Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

Description: เทวตาสมิติสูตร สูตรว่าด้วยเทพชุมนุม

Search

Read the Text Version

ความไดส้ ดับตรบั ฟังมาก ๑ ศิลปศาสตร์ ๑ วนิ ยั อนั ชนศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาอนั เป็นสภุ าษิต ๑ ขอ้ นีเ้ ปน็ มงคลอันสงู สุด การบารุงมารดาบดิ า ๑ การสงเคราะห์บตุ รภริยา ๑ การงานทัง้ หลายอนั ไม่อากูล ๑ ขอ้ นี้ เป็นมงคลอัน สงู สดุ การให้ทาน ๑ การประพฤตธิ รรม ๑ การสงเคราะห์ ญาติทัง้ หลาย ๑ กรรมท้งั หลายอันไมม่ ีโทษ ๑ ข้อน้เี ปน็ มงคล อันสูงสุด การงดเวน้ จากบาป ๑ ความสารวมจากการด่มื นา้ เมา ๑ ความไมป่ ระมาทในธรรมทง้ั หลาย ๑ ขอ้ น้ีเปน็ มงคล อันสูงสดุ ความเคารพ ๑ ความไม่จองหอง ๑ ความยนิ ดดี ้วย ของอนั มอี ยู่ ๑ ความเป็นผรู้ ูอ้ ุปการะอันท่านทาแล้วแก่ตน ๑ การฟงั ธรรมตามกาลสมควร ๑ ขอ้ น้เี ป็นมงคลอนั สงู สุด ความอดทน ๑ ความเปน็ ผวู้ ่าง่าย ๑ การเหน็ สมณะ ทั้งหลาย ๑ ความสนทนาธรรมตามกาลสมควร ๑ ข้อนี้เปน็ มงคลอันสูงสุด ความเพยี รเผากเิ ลส ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเหน็ อริย- สจั ๑ การทาใหแ้ จง้ พระนิพพาน ๑ ข้อนีเ้ ป็นมงคลอันสูงสดุ 48

จติ ของผใู้ ด อนั โลกธรรมทั้งหลายกระทบแลว้ ย่อมไม่ หวนั่ ไหว ไม่มโี ศก ปราศจากธลุ ี เกษม ข้อนี้เป็นมงคลอันสงู สุด เทพยดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย กระทามงคลท้งั หลาย เชน่ น้แี ลว้ เป็นผู้ไม่พา่ ยแพใ้ นท่ที ง้ั ปวง ยอ่ มถงึ ความสวัสดีใน ที่ท้งั ปวง ขอ้ น้ันเป็นมงคลอนั สงู สุด ของเทพยดาและมนุษย์ ทงั้ หลายเหลา่ น้ันแล พระผ้มู ีพระภาคไดต้ รสั พระสูตรนี้ เทวดานน้ั มีใจ ยินดชี ่ืนชมภาษติ พระผูม้ พี ระภาค อภิวาทพระผมู้ ีพระภาค แล้วหายวบั ไป ณ ท่ีนน้ั เอง จบ มหามังคลสตู ร 49

สะมะจิตตะสูตร เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วหิ ะระติ เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑกิ ัสสะ อาราเมฯ เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ อายัส๎มา สาริปุตโต สาวตั ถิยัง วหิ ะระติ ปพุ พาราเม มคิ าระมาตุปาสาเทฯ ตัตร๎ ะ โข อายัส๎มา สาริปุตโต ภิกขู อามันเตสิ อาวุโส ภิกขะโวติฯ อาวุโสติ โข เต ภกิ ขู อายัสม๎ ะโต สารปิ ุตตัสสะ ปัจจัสโสสุงฯ อายัสม๎ า สารปิ ตุ โต เอตะทะโวจะ อัชฌัตตะสัญโญชะนัญจะ อาวุโส ปุคคะลัง เทเสสสามิ, พะหิทธาสัญโญชะนัญจะ, ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีติฯ เอวัง อาวุโสติ โข เต ภิกขู อายัสม๎ ะโต สารปิ ตุ ตสั สะ ปัจจัสโสสงุ ฯ อายัส๎มา สารปิ ตุ โต เอตะทะโวจะ กะตะโม จาวุโส อัชฌัตตะสัญโญชะโน ปุคคะโลฯ อิธาวุโส ภิกขุ สีละวา โหติ ปาติโมกขะสังวะระสังวุโต วิหะระติ อาจาระโคจะระสัมปันโน อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะติ สิกขาปะเทสุ, โส กายัสสะ เภทา ปะรัมมะระณา อัญญะตะรัง เทวะนิกายัง อุปะปัชชะติ, โส ตะโต จุโต อาคามี โหติ อาคันตา อิตถัตตังฯ อะยัง 50

วุจจะตาวุโส อชั ฌตั ตะสัญโญชะโน ปคุ คะโล อาคามี อาคนั ตา อติ ถัตตันตฯิ กะตะโม จาวุโส พะหิทธาสัญโญชะโน ปุคคะโลฯ อิธาวุโส ภิกขุ สีละวา โหติ ปาติโมกขะสังวะระสังวุโต วิหะระติ อาจาระโคจะระสัมปันโน อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภ ะ ย ะ ทั ส ส า วี ส ะ ม า ท า ย ะ สิ ก ข ะ ติ สิ ก ข า ป ะ เ ท สุ , โส อัญญะตะรัง สันตงั เจโตวมิ ตุ ติง อุปะสัมปัชชะ วหิ ะระติ, โส กายัสสะ เภทา ปะรัมมะระณา อัญญะตะรัง เทวะนิกายัง อุปะปัชชะติ, โส ตะโต จโุ ต อาคามี โหติ อาคนั ตา อติ ถตั ตังฯ อะยัง วุจจะตาวุโส อัชฌัตตะสัญโญชะโน ปุคคะโล อาคามี อาคนั ตา อติ ถัตตันตฯิ ปุนะ จะ ปะรัง อาวุโส ภิกขุ สีละวา โหติ ปาติ- โมกขะสังวะระสังวุโต วิหะระติ อาจาระโคจะระสัมปันโน อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะติ สิกขาปะเทสุ, โส กามานังเยวะ นิพพิทายะ วิราคายะ นิโรธายะ ปะฏิปันโน โหติฯ โส ภะวานังเยวะ นิพพิทายะ วิราคายะ นิโรธายะ ปะฏิปันโน โหติ โส ตัณห๎ ักขะยายะ ปะฏิปันโน โหติ โส โลภักขะยายะ ปะฏิปันโน โหติฯ โส กายัสสะ เภทา ปะรัมมะระณา อัญญะตะรัง เทวะนิกายัง อุปะปัชชะติ, โส ตะโต จุโต อะนาคามี โหติ อะนาคันตา อิตถตั ตังฯ อะยัง วุจจะตาวโุ ส พะหิทธาสญั โญชะโน ปุคคะโล 51

อะนาคามี อะนาคันตา อิตถัตตันติฯ อะถะโข สัมพะหุลา สะมะจิตตา เทวะตา, เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิงสุ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภวิ าเทตว๎ า เอกะมันตงั อัฏฐังสุฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง เอตะทะโวจุง เอโส ภันเต อายัส๎มา สาริปุตโต ปุพพาราเม มิคาระมาตุปาสาเท ภิกขูนัง อัชฌัตตะสัญโญชะนัญจะ ปุคคะลัง เทเสติ พหิทธาสัญโญชะนัญจะ, หัฏฐา ภันเต ปะริสา, สาธุ ภันเต ภะคะวา, เยนายัส๎มา สาริปุตโต, เตนุปะสังกะมะตุ อะนุกัมปัง อุปาทายาติฯ อะธิวาเสสิ ภะคะวา ตุณห๎ ีภาเวนฯ อะถะโข ภะคะวา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สะมิญชิตัง วา พาหัง ปะสาเรยยะ ปะสาริตัง วา พาหัง สะมิญเชยยะ, เอวะเมวะ โข เชตะวะเน อันตะระหิโต ปุพพาราเม มิคาระมาตุปาสาเท อายัส๎มะโต สาริปุตตัสสะ สมั มเุ ข ปาตุระโหสฯิ นสิ ที ิ ภะคะวา ปัญญัตเต อาสะเนฯ อายัส๎มาปิ โข สาร-ิ ปุตโต ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง นิสีทิฯ เอกะมันตัง นิสินนัง โข อายัส๎มันตัง สาริปุตตัง ภะคะวา เอตะทะโวจะ 52

อิธะ สาริปุตตะ สัมพะหุลา สะมะจิตตา เทวะตา, เยนาหัง, เตนปุ ะสงั กะมิงสุ อุปะสงั กะมิต๎วา มัง อะภิวาเทตว๎ า เอกะมันตัง อัฏฐังสุฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สาริปุตตะ ตา เทวะตา มัง เอตะทะโวจุง เอโส ภันเต อายัส๎มา สาริปุตโต ปุพพาราเม มิคาระมาตุปาสาเท ภิกขูนัง อัชฌัตตะ- สัญโญชะนัญจะ ปุคคะลัง เทเสติ พหิทธาสัญโญชะนัญจะ, หัฏฐา ภันเต ปะริสา, สาธุ ภันเต ภะคะวา, เยนายัส๎มา สารปิ ตุ โต, เตนุปะสังกะมะตุ อะนุกัมปัง อุปาทายาติฯ ตา โข ปะนะ สาริปุตตะ เทวะตา ทะสะปิ หุต๎วา วีสัมปิ หุต๎วา ติงสัมปิ หุต๎วา จัตตาฬีสัมปิ หุต๎วา ปัญญาสัมปิ หุต๎วา สัฏฐิมปิ หุต๎วา สัตตะติมปิ หุต๎วา อารัคคะโกฏินิตุทะนะมัตเตปิ ตฏิ ฐันต,ิ นะ จะ อัญญะมัญญัง พ๎ยาพาเธนติฯ สิยา โข ปะนะ สาริปุตตะ เอวะมัสสะ ตัตถะ นูนะ ตาสัง เทวะตานัง ตะถาจิตตัง ภาวิตัง, เยนะ ตา เทวะตา ทะสะปิ หุต๎วา วีสัมปิ หุต๎วา ติงสัมปิ หุต๎วา จัตตาฬีสัมปิ หุต๎วา ปัญญาสัมปิ หุต๎วา สัฏฐิมปิ หุต๎วา สัตตะติมปิ หุต๎วา อารัคคะโกฏินิตุทะนะมัตเตปิ ติฏฐันติ, นะ จะ อัญญะมัญญัง พย๎ าพาเธนตตี ฯิ นะ โข ปะเนตงั สารปิ ุตตะ เอวงั ทัฏฐัพพังฯ อิเธวะ โข สารปิ ตุ ตะ ตาสัง เทวะตานัง ตะถาจิตตงั ภาวติ งั , เยนะ ตา เทวะตา ทะสะปิ หตุ ๎วา วีสมั ปิ หุตว๎ า ติงสมั ปิ หตุ ๎วา 53

