คมู่ อื แสวงบญุ ๑๐๑ “ควำมเป็นตวั ของตวั เอง” ทาให้พาราณสีเป็ นเมืองที่ “คลำสสิก” และมี “เสน่ห์” ก่อนท่ีพระพทุ ธศาสนาจะอุบตั ขิ ึน้ ในชมพูทวีป ศาสนาพราหมณ์ รุ่งเรืองมาก่อนกว่าพนั ปี แม้ป่ าอิสิ ปตนมฤคทายวนั จะเป็ นที่อบุ ตั ิการแห่ง พระรัตนตรัย แต่กลิ่นไอความเป็ นพราหมณ์ ฮินดู ก็ไม่เคยหายไปจาก เมืองพาราณสีเลย สมยั ที่พระถงั ซาจงั๋ เดินทางถึงเมืองพาราณสีแห่งพระ เจ้าพรหมทตั ได้บนั ทกึ “บรรยำกำศ” ของพระพทุ ธศาสนา และบริบทใน ภาพรวมเป็ นภาพสะท้อนประวัติศาสตร์ โบราณคดี ปรากฏในเมือง พาราณสี ดงั นี ้ “แควน้ พำรำณสี มีเนือ้ ทีอ่ ำณำเขต ๔,๐๐๐ ลี้ โดยประมำณ ดำ้ น ทิศตะวนั ตกของเมืองหลวงจดแม่น้ำคงคำ ยำว ๑๘ - ๑๙ ลี้เศษ กวำ้ ง ๕ - ๖ ลี้ ถนนหนทำงและบำ้ นเรือนตง้ั ติดต่อกนั ยำวเป็นพืด ประชำชนร่ำรวย มงั่ คง่ั ในเรือนมีทรัพย์มหำศำล มีเพชรนิลจินดำมำกมำย ชำวเมืองมีนิสยั สภุ ำพเรียบร้อย โอบอ้อมอำรี ใฝ่ ใจศึกษำศิลปวิทยำ ประเพณี คนส่วน ใหญ่นบั ถือลทั ธินอกพระพทุ ธศำสนำ ที่นบั ถือพระพุทธศำสนำมีจำนวน น้อย อำกำศอบอุ่น พืชพนั ธ์ุธัญญำหำรอุดมสมบูรณ์ ผลหมำกรำกไม้ หลำกพนั ธ์ุหลำกชนิด ต้นหญ้ำข้ึนเขียวชอ่มุ โอนลู่ตำมลม ภำยในแคว้นมี อำรำมของพระพทุ ธศำสนำกว่ำ ๓๐ แห่งพระภิกษุสงฆ์ประมำณ ๓,๐๐๐ รูป ลว้ นศึกษำนิกำยสมั มติยะฝ่ ำยหินยำนทงั้ สิ้น มีเทวสถำนของลทั ธินอก พระพทุ ธศำสนำประมำณ ๑๐๐ แห่ง เดียรถีย์จำนวนกว่ำหมื่น ส่วนใหญ่
คู่มือแสวงบญุ ๑๐๒ นบั ถือพระมเหศวร ที่ตดั ผมเกรียนก็มี ที่เกล้ำเป็นมวยก็มี คนพวกนี้ล้วน เปลือยกำย ถูขีเ้ ถำ้ ตลอดกำยกระทำทกุ ขกริยำอย่ำงพำกเพียร” ๑๒ นอกจากนัน้ พระถังซาจ๋ังยังได้ บันทึกถึงพระอารามในป่ า มฤคทายวัน โบราณสถาน เสาหิน และสถูปที่สร้ างในสมัยแห่งธรรม ยาตราของพระเจ้าอโศกมหาราช ซ่ึงเป็ นกุญแจและหลักฐานชิน้ สาคญั “ยืนยนั ” ความเป็นพทุ ธสถานได้เป็นอยา่ งดี “จำกแม่น้ำพำรำณสี บ่ำยหน้ำไปทำงตะวนั ออกเฉียงเหนือรำว ๑๐ ลี้ ถึงอำรำมมฤคทำยวนั ภำยในอำรำมแบ่งบริเวณออกเป็น ๘ ส่วน มีกำแพงติดต่อกันเป็ นแนวเดียว ตัวอำรำมเป็ นหอสูงสร้ำงเป็ นช้ันๆ ล้อมรอบเป็ นท้ัง ๔ ด้ำน มีทงั้ สิ้นรวม ๑๐๐ ชั้น มีพระพุทธรูปทองคำ ประดิษฐำนอยู่ทุกชน้ั ภำยในวิหำรมีพระพุทธรูปที่จำหลกั ด้วยแก้วกำจ ขนำดเท่ำองค์พระตถำคตเจ้ำในปำงพระธรรมจกั รเทศนำ ดำ้ นตะวนั ตกเฉียงใต้ของวิหำรมีสถูปศิลำองค์หน่ึง พระเจ้ำอโศก มหำรำชทรงสร้ำงไว้ ฐำนสถปู แม้จะชำรุดทรุดโทรมแลว้ องค์สถูปยงั คงสูง กว่ำ ๑๐๐ เฉียะ ข้ำงหน้ำมีเสำสิลำ สูงประมำณ ๐ เฉียะ เนือ้ ศิลำเรียบ ลื่นเป็ นเงำงำม จำกอำรำมมฤคทำยวนั ไปทำงทิศตะวนั ตก ๓ - ๔ ลี้ มี ๑๒ เร่ืองเดียวกนั หน้า ๒๖๔-๒๖๕.
