Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิทานชาดกอันดับที่5

นิทานชาดกอันดับที่5

Description: นิทานชาดกอันดับที่5

Search

Read the Text Version

r

นิทานชาดกเล่มห้า ร:๑ เมื่อเศรษฐีทราบเรื่องที่เกิดขึ้น จึงให้จัดการทำศพมารดาของ นางโรหิณี แล้วกล่าวว่า \"ศัตรูที่ป็ปัญญายังดีกว่าปีคนช่วยเหลือที่ใง่เขลา ดูสิ นาง โรหิณีฆ่ามารดาตายแล้ว ได้แต่ร้องไห้ครํ่าครวญอยู่\" 'ประชุมขๆดก พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงประ'ขุมซาดกว่า มารตานางโรหิฌี,ในศรง'นั้น ใด้มาเป็นมารดานาง โรหิณีในศรั้งนี้ นางโรหิณี ในครั้ง'นั้น ใด้มาเป็นนางโรหิณี ในครั้งนี้ เศรษฐี ได้มาเป็นพระองค์เอง ฟ้อคิดจากซาดก ๑. ศัตรูที่น่ากสัวมาก คือศัตรูที่ฉลาด มีความรู้ศวามสามารถ เพราะอาจจะทำร้ายเราได้หลายๆวิธี ทำ ให้เราต้องระมัดระวังมาก แต่ผู้ที่น่ากสัวกว่า'นั้น คือผู้ที่โง'เขลาขาดเหตุผล หรือวิกลจริต แม้ จะเป็นมิตรก็น่ากสัวกว่าศัตรู เพราะอาจก่อเหตุร้ายที่เหนือการ คาดเดาขึ้นได้ ๒. อย่าไ'วั1จใ'ธ้งานคนที่โง่เง่าบ้าๆมอๆเด็ดขาด เพราะ จะทำให้งานใหญ่เสีย

๕]ท นิทานชาดกเล่มห้า ๓. คนเรานั้น แม้จะมีความชื่อสัตย์ กตัญณูกตเวทีก็ยังไม่พอ จะต้องมีลติสัมปชัญญะประกอบอยู่ด้วยเสมอ อร'บายฟัฬท์ (โรหิณีชาดก อ่านว่า โร-หิ-ณี-ชา-ดก) โรงกระเดื๋อง โรงที่ใชัสำหรับตำข้าว กระเดื่องเป็นเครื่องตำข้าว สากตำช้าว ชนิดหนึ่ง ใข้เท้าเหยียบปลายกระเดื่อง แล้วถีบ ให้กระดก เป็นสากไม้ สักษณะกลมใหญ่ขนาดต้นแขน ยาวประมาณเท่าตัวคน ตรงกลางคอด 'พระคาดา'ชระจำชาดก เลยโย อมิตโต เมธาวี ยณฺเจ พาลานุกมปโก ปลฺล โรหิณิกํ ชมฺมิ มาตริ หนตวาน ศัตรูที่มีปัญญา ยังดีกว่าคนช่วยเหลือทีโง'เขลา ดูสิ นางโรหิณีฆ่ามารดาตายแล้ว ไต้แต่ร้องไห้ครํ่าครวญอยู่

อารามพูสกชาดก ชาดกแสดงถึงความฉลาดในสิ่งไม่เป็นประโยชน์ สดๆนทึ่ดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สๆเทดุที่ตรสซาดก พระสัมมาล้มพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไป ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในแคว้นโกศล คหบดีผู้หนึ่งได้นิมนต์พระพุทธ- องค์และพระภิกษุสงฆ์ ให้ประทับในสวนของตน แล้วถวายภัตตาหาร หสังจากฉันภัตตาหารแล้ว พระภิกษุสงฆ์!ด้เดินซมสวนอันร่มรื่น สวยงามนั้น

(Srcr นิทานชาดกเล่มห้า ขณะที่พระภิกษุทั้งหลายกำลังชมความงามของหยู่ไ3Jใน สวนอยู่นน ได้ลังเกตเห็นบริเวณหนึ่งเป็นที่โล่งเตียน ไม'มีด้นไมขึ้นเลย จึงถามคนสวนว่า \"อุบาสก สวนนื้มต้นไมขนขียวชอุ่ม ร่มรื่น เย็นสบายดีจริง ๆ แต่ทำ ไมบริเวณตรงนี้ จึงไมมต่นไมขื้นเลยสักต้นล่ะ\" คนสวนจึงตอบว่า \"เมื่อเริ่มปลูกต้นไม้ไนสวนนี้เด็กทำสวนคนหนึ่ง ไต้ถอน ต้นไม้ที่เพิ่งปลูกขืนมาดูดวามยาวของรากก่อนจะรดนี้า ต้นไม้จึง ตายหมด ทีต่ รงนี้นจึงโล่งเดียนไปอย่างที่พระคณเจ้าเห็น ขอรับ\" หลังจากซมสวนแล้ว พระภิกษุทั้งหลายจึงพากันไปเฝัา พระลัมมาลัมพุทธเจ้า กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระบรม- ศาสดาทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า \"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เด็กคนนนไม่ได้เป็นคนทำลายสวน แต่ในชาตินี้เท่านน แม้ในชาติก่อนก็เคยทำลายสวนมาแล้วเหมือนก้น\" ตรัสแล้วพระพุทธองค์ทรงนำ อๆฮๆมทูรกขๆดก มาตรัส เล่าดังนี้ เนอหาชาดก ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบ้ติกรุง- พาราณสี มีนายอุทยานคนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลพระราชอุทยานของ พระเจ้าพรหมทัต

นิทานขาดทเล่มห้า ๕๕ วันหนึ่ง มีงานนักขัตฤกษ์ในเมือง ชาวเมืองทั้งหลาย ต่าง พากันไปเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนาน นายอุทยานอยากออกไป เที่ยวสนุก เช่นคนอื่น ๆบ้าง แต่ก็เป็นห่วงว่า ต้นไมืไนพระราชอุทยาน ที่เพิ่งปลูกจะขาดนํ้า เนึ่องจากเป็นฤดูแล้ง ถ้าตนจะออกไปเที่ยวเสีย ก็จะไม'มืไครรดนํ้าต้นไม้ แต่แล้วนายอุทยานก็นึกถึง^งลิง ที่อาต้'ยอยู่ไนพระราชอุทยาน หวังจะไห้ฝูงลิงช่วยรดนํ้าต้นไม้แทนตน จึงเดินไปหาลิงที่เป็นจ่าฝูง แล้วกล่าวว่า \"นี่แน่ะ เพื่อน เราเดยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม'น้อย อุทยาน นี่เป็นที่อยู่ที'กินของเพื่อน เพื่อนคงอยากให้อุทยานนี่ สวยงาม อุดมสมบูรณ์ตลอดไปใช่ไหม ?\" \"ใช่ซิท่าน ถ้าไม'มีอุทยานนี่พวกฉันคงลำบาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ท่านคอยดูแลเอาใจใส'บำ รุงรักษาต้นไม้ให้ออกดอกออกผล ตามฤดูกาล นับว่าท่านมีพระคุณต่อพวกฉันจริง ๆ\" ลิงจ่าฝูงตอบ \"แหม เราดีใจที่เพื่อนพูดอย่างนี่ แด'นี่แน่ะ...เพื่อน สองสาม วันนี่ ในเมีองมีงานนักขัตฤกษ์ฉันอยากจะไบํเที่ยวจริง ๆแต่ก็เป็น ห่วงว่า จะไม'มีใครรดนี่าต้นไมที่เพิ่งบํลูกไว้ ไม'ทราบว่า....ถ้าฉัน จะฝากเพื่อนช่วยดูแลรดนี่าให้ จะเป็นการรบกวนเกินไบํหรือเบํลำ f\" นายอุทยานถามทันที \"โธ่.... ไม'รบกวนอะไรหรอก เชิญท่านไบํเที่ยวให้สบายใจ เถิด พวกฉันจะเอาใจใส่ ดูแลรดนี่าให้ อย่างดีทีเดียว\" ลิงจ่าฝูง รับปาก



นิทานชาดกเล่มห้า (ร:๗ นายอุทยานจึงนำ กระออม จำ นวนมาก มาวางไวให้ แล้ว ตนเองจึงออกไปเที่ยว เมื่อนายอุทยานไปแล้ว พวกลิงทั้งหลายจึง ฉวยกระออมเตรียมตักนํ้าจะรดต้นไม้ ขณะนนเอง ลิงจ่าฝูงเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง จึงรีบ กล่าวแก่บริวารว่า \"เดี๋ยว หยุดก่อน หยุด หยุด อย่าเพิ่งรีบตัก ทำ อย่างนั้น มันเปลืองนั้า เราควรจะถอนตันไม้มาดูรากเสียก่อนว่า รากยาวหรีอ รากสน ถ้ารากยาว เราก็รดมากหน่อย ถ้ารากสน เราก็รดน้อยหน่อย อย่างนี้จะไดไม'เปลืองนั้า เพราะน่าหายากอยู่ หมู่ปีฝนยิงไม่ค่อยตก อยู่ตัวย\" ลิงบริวารทั้งหลาย ต่างเห็นดีเห็นงามตามจ่าฝูง จึงช่วยกัน ถอนต้นไม้มาดูรากแล้วจึงรดนํ้า ขณะนน บัณฑิตผู้หนึ่งเดินผ่านมา เห็นพวกลิงถอนต้นไม้ ขึ้นมารดนํ้า จึงสอบถามลิง เมื่อทราบเรื่องแล้ว ก็ไต้แต่รำพึงว่า \"โธ่เอ๋ยเจ้าลิงโง่คิดจะทำประโยชน์แต่กลับทำเสียหาย\" จากนน จึงกล่าวเป็นคาถาว่า \"การประพฤติประโยชน์โดยผูไม่ฉลาดในประโยชน์ มิอาจ นำ ความสุขมาให้เลย ผู้มิปัญญาทราม ย่อมทำประโยชน์ให้เสีย เหมือนสีงที่ทำสวน ฉะนั้น\"

