อะยะเมวะ อะริโย อฏั ฐงั คิโก มคั โคฯ เสยยะถีทงั ฯ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สมั มา- อาชโี ว สมั มาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธฯิ อ ะ ยั ง โ ข ส า ภิ ก ข ะ เ ว มั ช ฌิ ม า ป ะ ฏิ ป ะท า ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวตั ตะตฯิ อิทงั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทกุ ขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทกุ ขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขงั โสกะปะริเทวะทุกขะ- โทมะนสั สุปายาสาปิ ทุกขา อปั ปิเยหิ สมั ปะโยโค ทุกโข ปเิ ยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปฉิ งั นะ ละภะติ ตมั ปิ ทุกขัง สังขติ เตนะ ปัญจปุ าทานักขันธา ทุกขาฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย1 อะริยะ- สัจจังฯ ยายัง ตัณหา โปโนภะวิกา2 นันทิราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินันทินีฯ เสยยะถีทังฯ กามะตัณ๎หา ภะวะตัณห๎ า วิภะวะตัณหาฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ1 อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณ๎หายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏนิ ิสสัคโค มุตต๑ิ อะนาละโยฯ ๑ ฉบบั ใบลานเปน็ วมิ ุตติ 98
อทิ งั โข ปะนะ ภิกขะเว ทกุ ขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะริยะสัจจังฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ เสยยะถีทังฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมา- กัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมา- สะมาธิฯ อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วิชชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทิฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ตงั โข ปะนทิ ัง ทุกขงั อะริยะสัจจัง ปะรญิ ญาตันติ เม ภิกขะเว ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตสุ ธมั เมสุ จกั ขงุ อุทะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาทิ ปัญญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทฯิ อทิ ัง ทุกขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขงุ อุทะปาทิ ญาณัง อทุ ะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทฯิ 99
ตัง โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะสะมุทะโย อะริยะสจั จัง ปะหาตพั พันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธัมเมสุ จักขงุ อุทะปาทิ ญาณงั อุทะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทิฯ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนนั ติ เม ภิกขะเว ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมสุ จักขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทฯิ อทิ ัง ทกุ ขะนโิ รโธ อะริยะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขงุ อุทะปาทิ ญาณัง อทุ ะปาทิ ปัญญา อทุ ะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทฯิ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะนิโรโธ อะรยิ ะสัจจงั สจั ฉ-ิ กาตพั พนั ติ เม ภิกขะเว ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ ธมั เมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณงั อุทะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทฯิ ตงั โข ปะนิทงั ทกุ ขะนโิ รโธ อะริยะสัจจัง สัจฉกิ ะตนั ติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทฯิ 100
