไทย� ภายใตว้ กิ ฤตโลกรอ้ น เมอ่ื ความแลง้ มาเยือน “การดำ� นาผง” � 37 โดยการขดุ หลุมปักตน้ กล้ากลายเปน็ เรื่องธรรมดาของชาวนาในภาคอีสาน

สภาพแวดล้อมทางการเกษตร ปจั จยั ก�ำหนดพืช กวา่ ท่พี ชื แตล่ ะชนดิ จะเจริญเติบโตจนสามารถออกดอกติดผลไดไ้ ม่ใช่เรื่องบงั เอญิ หากแตข่ ้นึ อย่กู ับสภาพ แวดล้อมทางการเกษตรที่เหมาะสม อันเปน็ เงือ่ นไขส�ำคัญในการกำ� หนดพชื แต่ละชนดิ วา่ จะโตหรือตาย ปริมาณน้�ำฝน แฝลนะเแฉลลง้ย่ี ตป1ิด,าต8ล0อ่์มก0นนั-�้ำไ2มม,นั 0่เตก0นิอ้ 0ง2กมามเรด.ป/อื ปรนิมี าณ ออเณุ ซณุ ลหหเภซภูมียมู ิสลริ ะนิ้ ตหจดิ วี่จตา่ ะง่อตกิด10นั ด-ออย2ก0่าไงดนอต้ ง้ออ้ ศยงาการ กพวากนันื้รวกท/่าปร่มี 1ะีฝี,จแ2ยนาล5ายกะ0งตรปพะวัมราจขิมมราอาา.ยง/ณเฝปต1ฝนีิบ0นโ0ตไ-มไ1่นด5้ด้อ0ียใน 4 สัปดาห์ ความแปรปรวนของฤดูกาล ปตลน้ ูกฤขดา้ ฝู วนไดคแ้ลวลาา่ะมชกา้ไามรท่แทำ�นง้ิ ใชน่หว่ อไ้งดนขผ้อขงลอฝงผนชลว่ ติ งสตเง่รผ่�ำิ่มลให้ ควคเาหวมา็ดมชเืน้กชื้นใิดนภในนาด้อวดนิ ะยินฝลลนงดทล้งิ งช่วดงนิทแ�ำใหห้ง้ ทำ� ให้ 38

เงื่อนไขสภาพแวดลอ้ มกบั การเจริญเติบโตของข้าว (สขป้ันา้ รวะไ(มว1แ2าณสชงกเมดตา.ือรอ้)อนงจอกตึงากุลจรดาะชอคอว่ กอมงขแก)อสดงงอขกา้ ว ละอองเรณขู องข้าว ถา้ อเเหปรุณมณ็นหนั เขู วภอลขมูงา้าเสิ วกูง1เสปสชรุด็นมตเร.กัวเวปผินง็นแ้ขู 3อตต5ง้น่เขมไเา้ ปลซวล็ดจลเจะซะะเยีปอลสอน็ีบง การบานของดอกข้าว ในวนั ทีด่ อกข้าวครบกำ� หนดบาน ถ้าท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตก ดอก ข้าวจะไมบ่ านอีกเลย กไดอ้รดับี แสงรเะตยม็ ะทแ่ีขต้ากวกจอะแถต้ากขา้ ว ถหา้าขยา้ ไวมขไ่ าดรดะ้ผนยลำ้�ะผใตนลั้งชิตทว่ งอ้ นง/ข้ี ตา้ วิดจเมะเลส็ดยี การแตกกอ ถ้า เแสรยี งหตาย้นขช้าว่ วงจเกะห็บักเกล่ยี ้มวผถล้าผมลลี ติ ม อเซุณลหเซภยี มู สสิ ขงู า้ เวกจินะไ3ม0แ่ ตอกงกศอา *ต*อ้ งกกาารรปร••ละ กูยขะปตเา้ปรววล้อีบลลูกงกูาอ(รไนทอลวอาี่เกเา่ หเกปเวดกมิน)ีลอินาไาก�ปะทไอปสจ่ี อ–มะ–กอผรอผลวกลงผดผลอลติ กิตลนตดาำ�่ นเพเพรราาะะต้อง 39 ที่มา: สถาบนั วิจัยข้าว, 2529