นิทานชาดกเล่มห้า บระชุมซๆดก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมซาดกว่า ริงจ่ๆฝูง ได้มาเป็นเด็กคนทำสวน บ้ณฟ้ตทึ่ผ่านมา ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคํดจากชาดก ๑. ผู้ที่ไม'ฉลาดในประโยชน์ แมคิดว่าจะทำประโยชน์ ก็ มักจะเป็นการทำให้เสียประโยชน์แทน คนเช่นนี้ มักไม'คิดถึงผลได้ ผลเสีย มักจะเลนอโครงการอะไรต่ออะไร ซึ่งเมื่อปฎิป้คิไปแล้ว แทนที่จะเกิดผลดี กสับเป็นผลเสีย เช่นเลนอให้คนพกอาวุธได้ โดย อ้างว่า เพื่อไว่ใซ้ปัองกันตัว แต่เมื่อคนเราต่างมีอาวธไว่ในครอบครอง ก็มักฮึกเหิม ใช้อาวุธทำร้ายกันเอง ตัดสินกันด้วยอารมณ์ และอาวุธ แทนที่จะใช้ปัญญาระงับปัญหา หรือเลนอให้ตํ้งลถานเริงรมย์ แหล่งอบายมุข เพื่อดึงดูดเงินตรา เช้าประเทศ ช้อเลนอนี้ ดูเผิน ๆ แล้วอาจเห็นว่าดี เพราะจะได้เงินตรา จากต่างประเทศ แต่ถ้ามองให้ลึก ๆ แล้ว กสับเป็นการทำให้คน เกียจคร้าน เป็นแหล่งเพาะนักเลงการพนัน นักเลงสุรา นักเลงผู้หญิง ฯลฯ ประเทศชาติก็เหมีอนตกอยู่ในความมีดมน ๒. ผู้ใดที่มีลูกน้องที่ไม่ฉลาด หากจะมอบหมายงานให้ทำ ควรกำหนดตารางงานให้ อย่าปล่อยให้ตัดสินใจวางแผนเอง เพราะ หากเกิดผิดพลาด กลายเป็นผลเสียหาย ยากแก่การแก็ใข

นิทานชาดกเล่มห้า ^๙ ๓. ผู้นำ ที่ฉลาดแต่มีลูกน้องโง' แสดงว่า ในอดีตชาติ แม้ ตนจะไม'ดื่มสุรา ไม'เสพยาเสพย์ติด แต่ก็มีส่วนสนับสนุน^นบ้าง ฉะนั้น ผู้นำ ที่ดี จึงควร■ฝืกลูกน้องไห้มีสติอยู่เสมอ ไม'ตกเป็นทาส ของสิ่งมีนเมา และอบายมุขนั้งปวง จะได้เกิดเป็นคนฉลาด อ&บๆยสัหท์ (อารามทูสกชาดก อ่านว่า อา-รา-มะ-ทู-สะ-กะ-ชา-ดก) อารๆม สวนที่น่ารื่นรมย์, อุทยาน บุคคลผู้'ประทุษร้าย ทูอก ที่ตักนํ้า มีลักษณะคล้ายหม้อ ทำ ด้วยไม้ กระออม ก็มี หนังก็มี 'พระดาดๆ'ประจำซๆดก น เว อนตฺถกุสเลน อตฺถจริยา สุขาวหา หาเปติ อตฺถํ ทุมฺเมใธ กปิ อารามิใก ยถา การประพฤติประโยชน์ โดยผู้Iม'ฉลาดไนประโยชน์ มิอาจนำความสุขมาไห้เลย ผู้มีปัญญาทราม ย่อมทำประโยชน์ไห้เสีย เหมีอนลิงที่ทำสวน ฉะนั้น

วารุณิชาดก ชาดกว่าด้วยความสู่รู้อวดฉลาด สฟิๆนทึ่ดรฟิซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ดาแฬดุทึ่ตรดฃๆดก เพื่อนคนหนึ่งของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นพ่อค้าเหล้า มีฝืมือเป็นเลิศในการผสมเหล้า เป็นที่ติดอกติดใจของบรรดาคอเหล้า ที่งหลาย แต่ละวันจะมืลูกค้ามานั่งดื่มที่ร้าน อย่างอุ่นหนาฝาคั่งตลอด

นิทานชาดกเล่มห้า ๖๑ วันหนึ่ง อากาศร้อนอบอ้าว เขาผลมเหล้าขายจนเหงื่อไหล ไคลย้อย เหนียวตัวไปหมด จึงใช้ไห้ลูกจ้างขายแทน แล้วไปอาบนํ้า ขณะที่ลูกจ้างรินเหล้าขายอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นว่า พวก คอเหล้าทงหลาย มักจะไปล้วงเกลือในไหที่ตั้งไว้ มาเคี้ยวกินอยู่เรื่อย ๆ เขาคิดว่า เหล้าคงมีรสอ่อนเกินไป จึงเทเกลือ ทะนานหนึ่ง ลงไป ในไหเหล้า แล้วรินไปให้ลูกค้าที่สั่ง เมื่อลูกค้าเหล่านั้นดื่มเช้าไปแล้ว ต่างพากันบ้วนทิ้ง เอะอะ โวยวาย ว่าเหล้าเสีย บ้างก็มาตะคอกถาม บ้างก็ตรงเช้ามาจะทำร้าย หาว่าลูกจ้างนี้คิดจะแกล้ง แต่เมื่อลูกจ้าง นั้นบอกสาเหตุที่ตนผสมเกลือลงไป พวกคอเหล้าทงหลายจึงรุมด่าว่า เป็นการใหญ่ แล้วพากันลุกเดินออกจากร้านไปหมด เมื่อพ่อค้าเจ้าของร้านกสับมาเห็นร้านว่างเปล่า ไม'มีลูกค้า อยู่เลย ก็เลืกแปลกใจมาก ครั้นสอบถามไค้ความจริงแล้ว จึงไค้แต่ ตำ หนิในความโง'เขลาของลูกจ้าง แล้วเดินออกจากร้านไปด้วยอารมถ! ขุ่นมัว พสันนีกถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงแวะเช้าไปพูดคุย ระบายอารมณ์กับท่าน ท่านเศรษฐีจึงปลอบใจไปตามสมควร ครั้นเพื่อนกสับไปแล้ว ท่านจึงไปเย้าพระบรมศาสดา ณ เซตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่อง ทั้งหมดให้ทรงทราบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงระลืกชาติแต่ หนหสัง ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า \"มิใช่แต่ชาตินี้เท่านํ้น ที่ชายคนนี้ท่าเหล้าเสีย แม้ในชาติก่อน ก็ท่าให้เหล้าเสียมาแล้วเหมือนกัน\" แล้วทรงนำ จๆรผิ,ชๆดก มาตรัสเล่า ตังนี้

นิทานขาดกเล่มห้า เนอพๆ!!ๆดก ณ กรุงพาราณสี มีพ่อค้าคนหนึ่งมีฝืมือในการปรุงเหล้า เป็นที่ติดอกติดใจของบรรดาคอเหล้าทั้งหลายเป็นอย่างมาท ทุก ๆ วัน จะมีลูกค้ามานั่งดี่มที่ร้าน ตํ้งแต่เริ่มปาย ไปจนถึง เย็น ครนแดดร่มลมตก คนก็ยิ่งแน่น ขึ้นซื่อว่าคอเหล้าแล้ว ใครไม่มา นั่งดื่มเหล้าที่ร้านนี้ เป็นไม่มี วันหนึ่ง พ่อค้าขายเหล้าให้ลูกค้ามาตงแต่ปาย เสึกร้อน และเหนียวตัวเป็นกำลัง จึงร้องลังลูกจ้างคนหนึงว่า \"นี่แน่ะ ใกณทัญญะ เดี๋ยวข้าจะไปอาบนํ้าลักหน่อย ร้อน จริง ๆ เอ็งมาขายแทนข้าสักประเดียวเถอะ\" เมื่อพ่อค้าเดินไปแล้ว นายโกณทัญญะก็ยกเหล้าไปบริการ ลูกค้า ตามที่สั่ง \"มาแล้วจ๊ะ นาย เหล้าปรุงชั้นเยี่ยม\" ลูกค้าคนนน เห็นนายโกณทัญญะซื่งเป็นลูกจ้าง ยกเหล้ามา จึงสั่งว่า \"นี่ ไล้น้อง!! เอ็งช่วยหยิบเกลือให้สักกำมือเถอะ\" ลูกค้าคนอื่น ๆ ก็พลอยลังตามด้วย \"เออ นี่ เอาให้ข้ากำมือนึงด้วยนะ\" \"ข้าด้วย ๆ แหม!! ดื่มเหล้าด้องเดี๋ยวเกลือ ถึงจะมัน\"