อทิ งั ทกุ ขะนิโรธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว ปุพเพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมสุ จักขุง อทุ ะปาทิ ญาณัง อทุ ะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทฯิ ตงั โข ปะนทิ งั ทุกขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะริยะ- สจั จัง ภาเวตัพพนั ติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จกั ขุง อทุ ะปาทิ ญาณงั อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทฯิ ตัง โข ปะนทิ งั ทกุ ขะนโิ รธะคามินี ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะ- สจั จัง ภาวติ ันติ เม ภกิ ขะเว ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธัมเมสุ จักขงุ อุทะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาทิ ปัญญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทฯิ 1pppยยยยยยยยยยยยาวดดด ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อเิ มสุ จะตูสุ อะรยิ ะ- สจั เจสุ เอวนั ติปะริวฏั ฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะ- ทัสะนัง นะ สุวิสทุ ธัง อะโหสิฯg เนวะ ตาวาหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพร๎ หั ม๎ ะเก สัสสะมะณะพร๎ าหม๎ ะณยิ า ปะชายะ สะเทวะ- มะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพทุ โธ ปจั จญั ญาสิงฯ ยะโต จะ โข เม ภกิ ขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันตปิ ะริวัฏฏงั ทว๎ าทะสาการงั ยะถาภตู งั ญาณะทัสสะนัง สุวสิ ทุ ธัง อะโหสฯิ อะถาหงั ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก 101
สะพ๎รัหม๎ ะเก สัสสะมะณะพ๎ราหม๎ ะณิยา ปะชายะ สะเทวะ- มะนสุ สายะ อะนุตตะรัง สมั มาสมั โพธิง อะภิสัมพทุ โธ ปัจจัญญาสิงฯ ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนงั อุทะปาทิ อะกุปปา เม วมิ ตุ ติ อะยะมนั ตมิ า ชาติ นัตถิทานิ ปนุ ัพภะโวติฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวาฯ อตั ตะมะนา ปัญจะวัคคิยา๑ ภกิ ขู ภะคะวะโต ภาสติ ัง อะภินนั ทงุ ฯ๒ อิมสั ม๎ ิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสม๎ ิง ภัญญะมาเน อายัสม๎ ะโต โกณฑญั ญัสสะ วริ ะชงั วีตะมะลัง๓ ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยงั กญิ จิ สะมุทะยะธมั มงั สัพพนั ตงั นิโรธะธมั มันติ ปะวัตติเต จะ๔ ภะคะวะตา ธมั มะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ เอตมั ภะคะวะตา พาราณะสยิ งั อิสปิ ะตะเน มิคะทาเย อะนตุ ตะรงั ธัมมะจกั กัง ปะวัตตติ งั อปั ปะฏิวตั ติยงั สะมะเณนะ วา พ๎ราหม๎ ะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รหั ๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัสม๎ นิ ตฯิ 16 ภมุ มานงั เทวานัง สัททงั สุตว๎ า จาตมุ ะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ๑ ฉบบั ใบลานเป็น เต ปัญจะวัคคยิ า ๒ ฉบับใบลานเป็น อะภนิ นั ทุนติฯ ๓ ฉบับใบลานเปน็ วิคะตะมะลงั ๔ ฉบับใบลานเปน็ จะ ปะนะ 102
จาตมุ ะหาราชกิ านัง เทวานัง สทั ทงั สตุ ๎วา ตาวะตงิ สา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททงั สุตว๎ า ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ยามานงั เทวานงั สทั ทัง สุต๎วา ตสุ ิตา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุงฯ ตุสติ านัง เทวานงั สทั ทัง สตุ ๎วา นมิ มานะระตี เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสงุ ฯ นิมมานะระตนี งั เทวานัง สัททงั สุต๎วา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ปะระนิมมติ ะวะสะวตั ตีนัง เทวานัง สทั ทงั สุต๎วา พร๎ ัหม๎ ะปาริสชั ชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พร๎ ัห๎มะปาริสัชชานัง เทวานงั สัททัง สตุ ว๎ า พ๎รหั ๎มะปโุ รหติ า๑ เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสงุ ฯ พ๎รัห๎มะปโุ รหิตานัง๒ เทวานงั สัททงั สุต๎วา มะหาพร๎ หั ๎มา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุงฯ มะหาพร๎ ัหม๎ านงั เทวานงั สทั ทงั สุต๎วา ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ ฯ ๑ เปน็ พร๎ ัหม๎ ะปะโรหิตา กม็ ี ๒ เปน็ พร๎ หั ม๎ ะปะโรหติ านัง ก็มี 103