จบั ตาพชื เศรษฐกิจไทย เมอื่ เงอื่ นไขสภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยน เงอ่ื นไขสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตรเป็นปัจจัยส�ำคญั ในการก�ำหนดการเจริญเตบิ โตของพชื พชื แตล่ ะ ชนดิ จะมคี วามอ่อนไหวต่อการเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอ้ มท่แี ตกต่างกัน โดยเฉพาะละอองเรณขู องพชื (Pollens) ซ่ึงมคี วามอ่อนไหวอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภมู ิ ผลกระทบของการเพิม่ อุณหภมู ขิ องชว่ งอณุ หภมู ิทีเ่ หมาะสมตอ่ การใหผ้ ลผลติ ของพชื พืชทั่วไปให้ผลผลิตสงู ในช่วงอุณหภมู ทิ ่พี อเหมาะซง่ึ อยปู่ ระมาณ 22-30 องศาเซลเซยี ส เมือ่ อุณหภมู เิ พิ่ม สงู ขน้ึ การเกษตรของประเทศในเขตร้อน (ประเทศก�ำลงั พัฒนา) มีแนวโนม้ เสียหายมากกวา่ ประเทศในเขตอบอุ่น ซ่ึงมอี ากาศหนาวเยน็ (กัณฑรีย์ บญุ ประกอบ, 2548) กอาุตรสเกาหษกตรรรขมอไงดปป้ รระะเทโยศชน์ จากภาวะโลกร้อน ที่มา: Nobel 2002 อา้ งโดยกณั ฑรีย์ บญุ ประกอบ และศรทั ธารา หตั ถีรตั น,์ 2549 ผลกระทบของอณุ หภมู สิ งู ทม่ี ตี ่อละอองเรณูของขา้ ว ถ่วั และมะนาว ภาพซา้ ยมอื แสดงความสมบูรณ์ของละอองเรณู (Fertility) ของข้าวตา่ งสายพันธ์ุ มะนาว และถว่ั ที่ อุณหภมู ติ า่ งๆ ในกรณีของขา้ วจะเหน็ ได้ว่า ละอองเรณขู องข้าวพันธ์ุ BKN ทน อุณหภูมสิ งู ไดน้ ้อยกวา่ พันธ์ุ Akihari และพันธ์ุ N22 โดยข้าวพันธ์ุ N22 ซง่ึ เปน็ ขา้ วลกู ผสม ทนอณุ หภมู ิสงู ได้ มากสดุ ความสมบรู ณข์ องละออง เรณูของขา้ วจะเริ่มลดลงตั้งแต่ อณุ หภูมิ 34 องศาเซลเซยี สเป็นตน้ ไป โดยลดลงมากในขา้ วพันธุ์ BKN ทมี่ า: J. Sheehy, IRRI Graph axis, อา้ งโดย กัณฑรีย์ บญุ ประกอบ, 2548 และท่ีอณุ หภูมิ 38 องศาเซลเซยี ส ละอองเรณขู องขา้ ว N22 ยงั มคี วาม สมบรู ณ์ถึงร้อยละ 60 ในขณะท่ีข้าวพันธ์ุ BKN และAkihari สูญเสยี ความสมบรู ณ์โดยสน้ิ เชงิ 40