^■ร

๖(ร: นทานชาดกเล่มห้า ขณะที่หยิบเกลือไปให้ลูกค้า เขาคิดว่าเหล้าที่ขาย คงมีรส อ่อนไป จึงเทเกลือทํ้งทะนาน ลงไปในถังเหล้า แล้วรินไปให้ลูกค้า ที่ลั่ง \"มาแล้วจ๊ะ เหล้าสูตรใหม่ รสกำลังพอดี กินแล้วรับรองว่า จะติดใจไปนาน\" เมื่อลูกค้าดื่มเข้าไป ก็ถึงกับลุกพรวดขึนทันที \"เฮย!! ไอ้เบี้อก เอ็งเอาอะไรใส่ลงไปวะ ?ff\" \"ถุย!!! นี่หรือวะ เหล้าสูตรใหม่ อยากจะอ้วก\" บางคน เมื่อดื่มแล้วก็บ้วนทิ้ง จนพื้นร้านเลอะเทอะเปรอะเปีอน ไปหมด บ้างก็ตรงเข้ามากระซากคอเสื้อนายโกณทัญญะ แล้วตะคอก ถามเลียงเขียวว่า \"เอ็งคิดจะแกล้งข้า หรือไงวะf\" \"เปส่าจ๊ะพี่ ฉัน..เอ้อ...\" นายโกณทัญญะตอบอ้อมแอ้ม ด้วยความกลัว \"ก็ฉันเห็นพวกพี่ขอเกลือไปเคี้ยวกัน ฉันคิดว่าเหล้าคงจะ จืดไป ก็เลยเติมเกลือลงไปจ๊ะ ขอไดีโปรด...\" นายโกณทัญญะ ร้องอ้อนวอน ให้ชายคนนั้นปล่อยตัว \"โธ่เอ๊ย ไอ็โง' ไอ้เวร ไอ้สู่รู้ กูไม่เคยเห็นใครโง่เท่าเอ็งเลย หนอย... เลือกเอาเกลือมาใส่เหล้า ถุย\"

นิทานชาดกเล่มห้า ๖๕ ลูกค้าทั้งหลายพากันบ่นว่าต่าง ๆนานา แลวเดินออกจาก ร้านไปจนหมด เมื่อพ่อค้ากลับมา เห็นดังนํ้นก็ตกใจ ครนสอบถาม ได้ความแล้ว ก็ได้แต่ด่าว่านายโกณทัญญะ แล้วนำเรื่องนี้ไปปรับทุกข์ กับเศรษฐีที่เป็นเพื่อนกันฟัง เศรษฐีจึงปลอบโยน แล้วกล่าวว่า \"การประพฤติประโยชน์โดยคนที'ไม่ฉลาดในประโยชน์ ย่อมไม่นำความสุขมาให้เลย คนมีปัญญาทรามย่อมทำประโยชน์ ให้เสียไป เหมีอนนายโกณทัญญะ ทำ เหล้าดี ๆ ให้เสีย ฉะใfน\" บระซุมซๆดก พระสัมมาลัมทุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า นๆนโกผ.ๆทัญญะ ได้มาเป็นลูกจ้างผู้ทำเหล้า เสียในศรั้งนี้ เศรษฐี!.พื๋อนพ่อค้ๆเฬลัๆ ได้มาเป็นพระองค์เอง พ่อคิดจากอๆตก ๑. คนที่ขาดศวามรอบ!'คิดว่าตนฉลาด มักคาดคะเน และ กระทำการ ตามความเข้าใจของตน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย อยู่เลมอ ๒. คนที่ตํ้งใจทำดี แต่ไม่ไดดี เพราะ 0. พ่ๆไม่ดูกคิ เหมือนคนโง่ แต่ขยัน ตัวอย่,างเซ,่น คนยักเ4สือ แทนที1'จะขยรีตรงจุด^ทีลกปรก ก็มัวแต่ไปขยี้ที่อื่น ขยี้ไม่ถูกที่ลักที ถึงจะเสียเวลายักนาน เสื้อก็ไม่ ละอาด

<0๖ นิทานชาดกเล่มนา ๒. ทำ ไม่ดงต เหมือนคนฉลาด แต่ขี้เกียจ ตัวอย่างเช่น คนซักเสื้อ เวาควรจะขยี้ตรงไหน ขยี้ นานแค'ไหน แต่ก็ไม่ทำอย่างนั้น กลับทำเพียงสักแต่ว่าซัก ขยี้สอง สามที พอไดชื่อว่าซักแล้ว เสือก็ไม่สะอาด ค. ทำ ไม่พอตี เหมือนคนฉลาด,ขยัน แต่ไม่เประมาณ ตัวอย่างเช่น คนซักเสื้อ ขยี้จนเสื้อสะอาดแล้ว ก็ยังขยี้ ตรงนั้นต่อไปอีก ในที่ลุด เสื้อเลยขาด ตังนั้น การทำความดี จะต้องทำให้ ดูกตี รงตี และพอดี นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องมื เรอาตี ถูกกาอ ต้วย ตังเช่น แม้เรา จะซักเสื้อผ้าไต้สะอาดแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาผึ่งแดดให้แห้ง และนำมา รีดให้เรียบอีก จึงจะไดีดี คือเป็นผลให้นำเสื้อมาใส่ไต้ ๓. ในขณะที่เราทำความดีแล้ว แต่ผลแห่งความดียังไม่ปรากฏ ซัดเจนนั้น มิไต้หมายความว่าเราจะยังไม่ไดดีเสืยทีเดียว แต่เราจะไต้ รับผลในระตับตังนี้ คือ 0. ระดับรตใจ จะไต้รับความชื่นใจทันที เพราะเตัวว่า ตนทำความดีแล้ว ๒. ระดับบุคอก เมื่อทำความดีปอยๆจนเคยชินแล้ว ก็จะคิดแต่เรื่องดี ๆพูดดี ๆ การแสดงออกจะเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึน ท. ระดับวดีซีวต จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ที่เคยทำชั่ว บ้าง แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะไม่ทำ จะเลือกคบคน และไปมาหาสู่กัน ในหมู่คนดี ผู้หลัก^หญ่ที่มืคุณธรรม จะเมตตา ๔. ระดับสังคม บุคคลรอบช้าง จะยอมรับว่าเป็นคนดี จริง ๆให้ความเชื่อถือ ให้ความเคารพยำเกรง

นิทานชาดกเล่มห้า ๖๗ อรบายฟั'ฬฑ์ (วารุณิชาดก ย่านว่า วา-รุ-นิ-ขา-ดก) าาชุณ เหล้า ทะนาน เครื่องตวงชนิดหนึ่ง ทำ ด้วยกะโหลกมะพร้าว บระคาดา'ประอำยาดก น เว อนตุถกุสเลน อตุถจริยา สุขาวหา หาเปติ อตฺถํ ทุมฺเมใธ โกณฑณโณฺ วารณึ๋ ยถา การประพฤติประโยชน์ โดยคนที่ไม'ฉลาดในประโยชน์ ย่อมไม่นำความสุขมาให้เลย คนที่มีปัญญาทราม ย่อมทำประโยชน์ให้เสียไป เหมือนนายโกณทํญญะทำเหล้าดี ๆให้เสีย ฉะนั้น

เวทัพพชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รฺจักกาลเทศ; นทดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สๆเ.พดุฬึ่ดรสซๆตก ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งมีนิสัยดื้อรั้น ว่ายากสอนยาก จนกระทังเพือนพระภิกษุต่างเอือมระอาที'จะว่ากล่าว ตักเตือนไปตาม ๆ กัน

นิทานชาดกเล่มห้า น,๙ ครั้นความทราบถึงพระสัมมาล้มพุทธเจ้า พระพุทธองค์ จึงทรงระลึกชาติด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วตรัสเตือนสติว่า \"ดูก่อนภิกษุ เธอมิได้เป็นผู้ว่ายากแต่ในชาตินี้เท่าทน แมิในกาลก่อนเธอก็เป็นผู้ว่ายาก ไม่เชื่อ'ด้งคำเตือนของบัณฑิต จึงถูกด้นขาดสองท่อน แล้วย้งเป็นเหตุให้คนอีกตั้งพันด้องตาย ตามไปด้วย\" ตรัสดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ทรงนำ เวพัพ'พชาดก มาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้ เนอทาชาดก ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมปติกรุง พาราณสี มีพราหมณ์คนหนึ่ง รู้มนต์ชื่อ เจทัพพะ ชื่งเป็นมนต์วิเศษ เมื่อถึงคราวฤกษ์ คือจังหวะที่ดวงอาทิตย์ ดวงดาว และดวงจันทร์ อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ซึ่งในปีหนึ่ง ๆ จะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พราหมณ์จะร่ายมนต์แล้วแหงนดูท้องพีา เพชรนิลจินดาอันหาค่ามิได้ ก็จะไหลหลั่งลงมาจากท้องฟัาราวกับสายฝนทีเดียว อยู่มาวันหนึ่ง เวท้พพพราหมณ์มีกิจธุระต้องเดินทางไปยัง แคว้นเจติ จึงพาศิษย์คนหนึ่งไปด้วย ขณะที่กำสังเดินทางอยู่ในป่านั้น มีโจรค่าไถ่ ๕๐๐ คนกรูกันเข้ามาจับพราหมณ์อาจารย์และศิษย์ไว้ หัวหน้าใจรกล่าวแก่ศิษย์ว่า