ปะรติ ตาภานัง เทวานงั สัททงั สุตว๎ า อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุงฯ อัปปะมาณาภานงั เทวานงั สัททัง สตุ ๎วา อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อาภสั สะรานงั เทวานงั สัททัง สตุ ๎วา ปะริตตะสภุ า เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุงฯ ปะรติ ตะสุภานัง เทวานงั สัททัง สตุ ว๎ า อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ ฯ อปั ปะมาณะสภุ านัง เทวานัง สัททงั สุต๎วา สุภะกณิ ๎หะกา๑ เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ ฯ สุภะกิณห๎ ะกานัง๒ เทวานงั สัททงั สุต๎วา3 เวหปั ผะลา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ ฯ เวหัปผะลานงั เทวานงั สทั ทงั สตุ ว๎ า อวหิ า๓ เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสงุ ฯ อะวิหานัง๔ เทวานัง สัททงั สุตว๎ า อะตัปปา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุงฯ อะตัปปานงั เทวานัง สัททงั สุตว๎ า ๑ ฉบบั ใบลานเปน็ สภุ ะกณิ ๎หา ในพระบาลีบางแหง่ เปน็ สุภะกณิ ณา ก็มี ๒ ฉบบั ใบลานเป็น สภุ ะกณิ ๎หานัง ๓ ฉบบั ใบลานเปน็ อะเวหา ๔ ฉบบั ใบลานเปน็ อะเวหานัง 104
สุทัสสา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุงฯ สทุ ัสสานงั เทวานงั สัททัง สุต๎วา สุทัสสี เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุงฯ สทุ สั สนี ัง เทวานงั สทั ทัง สตุ ว๎ า อะกะณฏิ ฐะกา๑ เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุงฯ เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัสม๎ นิ ตฯิ อติ ิหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สงั กัมปิ สมั ปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร4 โอภาโส โลเก ปาตรุ ะโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานภุ าวงั ฯ๒ อะถะโข ภะคะวา อุทานงั ๓ อุทาเนสิ ๑ ฉบับใบลานเป็น อะกะณิฏฐา ฉบับทั่วไปเป็น อะกะนิฏฐะกา รูปหลงั นี้แปลง ณ เป็น น ดว้ ยมหาสูตร เตสุ วทุ ฺธิ (ดูราย ละเอยี ดในเวสสันตรทปี นี ทสวรกณั ฑ)์ ๒ ฉบบั ใบลานเปน็ เทวานุภาวันติฯ ๓ ฉบับใบลานเป็น อมิ งั อทุ านงั 105
อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ อิติหิทัง อายสั ม๎ ะโต โกณฑัญญสั สะ อัญญา- โกณฑัญโญเตว๎ วะ๑ นามงั อะโหสตี ฯิ ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง นิฏฐิตังฯ ถา้ สวดยอ่ เม่อื สวดถงึ ปะระนมิ มิตะวะสะวตั ตีนงั เทวานงั สัททงั สตุ ๎วา ให้เพ่มิ พร๎ ัหม๎ ะกายกิ า เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ แล้วตัดขา้ ม ไปสวด เอตัมภะคะวะตา พาราณะสยิ ัง... จนจบ เชงิ อรรถเลขอารบคิ 1-1 พระไตรปิฎกฉบับเก่า ฉบับล้านนา และฉบับพม่า มีรูปที่เป็น ลิงควิปัลลาสว่า ทุกขะสะมุทะยัง, ทุกขะนิโรธัง ทุกแห่ง ตาม อริยะสัจจัง ซึ่งเป็นนปุงสกลิงค์ อนึ่ง ในสวดมนต์ แปลฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ พิมพ์เมื่อ ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒) ก็มี รูปที่เป็นนปุงสกลิงค์ดุจเดียวกันนี้ ปาฐะท่ีเป็น นปงุ สกลงิ ค์นี้ยงั สอดคล้องกบั อรรถกถาปฏสิ มั ภิทามรรคว่า ๑ ฉบบั ใบลานเป็น อัญญาตะโกณฑญั โญเต๎ววะ 106
อิทํ ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ นฺติ อาทสี ุ ทกุ ขฺ สมทุ โย ทุกฺขนิโรโธติ วตฺตพฺเพ ทกุ ฺขสมทุ ยํ ทกุ ขฺ นิโรธนตฺ ิ ลงิ ฺควิปลลฺ าโส กโต. (ปฏสิ ม.ฺ อฏ.ฺ ๑.๖๘) “ในคาวา่ อทิ ทกุ ขฺ อริยสจฺจ เป็นตน้ เมือ่ ควรกล่าว วา่ ทุกขฺ สมุทโย ทุกขฺ นโิ รโธ ดังนี้ แตไ่ ด้ทาการเปลี่ยนลิงค์ ว่า ทุกขฺ สมุทย ทกุ ขฺ นิโรธ” ข้อความขา้ งต้นแสดงใหเ้ ห็นวา่ คาว่า ทุกฺขสมทุ ยํ, ทกุ ขฺ นิโรธํ เปน็ ลงิ ควปิ ัลลาส โดยเปลยี่ นเป็นนปุงสกลงิ ค์ ตาม อริยสจฺจํ แทนทจ่ี ะมรี ูปเป็นปงุ ลิงค์วา่ ทุกขฺ สมุทโย, ทกุ ขฺ นโิ รโธ อย่างไรกต็ ามคมั ภีร์วสิ ทุ ธิมรรคมหาฎีกากลา่ ว ถึงรูปว่า ทุกฺขสมุทโย และ ทุกขฺ นิโรโธ นี้ว่า “แมล้ ิงคจ์ ะต่างกัน ก็ไม่ผิดหลักภาษาแต่ อยา่ งใดดัง คาว่า อุปฺปาโท ภยํ ความเกิดขนึ้ [แหง่ สังขาร] น่ากลัว” มสี าธกในคมั ภรี ์นน้ั ดงั น้ี สตปิ ิ ทวฺ ินนฺ ํ ปทานํ สมานาธิกรณภาเว ลิงคฺ เภโท คหโิ ต. ยถา ทกุ ฺขสมุทโย อริยสจฺจนฺต.