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๐๓ สถปู องค์หน่ึงสูงกว่ำ ๓๐๐ เฉียะ ฐำนเจดีย์สูงใหญ่ ประดบั ด้วยอญั มณีมี ค่ำ ตวั สถูปไม่มีช่องประดิษฐำนพระพุทธรูป จะมีก็แต่ส่วนที่มีลกั ษณะ คล้ำยรูปบำตรคว่ำ แม้จะมียอดเจดีย์ แต่ไม่มีฉตั รและกระด่ิง ข้ำงสถูป เป็ นที่ที่ปัญจวคั คีย์ท้ัง ๕ ซึ่งมีโกณฑัญญิเป็ นต้น ละลืมกติกำสญั ญำที่ ตนเองกำหนดข้ึน ถวำยกำรตอ้ นรบั พระพทุ ธเจ้ำ” ๑๓ บทสรปุ จากบนั ทึกของพระถังซาจงั๋ ทาให้ทราบถึง “หน้ำตำ” ของเมือง พาราณสีในอดีต ซึ่ง “มีชื่อ” ทางด้านการค้าพาณิชย์ ทาให้สภาพคล่อง ทางด้านเศรษฐกิจมีค่อนข้างสูง ผ้คู นในเมืองนีม้ ีความใกล้ชิดกับศาสนา ปรัชญา ประเพณีวฒั นธรรมอย่างแยกกนั ไม่ออก พระพุทธศาสนาในยุค นนั้ ยงั ปรากฏเป็ นภาพแห่งหม่พู ระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน “กลุ่มน้อย” อยใู่ นท่ามกลางของคน “กลุ่มใหญ่” คือลทั ธินอกพระพทุ ธศาสนา บนั ทึก ของหลวงจีนได้ “โฟกสั ” ไปท่ีนกั บวชซง่ึ สว่ นใหญ่เปลือยกาย ตดั ผมเกรียน ก็มี ที่เกล้าเป็ นมวยก็มี และทาขีเ้ ถ้า บูชา “พระมเหศวร” หรือองค์ “มหำเทพ” ในท่ีนีห้ มายถึง “พระศิวะ” จากภาพลักษณ์ของนักบวช ๑๓ เรื่องเดียวกนั หน้า ๒๖๕-๒๗๐.
คมู่ ือแสวงบญุ ๑๐๔ ดงั กล่าว “ตรงกนั ” กบั นกั บวชฮินดนู ิกายหนึ่ง คือ“นาคบาบา” เพราะ ในชว่ งเทศกาล “กุมภเมลา” นกั บวชกลมุ่ นีม้ าอาบนา้ ในแมน่ า้ คงคา ตาม ความเช่ือของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู จานวนมาก ศนู ย์กลางของพระพทุ ธศาสนาอยทู่ ี่ “อำรำมมฤคทำยวนั ” เพราะ เป็ นสถานท่ีท่ีพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จธรรมยาตรา สร้างสถูปและ ปักเสาหินเอาไว้ บนั ทกึ ของพระถงั ซาจงั๋ ทาให้ทราบ “ข้อมูล” และความ ย่ิงใหญ่ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะลกั ษณะของสิงโต ๔ ตวั หนั หลัง เข้าหากัน หันหน้าออก ๔ ทิศ ซึ่งเป็ นด้านบนของเสาหินพระเจ้าอโศก มหาราชที่ยงั คงสภาพสมบูรณ์ มีลกั ษณะของเนือ้ ทรายเรียบล่ืน เป็ นเงา งามตามบันทึกของพระถังซาจ๋ังทุกประการ ส่วนพระพุทธรูปทองคา และอญั มณีมีคา่ ตา่ งๆที่มีการบนั ทกึ ไว้ คงสญู หายไปตามกาลเวลา สว่ นพระถงั ซาจงั๋ ใน “วรรณคดี” หรือในบท “ภำพยนตร์” สร้างอิง จากเรื่องจริงของพระถงั ซาจงั๋ ซึ่งมีซุนหงอคง ตือโป๊ ยก่ายและซวั เจ๋ง เป็ น ตวั ชโู รง คือ “บคุ ลำธิษฐำน” และ “ปรำกฏกำรณ์” ทางจิตภายในของพระ ถงั ซาจงั๋ โดยมี “ม้าขาว” พาหนะคบู่ ญุ เป็ น “วิริยะ” เครื่องขดั เกลากิเลสให้ เบาบาง สตปิ ัญญาคอยแยกแยะระหว่าง “มายาการ” กบั “ความเป็ นจริง” ที่ต้องเทา่ ทนั ภายในทกุ ขณะจิต แม้ว่าพระถงั ซาจงั๋ ต้องเผชิญกบั อุปสรรค ความทุกข์ยาก และเหล่าปี ศาจนานัปการ แต่ท่านได้นาส่ิงเหล่านนั้ เป็ น