จัตตาฬสี มั ปิ หุต๎วา ปัญญาสัมปิ หุต๎วา สัฏฐิมปิ หุตว๎ า สตั ตะติมปิ หตุ ว๎ า อารัคคะโกฏินติ ุทะนะมัตเตปิ ติฏฐันต,ิ นะ จะ อญั ญะมัญญงั พย๎ าพาเธนติฯ ตัส๎มาตหิ ะ สารปิ ุตตะ เอวัง สกิ ขิตพั พัง สันตินทร๎ ยิ า ภะวสิ สามะ สันตะมานะสาตฯิ เอวญั หิ โว สารปิ ุตตะ สกิ ขิตพั พัง สนั ตนิ ทร๎ ิยานัญหิ โว สารปิ ุตตะ สนั ตะมานะสานัง สันตงั เยวะ กายะกัมมงั ภะวิสสะติ, สนั ตงั วะจกี มั มัง, สันตงั มะโนกมั มัง, สันตงั เยวะ อุปะหารงั อุปะหะริสสามะ สะพ๎รหั ม๎ ะจารสี ูติฯ เอวัญหิ โว สารปิ ุตตะ สกิ ขติ ัพพังฯ อะนัสสงุ โข สารปิ ุตตะ อัญญะตติ ถยิ า ปะรพิ พาชะกา เย อิมัง ธัมมะปะริยายัง นาสโสสุนติฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะโน อายัส๎มา สาริปุตโต ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินนั ทตี ฯิ สะมะจติ ตะสตุ ตัง นฏิ ฐิตังฯ c 54

สมจิตตสตู ร (แปล) ขา้ พเจา้ ไดส้ ดับมาแล้วอยา่ งน้ี:- สมยั หนึง่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวิหาร เชตวนั อารามของทา่ นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลพ้ ระนคร สาวตั ถี สมยั นั้นแล ท่านพระสารีบุตรอย่ทู ่ีปราสาทของนาง วิสาขามคิ ารมารดาในบพุ พารามใกลพ้ ระนครสาวตั ถี ณ ท่นี ั้น แล ทา่ นพระสารีบตุ รได้เรียกภกิ ษทุ ง้ั หลายมาว่า ดกู รผู้มีอายุ ท้งั หลาย ภกิ ษุเหลา่ น้ันตอบรบั ทา่ นพระสารบี ุตรแล้ว ทา่ นพระ สารีบตุ รได้กลา่ ววา่ ดูกรผู้มีอายุทง้ั หลาย เราจกั แสดงบุคคลท่ี มสี งั โยชน์ในภายใน และบคุ คลท่ีมีสังโยชน์ในภายนอก ท่าน ทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจใหด้ ี เราจกั กล่าว ภกิ ษุเหล่านัน้ ตอบรับ ทา่ นพระสารบี ตุ รแลว้ ท่านพระสารีบุตรไดก้ ลา่ วว่า ดกู รผมู้ ี อายุทง้ั หลาย กบ็ ุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเปน็ ไฉน ภิกษุใน พระธรรมวนิ ยั น้ี เป็นผู้มีศีลสารวมแลว้ ในปาตโิ มกขสังวร ถึง พรอ้ มดว้ ยอาจาระและโคจร มีปรกตเิ ห็นภัยในโทษเพียงเลก็ น้อย สมาทานศกึ ษาอยู่ในสกิ ขาบททงั้ หลาย เม่อื แตกกายตาย ไป ภิกษนุ ้นั ย่อมเขา้ ถงึ หมู่เทพหมู่ใดหมหู่ นึง่ ครนั้ จตุ จิ ากอตั ภาพ น้ันแลว้ เปน็ อาคามีกลบั มาสู่ความเป็นผเู้ ช่นนี้ น้ีเรยี กว่าบุคคล ผ้มู สี ังโยชน์ในภายใน เปน็ อาคามกี ลบั มาสูค่ วามเปน็ ผูเ้ ช่นน้ี 55

ดูกรผู้มอี ายทุ ง้ั หลาย กบ็ คุ คลผ้มู ีสงั โยชนใ์ นภายนอก เปน็ ไฉน ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั นเ้ี ป็นผมู้ ีศีล สารวมแลว้ ในพระ ปาติโมกขสังวร ถงึ พรอ้ มดว้ ยอาจาระและโคจร มปี รกติ เห็นภยั ในโทษเพียงเล็กนอ้ ย สมาทานศกึ ษาอยู่ในสกิ ขาบท ท้งั หลาย ภกิ ษนุ ั้นย่อมบรรลุเจโตวมิ ุติอนั สงบอย่างใดอยา่ ง หน่งึ เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเข้าถงึ หมเู่ ทพหมู่ใดหมู่หนง่ึ คร้นั จุติจากอัตภาพนน้ั แล้ว เป็นอนาคามี ไมก่ ลบั มาสูค่ วาม เป็นผู้เชน่ นี้ นีเ้ รยี กวา่ บุคคลผู้มสี ังโยชน์ในภายนอก เป็น อนาคามี ไม่กลบั มาส่คู วามเปน็ ผเู้ ชน่ น้ี ดูกรผ้มู อี ายุทงั้ หลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเปน็ ผ้มู ีศลี สารวมแล้วในปาตโิ มกขสงั วร ถงึ พร้อมด้วยอาจาระและโคจร มปี รกติเห็นภยั ในโทษเพียงเลก็ น้อย สมาทานศกึ ษาอย่ใู นสกิ ขา- บททั้งหลาย ภกิ ษนุ ั้นย่อมปฏบิ ัติ เพื่อความหนา่ ย เพอื่ คลาย เพอ่ื ความดบั กามทง้ั หลาย ย่อมปฏบิ ัติเพ่ือความหนา่ ย เพ่ือ คลาย เพื่อความดบั ภพท้งั หลาย ยอ่ มปฏิบตั เิ พอ่ื สนิ้ ตัณหา เพ่ือส้ินความโลภ ภกิ ษนุ ัน้ เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ่ มเขา้ ถึงหมู่ เทพหมใู่ ดหมหู่ นง่ึ คร้ันจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เปน็ อนาคามี ไม่กลับมาสคู่ วามเปน็ ผเู้ ชน่ นี้ ดกู รผ้มู อี ายทุ ง้ั หลายนเี้ รียกวา่ บคุ คลมสี งั โยชน์ในภายนอก เปน็ อนาคามี ไม่กลบั มาส่คู วาม เปน็ ผเู้ ช่นนี้ 56

คร้งั น้นั แล เทวดาทีม่ ีจิตเสมอกันมากองค์ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคถงึ ท่ีประทับ ถวายบงั คมพระผูม้ ีพระภาคแล้ว ยนื อยู่ ณ ท่คี วรสว่ นขา้ งหน่งึ คร้ันแลว้ ได้กราบทลู พระผมู้ พี ระ ภาควา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรน่ันกาลัง เทศนาถึงบคุ คลทีม่ ีสงั โยชน์ในภายใน และบุคคลท่มี สี ังโยชน์ ในภายนอกแก่ภกิ ษุทงั้ หลายอยูท่ ่ีปราสาทของนางวิสาขามิคาร มารดาในบพุ พาราม ขา้ แตพ่ ระองค์ผ้เู จรญิ บรษิ ทั รา่ เริงแล้ว ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มพี ระภาคจงทรงพระกรณุ า เสด็จไปหาท่านพระสารีบตุ รจนถึงทีอ่ ยเู่ ถดิ พระผมู้ พี ระภาค ทรงรบั คาอาราธนาดว้ ยดษุ ณภี าพ ลาดับน้ัน พระผูม้ ีพระภาค ทรงหายจากพระเชตวนั วหิ าร ไปปรากฏเฉพาะหนา้ ท่านพระ สารีบตุ ร ท่ปี ราสาทของนางวสิ าขามคิ ารมารดา ในบุพพาราม เหมอื นบรุ ุษมีกาลงั เหยียดแขนท่คี ้หู รอื คูแ้ ขนทเี่ หยยี ด ฉะนัน้ พระผู้มพี ระภาค ประทับนงั่ บนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ ทา่ นพระสารีบตุ รก็ได้ถวายบังคมพระผมู้ พี ระภาค แล้วน่ังลง ณ ท่ีควรสว่ นขา้ งหนงึ่ คร้ันแลว้ พระผ้มู ีพระภาคได้ตรสั กะท่าน พระสารีบตุ รวา่ ดกู รสารีบุตร เทวดาทีม่ ีจิตเสมอกนั มากองค์ เข้าไปหาเราจนถึงท่อี ยู่ ไหว้เราแลว้ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ขา้ งหนงึ่ ครั้นแล้วบอกวา่ ขา้ แต่พระองค์ผูเ้ จริญ ท่านพระสารี บุตรกาลงั เทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในและบุคคลท่ีมี สังโยชนใ์ นภายนอก แกภ่ กิ ษทุ ้งั หลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง 57

วิสาขามิคารมารดา ในบุพพาราม ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ บริษัทรา่ เริงแลว้ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผมู้ ีพระ ภาคทรงพระกรณุ าเสดจ็ ไปหาทา่ นพระสารีบตุ รจนถงึ ท่ีอยเู่ ถิด ดูกรสารบี ตุ ร ก็เทวดาเหลา่ น้นั ยนื อยู่ ในโอกาสแมเ้ ท่าปลาย เหลก็ แหลมจรดลง ๑๐ องคบ์ ้าง ๒๐ องค์บา้ ง ๓๐ องคบ์ า้ ง ๔๐ องคบ์ ้าง ๕๐ องค์บา้ ง ๖๐ องค์บา้ ง ๗๐ องค์บ้าง แตก่ ็ ไมเ่ บยี ดกนั และกนั ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนีว้ า่ จิตอย่างนนั้ ซ่งึ เปน็ เหตใุ ห้เทวดาเหลา่ นน้ั ยนื อยู่ได้ในโอกาสแมเ้ ทา่ ปลาย เหลก็ แหลมจรดลง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องคบ์ ้าง ๓๐ องคบ์ า้ ง ๔๐ องคบ์ า้ ง ๕๐ องคบ์ ้าง ๖๐ องคบ์ ้าง ๗๐ องคบ์ ้าง เปน็ จิต อันเทวดาเหล่านั้นอบรมแลว้ ในภพนั้นแน่นอน ดกู รสารบี ตุ ร กข็ อ้ น้ันเธอไมค่ วรเห็นเชน่ นี้ ดกู รสารี บุตร ก็จิตอย่างนน้ั ซึง่ เปน็ เหตุใหเ้ ทวดาเหล่านน้ั ยนื อยูไ่ ดใ้ น โอกาสแมเ้ ทา่ ปลายเหลก็ แหลมจรดลง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์ บา้ ง ๓๐ องค์บา้ ง ๔๐ องคบ์ า้ ง ๕๐ องค์บา้ ง ๖๐ องค์บา้ ง ๗๐ องค์บ้าง แตก่ ็ไมเ่ บียดกันและกัน เทวดาเหล่าน้ันไดอ้ บรม แล้วในศาสนานีเ้ อง เพราะฉะนนั้ แล สารีบตุ ร เธอพงึ ศึกษาอย่างนว้ี ่า จัก เปน็ ผมู้ ีอนิ ทรีย์สงบ มีใจระงบั อยู่ เธอควรศกึ ษาเช่นน้ีแหละ สารบี ุตร กายกรรม วจกี รรม มโนกรรมของผู้มีอนิ ทรยี ์สงบ 58

มีใจระงับ จักสงบระงบั เพราะฉะนน้ั แล สารีบุตร เธอพงึ ศึกษาว่า จกั นากายและจติ ที่สงบระงับแล้วเท่าน้ันเขา้ ไปใน สพรหมจารที ้งั หลาย ดูกรสารบี ุตร เธอควรศกึ ษาเช่นนีแ้ หละ ดูกรสารบี ุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ท่ไี มไ่ ดฟ้ งั ธรรม บรรยายนี้ ไดพ้ ากันฉบิ หายเสียแลว้ พระผมู้ พี ระภาคไดต้ รสั พระสูตรนี้ ทา่ นพระสารบี ุตร มใี จยนิ ดชี น่ื ชมภาษติ พระผูม้ พี ระภาคแล้วแล จบ สมจิตตสูตรฯ h 59