ิ (วิสุทธฺ .ิ ฏี. ๒.๔๕๙) “เมื่อมเี นอ้ื ความเสมอกันแหง่ บทท้ังสอง ลิงคย์ ่อม ตา่ งกนั ได้ เช่น ทุกฺขสมทุ โย อริยสจฺจํ” ด้วยเหตดุ ังกล่าวในทีน่ จี้ ึงใช้ตามรปู ท่ีเป็นปุงลิงค์ ว่า ทุกขะสะมทุ ะโย, ทุกขะนโิ รโธ รปู น้ยี งั สอดคลอ้ งกับ รูปว่า ทกุ ขะนิโรธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา ซ่ึงเปน็ อิตถลี ิงค์ ตามลิงค์เดมิ ของตน ถ้ามเิ ช่นนั้น จะต้องมีรปู ทเ่ี ป็นลิงค- วิปลั ลาสว่า ทุกขะนิโรธะคามนิ ิ ปะฏิปะทงั อะรยิ ะสจั จัง ดงั สองบทข้างต้นเช่นกนั 107
2 พระไตรปิฎกฉบับอกั ษรไทยมรี ูปวา่ โปโนพฺภวิกา แต่ฉบับ สิงหล ฉบับฉฏั ฐสังคตี ิของพม่า และฉบบั ล้านนามีรูปวา่ โปโนภวกิ า แต่เมอื่ พิจารณาตามหลกั ภาษากไ็ ดข้ อ้ สรุปวา่ ในสนั สฤต ปนุ รฺ เป็น ร การนั ต์ สว่ นในบาลี ปุน เป็น อ การันต์ เมื่อ ปนุ เข้าสมาสกบั ภว จะมรี ปู เป็น ปุนพฺภว เพราะสันสกฤตมรี ูปทเ่ี ป็นสังโยคว่า ปุนรฺ แตเ่ มอื่ แปลง อรฺ ใน ปุนรฺ เป็น โอ (คือ ปโุ น, โปโน) แลว้ กไ็ มค่ วรจะมี รูปทเ่ี ปน็ สงั โยควา่ โปโนพฺภว, โปโนพภฺ วกิ า ในฉบบั น้ีจึงใช้ ตาม ๓ ฉบับข้างตน้ ว่า โปโนภวิกา 3 บางฉบับเพ่มิ อะสัญญิสตั ตา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ อะสญั ญสิ ตั ตานัง เทวานัง สทั ทงั สุตว๎ า เขา้ มาในทีถ่ ดั จากนแี้ ละใสว่ งเลบ็ กากับไว้ โดยทีผ่ เู้ พ่มิ เองก็ไมแ่ นใ่ จเช่นกนั ว่าถกู ต้องหรอื ไม่ พึงทราบวา่ อสญั ญสี ัตตาภมู จิ ดั อย่ใู นอรูป พรหมไม่สามารถไดย้ ินเสยี งของเทพชน้ั อ่ืนได้ เพราะไม่มโี สต ประสาท การกล่าวว่า สัททะมะนสุ สาเวสุง (ยงั เสียงให้บันลือล่นั ) และ สัททงั สตุ ว๎ า (ฟังเสยี ง) จึงไม่ถูกต้องในท่ีน้ี ดงั ท่ีอรรถกถา สมันตปาสาทิกา (๑/๒๕๑) อธิบายไวว้ า่ พรฺ หมฺ กายิกาติ อสญฺ สิ ตฺเต จ อรูปาวจเร จ เปตฺวา สพเฺ พปิ พรฺ หฺมาโน อสฺโสสํุ สุตฺวา จ สทฺทม- นสุ ฺสาเวสุนตฺ ิ เวทติ พพฺ า. “บทว่า พฺรหฺมกายิกา ความว่า พรหมแม้ทั้งหมด ยกเว้นเหล่าอสัญญีสัตว์และเหล่าอรูปาวจรเสีย พึงทราบว่า 108
ได้สดับแล้ว และครั้นได้สดับแล้วก็ได้กระจายเสียงให้บันลือ ล่นั แล้ว [หรอื ให้ไดย้ นิ ข้นึ ไปแลว้ ] ” ดงั นั้นเวลาสวดจึงชักเฉพาะพรหมโลก ๑๕ ชั้นเทา่ นัน้ ท้ังนี้เปน็ บทที่โบราณาจารยป์ ระพันธ์เพิ่มเขา้ มาใหม่ เพือ่ ขยาย ความบทว่า พฺรหฺมกายกิ า ส่วนปาฐะเดมิ ไม่มใี นพระไตรปิฎก 4 ฉบับใบลาน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และฉบับฉัฏฐสังคีติ เป็น อุฬาโร น่าจะเป็นปาฐะเดิม อย่างไรก็ตามรูปว่า โอฬาโร นี้ถึงแม้จะออกไปทางบาลีไทย ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน ดังที่ คัมภีร์สัททนีติสูตรที่ ๑๗๒ กล่าวไว้ว่า อุกาโร โอการํ. (ให้แปลง อุ อักษร เป็น โอ อักษร) เช่น สุตตฺโตโสตตฺโต (รอ้ นดี), สตุ ถฺ ีโสตถฺ ี (หญิงงาม) เปน็ ต้น i 109
ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร (แปล) ข้าพเจ้าไดส้ ดับมาแลว้ อย่างน:้ี - สมยั หนงึ่ พระผู้มีพระภาคประทบั อยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวนั กรงุ พาราณสี ณ ท่นี นั้ แล พระผมู้ พี ระภาคเจ้า ตรัสเรยี กภกิ ษุปัญจวคั คยี ์มาแลว้ ตรสั ว่า ดกู ่อนภกิ ษทุ งั้ หลาย สว่ นสุดสองอย่างนี้ อนั บรรพชติ ไมค่ วรเสพ [ส่วนสุดสองอย่างนั้นเปน็ ไฉน] คือ การประกอบ ตนใหพ้ ัวพันด้วยกามสุขในกามทงั้ หลาย เปน็ ของเลว เปน็ ของ ชาวบ้าน เปน็ ของปุถชุ น ไม่ประเสรฐิ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบความลาบากแกต่ น เป็นทกุ ข์ ไมป่ ระเสริฐ ไม่ ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ข้อปฏิบตั อิ นั เป็นสายกลาง ไม่เข้า ไปใกลส้ ว่ นสดุ ๒ อย่าง เหลา่ นน้ั อนั ตถาคตได้ตรสั รู้แล้ว กระทาจกั ษุ กระทาญาณ ย่อมเป็นไป เพ่อื ความสงบ เพ่ือ ความรยู้ ิง่ เพือ่ ความตรสั รู้ เพ่อื นิพพาน ก็ขอ้ ปฏิบตั อิ นั เปน็ สายกลางน้ัน ฯลฯ เปน็ ไฉน ? คอื อรยิ มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ น้ีแล กลา่ วคอื ความเหน็ ชอบ ความดาริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เล้ยี งชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ต้ังใจชอบ ข้อปฏบิ ัตอิ นั เปน็ สายกลาง 110