คูม่ ือแสวงบุญ ๑๐๕ “เคร่ืองมือ” ในการสร้างบารมีและล่วงทุกข์ ประสบความสาเร็จได้ด้วย “คมู่ ือ” คือความเพียรและความอดทนอย่างยอดยิ่ง เพราะหวั ใจท่ีแกร่ง กล้า ไม่สยบยอมต่ออุปสรรคปัญหา ฟันฝ่ าจนบรรลุเป้ าหมาย คือ “บาท วิถี” ของผ้ยู ่งิ ใหญ่.
คู่มอื แสวงบุญ ๑๐๖ หนงั สือประกอบกำรเรียบเรยี ง ซวิ ซหู ลนุ . ถงั ซาจงั๋ : จดหมายเหตกุ ารณ์เดนิ ทางสู่แดนตะวันตกของ มหาราชวงศ์ถงั .กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์มตชิ น, พ.ศ.๒๕๔๙. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต). กาลานุกรม. กรุงเทพมหานคร : ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ์, ๒๕๕๒. พระราชรัตนรังษี. สู่แดนพระพุทธองค์อินเดีย-เนปาล. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๐. เสถียรพงษ์ วรรณปก. พระพทุ ธศาสนา:ทรรศนะและวิจารณ์. กรุงเทพฯ :สานกั พิมพ์มตชิ น, ๒๕๔๓. วารสารประจาปี ของพระนกั ศกึ ษา-นกั ศกึ ษา มหาวิทยาลยั เมืองพาราณสี. สทิ ธารถสาร. ฉบบั ปี ที่ ๑๑ เดอื นมิถนุ ายน พ.ศ.๒๕๕๐.
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๐๗
คู่มอื แสวงบญุ ๑๐๘ พระพทุ ธศำสนำในอนิ เดีย พระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. ๒๔๐ – ๓๑๒) ได้ส่งพระธรรมทตู จากอินเดียไปประกาศ พทุ ธศาสนา ๙ สาย โดยสายท่ี ๘ พระโสณะและ พระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ในปัจจบุ นั (ไทย พมา่ ลาว กมั พชู า เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทา ให้ไทยได้รับอทิ ธิพลจากศาสนาพทุ ธจากอินเดียมาตงั้ แตส่ มยั นนั้ หลงั จากสมยั พทุ ธกาล พทุ ธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สดุ ในสมยั พระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๑๓๐๐ - ๑๗๐๐ คณะสงฆ์ อ่อนแอลง รวมทงั้ ถูกศาสนาอื่นต่อต้านและบีบคนั้ กอปรกับถูกชนชาติ มสุ ลิมเข้ารุกรานและทาลายวดั วาอารามตลอดจนพระสงฆ์ ในท่ีสดุ ในช่วง ปี พ.ศ. ๑๗๐๐ พทุ ธศาสนาจงึ เสื่อมลงและสญู หายไปจากอนิ เดยี ในท่ีสดุ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. ๑๙๔๗) อินเดียได้รับเอกราชจากองั กฤษ และได้นายเยาวหรลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) เป็ นนายกรัฐมนตรี เนห์รูได้สง่ เสริมการอย่รู ่วมกนั ของประชาชนท่ีมาจากลทั ธิและตา่ งศาสนา ภายใต้แนวคิด \"สหธรรม\" ในช่วงนี ้พุทธศาสนาได้ถูกฟื ้นฟูขึน้ มาอีกครัง้
คู่มือแสวงบุญ ๑๐๙ โดยบคุ คลสาคญั ๒ ทา่ นคือ นายกรัฐมนตรีอินเดีย และ ดร. บมิ เราว์ ราม จิ เอมเบดการ์ (Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar) ผ้นู าชาวพทุ ธ โดย รัฐบาลอินเดียได้บูรณะพุทธสถาน ส่งเสริมการศึกษา พุทธศาสนาและ ก่อตงั้ มหาวิทยาลยั ที่เมืองนาลนั ทาและเมืองมคธ วิทยาลัยพุทธที่เมือง บอมเบย์ สง่ เสริมการเรียนภาษาบาลีที่เมืองกลั กตั ตา รวมทงั้ จดั