มะหาราหุโลวาทะสูตร เอวัมเม สุตังฯ เอกงั สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วหิ ะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเมฯ อะถะ โข ภะคะวา ปุพพัณ๎หะสะมะยัง นิวาเสต๎วา ปัตตะจีวะระมาทายะ สาวัตถิง ปิณฑายะ ปาวิสิฯ อายัส๎มาปิ โข ราหโุ ล ปุพพัณ๎หะ- สะมะยงั นิวาเสต๎วา ปัตตะจีวะระมาทายะ ภะคะวนั ตงั ปิฏฐิโต ปิฏฐิโต อะนพุ นั ธิฯ อะถะ โข ภะคะวา อะปะโลเกตว๎ า อายัส๎มนั ตงั ราหุลัง อามันเตสิ ยังกญิ จิ ราหลุ ะ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจปุ ปนั นัง อัชฌตั ตัง วา พะหิทธา วา โอฬารกิ ัง วา สุขมุ งั วา หีนงั วา ปณีตงั วา ยัง ทูเร วา สันติเก วา, สพั พัง รูปงั เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภตู ัง สมั มัป- ปญั ญายะ ทัฏฐัพพนั ตฯิ รูปะเมวะ นุ โข ภะคะวา รูปะเมวะ นุ โข สุคะตาติฯ รูปงั ปิ ราหลุ ะ เวทะนาปิ ราหุละ สัญญาปิ ราหลุ ะ สังขาราปิ ราหุละ วิญญาณงั ปิ ราหุลาตฯิ อะถะ โข อายัส๎มา ราหโุ ล โก นว๎ ชั ชะ ภะคะวะตา สัมมขุ า โอวาเทนะ โอวะทโิ ต คามงั ปณิ ฑายะ ปะวิสิสสะตีติ, ตะโต ปะฏินิวตั ติต๎วา อัญญะตะรสั ม๎ งิ รกุ ขะมูเล นิสที ิ ปัลลงั กัง อาภุชิตว๎ า อชุ ุง กายัง ปะณิธายะ ปะรมิ ุขงั สะตงิ อุปัฏฐะเปตว๎ าฯ อทั ทะสา โข อายสั ๎มา สารปิ ุตโต อายสั ๎มนั ตัง ราหลุ ัง อญั ญะตะรัสม๎ ิง รุกขะมูเล นิสินนัง ปัลลังกัง อาภุชติ ว๎ า อุชงุ กายงั ปะณธิ ายะ ปะรมิ ขุ งั สะติง 60

อปุ ัฏฐะเปตว๎ า, ทิส๎วานะ อายัสม๎ ันตัง ราหุลัง อามันเตสิ อานาปานะสะตงิ ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาเวห,ิ อานาปานะสะติ ราหุละ ภาวะนา ภาวิตา พะหุลีกะตา มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสาติฯ อะถะ โข อายสั ๎มา ราหโุ ล สายณั ห๎ ะสะมะยัง ปะฏสิ ัลลานา วฏุ ฐิโต, เยนะ ภะคะวา, เตนุปะสังกะมิ, อปุ ะสังกะมิต๎วา ภะคะวนั ตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง นิสีทฯิ เอกะมนั ตัง นสิ นิ โน โข อายัสม๎ า ราหโุ ล ภะคะวันตัง เอตะทะโวจะ กะถงั ภาวิตา นุ โข ภันเต อานาปานะสะติ กะถัง พะหลุ กี ะตา มะหัปผะลา โหติ มะหานสิ ังสาตฯิ ยังกญิ จิ ราหุละ รปู งั อัชฌตั ตงั ปจั จัตตัง กกั ขะฬงั ขะริคะตงั อุปาทนิ นัง, เสยยะถที ัง เกสา โลมา นะขา ทนั ตา ตะโจ มงั สัง นห๎ ารู อฏั ฐี อัฏฐมิ ญิ ชงั วักกงั หะทะยงั ยะกะนงั กิโลมะกัง ปหิ ะกัง ปัปผาสงั อนั ตัง อันตะคุณัง อทุ ะรยิ ัง กะรสี ัง มตั ถะลงุ คงั ยงั วา ปะนญั ญาป๑ิ กญิ จิ อัชฌัตตัง ปจั จัตตงั กักขะฬงั ขะริคะตงั อปุ าทินนัง, อะยัง ๑ ฉบบั ไทยกลางเป็น ปะนญั ญมั ปิ ทกุ แห่งโดยตดั บทสนธิวา่ ปน+ อญฺ ปิ และเอานคิ คหติ เป็น ม แต่ฉบบั ล้านนาตดั บทวา่ ปน+ อญฺ อปิ โดยลบนคิ คหิตหนา้ แลว้ ทีฆะสระหลัง (อญฺ อปิ) จงึ เป็น ปนญฺ าปิ เหมือนคาวา่ ตาสาห (ตาส+อห) 61

วุจจะติ ราหุละ อัชฌัตติกา ปะถะวีธาตุฯ ยา เจวะ โข ปะนะ อัชฌัตติกา ปะถะวีธาตุ, ยา จะ พาหิรา ปะถะวีธาตุ ปะถะวี- ธาตุเรเวสาฯ ตัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภตู ัง สมั มัปปญั ญายะ ทฏั ฐพั พงั ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทิส๎วา ปะถะวีธาตุยา นิพพินทะติ ปะถะวธี าตุยา จิตตัง วริ าเชติฯ กะตะมา จะ ราหุละ อาโปธาตุ อาโปธาตุ สิยา อัชฌตั ติกา สยิ า พาหริ าฯ กะตะมา จะ ราหลุ ะ อัชฌัตตกิ า อาโปธาตุ ยัง อัชฌัตตงั ปจั จัตตงั อาโป อาโปปะคะตงั อปุ าทนิ นัง, เสยยะถที ัง ปติ ตงั เสมหงั ปุพโพ โลหิตัง เสโท เมโท อัสสุ วะสา เขโฬ สิงฆาณกิ า ละสิกา มุตตัง, ยงั วา ปะนญั ญาปิ กญิ จิ อัชฌตั ตงั ปัจจัตตงั อาโป อาโปปะคะตงั อปุ าทนิ นัง, อะยงั วจุ จะติ ราหุละ อชั ฌตั ติกา อาโปธาตุ ฯ ยา เจวะ โข ปะนะ อชั ฌัตตกิ า อาโปธาตุ, ยา จะ พาหิรา อาโปธาตุ อาโปธาตุเรเวสาฯ ตัง เนตงั มะมะ เนโสหะมสั ๎มิ นะ เมโส อตั ตาติ เอวะเมตงั ยะถาภตู งั สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐพั พงั ฯ เอวะเมตงั ยะถาภูตงั สัมมัปปัญญายะ ทิสว๎ า อาโปธาตยุ า นิพพินทะติ อาโปธาตุยา จิตตัง วริ าเชติฯ 62

กะตะมา จะ ราหุละ เตโชธาตุ เตโชธาตุ สยิ า อชั ฌัตติกา สยิ า พาหิราฯ กะตะมา จะ ราหุละ อชั ฌัตตกิ า เตโชธาตุ ยงั อชั ฌัตตงั ปัจจัตตงั เตโช เตโชปะคะตัง อุปาทนิ นัง, เสยยะถีทัง เยนะ จะ สันตะปะติ, เยนะ จะ ชีระติ, เยนะ จะ ปะรทิ ยั หะติ, เยนะ จะ อะสติ งั ปีตงั ขายิตัง สายติ ัง สมั มา ปะริณามัง คจั ฉะติ, ยงั วา ปะนญั ญาปิ กญิ จิ อชั ฌัตตัง ปัจจัตตงั เตโช เตโช- ปะคะตัง อุปาทินนงั , อะยัง วจุ จะติ ราหุละ อัชฌัตติกา เตโชธาตุฯ ยา เจวะ โข ปะนะ อัชฌตั ตกิ า เตโชธาตุ ยา จะ พาหิรา เตโชธาตุ เตโชธาตเุ รเวสาฯ ตงั เนตงั มะมะ เนโสหะมสั ม๎ ิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมปั ปญั ญายะ ทฏั ฐพั พงั ฯ เอวะเมตัง ยะถาภตู งั สัมมปั - ปัญญายะ ทิส๎วา เตโชธาตุยา นิพพนิ ทะติ เตโชธาตุยา จติ ตัง วิราเชติฯ กะตะมา จะ ราหุละ วาโยธาตุ วาโยธาตุ สยิ า อชั ฌัตตกิ า สยิ า พาหิราฯ กะตะมา จะ ราหุละ อชั ฌตั ตกิ า วาโยธาตุ ยัง อัชฌัตตัง ปัจจตั ตงั วาโย วาโยปะคะตัง อปุ าทนิ นัง, เสยยะถที ัง อทุ ธังคะมา วาตา อะโธคะมา วาตา กุจฉสิ ะยา วาตา โกฏฐาสะยา วาตา องั คะมังคานสุ ารโิ น วาตา อัสสาโส ปสั สาโส, ยงั วา ปะนัญญาปิ กญิ จิ อัชฌัตตัง ปัจจัตตงั วาโย วาโยปะคะตงั อุปาทินนัง, อะยงั วจุ จะติ 63

ราหลุ ะ อัชฌัตติกา วาโยธาตุ ฯ ยา เจวะ โข ปะนะ อัชฌัตตกิ า วาโยธาตุ, ยา จะ พาหิรา วาโยธาตุ วาโยธาต-ุ เรเวสาฯ ตงั เนตงั มะมะ เนโสหะมสั ม๎ ิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภตู งั สมั มัปปญั ญายะ ทัฏฐพั พงั ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตงั สัมมปั ปัญญายะ ทสิ ๎วา วาโยธาตุยา นพิ พนิ ทะติ วาโยธาตยุ า จิตตงั วิราเชตฯิ กะตะมา จะ ราหลุ ะ อากาสะธาตุ อากาสะธาตุ สิยา อชั ฌตั ตกิ า สิยา พาหริ าฯ กะตะมา จะ ราหลุ ะ อชั ฌัตติกา อากาสะธาตุ ยัง อัชฌตั ตัง ปัจจตั ตัง อากาสัง อากาสะคะตัง อะฆงั อะฆะคะตงั ววิ ะโร ววิ ะระคะตงั อะสมั ผุฏฐัง มงั สะ- โลหเิ ตหิ อุปาทนิ นงั , เสยยะถที งั กณั ณัจฉทิ ทัง นาสจั ฉทิ ทัง มขุ ะท๎วารัง, เยนะ จะ อะสิตงั ปตี งั ขายติ งั สายิตัง อัชโฌ- หะระติ, ยตั ถะ จะ อะสติ ัง ปีตัง ขายติ งั สายิตัง สันติฏฐะติ, เยนะ จะ อะสิตัง ปีตงั ขายติ งั สายติ งั อะโธภาคงั นกิ ขะมะติ, ยัง วา ปะนัญญาปิ กญิ จิ อัชฌตั ตงั ปจั จตั ตงั อากาสัง อากาสะคะตัง อะฆงั อะฆะคะตงั วิวะโร ววิ ะระ- คะตงั อะสัมผุฏฐงั มงั สะโลหเิ ตหิ อุปาทินนัง, อะยงั วจุ จะติ ราหลุ ะ อชั ฌตั ตกิ า อากาสะธาตฯุ ยา เจวะ โข ปะนะ อชั ฌตั ตกิ า อากาสะธาตุ ยา จะ พาหริ า อากาสะธาตุ อากาสธาตเุ รเวสาฯ ตัง เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐพั พังฯ 64