นีแ้ ล อนั ตถาคตได้ตรสั รแู้ ล้ว กระทาจักษุ กระทาญาณย่อม เป็นไปเพื่อความสงบ เพือ่ ความร้ยู งิ่ เพอ่ื ความตรัสรู้ เพื่อ นิพพาน ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย ก็ทุกขอรยิ สัจน้แี ล คือ ความเกดิ ก็เปน็ ทกุ ข์ ความแก่กเ็ ปน็ ทกุ ข์ ความเจบ็ กเ็ ป็นทุกข์ ความตาย ก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นท่ีรัก กเ็ ป็นทกุ ข์ ความพลัดพรากจากสิง่ อันเป็นทรี่ กั ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิง่ ใด ไมไ่ ด้แมส้ ่ิงนั้น ก็เปน็ ทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์ กท็ ุกขสมุทยั อรยิ สัจนีแ้ ล คอื ตัณหา ตัณหาให้เกิดภพ ใหม่ ประกอบด้วยความกาหนัด ดว้ ยอานาจความพอใจ ความ เพลิดเพลนิ ยิ่งนักในอารมณน์ นั้ ๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตณั หา วิภวตณั หา กท็ กุ ขนิโรธอรยิ สจั น้แี ล คือ ความดบั ด้วยการสารอก โดยไม่เหลือแหง่ ตณั หาน้นั แหละ ความสละ ความวาง ความ ปล่อย ความไมอ่ าลัย กท็ ุกขนโิ รธคามินปี ฏิปทาอริยสจั น้ีแล คือ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ กล่าวคือ ความเหน็ ชอบ ฯลฯ ตงั้ ใจชอบ ดูกอ่ นภิกษทุ ้งั หลาย จกั ษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสง สว่าง ได้เกิดขน้ึ แกเ่ รา ในธรรมทีเ่ ราไมเ่ คยได้ฟงั มากอ่ นวา่ น้ที กุ ขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนัน้ ควรกาหนดรู้ ฯลฯ ทุกข- 111
อรยิ สัจนน้ั เรากาหนดรูแ้ ลว้ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วชิ ชา แสง สว่าง ได้เกดิ ขนึ้ แก่เรา ในธรรมที่เราไมเ่ คยได้ฟงั มากอ่ นวา่ นท้ี กุ ขสมุทยั อริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทยั อรยิ สจั นนั้ ควรละ ฯลฯ ทกุ ขสมทุ ยั อริยสจั นนั้ เราละแลว้ ดกู ่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสง สวา่ ง ได้เกิดข้ึนแก่เรา ในธรรมทเ่ี ราไมเ่ คยได้ฟงั มากอ่ นวา่ นท้ี กุ ขนิโรธอรยิ สัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอรยิ สจั นน้ั ควรทาให้แจ้ง ฯลฯ ทกุ ขนิโรธอรยิ สัจนัน้ เราทาใหแ้ จง้ แลว้ ดกู อ่ นภิกษทุ ้งั หลาย จกั ษุ ญาณ ปัญญา วชิ ชา แสง สว่าง ไดเ้ กิดขนึ้ แกเ่ รา ในธรรมทเ่ี ราไมเ่ คยไดฟ้ ังมากอ่ นว่า น้ที กุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสัจ ฯลฯ ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏ-ิ ปทาอรยิ สัจนนั้ ควรเจริญ จกั ษุ ญาณ ปัญญา วชิ ชา แสง สว่างได้เกดิ ขึน้ แลว้ แกเ่ รา ในธรรมทีเ่ ราไมเ่ คยไดฟ้ งั มาก่อน ว่า ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั นนั้ เราเจริญแลว้ ดกู ่อนภิกษทุ ้ังหลาย ก็ญาณทัสสนะตามความเปน็ จริง มีวนรอบ ๓ อย่างน้ี มอี าการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านข้ี อง เรา ยังไม่บริสทุ ธเ์ิ พยี งใด เรากย็ ังไมป่ ฏญิ าณตนวา่ เป็นผู้ ตรสั รู้อนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณในโลกพรอ้ มท้งั เทวโลก มาร โลก พรหมโลก ในหม่สู ัตว์ พรอ้ มท้ังสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพยี งน้นั ก็เมื่อใด ญาณทสั สนะตามความเป็นจริง 112
