Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หัวใจและความลับของธรรมจักร

หัวใจและความลับของธรรมจักร

Description: หัวใจและความลับของธรรมจักร

Search

Read the Text Version

หวใจและความลบ ของธรรมจกร

หนังสอื ธรรมะขนาดพกพา รายเดือน ๑๒ เรอื ง ๑๒ เลม สำหรบั เปน พนื ฐานศึกษาธรรมปฏบิ ตั ิ ใชเวลาไมน านในการทำความเขา ใจ ๑. ผูท ีอานแลวคดิ วา ดมี ีประโยชน โปรดสงมอบใหแกผ ูอนื ตอ เปรยี บดังบำเพญ็ ทาน. ๒. สมคั รสมาชกิ ไดทีหอ งหนังสอื และสอื ธรรม. ๓. สนบั สนนุ การจดั พมิ พห นังสือธรรมะเลม นอยตามกำลงั . ๔. เลอื กจดั พิมพหนังสอื ธรรมะเลมนอ ย เพอื เผยแผในวาระตา งๆ เชน วันขึนปใหม, วนั เกิด, งานมงคลสมรส, งานเฉลิมฉลอง, งานบญุ หรืองานฌาปนกจิ ฯลฯ. ธรรมะเลมนอ ย ใกลมือ อันจะชวยใหท ุกคนมพี ระเจา อยใู นตน มพี ระธรรมอยใู นใจ

ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐

รายชือ่ หนงั สอื ธรรมะเลม่ นอ้ ย ๑๒ เล่ม สำ� หรบั ปี ๒๕๕๖ ประกอบดว้ ย ๑. ธรรมะเผดจ็ การ ๒. ความเป็นไปของจิต ๓. ความเข้าใจถูก เกี่ยวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษที่เกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง นั้นเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สนั ทฏิ ฐิโก ๑๒ เลม่ สำ� หรบั ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะท�ำไมกัน ๒. แผ่นดินรองรับร่างกาย ธรรมะ รองรับจิตใจ ๓. สิ่งท่ีเรียกว่ากิเลส ๔. ธรรมคอื สงิ่ จ�ำเปน็ แก่ มนษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. ส่ิงซึ่งเป็นอุปกรณ์แก่การ เลิกอายุ ๖. ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ๗. รู้จักธรรมะให้ถึงที่สุด ๘. หลักธรรมท่ีทุกคนควรทราบ ๙. ธรรมท่ีเป็นเครื่องมือใน การเดินทาง ๑๐. ผลพลอยได้ท่ีเน่ืองถึงกันและกันในโลก ๑๑. ประโยชนส์ งู สดุ ของธรรมะ ๑๒. ธรรมะคือหนา้ ท่ี ๑๒ เล่ม สำ� หรับปี ๒๕๕๘ ประกอบดว้ ย ๑. ธรรมคือหน้าท่ีของส่ิงที่มีชีวิต ๒.ชีวิตคู่ ๓. การรู้ อยู่กับรู้ ๔. วนั สงกรานต์ ๕.ชีวิตเป็นงานธรรมศิลป์ ๖. ลักษณะความ หมายและคุณค่าของวันวิสาขบูชา ๗. หัวใจและความลับของ ธรรมจักร ๘. บิดามี มารดามี ๙. ให้ธรรมะกลับมาครองโลก ๑๐. ความไมย่ ดึ มั่น ๑๑. ลอยประทีป ๑๒. วินยั และคณุ ธรรม ส�ำหรับพฒั นาตน

หวั ใจและความลบั ของธรรมจกั ร โดย พทุ ธทาสภิกขุ ล�ำดบั ท่ี ๗ ประจ�ำปี ๒๕๕๘ www.life-brary.com

พระธรรมเทศนาอาสาฬหบชู า บรรยายเมอื่ วนั ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ ผู้ถอดคำ� บรรยาย กิตยา ธีระสูตร

หวั ใจและความลบั ของธรรมจกั ร ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนา พระธรรมเทศนาของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เพอื่ ประดบั สติปญั ญา สง่ เสรมิ ศรัทธา –ความเชอื่ และวริ ยิ ะ –ความพากเพยี ร ของทา่ นทง้ั หลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ยิง่ ๆ ข้ึนไป ขอให้ท�ำในใจให้ส�ำเรจ็ ประโยชน์ ๑

วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาดังท่ีท่าน ทง้ั หลายกท็ ราบกนั อยแู่ ลว้ ดงั นน้ั ธรรมเทศนา ในวนั นกี้ ป็ รารภอาสาฬหบชู า ถา้ จะเอาใจความ เน้ือหาของอาสาฬหบูชาก็คือพระพุทธวจนะ อันแสดงถึงธัมมจักกัปปวัตตนะ คือการ ประกาศพระธรรมท่ีได้ตรัสรู้ให้โลกรู้ แต่เรา มกั จะไมเ่ รยี กกนั วา่ วนั ธรรมจกั ร แตม่ าเรยี กวา่ วันอาสาฬหบูชา เพราะไปยึดม่ันในเร่ืองเวลา มากกว่าเร่ืองตัวจริง ข้อน้ีก็ขอให้ใคร่ครวญดูบ้าง จะได้ กระทำ� ใหเ้ ปน็ เรอื่ งจรงิ มากขน้ึ ไมเ่ พยี งแตส่ กั วา่ เอาตามเวลา แต่มันเป็นธรรมเนียมประเพณี มาเสยี แลว้ วา่ เราถอื เอาเวลาเปน็ หลกั วนั ประสตู ิ ตรสั รู้ เรยี กวา่ วนั วสิ าขบชู า วนั แสดงธรรมจกั ร เรียกว่าวันอาสาฬหบูชา วันประชุมสงฆ์ ๒

พระอรหันต์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เรียก วา่ วันมาฆบชู า มอี ยูเ่ ป็น ๓ วัน บางท่านก็ต้องท�ำความรู้สึกว่าวันน้ี ก�ำลังเป็นวันไหน เป็นวันอะไร เราจะต้อง ท�ำอย่างไรจึงจะสมกันกับความหมายของวัน วนั น้ี เมอ่ื เทยี บกนั ทง้ั ๓ วนั จงึ จะเขา้ ใจไดช้ ดั เจน ยิ่งขึ้น เทียบกันท้ัง ๓ วันก็คือ วันพระพุทธ วันพระธรรม วนั พระสงฆ์ วันพระพุทธก็คือวันวิสาขะเป็น วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน วัน อาสาฬหบูชาก็วันที่แสดงพระธรรมที่ได้ ตรัสรู้ วันมาฆบชู า กเ็ ปน็ การประกาศการท่ี มผี ไู้ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากการตรสั รนู้ นั้ มากมาย มหาศาล เป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นเป็นจำ� นวน พัน นเี่ รียกวา่ ตามลำ� ดับกาลกเ็ ป็นอย่างนี้ ๓

แต่ก็มีบางท่าน บางครูบาอาจารย์ นบั เอาวันนีเ้ ปน็ วนั ครบหมดทง้ั พระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์กม็ ี โดยอา้ งว่าวันน้แี สดงธรรม แล้วก็มีผรู้ ตู้ าม ๑ องคค์ ือ อญั ญาโกณฑัญญะ เอาเป็นพระสงฆ์แต่เพียงองค์เดียว เอาเป็น พระสงฆ์น้ีดูมันยังไงยังไงอยู่ จะมายอมรับว่า พระสงฆ์องค์เดียวก็ได้เหมือนกัน วันน้ีครบ หมด เกดิ พระพทุ ธ เกดิ พระธรรม เกดิ พระสงฆ์ ขึน้ ๓ อย่าง แต่อาตมาไม่ค่อยจะเห็นอย่างน้ัน เห็นว่าเอากันให้ชัดเจนเต็มที่ถึงขนาด ก็ ว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันประสูติและตรัสรู้ วันอาสาฬหบูชาเป็นวันประกาศส่ิงที่ตรัสรู้ วันมาฆบูชาเป็นวันประชุมกันของบุคคลท่ีได้ รับผลของการตรัสรู้ ๔