ผลกระทบของอณุ หภมู สิ ูงตอ่ ผลผลติ ขา้ ว สไสำ�ดลห้ัน้จดรๆำ� ลับกงใดัพไนดืชชหท้อ่วายลี่งกทา่ะองอ่ีพมุณอืชางหอกเอภรกณูมดเิูทพอนิ่มกอขณุึน้ทเ�ำหพใภหียูม้ผงิสรลงูะผยละิต แม้วา่ โดยภาพรวมอุณหภมู เิ ฉล่ียทั้งปขี อง ประเทศไทยจะไม่ไดส้ งู ข้ึนมากนกั แต่สำ� หรับพชื ทีม่ คี วาม ออ่ นไหวตอ่ การเปล่ียนแปลงอุณหภูมอิ ย่างข้าว แมค้ วาม ผนั ผวนของอุณหภมู เิ พียงไมก่ ี่นาทีทเี่ กดิ ข้นึ ในช่วงใดช่วงหนึง่ ของการเจริญเตบิ โตกส็ ่งผลให้ผลผลติ ข้าวลดลงได้ ผล กระทบของอณุ หภมู สิ งู ต่อข้าวเกิดขึ้นในช่วง •• ดอกบาน แม้ ในเวลาส้นั ๆ ภายใน 10 นาที ทำ� ใหก้ ารผสมเกสรล้มเหลว •• ในระหวา่ งฤดูปลกู โดยเฉพาะอุณหภมู กิ ลางคืน ท�ำให้ระบบสงั เคราะหแ์ สงรวน มรี วงน้อย จ�ำนวนดอกต่อรวงตำ�่ และขา้ วลบี •• ในชว่ งสรา้ งเมลด็ 30 วันก่อนเกบ็ เกย่ี ว จะมผี ลตอ่ คุณภาพของเมล็ด อณุ หภูมทิ ่ีสูงขึน้ ไมว่ า่ จะเปน็ กลางวนั หรือกลางคนื มีผลต่อการเจริญเตบิ โตของตน้ ขา้ ว อณุ หภูมิสูงในช่วง เวลากลางวันมีผลต่อการผสมเกสร ท�ำใหผ้ สมเกสรไมต่ ดิ สว่ นอุณหภูมสิ งู ในช่วงเวลากลางคนื จะมผี ลต่อจ�ำนวน ดอก จำ� นวนเมลด็ ทีล่ บี หลงั ผสมเกสรเนอื่ งจากผสมแล้วแทง้ ผล ในขา้ วพันธุ์ IR72 หากอณุ หภมู กิ ลางคืน (วดั จาก อุณหภูมิตำ่� สดุ เฉล่ยี ) เพม่ิ ขึน้ ทุก 1 องศาเซลเซยี ส (จาก 22 องศาเซลเซียส) จะท�ำให้ผลผลติ ข้าวลดลง 10% (จีรา ภา อินธิแสง, มปพ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตร ผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจไทย การคาดการณก์ ารเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตร และผลกระทบตอ่ พชื เศรษฐกจิ ไทย เดชรัต สุขก�ำเนดิ และคณะ (2552) ไดท้ �ำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตร (อณุ หภมู แิ ละปริมาณนำ้� ฝน) ผลกระทบต่อลนิ้ จ่ี ล�ำไย มันฝรั่ง ขา้ ว และปาลม์ น�้ำมัน ซง่ึ เปน็ พชื เศรษฐกจิ สำ� คญั ของประเทศไทย โดยใช้ฐานขอ้ มลู การพยากรณ์สภาพอากาศของศนู ยเ์ ครือขา่ ยงานวิเคราะหว์ ิจัยและฝึกอบรมการ เปลย่ี นแปลงของโลกแห่งภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SEA START RC) เพื่อคาด การณแ์ นวโน้มผลกระทบตอ่ พชื เหล่าน้ี ในอกี 90 ปีขา้ งหน้า โดยมีแนวทางการศกึ ษาคือ •• วิเคราะหเ์ ง่ือนไขสภาพแวดล้อมที่ส�ำคญั ทีม่ ีผลต่อการเจริญเติบโตและการใหผ้ ลผลติ ของพืช แต่ละชนดิ •• วิเคราะห์การเปลยี่ นแปลงอุณหภูมิและปริมาณน้�ำฝน และคาดการณ์แนวโนม้ ผลกระทบตอ่ พชื แตล่ ะชนดิ 41

พ้นื ทีศ่ ึกษาและพชื ที่วิเคราะห์ เมือ่ สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมกบั การเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนดิ เปลยี่ นแปลงไปยอ่ มกระทบต่อ ผลผลิตของพชื น้ันๆ อย่างไรกด็ ี ยงั มปี จั จัยแวดลอ้ มและเง่อื นไขอ่ืนๆ อกี จำ� นวนมากที่มีผลตอ่ การเจริญเติบโต ของพชื ซง่ึ ต้องพจิ ารณาในรายละเอียดตอ่ ไป การคาดการณ์ผลกระทบในครั้งนเ้ี ปน็ เพียงการให้ภาพครา่ วๆ ถงึ แนว โนม้ ท่อี าจจะเกิดขึน้ ในอนาคตหากมกี ารเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศตามท่ีได้พยากรณ์ไว้ 42