qIo นิทานชาดกเล่มห้า \"เฮย! ไอ้หนุ่ม ข้าจะปล่อยเอ็งไป ไห้เอ็งหาเงินมาไถ่ อาจารย์ภายใน ๓ วันนี้นะโว้ย ถ้าไม'เอามาให้ล่ะก็ ฮ่ะ...ฮ่ะ... อาจารย์เอ็ง....ตาย\" ศิษย์จึงขอเข้าพูดคุยกับอาจารย์ แล้วกล่าวเตือนอาจารย์ว่า \"ท่านอาจารย์อย่าวิตกเลยนะครับ กระผมจะรีบกลับมา ให้ทันไถ่ตัวอาจารย์ อีกอย่างหนึ่ง วันนี้เป็นวันฤกษ์ดี แต่อาจารย์ อย่าได้ร่ายมนต์เป็นอันขาด มิฉะนี้นโจรมันอาจทำอันตรายอาจารย์ ถึงแก'ชีวิตได้' เมื่อกล่าวเตือนอาจารย์แล้ว ศิษย์ก็ลาจากไป คํ่าคืน่นั้นเอง เมื่อดวงจันทร์ทอแสงนวลเต็มดวงแล้ว เวทัพพ- พราหมณ์แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แล้วคิดว่า เวลานี้ได้ฤกษ์ที่จะให้ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมาแล้ว ถ้าหากเราร่ายมนต์ แล้วเอาเพชรนิลจินดาให้พวกโจรเสีย มันคง จะปล่อยเราไป ไม'ด้องมาถูกมัดจนปวดไปหมดนี้งตัวอย่างนี้.....\" คิดดังนั้นแล้ว พราหมณ์จึงร้องขึ้นว่า \"นี่แน่ะ.. ท่านนายโจร! ท่านจับเรามัดไว้อย่างนี้ ท่าน ต้องการอะไร\" \"ถามได้!!! ก็ต้องการค่าไถ'น่ะซิ\" นายโจรตอบ \"ถ้าอย่างนี้น ท่านจงรีบแก้มัดเราโดยเร็วเถิด ดูสี...ดวงจันทร์ เต็มดวงลว่างไลว ได้ฤกษ์เห'งมนต์เวทัพพะของเราพอดี โอกาสเข่นนี้ เพิ่งจะปีในวันนี้เท่านี้น ถ้าเราได้ร่ายมนต์ในเวลานี้ ฝนแก้วก็จะ ไหลหลั่งลงมาเป็นเพชรนิลจินดามากมาย\"

นิทานชาดกเล่มห้า ๗๑ หัวหน้าโจรได้ฟังก็เสีกสนใจ จึงรีบแก้มัดพราหมณ์ เมื่อ พราหมณ์อาบนํ้าชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว จึงทำพิธีร่ายมนต์แล้ว แหงนหน้าขึนมองฟัา ทันไดนั้น เพชรนิลจินดาต่าง ๆ ก็หลั่งลงมาจากท้องฟัา มากมายราวสายฝน พวกโจรต่างวิ่งเข้าไปเก็บกันชุลมุน เมื่อได้เพชรนิลจินดามากมายแล้ว วันรุ่งขึ้นโจรจึงออก เดินทางต่อไป แม้พราหมณ์เองก็ด้องไปกับพวกโจรด้วย เพราะ ไม่อาจอยู่ตามลำพังในป่าได้ ระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น ได้มีโจร อีกกลุ่มหนึ่งจำนวน ๕๐๐ คนเหมีอนกันผ่านมาพอดี เมื่อเห็นโจร กลุ่มแรกแบกทร้พย์ลมป่ดิมา จึงคิดว่า \"...ดีละ ไอ้พวกใJนมันคงเพิ่งได้ทรัพย์มา กำลังดีใจ ไม่ทัน ระวังตัว เราจะฉวยโอกาสปล้นมันต่ออีกทีล่ะ...\" คิดแล้วก็ลั่งสมุนให้กระจายกำลัง โอบล้อมโจรกลุ่มแรกไว้ ทันที แล้วร้องขึ้นว่า \"เอ้ย.. ไอ้!จรปา ข้าล้อมพวกเอ็งไวัหมดแล้ว อ้าไม่อยาก ตายก็จงทิ้งดาบลง แล้ววางห่อสมปตินนเสีย\" หัวหน้าโจรที่ถูกล้อมจึงตอบว่า \"นี่แนะเพื่อน... สมปติที'พวกข้าแบกกันมานี่ ได้มาจากการ ร่ายมนต่วิเศษของพราหมณ์คนนี่น ข้าจับเขาได้เมื่อวาน ตกคํ่าเขาก็ ร่ายมนต์เรียกเพชรนิลจินดาได้ อ้าเพื่อนอยากได้ก็ได้พราหมณ์

๗๒ นิทานชาดกเล่มห้า ร่ายมนต์ใหซิ\" พลางส่งตัวเวทัพพพราหมณ์ให้ แล้วเดินจากไป นายโจรกลุ่มที่สองจึงซักถามพราหมณ์ \"จริงรึ พราหมณ์\" \"จริงจ๊ะ\" พราหมณ์ตอบอย่างละลํ่าละลัก \"ดีละ! ถ้าอย่างนํ้น เจ้าต้องร่ายมนต์ให้ข้าบ้าง\" \"แต์มนต์วเศษของข้า จะร่ายไต้เพียงปีละครงเดียวเท่านน ถ้าท่านต้องการก็ต้องรอปีหน้าถึงจะไต้' นายโจรได้ฟังรูสึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันที ร้องขึ้นว่า \"ชะข้า ไอ้พราหมณ์เจ้าเล่ห์ ทีพวกมันจับเจ้าไปไม'ทันข้ามคืน เจ้าก็ร่ายมนต์ให้แจ้ว แต่ทีข้าจะให้รอต้งปี พูดกวนโมโหมัก ตาย เสียเถอะ\" พูดไม่ทันขาดคำ ก็ตวัดดาบฟันพราหมณ์ขาดลองท่อนกลิง อยู่ข้างทางนันเอง พร้อมกันนันก็ลังสนไห้รีบตามและเข้าตีชิงทรัพย์ ของโจรกลุ่มแรกทันที โจรกลุ่มที่แบกทรัพย์ไว้^ม'ได้ จึงถูกฆ่าตาย จนหมด เมื่อโจรกลุ่มหลังได้ทรัพย์ของโจรกลุ่มแรกมาแล้วจึงออก เดินทางต่อไป ขณะเดินทางพวกโจรต่างเกิดความโลภ อยากได้ ทรัพย์นั้นมาเป็นของตนแต่ผู้เดียว จึงแตกกันเป็น ๒ พวก ต่างล้รบ กันจนพวกหนึ่งตายลิ้น แม้จะเหลือเพียงพวกเดียว ๒5:๐ คน ก็ยัง

m.

๗cr นิทานชาดกเล่มห้า แตกคอกันอีก จึงตะลุมบอนฆ่าฟันกันเองตายไปตาม ๆ กัน เหลืออยู่ เพียง ๒ คนเท่านน โจรทั้งลองจึงช่วยกันขนทรัพย์ลมป่ตินั้นมาซ่อนไว้Iกล้หมูบาน แห่งหนึ่ง ไห่โจรคนหนึ่งเฝัาไว้ ส่วนอีกคนเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้าน โจรที่เฝัาทรัพย์ลมบติอยู่คิดว่า ถ้าไอ้เจ้านั่นมันกลับมา เราจะต้องแบ่งสมบ้ติให้มัน ตงครึ'งหนึ่ง จัดการเก็บมันเสียเลยดีกว่าจะไต้หมดเรื่องหมดราว สมบ้ติทงหมดจะไต้เป็นของเราคนเดียว\" ฝ่ายโจรคนที'เข้าไปหาอาหารก็คิดเช่นเดียวกัน \"...เราเอายาพิษใสให้เจ้านั่นมันกินดีกว่า สมปติทั้งหมด จะไต้เป็นของเราคนเดียว\" คิดแล้วจึงรีบกินอาหารเสียก่อน แล้วเอายาพิษใส่อาหาร ที่เหลือ เลร็จแล้วจึงนำไปให้เพื่อน ทันทีที่วางอาหารลง เพื่อนโจร ก็ลวนดาบออกไปทันที เมื่อฆ่าเพื่อนแล้วจึงนำศพไปทิ้งไว้1นพงหญ้า แล้วลงมือกินอาหารด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่ออาหารเข้าปาก ยาพิษ ร้ายแรงก็แทรกซึมเข้าสู่ร'างกาย ลิ้นใจตายทันที เวลาล่วงไปได้ ๒ วัน ศิษย์ของพราหมณ์ได้นำเงินค่าไถ' มาให้นายโจร แต่ไม่พบใครเลย ครั้นเห็นเพชรนิลจินดาบางส่วนที่ตก เรี่ยราดอยู่ ก็เ'ว่าอาจารย์ไม่ฟังคำเตือนของตนเสียแล้ว เมื่อเดิน ต่อไปอีกสักหน่อยก็พบศพอาจารย์ถกตัดขาดลองท่อน เขารลืกลลดใจ

นิทานชาดกเล่มห้า ยิงนัก และเมื่อจัดการทำเชิงตะกอนเผาศพอาจารย์แล้วก็ออกเดินทาง ต่อไป พบศพของโจรทั้ง &•๐๐ ตายอย่างน่าอนาจ ล่งกลิ่นคาว คละคลุ้งไปทั่วป่า คเนเดินต่อไปก็เห็นศพโจรอีก ๒&•๐ เดินต่อไป ก็พบอก toar<^ ศพ จึงรู้ว่ารอดไปได้ ๒ คน จึงเดินทางไปเรือย \"■] ก็พบสมบ้ดิทีโจรมัดซ่อนไว้ มีโจรคนหนึงถูกยาพิษนอนตายทับ ห่อข้าวอยู่ เมือเดินสำรวจดูบริเวณใกล้ๆ ก็พบ®พโจรอีกศพหนึ่ง ถูกทิงไว้ในพงหญ้า จึงได้แต่รำพึงว่า \"ไม่น่าเลย เพราะอาจๆรย็ไม่เชื่อฟังคำของเรา จึงต้องมาตาย ในม่าน มิหนำชำ ยังทำให้คนอีกตังฟันพลอยตๆยตามไมิต้วย\" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า \"ผู้ไตปรารถนาม่ระโยขใรโดยอุบายอันไม่แยบคาย ผู้นน ย่อมเดือดร้อน เหมือนพวกโจรชาวเจดืรัฐฆ่าเวทัพ'คพราหม{น แล้วพากันถึงความพินาศหมดสิ้น ฉะนํ้น\" ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ขนเพชรนิลจินดานนกลับไปบ้านของตน จัดการทำบุญให้ทาน อุทิศล่วนกุศลให้เวทัพพพราหมทใ จากนน เป็นด้นไปก็ทำทาน รักษาศีลไปตลอดชีวิต ครั้นลิ้นชีวิตแล้ว ก็ไป บังเกิดในสวรรค์ตามกรรมดีที่ตนลร้างไว้ ล่วนอาจารย์และโจรทั้ง พันนนต่างตกนรกเพราะความหลงและความโลภของตน ^ระชุมซๆดก พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงประชุมซาดทว่า เรทํ'พ■พพราหมณ์ ได้มาเป็นพระภิกษุ^อรั้น สิษย์ชองพราหมณ์ ได้มาเป็นพระองค์เอง