เอวะเมตงั ยะถาภูตงั สมั มัปปัญญายะ ทสิ ว๎ า อากาสธาตยุ า นพิ พนิ ทะติ อากาสธาตุยา จติ ตัง วริ าเชติฯ ปะถะวสี ะมัง ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาเวห,ิ ปะถะวีสะมงั หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาวะยะโต อุปปนั นา มะนาปา- มะนาปา ผสั สา จิตตัง นะ ปะรยิ าทายะ ฐัสสันติ ฯ เสยยะถาปิ ราหุละ ปะถะวยิ า สจุ งิ ปิ นิกขปิ ันติ อสุจงิ ปิ นกิ ขิปันติ คูถะคะตงั ปิ นิกขิปันติ มตุ ตะคะตงั ปิ นิกขิปนั ติ เขฬะคะตงั ปิ นิกขปิ ันติ ปพุ พะคะตงั ปิ นิกขิปันติ โลหติ ะ- คะตงั ปิ นกิ ขปิ ันติ นะ จะ เตนะ ปะถะวี อัฏฏิยะติ วา หะรายะติ วา ชิคจุ ฉะติ วา, เอวะเมวะ โข ตว๎ งั ราหุละ ปะถะวีสะมงั ภาวะนงั ภาเวหิ, ปะถะวีสะมงั หิ เต ราหุละ ภาวะนัง ภาวะยะโต อุปปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จิตตัง นะ ปะริยาทายะ ฐสั สันตฯิ อาโปสะมงั ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาเวห,ิ อาโปสะมัง หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาวะยะโต อุปปนั นา มะนาปามะนาปา ผัสสา จติ ตัง นะ ปะรยิ าทายะ ฐสั สนั ติฯ เสยยะถาปิ ราหลุ ะ อาปสั ม๎ งิ สุจิงปิ โธวันติ อะสจุ งิ ปิ โธวนั ติ คถู ะคะตงั ปิ โธวนั ติ มตุ ตะคะตงั ปิ โธวันติ เขฬะคะตงั ปิ โธวนั ติ ปพุ พะคะตงั ปิ โธวันติ โลหิตะคะตังปิ โธวันติ นะ จะ เตนะ อาโป อัฏฏยิ ะติ วา หะรายะติ วา ชิคจุ ฉะติ วา, เอวะเมวะ โข ตว๎ ัง ราหลุ ะ อาโปสะมงั ภาวะนงั ภาเวหิ, อาโปสะมัง หิ เต ราหลุ ะ 65

ภาวะนงั ภาวะยะโต อปุ ปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จิตตงั นะ ปะรยิ าทายะ ฐสั สันติฯ เตโชสะมงั ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาเวห,ิ เตโชสะมงั หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาวะยะโต อปุ ปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จติ ตงั นะ ปะริยาทายะ ฐัสสนั ติฯ เสยยะถาปิ ราหุละ เตโช สุจงิ ปิ ทะหะติ อะสุจิงปิ ทะหะติ คถู ะคะตังปิ ทะหะติ มตุ ตะคะตังปิ ทะหะติ เขฬะคะตังปิ ทะหะติ ปุพพะคะตังปิ ทะหะติ โลหิตะคะตงั ปิ ทะหะติ นะ จะ เตนะ เตโช อัฏฏยิ ะติ วา หะรายะติ วา ชิคุจฉะติ วา, เอวะเมวะ โข ต๎วงั ราหลุ ะ เตโชสะมงั ภาวะนงั ภาเวหิ, เตโชสมงั หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาวะยะโต อปุ ปนั นา มะนาปามะนาปา ผสั สา จติ ตัง นะ ปะริยาทายะ ฐสั สันติฯ วาโยสะมงั ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาเวห,ิ วาโยสะมงั หิ เต ราหุละ ภาวะนัง ภาวะยะโต อุปปันนา มะนาปามะนาปา ผัสสา จติ ตงั นะ ปะรยิ าทายะ ฐัสสันตฯิ เสยยะถาปิ ราหุละ วาโย สุจิงปิ อปุ ะวายะติ อสุจงิ ปิ อุปะวายะติ คถู ะคะตงั ปิ อุปะวายะติ มุตตะคะตงั ปิ อปุ ะวายะติ เขฬะคะตังปิ อปุ ะวายะติ ปพุ พะคะตงั ปิ อปุ ะวายะติ โลหติ ะคะตังปิ อุปะวายะติ นะ จะ เตนะ วาโย อฏั ฏิยะติ วา หะรายะติ วา ชิคุจฉะติ วา, เอวะเมวะ โข ต๎วัง ราหุละ วาโยสะมัง ภาวะนงั ภาเวหิ, วาโยสะมัง หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนงั 66

ภาวะยะโต อปุ ปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จติ ตัง นะ ปะริยาทายะ ฐัสสันตฯิ อากาสะสะมงั ราหุละ ภาวะนัง ภาเวหิ, อากาสะ- สะมงั หิ เต ราหุละ ภาวะนงั ภาวะยะโต อุปปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จติ ตัง นะ ปะรยิ าทายะ ฐสั สันตฯิ เสยยะถาปิ ราหลุ ะ อากาโส นะ กตั ถะจิ ปะตฏิ ฐิโต, เอวะ- เมวะ โข ต๎วงั ราหลุ ะ อากาสะสะมัง ภาวะนัง ภาเวห,ิ อากาสะสะมงั หิ เต ราหุละ ภาวะนงั ภาวะยะโต อุปปันนา มะนาปามะนาปา ผสั สา จิตตงั นะ ปะริยาทายะ ฐสั สนั ติฯ เมตตงั ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาเวหิ, เมตตงั หิ เต ราหุละ ภาวะนัง ภาวะยะโต โย พ๎ยาปาโท โส ปะหยิ ิสสะติฯ กรุณัง ราหุละ ภาวะนงั ภาเวหิ กรุณัง หิ เต ราหุละ ภาวะนัง ภาวะยะโต ยา วิเหสา สา ปะหยิ ิสสะติฯ มทุ ติ ัง ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาเวห,ิ มทุ ติ งั หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาวะยะโต ยา อะระติ สา ปะหิยิสสะติฯ อุเปกขัง ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาเวห,ิ อเุ ปกขงั หิ เต ราหุละ ภาวะนงั ภาวะยะโต โย ปฏิโฆ โส ปะหยิ สิ สะติฯ อะสภุ ัง ราหุละ ภาวะนงั ภาเวหิ, อะสุภงั หิ เต ราหุละ ภาวะนัง ภาวะยะโต โย ราโค โส ปะหยิ สิ สะติฯ อะนจิ จะสัญญัง ราหุละ ภาวะนงั ภาเวห,ิ อะนิจจะ- สัญญัง หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนงั ภาวะยะโต โย อสั ม๎ ิมาโน 67

โส ปะหยิ สิ สะติฯ อานาปานะสะติง ราหลุ ะ ภาวะนัง ภาเวห,ิ อานา- ปานะสะติ หิ เต ราหลุ ะ ภาวะนา ภาวติ า พะหลุ กี ะตา มะหัปผะลา โหติ มะหานสิ ังสา ฯ กะถัง ภาวิตา จะ ราหลุ ะ อานาปานะสะติ, กะถัง พะหุลกี ะตา มะหัปผะลา โหติ มะหานสิ งั สาฯ อธิ ะ ราหลุ ะ ภิกขุ อะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภชุ ิต๎วา อชุ งุ กายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปฏั ฐะเปต๎วาฯ โส สะโต วะ อสั สะสะติ สะโต วะ ปัสสะสะตฯิ ทฆี ัง วา อัสสะสนั โต ทฆี งั อสั สะสามีติ ปะชานาติ, ทีฆงั วา ปัสสะสนั โต ทีฆงั ปัสสะสามตี ิ ปะชานาติ ฯ รัสสัง วา อัสสะสนั โต รสั สงั อสั สะสามตี ิ ปะชานาติ, รัสสัง วา ปัสสะสนั โต รัสสงั ปัสสะสามีติ ปะชานาติ ฯ สัพพะกายะปะฏสิ ังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, สัพพะกายะปะฏสิ ังเวที ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะตฯิ ปัสสัมภะยงั กายะสังขารงั อสั สะสิสสามตี ิ สิกขะติ, ปัสสัมภะยัง กายะสังขารงั ปัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะติฯ ปตี ปิ ะฏิสงั เวที อัสสะสสิ สามีติ สกิ ขะติ, ปตี ิปะฏิสงั เวที ปัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะตฯิ สุขะปะฏสิ งั เวที อัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะติ, 68

สขุ ะปะฏสิ ังเวที ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติฯ จิตตะสังขาระปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติ, จติ ตะสงั ขาระปะฏสิ ังเวที ปัสสะสิสสามีติ สกิ ขะตฯิ ปัสสัมภะยงั จติ ตะสังขารงั อสั สะสิสสามีติ สิกขะติ, ปัสสัมภะยัง จติ ตะสงั ขารงั ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติฯ จติ ตะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, จิตตะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติฯ อภปิ ปะโมทะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะติ, อภิปปะโมทะยงั จติ ตงั ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะตฯิ สะมาทะหัง จติ ตงั อัสสะสสิ สามีติ สกิ ขะติ, สะมา- ทะหัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติ สกิ ขะตฯิ วิโมจะยงั จติ ตงั อัสสะสสิ สามตี ิ สิกขะติ, วิโมจะยัง จิตตัง ปัสสะสสิ สามีติ สิกขะตฯิ อะนจิ จานปุ สั สี อสั สะสิสสามีติ สกิ ขะติ, อะนิจจานุ- ปัสสี ปัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะติฯ วริ าคานปุ ัสสี อสั สะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ, วิราคานุปสั สี ปัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะตฯิ นิโรธานปุ ัสสี อสั สะสิสสามีติ สิกขะติ, นโิ รธานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะตฯิ ปะฏินิสสคั คานปุ ัสสี อสั สะสิสสามตี ิ สิกขะติ, ปะฏินสิ สคั คานปุ ัสสี ปัสสะสสิ สามตี ิ สกิ ขะตฯิ 69

เอวงั ภาวิตา โข ราหุละ อานาปานะสะติ เอวงั พะหุลกี ะตา มะหปั ผะลา โหติ มะหานสิ ังสา, เอวงั ภาวิตายะ โข ราหลุ ะ อานาปานะสะติยา เอวัง พะหลุ กี ะตายะ, เยปิ เต จะรมิ ะกา อัสสาสะปัสสาสา, เตปิ วทิ ิตา นริ ชุ ฌนั ติ โน อวทิ ิตาติฯ อทิ ะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะโน อายัส๎มา ราหโุ ล ภะคะวะโต ภาสติ ัง อะภินันทตี ิฯ มะหาราหุโลวาทะสุตตัง นิฏฐิตงั ฯ ความออ่ นน้อมถ่อมตน ตน้ ข้าวคราวสุกนอ้ ม รวงลง รวงลบี ชูรวงตรง สฟู่ ้า เฉกเชน่ ปราชญฉ์ ลาดยง ยิง่ ถ่อมตน แฮ คนโง่ย่อมโออ่ ้า อวดอ้างฤทธี ฯ 70

มหาราหุโลวาทสตู ร (แปล) ขา้ พเจา้ ได้สดับมาอย่างนี้:- สมัยหน่ึง พระผ้มู พี ระภาคประทับอยู่ ณ พระวหิ าร เชตวัน อารามของทา่ นอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตพระนคร สาวตั ถี ครัง้ นั้นเวลาเชา้ พระผ้มู พี ระภาคครองอันตราวาสก แลว้ ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยงั พระนคร สาวตั ถเี วลาเช้า แมท้ ่านพระราหุลก็ครองอันตรวาสกแล้วถอื บาตรและจวี รตามพระผู้มพี ระภาคไป ณ เบอื้ งพระปฤษฎางค์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงผนิ พระพักตร์ไปรบั สัง่ กะทา่ น พระราหลุ ว่า ดูกรราหลุ รูปอย่างใดอยา่ งหนึง่ เปน็ อดตี อนาคตและเป็นปัจจบุ ัน เปน็ ภายใน ก็ดี เปน็ ภายนอก ก็ดี หยาบ กด็ ี ละเอยี ด กด็ ี เลว ก็ดี ประณีต ก็ดี อยู่ในที่ไกล กด็ ี อยูใ่ นทีใ่ กล้ ก็ดี รูปทัง้ ปวงนี้ เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอัน ชอบตามเป็นจริงอย่างนว้ี า่ น่ันไม่ใชข่ องเรา เราไม่เปน็ นนั่ น่ันไม่ใชต่ วั ตนของเรา ดงั นี้ พระราหลุ ทูลถามวา่ ขา้ แตพ่ ระผ้มู พี ระภาค รูปเท่านน้ั หรอื ข้าแตพ่ ระสุคต รูปเทา่ น้นั หรือ ? พ. ดกู รราหุล ท้ังรปู ท้ังเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทัง้ วญิ ญาณ 71