มีวนรอบ ๓ อยา่ งนี้ มอี าการ ๑๒ ในอริยสัจเหลา่ น้ี ของเรา บริสุทธด์ิ แี ลว้ เม่อื น้ัน เราจงึ ปฏญิ าณตนวา่ เปน็ ผู้ตรัสรู้ อนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณในโลกพร้อมทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู่ ัตว์ พร้อมทัง้ สมณะพราหมณ์ เทวดาและ มนุษย์ ก็ญาณทสั สนะ ไดบ้ ังเกดิ ข้นึ แกเ่ ราวา่ วมิ ุตตขิ องเรา ไม่กาเรบิ ชาตินเ้ี ป็นชาติทสี่ ดุ บัดนี้ภพใหม่ไม่มี พระผูม้ ีพระ ภาคไดต้ รัสพระพุทธพจนน์ ้ีแลว้ ภิกษุปญั จวัคคียป์ ลมื้ ใจ ชนื่ ชมภาษิตของพระผูม้ พี ระภาค ก็เมือ่ พระผูม้ พี ระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนอ้ี ยู่ ดวง ตาเหน็ ธรรมอนั ปราศจากธลุ ี ปราศจากมลทิน ได้เกิดข้นึ แก่ ท่านโกณฑัญญะวา่ สง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงมีความเกดิ ขนึ้ เปน็ ธรรมดา ส่ิงนัน้ ทงั้ มวลล้วนมีความดบั เป็นธรรมดา ก็เมอ่ื พระผู้มีพระ ภาคทรงประกาศธรรมจักรแล้ว พวกภมุ มเทวดาได้ประกาศ ว่า นั่นคอื ธรรมจักรอันยอดเย่ียม อนั พระผู้มพี ระภาคทรง ประกาศแลว้ ณ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั กรุงพาราณสี อนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ก็ ประกาศไม่ได้ พวกเทพช้ันจาตุมหาราชไดฟ้ งั เสียงของพวกภมุ ม เทวดาแล้ว... พวกเทพช้นั ดาวดงึ ส์ ไดฟ้ งั เสยี งของพวกเทพชั้น จาตมุ หาราชแลว้ ... 113
พวกเทพชั้นยามา ไดฟ้ ังเสยี งของพวกเทพช้ัน ดาวดึงส์แลว้ ... พวกเทพชน้ั ดสุ ิต ไดฟ้ ังเสียงของพวกเทพช้นั ยามาแลว้ ... พวกเทพชนั้ นมิ มานรดี ได้ฟังเสยี งของพวกเทพ ชน้ั ดุสิตแล้ว... พวกเทพช้ันปรนมิ มติ วสวตั ตี ไดฟ้ งั เสียงของพวก เทพช้ันนิมมานรดแี ล้ว... พวกเทพชั้นพรหมปารสิ ัชชา ได้ฟังเสียงของพวก เทพช้ันปรนิมมิตวสวตั ตีแล้ว... พวกเทพช้นั พรหมปโุ รหติ า ไดฟ้ งั เสยี งของพวก เทพช้นั พรหมปาริสัชชาแลว้ ... พวกเทพชน้ั มหาพรหมา ไดฟ้ ังเสยี งของพวกเทพช้ัน พรหมปโุ รหิตาแลว้ ... พวกเทพช้นั ปรติ รตาภา ได้ฟงั เสยี งของพวกเทพชนั้ มหาพรหมาแลว้ ... พวกเทพช้ันอัปปมาณาภา ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้น ปริตตาภาแล้ว... พวกเทพชัน้ อาภสั สรา ไดฟ้ ังเสยี งของพวกเทพชั้น อัปปมาณาภาแล้ว... พวกเทพช้ันปริตตสภุ า ได้ฟงั เสียงของพวกเทพชัน้ 114
อาภสั สราแลว้ ... พวกเทพชน้ั อปั ปมาณสุภา ได้ฟังเสียงของพวก เทพชัน้ ปริตตสภุ าแล้ว... พวกเทพชน้ั สภุ กณิ หาได้ฟงั เสียงของพวกเทพชน้ั อปั ปมาณสุภาแล้ว... พวกเทพช้นั เวหปั ผลาได้ฟังเสียงของพวกเทพชนั้ สุภกณิ หาแลว้ ... พวกเทพชนั้ อวิหา ได้ฟังเสยี งของพวกเทพช้นั เวหัปผลาแล้ว... พวกเทพช้ันอตปั ปาไดฟ้ ังเสยี งของพวกเทพชัน้ อวิหาแล้ว... พวกเทพช้นั สทุ สั สาได้ฟังเสยี งของพวกเทพช้ัน อตัปปาแลว้ ... พวกเทพช้ันสทุ ัสสี ไดฟ้ ังเสียงของพวกเทพช้นั สุทสั สาแลว้ ... พวกเทพชั้นอกนฏิ ฐาไดฟ้ ังเสยี งของพวกเทพชน้ั สุทัสสี แล้วได้ประกาศว่า นนั่ คือธรรมจักรอันยอดเยีย่ ม อนั พระผมู้ ี พระภาคเจา้ ทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอสิ ปิ ตนมฤทายวนั กรงุ พาราณสี อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ โนโลกกป็ ระกาศไมไ่ ด้ 115
โดยขณะน้นั โดยครนู่ ัน้ เสยี งไดร้ ะบอื ข้นึ ไป จนถึง พรหมโลกด้วยประการฉะนี้ กห็ มืน่ โลกธาตนุ สี้ ะเทอื นสะท้าน หวัน่ ไหว ทงั้ แสงสว่างอนั ยง่ิ หาประมาณมไิ ด้ ไดป้ รากฏแลว้ ในโลกล่วงเทวานภุ าพของพวกเทพดาทง้ั หลาย ครัง้ น้ัน พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ได้ทรงเปลง่ อทุ านวา่ โกณฑญั ญะไดร้ แู้ ล้วหนอ โกณฑญั ญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุ นน้ั คาว่าอัญญาโกณฑัญญะ จงึ ได้เปน็ ชอื่ ของทา่ นโกณฑญั ญะ ด้วยประการฉะน้ีแล จบ ธัมมจกั กัปปวัตตนสูตรฯ A 116