๗๖ นิทานชาดกเล่มห้า ฟ้อคดจๆกซๆดก ๑. คนดื้อดึง ถือดึ ว่ายาก สอนยาก นับว่าเป็นโทษแก่ตนเอง อย่างยิ่ง จึงควรแก้1ขเสีย มิฉะ'นนอาจนำความเสียใจหรือความพินาศ ย่อยยับมาสู่ตนเองได้ ๒. คนโลภ'นน ถึงได้ทรัพย์มามากเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ความ โลภ นำ คน'ทั้งหลาย ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี ไปสู่ความหายนะมานับ ไม่ถ้วนแล้ว \"เพราะความโลภ เป็นเหตุแห่^วามพินาศและความตาย\" ๓. ผู้ฉลาดลามารถเปลี่ยนทรัพย์ทั้งหลายใ'ถ้เป็นบุญติดตัว ไปได้ ตังเช่นติษย์ของเว'ยัพพพราหมถ! ar. ผู้!ม'รู้จักกาลเทศะ ย่อมนำความพินาศมาสู่ตนเอง และ^น อริบๆยฟ้'ฬท์ (เวทัพพชาดก อ่านว่า เว-ทัพ-พะ-ชา-ดก) อกษ์ คราว หรือเวลา ซึ่งเหมาะหรือเป็นมงคลสำหรับงานนน ๆ ขเระดากๆ'ป§ะจๆอๆดก อ'นุปาเยน โย อตฺถํ อิจฺฉติ โล วิหณฺณติ เจตา หนลุ เวทพฺพํ ลพฺเพ เต พยลนมชฺฌคํ ผู้!ดปรารถนาประโยชน์ โดยอุบายอันไม่แยบคาย ผู้นนย่อมเดือดร้อน เหมือนพวกโจรชาวเจติรัฐฆ่าเวทัพพพราหมณ์ แล้วพากันถึงความพินาศหมดลิ้น ฉะนั้น

นักขัตตชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการถือฤกษ์ยาม สดๆนทีดธฟึซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สๆเฬดุที่ดรสซๆดก คหบดีบ้านนอกผู้หนึ่ง ได้!ปลู่ขอหญิงสาวชาวเมืองสาวัตถี คนหนึ่ง ให้บุตรชายของตน โดยตกลงนัดวันไปรับตัวเจ้าสาว กับ ทางครอบครัวของฝ่ายหญิงเป็นอย่างดี

นิทานชาดกเล่มห้า ครอบครัวทงสองฝ่าย ต่างจัดเตรียมงานมงคล เป็นที่ครึกคfน จนกระทั่งถึงกำหนดวันที่จะออกเดินทางไปรับตัวลูกสะใภ้ คหบดี นึกขึ้นได้ว่า ตนไม่ได้ดูฤกษ์ยาม จึงไปถาม อาชีวก ผู้หนึ่ง ซึ่งตน คุ้นเคย อาชีวกผู้นั้นเลึกขัดเคืองใจอยู่แล้ว คิดว่าคหบดีไม่นับถือตน เหมือนก่อน ไมรีบมาปรึกษาหารือแต่เนึ่น ๆ จึงแสร้งตอบไปว่า วันที่จะยกขันหมากไปนี้ เป็นวัน อัปมงคล ควรรออีกสักวันหนึ่ง คหบดีก็เชื่อ เมื่อถืงวันนัด ครอบครัวของเจ้าสาวรู้สึกไม่พอใจยิ่งนักที่ ฝ่ายเจ้าปาวไม่มาตามนัด จึงยกเจ้าสาวให้แต่งงานกับชายคนอื่น เสียในวันนั้น วันรุ่งขึ้น เมื่อขบวนขันหมากของลูกชายคหบดีบ้านนอก มาถึง จึงถูกตำหนิติเตียนและถูกขับไล่ เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันทั่วไป แม่ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมายังธรรมสภา ทอดพระเนตร เรหนพระภ\"ิกษ0ุสง,ฆํfส,นท,น,า1กันฯอ,,ย.ูe่l .ครฯั,น,ทร.,งส.อ,บ,ถามทราบความ,แ,ล,้yว จึงตรัสว่า \"ดูก่อน ภิกษุทงหลาย มิใช่แต่ในบ้ดนี้เท่านั้นหรอก ที่ อาชีวกได้ท่าลายงานมงคลชองตระกูลนี้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ท่าลาย งานมงคลของเขามาแล้วเช่นกัน\" จากนั้น พระพุทธองค์ทรงนำ นกชัตตชาดก มาตรัสเล่า ด้งส์

นิทานขาดทเล่มห้ๆ เนื้อฬาชาดก ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี คหบดี ซาวพระนครผู้หนึ่งมีความพอใจหญิงสาวชาวซนบทนางหนึ่ง จึง ไปตกลงสู่ขอนางให้บุตรชายของตน โดยกำหนดวันมารับตัวเจ้าสาว เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างเตรียมจัดงาน ทงตระเตรียม อาหารเลียงแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน เมื่อถึงกำหนดวันรับตัวเจ้าสาว คหบดีคิดว่า \"....เราจะไปลู่ขอลูกสะใภ้ทํ้งที ฤกษ์ยามก็ไมได้ดู เห็นว่า นางเป็นคนดี มีกิริยามารยาทเรียบร้อย สมเป็นแม่บ้านแม่เรีอน ....แต่ถาต่อไปมีเหตุเป็นไปล่ะ อย่าเสย เราควรไปปรึกษาอาจารย์ สักหน่อยดีกว่า...\" คหบดีจึงรีบไปกราบอาชีวกผู้หนึ่ง ซึ่งตนสนิทสนมคุ้นเคยกัน อย่างดี แจ้งเรีองทีตนจะไปสู่ขอหญิงสาวชาวชนบท มาให้ลูกชาย พร้อมกับถามถึงฤกษ์ยาม แต่อาชีวกผู้นี้ มีความขุ่นเคืองใจเป็นทุน อยู่แล้ว คิดว่า \"....เจ้าคนปี มันคิดว่ามันแน่ ไม่ปรึกษาเราก็ได้ นี่พอจะไป จริง ๆคงเกิดปอดขึ๋นมาล่ะซิ เราด้องสั่งสอนใบ้สำปีกเสียบ้าง.....\" จึงกล่าวว่า



นิทานขาดกเล่มห้า \"อะไรกัน.... วันนี้มีฤกษ์ที่ไหน เป็นวันมหาวินาศแท้ๆ ผูใดจัดงานมงคลในวันนี้ จะต้องถึงความวิบ้ติทำกินไม'ขน ฐานะ จะล่มจม ครอบครัว ลูก หลาน เหลน โหลน จะต้องล้มหายตายจาก เดือดร้อนกันไปหมดที่งตระกูลเลยทีเดียว\" \"แล้วฉันจะทำอย่างไรกันดีล่ะ\" คหบดีวิตกกังวลขึ้นมาทันที \"ถ้าต้นจากวันนี้ไปแล้ว ก็นับว่าใต้ไต้ฤกษ์จะดีขน แหม ทีหนัาทีหลังจะทำอะไรล่ะก็ ควรจะรีบมาปรกษากันเสียแต่เนิ่น ๆ มีอะไรจะไต้แกไขไต้ท้น มาถามกันกระท้นหันอย่างนี้แกไขล่าบาก\" อาชีวกพูดสำทับเข้าใหอีก คหบดีชาวพระนคร หลงกลของอาชีวก จึงไม่กล้าไปสู่ฃอ หญิงสาวตามนัด ฝ่ายทางบ้านของเจ้าสาว เฝัารอขบวนขันหมากทีงวัน เมึ่อ ไม่เห็นฝ่ายเจ้าปาวมาตามที่นัดไว้ จึงเสึกเสียหน้าและแค้นเคืองใจ ยิ่งนัก บิดาของนางจึงบอกยกนางให้กับชายหนุ่ม ลูกของเพื่อนบ้านไป ครั้นวันรุ่งขืน ขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าปาวยกมาถึง และ ถามหาเจ้าสาว จึงถูกขึ้หน้าด่าว่า \"อะไรกัน นัดว่าจะมาแล้วไม่มา เห็นว่าพวกข้าเป็นคน บ้านนอก จะทำอย่างไรก็ไต้งั้น่รึ ทำ อย่างนี้ไม่ลมกับเป็นmเสียเลย คนไม่รักษาคำพูด พวกข้าไม่มีเจ้าสาวจะให้แล้วละ กลับไปเสียเถอะ ไป็\"

c;j|£| นิทานชาดกเล่มห้า ฝ่ายเจ้าบ่าวพยายามชี้แจงว่า \"ขอโทษเถิดพ่อ ที่จริงพวกฉันก็เตรียมเดินทางกันมาแล้ว แต่เผอิญอาจารย์ดูฤกษ์แล้วบอกว่าฤกษ์ไมดิ พวกฉันจึงไม่กล้ามา กลัวว่าจะปีเหตุ ปีอันเป็นไป ขอให้พ่อพาเล้าลาวมาให้ฉันเถอะ\" \"โธ่เอ๋ย มัวแต่รอฤกษ์อยู่เซอะ แต่ข้ารออย่างเล้าไมได้หรอก ถึงเวลานัดแล้วไม่มา ก็ถือว่าเล้าไม่ด้องการ ข้ายกลูกลาวให้คนอืน ไปแล้ว...ชะ...ข้า.... นี่ล้าเถิดปีฤกษ์ดีอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ลูกสาวข้า มิต้องรอเล้าจนแก'เรอะ\" ทั้งลองฝ่ายใต้เถียงกันไปมา จนเกิดเป็นเรื่องราวทะเลาะกัน บังเอิญบัณฑิตชาวเมืองคนหนึ่ง ไบ่ทำกิจธุระในละแวกทั้น ไต้ทราบ เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงกล่าวเป็นคาถาว่า \"ประโยชน์ ฝานพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์ เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้\" เมื่อขบวนขนหมากของฝ่ายชาย ไมใต้เจ้าลาว ชำ บังเสียไมตร กับครอบครัวของฝ่ายหญิงอีกด้วย จึงไต้แต่เดินทางกลับไปดวยความ ผิดหวัง