ดเู อาแตใ่ จความกว็ า่ วนั พระพทุ ธเจา้ เป็นวันท่ีมีผู้ค้นพบและสอนธรรมะ วันพระ ธรรมคือวันท่ีผู้รู้บอกส่ิงท่ีได้รู้ให้คนอ่ืนรู้ และวันพระสงฆ์เป็นวันแสดงจ�ำนวนผู้ท่ีได้รู้ ไดร้ บั ประโยชน์ นถ่ี า้ เอาวนั พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยหลกั ของการกระทำ� มนั จะไดเ้ ปน็ อยา่ งน้ี วนั ผรู้ ู้ ผบู้ อกและกว็ นั สงิ่ ทบ่ี อก และวนั ได้รับประโยชน์จากการบอก แต่ถ้าเราจะพูด กันอย่างภาษาธรรมท่ีลึกซ้ึงก็ยังพูดไปอีกทาง หน่งึ โดยไม่เอาบคุ คลเปน็ หลกั พูดภาษาคนเอาบุคคลเป็นหลักก็พูด กันท่ีตัวบุคคลหรือสิ่งที่มีท่ีกระท�ำ ถ้าพูดโดย ภาษาธรรมเป็นหลัก เอาภาษาธรรมก็ต้อง เอาธรรมเป็นหลัก มันก็พูดกันแต่เรื่องธรรม พระพุทธเจา้ เมอ่ื ไดก้ ลา่ วโดยธรรมกค็ อื ความ ๕

บรสิ ทุ ธิ์ สะอาด สวา่ ง สงบแหง่ จติ ใจ พระธรรม ก็คือภาวะแห่งความสะอาด สว่าง สงบของ จติ ใจ ปรากฏทจ่ี ติ ใจ วนั พระสงฆก์ ว็ นั ทมี่ คี วาม สะอาด สวา่ ง สงบแหง่ จติ ใจของคนจำ� นวนมาก ถา้ กลา่ วอยา่ งนม้ี นั กเ็ ปน็ วนั เดยี วกนั หมดทง้ั ๓ องค์ บางคนคงจะไม่ยอม ไมย่ อมก็ตามใจ แต่อาตมาแนะให้เห็นนับตั้งแต่ ว่าวันวิสาขบูชาน้ัน เขาแปลว่าวันประสูติ ตรัสรู้ นพิ พาน แต่เรากบ็ อกวา่ ประสตู ิ ตรสั รู้ นิพพานมันเรื่องเดียวกัน ประสูติคือการเกิด พระพทุ ธเจา้ ตรสั รกู้ ค็ อื พระพทุ ธเจา้ ตรสั รเู้ พอื่ เป็นพระพุทธเจ้า นิพพานก็นิพพานของกิเลส กเิ ลสดับไปอยา่ งไมม่ ีเช้อื เหลอื ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานเมื่อกล่าว โดยภาษาธรรมมันก็เป็นเร่ืองเดียวกันเป็นวัน ๖

วสิ าขบชู า บคุ คลผปู้ ระสตู แิ ละเปน็ พระพทุ ธเจา้ ก็มจี ิตใจสำ� คัญอยทู่ มี่ ีความสะอาด สว่าง สงบ คือรู้ รู้จนสะอาด สะอาดส�ำหรับช�ำระความ เศร้าหมอง และก็สงบ วันวิสาขะวันเดียวจะแยกเป็น ๓ ความหมาย กแ็ ยกเป็น ๓ วนั เสยี กไ็ ด้ เอามา รวมความหมายเดียวกันเป็นวันเดียวกันเสีย ก็ได้ นีก่ ค็ วรจะมองเห็น ควรจะเขา้ ใจมนั ไม่ใช่ ส�ำคญั อยทู่ ีน่ ั่น มันสำ� คัญอยู่ที่ความหมายของ เรอ่ื ง ทีนีว้ ันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อีก จะทำ� ใหเ้ ปน็ วนั เดยี วเสยี กไ็ ด้ กค็ อื วนั แหง่ ความ สะอาด สวา่ ง สงบ ซ่ึงเคยบอกกันหลายครั้ง หลายสิบ ครั้งแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีหัวใจเป็นความ สะอาด สว่าง สงบ พระธรรมก็มีหัวใจเป็น ๗

ความสะอาด สวา่ ง สงบ พระสงฆ์กม็ ีหวั ใจ เปน็ ความสะอาด สวา่ ง สงบ เม่ือเอาหวั ใจ เป็นหลักก็เหมือนกันเลย เหมือนกันตรงที่ มีความสะอาด สว่าง สงบ ดังน้ันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆเ์ ปน็ องคเ์ ดยี วกนั เสยี สาม องคเ์ ป็นองค์เดียวเสีย ผู้ใดท�ำจิตใจสะอาด สว่าง สงบได้ ผนู้ น้ั กเ็ ปน็ ทง้ั พระพทุ ธ เปน็ ทงั้ พระธรรม เปน็ ทั้งพระสงฆ์ พุทธะในที่น้ีเรียกว่าพุทธะเฉยๆ ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะเพราะไม่ได้ตรัสรู้เอาเอง เป็นพุทธะทั่วๆ ไปก็รู้ รู้ก็หายหลง ไม่มีกิเลส มันก็บริสุทธ์ิ จึงควรจะนึกถึงข้อนี้ท่ีจะมาท�ำ บูชาอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงข้อท่ีว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆน์ ม่ี หี วั ใจเปน็ อยา่ งเดยี วกนั มคี วามสะอาด มคี วามสวา่ ง มคี วามสงบ ใครมี ๘

๓ อยา่ งน้กี เ็ ปน็ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียเอง แล้วเขาก็หาว่าพูดบ้าๆ บอๆ อวดดี ซึ่งแปลกออกไป ไม่เอาด้วยก็มี ก็ตามใจ เปน็ เสรภี าพวา่ ใครจะคดิ อยา่ งไรจะเชอ่ื อยา่ งไร แตม่ าคิดว่ามที างลดั ทางลัดทจ่ี ะลัดสัน้ เข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท�ำใหเ้ ปน็ องค์ เดียวกันเสีย แล้วก็ให้มีอยู่ในจิตใจของเราให้ มคี วามสะอาด สว่าง สงบ ตามรอยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังน้ันวันนี้กวาดหมด เอาพระธรรม เปน็ หลัก เอาพระธรรมเปน็ หลักเพราะว่าพระ ธรรมนี่ท�ำให้เกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พระธรรม ถ้าไม่มีพระธรรมไม่มีอะไร ตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วพระธรรมน่ันแหละท�ำ ๙

บุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า นี่คล้ายๆ กับพระ ธรรมได้สร้างหรือคลอดพระพุทธเจ้าออกมา พระธรรมถูกแผ่ไปยังทุกคน มคี วามหมายดับ ทุกข์ ดับทุกขใ์ หแ้ ก่ทกุ คน ธรรมหรือพระธรรมเพียงค�ำเดียวน่ี จะพอเสียแล้ว ถา้ ไมเ่ ข้าใจกไ็ ม่เข้าใจ ถ้าเขา้ ใจ ก็อาจจะท�ำให้เป็นส่ิงเดียว เป็นพระธรรมค�ำ เดียวแล้วก็ใช้สารพัดอย่าง พระพุทธเจ้าเป็น พระพทุ ธเจา้ ขน้ึ มากเ็ พราะพระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระสงฆ์ขึ้นมากเ็ พราะพระธรรม เพราะมี พระธรรม พระธรรมเปน็ พระธรรมเพราะกเ็ ปน็ ธรรม มีธรรม มคี วามเป็นธรรมอยทู่ ่นี ่นั ทง้ั ๓ องค์เลยเป็นองค์เดียวกันเสีย มีความหมาย เพยี งคำ� เดยี วสนั้ ๆ วา่ ธรรม ธรรมหรอื พระธรรม เราก็เอาเปรียบโดยว่าเวลาเพียงคร้ัง ๑๐

เดียวคราวเดียววันเดียวน่ีจะท�ำให้ครบหมด พระธรรมในความหมายของพระธรรมในทกุ ๆ ความหมาย แลว้ กแ็ จกออกไปเป็น ๓ องค์ก็ได้ เป็นองคเ์ ดยี วก็ได้ ได้อ่าน ได้ฟังมา ในอินเดียคร้ัง พทุ ธกาล เขาก็ถือคำ� นี้คำ� เดียวนี้เป็นหลกั ใหญ่ พระธรรมปรากฏ พระธรรมบังเกิด ค�ำเดียว พอก็ต่ืนเต้นยินดีกันใหญ่ เพราะว่าพระธรรม บงั เกดิ หรอื ปรากฏแลว้ จะทำ� ใหบ้ งั เกดิ ทกุ อยา่ งๆ อย่างมากมายมหาศาล จึงเกิดพระพุทธหรือ เกิดพระสงฆ์ หรือเกิดความรู้หรือการปฏิบัติ หรอื ผลของการปฏบิ ตั อิ ะไรอกี มากมาย เพราะ เกิดพระธรรมเพียงส่ิงเดียวน้ันเกิดหมดครบ พระธรรมเปน็ ท่รี วมอย่างนี้ ถ้าพูดในหลักการศึกษาแล้วมันมาก ๑๑