ปะราภะวะสูตร เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑิกัสสะ อาราเมฯ อะถะ โข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกนั ตายะ รตั ตยิ า อะภิกกันตะ- วณั ณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนงั โอภาเสตว๎ า เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐาสิฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ ปะราภะวนั ตัง ปรุ ิสัง มะยัง ปุจฉามะ โคตะมัง ภะคะวนั ตัง ปฏุ ฐะมาคมั มะ กิง ปะราภะวะโต มุขังฯ สุวชิ าโน ภะวัง โหติ สุวชิ าโน ปะราภะโว ธัมมะกาโม ภะวงั โหติ ธมั มะเทสสี ปะราภะโว อติ ิ เหตงั วิชานามะ ปะฐะโม โส ปะราภะโวฯ ทุติยงั ภะคะวา พร๎ ูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง อะสนั ตัสสะ ปยิ า โหนติ นะ สันเต กุรเุ ต ปิยัง อะสะตัง ธมั มัง โรเจติ ตงั ปะราภะวะโต มุขัง อติ ิ เหตงั วิชานามะ ทุติโย โส ปะราภะโวฯ ตะติยัง ภะคะวา พร๎ หู ิ กิง ปะราภะวะโต มุขงั นิททาสีลี สะภาสีลี อะนุฏฐาตา จะ โย นะโร อะละโส โกธะปญั ญาโณ ตัง ปะราภะวะโต มุขงั 117
อิติ เหตงั วชิ านามะ ตะตโิ ย โส ปะราภะโวฯ จะตตุ ถงั ภะคะวา พ๎รหู ิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง โย มาตะรัง วา ปิตะรัง วา ชณิ ณะกงั คะตะโยพะนัง ปะหุสนั โต นะ ภะระติ ตงั ปะราภะวะโต มุขัง อิติ เหตัง วิชานามะ จตุตโถ โส ปะราภะโวฯ ปญั จะมัง ภะคะวา พ๎รูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง โย พ๎ราห๎มะณัง วา สะมะณงั วา อญั ญงั วาปิ วะนพิ พะกัง, มสุ าวาเทนะ วญั เจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง อิติ เหตงั วชิ านามะ ปัญจะโม โส ปะราภะโวฯ ฉัฏฐะมัง ภะคะวา พ๎รูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง ปะหตู ะวิตโต ปรุ โิ ส สะหิรญั โญ สะโภชะโน เอโก ภญุ ชะติ สาทนู ิ ตงั ปะราภะวะโต มขุ งั อิติ เหตงั วชิ านามะ ฉัฏฐะโม โส ปะราภะโวฯ สตั ตะมงั ภะคะวา พ๎รูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง ชาติถทั โธ ธะนะถทั โธ โคตตะถทั โธ จะ โย นะโร สญั ญาตงิ อะตมิ ัญเญติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง อติ ิ เหตงั วชิ านามะ สตั ตะโม โส ปะราภะโวฯ อฏั ฐะมงั ภะคะวา พร๎ หู ิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง อติ ถธี ตุ โต สรุ าธุตโต อักขะธตุ โต จะ โย นะโร ลัทธัง ลัทธัง วนิ าเสติ ตงั ปะราภะวะโต มขุ ัง อิติ เหตัง วชิ านามะ อฏั ฐะโม โส ปะราภะโวฯ 118
นะวะมัง ภะคะวา พ๎รหู ิ กิง ปะราภะวะโต มขุ งั เสหิ ทาเรหิ อะสันตฏุ โฐ เวสิยาสุ ปะทุสสะติ ทุสสะติ ปะระทาเรสุ ตงั ปะราภะวะโต มขุ ัง อติ ิ เหตัง วชิ านามะ นะวะโม โส ปะราภะโวฯ ทะสะมงั ภะคะวา พ๎รูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขงั อะตีตะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพะรตุ ถะนิง ตัสสา อิสสา นะ สปุ ะติ ตงั ปะราภะวะโต มุขัง อิติ เหตงั วิชานามะ ทะสะโม โส ปะราภะโวฯ เอกาทะสะมงั ภะคะวา พ๎รหู ิ กิง ปะราภะวะโต มุขงั อติ ถิง โสณฑิง วิกิระณิง ปรุ สิ งั วาปิ ตาทิสัง อสิ สะรยิ ัส๎มิง ฐะเปติ ตัง ปะราภะวะโต มุขงั อิติ เหตัง วชิ านามะ เอกาทะสะโม โส ปะราภะโวฯ ท๎วาทะสะมัง ภะคะวา พ๎รูหิ กิง ปะราภะวะโต มุขัง อปั ปะโภโค มะหาตณั ๎โห ขตั ตเิ ย ชายะเต กุเล, โส จะ รัชชงั ปัตถะยะติ ตัง ปะราภะวะโต มขุ ัง เอเต ปะราภะเว โลเก ปัณฑโิ ต สะมะเวกขยิ ะ, อะรโิ ย ทัสสะนะสัมปนั โน สะ โลกัง ภะชะเต สวิ นั ติฯ ปะราภะวะสตุ ตัง นิฏฐิตงั ฯ 119
ปะราภวสูตร (แปล) ขา้ พเจ้าไดส้ ดับมาแลว้ อย่างนี้:- สมัยหนงึ่ พระผมู้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ พระวหิ าร เชตวนั อารามของทา่ นอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ใกล้พระนคร สาวัตถี คร้ังนั้นแล เม่ือปฐมยามสน้ิ ไปแลว้ เทวดาตนหนง่ึ มีรัศมอี ันงดงามย่ิง ทาพระวิหารเชตะวันท้งั สน้ิ ให้สวา่ งไสว เข้าไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ถึงทีป่ ระทบั ถวายบังคมพระ ผ้มู พี ระภาคแล้ว ยนื อยู่ ณ ทีค่ วรขา้ งหน่งึ ครน้ั แลว้ ได้ทลู ถามพระผมู้ ีพระภาคดว้ ยคาถาว่า ข้าพระองคม์ าเพอ่ื จะทูลถามถงึ คนผเู้ สื่อมและคนผู้ เจรญิ กะท่านพระโคดม จงึ ขอทูลถามวา่ อะไรเปน็ ทาง ของคนเส่ือม พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ตรัสตอบวา่ ผเู้ จรญิ รไู้ ด้งา่ ย ผเู้ สือ่ มก็ร้ไู ดง้ า่ ย ผใู้ ครธ่ รรมเปน็ ผู้ เจรญิ ผเู้ กลยี ดธรรมเปน็ ผ้เู สอ่ื ม เพราะเหตนุ นั้ แล เรา จงทราบชดั ขอ้ น้เี ถิดวา่ ความเส่ือมนนั้ เป็นท่ี ๑ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจา้ ขอพระองค์จงตรสั บอก คนเส่ือมท่ี ๒ อะไรเป็นทางของคนเสอ่ื ม 120