งานฉลอง พทุ ธชยนั ตีหรือครบรอบ ๒,๕๐๐ ปี ของพทุ ธศาสนา โดยเชิญประเทศท่ีมี ประชากรส่วนใหญ่นบั ถือพทุ ธศาสนามาร่วมฉลองและสร้างวดั ในบริเวณ รอบพระมหาเจดีย์พทุ ธคยาด้วย ทาให้ประเทศไทยเริ่มมีบทบาทในเร่ือง พทุ ธศาสนาในอินเดียอยา่ งเป็นทางการเป็นครัง้ แรก เม่ือวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ดร. เอมเบดการ์ได้นาคน ประมาณ ๕ แสนคน ปฏิญาณตนเป็ นพทุ ธมามกะที่เมืองนาคปูร์ รัฐมหา ราษฏระ ซ่ึงถือว่าเป็ นการเริ่มต้นการฟื น้ ฟูพุทธศาสนาในอินเดียที่สาคญั อย่างไรก็ดี หลงั จากนนั้ เพียง ๕๓ วนั ในวนั ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ดร. เอมเบดการ์ก็เสียชีวิตลง ทาให้ชาวพุทธในอินเดียขาดผ้นู าคนสาคญั ไป แต่พิธีปฏิญาณตนเป็ น พุทธมามกะดังกล่าว ก็ยังดาเนินมาทุกปี พระสงฆ์จากประเทศไทยได้รับเชิญไปร่วมงานด้วยทกุ ครัง้ ในขณะท่ีพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมและสูญไปในช่วงปี พ.ศ. ๑๗๐๐ ประเทศไทยได้รับ พทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาหลกั ของประเทศโดยมี
คมู่ ือแสวงบุญ ๑๑๐ พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นพทุ ธมามกะและทรงเป็ นอคั รศาสนปู ถมั ภกทาให้ พทุ ธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองและมีความมน่ั คง เป็ นที่ยอมรับ จากนานาประเทศและกลายเป็ นศนู ย์กลางพุทธศาสนาที่สาคญั แห่งหนึ่ง ของโลกในปัจจบุ นั ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ซ่ึงทางการอินเดียได้จดั งานฉลองพทุ ธชยนั ตี หรือครบรอบ ๒,๕๐๐ ปี ของพทุ ธศาสนา และได้เชิญประเทศที่มีประชากร ส่วนใหญ่นบั ถือพทุ ธศาสนา รวมทงั้ ประเทศไทยร่วมฉลองและสร้างวดั ที่ เมืองคยานนั้ รัฐบาลไทยได้ตอบสนอง โดยสร้างวดั ไทยพทุ ธคยา เมืองค ยา รัฐพิหาร ในปี ๒๕๐๑ ซึ่งเป็ นวัดของรัฐบาลไทยแห่งแรกในประเทศ อนิ เดยี และในตา่ งประเทศ นบั ตงั้ แตน่ นั้ มามหาเถรสมาคมและรัฐบาลไทย ก็ได้สนบั สนุนการดาเนินงานของวดั ไทยพุทธคยามาโดยตลอด มีการส่ง คณะสงฆ์คณะละ ๔ รูปที่เรียกว่าคณะปัญจวรรค มาบริหารวดั ในฐานะ พระธรรมทตู ไทยสายประเทศอินเดีย ซ่ึงนบั ถึงปัจจบุ นั มีถึง ๔ ชดุ ด้วยกนั มีพระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูริปาโล ป.ธ. ๙, M.A., Ph.D.) จากวดั มหาธาตยุ วุ ราชรังสฤษฎ์ิ กรุงเทพมหานคร เป็ นหวั หน้าพระธรรมทตู * (ณ เวลาท่ีจดั ทาค่มู ือนี ้หวั หน้าพระธรรมทตู องค์ปัจจบุ นั คือพระราชรัตนรังสี ประธานสงฆ์วดั ไทยกสุ นิ าราและเจ้าอาวาสวดั ไทยลมุ พินี)