ไปกวา่ น้ี พระธรรมคอื ธรรมชาติ คอื กฎของ ธรรมชาติ เป็นหน้าท่ีตามกฎของธรรมชาติ ก็ควรท่ีจะได้รับจากหน้าท่ี อย่างนี้แล้วมัน ยงิ่ หมด หมดทว่ั สากลจกั รวาล ไมย่ กเวน้ อะไร ไม่มีอะไรเหลอื สกั นดิ เป็นธรรมหรือพระธรรม เป็นธรรมะหมดจะถือเอาความหมายนี้ก็ได้ ถา้ สามารถหรือวา่ เป็นคนเกง่ กถ็ ือเอาได้ ธรรมชาติมีอยู่ในตัวเราทุกคน เนื้อ หนัง เลือด กระดูก ดิน นำ้� ลม ไฟ นีม่ นั อยทู่ ี่ ในตวั เรา นค่ี อื ตวั ธรรมชาติ และทตี่ วั ธรรมชาติ นกี้ ม็ กี ฎของธรรมชาตบิ งั คบั อยู่ ดงั นนั้ รา่ งกาย จึงท�ำหน้าท่ีได้เพราะมันมีกฎของธรรมชาติ บังคับอยู่ทุกๆ เซลล์หรือทกุ ๆ ปรมาณกู ็ว่าได้ ต้องเป็นไปตามกฎน้นั มันจึงมีกฎของธรรมชาติน่ีสิงอยู่ใน ๑๒

ธรรมชาติก็ทำ� ให้เกิดหนา้ ท่ีแกส่ งิ่ เหลา่ นั้นถงึ มี ชวี ติ มนั กต็ อ้ งมกี ารปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ปอดก็หายใจ หายใจ หัวใจก็สูบฉีดโลหติ ทกุ ๆ อยา่ งท�ำหนา้ ท่ี ทกุ ๆ เซลล์ทำ� หน้าที่ มนั กเ็ กิด ผลออกมามีความสขุ สบาย ไม่สุขสบายก็ไดถ้ า้ ทำ� ผิด ทำ� หนา้ ทผ่ี ดิ ดังนั้นธรรมะทั้ง ๔ ความหมายมีอยู่ ในบคุ คลแตล่ ะคน ทกุ คนๆ คอื ตวั ธรรมชาตกิ ด็ ี ตัวกฎของธรรมชาติก็ดี ตัวหน้าท่ีตามของกฎ ของธรรมชาติก็ดี ผลจากหน้าที่ก็ดีมีอยู่ในทุก ตวั คน ถา้ มันไม่รู้ก็ไมร่ ู้ เห็นกไ็ ม่เหน็ ความลับ มันอยู่ท่ีปลายจมูกหรือท่ีหน้าผากของคนโง่ เป็นธรรมดาน่ีขอให้เข้าใจความลับมันไม่มีอยู่ ทปี่ ลายจมกู ท่ีหนา้ ผากของคนโง่ คอื คนโง่มัน มองไมเ่ หน็ ฉะนน้ั การทม่ี ธี รรมะ ๔ ความหมาย ๑๓

ครบถ้วนอยู่ในร่างกายคนคนหนึ่งก็ไม่เห็นจะ ทำ� อยา่ งไรไดก้ เ็ ปน็ ความลบั ไปเสยี หมดและมนั ก็อยู่ทีป่ ลายจมกู หรือหนา้ ผาก นี่เราควรจะเพิ่มความรู้ความคิด ความนึกการคิด การนึกมีสติปัญญา อย่าให้ เป็นหมันเปล่า บางคนชื่อปัญญาแต่โง่ย่ิงกว่า เต่าก็มี บางคนชื่อว่ารวย รวย แต่มันไม่มี สตางคส์ กั บาทหน่งึ กม็ ี ชื่อนี่ระวงั หนอ่ ย ระวัง ขอใหท้ กุ คนมอี ะไรๆ สมชอื่ จนรอดตวั มสี มชอื่ รอดตัว เขาเลอื กต้งั มาดี จงึ มองเหน็ วา่ ในคนคนเดยี วนม้ี อี ะไร ครบหมด มีธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีหน้าท่ีตามกฎของธรรมชาติ มีผลท่ีได้รับ จากหน้าท่ี และท่ีมันวิเศษก็คือบางส่วนบาง อยา่ งมนั ทำ� หนา้ ทเี่ องแมแ้ ตเ่ รานอนหลบั ปอด ๑๔

มันหายใจ หัวใจก็สูบฉีดโลหิต ไม่ต้องรู้ต้องชี้ วิเศษอย่างนี้ก็มี แต่บางหน้าท่ีนั้นเราต้องท�ำ ด้วยเจตนาน้มี ันก็มี เม่ือหน้าท่ีมันครบถ้วนแล้วชีวิตน้ี มนั กอ็ ยไู่ ด้ ชวี ติ มนั อยไู่ ดด้ ว้ ยธรรมะคอื หนา้ ที่ ธรรมะคือหน้าท่ี ธรรมะคือหน้าที่ หน้าท่ีนั้น ตอ้ งถกู ตอ้ งสำ� หรับจะรอด ถ้าหน้าทผี่ ิดมนั ก็ ตอ้ งวนิ าศมนั กต็ าย ตอ้ งมคี วามถกู ตอ้ งในการ ทำ� หนา้ ที่ ตอ้ งมธี รรมะคอื ความถกู ตอ้ ง แลว้ มนั กร็ อด น่ีพูดเสียยืดยาวนี่ก็เพ่ือให้รู้วันน้ี เอา ว่า สรปุ ใจความใหส้ ้ัน สนั้ ท่ีสดุ กนั แล้ว เป็นวนั พระธรรม เปน็ วนั พระธรรม ถา้ เราจะใหส้ มกบั ที่เราอุตส่าห์มาประชุมกันก็ขอให้มันเป็นเรื่อง ของพระธรรม พระธรรมเตม็ ทเี่ ลย วนั อน่ื เราไม่ ๑๕

ไดม้ าประชมุ กนั ทนี่ ี่ มนั กย็ ากทจี่ ะพดู กนั แตว่ นั นเี้ รามาประชมุ กนั ทน่ี แ่ี ลว้ มนั กง็ า่ ยทจ่ี ะพดู กนั ทกุ คนรวมกนั ทำ� ใหเ้ ปน็ พเิ ศษสำ� หรบั พระธรรม ให้วันน้ีเป็นวันพระธรรม มันก็มี พระธรรมปรากฏชดั เจนแกจ่ ติ ใจ เมอื่ อยทู่ บ่ี า้ น ท่ีเรือนมันมีเรื่องมาก มันก็ยุ่งมืดครี้มไปหมด ไมร่ อู้ ะไร แตเ่ ดย๋ี วนกี้ อ็ ตุ สา่ หม์ ากนั ถงึ ทน่ี ม่ี านง่ั กนั อยใู่ นลกั ษณะอยา่ งนี้ มานงั่ กนั ในปา่ ทนี่ จ้ี ะ ใหค้ ลา้ ยกบั พระพทุ ธเจา้ เคยนง่ั ประกาศธรรม เราก็มาชวนกันท�ำจิตใจให้เหมาะสม เชน่ น้นั ให้เหน็ ธรรม ใหม้ ธี รรม ใหร้ ธู้ รรม นน่ั แหละให้เข้าใจธรรมย่งิ ๆ ขึน้ ไป อย่าให้มนั จบ ลงด้วยอนุสาวรีย์ของความโง่ ท�ำอะไรท�ำเสีย เป็นวรรคเป็นเวรจนตาย สิ่งท่ีเหลืออยู่เป็น อนุสาวรีย์คือความโง่ มีความโง่เหลืออยู่เป็น ๑๖