คนมอี สัตบรุ ษุ เปน็ ท่ีรัก ไม่กระทาสตั บรุ ุษใหเ้ ป็น ที่รัก ชอบใจธรรมของอสตั บรุ ษุ ขอ้ น้ันเปน็ ทางของ คนเส่ือม เหตุนน้ั แล เราจงทราบชัดขอ้ น้ีเถดิ ว่า ความ เส่ือมน้นั เป็นที่ ๒ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเสื่อมท่ี ๓ อะไรเป็นทางของคนเส่อื ม คนใด ชอบนอน ชอบคุย ไมห่ มั่น เกียจครา้ น โกรธงา่ ย ขอ้ นน้ั เป็นทางของคนเสอ่ื ม เหตุน้ันแลเรา จงทราบชัดข้อน้เี ถดิ วา่ ความเสอ่ื มนน้ั เปน็ ที่ ๓ ขา้ แต่พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเส่ือมที่ ๔ อะไรเป็นทางของคนเส่ือม คนใดสามารถ แตไ่ มเ่ ลยี้ งมารดาหรือบดิ าผแู้ กเ่ ฒ่า ผ่านวัยหนมุ่ สาวไปแลว้ ข้อน้นั เปน็ ทาง ของคนเสือ่ ม เหตนุ น้ั แล เราจงทราบชัดขอ้ นี้เถดิ วา่ ความเส่อื มน้ัน เปน็ ท่ี ๔ ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจ้า ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเส่อื มที่ ๕ อะไรเป็นทางของคนเส่อื ม คนใดลวงสมณะพราหมณ์ หรือแมว้ ณพิ กอน่ื ด้วย มุสาวาท ข้อนัน้ เปน็ ทางของคนเส่ือม เหตนุ น้ั แล เรา จงทราบชัดข้อนี้เถดิ ว่า ความเสื่อมนนั้ เป็นท่ี ๕ ขา้ แต่พระผ้มู พี ระภาคเจ้า ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเส่อื มที่ ๖ อะไรเปน็ ทางของคนเสื่อม คนมีทรัพยม์ าก มเี งนิ ทองของกนิ กนิ ของอรอ่ ย 121
แต่ผเู้ ดียว ข้อน้ันเปน็ ทางของคนเสื่อม เหตนุ น้ั แล เรา จงทราบชัดขอ้ น้ีเถดิ วา่ ความเส่อื มนั้นเปน็ ท่ี ๖ ขา้ แตพ่ ระผ้มู ีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอก คนเสือ่ มท่ี ๗ อะไรเปน็ ทางของคนเสอ่ื ม คนใด หย่งิ เพราะชาติ หยง่ิ เพราะทรพั ย์ และหยิง่ เพราะโคตร ย่อมดหู มน่ิ ญาติของตน ขอ้ น้นั เปน็ ทางของ คนเส่ือม เหตุน้ันแล เราจงทราบชัดข้อนี้เถดิ ว่า ความ เส่อื มนน้ั เป็นที่ ๗ ข้าแตพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจา้ ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเส่อื มที่ ๘ อะไรเป็นทางของคนเสอ่ื ม คนใด เปน็ นักเลงหญงิ เปน็ นักเลงสุรา และเป็นนัก เลงการพนนั ผลาญทรัพยท์ ีต่ นหามาได้ ขอ้ นัน้ เป็นทาง ของคนเส่อื ม เหตนุ น้ั แล เราจงทราบชัดขอ้ นเ้ี ถิดว่า ความเสอื่ มน้ันเป็นที่ ๘ ขา้ แต่พระผมู้ พี ระภาคเจ้า ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเส่ือมท่ี ๙ อะไรเปน็ ทางของคนเสือ่ ม คนไม่สนั โดษด้วยภรยิ าของตน ละเมดิ ในภริยาของ คนอ่ืนเหมือนละเมดิ ในหญงิ แพศยา ข้อน้นั เป็นทางของ คนเสื่อม เหตุนน้ั แล เราจงทราบชัดข้อนีเ้ ถดิ ว่า ความ เสอ่ื มนัน้ เปน็ ท่ี ๙ ขา้ แต่พระผมู้ พี ระภาคเจ้า ขอพระองคจ์ งตรัสบอก คนเสือ่ มที่ ๑๐ อะไรเป็นทางของคนเส่อื ม 122
ชายแกว่ ยั ได้หญงิ ร่นุ สาว นมเทา่ ลกู พลบั มาเป็นภรยิ า เขายอ่ มนอนไมห่ ลับ เพราะความหงึ หวงตอ่ ภรยิ าสาวนั้น ข้อนัน้ เป็นทางของคนเสอ่ื ม เหตุนนั้ แลเราจงทราบชัดขอ้ นีเ้ ถิดว่าความเสอ่ื มน้ันเป็นที่ ๑๐ ขา้ แต่พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรสั บอก คนเส่ือมท่ี ๑๑ อะไรเป็นทางของคนเสื่อม คนใด ตง้ั หญิง นักเลง คนสุร่ยุ สุรา่ ย หรอื แมช้ ายเชน่ นั้นไว้ในความเปน็ ใหญ่ ข้อน้นั เปน็ ทางของคนเสื่อม เหตุ นน้ั แล เราจงทราบชดั ข้อนีเ้ ถดิ วา่ ความเสื่อมนนั้ เปน็ ที่ ๑๑ ขา้ แต่พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอก คนเสอ่ื มที่ ๑๒ อะไรเปน็ ทางของคนเส่อื ม ก็บุคคล ผูเ้ กดิ ในขตั ตยิ ตระกูล มีโภคทรัพยน์ ้อย แตม่ ีความมกั ใหญ่ ปรารถนาราชสมบัติ ขอ้ นนั้ เปน็ ทาง ของคนเสื่อม อริยบณั ฑติ ผู้ถึงพรอ้ มดว้ ยทสั สนะพจิ ารณาเหน็ ความ เสอื่ มเหล่าน้ี ในโลก ยอ่ มบรรลุถงึ โลกที่เกษมแล จบ ปราภวสูตรฯ A 123
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128