คร้งั นัน้ ทา่ นพระราหลุ คดิ ว่า วันนี้ ใครหนออันพระผู้ มพี ระภาคทรงโอวาทดว้ ยโอวาทในท่ีเฉพาะพระพกั ตร์แลว้ จกั เขา้ บา้ นเพ่ือบิณฑบาตเลา่ ดงั น้แี ลว้ กลบั จากท่นี ้ันแล้วนั่งคู้ บัลลังก์ตั้งกายตรง ดารงสติไว้เฉพาะหนา้ ณ โคนไม้แหง่ หนึง่ ท่านพระสารีบตุ รได้เหน็ ท่านพระราหุลผู้นง่ั คู้บัลลังก์ ตงั้ กาย ตรง ดารงสตไิ ว้เฉพาะหน้า ณ โคนตน้ ไมแ้ หง่ หนงึ่ แลว้ บอก กะท่านพระราหุลวา่ ดกู รราหลุ ท่านจงเจรญิ อานาปานสติ เถดิ ดว้ ยว่าอานาปานสตภิ าวนาทบี่ คุ คลเจรญิ แล้ว ทาให้มาก แล้ว ยอ่ มมผี ลมาก มอี านสิ งส์มาก ครัง้ นั้น เวลาเย็น ท่านพระราหลุ ออกจากท่ีเร้นแล้ว เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคถึงทป่ี ระทับ ถวายบังคมพระผ้มู ี พระภาคแล้วน่ัง ณ ท่ีควรสว่ นขา้ งหนง่ึ แล้วไดท้ ลู พระผ้มู ีพระ ภาควา่ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ อานาปานสตอิ นั บุคคลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร ทาใหม้ ากแลว้ อยา่ งไร จึงจะมผี ลมาก มอี านสิ งส์ มาก (ธาตุ ๕) ดกู รราหุล รปู อยา่ งใดอย่างหน่งึ เป็นภายใน อาศยั ตน เป็นของหยาบมลี กั ษณะแข้นแข็ง อนั กรรมและกิเลสเข้าไปยึด มน่ั คอื ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เย่อื ใน กระดกู มา้ ม หัวใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเกา่ หรอื ส่ิงใดส่ิงหนึ่งอย่างอ่ืนเปน็ ภายใน อาศยั ตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันกรรมและ 72

กิเลสเข้าไปยึดมั่น นเ้ี ราเรยี กวา่ ปฐวธี าตุ เปน็ ภายใน ก็ปฐวี ธาตเุ ปน็ ภายใน ก็ดี เปน็ ภายนอก ก็ดี อนั ใด ปฐวีธาตุนน้ั เป็น ปฐวธี าตเุ หมอื นกัน ปฐวธี าตุนนั้ เธอพงึ เหน็ ด้วยปัญญาอัน ชอบตามเป็นจรงิ อย่างนวี้ า่ นัน่ ไม่ใชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ น่นั น่นั ไมใ่ ช่ตนของเรา ดังน้ี เพราะบุคคลเห็นปฐวธี าตุนนั้ ด้วยปัญญา อนั ชอบตามเป็นจริงอย่างนแ้ี ลว้ ย่อมเบือ่ หนา่ ยในปฐวธี าตุ จติ ย่อมคลายกาหนัดในปฐวีธาตุ ดกู รราหุล กอ็ าโปธาตเุ ป็นไฉน ? อาโปธาตเุ ป็นภายใน ก็มี เปน็ ภายนอกกม็ ี กอ็ าโปธาตุท่เี ป็นภายในเป็นไฉน ? ส่ิง ใดเป็นภายใน อาศยั ตน เปน็ อาโป มลี กั ษณะเอิบอาบอันกรรม และกเิ ลสเข้าไปยึดมน่ั คือ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงอ่ื มันขน้ น้าตา เปลวมนั นา้ ลาย นา้ มูก ไขข้อ มูตร หรือสิ่งใดสง่ิ หนึง่ อยา่ งอนื่ เปน็ ภายใน อาศยั ตน เป็นอาโป มลี ักษณะเอิบอาบ อนั กรรมและกเิ ลสเขา้ ไปยดึ มนั่ นีเ้ ราเรียกว่า อาโปธาตุ เป็น ภายใน ก็อาโปธาตุเป็นภายใน กด็ ี เปน็ ภายนอก ก็ดี อนั ใด อาโปธาตนุ ้นั เปน็ อาโปธาตเุ หมอื นกนั อาโปธาตุนัน้ เธอพึง เหน็ ด้วยปญั ญาอนั ชอบตามเป็นจรงิ อย่างน้วี ่า น่ันไมใ่ ชข่ อง เรา เราไมเ่ ปน็ นนั่ นั่นไม่ใชต่ นของเรา ดงั นี้ เพราะบุคคล เห็นอาโปธาตุน้นั ดว้ ยปัญญาอันชอบตามเปน็ จริงอยา่ งนี้แลว้ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยในอาโปธาตุ จติ ยอ่ มคลายกาหนดั ในอาโปธาตุ 73

ดกู รราหลุ กเ็ ตโชธาตุเปน็ ไฉน ? เตโชธาตุเปน็ ภายใน ก็มี เปน็ ภายนอกกม็ ี กเ็ ตโชธาตุท่เี ป็นภายในเป็นไฉน ? ส่งิ ใดเป็นภายใน อาศยั ตน เป็นเตโช มีลักษณะรอ้ น อันกรรม และกิเลสเขา้ ไปยึดมน่ั คอื ไฟทย่ี ังกายใหอ้ บอุน่ ไฟที่ยังกาย ใหท้ รุดโทรม ไฟทย่ี งั กายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผา อาหารท่กี นิ ทีด่ มื่ ท่ีเค้ยี ว ที่ลมิ้ ให้ยอ่ ยไปโดยชอบ หรอื ส่งิ ใดส่ิงหนึ่งอย่างอน่ื เปน็ ภายใน อาศัยตน เปน็ เตโช มี ลกั ษณะร้อน อนั กรรมและกเิ ลสเขา้ ไปยดึ มัน่ นี้เราเรียกว่า เตโชธาตุ เป็นภายใน ก็เตโชธาตเุ ปน็ ภายในกด็ ี เป็นภายนอก ก็ดี อนั ใด เตโชธาตุน้ันเป็นเตโชธาตเุ หมือนกนั เตโชธาตนุ นั้ เธอพึงเหน็ ด้วยปญั ญาอันชอบตามเปน็ จริงอย่างนีว้ า่ น่ันไม่ใช่ ของเรา เราไมเ่ ป็นนัน่ นนั่ ไมใ่ ชต่ น ของเรา ดงั น้ี เพราะบุคคล เหน็ เตโชธาตุน้นั ดว้ ยปัญญาอนั ชอบ ตามเป็นจริงอยา่ งนแี้ ล้ว ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยในเตโชธาตุ จิตย่อมคลายกาหนัดในเตโชธาตุ ดูกรราหลุ วาโยธาตุเปน็ ไฉน ? วาโยธาตเุ ปน็ ภายในกม็ ี เป็นภายนอกกม็ ี ก็วาโยธาตุเป็นภายในเป็นไฉน ? ส่งิ ใดเปน็ ภายใน อาศยั ตน เป็นวาโย มลี กั ษณะพดั ไปมา อันกรรมและ กิเลสเข้าไปยดึ มั่นคอื ลมพดั ขน้ึ เบ้อื งบน ลมพัดลงเบือ้ งตา่ ลม ในท้อง ลมในไส้ ลมแลน่ ไปตามอวัยวะนอ้ ยใหญ่ ลมหายใจ หรอื ส่งิ ใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น เป็นภายใน อาศยั ตน เปน็ วาโย พัด ไปมา อนั กรรมและกเิ ลสเขา้ ไปยดึ มัน่ นเ้ี ราเรยี กวา่ วาโยธาตุ 74

เปน็ ภายใน กว็ าโยธาตเุ ปน็ ภายในกด็ ี เป็นภายนอกกด็ ี อนั ใด วาโยธาตนุ ัน้ เป็นวาโยธาตเุ หมอื นกนั วาโยธาตุนั้นเธอพงึ เห็น ดว้ ยปญั ญาอันชอบ ตามเปน็ จริงอยา่ งนวี้ า่ น่ันไม่ใช่ของเรา เราไม่เปน็ น่ัน นั่นไมใ่ ช่ตนของเรา ดังน้ี เพราะบุคคลเห็นวาโย ธาตุนนั้ ดว้ ยปัญญาอนั ชอบตามเปน็ จริงอยา่ งนแี้ ล้ว ยอ่ มเบอ่ื หน่ายในวาโยธาตุ จติ ย่อมคลายกาหนัดในวาโยธาตุ ดูกรราหุล ก็อากาสธาตุ เป็นไฉน ? อากาสธาตุ เปน็ ภายใน ก็มี เปน็ ภายนอกก็มี อากาสธาตทุ ี่เปน็ ภายในเป็น ไฉน ? สิง่ ใดเป็นภายใน อาศยั ตน เป็นอากาศ มลี กั ษณะวา่ ง อนั กรรมและกิเลสเขา้ ไปยดึ ม่ันคือ ชอ่ งหู ช่องจมูก ช่องปาก ชอ่ งคอสาหรับกลืนอาหารท่กี นิ ทดี่ ม่ื ท่ีเคยี้ ว ทลี่ ิม้ และชอ่ ง สาหรับถา่ ยอาหารทีก่ นิ ท่ดี ื่ม ท่เี คีย้ ว ทล่ี ิม้ ออกเบ้ืองล่าง หรอื สิง่ ใดส่งิ หนงึ่ อย่างอนื่ เปน็ ภายใน อาศยั ตน เป็นอากาศ มีลกั ษณะวา่ ง ไม่ทบึ มีลักษณะไม่ทึบเป็นช่อง มลี ักษณะเปน็ ช่อง อนั เนอ้ื และเลอื ดไมถ่ กู ต้อง เป็นภายใน อนั กรรมและ กเิ ลสเข้าไปยึดมัน่ นเ้ี ราเรียกว่า อากาสธาตุ เปน็ ภายใน ก็ อากาสธาตเุ ปน็ ภายใน กด็ ี เป็นภายนอก ก็ดี อนั ใด อากาส ธาตนุ ้นั เปน็ อากาศธาตเุ หมอื นกัน อากาสธาตนุ นั้ เธอพึง เห็นดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามเป็นจรงิ อยา่ งนีว้ า่ นั่นไมใ่ ชข่ อง เรา เราไมเ่ ปน็ น่ัน นน่ั ไม่ใชต่ นของเรา ดังนี้ เพราะบคุ คล เหน็ อากาสธาตุนัน้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยา่ งนี้ 75