คูม่ ือแสวงบุญ ๑๑๑ ตลอดเวลากวา่ ๕๐ ปี คณะพระธรรมทตู ไทยสายประเทศอินเดียทกุ ชดุ ได้ ปฏิบัติหน้าท่ี ในการทานุบารุงและเผยแผ่พุทธศาสนาในอินเดียและ ส่งเสริมความสัมพนั ธ์และความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ไทยและคณะ สงฆ์นานาชาตใิ นอินเดียอยา่ งแขง็ ขนั และได้ผลดีย่ิง พระเทพโพธิวิเทศ (ซง่ึ เป็นหวั หน้าพระธรรมทตู ตงั้ แตช่ ดุ ท่ี ๓ )ได้บริหารจดั การและพฒั นาวดั ไทย พทุ ธคยาให้เป็นต้นแบบของวดั ไทยในอินเดียทงั้ ในด้านสถาปัตยกรรมไทย ที่มีความสวยงาม เป็ นศาสนสถานที่มีช่ือเสียงมากท่ีสุดในพุทธคยารอง จากมหาเจดีย์พุทธคยาซ่ึงมีผู้จาริกแสวงบุญจากท่ัวโลกมาเยี่ยมเป็ น จานวนมากในแตล่ ะปี ถือเป็ นการเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยได้เป็ น อยา่ งดี การดาเนินงานเผยแผพ่ ทุ ธศาสนาของวดั ไทยในอินเดียมีทงั้ เร่ือง การจดั การอุปบรรพชา อุปสมบท การศึกษาพระปริตร และการเผยแผ่ พุทธศาสนาของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนการปกครองดูแลคณะสงฆ์ แมช่ ี และเจ้าหน้าที่ของวดั ท่ีพานกั อย่ทู ่ีวดั รวมถึงการต้อนรับและจดั ที่พกั อาหาร และการรักษาพยาบาลให้แก่พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ชาวไทยท่ีมาจาริกแสวงบญุ เป็นจานวนมากทกุ ครัง้ ด้วยการทางานอย่างขันแข็งของพระธรรมทูตไทยสายประเทศ อนิ เดีย ทาให้เกิดการจดั สร้างวดั ไทยในอนิ เดียอีกจานวนมาก อาทิ วดั ไทย
ค่มู ือแสวงบุญ ๑๑๒ กสุ นิ าราเฉลิมราชย์ วดั ไทยสิริราชคฤห์ วดั ไทยนาลนั ทา วดั ไทยไวสาลี วดั ไทยเชตวนั เป็นต้น ในส่วนของวดั ไทยกสุ ินาราเฉลิมราชย์ซ่ึงตงั้ อย่ทู ่ีเมืองกสุ ินาการ์ รัฐอุตตรประเทศ ซ่ึงมี พระราชรัตนรังษี อดีตรองหัวหน้าพระธรรมทูต* เป็ นประธานสงฆ์ (สมยั นนั้ ) สร้ างขึน้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ด้วยแรงศรัทธา ของพทุ ธบริษทั ชาวไทย และชาวพทุ ธในอินเดีย เพื่อฟื น้ ฟพู ระพทุ ธศาสนา ในแดนมาตุภูมิ และเฉลิมพระเกียรติถวายเป็ นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบตั คิ รบ ๕๐ ปี และในวโรกาสเ ฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๗๒ พรรษา โดยมี สถานพยาบาลกุสินาราคลินิคตงั้ อยู่ในวัดเพื่อให้การรักษาพยาบาลชาว อินเดียทวั่ ไปและชาวไทยซงึ่ เดนิ ทางมาจาริกบญุ ด้วย ปัจจุบนั รัฐบาลอินเดียให้ความสาคญั กับพุทธศาสนามากขึน้ มี บุคคลต่างๆ ในวงราชการและการเมืองที่นับถือพุทธศาสนา มีโครงการ ฟื ้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทาให้กลับมาเป็ นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาท่ี ย่ิงใหญ่เช่นในอดีต รวมทงั้ โครงการพฒั นาสงั เวชนียสถานให้เป็ นสถานที่ ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในรัฐพิหาร รัฐอุตตรประเทศ และรัฐต่างๆ ใน อินเดีย ซ่ึงเป็ นดินแดนต้นกาเนิดพุทธศาสนา ซ่ึงมีส่วนสาคัญในการ สง่ เสริมการพฒั นาทางเศรษฐกิจและสงั คมของรัฐตา่ งๆ ดงั กลา่ ว อยา่ งย่ิง
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๑๓