เจดีย์อยา่ งนีม้ ันไมไ่ หว ขอใหม้ นั ฉลาด ฉลาดทุกครงั้ ทุกคร้ัง ทหี่ ายใจกย็ งั ดี หายใจครง้ั ฉลาดเพม่ิ ขน้ึ เพราะมนั ไดร้ อู้ ะไรมากขนึ้ เพราะมนั ไดผ้ า่ นอะไรมากขนึ้ เอาล่ะ ขอย�้ำอีกทีหน่ึงว่า ขอร้องให้ รู้จักพระธรรมหรือธรรมในความหมายท่ีว่า รวมพระพุทธ พระสงฆ์อยู่ด้วยก็ได้ ในความ หมายท่ีว่ารวมหมดทุกส่ิงทั้งสากลจักรวาลคือ ตัวธรรมชาติทั้งหมด ตัวกฎของธรรมชาติ ทงั้ หมด ตวั หนา้ ทตี่ ามกฎของธรรมชาตทิ ง้ั หมด และตัวผลที่ได้รับจากหน้าที่ท้ังหมด มันไม่มี อะไร มันมีครบท้ัง ๔ อย่างนี้แล้ว มันก็เป็น ธรรมคอื เปน็ ความถกู ตอ้ งสำ� หรบั จะรอด มนั จงึ ได้รอด และเราก็ได้รอด ไดร้ อดส�ำหรับปฏบิ ัติ หน้าที่ต่อไปจนกว่าถึงทสี่ ดุ แหง่ ชวี ติ ๑๗

ถ้าคนไม่ประมาทเขาก็รีบใช้โอกาส นี้ ใหธ้ รรมะมีก้าวหน้า กา้ วหน้า ก้าวหนา้ เสยี โดยเร็ว ได้รับธรรมะที่สูงสุดที่ควรจะพอใจได้ ทันก่อนสิ้นชีวิตมันดีอย่างน้ี แต่น่ีไปเสียเวลา เรอื่ งอะไรก็ไมร่ ู้ บางเวลาไม่ไดส้ นใจเรื่องธรรม แมแ้ ตอ่ ึดใจเดียวกม็ ี ระวงั ให้ดี บางคนน่ะ ท้ังวันไม่ได้เคยสนใจสิ่งที่ เรียกว่าธรรม แม้สักอึดใจเดียว ไปสนใจเรื่อง การเรอ่ื งงาน อจิ ฉารษิ ยา หรือเหน็ แกต่ วั หรือ สงสัยนั่นนี่ไปเสียหมด ไม่มีเวลาที่เรียกได้ว่า เปน็ ธรรม ประกอบอยดู่ ว้ ยธรรม หรอื วา่ มธี รรม หรอื ความถกู ตอ้ ง เปน็ ความสะอาด เปน็ ความ สว่าง เป็นความสงบแห่งจิตใจ เอาละ่ ถา้ วันอ่ืนๆ มันไมไ่ ดท้ ำ� ก็ขอ ให้วันน้ไี ด้ทำ� ไดท้ �ำใหม้ ันเปน็ วนั พระธรรม ให้ ๑๘

มันรู้สึกซึมซาบในความสะอาด ความสว่าง ความสงบของจติ ใจ จติ ใจนม้ี นั มธี รรมชาตเิ ปน็ ของบรสิ ุทธิ์ เป็นจติ เรยี กว่าธาตุชนดิ หนงึ่ เป็น จิต ล้วนๆ แต่บางพวกเรียกว่าวิญญาณ อย่า ไปเรียกตามเขาให้เรียกว่าจิตล้วนๆ ก็แล้วกัน จติ ลว้ นๆ จิตน่ะเปน็ จติ ลว้ นๆ แลว้ ก็มสี ิง่ ท่มี า ประกอบจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานั้น ไม่ล้วนเสียแล้ว ไม่ล้วนเสียแล้ว ถ้ามีอะไร ประกอบจติ ใหเ้ ปน็ อยา่ งนัน้ อยา่ งนี้ จิตล้วนๆ ก็เรียกกันในอภิธรรมว่า ภวังคจิต คือจติ ล้วนๆ อยเู่ ป็นภพ เป็นตวั ภพ ในสุตตันตะเรียกว่า ประภัสสร พระพุทธเจ้า เรียกว่าประภัสสร มีอุปกิเลสอะไรนั่นก็เรียก วา่ ประภสั สร แตเ่ ราจะเรยี กตามภาษาเราคนโง่ วา่ จิตล้วนๆ จติ ล้วนๆ ไม่มีอะไรปน จติ ล้วนๆ ๑๙

จิตล้วนๆ ตงั้ อยบู่ นตวั ยนื โรงของชวี ติ เดี๋ยวก็มีความรู้สึกคิดนึกอย่างนั้น อย่างนี้เข้ามาประกอบ จิตก็เปล่ียนไป จิตก็ เปลี่ยนไปตามสิ่งท่ีเข้ามาประกอบ ความรู้สึก เป็นกิเลสเข้ามาประกอบก็เป็นจิตมีกิเลส ไปตามกิเลสหลายร้อยอย่าง หลายพันอย่าง จิตไม่มีกิเลส ก็มีลักษณะไม่มีกิเลสหลายร้อย อย่าง หลายพันอย่าง จิตล้วนๆ เปลี่ยนไปได้ มากมายนับไม่ไหว อยากจะพูดสักหน่อยอย่าเห็นว่าเป็น เรอื่ งนอกเรอ่ื ง คอื ความเปน็ หญงิ หรอื ความเปน็ ชายไม่ได้มีอยู่ในจิต ฟังให้ดี จิตไม่ได้มีความ เปน็ หญงิ หรอื มคี วามเปน็ ชายอยใู่ นจติ เปน็ จติ ล้วนๆ ไม่ได้เป็นหญิงไม่ได้เป็นชาย ต่อเม่ือ มนั มคี วามรสู้ กึ เปน็ หญงิ หรอื เปน็ ชายเกดิ ขน้ึ ๒๐

จติ น้นั จึงจะเปล่ียนไปเป็นหญิงหรอื เปน็ ชาย แม้จิตของผู้ชายมันก็ไม่ได้เป็นผู้ชาย หรอก มันเป็นจิตล้วนๆ ไม่เป็นหญิงไม่เป็น ชาย ต่อเม่ือความรู้สึกที่เป็นชาย เรียกตาม ภาษาอภิธรรมเขาหน่อยก็เรียกว่า ปูริสินทรีย์ ปูริสินทรียัง อิตถินทรียัง อินทรีย์เยอะแยะ ในเมอื่ ใดความรสู้ กึ เปน็ ชายแรงอนั กลา้ ครอบงำ� ปรุ ิสินทรียงั ครอบง�ำจติ จติ นั้นกเ็ ปน็ จติ ชาย และถา้ เปน็ ผหู้ ญงิ กเ็ หมอื นกนั เมอื่ ใด อิตถินทรียัง คือความเป็นใหญ่ อินทรีย์นี้ส่ิง สูงสุด อ�ำนาจเด็ดขาดสูงสุด เป็นผู้มีอ�ำนาจ สูงสุด มีลักษณะเป็นหญิงครอบง�ำจิต จิตจึง จะเปน็ หญงิ ถา้ ไมโ่ งเ่ กนิ ไปคงจะสงั เกตได้ บาง คราวเราไม่รู้สึกเป็นผู้หญิงหรือเป็นชาย มัน ต้องมีส่ิงน้ีครอบง�ำจิตมันจึงจะรู้สึกเป็นหญิง ๒๑

หรอื เปน็ ชาย นถี่ า้ บางเวลาจติ ไมไ่ ดร้ สู้ กึ อยา่ งนม้ี นั ก็ ไมร่ ้สู ึกเป็นหญงิ หรือเป็นชาย แมแ้ ต่เวลานอน หลับเสียมันก็ไม่รู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย แม้ว่าตื่นอยู่นี่จิตมันไม่คิดไปในทางนั้น มันดึง ได้ในธรรมล้วนๆ เป็นจิตล้วนๆ มันก็ไม่รู้สึก เปน็ หญิงเปน็ ชาย แตว่ า่ ธรรมชาตสิ รา้ งสง่ิ ทจ่ี ะทำ� ใหเ้ กดิ รู้สึกเป็นหญิงเป็นชายไว้ในร่างกายนี้ที่เรียก ว่า ต่อมหรือแกลนด์ แกลนด์ภาษาฝร่ังต่างๆ ส�ำหรับจะท�ำความรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย ใส่มาในร่างกายผู้ชาย ใส่มาในร่างกายผู้หญิง มันก็ได้สร้างอวัยวะเพศส�ำหรับท�ำหน้าท่ีตาม เพศนั้นใส่มาให้ด้วย มันมีทั้งอวัยวะเพศหญิง หรอื เพศชายด้วย และตอ่ มแกลนด์สำ� หรับจะ ๒๒

เกิดความรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชายด้วย ทีนี้ มนั กไ็ ดอ้ ารมณจ์ ากขา้ งนอก อายตนะขา้ งนอกน่ี รปู เสยี งกลนิ่ รสโผฏฐพั พะธรรมารมณ์ น้ี คอื ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย มนั มีจกั ขุนทรียัง โสตนิ ทรยี งั ฆานนิ ทรยี งั ตา หู จมกู ลน้ิ กายมนั มี มันไปรับเอา รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะเขา้ และมันไปผสมกระตุ้นกันกับเรื่องของต่อม แกลนดท์ จ่ี ะใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ อนิ ทรยี ห์ ญงิ หรอื อนิ ทรีย์ชายแลว้ แต่กรณี เข้าไปรับเป็นอินทรีย์ชายปรุงแต่งขึ้น มาเสร็จครอบง�ำจิต จิตนั้นก็เป็นจิตชายน่ีมัน กบ็ า้ ทำ� แบบชาย ถา้ มนั มาอยา่ งหญงิ กบ็ า้ อยา่ ง หญงิ ความเปน็ หญงิ หรอื ความเปน็ ชายนนั้ เปน็ ของชวั่ ขณะ เปน็ ของหลอกชว่ั ขณะ แตค่ นกไ็ ป โงก่ บั มนั ถงึ ทสี่ ดุ เหน็ เปน็ ของจรงิ เปน็ ของแนๆ่ ๒๓

ตายตวั เปน็ หญงิ เปน็ ชายไปตลอดเวลา มนั ตาย แลว้ มนั ยงั เอาไปได้ดว้ ย ฉะน้ันขอให้รู้แต่ว่าจิตล้วนๆ ไม่เป็น อะไรหมด ไม่ดี ไม่ช่ัว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่สุข ไมท่ กุ ข์ ไมอ่ ะไรหมด แลว้ กไ็ มใ่ ชห่ ญงิ ไมใ่ ชช่ าย เรียกว่า จิตล้วนๆ อินทรีย์ อินทรีย์ท้ังหลาย สขุ นิ ทรยี ์ ทกุ ขนิ ทรยี บ์ า้ ง จกั ขนุ ทรยี ์ โสตนิ ทรยี ์ บา้ ง หรอื วา่ สทั ธนิ ทรยี ์ แลว้ กแ็ ตอ่ นิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย กระท่ังอินทรีย์ที่เป็นความเป็นพระ อรหนั ต์ อญั ญาตาวี –เปน็ พระอรหนั ต์ อนิ ทรยี ์ อย่างน้ีเป็นพระอรหันต์ครอบง�ำจิต จิตเป็น พระอรหนั ต์ เรยี กวา่ หวั โขนนม้ี าสวมเขา้ กบั จติ แลว้ จติ จะเป็นอะไรมีตัง้ หลายๆ หลายอยา่ ง ท่ี สวดๆ กันจะมถี งึ ๒๒ อย่าง จิตแทๆ้ ไมไ่ ด้เปน็ อะไร จติ แทๆ้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ อะไร ๒๔

เมื่ออบรมถูกวิธีจิตแท้ๆ ก็มีอินทรีย์ ฝ่ายท่ีจะให้ตรัสรู้ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา กระท่ังเป็นโพชฌงค์เป็นอะไรไปเลย นจ่ี ติ ลว้ นๆ จติ ลว้ นๆ ไมม่ คี วามหมายเปน็ อะไร ไมด่ ี ไมช่ วั่ ไมบ่ ญุ ไมบ่ าป ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ไมห่ ญงิ ไมช่ าย ไมอ่ ะไรหมด มันเป็นร่าง การท�ำความเพียร ท�ำวิปัสสนาอะไร ก็คือสร้างอินทรีย์ฝ่ายท่ีจะให้ตรัสรู้เพ่ิมข้ึน เพ่ิมขน้ึ เพ่ิมข้ึน ทำ� อานาปานสติกด็ ี ท�ำอะไร ก็ดที ่ีเรยี กว่าทำ� กรรมฐาน มนั พอกพนู อินทรีย์ ฝา่ ยทจี่ ะเปน็ ไปเพอ่ื ดบั ทกุ ข์ เพอ่ื เปน็ ประโยชน์ ใหม้ นั มากขึน้ และไม่ใหโ้ อกาสแกอ่ นิ ทรียฝ์ า่ ย ทจี่ ะทำ� ให้เกดิ โทษเกิดทุกข์ ขอใหร้ วู้ า่ จติ นไี้ มไ่ ดเ้ ปน็ หญงิ หรอื เปน็ ชาย ความรสู้ กึ เปน็ หญงิ เปน็ ชายนเี้ ปน็ อนิ ทรยี ์ ๒๕

ชนิดหนึ่งเพิ่งมาครอบง�ำท�ำให้โง่ให้บ้า หรือ ถา้ วา่ จติ เปน็ หญงิ หรอื เปน็ ชายโดยเดด็ ขาดแลว้ เป็นพระอรหนั ตไ์ ม่ไดห้ รอก พระอรหนั ตม์ ีจติ ท่ีไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย คือเป็นจิตเดิมแท้ ขจัดส่ิงที่จะมาท�ำให้รู้สึกเป็นหญิงเป็นชาย ออกไปหมด ก็เป็นจติ ล้วนๆ เป็นจิตบริสทุ ธิ์ จิตท่ีไม่มีความเป็นอะไร ไม่เป็นตัวกูไม่เป็น ของกู ไมเ่ ปน็ อะไรทง้ั หมด นคี่ อื ความลบั ของธรรมะ ลบั หรอื ไมล่ บั คิดดู ลับมากลับน้อยคิดดูเอง ซึ่งเราจะต้อง ท�ำความเข้าใจให้ได้ว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ มันเป็นอย่างไร ความจริงเป็นอย่างไร เม่ือมัน ถงึ จติ เดิมแท้ จติ ลว้ นๆ ไม่มอี ะไรจึงจะเรยี กว่า จติ ประภสั สร หรอื วา่ จติ ภวงั คจติ กส็ ดุ แท้ แตว่ า่ ภวงั คจติ นน้ั มคี วามหมายว่าถงึ มันไมเ่ ปน็ อะไร ๒๖

เชน่ ไมม่ อี ารมณอ์ ะไรเลย แตจ่ ติ ประภสั สรนเ่ี อา เพยี งวา่ ไมม่ คี วามรสู้ กึ เปน็ ตวั กขู องกู ไมม่ กี เิ ลส เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสด้วยประการท้ังปวง เรียกวา่ จติ ประภสั สร ธรรมดาจิตคนเราก็ประภัสสรอยู่ แล้วๆ เลา่ ๆ หลบุ ๆ ล่อๆ ไม่ใชจ่ ะไม่ประภสั สร จติ บางเวลากไ็ มม่ กี เิ ลสแตแ่ ลว้ กลบั มกี เิ ลส มนั หลุบล่ออย่างน้ี ต้องไปท�ำกรรมฐาน สมาธิ ภาวนา ส�ำเรจ็ เปน็ พระอรหันต์แล้วประภสั สร ตายตัว ประภัสสรตายตัวไม่เปล่ียนแปลงอีก ต่อไป ไม่มีกเิ ลสอกี ตอ่ ไป นค่ี วามลบั เกย่ี วกบั จติ ทำ� ไดถ้ งึ ขนาดนี้ แลว้ เรากไ็ มไ่ ดท้ ำ� เพราะเราไปมวั โง่ หลงสงิ่ ทไี่ ม่ ตอ้ งท�ำ ส่งิ ที่ควรทำ� ไม่ไดท้ ำ� มันก็เลยไม่รพู้ ระ ธรรม ไม่รู้ตัวธรรมท่ีสูงสุดที่ใช้ตรัสรู้ คือขจัด ๒๗

กิเลสและความทุกข์ออกไปหมดไม่มีเหลือ มี แต่จิตท่ีไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีความทุกข์ ก็จบ เร่อื งกจ็ บท่นี ่นั การประพฤติธรรมะจบตรงทีว่ ่า จิต ประภัสสรตลอดกาลไม่กลับมีกิเลสอีกต่อไป แต่เรื่องมันมากเรื่องท่ีจะต้องปฏิบัติ ท่ีต้องรู้ รู้ รู้ รู้ กันว่าปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ัติ ปฏบิ ัตกิ ็มาก เกดิ ผลออกมาหลายอย่างหลายประการ น่ีถ้ารู้ ไปในทางที่จะไม่เกิดกิเลสก็ก้าวหน้าไปในทาง นพิ พาน ถา้ จะรไู้ ปในทางตรงกนั ขา้ มยดึ มน่ั ถอื มั่นอยทู่ ีนมี้ นั ก็อยทู่ น่ี ี่ มนั กไ็ ม่ไปไหน เดี๋ยวน้ีพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้คือ ออกไปจากกิเลสทั้งหลายหมด เราก็เรียกว่า หลุดพ้นออกไปได้โดยสิ้นเชิง ท่านอุตส่าห์ กลับมาส่ังสอนสัตวท์ ้ังหลายเปน็ อย่างน้นั น่ัน ๒๘

แหละพระคุณของพระพุทธเจ้า พระคุณของ พระพทุ ธเจา้ ดบั ทกุ ขด์ ว้ ยพระองคเ์ องกอ่ นแลว้ สอนสตั ว์ท้ังหลายให้ดับทกุ ข์ได้ด้วย เมอื่ วนั ตรสั รกู้ ค็ อื ทา่ นปลดเปลอื้ งเรอ่ื ง ของกเิ ลสหรอื ความทกุ ขอ์ อกไปหมด นวี่ นั นว้ี นั ท่ีตรงกับวันนี้ วันอาสาฬหะนี้เปิดเผยขึ้นเป็น ครง้ั แรก แปลวา่ กอ่ นพระพทุ ธเจา้ นนั้ เขามตี วั ตน เปน็ ตวั เปน็ ตน เขามขี นั ธ์ ๕ เปน็ ตวั ตน ไมใ่ ชไ่ ม่ รู้จักขันธ์ ๕ ก่อนพระพุทธเจ้านี่เช่ือแน่ได้เขา รู้จักเร่ืองขันธ์ ๕ เหมือนกัน แต่เขารู้จักใน ลักษณะที่เป็นตัวตน รูปเป็นตัวตนเพราะมัน ท�ำอะไรได้ ตาเหน็ ได้ หไู ดย้ นิ ได้ เวทนาก็เปน็ ตัวตนมันรู้สึกได้ สัญญาก็เป็นตัวตนก็เพราะ มันส�ำคัญมั่นหมาย สังขารเป็นตัวตนเพราะ มันคิดได้ ๒๙

พระพุทธเจา้ เกิดขึ้นมาก็มา โอ้ ดกู ัน ใหม่ ขนั ธ์ ๕ ไมใ่ ชต่ วั ตน ถ้ามตี วั ตนมันมกี ิเลส ถ้ามีกิเลสมันก็มีความทุกข์ ความทุกข์เกิดมา จากตัณหา ตัณหาคือกิเลส ตัณหาเกิดจาก มีตัวตนเป็นผู้อยาก เป็นผู้อยากอย่างโง่เขลา อยากได้ความโง่ ไม่ได้ต้องการได้ความฉลาด ถ้าอยากได้ความโง่ก็เรียกว่าตัณหา โลภะไป ตามเรือ่ ง ตณั หา โลภะ ราคะไปตามเรือ่ ง แต่ ถา้ อยากดว้ ยสตปิ ญั ญา อยากจะดบั ทกุ ขส์ น้ิ เชงิ อยากน้กี ็เรยี กว่า สังกัปปะ สังกปั โป สังกัปปะ สังกปั ปา แล้วแตจ่ ะพดู ถึงกรณีไหน แตต่ วั มัน แทๆ้ เรยี กว่า สงั กปั ปะ ความอยากและสตปิ ญั ญาจะดบั ความ ทุกข์ให้ส้ินเชิง นี่เราก็ต้องมี เป็นความอยาก ท่ีต้องมี ความอยากที่ต้องละนั่นคือตัณหา ๓๐

ราคะ โลภะ นน่ั ต้องละ พระพทุ ธเจา้ ตรัสรวู้ า่ ความทกุ ข์เกิดมาจากตณั หา ก็ละตณั หา แลว้ ก็มาแนะให้มีสังกัปปะ มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมา- สงั กปั ปะ มสี มั มาวาจา สมั มากมั มนั โตนเ่ี ปน็ สง่ิ ท่ตี อ้ งท�ำให้มี ถา้ ประสงค์อย่างนีก้ ็ไม่ใชต่ ณั หา มนั ความประสงคจ์ ะดบั เสยี ซึง่ ตณั หา ในวันท่ีสมมติเรียกว่าวันอาสาฬหะ วนั ทแ่ี สดงธรรมจกั รน่ี พระองคก์ เ็ ลยพดู เรอื่ งน้ี ใหร้ จู้ กั ตณั หาคอื ความอยากดว้ ยอ�ำนาจของ อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดับมันเสียด้วย การปฏิบัติทถ่ี ูกต้อง โดยองค์ ๘ ประการคอื อริยมรรคมีองค์ ๘ ดังน้นั วันน้ีเป็นวนั ทีเ่ ราจะ ต้องร้วู ่าเป็นวันพเิ ศษ เปน็ วนั สำ� คัญ เป็นวันท่ี เราจะต้องจัดการกับชีวิตของเราน่ีให้มันได้รับ ผลจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือให้การ ๓๑

ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์แก่เราบ้าง มิฉะน้นั เรากเ็ ป็นเหมอื นกนั ว่าอะไรละ่ จวักใน หมอ้ แกงไมร่ รู้ สแกง กบใตก้ อบวั ไมร่ กู้ ลนิ่ เกสร บัว มนั จะเปน็ เสียอย่างนั้น เม่ือปรับปรุงให้ชีวิตเหมาะสมท่ีจะรู้ จะเข้าใจ จะปฏิบัติและจะได้รับธรรมะหรือ พระธรรมให้อย่างท่ีพระพุทธเจ้าประสงค์จะ ให้เราได้รับ พระพุทธเจ้าประสงค์ให้สัตว์ ทั้งหลายท้ังปวงพ้นจากความทุกข์แต่ไม่ใช่ ประสงค์ด้วยอวิชชาหรือตัณหา ประสงค์ ด้วยปัญญาสูงสุด ว่าสัตว์ท้ังปวงควรจะดับ ทุกข์ ควรจะออกมาจากทุกข์ นี่ขอให้ทุก คนสนองพระพุทธประสงค์คือว่าดับทุกข์ให้ ได้ จงึ จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า นี่คือรบั ประโยชนจ์ ากการตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ทำ� ให้ ๓๒

พระพุทธเจา้ สมประสงค์ นี่ถ้าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์อย่าง นน้ั เราอตุ สา่ หท์ �ำให้ทา่ นสมประสงค์ อย่าเปน็ เตา่ อยา่ เปน็ แรด ท�ำใหพ้ ระพทุ ธเจ้าผิดหวงั ผดิ ประสงค์ ทา่ นตอ้ งการใหท้ กุ คนรูแ้ ละดบั ทกุ ข์ ได้ นี่คือความไม่ประมาท ความไม่ประมาท อยู่ท่ีตรงนี้ คือท�ำให้พระพุทธเจ้าไม่ผิดหวัง ท่านหวังว่าสัตว์เหล่านี้จะพ้นทุกข์ เราก็ท�ำให้ มีการพ้นทุกขต์ ามสมควร ทง้ั หมดก็ย่งิ ดีแตว่ า่ อย่างน้อยกใ็ ห้มีการพน้ ทกุ ข์ ดังนน้ั วนั นเ้ี ปน็ วันพเิ ศษอยา่ งย่ิงทีเ่ รา จะต้องมาพูดกันเรื่องน้ี มาพูดกันเร่ืองน้ี มา ใคร่ครวญเรื่องน้ีท�ำจิตใจเรื่องน้ี ทิ้งเร่ืองอ่ืน หมดเลย มาประชุมกันอยู่ที่น่ีสนใจแต่เรื่องน้ี เรอื่ งทบี่ า้ นไมต่ อ้ งสนใจ มาสนใจแตเ่ รอ่ื งวา่ เรา ๓๓

จะสนองพระพุทธประสงค์ ไมใ่ ห้พระพุทธเจา้ ผิดหวัง เราจะเอาชนะกิเลสและความทุกข์ ให้ได้ตามสมควร และมาถึงวันส�ำคัญนี้เป็น วันท่ีพระองค์ทรงเปิดเผยธรรมะ ทรงค้นพบ และแจก แจก แจกให้ การแจกธรรมะของ พระพทุ ธเจา้ นน้ั มผี ล ไมเ่ ปน็ หมนั เปล่า นี่ปรารภเบื้องต้นขอให้ท่านทั้งหลาย ทุกคนที่มา ท่ีอุตส่าห์มาจากที่ไกล อุตส่าห์ มาจากท่ีไกลมาท�ำไม มาท�ำอะไร นี่ก็ต้อง คิดมาท�ำอะไรท่ีมาน่ี มาตามธรรมเนียม มา ตามธรรมเนียมก็ยังเป็นเต่าเป็นแรด มาตาม ธรรมเนียม หรือว่าเห่อๆ มาเพราะว่าสนุกดี เหมอื นกบั เด็กๆ อยากจะมาดู น่ีกเ็ ห่อๆ มาก็ ยงั ได้รบั ประโยชน์ เราไม่ได้เหอ่ หรอื ไมไ่ ดย้ ึด ม่นั ถอื มนั่ ทำ� นองนั้น ๓๔

ถา้ เรารวู้ า่ วนั นเี้ ปน็ วนั พเิ ศษ เปน็ วนั ที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มคี วามหมายอยา่ งนเี้ ราจะ มาท�ำจติ ใจของเราใหม้ คี วามหมายอย่างนี้ มา ซักซ้อมศรัทธาท่ีเรามีอยู่แล้วให้มันจริงย่ิงข้ึน ใหม้ ันเจรญิ งอกงามกา้ วหน้าย่ิงขนึ้ อย่าใหม้ นั เฉยอยู่ มาซักซ้อมศรัทธาและก็มาเพิ่มเติม ศรทั ธา คลา้ ยกบั วา่ มาปรบั ปรงุ จติ ใจใหเ้ หมาะ สมกับความหมายของวันวันน้ี คือวันแสดง ธรรมจักร แล้วก็ท�ำให้มันเกิดจิตใจเป็นพิเศษ ขน้ึ แมส้ กั ชวั่ โมงหนงึ่ กย็ งั ดี ชว่ั โมงไมไ่ ดเ้ อานาที เดยี วกเ็ อา ครน้ั มนั มจี ติ ใจพเิ ศษไมม่ กี เิ ลสเกดิ ขนึ้ ไมม่ ีความทกุ ข์รบกวน จติ เป็นอสิ ระจากกิเลส และความทกุ ข์ ๕ นาทกี เ็ หลอื จะวเิ ศษ ถา้ ตงั้ ใจ มันก็คงจะไมเ่ หลวไหล ไม่ผดิ หวงั เหมือนกนั ๓๕

ขอใหต้ ง้ั ใจท�ำ วันน้จี ะซักซ้อมความรู้ ความเขา้ ใจทไี่ ดศ้ กี ษาพระธรรม ซกั ซอ้ มความ เช่ือ ซักซ้อมความรู้ ซักซ้อมสมาธิ สติอะไร ก็ตามจนจติ ใจพิเศษ มชี วี ิตจิตใจเปน็ พิเศษกนั สกั พกั หนงึ่ ไมไ่ ด้ ไดส้ กั ครงึ่ วนั กว็ เิ ศษมาก มจี ติ ใจ พิเศษสมตามพระพุทธประสงค์ได้สักครง่ึ วัน เดี๋ยวน้ีทั้งวัน ทั้งเดือน ท้ังปี ก็มีแต่ จิตใจขุ่นมัว มีจิตใจขุ่นมัวด้วยกิเลสสารพัด อยา่ ง ขอใหใ้ ครค่ รวญอยา่ งนจี้ นรสู้ กึ รสู้ กึ เศรา้ รสู้ กึ เศรา้ ใหแ้ กต่ วั เองวา่ ไมส่ มกบั เวลา ไมส่ มกบั การศีกษา ไมส่ มกบั สถานะเปน็ ภกิ ษุ สามเณร เป็นอบุ าสก เปน็ อบุ าสิกา มนั ไม่สมกบั ชอื่ ถา้ มนั ไมส่ มกบั ชอื่ มนั ไมส่ มกบั ฐานะมนั กเ็ รยี กวา่ เปน็ หมนั อาตมาพดู มาตง้ั ชว่ั โมงไดแ้ ลว้ นดิ เดยี ว ๓๖

ที่ว่าอาสาฬหะคืออะไร วันพระธรรมคืออะไร ธรรมะคอื อะไร อยากจะทา้ ทายวา่ คงจะหายโง่ ไปหลายคน พวกแรดมนั คงจะหายโงไ่ ปหลายคน หลายตวั วา่ จติ แทๆ้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ หญงิ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ชาย แตว่ า่ สง่ิ ประกอบแวดลอ้ มทำ� ใหเ้ กดิ ปรุ สิ นิ ทรยี ์ อิตถินทรีย์ครอบง�ำจิต จิตจึงจะเป็นหญิงเป็น ชายข้ึนมาชั่วขณะๆ บางเวลามันก็หลับไปไม่ ร้สู กึ เป็นหญงิ เปน็ ชายกม็ ี เวลาทเี่ ราไมไ่ ดส้ นใจในความเปน็ หญงิ เป็นชายก็มี มันเป็นได้มากถึงขนาดนี้ เร่ือง กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ท�ำไมจะขจัดออก ไมไ่ ดเ้ ล่า ควรจะขจัดออกไปได้ เพราะมันง่าย มากกวา่ ความเป็นหญิงเป็นชาย ทีนี้มาท�ำอาสาฬหบูชา เด็กๆ รู้ มา เวียนเทยี น เดินเวยี นเทยี น ถือเทียน เดินเวยี น ๓๗

เดก็ ๆ มันรู้ ถา้ ผูใ้ หญ่รู้เพยี งเท่านน้ั มันก็ยงั เปน็ เดก็ ๆ นา่ สงสาร ถา้ ผใู้ หญเ่ หลา่ นรี้ จู้ กั วนั นเี้ พยี ง วา่ มาถือเทยี นและเดินเวียน เท่าน้กี ็น่าสงสาร ถือว่ายงั เป็นเด็ก กต็ อ้ งพดู ถงึ คำ� วา่ ประทกั ษณิ ประทกั ษณิ เดินเวียนขวา ถือเทียนเดินเวียนขวา มันเป็น รปู แบบไมใ่ ชค่ วามหมาย คอื เดนิ และเวยี นขวา เรยี กวา่ ประทกั ษณิ จะวา่ อะไรกต็ าม อยา่ งเดนิ เวียนเทียน อย่างนั้นก็เป็นรูปแบบท�ำไปตาม รูปแบบ ท�ำไปอยา่ งเหมอื นกบั ละเมอ ถ้าท�ำในภาษาธรรมะภาษาถูกต้อง ประทกั ษณิ กแ็ ปลวา่ เวยี นไปในทางทสี่ งู ขนึ้ ดขี นึ้ เวียนขวานี่หมายความวา่ มันจะสงู ข้นึ ดขี ึ้นจน เปน็ ยอดขน้ึ ไป เวยี นไปเบอ้ื งขวาหมายความวา่ มนั เวียนใหส้ งู ขึน้ ดีข้นึ สงู ขนึ้ ไปสูงข้นึ ไป ไม่ใช่ ๓๘

เวียนอยู่ท่ีตรงนี้และก็ไม่รู้จะท�ำอะไร เม่ือเดิน ประทักษิณเวียนนี้ก็ขอให้ท�ำในใจว่ามันท�ำให้ สูงข้ึนไป สูงข้ึนไป สูงขึ้นไปจากพ้ืนฐานท่ียัง เปน็ กเิ ลส พน้ื ฐานทยี่ งั เปน็ กเิ ลสถกู ละไว้ ตำ�่ ดว้ ย เวียนสงู ขึ้นไป สงู ขึ้นไป เอาหอยตัวใหญๆ่ ตวั แหลมๆ มาวาง ก็ดูตัว แล้วมันก็มีลายเวียนๆๆๆ แล้วมันจุด แหลมยอด เอาน้ันเป็นความหมายน้ันก็ดีจะ ได้ความหมายประทักษิณ เวียนไปทางเบื้อง ขวาหมายความว่าถูกต้อง เม่ือถูกต้องมันก็ดี ขึ้นไปๆ สูงขึ้นไปๆๆๆ จนพ้นสิ่งท่ีน่ารังเกียจ คือกเิ ลสและความทกุ ข์ และมาสอนลูกเด็กๆ ให้รู้ว่าเวียน ประทักษิณคือหมายความว่าอย่างไร เดิน เวยี นเทยี นกด็ กี วา่ ไมเ่ วยี น ไมเ่ วยี นเสยี เลยมนั ก็ ๓๙

ไม่คดิ นกึ อะไร แตท่ ม่ี าเวยี นกค็ ิดให้ถูกว่าจิตใจ ของเราสงู ข้ึนๆๆๆ น่คี ือเวียนประทกั ษิณ หรอื จะทำ� ในจิตใจนึกถึงพระพุทธคุณสงู ขนึ้ ๆ รูส้ ึก ในพระพทุ ธคุณสงู ขึ้นๆๆ รจู้ กั วา่ จติ นเ้ี บาบางจากกเิ ลสสงู ขนึ้ ๆๆๆ ในลกั ษณะอยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ เวยี นขวา เวยี นขวา เวียนขวา ปีหนึง่ กเ็ วียนเสยี ๕ นาที นอกน้ัน เวลาทง้ั ปเี ดย๋ี วฟบุ อยใู่ ตด้ นิ อยใู่ นกองโคลน ใต้ กองโคลน โผล่ขึน้ มาเวยี นขวา เวยี นขวา เวียน ขวา ปหี นึ่งสกั ๕ นาทกี ็ท้งั ยาก แตเ่ อาละ่ ไม่ต้องใชค้ ำ� วา่ ประทักษิณ เวียนขวาก็ได้ เราท�ำจิตให้ก้าวหน้าโดยสมาธิ ภาวนา น่ีก็เป็นเวียนประทักษิณอยู่ในตัว คือ มนั สงู ขนึ้ ๆ ใหม้ คี วามถกู ตอ้ ง ถกู ตอ้ งๆๆ มคี วาม ถูกต้อง ถูกตอ้ งๆ เวียนประทักษณิ เหมือนกัน ๔๐

แต่ไม่ต้องไปเวียนให้เม่ือยขา จิตมันเวียนของ มันเอง น่ังอยู่เป็นสมาธิแล้วจิตเวียนขวาของ มนั เองสูงขนึ้ ๆๆ สงู ขึ้นกวา่ แต่กอ่ นโดยอำ� นาจ ของสงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ อตมั มยตา อตัมมยตาเป็นค�ำใหม่ ช่วยกันศึกษา ใหเ้ ขา้ ใจใชป้ ระโยชนใ์ หไ้ ด้เปน็ คำ� พเิ ศษอตมั มยตา เปน็ คำ� พเิ ศษ เขาไมเ่ อามาพดู กนั ดว้ ยเหตอุ ะไร กไ็ มร่ ู้ รแู้ ตไ่ ม่ร้วู ่าเพราะอะไร ไมร่ วู้ า่ อะไรกเ็ ลย ไม่เอามาพูดกนั อตมั มยตาเปน็ ตัวทำ� ใหท้ ุกสิ่ง ววิ ัฒนาการคอื สงู ขนึ้ สงู ขนึ้ สงู ขึ้น ตวั หนงั สอื แปลวา่ อนั อะไรๆ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ด้ อนั อะไรๆ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ด้ หรอื ไมต่ ดิ อยกู่ บั อะไร ไมส่ ำ� เรจ็ อะไร อยู่กับอะไร ธรรมดาจิตของเรามันติดอยู่กับส่ิงท่ี ปรงุ แตง่ แวดลอ้ ม กำ� ลงั หลงรกั อะไรมนั กส็ ง่ิ นน้ั ๔๑

เป็นท่ีหลงติดแล้วก็ติดอยู่ท่ีน่ัน สูงขึ้นไปไม่ได้ ต้องละส่งิ นนั้ จึงจะสูงข้นึ ไปได้ ถา้ ละอะไรกล็ ะ ดว้ ยสงิ่ ทเี่ รยี กวา่ อตมั มยตาสงู ขนึ้ ไปเปน็ ลำ� ดบั ๆ อตัมมยตาอันสดุ ทา้ ยก็เป็นพระอรหนั ต์ อตัมมยตาจากกามารมณ์ จิตเหนือ กามารมณ์โดยวิธีแห่งสมาธิภาวนา ก็ไม่อยู่ที่ รปู ฌาน อยทู่ ร่ี ปู ฌานกห็ ลงอยทู่ ร่ี ปู ฌาน ตอ่ มา รสู้ กึ กม็ อี ตมั มยตาละทง้ิ จากรปู ฌานไปขน้ึ ไปๆ กไ็ ปอยู่ติดที่อรปู ฌาน หนกั เข้าๆ กร็ ู้วิธีละจาก อรูปฌานไปสู่นิโรธหรอื นพิ พาน นี่อตัมมยตา มีพระบาลีพิเศษประโยคหน่ึงว่า อตมั มยตาสำ� หรบั อะไร สำ� หรบั จะละอะไร อนั พระผมู้ พี ระภาคตรสั ไวแ้ ลว้ อตมั มยตาส�ำหรบั ละกามพระผมู้ พี ระภาคกต็ รสั ไวแ้ ลว้ อตมั มยตา สำ� หรบั ละปฐมฌานพระผมู้ พี ระภาคกต็ รสั ไวแ้ ลว้ ๔๒

อตมั มยตาสำ� หรบั จะละทตุ ยิ ฌานพระผมู้ พี ระภาค ก็ตรัสไว้แล้ว อตัมมยตาส�ำหรับละทุติยฌาน พระผมู้ พี ระภาคก็ตรสั ไวแ้ ล้ว ละตตยิ ฌาน ละ จตุตถฌาน ละอากาสานัญจายตนะ วิญญา- ณญั จายตนะ อากญิ นญั จายตนะ เนวสญั ญานา- สัญญายตนะเป็นล�ำดับ อันพระผู้มีพระภาค ตรัสไว้แล้ว ประโยคน้ีพิเศษมากแต่ท�ำไมไม่มี ใครเอามาพดู กไ็ มท่ ราบ และทำ� ใหเ้ ขา้ ใจกนั ไป เสียวา่ อตมั มยตาไมม่ ีในพระไตรปิฎก มีอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฎกใน ความหมายทว่ี า่ อะไรๆ จะมาจบั ยดึ ไวไ้ มไ่ ด้ ทจ่ี รงิ ตวั นมี้ นั แปลวา่ สำ� เรจ็ อยดู่ ว้ ย สำ� เรจ็ อยดู่ ว้ ย ไม่ สำ� เรจ็ อยดู่ ว้ ยอะไร ไมใ่ หอ้ ะไรมากกั ตวั ไวใ้ หอ้ ยู่ กบั สงิ่ นน้ั ไมส่ ำ� เรจ็ อยกู่ บั สง่ิ นนั้ ไมส่ ำ� เรจ็ อยกู่ บั อารมณป์ ระเภทไหน กิเลสประเภทไหน หรอื ๔๓

วา่ ภพชาตชิ นดิ ไหน ไมส่ ำ� เรจ็ อยดู่ ว้ ยสง่ิ นนั้ ถอน ออกมาไดน้ ี้เปน็ อตัมมยตา ทจี่ ริงก็ได้เป็นมาแลว้ ไดใ้ ช้ประโยชน์ กับมนั มามากแลว้ เชน่ เราจะเป็นเดก็ ทารกอีก ไม่ได้ ท่ีน่ังอยู่ที่น่ีใครยังเป็นเด็กทารกได้อีก บ้างไหม เปน็ เดก็ ทำ� ไมจะไมอ่ ยากเป็น เพราะ มนั ถอนจากเด็กทารกเสยี แล้ว ถอนความเป็น เด็กทารก ถอนความผูกพันอยู่ด้วยความเป็น เด็กทารก ความพอใจในความเป็นเด็กทารก มันถอนเสยี แล้ว จนเปน็ เดก็ โต เปน็ เดก็ โตแลว้ กถ็ อนอกี เปน็ หนมุ่ สาวถอนเสยี อกี เปน็ พอ่ เปน็ แม่ เปน็ ปตู่ า ยา่ ยาย มนั จะกลบั ไปหาเปน็ เดก็ ทารกอกี ไมไ่ ด้ เพราะมนั ไดถ้ อนเสยี แลว้ ความรสู้ กึ อนั นนั้ เรยี กวา่ อตมั มยตา อะไรๆ จะจบั ฉวยไวต้ ดิ อยทู่ ต่ี รงนน้ั ๔๔