อณุ หภมู กิ ับการตดิ ดอกของล้นิ จี่ ลิ้นจ่ี แนวโนม้ การเปลีย่ นแปลงอณุ หภมู ิและผลกระทบตอ่ การตดิ ดอก จำ� นวนวนั ปี (พ.ศ.) ใ เน ซรอโออลับนไากน4มงเกผ้มาซศา่เารลหสยีตคาศอกัปสมดิตเเซุณรามดผยลลใะะหาแีนลโ็น้นิทเสดหซภนนออจบมยียจ์มูวนี่มยอ้ ตมใงึโสติาย่บูแีนนาจ่อคทลำ�่น้าชก้มะกตก่ีตงว่งวตนลางวโ่อรักิดดแเนจ่าเพต1จลนดต�ำ้ม0ร2ดิานงออื่่ตใาก0นดวกงะปดิซกนกออจผขีึง่อาวนักกี�ำ้ามรงลนันจขงศเีผน2ทปอะหวาล้อ0มนงม่ีลนเตยลซีวไ่ียอีา้มปลอ่ลิ้นนั ุณน่ถกงเจขีผทซแห้าาึงี่ลม่ียีปงรเภผพีอส2หตลมู ลณุรต0นงดิเิ ติาฉอดิห้าดะวลุณลเตภลอปันนิ้ยี่ มูห้ิน่อกน็จตกิเจขภซตี่อฉำ่�อนัี่ต่งึูมาลกน้งเอ้จิปี่ยวลไเงจปพา่น็ติน้ ะรสจำ่�ย2ลาก่ีภงั0นิ้ะวาไยจมา่พองัม่ี่ไองพ2ดีแาศ0อ้นกามวาีศที่ พ้นื ทศี่ ึกษา อ�ำเภอไชยปราการ จังหวดั เชียงใหม่ (ละติจูด: 19.6, ลองตจิ ูด: 99) เงอื่ นไขสภาพแวดลอ้ มท่ีสำ� คญั การติดดอกต้องการอุณหภมู ติ ่�ำกว่า 20 ๐C ติดตอ่ กัน 4 สปั ดาห์ (กรมวิชาการเกษตร, http://it.doa.go.th/ vichakan) วิธกี ารวิเคราะห์ • วิเคราะห์ชว่ งเวลาออกดอก เดอื นตุลาคมถึงเดือน กุมภาพันธ์ (150 วนั ) • จ�ำนวนวนั ท่ีอณุ หภูมิเฉลี่ยรายวัน ต่�ำกว่า 20 ๐C • จ�ำนวนวนั ทอ่ี ณุ หภมู ิเฉล่ียรายวัน ต�่ำกว่า 20 ๐C ติดต่อกันมากที่สุด 43

อณุ หภูมกิ บั การติดดอกของลำ� ไย ล�ำใย แนวโน้มการเปลย่ี นแปลงอุณหภูมแิ ละผลกระทบตอ่ การติดดอก จำ� นวนวนั ปี (พ.ศ.) ใ เน ซไมกอดผลออีานร้เลาารซัาบกผกชยีคผาล่วาสตศลยศติ มลเกเใเลรหีแนโย�ำรำ�ง่ดมไนอน็ะไกยยาวยทนอามะใโอาบยรนนสแี คาอู่บมชม้มนจต่วอา้าลตจวงกกงโดะอ่จนดนเ2ลอกำ�สอกั้ม0นกีงาียกจตร-วทหขาซตดิน3ั้งกอา่งึ ผ0ดิวยยงมกนัลดังลหาผีปทนสอรำ�นลขีม่ีาไ้อเกตปกัยา้มยอีขงไอ่ลาอลุณดหเรกย่ีพงง้หนถาลนรแรภา้ใ�ำาแชตตูมไะส้ปผย่แดิใเิานลฉลเทดรลชงผลโบอยว่อปลยี่ กงจุณแิตตขะ5หตลำ่�ไอมก0ภำ�งสเ่ไวล-มูเหยซ่าำ�6ิ ลอยีไเ02พยาือมจ0วรคปจันาลขีอะะทอย้ายงม่ีงเศงังัรหสีไพาตมภนอใ่าน้าพ พื้นทศี่ กึ ษา อำ� เภอสารภี จังหวดั เชียงใหม่ (ละตจิ ูด: 18.6, ลองตจิ ูด: 99) เง่อื นไขสภาพแวดลอ้ มท่ีสำ� คัญ ตอ้ งการอุณหภูมติ ่�ำกว่า 10-20 ๐C เพ่ือการออกดอก (วิวฒั น์ มโนจิตร, http:www.artzy.co.cc/joomla/ index.php/khowledge/49-longan-.html) วธิ กี ารวเิ คราะห์ • วิเคราะห์ชว่ งเวลาออกดอก เดือนตลุ าคมถงึ เดอื น กุมภาพันธ์ (150 วัน) • จ�ำนวนวันทีอ่ ุณหภูมิเฉลยี่ รายวัน ตำ่� กวา่ 20 ๐C • จ�ำนวนวนั ที่อณุ หภมู ิเฉลี่ยรายวัน ตำ่� กวา 20 ๐C ตดิ ต่อกนั มากทีส่ ุด 44