คู่มือแสวงบญุ ๑๑๔ คำแนะนำ สำหรบั พระสงฆ์ไปสงั เวชนยี สถำนทีอ่ ินเดีย ผมเคยเขียนคาแนะนาสาหรับชาวพุทธที่จะไปสักการะสังเวชนีย สถานที่อินเดยี และเนปาลแล้ว แตไ่ มไ่ ด้นกึ ถึงเรื่องคาแนะนาพระสงฆ์ อาจ เพราะพระสงฆ์เป็ นผ้ทู ่ีรอบรู้เร่ืองศาสนาอย่แู ล้ว จึงไม่ได้คิดท่ีจะแนะนา แตก่ ็มีเหตกุ ารณ์ที่ทาให้ต้องคดิ ถึงการแนะนาพระสงฆ์ที่ไปสงั เวชนียสถาน หรือไปแสวงบญุ ในอนิ เดยี จงึ ต้องนามาบอกกลา่ วกนั ๑. ปัญหาแรกกค็ ือการฉัน การเดินทางไปอินเดียจากประเทศไทยใช้เวลาเดินทางตา่ งกนั ถ้าไป กัลกัตตาก็ประมาณ 1 ชม.กว่า ไปมุมไบหรือเดลีก็ประมาณ ๓-๔ ชม. ดงั นนั้ เวลาของเท่ียวบินจึงอาจกระทบเวลาฉันเพลของพระ ในกรณีที่ไป กบั คณะลกู ศษิ ย์ เมื่อถึงเวลาเพลก็จะมีลกู ศิษย์เตรียมอาหารถวายได้ ถ้า
ค่มู ือแสวงบุญ ๑๑๕ เป็ นในเคร่ืองบินก็ไม่มีปัญหา แต่ในกรณีที่ต้องแวะต่อเครื่องบิน ช่วงที่รอ ขนึ ้ เครื่องตอ่ บางทีอยใู่ นชว่ งเพลพอดี หลายคณะต้องใช้ที่นง่ั รอสาธารณะ ในสนามบินเป็ นที่ถวายเพลแดพ่ ระสงฆ์ ถ้าเป็ นพระสงฆ์ท่ีเดนิ ทางบอ่ ย ก็ ค้นุ เคยกับการปรับตวั นี ้แตห่ ากเดนิ ทางไปอินเดียเป็ นครัง้ แรก มกั จะเห็น เป็ นปัญหาได้ และหากพระสงฆ์เดินทางรูปเดียวหรือไปกบั พระด้วยกนั ไม่ มีลกู ศษิ ย์ไปด้วย ก็ต้องหาที่ฉนั เอง ปัญหาท่ีผมเคยเห็นก็คือหากเป็ นพระผู้ใหญ่หรือพระสงู อายุ อาจไม่ สะดวกเลยท่ีจะฉนั ในบริเวณที่นง่ั รอสาธารณะในสนามบิน ก็อาจต้องทา ใจวา่ น่ีคอื ระหวา่ งการเดนิ ทาง สามารถปรับตามสถานการณ์ตา่ งๆได้ ๒. อีกปัญหาหน่ึงท่ีพบบอ่ ยก็คือ เวลาพระสงฆ์ผ่านช่องตรวจ การรักษาความปลอดภัยท่ีสนามบิน มักจะเจอการตรวจท่ีเข้มงวด หลายองค์บอกว่าเข้มงวดเกินปรกติ ทาให้รู้สึกไม่ดี และโดยเฉพาะที่ อินเดยี ซง่ึ เร่ืองการตรวจรักษาความปลอดภยั เป็นเรื่องที่สาคญั เพราะมีการ เตือนภยั เรื่องการก่อการร้ายเสมอๆ การตรวจก่อนขนึ ้ เครื่องจึงเป็ นเรื่องท่ี จาเป็ นและเจ้าหน้าที่มักจะเข้มงวดโดยเฉพาะกับคนต่างชาติหรือชาติท่ี ต้องระวงั เป็ นพิเศษ สาหรับพระสงฆ์ซ่ึงมีฐานะไม่เหมือนคนธรรมดา คือ แตง่ กายเป็นนกั บวช บางครัง้ จนท.ก็ไมม่ ีความรู้การปฏิบตั ิกบั พระสงฆ์เชน่ พทุ ธศาสนิกชน การตรวจจึงมีเร่ืองให้ตรวจมากกวา่ ปรกติ มองในแง่หน่ึง
คู่มือแสวงบญุ ๑๑๖ คนไทยไมช่ อบการเสียมารยาท หากผ้นู นั้ มีอาวโุ สหรือมีความสาคญั เป็ น ที่เคารพยกย่องเช่นพระสงฆ์ผ้ใู หญ่ ก็อยากจะให้ จนท.ตรวจแบบเกรงใจ หรือให้เกียรตกิ นั บ้าง แต่ จนท.เหลา่ นีก้ ็มิได้ดีซะทกุ ราย ส่วนใหญ่ตรวจกนั เข้มไมว่ า่ คนนนั้ จะเป็นใคร แม้นกั การทตู เองก็โดนตรวจไม่มียกเว้น รวมทงั้ จนท.