นิทานชาดกเล่มห้า CJCTI ซๆดก พระสัมมาลัมทุทธเจ้า ทรงประชุมซาดกว่า อาชีรก ในครั้งนั้น ได้มาเป็นอาชีวกในครั้งนี้ ดiะกูอฑซออง ในครั้งนั้น ได้มาเป็นตระกูลทงสอง ในครั้งนี้ บัผ.ดิตซๆรเ,มือง ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากซๆดก ๑. การประกอบกิจการงานใด ควรคำนึงถึงเหตุผล ประโยชน์ ความเหมาะสม และกาลเวลาที่สมควร ไม่ควรถึอฤกษ์ยาม เพราะ เมือใดทีเราคิดดี พูดดี ทำ ดี เมื่อนั้น ฤกษ์งามยามดีก็มือยู่ในตัวเราเอง ๒. คนพาล มักคิดชั่ว พูดชั่ว ทำ ชั่ว เป็นปรกติ และพอใจ ที่จะเห็นความพินาคฉิบหาย ของ^น ๓. ผู้มืปัญญา เมื่อเห็นประโยชน์แล้ว ย่อมไม่ผัดวัน ประกันพรุ่งเป็นอันขาด ต้องรีบทำประโยชน์นั้นให้สำเร็จ เพราะ ประโยชน์เป็นฤกษ์ ของประโยชน์เอง

๘(ร: นิทานชาดกเล่มห้า อรบๆยฟั%นท์ (ใXกขัตตชาดก อ่านว่า นัก-ขัต-ตะ-ชา-ดก) ฤกษ์ฃๆม เวลาที่เหมาะเป็นชัยมงคลbd6^ IrlbKldN la/biJk61JU<NNri6l อๆรจก นักบวชนอกพระพุทธศาลนาพวกหนึ่ง ฃันฬมาก ชันใส่หมากพลู ซึ่งนำไปพร้อมกับของอื่น ๆใน พิธีหมั้นหรือแต่งงาน เป็นเครื่องกำนัลผู้ปกครอง อัษ์มงคอ ของฝ่ายหญิง ปราศจากมงคล ไม่เจริญ เป็นลางร้าย พระคาอๆษ์ระจำอๆดก นกขตฺตํ ปฏิมาเนนตํ อตุใถ พาลํ อุปจจคา อตฺใถ อตุถสฺส นกฺขตฺตํ กิ* กริสฺสนติ ตารกา ประโยชน์ ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้

ทุมเมธชาดก ชาดกว่าด้วยการHอำนาจให้เป็นประโยชน์ สดๆนทึ๋ดสัสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเฬดทึ๋ดสัสซาดก นับตั้งแต่วันตรัสรู้เป็นด้นมา พระบรมศาสดาสัมมาสัมทุทธเจ้า มิได้ทรงอยู่ว่างเลย ทรงออกประกาศพระศาสนาด้วยความยากลำบาก ยิ่ง ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ เสด็จไปโปรดสัตว์ โดยไม่เลือกว่า จะเป็นคนยากดีมีจนอย่างไร หนทางจะไกลํไกล ทุรกันดารเพียงไหน

c;5'b นิทานชาดกเล่มห้า พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เปียมล้นหาที่ลุดมิได้นี้ ทำ ให้ซาวโลกมีโอกาสได้ดื่มรสพระธรรมคำสั่งสอน ได้พบความสุข อันแท้จริงโดยทั่วหน้า และต่างพากันสรรเสริญพระเกียรติคุณอยู่มิได้ ขาดปาก ครั้งหนึ่งไนสมัยพุทธกาล ขณะที่พุทธบริษัททั่งหลาย กำ ลัง ประชุมสรรเสริญพระพุทธคุณอยู่นน พระพุทธองค์ก็ทรงถือโอกาส ปรารภถืงการบำเพ็ญประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ทรง ประทานแก่ชาวโลกไนอดีต สมัยเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็น พระโพธิลัตว์ เพื่อไห้เขาเหล่านั้นเกิดกำลังไจที่จะประพฤติธรรม ตามพระองค์ แล้วทรงตรัสเล่า ทุมเมธชๆตก มีเนี้อความว่า เนอทุๆซๆดก ครั้งหนึ่งไนอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี มีกษัตริย์พระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า %1ระเอัๆพรทุมฟัด พระองค์ทรงตงอยู่ไน ทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองไห้สงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ซึ่ง กำ เนิดจากพระอัครมเหสี พระองค์ทรงพระราชทานนามพระโอรสว่า ทุรทุมฟัด เช่นเดียวกับพระนามของพระองค์เอง พระราชกุมารพรหมท้ต ทรงมีพระสติบ้ญญาเฉลียวฉลาด ต่างกว่าเด็กทั่งทลายมาก เมื่อเจริญพระชันษาได้เพียง ๑๖ พรรษา

นิทานชาดกเล่มห้า (^GiJ ก็ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ชั้นสูงในสมัยนั้นสำแจหมดทั้ง ๑fjr แขนง ยิ่งกว่านั้นยังทรงเจนจบ ไตร!,'พฑ อีกด้วย ประชาชนซาวเมืองพาราณสี มืความภาคภูมิใจในความ เป็นอัจฉริยะของพระกุมารโดยทั่วหน้ากัน และถือพระองค์เสมือน เป็นความหวังอันสูงสุดของประชาชาติ ดังนั้น ในเวลาต่อมา พระราชบิดาจึงพระราชทานตำแหน่ง มหาอุปราชให้แก่พรหมทัดกุมารพระราชโอรส เพื่อจะได้ทรง'ช่วย ราชการงานแผ่นดินได้เต็มที่ และไกลชิดประชาชนยิ่งขึ้น เมื่อพรหมทัดกุมารทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชแล้ว พระองค์ ก็มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย หรือเห็นแก่ความสุขส่วนพระองค์ แต่ ทรงโปรดที่จะเสด็จดระเวนเยี่ยมเยียน บำ บัด'กุกข์ บำ รุงสุข ของราษฎร ทั้งใกล้และไกลอยู่เสมอ มิได้ว่างเว้น ทำ ให้ประชาราษฎร์เสึก อบอุ่นใจ โจรภู้ร้ายก็สงบราบคาบลง ในระหว่างนั้นเอง พระมหาอุปราชพรหมทัดทรงพบว่า ยังมืราษฎรชาวเมืองพาราณสีส่วนใหญ่มืความเห็นผิด ชอบบนบาน ผีสางเทวดาที่ตนคิดว่าศักดิ้สิทธ ให้'ช่วยดลบันดาลความสำเร็จให้ ดามที่ดนปรารกนา โดยไม'คิดทำมาหากิน ใ'ช้เรี่ยวแรงความพยายาม และสติปัญญาช่วยเหลือดนเอง ยิ่งนานวัน ประชาชนเหส่านั้นก็ยิ่งกลายเป็นคนโง่ไร้เหตุผล จะทำการงานอะไร ก็ต้องเลียเวลารอฤกษ์รอยาม จนกระทั่งบางครัง ก็เลียงาน และที่สำดัญที่สุดคือ กลายเป็นคนเกียจคร้านและตื่นช่าวง่าย

€^ นิทานชาดกเล่มห้า ในการกระทำพลีกรรมต่าง ๆ เพื่อใหผีลางเทวดาโปรดปราน ก็มักนิยมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เอาไปบวงสรวงเซ่นไหว้กันเป็นส่วนมาก เสียงสัตว์ที่กำสังจะถูกฆ่า ร้องระงมไม่เคยขาด พระองค์ทรงเสีก สังเวชพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่สัตว์จำนวนมากมาย ต้องมาสิ้นชีวิตลง เพราะความงมงายของซาวเมืองทั้งหลาย ดังทั้นพระองค์จึงทรงตง พระปณิธานเอาไว้ว่า วันไดที่พระองค์ขึ้นครองราชลมปติแล้ว จะ ไม่ยอมไห้มืการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสังเวยผีลางเทวดาเป็นอันขาด ตงแต่ทั้นเป็นต้นมา พระมหาอุปราชพรหมทัตก็ทรงครุ่นคิด ตริตรอง หาอุบายที่จะแก้ความเห็นผิดเหส่าทั้น ไนที่สุดทรงดำริว่า หากพระองค์จะทรงไข้อำนาจของตำแหน่งมหาอุปราชไนเวลานี้ สังห้ามประชาชนฆ่าสัตว์ เพื่อสังเวยเทวดา ก็ยังไม่ทรงแน่พระทัยว่า จะสำเร็จหรือไม่ ดีไม่ดีจะกลายเป็นการหักด้ามพร้าต้วยเข่า หรือ ถึงทรงทำไต้สำเร็จ ก็ไม่ไข่เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคน ประชาชนที่หลงงมงายมาก ๆ อาจจะแอบไปกระทำพลีกรรมไนที่ สับ ๆ ก็ไต้ ทรงคำนึงถึงภาษิตโบราณที่ว่า \"นาเชี่ยว อย่าขวางเรือ\" แล้วทรงตัดสินพระทัยที่จะดำเนินนโยบายโอนอ่อนผ่อนตาม ด้วย วิธีการอย่างไดอย่างหนึ่ง วันหนึ่ง เมื่อพระมหาอุปราชพรหมท้ตเลด็จออกเยิ่ยมเยียน ราษฎรตามปรกติ ทรงสังเกตเห็นคนจำนวนมาก ถึอเครื่องเข่น บวงลรวงไปที่ต้นไทรไหญ่ต้นหนึ่ง แล้วต่างคนก็บวงลรวง เข่นไหว้ บนบานขอไห้เทวดาซึ่งพวกเขาหลงเชื่อว่าสิงลถิตที่ต้นไทรนน