แล้ว ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยในอากาสธาตุ จิตยอ่ มคลายกาหนัดใน อากาสธาตุ (ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕) ดกู รราหุล เธอจงเจรญิ ภาวนา (อบรมจิต) เสมอ ด้วยแผ่นดนิ เถดิ เพราะเมอื่ เธอเจริญภาวนาเสมอดว้ ยแผ่นดนิ อยู่ ผัสสะอนั เปน็ ทช่ี อบใจและไมช่ อบใจ ท่ีเกิดขน้ึ แลว้ จักไม่ ครอบ งาจติ ได้ ดูกรราหลุ เปรยี บเหมือนคนทงั้ หลายทิง้ ของ สะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ ง คูถบา้ ง มตู รบ้าง น้าลายบ้าง น้า หนองบา้ ง เลือดบ้าง ลงทแี่ ผน่ ดิน แผ่นดนิ จะอดึ อัดหรอื ระอา หรือเกลียดของนั้นกห็ าไม่ ฉนั ใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอ ด้วยแผน่ ดนิ ฉนั นน้ั แล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอ ดว้ ยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอนั เปน็ ท่ีชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้น แล้ว จักไมค่ รอบงาจิตได้ ดกู รราหลุ เธอจงเจรญิ ภาวนาเสมอด้วยน้าเถิด เพราะเมอ่ื เธอเจริญภาวนาเสมอดว้ ยน้าอยู่ ผัสสะอันเปน็ ท่ี ชอบใจและไมช่ อบใจ ที่เกิดขนึ้ แลว้ จกั ไม่ครอบงาจติ ได้ ดูกร ราหลุ เปรยี บเหมอื นคนทงั้ หลายล้างของสะอาดบา้ ง ของไม่ สะอาดบ้าง คูถบ้าง มตู รบ้าง นา้ ลายบา้ งนา้ หนองบา้ ง เลือด บา้ ง ลงในน้า นา้ จะอดึ อัด หรือระอา หรอื เกลยี ดของนั้นก็หา ไม่ ฉันใด เธอจงเจรญิ ภาวนาเสมอด้วยน้า ฉันนน้ั แล เพราะ 76

เมอ่ื เธอเจริญภาวนาเสมอดว้ ยนา้ อยู่ ผัสสะอนั เป็นทีช่ อบใจ และไม่ชอบใจ ที่เกิดขึน้ แลว้ จกั ไมค่ รอบงาจิตได้ ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอดว้ ยไฟเถิด เพราะเมอ่ื เธอเจรญิ ภาวนาเสมอดว้ ยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ ชอบใจและไมช่ อบใจ ที่เกิดขนึ้ แลว้ จกั ไม่ครอบงาจิตได้ ดูกรราหลุ เปรียบเหมือนไฟทีเ่ ผาของสะอาดบา้ ง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มตู รบ้าง นา้ ลายบ้าง นา้ หนอง บา้ ง เลอื ดบ้าง ไฟจะอึดอัด หรอื ระอา หรือเกลยี ดของน้ัน กห็ าไม่ ฉนั ใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอดว้ ยไฟ ฉันนน้ั แล เพราะเมื่อเธอเจรญิ ภาวนาเสมอดว้ ยไฟอยู่ ผสั สะอันเปน็ ท่ี ชอบใจและไม่ชอบใจ ท่เี กิดขนึ้ แล้ว จักไมค่ รอบงาจิตได้ ดกู รราหุล เธอจงเจรญิ ภาวนาเสมอด้วยลมเถิด เพราะเมอ่ื เธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอนั เปน็ ที่ ชอบใจและไมช่ อบใจ ที่เกดิ ขึน้ แล้ว จกั ไม่ครอบงาจติ ของเธอ ได้ ดูกรราหลุ เปรียบเหมอื นลมยอ่ มพัดต้อง ของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบา้ ง คถู บา้ งมตู รบา้ ง น้าลายบา้ ง น้าหนองบ้าง เลอื ดบา้ ง ลมจะอดึ อัด หรือระอา หรอื เกลยี ดของน้ันกห็ าไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอดว้ ยลม ฉันนนั้ เพราะเมอ่ื เธอเจริญภาวนาเสมอดว้ ยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นทชี่ อบใจและ ไม่ชอบใจ ทเ่ี กดิ ข้ึนแลว้ จักไม่ครอบงาจิตได้ 77

ดกู รราหลุ เธอจงเจริญภาวนาเสมอดว้ ยอากาศ เถิด เพราะเม่ือเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผสั สะ อันเปน็ ทชี่ อบใจและไมช่ อบใจ ท่เี กดิ ข้นึ แลว้ จกั ไมค่ รอบงาจติ ได้ ดกู รราหุล เปรยี บเหมอื นอากาศไม่ตั้งอยใู่ นท่ีไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอดว้ ยอากาศ ฉันน้ันแล เพราะเม่อื เธอ เจริญภาวนาเสมอดว้ ยอากาศอยู่ ผัสสะอนั เปน็ ทช่ี อบใจและไม่ ชอบใจทเ่ี กิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงาจิตได้ (การเจรญิ ภาวนาธรรม ๖ อย่าง) ดกู รราหลุ เธอจงเจรญิ เมตตาภาวนาเถดิ เพราะ เมอื่ เธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่จกั ละพยาบาทได้ เธอจงเจรญิ กรณุ าภาวนาเถดิ เพราะเมอ่ื เธอเจรญิ กรุณาภาวนาอยู่ จกั ละ วหิ ิงสาได้ เธอจงเจริญมทุ ติ าภาวนาเถดิ เพราะเม่ือเธอ เจริญมุทติ าภาวนาอยู่ จักละอรติได้ เธอจงเจริญอเุ บกขา ภาวนาเถดิ เพราะเมือ่ เธอเจรญิ อุเบกขาภาวนาอยู่ จักละ ปฏิฆะได้ เธอจงเจริญอสภุ ภาวนาเถิด เพราะเมอ่ื เธอเจรญิ อสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้ เธอจงเจริญอนิจจสัญญา ภาวนาเถดิ เพราะเม่ือเธอเจริญอนจิ จสัญญาภาวนาอยู่ จัก ละอัสมมิ านะได้ 78

(อานาปานสตภิ าวนา) ดกู รราหุล เธอจงเจริญอานาปานสตภิ าวนาเถดิ เพราะอานาปานสติที่บุคคลเจริญแลว้ ทาใหม้ ากแลว้ ย่อมมี ผลมาก มอี านิสงสม์ าก ก็อานาปานสติอนั บุคคลเจริญอยา่ งไรทา ให้มากอยา่ งไร จงึ มีผลมาก มอี านิสงส์มาก ? ดูกรราหุล ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ อยู่ในปา่ กด็ ี อยูท่ โ่ี คนไมก้ ็ดี อยใู่ นเรอื นวา่ ง ก็ดี น่งั คบู้ ลั ลังกต์ ้ังกายตรง ดารงสตไิ วเ้ ฉพาะหน้า เธอมีสติ หายใจออก มีสติหายใจเขา้ เมื่อหายใจออกยาว กร็ ู้ชดั ว่า หายใจออกยาว เมือ่ หายใจเขา้ ยาวก็รู้ชัดวา่ หายใจเขา้ ยาว เมอ่ื หายใจออกสน้ั กร็ ู้ชัดว่า หายใจออกส้นั เมื่อ หายใจเขา้ สนั้ กร็ ้ชู ดั ว่า หายใจเขา้ สัน้ ยอ่ มสาเหนียกว่า จักกาหนดร้กู องลมทั้งปวงหายใจ ออก ย่อมสาเหนยี กว่า จกั กาหนดรกู้ องลมทงั้ ปวงหายใจเขา้ ย่อมสาเหนยี กว่า จกั ระงับกายสงั ขาร หายใจออก ยอ่ มสาเหนียกว่า จักระงับกายสงั ขาร หายใจเขา้ ย่อมสาเหนียกวา่ จักกาหนดร้ปู ีติ หายใจออก ยอ่ มสาเหนียกว่า จักกาหนดรปู้ ีติ หายใจเข้า ย่อมสาเหนียกวา่ จกั กาหนดรู้สขุ หายใจออก ย่อมสาเหนียกวา่ จกั กาหนดร้สู ุข หายใจเขา้ 79

ยอ่ มสาเหนยี กว่า จักกาหนดรจู้ ิตสงั ขาร หายใจ ออก ยอ่ มสาเหนยี กว่า จักกาหนดรู้จิตสังขาร หายใจเขา้ ยอ่ มสาเหนยี กว่า จกั ระงบั จติ สังขาร หายใจออก ย่อมสาเหนียกวา่ จักระงับจติ สงั ขาร หายใจเขา้ ยอ่ มสาเหนยี กว่า จักกาหนดรจู้ ติ หายใจออก ยอ่ มสาเหนยี กว่า จักกาหนดรจู้ ติ หายใจเข้า ย่อมสาเหนียกว่า จกั ทาจติ ใหร้ า่ เรงิ หายใจออก ยอ่ มสาเหนยี กว่า จักทาจติ ใหร้ ่าเรงิ หายใจเขา้ ย่อมสาเหนียกว่า จักดารงจิตมน่ั หายใจออก ยอ่ มสาเหนียกว่า จกั ดารงจิตมัน่ หายใจเข้า ยอ่ มสาเหนียกวา่ จกั เปล้อื งจิต หายใจออก ย่อมสาเหนียกว่า จักเปลื้องจติ หายใจเข้า ย่อมสาเหนียกว่า จกั พจิ ารณาโดยความเป็นของ ไมเ่ ทีย่ ง หายใจออก ย่อมสาเหนยี กว่า จักพิจารณาโดย ความเปน็ ของไมเ่ ท่ียง หายใจเข้า ย่อมสาเหนียกวา่ จักพิจารณาธรรมอันปราศจาก ราคะ หายใจออก ย่อมสาเหนียกวา่ จักพิจารณาธรรมอัน ปราศจากราคะ หายใจเขา้ ย่อมสาเหนียกวา่ จกั พจิ ารณาธรรมเป็นทีด่ ับสนิท หายใจออก ยอ่ มสาเหนยี กวา่ จักพจิ ารณาธรรมเป็นท่ดี บั สนิท หายใจเขา้ 80

ยอ่ มสาเหนียกว่า จกั พจิ ารณาธรรมเป็นทสี่ ละคืน หายใจออก ย่อมสาเหนยี กว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ สละคืน หายใจเข้า ดกู รราหลุ อานาปานสตทิ บี่ คุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งนี้ ทาใหม้ ากแลว้ อย่างนี้ ย่อมมผี ลใหญ่ มีอานสิ งสใ์ หญ่ ดูกร ราหุล เมื่ออานาปานสตอิ นั บุคคลเจริญแล้วอยา่ งนี้ ทาใหม้ าก แล้วอยา่ งน้ี ลมอัสสาสะปัสสาสะ อนั มีในภายหลัง อนั บคุ คล ผ้เู จริญอานาปานสติทราบชดั แลว้ ย่อมดับไป หาเปน็ อนั บุคคล ผู้เจรญิ อานาปานสตไิ มท่ ราบชัดแล้ว ดบั ไปไม่ได้ ดงั นี้ พระผมู้ ีพระภาคได้ตรสั พระพุทธพจนน์ แี้ ล้ว ท่าน พระราหลุ มใี จยนิ ดี ช่นื ชม พระภาษิตของพระผ้มู พี ระภาค ดงั น้แี ล จบ มหาราหโุ ลวาทสตู รฯ c 81