สายการบนิ เองก็ต้องโดนตรวจเชน่ เดียวกนั เป็ นปัญหาเรื่องจิตใจท่ี บางครัง้ พระผู้ใหญ่เองก็มิได้โกรธอะไร มากแตล่ กู ศษิ ย์รอบข้างอาจไม่พอใจที่พระอาจารย์ของตนโดนตรวจแบบ เข้มงวด ผมประสบเหตกุ ารณ์แบบนีม้ าหลายครัง้ ทงั้ โดนด้วยตวั เองก็มี ซึง่ ในที่สดุ ก็ต้องทาใจเพราะมองในอีกมมุ หน่ึงการตรวจแบบเข้มงวดก็ทาให้ เกิดความปลอดภยั สงู สาหรับผ้โู ดยสารทกุ คนด้วย เจอปัญหาแบบนี ้ จนในวันหนึ่ง ผมกลับมานั่งคิดว่าจะแก้ ไข อยา่ งไรดี ปรากฏวา่ ได้ความคดิ ท่ีนา่ จะเป็ นทางออกและเป็ นคาแนะนาที่ดี สาหรับพระสงฆ์ท่ีเดนิ ทางมาอินเดยี ดงั นี ้ หลังจากผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทางแล้ว ก็จะต้องผ่านช่อง ตรวจ รปภ. ซ่ึงจะมีการตรวจสมั ภาระและการตรวจร่างกายบุคคล ตรงนี ้ ขอแนะนาให้พระสงฆ์ทงั้ หลายเอาสิ่งของท่ีเป็ นโลหะทงั้ หมด(รวมทงั้ วตั ถุ ตา่ งๆ ที่คนชาติอ่ืนอาจไม่รู้จกั หรือเข้าใจ เช่นเคร่ืองรางของขลงั ต่างๆ)ใส่ ในสมั ภาระและให้ผา่ นชอ่ ง scan ตรวจสมั ภาระ จากนนั้ เม่ือร่างกายไม่มี ส่งิ ของที่เป็นโลหะแล้ว การตรวจร่างกายก็จะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะ จนท.
คูม่ อื แสวงบุญ ๑๑๗ จะใช้เครื่องมือตรวจโลหะเป็ นประการแรก เม่ือไม่เจออะไร ก็จะทาให้การ ตรวจงา่ ยและเร็วขนึ ้ ผมพอจะเข้าใจ จนท.ว่าเขาคงไม่มีความรู้เร่ืองพุทธศาสนาและ พระสงฆ์ ซ่ึงต้องมีพระเคร่ือง สร้อยเหล็ก วตั ถุมงคลรูปแบบต่างๆ ก็ต้อง สงสยั เป็ นธรรมดา หากเราแยกส่ิงเหล่านีไ้ ว้ในสมั ภาระ (เฉพาะช่วงผ่าน ชอ่ งตรวจ) ก็จะทาให้ทุกอย่างง่ายขึน้ พอผ่านเข้าในในสนามบินแล้ว จะ เอากลบั มาใสอ่ ีกก็ไมม่ ีใครวา่ อะไร คาแนะนานีจ้ ึงสาคัญและเป็ นทางออกท่ีดีและผมม่ันใจว่าจะ ได้ผล จะได้ทาให้พระสงฆ์และคณะลูกศิษย์ไม่ต้องมีโจกย์มาทดสอบ อารมณ์ขนั ตบิ ารมี ๓. พระสงฆ์ท่ีอายุมากแล้ว หากเดินทางมาอินเดีย ควรมี ประวัติการรักษาพยาบาลติดตัวมาด้วย หากเกิดเจ็บป่ วยจะได้เป็ น ข้อมลู สาหรับการรักษาท่ีถกู ต้องและเหมาะสมตอ่ ไป ๔. แม้ว่าการเดินทางมาสักการะสังเวชนียสถานท่ีอินเดียและ เนปาลจะลาบากและมีปัญหาบ้าง แต่ผมก็สนับสนุนให้พระไทย เดินทางมาอินเดียเพราะเป็ นแดนพุทธภูมิที่จาเป็ นต้องมาระลึกถึงพระ พทุ ธองค์ มาเพื่อจะเห็นสิ่งต่างๆ ท่ีจะทาให้เกิดปัญญาสาหรับการพฒั นา
คู่มือแสวงบุญ ๑๑๘ จิต และท่ีสาคญั จะทาให้เกิดความรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่เราเกิดมาเป็ น คนไทย และคนไทยนีส้ ามารถส่งเสริมความสมั พนั ธ์ทางด้านวฒั นธรรม และศาสนากับอินเดียเพ่ือประโยชน์ร่วมกนั ของทงั้ สองประเทศ พระสงฆ์ จะเป็ นผ้ทู ่ีเข้าถึงจิตใจของคนได้เป็ นด่านแรกและจะมีบทบาทสาคญั ใน ฐานะผ้สู อนผ้เู ผยแพร่พุทธศาสนาซึ่งไทยเรามีความเข้มแข็งท่ีสุดในโลก แหง่ หนง่ึ ก็หวงั ว่าคาแนะนานีจ้ ะเป็ นประโยชน์กบั พระคณุ เจ้าและท่านเจ้า คณุ พระอาจารย์และหลวงพอ่ ทงั้ หลายรวมทงั้ คณะลกู ศษิ ย์ท่ีเก่ียวข้องทกุ ทา่ นครับ ด้วยความปรารถนาดี พลเดช วรฉตั ร
คูม่ อื แสวงบุญ ๑๑๙ ทม่ี ำภำพ : http://gallery.palungjit.com/