นิทานชาดกเล่มห้า (^๙ ประทานสิ่งต่างๆตามที่พวกเขาต้องการ เช่น ลูกชาย ลูกหญิง ยศต้กดิ้ และทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น พระมหาอุปราชพรหมทัตทอดพระเนตรแล้ว ก็ทรงคิดอุบาย ไต้ทันที จึงทรงมีรับสั่งให้หยุดชนวน แล้วเสด็จไปที่ต้นไทรใหญ่นํ้น ทรงแสร้งทำทีเป็นบนบานต่อเทพยดาต้วยอาการนบนอบ เช่นเดียวกับ ที่ซาวบ้านชาวเมีองทั้งหลายกระทำกัน หลังจากวันนันแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปที่ต้นไทรทั้นเสมอ ๆ โดยทรงนำดอกไม้ ชองหอมต่าง ๆไปบูชา ทำ ทีเป็นกล่าวคำอ้อนวอน ต่อเทพยดาทุกครั้ง ประชาชนนักบนเทวดาทังหลาย เห็นพระองค์ทรงปฎิบ้ต เช่นนันอยู'เนือง ๆ ก็พากันชื่นชมยกย่อง เพราะหลงเช้าใจว่า พระมหาอุปราชทรงมีพระราชนิยมให้การบนบาน เช่นเดียวกับพวกตน ต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมทัตพระราชบิดาเสด็จสวรรคต พระมหาอุปราชไต้เสด็จขึ้นครองราชย์ตามพระราชประเพณีนล้Q พระองค์ทรงบริหารพระราชภารกิจต่าง ๆไต้เป็นที่เรียบร้อย ทรง ทั้งอยู่ในธรรม ประชาชนต่างทำมาหากินกันโดยสะดวก ใต้รับความ ผาสุกโดยทั่วหน้ากัน วันหนืง พระองค์ทรงดำริว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่จะ ทรงทำให้พระปณิธานที่ทรงทั้งไว้ทั้งแต่ครั้งเป็นพระมหาอุปราช ว่าจะไมไห้มีการฆ่าลัตว้เพื่อลังเวยเทวดาให้ลัมฤทธผลเสียที จึงทรง เรียกประชุมเสนาอำมาตย์ และประชาชนคนสำคัญในเมือง เช่น

m

นิทานชาดกเล่มห้า ๙๑ พวกพราหมณ์ เศรษฐี และคหบดี แล้วตร้สปรารภว่า \"ท่านทั้งหลาย บัดนี้เราไดครองราชสมป้ติ ปกครองไพร่ท่า ประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข ลมดังความปรารถนาของเราแล้ว ท่านทราบไหมว่า ทำ ไมเราถึงได้ราชสมบ้ติ\" \"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้า พระเจ้าข้า\" อำ มาตย์ทั้งหลายตอบ \"เราจะบอกให้เมื่อครํ้งที่เราเป็นมหาอุปราช เราไดไปบูชา ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ท่านทั้งหลายก็เห็นไมใช่หรือ ???\" \"เคยเห็น พระเจ้าข้า\" ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน พระองค์จึงตรัสต่อไปว่า \"เมื่อก่อนนี้น เราไต้บนกับต้นไทรไว้ว่า ถ้าเราไต้ครองราช สมปติ เราจะทำพิธีบูชายัญ แล้วเดี๋ยวนี้ เราก็ไต้ครองราชสมบัติ สมใจแล้ว เพราะเทวดาช่วยเราแท้ๆทีเดียว\" ตรัสแล้วพระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ราวกับจะเฟันหาตัว ผู้อาสาช่วยเหลืองาน พลางตรัสต่อไปว่า \"ธรรมดาคนราต้องรักษาสัจจะ บัดนราไต้รบราชสมบัติแต้ว เราจึงต้องเรืยกพวกท่านทั้งหลายมาประชุมกัน เพึ่อขอร้องให้ช่วย จัดเครื่องพลีกรรมแท้บนให้เรา ให้ครบทีเถิด\" บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย ต่างแสดงอาการกุลืกุจอ รับ อาสาจะจัดเครื่องพลืกรรมถวายให้ตามพระราชประสงค์ แต่ยัง

๙๒ นิทานชาดกเล่มห้า ไม่ทราบว่า พระเจ้าพรหมทัตจะกำหนดเอาสิ่งใดเป็นเครื่องบวงสรวง สังเวย จึงกราบพูลให้ทรงรีบสั่งการ พระเจ้าพรหมทัดทรงแสร้งอํ้าอึ้งอยู่สักครู่ แล้วจึงตรัสว่า \"ท่านทงหลาย เราบนต่อเทวดาไว้ว่า เมื่อได้ครองราชสมบ้ติ แล้ว เราจะฆ่าคนที'ประพฤติผิดศีลห้า ใดยเฉพาะคนที'ฆ่าสัตว์ จะตัดหัวเอามาพร้อมด้วยตับไตไล้พุง จัดวางเรียงไว้เพี่อบวงสรวง สังเวยเป็นการแห้บน จำ นวนหนึ่งพันคน บัดนี้ ถึงเวลาจะด้องแห้บนแล้ว ขอให้พวกท่านจงรีบไป เสาะหาคนทุศีลตังกล่าว และปาวประกาคให้ประชาชนทราบทั่วกัน ด้วยว่า ให้ช่วยกันด้นหาคนผิดศีลห้า ในเฒ่นดินของเรา มาให้เรา สักหนึ่งพันคนด้วยเถิด เราจะด้องฆ่าเขาเหล่านี้นสังเวยเทวดาแล้ว\" พลางตรัสเสริมเป็นพระคาถาว่า \"เราเข้าไปบนไว้ว่า จะบูชายัญด้วยคนโง่ๆพันคน บัดนี้ เราจะด้องบูชายัญละ เพราะคนที'ประพฤติอธรรมเช่นนี้มีมาก นักแล้ว\" บรรดาเสนาอำมาตย์และคนทั้งหลายในที่ประชุมนั้น ไดยิน รับสั่งแล้วก็ตกใจตะลึงงัน แต่ก็จำต้องรับสนองพระบรมราชโองการว่า \"ชอบแล้ว พระเล้าข้า\" และไต้เที่ยวตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วเมืองพาราณสี ให้ประชาชน ไต้ทราบถึงพระราชประสงค์ของพระเจ้าพรหมทัต

นิทานชาดกเล่มห้า ประชาชนทั้งแผ่นดินไดยินประกาศแล้วก็ตกใจ ต่างหวาดหวั่น เกรงกลัวพระราชอาชญา ไม่กล้ากระทำผิดศีลห้า โดยเฉพาะการ ฆ่าลัตว์ ทั้งในทีลับและที่แจ้ง แม้ลักคนเดียว เพราะหวาดระแวงกันเอง ว่า ^เห็นจะจับเอาตัวไปถวายให้พระราชาฆ่าเพื่อบูชายัญ ด้วยเหตุตังกล่าว ตลอดรํช์สมัยของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ นี บ้านเมืองจึงร่มเย็น ไม่มืใครกล้าฆ่าลัตว์เพื่อบูชายัญอีก เมื่อทุกคน เลิกงมงาย ก็มืแก่ใจคิดทำมาหากิน บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง อาณา ประชาราษฎร์ต่างมืความสุข มืความขยันขันแข็ง อยู่ในศีลในธรรม พอใจทำบุญให็ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จนสินอายุขัยของแต่ละคน 'ประซุมซๆดภ เมื่อพระบรมคาสดาทรงแสดงพระธรรมเทคนาจบแล้ว ก็ทรง ประชุมชาดกว่า ประชาชนในแผ่นตนรฟ้รเนน ได้มาเป็นพุทธบริษัท ในครั้งนี้ พระเจ้า'ฬธฬมทัด ได้มาเป็นพระองค์เอง ขอคดจากชาดก ๑. บางครั้งเพื่อความสำเร็จของงาน เราจำเป็นด้องใช้ นโยบายโอนอ่อนผ่อนตามในการปกครองไปลักระยะหนึ่งก่อน แต่ด้องตีวงจำกัดให็ดิว่า จะโอนอ่อนผ่อนตามในกรณีใดบ้าง และ