จูฬะราหุโลวาทะสูตร เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเมฯ อะถะ โข ภะคะวะโต ระโหคะตัสสะ ปะฏิสัลลีนัสสะ เอวัง เจตะโส ปะริวิตักโก อุทะปาทิ ปะริปักกา โข ราหุลัสสะ วิมุตติปะริ- ปาจะนียา ธัมมา ยันนูนาหัง ราหุลัง อุตตะริง อาสะวานัง ขะเย วิเนยยนั ติ ฯ อะถะ โข ภะคะวา ปุพพัณ๎หะสะมะยัง นิวาเสต๎วา ปัตตะจีวะระมาทายะ สาวัตถิง ปิณฑายะ ปาวิสิฯ สาวัตถิยัง ปิณฑายะ จริต๎วา ปัจฉาภัตตัง ปิณฑะปาตะปะฏิกกันโต อายัสม๎ ันตงั ราหุลัง อามนั เตสิ คัณห๎ าหิ ราหุละ นิสีทะนัง, เยนะ อันธะวะนัง, เตนุ- ปะสังกะมิสสามะ ทิวาวิหารายาติ ฯ เอวัมภันเตติ อายัส๎มา ราหุโล ภะคะวะโต ปะฏสิ ณุ ติ ว๎ า นิสที ะนะมาทาย ภะคะวันตัง ปิฏฐิโต ปิฏฐิโต อะนุพันธิฯ เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ อะเนกานิ เทวะตาสะหัสสานิ ภะคะวันตัง อะนุพันธานิ โหนติ อัชชะ ภะคะวา อายัส๎มันตัง ราหุลัง อุตตะริง อาสะวานัง ขะเย วิเนสสะตีติฯ อะถะ โข ภะคะวา อันธะวะนัง อัชโฌ- คาเหต๎วา อัญญะตะรัส๎มิง รุกขะมูเล ปัญญัตเต อาสะเน นิสีทิฯ อายัส๎มาปิ ราหุโล ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง นสิ ีทิฯ เอกะมันตัง นิสินนัง โข อายัส๎มันตัง ราหุลัง ภะคะวา เอตะทะโวจะ 82

ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ จักขุ นิจจงั วา อะนิจจัง วา ติฯ อะนิจจัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วา ติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตัง ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ รูปา นิจจา วา อะนิจจา วาติฯ อะนิจจา ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภนั เตฯ ยงั ปะนานจิ จงั ทุกขงั วิปะริณามะธัมมงั กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อตั ตาตฯิ โน เหตัง ภนั เตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ จักขุวิญญาณัง นิจจัง วา อะนจิ จงั วาตฯิ อะนิจจัง ภนั เตฯ ยงั ปะนานจิ จงั ทุกขงั วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตัง ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ จักขุสัมผัสโส นิจโจ วา อะนิจโจ วาติฯ อะนิจโจ ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สขุ งั วาติฯ ทกุ ขัง ภนั เตฯ ยงั ปะนานิจจัง ทกุ ขัง วปิ ะร-ิ ณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตั ง ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ ยะมิทัง จักขุสัมผัสสะ- ปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญาคะตัง สังขาระ- คะตัง วิญญาณะคะตัง ตังปิ นิจจัง วา อะนิจจัง วาติฯ 83

อะนิจจัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาตฯิ โน เหตัง ภนั เตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ โสตัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติฯ อะนิจจัง ภันเตฯ *ฆานัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติฯ อะนิจจัง ภันเตฯ *ชิว๎หา นิจจา วา อะนิจจา วาติฯ อะนิจจา ภันเตฯ *กาโย นิจโจ วา อะนิจโจ วาติฯ อะนิจโจ ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตัง ภันเตฯ๑ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ มะโน นิจโจ วา อะนิจโจ วา ตฯิ อะนจิ โจ ภนั เตฯ ๑ พระบาลที อ่ นนี้แสดงไวด้ ้วยเปยยาลกถา (กล่าวลัดความ) ถ้า ต้องการจะสวดอย่างพิสดารพงึ ชกั บาลวี า่ ตงั กงิ มญั ญะสิ ราหลุ ะ มาไว้ขา้ งหนา้ ฆานงั นจิ จงั วา... ชวิ ๎หา นจิ จา วา... กาโย นิจโจ วา... และชักบาลีวา่ ยงั ปะนานจิ จงั ทุกขงั วา....โน เหตงั ภันเตฯ มาตอ่ ขา้ ง ทา้ ย อะนจิ จงั ภันเตฯ* และ อะนจิ จา ภันเตฯ* ทกุ ๆ แหง่ 84

ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขงั วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ป ะน า นิ จจั ง ทุ ก ขั ง วิ ป ะ ริณา ม ะธั ม มั ง กั ลลั ง นุ ตั ง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตัง ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ ธัมมา นิจจา วา อะนิจจา วาติฯ อะนิจจา ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะ- ธมั มัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสั สติ ุง เอตงั มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาตฯิ โน เหตงั ภนั เตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ มะโนวิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติฯ อะนิจจัง ภนฺเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัสม๎ ิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตงั ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ มะโนสัมผัสโส นจิ โจ วา อะนจิ โจ วาตฯิ อะนิจโจ ภันเตฯ ยงั ปะนานิจจัง ทกุ ขัง วา ตัง สขุ งั วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยงั ปะนานจิ จัง ทุกขัง วปิ ะรณิ ามะธัมมัง กัลลงั นุ ตัง สะมะนปุ สั สติ ุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติฯ โน เหตงั ภันเตฯ ตัง กิง มัญญะสิ ราหุละ ยะมิทัง มะโนสัมผัสสะ- ปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญาคะตัง สังขาระ- คะตัง วญิ ญาณะคะตัง ตังปิ นิจจงั วา อะนิจจัง วาติฯ 85

อะนิจจัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติฯ ทุกขัง ภันเตฯ ยัง ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาตฯิ โน เหตัง ภันเตฯ เอวัง ปัสสัง ราหุละ สุตะวา อะริยะสาวะโก จักขุส๎มิงปิ นิพพินทะติ รูเปสุปิ นิพพินทะติ จักขุวิญญาเณปิ นิพพินทะติ จักขุสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง จักขุสัม- ผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญาคะตัง สงั ขาระคะตัง วญิ ญาณะคะตัง ตัสม๎ ิงปิ นิพพนิ ทะติฯ โสตัสม๎ ิงปิ นพิ พินทะติ สัทเทสปุ ิ นิพพนิ ทะติ....* ฆานัสม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะติ คันเธสุปิ นพิ พินทะติ....* ชวิ ๎หายะปิ นิพพินทะติ ระเสสปุ ิ นิพพนิ ทะติ....* กายัส๎มงิ ปิ นพิ พนิ ทะติ โผฏฐัพเพสุปิ นพิ พินทะติ....* มะนัส๎มิงปิ นิพพินทะติ ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ มะโน- วิญญาเณปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญา คะตัง สังขาระคะตัง วญิ ญาณะคะตัง ตัสม๎ งิ ปิ นิพพินทะตฯิ นิพพินทัง วิรัชชะติ วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อติ ถัตตายาติ ปะชานาตตี ฯิ 86

อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะโน อายัส๎มา ราหุโล ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทีติฯ อิมัส๎มิง จะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน อายัส๎มะโต ราหุลัสสะ อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตัง วิมุจจิฯ ตาสัญจะ อะเนกาสัง เทวะตาสะหัสสานัง วิรชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติฯ จฬู ะราหโุ ลวาทะสตุ ตงั นิฏฐิตงั ฯ หมายเหตุ : ท่ีลงเครือ่ ง * ไวน้ ้ันเปน็ ความเปยยาลถ้า ประสงคจ์ ะสวดอยา่ งพสิ ดารพงึ เพ่ิมขอ้ ความทีข่ าดไปดังน้ี — โสตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ สัทเทสุปิ นิพพินทะติ โสตะ วิญญาเณปิ นิพพินทะติ โสตะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง โสตะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญา- คะตัง สงั ขาระคะตัง วญิ ญาณะคะตัง ตัสม๎ งิ ปิ นิพพินทะติฯ ฆานัส๎มิงปิ นิพพินทะติ คันเธสุปิ นิพพินทะติ ฆานะ- วิญญาเณปิ นิพพินทะติ ฆานะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญา- คะตัง สงั ขาระคะตัง วิญญาณะคะตัง ตัส๎มิงปิ นพิ พินทะติฯ 87

ชิวห๎ ายะปิ นิพพินทะติ ระเสสุปิ นิพพินทะติ ชิว๎หา- วิญญาเณปิ นิพพินทะติ ชิว๎หาสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง ชิว๎หาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญา- คะตัง สังขาระคะตัง วิญญาณะคะตัง ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติฯ กายัส๎มิงปิ นิพพินทะติ โผฏฐัพเพสุปิ นิพพินทะติ กายะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ กายะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยะมิทัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะนาคะตัง สัญญาคะตัง สังขาระคะตัง วิญญาณะคะตัง ตัส๎มิงปิ นิพพนิ ทะติฯ A 88

จฬู ราหุโลวาทสูตร (แปล) ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาอยา่ งน้ี :- สมยั หนงึ่ พระผู้มพี ระภาคประทับอยทู่ ่ีพระวหิ าร เชตวันอารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถี ครั้งน้ันแล พระผ้มู พี ระภาค ทรงหลกี เรน้ ประทบั อยใู่ นท่ี รโหฐาน ได้เกิดพระปริวติ กทางพระหฤทยั ขึน้ อยา่ งนว้ี ่า ราหุล มธี รรมท่ีบม่ วมิ ุตติแกก่ ลา้ แลว้ แล ถ้ากระไร เราพึงแนะนา ราหุลในธรรมท่สี น้ิ อาสวะย่งิ ข้ึนเถดิ ตอ่ นัน้ พระผู้มพี ระภาคทรงครองสบง ทรงบาตร จีวรเสด็จเขา้ ไปบณิ ฑบาตยังพระนครสาวัตถีในเวลาเชา้ ครน้ั เสดจ็ กลบั จากบณิ ฑบาต ภายหลังเวลาพระกระยาหารแลว้ ได้ตรัสกะท่านพระราหุลวา่ ดูกรราหลุ เธอจงถือผ้ารองนัง่ เราจกั เข้าไปยงั ปา่ อนั ธวัน เพ่อื พักผอ่ นกลางวันกนั ท่านพระ ราหุลทูลรับพระผมู้ ีพระภาควา่ ชอบแลว้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ แลว้ จงึ ถอื ผ้ารองน่ัง ติดตามพระผู้มพี ระภาคไป ณ เบอ้ื งพระ ปฤษฎางค์ ก็สมัยนัน้ แล เทวดาหลายพันองคไ์ ด้ตดิ ตามพระ ผู้มีพระภาคไปดว้ ยทราบว่า วันนี้ พระผูม้ พี ระภาคจักทรง แนะนาทา่ นพระราหลุ ในธรรมท่สี ้ินอาสวะย่งิ ข้ึน คร้ังน้นั แล พระผู้มีพระภาคเสดจ็ เข้าไปสู่ปา่ อันธวนั แล้ว จงึ ประทับน่ัง 89

บนอาสนะท่ที า่ นพระราหุลแต่งตัง้ ไว้ ณ ควงไมแ้ หง่ หนึ่ง แม้ ท่านพระราหลุ ก็ถวายอภวิ าทพระผ้มู ีพระภาคแลว้ นัง่ ณ ที่ควร ขา้ งหนงึ่ พระผูม้ ีพระภาคได้ตรสั กะท่านพระราหลุ ผู้นั่ง ณ ท่ี ควรข้างหน่งึ ดงั น้วี า่ ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ นั้นเป็น ไฉน ? จักษเุ ทย่ี ง หรอื ไมเ่ ทยี่ ง ? ร. ไม่เที่ยง พระพทุ ธเจ้าข้า พ. กส็ งิ่ ใดไม่เทยี่ ง สิง่ นน้ั เป็นทุกขห์ รอื เป็นสุข ? ร. เป็นทกุ ข์ พระพุทธเจ้าข้า พ. ก็ส่งิ ใดไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทุกข์ มีความแปรปรวน เปน็ ธรรมดา ควรหรือไม่ท่ีจะตามเหน็ สิง่ น้นั ว่า น่นั ของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ร. ไมค่ วรเลย พระพุทธเจา้ ข้า พ. ดูกรราหุล เธอจะสาคัญความขอ้ นนั้ เปน็ ไฉน รูปเท่ยี ง หรอื ไมเ่ ทย่ี ง ? ร. ไมเ่ ทีย่ ง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. ก็ส่ิงใดไม่เท่ียง ส่ิงนนั้ เปน็ ทุกขห์ รอื เป็นสขุ ? ร. เป็นทุกข์ พระพุทธเจา้ ข้า พ. ก็ส่งิ ใดไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรหรอื ไมท่ ี่จะตามเห็นสง่ิ นนั้ ว่า นน่ั ของเรา นัน่ เรา น่นั อตั ตาของเรา 90

ร. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความข้อน้นั เป็นไฉน จกั ษวุ ญิ ญาณเท่ยี งหรือไม่เท่ยี ง ? ร. ไมเ่ ท่ยี ง พระพุทธเจา้ ขา้ พ. สง่ิ ใดไม่เที่ยง สิ่งน้ันเป็นทุกขห์ รอื เปน็ สขุ ? ร. เป็นทกุ ข์ พระพุทธเจ้าขา้ พ. กส็ ิ่งใดไมเ่ ทีย่ ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ไม่ทจี่ ะตามเห็นส่ิงน้นั วา่ น่ันของเรา นั่นเรา นัน่ อตั ตาของเรา ร. ไม่ควรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ พ. ดกู รราหุล เธอจะสาคัญความข้อนัน้ เปน็ ไฉน จกั ษสุ มั ผสั เท่ยี งหรือไมเ่ ที่ยง ? ร. ไม่เท่ียง พระพทุ ธเจา้ ขา้ พ. ก็สิ่งใดไมเ่ ท่ียง สง่ิ น้ันเป็นทกุ ข์หรอื เป็นสขุ ? ร. เปน็ ทุกข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ก็ส่ิงใดไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือไมท่ ีจ่ ะตามเหน็ สิ่งนัน้ วา่ น่นั ของเรา น่ันเรา นั่น อัตตาของเรา ร. ไมค่ วรเลยพระพทุ ธเจา้ ขา้ พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ทเี่ กดิ ขนึ้ เพราะจกั ษสุ ัมผัส 91

เป็นปจั จัยแมน้ ัน้ เทยี่ งหรอื ไม่เทยี่ ง ? ร. ไม่เทย่ี ง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. กส็ ง่ิ ใดไม่เทย่ี ง สงิ่ น้นั เปน็ ทกุ ข์หรอื เป็นสขุ ? ร. เป็นทุกข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ พ. ก็สิ่งใดไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรหรือไมท่ จ่ี ะตามเหน็ ส่ิงน้นั วา่ น่นั ของเรา นั่น เรา นั่นอัตตาของเรา ร. ไมค่ วรเลย พระพุทธเจ้าขา้ พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ น้ันเปน็ ไฉน โสตะเท่ยี งหรือไมเ่ ทย่ี ง ? ร. ไมเ่ ท่ียง พระพุทธเจ้าขา้ ฯลฯ พ. ดูกรราหุล เธอจะสาคญั ความขอ้ นั้นเป็นไฉน ฆานะเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง ? ร. ไม่เที่ยง พระพุทธเจา้ ข้า ฯลฯ พ. ดูกรราหุล เธอจะสาคัญความขอ้ นัน้ เปน็ ไฉน ชวิ หาเท่ยี งหรือไม่เที่ยง ? ร. ไม่เทย่ี ง พระพทุ ธเจ้าข้า ฯลฯ พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ นัน้ เป็นไฉน กายเท่ยี งหรือไมเ่ ทย่ี ง ? ร. ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ข้า ฯลฯ พ. ดกู รราหุล เธอจะสาคัญความขอ้ น้ันเป็นไฉน 92

มโนเทยี่ งหรอื ไมเ่ ท่ียง ? ร. ไมเ่ ท่ยี ง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. กส็ ง่ิ ใดไม่เทย่ี ง สิ่งนนั้ เปน็ ทกุ ข์หรือเป็นสุข ? ร. เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ พ. กส็ งิ่ ใดไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรหรือไมท่ ่จี ะตามเหน็ สิง่ นน้ั วา่ น่ันของเรา นั่นเรา น่ันอตั ตาของเรา ร. ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ข้า พ. ดกู รราหุล เธอจะสาคญั ความขอ้ นน้ั เป็นไฉน ธรรมารมณเ์ ทย่ี งหรอื ไมเ่ ทยี่ ง ? ร. ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. ก็ส่ิงใดไมเ่ ทีย่ ง สงิ่ นัน้ เป็นทกุ ข์หรือเป็นสขุ ? ร. เป็นทุกข์ พระพทุ ธเจา้ ข้า พ. ก็สงิ่ ใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มคี วามแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ไมท่ จี่ ะตามเหน็ ส่ิงนนั้ วา่ น่ันของเรา นั่น เรา นน่ั อัตตาของเรา ร. ไม่ควรเลย พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ นน้ั เปน็ ไฉน มโนวญิ ญาณเทยี่ งหรอื ไม่เที่ยง ? ร. ไม่เท่ียง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. กส็ ่งิ ใดไม่เท่ยี ง ส่งิ น้นั เปน็ ทุกขห์ รอื เป็นสขุ ? 93

ร. เป็นทุกข์ พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. กส็ งิ่ ใดไมเ่ ท่ียง เปน็ ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรือไมท่ ีจ่ ะตามเห็นส่งิ น้นั วา่ นั่นของเรา นั่น เรา นั่นอตั ตาของเรา ร. ไม่ควรเลย พระพทุ ธเจา้ ข้า พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ นั้นเปน็ ไฉน มโนสมั ผัสเทยี่ งหรอื ไมเ่ ท่ยี ง ? ร. ไม่เท่ยี ง พระพุทธเจา้ ขา้ พ. กส็ ง่ิ ใดไม่เที่ยง สงิ่ นนั้ เปน็ ทุกข์หรอื เปน็ สขุ ? ร. เป็นทกุ ข์ พระพุทธเจา้ ขา้ พ. ก็สงิ่ ใดไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรหรือไมท่ ีจ่ ะตามเหน็ สิ่งนัน้ วา่ นน่ั ของเรา นั่น เรา นน่ั อัตตาของเรา ร. ไม่ควรเลย พระพุทธเจา้ ข้า พ. ดูกรราหลุ เธอจะสาคัญความขอ้ นัน้ เป็นไฉน เวทนา สัญญาสังขารวิญญาณ ทเ่ี กิดเพราะมโนสมั ผัสเปน็ ปัจจยั แมน้ ัน้ เทยี่ งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง ? ร. ไมเ่ ทีย่ ง พระพทุ ธเจ้าขา้ พ. กส็ ่ิงใดไมเ่ ที่ยง สิ่งนน้ั เป็นทกุ ข์หรอื เป็นสขุ ? ร. เป็นทกุ ข์ พระพุทธเจ้าขา้ พ. ก็สงิ่ ใดไม่เทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ มีความแปรปรวนเป็น 94

ธรรมดา ควรหรือไมท่ จี่ ะตามเห็นสงิ่ น้นั วา่ นนั่ ของเรา นั่น เรา น่นั อัตตาของเรา ร. ไม่ควร พระพุทธเจา้ ขา้ พ. ดูกรราหุล อรยิ สาวกผู้สดบั แล้ว เหน็ อย่อู ยา่ งน้ี ย่อมเบ่อื หนา่ ยแมใ้ นจกั ษุ ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยแมใ้ นรูป ยอ่ มเบอ่ื หน่าย แมใ้ นจักษุวญิ ญาณ ยอ่ มเบอ่ื หน่าย แมใ้ นจักษสุ มั ผัส ยอ่ มเบอื่ หนา่ ย แมใ้ นเวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณท่เี กดิ ขน้ึ เพราะจักษสุ ัมผสั เป็นปัจจัยน้นั ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยแม้ในโสตะ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยแม้ในเสยี ง ย่อมเบอ่ื หนา่ ยแม้ในฆานะ ย่อมเบอ่ื หนา่ ยแม้ในกล่ิน ย่อมเบื่อหนา่ ยแม้ในชิวหา ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแม้ในรส ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแม้ในกาย ย่อมเบ่อื หนา่ ยแมใ้ นโผฏฐพั พะ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยแมใ้ นมโน ยอ่ มเบื่อหนา่ ยแม้ในธรรมารมณ์ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยแม้ในมโนวญิ ญาณ ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยแมใ้ นมโนสัมผัส 95

ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณท่เี กิดขน้ึ เพราะมโนสมั ผสั เป็นปจั จัยนัน้ เม่ือเบือ่ หนา่ ย ย่อมคลายกาหนัด เพราะคลาย กาหนัดจึงหลุดพ้น เมอื่ หลดุ พ้นแล้วย่อมมญี าณรวู้ ่า หลดุ พ้น แล้ว และทราบชดั ว่า ชาติสิ้นแลว้ พรหมจรรยอ์ ยูจ่ บแล้ว กิจ ที่ควรทา ได้ทาเสรจ็ แล้ว กจิ อื่นเพอื่ ความเปน็ อยา่ งนม้ี ไิ ด้มี พระผู้มีพระภาคไดต้ รัสพระภาษิตน้ีแล้ว ท่านพระ ราหลุ ก็ช่ืนชมยินดพี ระภาษติ ของพระผู้มพี ระภาคแล ก็แล เมื่อพระผูม้ ีพระภาคตรัสคาเปน็ ไวยากรณ์ น้ีอยู่ จิตของทา่ นพระราหุลหลดุ พ้นแลว้ จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถอื มั่น และเทวดาหลายพันองค์นั้นได้เกิดดวงตาเหน็ ธรรมอนั ปราศจากธลุ ีหมดมลทนิ ว่า สิ่งใดส่ิงหนึ่งมีความเกิด ข้นึ เป็นธรรมดา สิง่ นนั้ ลว้ นมีความดบั ไปเปน็ ธรรมดา จบ จฬู ราหุโลวาทสูตร c 96

ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตร (ธรรมจักร) เอวัมเม สตุ ังฯ เอกงั สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสยิ งั วหิ ะระติ อิสิปะตะเน มคิ ะทาเยฯ ตตั ๎ระ โข ภะคะวา ปญั จะ- วัคคเิ ย ภกิ ขู อามันเตสิ เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปพั พะชิเตนะ นะ เสวติ ัพพาฯ [ ]๑ โย จายัง กาเมสุ กามะสขุ ัลลิกานโุ ยโค หีโน คัมโม โปถชุ ชะนโิ ก อะนะรโิ ย อะนตั ถะสญั หโิ ต โย จายงั อัตตะ- กลิ ะมะถานุโยโค ทกุ โข อะนะรโิ ย อะนัตถะสญั หิโตฯ เอเต เต ภกิ ขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคมั มะ มชั ฌมิ า ปะฏปิ ะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสมั พทุ ธา จกั ขกุ ะระณี ญาณะ- กะระณี อปุ ะสะมายะ อะภญิ ญายะ สัมโพธายะ นพิ พานายะ สังวัตตะติฯ กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ ๑ ฉบับเกา่ และฉบับใบลาน เพมิ่ ประโยคกเถตุกัมยตาปจุ ฉาเข้ามาเป็น กะตะเม เท๎วฯ 97