คู่มอื แสวงบญุ ๑๒๐ วดั ไทยในอนิ เดีย ๑. วัดไทยพุทธคยา (๑) ๙๑-๐๖๓๑๔๐๐-๔๗๐ BODHI - GAYA .,GAYA, BIHAR.,INDIA http://www.watthaibuddhagaya.com/ ๒. วัดไทยกุสนิ าราเฉลิมราชย์ (91) 556-471189 (91) 556-472089 P.O. BOX KUSHINAGAR DISTT. , PADRAUNA U.P. 224403 http://www.watthaikusinara.org ๓. วัดป่ าพทุ ธคยา 91-631-400527 91-631-400527 BODHI- GAYA, GAYA, BIHAR .,INDIA
คู่มอื แสวงบญุ ๑๒๑ ๔. วัดมฤคทายวันมหาวิหาร (วัดไทยสารนาถ) (001-91) 542- 385-001, 385-744 P.O. SARNATH DIST. VARANASI U.P., INDIA ๕. วัดไทยนาลันทา 91-06112-74819 P.O.NALANDA 803111.,BIHAR.,INDIA ๖. วัดไทยเชตวันมหาวิหาร กาลงั ดาเนินการก่อสร้างภายใต้การดแู ลของศาสนิกชนชาวไทย และ ชาวพทุ ธทวั่ โลก http://www.watthaichetavan.org/ ๗. วัดอโศกพทุ ธวิหาร เมืองจัณฑกิ าร์ 91-0172-785970 91-0172-785970 KHUDA ALISHER.,CHANDIGARH.,INDIA
คู่มอื แสวงบญุ ๑๒๒ ๘. วัดไทยสาวัตถี SAHET MAHER P.O. SHRAVASTI DIST. BARHRAIH U.P., ๙. วัดกุสาวดพี ทุ ธวหิ าร (91) 556-472034 (91) 556-472034 262 NEW NO. T-81 POST KUSHINAGAR.,DISTT, KUSHINAGAR, U.P. 274403 .,INDIA ๑๐. วัดอัมเบคการ์พทุ ธมหาสภา ., เจ้าอาวาส : : พระมหาสายนั ต์ มทพุ จน์ตระกลู DADUMAJRA COLONY, SECTOR 38(WEST) CHANDIGARTH 160014.,INDIA ๑๑. วัดไทยนาลันทา NALAND VIHARSSHERLIF BIHAR INDIA ๑๒. วัดไทยไวสาลี
คมู่ ือแสวงบุญ ๑๒๓ หนว่ ยงำนที่เกีย่ วข้องของไทย สถานเอกอัครราชทูตไทย เมืองเดลี (Royal Thai Embassy) F-4/5 Vasant Vihar, New Delhi, 110057 Tel. (+91 11) 2615 0130-34 Fax. (+91 11) 2615 0128-29 E-mail: [email protected] Homepage: http://www.thaiemb.org.in สถานกงสุลใหญ่ เมืองมุมไบ (Royal Thai Consulate-General) First Floor, Dalamal House Jamnalal Bajai Marg, Nariman Point Mumbai 400-021 Tel. : (91-22) 2282-3535 Fax. : (91-22) 2281-0808 E-mail : [email protected] Website : http://www.thaiembassy.org/mumbai
คู่มือแสวงบญุ ๑๒๔ กรมศาสนา - Depoatment of Religious Affairs Depoatment of Religious Affairs http://www.dra.go.th สานักพุทธศาสนา http://www.onab.go.th/ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย – Mahachulalongkornrajavidyalaya University http://www.mcu.ac.th มหาเถรสมาคม The Sangha Supreme Council http://www.mahathera.org/
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๒๕ บันทกึ ข้อความ …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๒๖ …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………
คูม่ ือแสวงบุญ ๑๒๗ …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………….
ค่มู อื แสวงบญุ ๑๒๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128