๙<r นิทานชาดกเล่มห้า ในช่วงระยะเวลายาวนานแค'ไหน เข้าทำนอง \"ต้องโ]nม้นวม\" ไปก่อน หรือถ้าเป็นการปกครองบ้านเมือง ก็อาจไข้หลักที่ว่า \"การ ทูตนำหน้า การทหารตามหอง\" อย่างไรก็ตาม ต้องระวัง อย่าให้การ โอนอ่อน กลายเป็น อ่อนนอ แต่ก่อนจะดำเนินนโยบายใด ๆ ก็ตาม ผู้นำ เองจะต้อง'สืกห้ด อบรมตนเองให้เป็นคนดี มืลัมมาทิฎฐิ มืความประพฤติดีงาม'เป็นที่รัก ที่เชื่อใจ และเกรงใจของประซาซนโดยส่วนรวมเลียก่อน เมื่อ ประซาซนไวใจให้การสนับสนุนแล้ว จึงจะทำงานไต้ผล ๒. เมื่อมือำนาจแล้ว ต้องไข้อำนาจไปในทางสร้างสรรค์ ให้เกิดประโยซน์เต็มที่ ถ้าใครมือำนาจแล้วไม'ไข้ หรือใซไม'เป็น จะยิ่งทำให้บ้านเมืองลับสนวุ่นวายไปหมด อริบๆยต้'ฬท์ (ทุมเมธชาดก อ่านว่า ทุม-เม-ทะ-ชา-ดก) หมเ.มร คนมืความคิดชั่ว, คนพาล, มืบ้ญญาเป็นเครื่องกำจัด ไตรเหห เลียซึ่งความชั่ว หอกรรม ชื่อคัมภีร์ศักดี้สิทธี้สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ มื ๓ คัมภีร์ คือ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท พธีบซา, การบวงสรวง

นิทานชาดกเล่มห้า ๙^ \"พ§ะคาดาlJ8ะจำซาดก ทุมฺเมธานํ สหสฺเสน ยณฺโณ เม อุปยาจิโต อิทานิ ใขหํ ยชิสฺสามิ พหุ อธมฺมิใก ชใน เราเข้าไปบนไว้ว่า จะ!^ชายัญด้วยคนโง่ ๆ พันคน บัดนี้เราจะต้องบูชายัญล่ะ เพราะคนที่ประพฤติอธรรมเช่นนี้มีมากนักแล้ว

■. ะน\" - r-.-- .. .. s ^ s ะ - -- . - .. •! - - .->1 ■^''^^.--y- - ^ \"^ ^ \" f'\"- .^ : \"นิทานุซๆดก พิาฆคติร^ม'คํ'>'^''^ - ^ - . ชา?เก'หรึอฺpmuiisf)-ฝัเm ทึเล่ากึงการ^ฬระฬทรเค'^ : '. ' ^ a '๕ร^ ท ทi h if I •'' ในชาติสุดพาย ' กย่าวอีกอย่างหนึ่ง จะถือว่านิทานชาดก เป็นวิ'เฒนาการ แห่งการบำเติญคุพ่งามคุ,วานดีของ พร่ะพุพุ่รเ'h ติงแต่ยัง เป็นิพระใพ่รสัต'fjBย่กิได้สาระสาติญจึงอยู่ทีคุณ่งามดวามุติ และอยู่ที่คติธรรมในนิทาน\" y ;ว่^^/:^;^'-;'^.,' ■ว่ว่'ว่ว่-' '• 'ว่^ว่^:ว่:- ว่0ว่',:''ว่ว่-^.''''^ 0ไก พระไตรปีฎทฉบบสา[หรบฟ่ระชาช\"พ

๙๗ วิธีtเกสมาธิ กๆร่ธีเกสมๆรเบองด้น ให้ฝืกสมาธิในท่านั่งจนชำนาญ จากนั่นจะเปลี่ยนเป็นการ'ฝืกสมาธิในท่าอื่น ๆอีกก็ได้ การนั่งท่าสมาธิจะนั่ง อยู่ในท่าใดนั่นไม่สำคัญ แต่เมื่อนั่งในท่านั่นแล้วต้องสะดวกแก่ร่างกาย พอสมควร ใจจึงจะเป็นสมาธิแว เช่น ไม่นั่งยองๆเพราะทำให้'เมื่อยง่าย ไม่นั่งพิงฝา เพราะทำให้'เผลอสติง่าย ฯลฯ ท่านั่งทำสมาธิที่เหมาะที่สุดและนิยมกันมาตั้งแต่สม้'ยก่อนพุทธกาล จนกระทั่งปัจจุบัน เพราะทำให้ไม'เมื่อยแว เผลอสติใต้ยาก ร่างกายไม่โยก เอนช่วยให้'หาศูนย์กลางกายใต้ง่าย คือท่านั่งขัดสมาธิ โดยให้เท้าขวาทับ เท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ปลายนิ้วชี้ขวาจรดกับหัวแม่มือซ้าย วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรง ดำ รงสติให้นั่นแล้วหลับตาพอปิดสนิท

๙c? ต่อไปนี้ให้ทดลองฟืกช้อมควบคุมใจตนเอง ให้อยู่ในความสงบ ด้วยการทำสมาธิในพุทธศาสนา ตามแนววิชชาธรรมกาย - สำ รวมใจ ระลึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาดีแล้วตลอดชีวิต เพื่อยังความ ชุ่มชื่นให้แก่จิต สิงใดถ้ากระทำ ถ้าเห็น ถ้าใดียิน ถ้าระลึกถึงแล้วก่อให้เกิด ความใม่ลบายใจ ควรเว้นเสีย - กราบบุชาพระรัตนตรัยหน้าที่บุชาพระ สมาทานศีลห้า(หรือศีลแปด ตามกำลังศรัทธา) ตํ้งใจรักษาให้มั่น - มั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าช้าย มือชวาทับมือช้าย นิ้วชี้ขวาจรด หัวแม่มือช้าย ตงกายตรง ดำ รงสติมั่น วางธุรกิจอย่างอื่นชั่วคราว - กำ หนดเครื่องหมาย ให้ใสเหมือนเพชรลูกที่เจียระในเป็นดวงกลม ๆ ไม่มืตำหนิ สีขาวใสเย็นตา เย็นใจ ขนาดประมาณเท่าแก้วตาดำนิ้เรืยกว่า บเกรอมนมิฅ - หลับตาพอปิดสนิท แต่ไม่ถึงกับบีบกล้ามเนิ้อตา 'นเกรรมภาชนา ในใจ เป็นพุทธานุสติว่า \"ส์aaaเา ระระหิอ\" พร้อมกับบริกรรมนิมิตถึงเพชร ลูกเป็นดวงใสน้อมมาตํ้งใว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ (ดูภาพ) บริกรรมทํ้ง ลองอย่างนิ้ควบคู'กันใป เมื่อนิมิตเป็นดวงแก้วใสเกิดชี้นแล้ว ให้หยุดบริกรรมภาวนา เหลือแต่ การกำหนดสติเพ่งอยู่กลางดวงนิมิตฺอย่างเดียว ถ้าดวงนิมิตเกิดชี้นที่อื่น เช่น ตรงหัวตาบ้าง ช้างหน้าบ้าง หน้าท้องบ้าง ฯลฯ ให้น้อมเอานิมิตนํ้นมาตงใว้ ที่ศูนย์กลางกาย นท่รย่าใผ้รอฟ้อค้น ทำ ใจให้หยุดในหยุดเช้าไปตรงกลาง ดวงนิมิตเรื่อยใปไม่ถอยหลังกลับ ดวงนิมิตก็จะสว่างสดใสยิ่งขึ้น จะนึกให้ ใหญ่หรือเล็กก็ใด้ตามปรารถนา

๙๙ เมื่อใจหยุดถูกส่วน นิมิตที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดเจน มีลักษณะเหมือน ดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว ไสสะอาด ไม่มีรอยขีดรอยร้าว สว่างเย็นตาเย็นไจ ขนาดประมาณเท่าฟองไข่แดงของไข่ไก่ หรืออย่างโตก็ขนาดเล้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณหนึ่งคืบ เมื่อไจหยุดไนหยุดถูกส่วนเข้า ไนที่สุดจะมีร้คมีสว่างรอบ ดวงสามารถเห็นจุดศูนย์กลางชึ่งมีขนาดเล็กเท่าปลายเข็ม ดวงนิมิตนี้คือ ดวอ'ชฐมมอรฅ (ดวงธรรม) ที่ชี่อเข่นนี้เพราะเป็นหนทางเบื้องด้นไปสู่มรรคผล และนิพพาน ฉะ'พน ต้องหมั่นประคองรักษาไว่ไใ^ ฟ้อควรระฬั 0. อย่าโฟ้กํๆสัร คือ ไมไข้กำลังไดๆ'ทงสิ้น เข่น ไม'บีบกล้ามเบื้อตา เพี่อจะไห้เห็นนิมิตแว ๆไม่เกรืงแขน ไม่เกเงกล้ามเบื้อหน้าท้อง ไม่เกเงตัว ฯลฯ เพราะการไข้กำลังตรงส่วนไห'นของร่างกายก็ตาม จะท่าไ'ห็จิตเคลื่อน จากศูนย์กลางกายไปสู่จุด'นน to. อย่าออๆกเ.อิน คือ ท่าไจไห้เป็นกลาง ประคองสดิมิไห้เผลอจาก บริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต ส่วนจะเห็นนิมิตเมื่อได'นนอย่ากังวล ถ้าถึง เวลาแล้วย่อมเห็นเอง การปังเกิดของดวงนิมิตอุปมาเสมือนการขึ้นและตก ของดวงอาทิตย์ ไม่อาจจะเร่งเวลาได้ ท. อย่ากัธวออึอการกำชเนคอasiเาอโอ&ฟ้าออฑ เพราะ การ■ฝืกเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย อาตัยการเพ่ง อาโลกกสิณ คือ กสิณ ความสว่างเป็นบาทเบื้องด้น เมื่อเกิดนิมิตเป็นดวงสว่างแล้วค่อยเจริญ วิปัสสนาไนภายหลัง จึงไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดลมหายไจเข้าออกแต่ ประการได


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook